ระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาค Database System For Transferring Donations นายพชร ศิลาเจริญ นายมงคล สังข์แสวง นายธนกฤต อ่อนสีทอง โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ ปีการศึกษา 2565
ข บทคัดย่อ หัวข้อโครงงาน ระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาค Database System For Transferring Donations ผู้จัดทําโครงงาน 1.นายพชร ศิลาเจริญ รหัสนักศึกษา 42342 ระดับ ปวช. 3/4 เลขที่ 24 2.นายมงคล สังข์แสวง รหัสนักศึกษา 42345 ระดับ ปวช. 3/4 เลขที่ 27 3.นายธนกฤต อ่อนสีทอง รหัสนักศึกษา 42349 ระดับ ปวช. 3/4 เลขที่ 30 อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ดิฐประพจน์ สุวรรณศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์สุมลฑา สุขสวัสดิ์ สาขาวิชา คอมพิวเตอร์ธุรกิจ สถาบัน วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ คณะผู้จัดทําได้คิดทำโครงงานนี้นั้นเพื่อสร้าง ระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาค เนื่องด้วยปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากมายหลายทั้งในการ เชิงธุรกิจการจัดการศึกษาและอื่น ๆ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารทำให้ผู้บริหารสามารถ ตัดสินใจบนพื้นข้อมูลที่มีความเป็นปัจจุบันทันต่อสภาวะเหตุการณ์มีความสะดวกในการเรียนใช้ข้อมูล ลดความผิดพลาดและความช้าของงาน และสร้างข้อได้เปรียบให้แก่ผู้บริหารในองค์กรได้อย่างมี ประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล โครงการจัดการระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาค ในปัจจุบันเป็นยุคที่มีการโอนเงิน รายรับรายจ่ายหรือบริจาคกันเป็นชีวิตประจำวันเป็นบ่อยครั้งจากเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการโอนเงินบริจาคให้ผู้อื่นหรือการจ่ายเงินเพื่อซื้อของต่าง ๆ เช่น การโอนบัญชีธนาคาร หนึ่งมาอีกบัญชีธนาคารหนึ่ง การเข้าเว็บบริจาคแล้วโอนเข้าฐานข้อมูล เพื่อทำให้การโอนเงินหรือการ บริจาคเงินนั้นสะดวกสบายมากขึ้น ดังนั้น ในโครงงานนี้จึงได้มีแนวความคิดที่จะนําระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาใช้จัดการ ทำฐานข้อมูลการโอนเงินบริจาคแล้วเก็บเข้าฐานข้อมูล เพื่อช่วยในการโอนเงินสำหรับบุคคลที่สนใจที่ จะบริจาค และจัดเก็บเข้าฐานข้อมูล จัดเก็บข้อมูลในเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยสนับสนุนใน การทำงานการเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นและมีการใช้งานที่ง่ายไม่ซับซ้อน
ค กิตติกรรมประกาศ โครงงานฐานข้อมูล ประเภทการโอนเงินบริจาค ฉบับนี้ได้จัดทําขึ้นด้วยความตั้งใจและความ พยายามเป็นอย่างมากโดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับโครงงานฉบับนี้ไม่ ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ทุกท่านรวมถึงเพื่อน ๆ และผู้ที่มีส่วน ร่วมในโครงงานฉบับนี้ ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้คำปรึกษาอาจารย์ดิฐประพจน์สุวรรณศาสตร์ที่ปรึกษาโครงงาน อาจารย์สุมลฑา สุขสวัสดิ์ที่ปรึกษาร่วมโครงงาน และอาจารย์ฐิติรัตน์ นัยพัฒน์ที่ได้ให้การสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือรวมทั้งให้คำปรึกษาและคําแนะนําตลอดการทําโครงงาน รวมทั้งท่านอาจารย์ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจทุกท่านที่คอยตักเตือนส่วนที่ผิดพลาดของโครงงานครั้งนี้ขอขอบคุณ วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการที่ได้เอื้อเฟื้อตําราจากห้องสมุดที่เกี่ยวข้องกับโครงงานพร้อม ทั้งขอบพระคุณท่านคณะกรรมการในการสอบโครงงานที่ให้คํา ติชมในการสอบวิชาโครงงานเพื่อที่ คณะผู้จัดทําได้นําไปปรับปรุง แก้ไขในส่วน ที่บกพร่องให้ดีขึ้นเพื่อที่โครงงานในครั้งนี้จะได้ออกมา สมบูรณ์ ขอขอบพระคุณพ่อแม่ บุคคลภายในครอบครัวทุกท่านที่คอยให้กำลังใจและให้โอกาสใน การศึกษาที่วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ รวมทั้งเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยช่วยให้คำปรึกษา ร่วมทุกข์ร่วมสุขและอุปสรรคต่าง ๆ ไปด้วยกันจนทำให้การดำเนินการวิชาโครงงานนี้ได้ลุล่วงและผ่าน ไปด้วยดี พชร ศิลาเจริญ มงคล สังข์แสวง ธนกฤต อ่อนสีทอง
ง คำนำ การจัดทำโครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงงาน 1 (20204-8502) และ โครงงาน 2 (20204-8503) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจโดยคณะผู้จัดทำได้ จัดทำโครงงานเรื่องฐานข้อมูลการโอนเงินรับบริจาคผลงานแก่ผู้ที่สนใจในการเรียนสาขาวิชา คอมพิวเตอร์ธุรกิจ โครงงานที่ทางคณะผู้จัดทำได้จัดทำนั้น ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ของโครงงาน โครงการ ที่ทางคณะผู้จัดทําได้จัดทํานั้น ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ของโครงงาน แผนการดําเนินการในการ จัดทําระบบฐานข้อมูล เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ต่าง ๆ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆในการจัดทํา โครงงานนี้เกี่ยวกับแนะนําสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาค เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการสาขาเหมาะสําหรับผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอน เงินบริจาคหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาใช้ระบบฐานข้อมูลนี้ได้ทั้งนี้คณะผู้จัดทํา จึงจัดทําระบบ ฐานข้อมูลนี้เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจและนำไปใช้ หากโครงการนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ทางคณะผู้จัดทำ ขออภัยไว้ณ ที่นี้และจะ ดำเนินการพัฒนาผลงานทางด้านคอมพิวเตอร์ให้พัฒนาให้ดีขึ้นไป คณะผู้จัดทำ 28 กุมภาพันธ์2566
จ สารบัญ หน้า หน้าอนุมัติ ก บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาศ ค คำนำ ง สารบัญ จ สารบัญรูป ช สารบัญตาราง ญ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ภูมิหลังและความเป็นมา 1 1.2 วัตถุประสงค์โครงการ 2 1.3 ขอบเขตการศึกษา 2 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 1.5 แผนการดำเนินงาน 3 1.6 เครื่องมือที่ใช้พัฒนาโปรแกรม 5 1.7 งบประมาณการดำเนินงาน 5 บทที่ 2 ระบบงานและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1 ระบบงานในปัจจุบัน 6 2.2 ปัญหาระบบงานในปัจจุบัน 7 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.4 ระบบงานที่เกี่ยวข้อง 7 33 บทที่ 3 การออกแบบระบบงานด้วยคอมพิวเตอร์ 3.1 การออกแบบภาพความสัมพันธ์ของข้อมูล (Entity Relationship Diagram) 34 3.2 การออกแบบพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary Design) 35 3.3 การออกแบบแผนภาพแนวความคิด (Story Board Design) 37 3.4 การออกแบบสิ่งนำเข้า (Input Design) 40 3.5 การออกแบบสิ่งนำออก (Output Design) 40
ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 ระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาค 4.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 41 4.2 โปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนา 41 4.3 การติดตั้งโปรแกรมและระบบ 42 4.4 วิธีการนำไปใช้งาน 49 บทที่ 5 สรุปผลการทำโครงการ 5.1 สรุปผลโครงการ 53 5.2 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน 53 5.3 สรุปเวลาการทำงานจริง (Gantt Chart) 54 5.4 สรุปค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจริง 56 บรรณานุกรม 57 ภาคผนวก 58 - ใบขอเสนออนุมัติโครงการระบบคอมพิวเตอร์ (ATC.01) 59 - ใบขอเสนออาจารย์ที่ปรึกษาร่วมโครงการ (ATC.02) 60 - ใบขอสอบโครงการระบบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (ATC.03) 61 - ใบรายงานความคืบหน้าโครงการระบบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (ATC.04) 63 - ใบบันทึกการเข้าพบที่ปรึกษาโครงการ (ATC.05) 65 - ใบขออนุญาตอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมจัดทำ เอกสารบทที่ 4-5 (ATC.06) 69 - ใบรับรองการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง (ATC.07) 70 ประวัติผู้จัดทำโครงการ 74
ช สารบัญรูป หน้า รูปที่ 2.1 ระบบสารสนเทศ 7 รูปที่ 2.2 ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง 18 รูปที่ 2.3 ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม 18 รูปที่ 2.4 ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม 19 รูปที่ 2.5 Icon แสดงสัญลักษณ์ของโปรแกรม Microsoft Access 24 รูปที่ 2.6 Icon แสดงสัญลักษณ์ของโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 26 รูปที่ 2.7 หน้าต่างโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 27 รูปที่ 2.8 แถบเมนูคำสั่ง Adobe Photoshop CS6 28 รูปที่ 2.9 แถบตัวเลือก Adobe Photoshop CS6 28 รูปที่ 2.10 กล่องเครื่องมือ Adobe Photoshop CS 30 รูปที่ 2.11 พื้นที่ออกแบบ Adobe Photoshop CS6 31 รูปที่ 2.12 การเก็บการใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 31 รูปที่ 2.13 ปุ่มเก็บการใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 32 รูปที่ 2.14 เมนูของพื้นที่ทำงาน Adobe Photoshop CS6 32 รูปที่ 3.1 Entity Relationship Diagram ระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาค 34 รูปที่ 3.2 หน้าล็อคอินเข้าสู่ระบบ 37 รูปที่ 3.3 หน้าหลัก 37 รูปที่ 3.4 หน้ผู้บริจาค 38 รูปที่ 3.5 หน้าโอนเงิน 38 รูปที่ 3.6 หน้าองค์กร 39 รูปที่ 3.7 หน้าใบเสร็จ 39 รูปที่ 4.1 หลังจาก Download Photoshop CS6 รุ่นทดลองใช้ได้ 30 วันมาแล้วเข้าไปยัง โฟลเดอร์ของ Photoshop ตามภาพด้านล่าง ดับเบิ้ลคลิก Set-up 42 รูปที่ 4.2 เข้าสู่กระบวนการเริ่มต้นสำหรับการติดตั้ง Photoshop CS6 42 รูปที่ 4.3 เมื่อปรากฏหน้าต่างตามภาพด้านล่างคลิกปุ่ม Try 43 รูปที่ 4.4 คลิกปุ่ม Accept 43 รูปที่ 4.5 คลิกปุ่ม Sign in 44 รูปที่ 4.6 กรอก Adobe ID ที่เราได้ทำการสมัครตั้งแต่ตอน Download File เมื่อเสร็จ เรียบร้อยแล้วคลิกปุ่ม Sign in 44 รูปที่ 4.7 คลิกปุ่ม Install 45 รูปที่ 4.8 จากจนกว่าจะทำการติดตั้งเสร็จ 45 รูปที่ 4.9 ปรากฏหน้าต่าง Installation Complete เป็นอันเสร็จเรียบร้อย 46
ซ สารบัญรูป (ต่อ) รูปที่ 4.10 ให้เปิดเข้าไปที่ setup.office.com เป็นเว็บ Microsoft จากนั้นหากมี Microsoft account ก็คลิกที่ปุ่ม Sign in ได้เลย ถ้ายังไม่มีก็คลิก Create a new account 46 รูปที่ 4.11 หลังจากเข้าระบบเสร็จแล้วก็จะแสดง Enter your product key ให้กรอก Product key ลงไปครับ เมื่อใส่เสร็จก็ให้รอสักครู่ โดยระบบจะตรวจสอบว่า key ถูกต้องไหม 47 รูปที่ 4.12 ถ้าหากถูกต้องก็จะแสดงตัวเลือกส่วนของประเทศและ ภาษาของโปรแกรมก็ให้ เลือกตามที่ต้องการหาแล้วก็คลิกปุ่ม Next 48 รูปที่ 4.13 คลิกปุ่ม Next 48 รูปที่ 4.14 รอสักครู่ก็จะแสดงข้อมูล Microsoft ที่กรอกไปและคลิกปุ่ม Download Now 48 รูปที่ 4.15 เข้า Google Drive 49 รูปที่ 4.16 ดาวน์โหลดไฟล์ ระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาค 49 รูปที่ 4.17 หน้าโปรแกรม 50 รูปที่ 4.18 หน้า Login 50 รูปที่ 4.19 หน้า Index 51 รูปที่ 4.20 หน้าผู้บริจาค 51 รูปที่ 4.21 หน้าองค์กร 52 รูปที่ 4.22 หน้าใบเสร็จ 52
ฌ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน (Gantt Chart) 3 ตารางที่ 1.2 งบประมาณการดำเนินงาน 4 ตารางที่ 2.1 สัญลักษณ์ผังงานโปรแกรม 21 ตารางที่ 2.2 สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงแผนภาพ E-R Diagram 23 ตารางที่ 2.3 รูปแบบการทำงานของแถบเมนูคำสั่ง 29 ตารางที่ 3.1 ตารางข้อมูลผู้บริจาค 35 ตารางที่ 3.2 ตารางข้อมูลโอนเงิน 35 ตารางที่ 3.3 ตารางข้อมูลองค์กร 36 ตารางที่ 3.4 ตารางข้อมูลใบเสร็จ 36 ตารางที่ 5.1 แสดงขนาดของโปรแกรม 53 ตารางที่ 5.2 สรุปเวลาการดำเนินงานจริง 54 ตารางที่ 5.3 สรุปค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจริง 56
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ภูมิหลังและความเป็นมา Database System คือ ระบบที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเข้าไว้ด้วยกันอย่างมี ระบบมีความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่าง ๆ ที่ชัดเจน ในระบบฐานข้อมูลจะประกอบด้วยแฟ้มข้อมูล หลายแฟ้มที่มีข้อมูล เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบและเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถ ใช้งานและดูแลรักษาป้องกันข้อมูลเหล่านี้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือน สื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล เรียกว่า ระบบจัดการ ฐานข้อมูล หรือ DBMS (Database Management System) มีหน้าที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวกและมีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อาจเป็นการสร้างฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูล หรือการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมา โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้าง ของฐานข้อมูลส่วนประกอบแฟ้มข้อมูล (File) ระเบียน (Record) และ เขตข้อมูล (Field) และถูก จัดการด้วยระบบเดียวกัน โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเข้าไปดึงข้อมูลที่ต้องการได้ อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจ เปรียบฐานข้อมูลเสมือนเป็น Electronic Filing, System Database ที่มีประสิทธิภาพสูง เสถียร และตอบโจทย์ทุกการใช้งานของธุรกิจ นั้นไม่ใช่เเค่มี Database ที่ดีสามารถใช้งานได้เเต่ต้องมี องค์ประกอบที่ลงตัวเเละเหมาะแก่ใช้งานกับผู้ใช้อีกด้วย ดังนั้นการที่เรามีพื้นฐานที่สามารถใช้งานก็ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมเพิ่มประสิทธิภาพ ดังนั้นสามารถที่จะศึกษาเพิ่มเติมได้ โดยทาง Mindphp มี บทเรียนสอนการใช้งานฐานข้อมูล อย่าง บทเรียน SQL, SQL - MySQL ,SQL - PostgreSQL, บทเรียน phpMyadmin ,บทเรียน PgAdmin,SQL Knowledge ซึ่งข้อดีในการใช้่งานเเต่ละ ฐานข้อมูลนั้นมีความแตกต่างกัน นั้นก็หมายความว่าสามารถที่จำใช้ได้หลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น การเข้าใช้งาน phpMyadmin จัดการฐานข้อมูล MySQL จาก Directadmin หรือเริ่มต้นการเขียน SQL ใน PgAdmin เพื่อจัดการฐานข้อมูล PostgreSQL และสำหรับท่านใดที่มีปัญหาการใช้งาน สามารถเข้ามาตั้งกระทู้ปัญหาได้ที่ สอบถามปัญหาการใช้งานฐานข้อมูล โดยจะมีผู้เชี้ยวชาญช่วยเหลือ ในการตอบปัญหาที่ได้พบ ในปัจจุบันเป็นยุคที่มีการโอนเงินรายรับรายจ่ายหรือบริจาคกันเป็นชีวิตประจำวันเป็น บ่อยครั้งจากเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการโอนเงินบริจาคให้ผู้อื่นหรือการจ่ายเงิน เพื่อซื้อของต่าง ๆ เช่น การโอนบัญชีธนาคารหนึ่งมาอีกบัญชีธนาคารหนึ่ง การเข้าเว็บบริจาคแล้วโอน เข้าฐานข้อมูล เพื่อทำให้การโอนเงินหรือการบริจาคเงินนั้นสะดวกสบายมากขึ้น ดังนั้น ในโครงงานนี้จึงได้มีแนวความคิดที่จะนําระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาใช้จัดการ ทำฐานข้อมูลการโอนเงินบริจาคแล้วเก็บเข้าฐานข้อมูล เพื่อช่วยในการโอนเงินสำหรับบุคคลที่สนใจที่ จะบริจาค และจัดเก็บเข้าฐานข้อมูล จัดเก็บข้อมูลในเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยสนับสนุนใน การทำงานการเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นและมีการใช้งานที่ง่ายไม่ซับซ้อน
2 1.2 วัตถุประสงค์โครงการ 1. เพื่อช่วยในการสำรองข้อมูล ป้องกันข้อมูลสูญหาย หรือ เสียหาย 2. เพื่ออำนวยความสะดวกในการโอนเงินหรือบริจาคเงิน 3. เพื่อช่วยการจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระเบียบมากขึ้น 4. เพื่อสร้างระบบขึ้นมาช่วยในการเก็บข้อมูลรายรับรายจ่าย หรือ เงินบริจาค 5. เพื่อช่วยให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่าย 1.3 ขอบเขตการศึกษา 1. สามารถพัฒนาดูแลระบบในโปรแกรมได้ 2. สามารถแก้ไขไฟล์งาน เพิ่ม และ ลบ ได้ในระบบได้ 3. สามารถตรวจสอบรายชื่อสมาชิกได้ 4. สามารถตรวจสอบยอดเงินที่โอนเข้ามาได้ 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ช่วยในการสำรองข้อมูล ป้องกันข้อมูลสูญหาย หรือ เสียหาย 2. ได้อำนวยความสะดวกในการโอนเงินหรือบริจาคเงิน 3. ได้ช่วยการจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระเบียบมากขึ้น 4. ได้สร้างระบบขึ้นมาช่วยในการเก็บข้อมูลรายรับรายจ่าย หรือ เงินบริจาค 5. ได้ช่วยให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่าย
3 1.5 แผนการดำเนินงาน (Gantt Chart) ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน รายการ ภาคเรียนที่ 1 มิถุนายน 65 กรกฎาคม 65 สิงหาคม 65 กันยายน 65 ระยะเวลา 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 เสนอหัวข้อ ATC.01 5-10 มิ.ย. 65 ประกาศผลรอบที่ 1 13 มิ.ย. 65 เสนอหัวข้อ รอบที่ 2 14-16 มิ.ย 65 ประกาศผล รอบที่ 2 17 มิ.ย. 65 ประชุมโครง 20 มิ.ย. 65 เสนออาจารย์ที่ปรึกษา ร่วม ATC.02 13 -30 มิถุนายน 65 ส่งเอกสารบทที่ 1 สมบูรณ์ 14- มิ.ย. 65 ถึง 8 ก.ค. 65 ส่งเอกสารบทที่ 2 สมบูรณ์ 9-31 ก.ค. 65 ส่งเอกสาร บทที่ 3 สมบูรณ์ 1-31 ส.ค. 65 สอบนำเสนอโครงงาน ATC.03 ครั้งที่ 1 5-23 ก.ย. 65 ส่งเอกสารโครงงาน ปก ,บทที่ 1-3 บรรณานุกรม ATC 01-05 26-30 ก.ย. 65 ติดตามความคืบหน้าโปรแกรม อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ตุลาคม 65 รายละเอียดในการเข้าพบที่ปรึกษาร่วม 1 2 3 4 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 20 % โครงร่างชิ้นงาน ออกแบบโลโก้ชื่อแบรนด์ 3-9 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 40 % การลงเนื้อหา จัดวางรูปภาพ สีที่ใช้ 10-16 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 60 % การเชื่อมโยง การตั้งชื่อ 17-23 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 80 % ระบบเริ่มใช้งานได้ 24-31 ต.ค. 65
4 ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน (ต่อ) รายการ ภาคเรียนที่ 2 พฤศจิกายน 65 ธันวาคม 65 มกราคม 66 กุมภาพันธ์ 66 ระยะเวลา 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 100 % 1-7 พ.ย. 65 สอบนำเสนอโครงงาน ระดับปวส.2 - ปวช.3 ATC.03 ครั้งที่ 2 26 พ.ย. 65 ส่ง ATC.06 1-16 ธ.ค. 65 ส่ง ATC.07 1-30 ม.ค. 66 ส่งเอกสาร บทที่ 4 สมบูรณ์ 20 ธ.ค. - 23 ม.ค. 66 ส่งเอกสาร บทที่ 5 สมบูรณ์ 31 มกราคม 2566 บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ คำนำ 1-7 ก.พ.66 สารบัญ สารบัญรูป สารบัญตาราง 8-14 ก.พ.66 ประวัติผู้จัดทำ หน้าอนุมัติ 15-19 ก.พ.66 ภาคผนวก ATC.04-05 20-27 ก.พ.66 ส่งเล่มโครงงาน 28 ก.พ.66 ส่งไฟล์เอกสาร Word PDF โปรแกรม ไฟลรวม PDF ไม่เกิน 10 มีนาคม 2566
5 1.6 เครื่องมือที่ใช้พัฒนาโปรแกรม 1. โปรแกรม Microsoft Access ใช้ออกแบบหน้าเว็บและฐานเก็บข้อมูล 2. โปรแกรม Adobe Photoshop ใช้สำหรับออกแบบรูปภาพ 1.7 งบประมาณการดำเนินงาน ลำดับ รายการ จำนวน ราคา (บาท) 1 กระดาษ A4 2 รีม 224 2 ตลับหมึกพิมพ์ 1 ตลับ 450 3 ค่าเข้าเล่ม 1 เล่ม 200 4 แฟลชไดร์ฟ 32 GB 1 อัน 210 รวมเป็นเงิน 1,084 ตารางที่ 1.2 งบประมาณการดำเนินงาน
6 บทที่ 2 ระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาคและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1 ระบบงานในปัจจุบัน เนื่องด้วยปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากมายหลายทั้ง ในการเชิงธุรกิจการจัดการศึกษาและอื่น ๆ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารทำให้ผู้บริหาร สามารถตัดสินใจบนพื้นข้อมูลที่มีความเป็นปัจจุบันทันต่อสภาวะเหตุการณ์มีความสะดวกในการเรียน ใช้ข้อมูล ลดความผิดพลาดและความช้าของงาน และสร้างข้อได้เปรียบให้แก่ผู้บริหารในองค์กรได้ อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล จากการสำรวจข้อมูลระบบการจัดการการซื้อขายรถมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบันการบันทึกข้อมูล ต่าง ๆ ยังคงใช้การบันทึกข้อมูลลงในสมุด บันทึกทำให้การตรวจสอบข้อมูลทำได้ยากอาจจะทำให้ ข้อมูลสูญหายได้ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากร และการทำงานในระบบเดิมนั้นจะใช้แรงงานคนในทุก ขั้นตอนการทำงานซึ่งทำให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการให้บริการแก่ผู้เช่าด้วยเหตุนี้เองจึงต้องการที่จะ พัฒนาโปรแกรมบริหารจัดการการซื้อขาย โดยข้อมูลที่ได้ทำการสำรวจมาจากผู้ทำงานโดยตรงเพื่อให้ ได้โปรแกรมให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานส่วนใหญ่มากขึ้นในแง่ของการใช้งานการพัฒนา โปรแกรมทำออกมาในรูปเว็บไซต์เพื่อให้ใช้งานบนระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ผ่านทางเว็บบราวเซอร์ได้ซึ่ง จะช่วยทำให้เจ้าของกิจการร้านรถมอเตอร์ไซค์สามารถตรวจสอบและเรียกดูข้อมูลได้ตลอดเวลาบน อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล ส่วนประกอบแฟ้มข้อมูล (File) ระเบียน (Record) และ เขตข้อมูล (Field) และถูกจัดการด้วยระบบ เดียวกัน โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเข้าไปดึงข้อมูลที่ต้องการได้ อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเปรียบฐานข้อมูล เสมือนเป็น Electronic Filing, System Database ที่มีประสิทธิภาพสูง เสถียร และตอบโจทย์ทุก การใช้งานของธุรกิจ นั้นไม่ใช่เเค่มี Database ที่ดีสามารถใช้งานได้เเต่ต้องมีองค์ประกอบที่ลงตัวเเละ เหมาะแก่ใช้งานกับผู้ใช้อีกด้วย ดังนั้นการที่เรามีพื้นฐานที่สามารถใช้งานก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริม เพิ่มประสิทธิภาพ ดังนั้นสามารถที่จะศึกษาเพิ่มเติมได้ โดยทาง Mindphp มี บทเรียนสอนการใช้งาน ฐานข้อมูล อย่าง บทเรียน SQL, SQL - MySQL ,SQL - PostgreSQL, บทเรียน phpMyadmin , บทเรียน PgAdmin,SQL Knowledge ซึ่งข้อดีในการใช้่งานเเต่ละฐานข้อมูลนั้นมีความแตกต่างกัน นั้นก็หมายความว่าสามารถที่จำใช้ได้หลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น การเข้าใช้งาน phpMyadmin จัดการฐานข้อมูล MySQL จาก Directadmin หรือเริ่มต้นการเขียน SQL ใน PgAdmin เพื่อจัดการ ฐานข้อมูล PostgreSQL และสำหรับท่านใดที่มีปัญหาการใช้งานสามารถเข้ามาตั้งกระทู้ปัญหาได้ที่ สอบถามปัญหาการใช้งานฐานข้อมูล โดยจะมีผู้เชี้ยวชาญช่วยเหลือในการตอบปัญหาที่ได้พบ ในปัจจุบันเป็นยุคที่มีการโอนเงินรายรับรายจ่ายหรือบริจาคกันเป็นชีวิตประจำวันเป็น บ่อยครั้งจากเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการโอนเงินบริจาคให้ผู้อื่นหรือการจ่ายเงิน เพื่อซื้อของต่าง ๆ เช่น การโอนบัญชีธนาคารหนึ่งมาอีกบัญชีธนาคารหนึ่ง การเข้าเว็บบริจาคแล้วโอน เข้าฐานข้อมูล เพื่อทำให้การโอนเงินหรือการบริจาคเงินนั้นสะดวกสบายมากขึ้น
7 Input Process Output 2.2 ปัญหาระบบงานในปัจจุบัน 1. มีความล่าช้าต่อการใช้งาน 2. ข้อมูลยังไม่ครอบคลุมต่อการใช้งาน 3. การจัดเก็บข้อมูลยังไม่เป็นระบบ 4. ข้อมูลที่ได้จากลูกค้าเกิดความเสียหายหรือสูญหาย 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง หลักการของระบบฐานข้อมูลประกอบไปด้วย 1. ระบบสารสนเทศ แนวคิดพื้นฐานของระบบสารสนเทศนั้น เป็นการพัฒนาในด้าน เทคโนโลยี การประยุกต์ใช้งาน การจัดการระบบสารสนเทศ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ในเรื่อง ของฮาร์ดแวร์(Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ทั้งด้านระบบ ข้อมูล โปรแกรมประยุกต์ และ อื่น ๆ โดยระบบคือกลุ่มขององค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กัน ถูกกำหนดให้ทำงานร่วมกัน เพื่อให้ บรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ร่วมกัน โดยมีข้อมูลนำเข้า (Input) ป้อนผ่านเข้ากระบวนการเพื่อ นำไปประมาลผล (Processing) และสร้างผลลัพธ์ (Output) ในรูปแบบตามที่ต้องการ รูปที่ 2.1 ระบบสารสนเทศ ซึ่งระบบที่กล่าวถึงนี้เรียกว่า "ระบบสารสนเทศ" (Information System) ถือเป็นระบบของ การประมวลผลข้อมูล เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นสารสนเทศตามกระบวนการทำงานของระ บบ คอมพิวเตอร์ที่เรียกกันว่า "วงจรไอพีโอ" ถ้ามองภาพระบบสารสนเทศในลักษณะที่ประกอบด้วย ฐานข้อมูลที่ใช้จัดเก็บข้อมูล และโปรแกรมที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลคือ ทั้งรวบรวม บันทึก จัดเก็บ ดำเนินการ และค้นคืนข้อมูล ข้อมูลถือเป็นส่วนสำคัญ ชื่อข้อมูลนั้นได้มีการในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ในอดีตที่ได้มีการพัฒนา จัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูลในสื่อข้อมูลต่าง ๆ มาจนในปัจจุบันมีการจัดโครงสร้างข้อมูลให้เป็นแบบ ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ที่กำลังเป็นที่นิยมใช้งานกันในหน่วยงานที่มีการใช้งานระบบสารสนเทศด้าน คอมพิวเตอร์ เพราะการจัดเก็บข้อมูลแบมาณข้อมูลที่มีจำนวนมาก จะทำให้มีแฟ้มข้อมูลมีจำนวนมาก ด้วย ทำให้เกิดข้อมูลที่ข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกันข้อมูลที่ซ้ำซ้อนนี้จะก่อให้เกิดบัญหามากมาย จึงเป็นที่มาของ การพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลเป็นแบบฐานข้อมูล 2. ข้อมูล (Data) ในระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บนั้น ภายในเครื่องจะจัดเก็บเป็นแบบเลขฐาน เรียกเลขฐานสองแต่ละตัวว่า บิด (Bit) (Binary System) เช่น 0 หรือ 1 สถานะขอเลขฐานสองจะค่า เป็น 0 กับ 1 เท่านั้น ส่วนที่ใช้เป็นข้อมูลด้วยการรวมกลุ่มเลขฐานสอง 8 ตัว (01010101) เรียกแต่ละ กลุ่มนี้ว่า ไบต์ (Byte) โดยแต่ละโบต์จะใช้แทนตัวเลข ตัวอักษร และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีชนิดของ ข้อมูลแบ่งได้ดังต่อไปนี้
8 1. ชนิดตัวเลข (Numerical Data or Number Data) เป็นข้อมูลเชิงจำนวนที่ประกอบด้วย ตัวเลขต่าง ๆ ที่นำไปใช้ในการคำนวณได้ 2. ชนิดตัวอักษร (Alphabetic Data) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วยอักษรต่าง ๆ มารวมกันไม่มี ตัวเลข หรือสัญลักษณ์อื่นใด หรือข้อมูลเป็นตัวเลข 0 9 ที่นำไปใช้ในการคำนวณไม่ได้ 3. ชนิดข้อความ (Text or Character Data) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วยอักขระต่าง ๆ มา รวมกัน นำไปใช้ในการคำนวณไม่ใด้ ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน 4. ชนิดที่เป็นรูปแบบหรือข้อมูลรหัส (Formatted Data or Code Data) เป็นข้อมูลที่ ประกอบด้วยอักขระต่าง ๆ มารวมกัน มีรูปแบบแน่นอน แบบแอลซีดี ยี่ห้อ AA ขนาด 17 นิ้ว เป็นต้น 5. ชนิดรูปภาพหรือภาพลักษณ์ (Images Data) เป็นข้อมูลประเภทรูปภาพ เช่น ภาพ ถ่ายภาพที่เกิดจากการสแกนภาพ ภาพที่เกิดจากการถ่ายด้วยกล้องดิจิทัล เป็นต้น 6. ชนิดภาพเคลื่อนไหว (Moving Data) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วยภาพนิ่งหลาย ๆ ภาพที่ แตกต่างกันเล็กน้อย แล้วนำมาแสดงต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาพเคลื่อนไห ว ภาพเคลื่อนไหวควรใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 30 ภาพต่อวินาที) 7. ชนิดเสียง (Audio/Sound Data) เป็นข้อมูลที่เป็นเสียงพูด มีการใช้อุปกรณ์ช่วยในการ จัดเก็บ เช่น ไมโครโฟน เป็นเครื่องรับเสียงแล้วแปลงข้อมูลเสียงนั้นเก็บไว้ 3. โครงสร้างแฟ้มข้อมูล โครงสร้างแฟ้มข้อมูล (Structure of Data File) ของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ประกอบด้วยหน่วยข้อมูล ที่เล็กที่สุดไปยังหน่วยที่ใหญ่ที่สุด โดยจัดโครงสร้างพื้นฐานตามลำดับดังนี้ 1. บิด (Bit) คือ เลขฐานสอง ใช้แทนค่าหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลในคอมพิวเตอร์ โดยแต่ละ บิตมีค่าเป็น 0 หรือ 1 เพียง 2 ค่าเท่านั้น 2. ไบต์ (Byte) คือ เลขฐานสองจำนวน 8 บิตเรียงต่อกันเป็น 1 ไบต์ สามารถสร้างรหัสแทน ข้อมูล โดยแทนตัวอักษร ตัวเลข หรือตัวอักขระรวมกันได้ถึง 256 ตัว ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้ มีการใช้รหัสที่เรียกว่า "ยูนิโค้ด" (Unicode) ซึ่งจะใช้แทนอักขระได้เป็นจำนวนมากกว่ารหัสแบบเดิม การที่ต้องใช้รหัสแบบนี้เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้งานกราฟิกหรือแอนิเมชันต่าง ๆ มากมายจึงทำให้ รหัสแบบเดิมมีไม่เพียงพอในการแทนตัวอักขระที่เป็นกราฟิกหรือสัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆ 3. เขตข้อมูล (Field) คือ การนำตัวอักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป มารวมกันเพื่อให้มีความหมาย เช่น EMP_F._Name คือ เขตข้อมูลที่ใช้เก็บชื่อพนักงาน เป็นต้น ระเบียน (Record) คือ การนำเขต ข้อมูลหลาย ๆ เขตข้อมูลที่สัมพันธ์กันมารวมกัน เช่น 4. ระเบียนของพนักงาน (EMP Record) จะประกอบด้วยเขตข้อมูลเลขประจำตัวพนักงาน (EMP_ ID) ชื่อ (EMP_F._Name) นามสกุล (EMP_L_Name) สถานภาพ (EMP_Status) เพศ (EMP_Sex) วันเกิด (EMP_Birth_Day) ที่อยู่ (EMP_Address) จังหวัด (EMP_ Province) และ หมายเลขโทรศัพท์(EMP_Telephone) เป็นต้น 5. แฟ้มข้อมูล (File) คือ ข้อมูลที่เป็นระเบียนประเภทเดียวกันหลาย ๆ ระเบียนรวมกัน เช่น แฟ้มข้อมูลพนักงาน ประกอบด้วยระเบียนของพนักงานทั้งองค์กร
9 4. การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูล ข้อมูลต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นระเบียนจะถูกจัดเก็บอยู่ในแฟ้มข้อมูล มีการกำหนดวิธีการที่ระเบียนของ แฟ้มข้อมูลเหล่านั้นถูกจัดเก็บ ซึ่งจะอยู่บนอุปกรณ์ที่เป็นสื่อในการเก็บข้อมูล เพื่อให้การจัดเก็บข้อมูล และการเข้าถึงข้อมูลมีความสะดวกรวดเร็วและถูกต้อง ดังนั้น การจัดโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลที่เป็น พื้นฐานสามารถแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะดังนี้ 1. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ (Sequential File Organizations) เป็นการจัด แฟ้มข้อมูลในรูปแบบที่ระเบียนภายในแพ้มข้อมูลจะเรียงตามลำดับที่ข้อมูลถูกบันทึก โดยอาจถูก บันทึกด้วยการเรียงตามลำดับของคีย์ฟิลด์ (Key Field) หรือไม่เรียงตามลำดับของคีย์ฟิลด์ก็ได้ข้อมูล จะถูกบันทึกลงในสื่อบันทึกข้อมูลโดยจะถูกบันทึกไว้ในตำแหน่งที่อยู่ติด ๆ กันหรือห่างกันก็ได้การนำ ข้อมูลมาใช้ของโครงสร้างแพ้มข้อมูลแบบนี้จะต้องทำการอ่านข้อมูลที่ละระเบียนเรื่อย ๆ ไขตามลำดับ จนถึงระเบียนที่เป็นข้อมูลที่ต้องการ จึงจะใช้ข้อมูลในระเบียนนั้นได้ โดยจะเข้าถึงข้อมูลโดยตรงไม่ได้ สำหรับโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ ประกอบไปด้วยระเบียนที่จัดเรียงตามลำดับอย่าง ต่อเนื่อง เมื่อสร้างแฟ้มข้อมูลจะบันทึกระเบียนเรียงตามลำดับ การบันทีกระเบียนจะถูกเขียนต่อเนื่อง ไปตามลำดับจากระเบียนที่ 1 ถึงระเบียนที่ N และการอ่านระเบียนภายในแฟ้มข้อมูลจะต้องใช้วิธีการ อ่านแบบต่อเนื่องตามลำดับ คือ อ่านตั้งแต่ต้นแฟ้มข้อมูลไปยังท้ายแฟ้มข้อมูล โดยจะต้องเริ่มอ่าน ตั้งแต่ระเบียนที่ 1, 2, 3.... ไปเรื่อย ๆ จนถึงระเบียนที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการอ่านระเบียนที่ 8 ก็ต้องอ่านระเบียนตามลำดับตั้งแต่ระเบียนที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ก่อนแล้วจึงจะอ่านระเบียนที่ 8 ได้ 2. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับตามดัชนี (Index File Organizations) เป็นวิธีการเก็บ ข้อมูลโดยแต่ละระเบียนในแฟ้มข้อมูลจะมีค่าของคีย์ฟิลด์ที่ใช้เป็นตัวระบุระเบียนนั้น ค่าคีย์ฟิลของแต่ ละระเบียนจะต้องไม่ซ้ำกับค่าคีย์ฟิลด์ในระบบอื่น ๆ ในแฟ้มข้อมูลเดียวกัน เพราะการจัดโครงสร้าง แฟ้มข้อมูลแบบนี้จะใช้คีย์ฟิลด์เป็นตัวเข้าถึงข้อมูล การเข้าถึงข้อมูลหรือการอ่านระเบียบใด ๆ จะ เข้าถึงได้อย่างสุ่ม การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลต้องบันทึกลงสื่ออุปกรณ์ที่เข้าถึงข้อมูลไห้โดยตรง เช่น จานแม่เหล็ก การสร้างแฟ้มข้อมูลประเภทนี้ไม่ว่าจะสร้างครั้งแรกหรือสร้างใหม่ ข้อแต่ละระเบียนต้อง มีเขตข้อมูลหนึ่งใช้เป็นคีย์ฟิลด์ของข้อมูลระเบียนนั้น นอกจากจะเข้าถึงระเบียบใด ๆ ได้เร็วขึ้นแล้ว ยัง สามารถเพิ่มระเบียนเข้าในส่วนใด ๆ ของแฟ้มข้อมูลได้ ในแต่ละแฟ้มข้อมูลที่ถูกบันทึกลงสื่อข้อมูลจะ มีตารางดัชนีทำให้เข้าถึงระเบียนใด ๆ ได้รวดเร็วขึ้น 3. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (Relative File or Hashed File Organizations) เป็น โครงสร้างที่สามารถข้าถึงข้อมูลหรืออ่านระเบียนใด ๆ ได้โดยตรง วิธีนี้เป็นการจัดเรียข้อมูลเข้าไปใน แฟ้มข้อมูลที่อาศัยเขตข้อมูลเป็นตัวกำหนดตำแหน่งของระเบียนนั้น โดยค่าคีย์ฟิลด์ของข้อมูลในแต่ละ ระเบียนของแฟ้มข้อมูลจะมีความสัมพัทธ์กับตำแหน่งที่ระเบียนนั้นถูกจัดเก็บไว้ในหน่วยความจำค่า ความสัมพัทธ์นี้เป็นการกำหนดตำแหน่ง (Mapping Function) ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลง คีย์ฟิลด์ของระเบียนนั้นให้เป็นตำแหน่งในหน่วยความจำ การจัดเก็บข้อมูลลงแฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (Relative File) จะถูกจัดเก็บอยู่บนสื่อที่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง เช่น แผ่นจานแม่เหล็ก ซึ่งการ กำหนดตำแหน่งนี้จะทำการคำนวณปรับเปลี่ยนค่าคีย์ฟิลด์ของระเบียนให้เป็นตำแหน่งใน หน่วยความจำ แฟ้มข้อมูลหลักนี้ประกอบด้วยระเบียนที่จัดเรียงตามตำแหน่งในหน่วยความจำ ซึ่งจะ เรียงจากระเบียนที่ 1 จนถึง N แต่จะไม่เรียงลำดับตามค่าของคีย์ฟิลด์
10 5. ระบบแฟ้มข้อมูล ระบบการจัดเก็บข้อมูล (Data File System) ที่ใช้ในงานคอมพิวเตอร์นั้น มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคตัน 1 ที่จัดเก็บคล้ายกับการจัดเก็บแฟ้มเอกสารต่าง ๆ ด้วยมือที่ดำเนินการอยู่ในสำนักงานทั่ว ๆ ไป แต่ใน การจัดเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะได้ปริมาณที่มากกว่าในเนื้อที่เท่า ๆ กัน โดยที่จะจัดเก็บเป็น ระบบ สืบค้นข้อมูลเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และเรียกได้ตามที่ต้องการทันที หรือใช้เวลาน้อยกว่า อย่างไรก็ตามการจัดเก็บข้อมูลแบบนี้ยังเกิดปัญหากับข้อมูลเมื่อแฟ้มข้อมูลมีจำนวนมาก ทำให้เกิด ความช้ำช้อนของข้อมูล ทั้งของโปรแกรมและข้อมูลเชื่อมโยงต่อกัน เมื่อต้องการเพิ่มหรือแก้ไข โครงสร้างข้อมูลจึงต้องทำการแก้ไขปรับปรุงโปรแกรมใหม่ โดยใช้ผู้ชำนาญการเรื่องโปรแกรมทำการ แก้ไข ซึ่งเป็นการยุ่งยากและเกิดปัญหาบ่อยครั้ง 1. การประมวลผลกับระบบแฟ้มข้อมูลยุ่งยาก การดำเนินงานกับแฟ้มข้อมูลของระบบ คอมพิวเตอร์นั้น จำเป็นจะต้องเขียนคำสั่งต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดในภาษาคอมพิวเตอร์ในโปรแกรม เพื่อ สร้างแฟ้มข้อมูล ส่วนโปรแกรมต้องพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของภาษา เช่น หาก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้นั้นกำหนดว่าจะต้องระบุชื่อแฟ้มข้อมูลในโปรแกรม ก็ต้องปฏิบัติตามอย่าง เคร่งครัดการใช้แฟ้มข้อมูลแบนี้มีลักษณะจำกัดอย่างหนึ่งคือจะต้องระบุรายละเอียดของแฟ้ม วิธีการ จัดทั้งข้อมูล และรายละเอียดของระเบียนที่อยู่ในแฟ้มเอาไว้ในโปรแกรมอย่างครบถ้วน หากผิดพลาด กำหนดไม่ครบก็จะทำให้โปรแกรมทำงานผิดพลาดได้ 2. แฟ้มข้อมูลไม่มีความเป็นอิสระของข้อมูล ระบบแฟ้มข้อมูล ถ้ามีการแก้ไขโครงสร้างข้อมูล จะกระทบถึงโปรแกรมด้วย เนื่องจากในการเรียกใช้ข้อมูลที่เก็บอยู่ในระบบแฟ้มข้อมูลนั้นจะต้องใช้ โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อเรียกใช้ข้อมูลในแฟ้มข้อมูลนั้น โดยเฉพาะโปรแกรมเมอร์ที่จะต้องเขียน โปรแกรมเพื่ออ่านข้อมูลจากแฟ้มข้อมูล และพิมพ์รายงานที่แสดงเฉพาะข้อมูลที่ตรงตามเงื่อนไขที่ กำหนด กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล ทำให้ต้องมีการแก้ไขโปรแกรมตาม โครงสร้างของข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป ลักษณะแบบนี้เรียกว่า "ข้อมูลและโปรแกรมไม่เป็นอิสระต่อกัน" 3. แพ้มข้อมูลมีความซ้ำช้อนมาก คือ ถ้าเก็บข้อมูลซ้ำช้อนกันหลายแห่ง เมื่อมีการปรับปรุง ข้อมูลไม่ครบจะทำให้ข้อมูลเกิดความขัดแย้งกัน และยังเปลืองเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลด้วยเนื่องจาก ข้อมูลชุดเดียวกันจัดเก็บช้ำกันหลายแห่งนั่นเอง 4. แฟ้มข้อมูลมีความถูกต้องของข้อมูลน้อย เนื่องจากแฟ้มข้อมูลไม่สามารถตรวจสอบกฎ ข้อบังคับความถูกต้องของข้อมูลได้ ถ้าต้องการควบคุมข้อมูล ผู้พัฒนาโปรแกรมต้องเขียนโปรแกรม เพื่อควบคุมกฎระเบียบต่าง ๆ เองทั้งหมด ถ้าเขียนโปรแกรมครอบคลุมกฎระเบียบใดไม่ครบหรือขาด หายไปบางกฎ อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดได้ 5. แฟ้มข้อมูลมีความปลอดภัยน้อย แฟ้มข้อมูลไม่มีระบบการรักษาความปลอดภัยในการ ควบคุมเกี่ยวกับการเข้าใช้ข้อมูล ทุกคนจึงสามารถเรียกดูและเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ ก่อให้เกิดความ เสียหายต่อข้อมูลได้ และข้อมูลบางส่วนอาจเป็นข้อมูลที่ไม่อาจเปีดเผยได้หรือเป็นข้อมูลเฉพาะของ ผู้บริหาร 6. ไม่มีการควบคุมจากศูนย์กลาง ระบบแฟ้มข้อมูลจะไม่มีการควบคุมการใช้ข้อมูลจาก ศูนย์กลาง เนื่องจากข้อมูลที่หน่วยงานย่อยใช้สามารถใช้ข้อมูลได้อย่างเสริโดยไม่มีศูนย์กลางในการ ควบคุม ทำให้ไม่ทราบว่าหน่วยงานใดใช้ข้อมูลระดับใดบ้าง ใครเป็นผู้นำข้อมูลเข้า
11 ชนิดและลักษณะของฐานข้อมูล ลักษณะของฐานข้อมูล (Database) หมายถึง แฟ้มข้อมูลหลาย ๆ แฟ้มที่เก็บรวบรวมไว้ด้วยกันทั้ง ในสถานที่เดียวกันหรือต่างสถานที่ แต่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยมีการกำหนดรูปแบบของ ระเบียนที่ต้องการไว้ยังจุดศูนย์กลางเพียงที่เดียว เพื่อจะได้ควบคุมการแสดงผล การเก็บรักษา และ การดูแลแก้ไขให้เป็นรูปแบบเดียวกัน และจะต้องกำหนดสิทธิของผู้ใช้ที่จะสามารถดึงข้อมูลออกมา เท่าที่จำเป็นในแต่ละหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลไปยังภายนอกองค์กร ตัวอย่างเช่น แฟ้มข้อมูลของนักศึกษาในวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่จัดเก็บข้อมูลไว้แต่ละหน่วยงาน เช่น ฝ่ายธุรการจะจัดเก็บแฟ้มประวัติของนักศึกษา ฝ่ายทะเบียนและวัดผลจะจัดเก็บแฟ้มข้อมูลของ รายวิชาที่นักศึกษาได้ลงทะเบียนเรียนไว้ อาจารย์ประจำวิชาจะดึงข้อมูลจากฝ่ายทะเบียนที่นักศึกษา ได้ลงทะเบียนไว้มากรอกผลการเรียนในแต่ละรายวิชา เมื่อได้สอบวัดผลการเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายปกครองจะบันทึกพฤติกรรมของนักศึกษาที่กระทำผิดกฎระเบียบของวิทยาลัยโดยหักคะแนน ความประพฤติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละฝ่ายจะทำงานในแต่ละด้านต่างกันแต่ใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน โดย จะต้องมีการจำกัดสิทธิ์ของผู้เข้าใช้งานในแต่ละด้านให้สามารถดู/แก้ไข/เพิ่มเติมในส่วนของฝ่ายนั้น ๆ โดยไม่ทับซ้อนกัน จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นได้ว่าข้อมูลมีความสัมพันธ์กันและเรียกใช้งานได้อย่างมี ประสิทธิภาพแต่กว่าจะมาเป็นฐานข้อมูลที่ดีได้นั้นจะต้องเกิดจากการร่วมกันพัฒนาทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ที่ดี และมีระบบการจัดการฐานข้อมูลที่ดีหรือเรียกว่า "DBMS" อีกด้วย ระบบการจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS) หมายถึง โปรแกรมหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาให้สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรมจัดการข้อมูลที่ แต่ละหน่วยงานจัดเก็บลงในแฟ้มข้อมูล โดยให้มีความเกี่ยวข้องกันกับการใช้ฐานข้อมูล ซึ่งจะทำให้ ผู้ใช้ได้รับความสะดวกในการนำข้อมูลมาใช้ได้โดยง่าย และเกิดผลสัมฤทธิตามจุดประสงค์ของแต่ละ หน่วยงาน ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลอาจจะมีการกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ อาจไม่จำเป็นต้อง รู้เรื่องโครงสร้างของฐานข้อมูลเลยก็ได้ ตังนั้น ระบบการจัดการฐานข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่สามารถสื่อสารกับโปรแกรมต่าง ๆ ได้ ระบบการจัดการฐานข้อมูล ที่ดีจะต้องประกอบไปด้วย 1. การกำหนดหน้าที่ของฟังก์ชันต่าง 1 ในการจัดการกับข้อมูลได้อย่างหลากหลาย 2. ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม D8MS จะต้องเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายและเป็นกลางที่ นักเขียนโปรแกรมทุกเชื้อชาติสามารถเข้าใจได้ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ภาษา SQL 3. สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือบำรุงรักษาได้โดยง่าย และต้องไม่ยึดติดกับนักเขียน โปรแกรมคนใดคนหนึ่ง 4. ต้องมีการกำหนดสิทธิ์ของผู้ใช้ในแต่ละคนได้ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์และทำให้เกิด ความปลอดภัยของข้อมูลที่อาจจะมีผู้นำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม 5. สามารถรักษาความมั่งคงและความปลอดภัยของข้อมูล โดยการสำรองข้อมูล (Backup) ได้ตลอดเวลา ซึ่งเราอาจจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เช่น ไฟฟ้าดับ ข้อมูลเกิดการเสียหาย ฮาร์ดดิสก์ก็เสีย เป็นต้น
12 6. สามารถเรียกคืนข้อมูล (Recover) ในกรณีที่ข้อมูลเกิดการเสียหายได้ 7. ต้องจัดการบริหารและเรียกแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ จากหน่วยความจำสำรองมาไว้ยัง หน่วยความจำหลักและนำเสนอตามความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งจะเป็นตัวประสานงานระหว่างผู้ใช้กับ แฟ้มข้อมูล 8. จัดการบริหารฐานข้อมูลและควบคุมให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เมื่อมีผู้ใช้หลาย ๆ คนเข้า มาใช้ฐานข้อมูลพร้อม ๆ กัน องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล ระบบของฐานข้อมูลจะสมบูรณ์ได้นั้นต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 4 ประการดังนี้ 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ทางด้านคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ระดับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ หรือไมโครคอมพิวเตอร์ ใช้ในการประมวลผล ข้อมูลของฐานข้อมูล หน่วยจัดเก็บข้อมูล หน่วยนำข้อมูลเข้า หน่วยแสดงผล รวมทั้งอุปกรณ์การ สื่อสารโทรคมนาคมที่ใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ด้วย 2. ซอฟต์แวร์ (Software) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ประยุกต์และซอฟต์แวร์ ด้านฐานข้อมูล โดยซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงเพื่อใช้ทำงานด้านใด ด้านหนึ่ง เช่น โปรแกรมระบบเงินเดือน โปรแกรมระบบบัญชีลูกหนี้ เป็นต้น ส่วนซอฟต์แวร์ต้าน ฐานข้อมูลจะเป็นระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ทำหน้าที่ในการจัดการฐานข้อมูลให้กับผู้ใช้และ ผู้เขียนโปรแกรม 3. ข้อมูล (Data) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับข้อมูลที่จัดเก็บในฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลจะมี คุณสมบัติด้านความถูกต้อง ทันสมัย ซ้ำซ้อนน้อย และสามารถใช้ร่วมกันได้ 4. บุคลากร (Peopleware) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับบุคลากรซึ่งเกี่ยวข้องกับฐานข้อมูล บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบฐานข้อมูล บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบฐานข้อมูล สามารถแบ่งประเภทตามลักษณะหน้าที่ได้ดังนี้ 1. ผู้ใช้ทั่วไป (Naive User) คือ บุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยมีพื้นฐานด้านการใช้ คอมพิวเตอร์มาบ้าง ไม่จำเป็นต้องรู้จักรายละเอียดโครงสร้างของฐานข้อมูลหรือภาษาทาง คอมพิวเตอร์แต่สามารถเรียกใช้ข้อมูลได้โดยผ่านทางโปรแกรมสำเร็จรูป 2. ผู้ใช้ฐานข้อมูล (Sophisticated User) คือ บุคคลที่สามารถดึงข้อมูลขึ้นมาใช้โดยผ่าน ภาษาที่เกี่ยวข้องกับการเรียกใช้ข้อมูล (Query Language) มีความรู้พื้นฐานในการเรียกและแสดงผล ข้อมูลในรูปแบบที่ต้องการได้อย่างหลากหลาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมภาษา ระดับสูง 3. นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analysis and Designer) คือ บุคคลที่ทำ หน้าที่ออกแบบระบบฐานข้อมูลให้ตรงกับการใช้งานของผู้ใช้ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มดังนี้ 3.1 นักออกแบบระบบในระดับแนวคิด (Logical Database Designer) คือ บุคคลที่ทำ หน้าที่ออกแบบระบบโดยประยุกต์กับงานในปัจจุบันที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเขียนข้อกำหนดของการใช้ ฐานข้อมูลในรูปแบบของเอนทิตี้ (Entity), แอททริบิวต์ (Attribute) และการเชื่อมความสัมพันธ์ (Relationship) กับงานและข้อกำหนดของธุรกิจนั้น ๆ เช่น นักศึกษา 1 คน จะต้องสังกัดอยู่เพียง คณะเดียว ถ้านักศึกษาได้ไปลงทะเบียนกับอีกคณะหนึ่งก็จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดของการลงทะเบียน
13 ในคณะที่ 2 ดังนั้น การออกแบบจึงต้องออกแบบให้มีกฎเกณฑ์ที่เหมือนกัน และในทางกลับกันคณะ หนึ่งคณะสามารถมีนักศึกษาได้มากกว่า 1 คน ซึ่งแต่ละคณะก็จะมีนักศึกษาได้ในจำนวนที่เท่ากันหรือ แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความชอบของนักศึกษา 3.2 นักออกแบบระบบในระดับปฏิบัติ (Physical Database Designer) คือ บุคคลที่ทำ หน้าที่ในการนำเอาโครงสร้างและข้อกำหนดต่าง ๆ ของนักออกแบบในระดับแนวคิดไปทำการ ออกแบบตัวโปรแกรมเพื่อให้ใช้งานได้กับระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) และเป็นคนที่จะคัดสรร อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูล การเข้าถึงข้อมูล การป้องกันและรักษาข้อมูลเมื่อเกิดเหตุต่าง ๆ การแสดงผลข้อมูลให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ รวมถึงข้อกำหนดของตัวโปรแกรมกับ ความสามารถพื้นฐานของผู้ใช้อีกด้วย 4. ผู้เขียนโปรแกรม (Application Programmer) คือ บุคคลที่เขียนโปรแกรมประยุกต์จาก ข้อกำหนดต่าง ๆ ที่รับมาจากนักวิเคราะห์และออกแบบระบบ โดยจะเขียนโปรแกรมประยุกต์ด้วย ชุดคำสั่งที่สามารถจัดการกับระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ให้ปฏิบัติการในฐานข้อมูลได้ เช่น การ เรียกดูข้อมูล (View หรือ Retrieving), การเพิ่ม (Adding), การปรับปรุง (Updating), การลบข้อมูล (Deleting) เป็นต้น 5. ผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator: DBA) คือ กลุ่มบุคคลที่ทำหน้าที่ใน การออกแบบ จัดการ และบริหารฐานข้อมูลที่อยู่ภายในคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีพื้นฐานในการบริหารข้อมูล มาก่อน กล่าวคือ ผู้บริหารข้อมูลจะทำหน้าที่คอยดูแลและรับผิดชอบข้อมูลต่าง ๆ ที่ตัวเองทำอยู่ ซึ่ง ทำหน้าที่กันเป็นทีม โดยมีหน้าที่ดังนี้ 5.1 กำหนดโครงสร้างหรือรูปแบบของฐานข้อมูล ได้แก่ โครงสร้างของอุปกรณ์เก็บข้อมูลและ วิธีการเข้าถึงข้อมูล โดยทำการวิเคราะห์ว่าข้อมูลใดจะอยู่ในระบบฐานข้อมูล จัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีใด และใช้เทคนิคใดเรียกใช้ข้อมูล กำหนดโครงสร้างของอุปกรณ์เก็บข้อมูลและวิธีการเข้าถึงข้อมูล 5.2 กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ โดยการประสานงานกับผู้ใช้ ให้คำปรึกษาให้ความ ช่วยเหลือแก่ผู้ใช้ และตรวจตราความต้องการของผู้ใช้ 5.3 กำหนดกฎเกณฑ์ความปลอดภัยและบูรณาการภาพของข้อมูล กล่าวคือแฟ้มข้อมูลที่แต่ ละฝ่ายได้สร้างขึ้นมาจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันหรือซ้ำซ้อนกัน ตัวอย่างเช่นบางหน่วยงานอาจจะพิมพ์ ชื่อกับนามสกุลลงในช่องเดียวกัน อีกหน่วยงานอาจจะพิมพ์แยกกันคนละช่อง หรือบางหน่วยงาน อาจจะมีคำนำหน้าร่วมกับชื่อด้วย เป็นต้น ฉะนั้นการบูรณาการภาพคือ การผสมผสานแฟ้มข้อมูลของ แต่หน่วยงานให้สามารถใช้งานร่วมกันได้โดยไม่ขัดแย้งหรือซ้ำช้อนกันและยังจำกัดขอบเขตการเข้าถึง ของแต่ละหน่วยงานให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย 5.4 กำหนดขั้นตอนการสำรองข้อมูลและการฟื้นสภาพข้อมูล กำหนดแผนการสร้างระบบ ข้อมูลสำรองและการฟื้นสภาพ ในกรณีที่อาจเกิดความเสียหายกับฐานข้อมูลด้วยสาเหตุจากความ ผิดพลาดของบุคคล ฮาร์ดแวร์ ดิสก์ที่เก็บข้อมูล หรือการเกิดไฟฟ้าดับกะทันหันจะเห็นได้ว่า หน้าที่ของ ผู้บริหารข้อมูลเป็นหน้าที่ที่ทำอยู่เป็นประจำ จึงนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยให้การทำงานมี ประสิทธิภาพมากขึ้น และสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้น ในองค์กรต่าง ๆ จึงหันมาใช้คอมพิวเตอร์ในงาน ทุก ๆ ด้านกับข้อมูลที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดผู้บริหารฐานข้อมูลขึ้นมาโดยนำหลักการบริหาร ข้อมูลที่ทำอยู่ผนวกกับความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และโปรแกรมที่ใช้จัดการกับฐานข้อมูล แต่ผู้บริหาร ฐานข้อมูลจะมีหน้าที่ทีมากกว่าผู้บริหารข้อมูลอีกมาก ทั้งในด้านคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่หลากหลาย
14 โปรแกรมต่าง ๆและผู้ใช้ที่มีความสามารถไม่เท่ากัน กล่าวคือผู้บริหารฐานข้อมูลจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. เป็นนักวางแผนด้านฐานข้อมูล (Database Planner) ผู้บริหารฐานข้อมูลจะต้องเป็น นักวางแผนด้านฐานข้อมูล และจะต้องมีศาสตร์ด้านการวางแผนในหลาย ๆ ด้านดังนี้ 1) ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคต่างๆ ที่จะทำให้การจัดการด้านฐานข้อมูลเกินประสิทธิภาพได้ อย่างลึกซึ้ง 2) ต้องเป็นนักเจรจาและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้ใช้ข้อมูลและนักเขียนโปรแกรม 3) ต้องวางแผนระบบข้อมูลกับทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้ง งบประมาณและกำลังคน 4) ต้องรู้ถึงความต้องการใช้ให้มากที่สุด เพื่อนำมาวิเคราะห์และพัฒนาให้เหมาะสมและตรง ตามวัตถุประสงค์ขององค์กร 5) ต้องรู้จักประยุกต์และปรับเปลี่ยนแนวคิดให้ทันสมัยอยู่เสมค แต่ต้องมีความเหมาะสมกับ ความสามารถขอองค์กรนั้น ๆ 2. เป็นนักพัฒนาฐานข้อมูล (Database Developer) หลังจากที่มีการวางแผนด้านการบ วิหารฐานข้อมูลแล้ว ผู้บวิหารฐานข้อมูลจะต้องทำการพัฒนาข้อมูลเพื่อการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยมีหลักของการพัฒนาดังนี้ 1) ต้องกำหนดรูปแบบของข้อมูลก่อนนำข้อมูลเข้า ข้อมูลที่ได้มาจะมีควหลากหลายทั้งเนื้อหา ขนาด และรหัสโค้ดต่าง ๆ ซึ่งก่อนจะนำข้อมูลเข้าเครื่องจะต้องกำหนดโครงสร้างและรูปแบบของ ข้อมูลให้เป็นในแนวทางเดียวกันก่อน ซึ่งอาจจะต้อรใช้การเขียนโปรแกรมบางโปรแกรมเพื่อแปลง ข้อมูลหรือรหัสโค้ดให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน เช่น ข้อมูลนักศึกษาที่ได้กรอกเข้าเครื่องตอนที่นักศึกษา มาสมัครเรียนจากฝ่ายธุรการ ก็เป็นการกรอกข้อมูลโคยใช้มือพิมพ์จากเอกสารการสมัครเรียน ซึ่งจะมี การกำหนครหัสนักศึกษาไว้เป็นคีย์หลัก (Primary Key) ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน และจะให้นักศึกษา ยึดถือรหัสนักศึกษาเป็นหลักคลอดอายุของนักศึกษาที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ในสถาบันนั้น โดยใช้ในการ ติคต่อกับหน่วยงานในสถาบัน โดยจะต้องมีบัตรประจำตัวนักศึกษาเป็นสื่อกลางในการติดต่อกับ หน่วยงานนั้น 1 ซึ่งข้อมูลในบัตรประจำตัวนักศึกษาก็จะมิได้คซึ่งเป็นภาษาทางคอมพิวเตอร์ เมื่ออ่าน จากเครื่องอ่านบัตรและมีโปรแกรมสำเร็จรูปในการแปลงค่าที่ได้จากเครื่องอ่านบัตร ก็จะได้รหัส ประจำตัวนักศึกษาขึ้นมา และก็สามารถดึงข้อมูลของนักศึกษคนนั้นขึ้นมาได้ โดยผู้บริหารฐานข้อมูล จะต้องกำหนครูปแบบของข้อมูลก่อน ตั้งแต่การที่ฝ่ายธุรการกรอกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ และกำหนด รูปแบบให้ผู้เขียนโปรแกรมแปลงค่าจากเครื่องอ่านบัตรให้เป็นรูปแบบเดียวกันกับฝ่ายธุรการ 2) กำหนดสิทธิ์ของผู้ใช้ ข้อมูลที่นำเข้าเครื่องจะมีความหลากหลายและเป็นประโยชน์ทั้งใน ด้านดีและไม่ดี ดังนั้น จึงต้องมีการป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลไม่ให้ผู้ที่ข้องได้ล่วงรู้ข้อมูลยันไม่ พึ่งประสงค์ โดยการกำหนสิทธิ์ของผู้ใช้ให้แสดงผลเท่านั้น และสามารถแก้ไขข้อมูลได้เท่าที่มีหน้าที่ เท่านั้น เช่น ฝ่ายทะเบียนและวัดผลมีสิทธิ์ดึงข้อมูลจากฝ่ายธุรการดูได้เพียงข้อมูลของนักศึกษาที่เป็น รหัส ชื่อ นามสกุล ชั้นปี และสาขาได้เท่านั้นแต่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ ซึ่งข้อมูลที่เหลืออาจจะมี ประวัติการศึกษาเก่า ที่อยู่ปัจจุบันสถานภาพการชำระคำเล่าเรียน และในทางกลับกันฝ่ายธุรการก็จะ สามารถดูข้อมูลของนักศึกษาได้เพียงผ่านการเรียนในชั้นปีนั้น ๆ ไม่สามารถดูเกรดเฉยและคะแนนที่ ได้ในแต่ละรายวิชา และไม่สามารถแก้ไขข้อมูลที่ดูได้อีกด้วย
15 3) ต้องกำหนดมาตรฐานก่อนการสร้างฐานข้อมูล ผู้บริหารฐานข้อมูลจะต้องกำหนดมาตรฐาน ต่าง ๆ ก่อนการสร้าฐานข้อมูลให้เป็นรูปแบบเดียวกันก่อนการพัฒนาให้ใช้งานได้โดยจะต้องกำหนด มาตรฐานดังนี้ -ต้องกำหนดมาตรฐานของโครงสร้างข้อมูล ผู้บริหารฐานข้อมูลจะต้องกำหนดรูปแบบของ โครงสร้างข้อมูลให้เป็นรูปแบบเดียวกัน โดยอาจจะต้องประกาศและออกกฎระเบียบในการสร้าง ฐานข้อมูลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เช่น ชื่อจะต้องกำหนดว่าเป็น "name" นามสกุลกำหนดเป็น " 5_ name" เป็นต้น และจะต้องมีความยาวหรือความกว้างของข้อมูลเป็น 50 หรือ 100 ตัวอักษร เหมือนกัน ซึ่งถ้าไม่กำหนดให้เหมือนกัน การนำข้อมูลมาใช้ร่วมกันก็จะมีปัญหาและใช้งานไม่ได้ -กำหนดมาตรฐานการเขียนโปรแกรม ผู้บริหารฐานข้อมูลจะต้องกำหนดมาตรฐานในการ เขียนโปรแกรม เช่น กำหนดชื่อตัวแปรหลัก ชื่อตัวแปรย่อย เพื่อนำไปใช้ในการเขียนโปรแกรมให้อยู่ใน รูปแบบเดียวกัน -กำหนดรูปแบบการบันทึกการทำงานประจำวัน ในการทำงานประจำวันของการพัฒนา ฐานข้อมูลจะต้องมีความก้าวหน้าของงาน ทั้งงานที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและงานที่มีปัญหาต้องมี การจดบันทึกอยู่เสมอและมีรูปแบบที่เหมือนกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถอ่านและทำการแก้ไขได้เมื่อมี ปัญหาเกิดขึ้นในอนาคต 4)ต้องมีการอบรมวิธีการใช้ให้กับผู้เกี่ยวข้องก่อนการนำโปรแกรมที่พัฒนาเสร็จไปใช้งานจริง ต้องฝึกอบรมผู้ที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชำนาญ เพื่อป้องกันความผิดพลาดอันเกิดจากการใช้หรือความ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ 5) ดูแลและเฝ้าระวังให้ระบบฐานข้อมูลมีความปลอดภัยมากที่สุด หลังจากระบบฐานข้อมูลที่ สร้างเสร็จและได้ใช้งานจะมีข้อมูลต่าง ๆ ที่นำเข้าเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เกิดความต้องการของคู่ แข่งขัน หรือแฮกเกอร์ (Hacker/ ได้ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารฐานข้อมูลจะต้องคำนึงและหาทาง ป้องกัน และอีกสิ่งหนึ่งคืออุปกรณ์ในการเก็บและเรียกใช้ข้อมูล ซึ่งในสมัยที่มีการพัฒนาฐานข้อมูล ทรัพยากรที่ใช้อาจจะยังไม่ทันสมัย ไม่รวดเร็ว หรือเก็บข้อมูลได้น้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลจะมี ปริมาณที่มากขึ้น การเรียกดูข้อมูลก็จะช้าลง ดังนั้น จึงต้องจัดหาทรัพยากรต่าง 1 ให้ทันสมัยและ รองรับกับข้อมูลที่เพิ่มขึ้น และต้องไม่กระทบกับโครงสร้างการทำงานของฐานข้อมูลด้วย ชนิดของฐานข้อมูล ฐานข้อมูลที่ใช้กันอยู่มีโครงสร้าง 3 แบบ ดังนี้ 1. ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (Hierarchical Database) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีระเบียนที่ อยู่แถวบนเรียกว่า "ระเบียนพ่อแม่" (Parent Record) และระเบียนแถวถัดลงมาเรียกว่า "ระเบียนลูก" (Child Record) โดยระเบียนพ่อแม่สามารถมีระเบียนลูกได้มากกว่า 1 ระเบียนแต่ระเบียนลูกจะมี ระเบียนพ่อแม่ได้เพียง 1 ระเบียนเท่านั้น ซึ่งโครงสร้างแบบนี้คล้ายโครงสร้างแบบต้นไม้หัวคว่ำลง ดังนั้น บางครั้งอาจเรียกโครงสร้างฐานข้อมูลแบบนี้ได้ว่า "โครงสร้างแบบต้นไม้" (Tree Structure) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ 2 แบบ คือความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งและแบบ หนึ่งต่อกลุ่มเท่านั้น 2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database) ฐานข้อมูลแบบนี้เป็นการปรับปรุง เพิ่มเติมจากระบบฐานข้อผลแบบลำกับชั้น แต่จะต่างกันที่โหนตลูกจะสามารถมีไหนดพ่อแม่ได้ มากสรา 1 โหนต และไหนดพ่อแม่ก็สามารถมีโหนตลูกได้มากกว่า 1 โหนตเช่นเดียวกัน
16 3. ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีระเบียนเก็บ อยู่ในรูปแบบตาราง (Table) ซึ่งภายในตารางจะแบ่งเป็นแถว (Row) และคอลัมน์ (Column) โดย แถวสามารถมีได้หลายแถว แต่ละแถวเรียกว่า "ระเบียน" ส่วนคอลัมน์ก็มีได้หลายคอลัมน์แต่ละ คอลัมน์เรียกว่า "เขตข้อมูล" ซึ่งในรูปแบบของระบบฐานข้อมูลนี้อาจเรียกตารางเป็นอีกแบบหนึ่งว่า "รีเลชัน" (Relation) ส่วนแถวเรียกว่า "ทูเพิล" (Tuple) และคอลัมน์เรียกว่า "แอททริบิวต์" (Attribute) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ 3 แบบ ได้แก่ ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อ หนึ่ง แบบหนึ่งต่อกลุ่ม และแบบกลุ่มต่อกลุ่ม ความสำคัญขอระบบฐานข้อมูล การเก็บข้อมูลในรูปของแฟ้มข้อมูลเป็นรูปแบบเดินที่ใช้กัน แต่ด้วยเทคโนโลยีของระบบการ จัดเก็บข้อมูลที่มีการพัฒนาตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยีด้าน คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์แรและซอฟต์แวร์ ทำให้มีการเปลี่ยนวิธีจัดเก็บข้อมูลจากระบบแฟ้มข้อมูลให้ เป็นรูปแบบที่เรียกว่า "ระบบฐานข้อมูล" ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลในระบบฐานข้อมูลมีส่วนที่สำคัญกว่าการ จัดเก็บข้อมูลในรูปของแฟ้มข้อมูล ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล 1. ลดความซ้ำช้อน ข้อมูลบางชุดที่อยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูลอาจมีปรากฏอยู่หลายแห่งเพราะ มีผู้ใช่ข้อมูลพูดหลายคน เมื่อใช้ระบบฐานข้อมูลจะทำให้การเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อนลดน้อยลง เช่น ข้อมูล ในแฟ้มข้อมูลของผู้ใช้หลายคน ผู้ใช้แต่ละคนจะมีแฟ้มข้อมูลเป็นของตัวเอง แต่เมื่อเป็นระบบ ฐานข้อมูล จะลดการซ้ำซ้อนของข้อมูลโดยจัดเก็บในฐานข้อมูลไว้ในที่เดียวกัน ผู้ใช้ทุกคนใช้ข้อมูลชุดนี้ โดยผ่านระบบฐานข้อมูล ทำไห้ไม่เปลืองเนื้อที่ในการเก็บข้อมูล 2. รักษาความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากฐานข้อมูลมีเพียงชุดเดียวในฐานข้อมูล กรณีที่ ข้อมูลเดียวกันอยู่หลายแห่ง ฐานข้อมูลเหล่านี้ต้องตรงกัน ถ้ามีการแก้ไขข้อมูล ทุกหน่วยงานที่มีพูดอยู่ จะมีการแก้ไขให้ถูกต้องทั้งหมดโดยอัดในมัติด้วยระบบจัดการฐานข้อมูล ดังนั้น ระบบจัดการ ฐานข้อมูลจะทำให้ที่ตรวจสอบ ดูแลกฎเกณฑ์ และควบคุมความถูกต้องของข้อมูลได้ 3. ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ระบบฐานข้อมูลจะให้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่ เกี่ยวข้อง ดังนั้น ผู้ที่มีสิทธิเข้าไปใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลได้ซึ่งเรียกว่า "มีสิทธิส่วนบุคคล" (Privacy) การ รักษาความปลอดภัยจึงทำได้อย่างสะดวก ก่อให้เกิดความปลอดภัย (Security) กับข้อมูล นั่นคือผู้ใดที่ มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลได้ จะต้องมีการกำหนดสิทธิ์กันไว้ก่อน และเมื่อผู้ใช้เข้าไปใช้ข้อมูลนั้น ๆ จะเห็น ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลเฉพาะส่วนของผู้ใช้เท่านั้น 4. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ในระบบฐานข้อมูลเป็นที่เก็บรวบรวมข้อมูลทุกอย่างไว้ ผู้ใช้ แต่ละคนจึงสามารถที่จะใช้ข้อมูลในระบบได้ทุกข้อมูล ในขณะที่ผู้ใช้ในระบบแฟ้มข้อมูลจะใช้ได้เพียง ข้อมูลของตนเองเท่านั้น เช่น ข้อมูลของระบบเงินเดือนกับข้อมูลของระบบงานบุคคล ผู้ใช้ที่ใช้ข้อมูล ระบบเงินเดือนจะใช้ข้อมูลได้เฉพาะระบบเงินเดือน ส่วนผู้ใช้ที่ใช้ข้อมูลระบบงานบุคคลก็จะใช้ข้อมูลได้ เฉพาะระบบงานบุคคล เพียงระบบทนเดียวเท่านั้น แต่ถ้าข้อมูลทั้ง 2 ถูกเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล ผู้ใช้ทั้ง 2 ระบบก็สามารถเรียกใช้ข้อมูลทั้งสองระบบงานที่อยู่ในฐานข้อมูลเดียวกันได้
17 5. มีความเป็นอิสระของข้อมูล เมื่อต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมกับโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา ผู้ใช้จะสามารถสร้างข้อมูลนั้นขึ้นมาใช้ใหม่ได้โดยไม่มี ผลกระทบต่อระบบฐานข้อมูล เพราะข้อมูลที่ผู้ใช้นำมาประยุกตีใช้ใหม่นั้นไม่กระทบต่อโครงสร้างมี แท้จริงของการจัดเก็บข้อมูลคือ การใช้ระบบฐานข้อมูลจะทำให้มีความเป็นอิสระระหว่างการจัดเก็บ ซื้อข้อมูลและการประยุกต์ใช้ 6. สามารถขยายงานได้ง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับระบบงาน ทำให้ต้องเพิ่มเติม ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจะสามารถทำการเพิ่มได้ เนื่องจากมีความเป็นอิสระของข้อมูล จึงไม่มีผลกระทบต่อ ข้อมูลเดิมที่มีอยู่ในระบบและโปรแกรมประยุกต์เดิมที่ใช้อยู่ 7. ข้อมูลบูรณะกลับสู่สภาพปกติได้เร็วและมีมาตรฐาน ข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูล ผู้เขียน โปรแกรมแต่ละคนจะมีแท้มข้อมูลเฉพาะของแต่ละคน ข้อเสียของระบบฐานข้อมูล แต่ทั้งนี้ระบบฐานข้อมูลก็ยังอาจส่งผลเสียได้เช่นกันดังนี้ 1. มีค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากระบบฐานข้อมูลมีราคาต่อนข้างแพง ทั้งในส่วนของซอฟต์แวร์ และ ฮาร์ดแวร์ที่ต้องใช้เครื่องที่มีความสามารถในการประมวลผลค่อนข้างสูงและมีประสิทธิภาพดี 2. ระบบมีความซับซ้อน การใช้ฐานข้อมูลซึ่งมีความซับซ้อน ต้องใช้ผู้มีความเชี่ยวชาญในการ สร้าง ดูแล และบำรุงรักษา คำศัพท์ที่ใช้ในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ในการออกแบบฐานข้อมูลเข็งสัมพันธ์ (Relational Database) จะนำข้อมูลในตาราง (Table) ของ แต่ละตาราง โดยที่ตารางงจะมีลักษณะเป็น 2 มิติ ซึ่งประกอบไปด้วยทูเพิล (Tuple) และแอททรีบิวต์ (Attribute) โดยที่ข้อมูลของแต่ละตารางจะแตกต่างกันออกไป แต่จะมีเพียงแอททริบิวตใดแอททรี บิวต์หนึ่งของตารางหนึ่ง ต้องเหมือนกับแอททริบิวต์หนึ่งของอีกตารางหนึ่ง เพื่อเป็นจุดที่จะทำการ เชื่อมโยงให้ข้อมูลเกิดความสัมพันธ์กัน ซึ่งการจะเชื่อมโยงได้จะต้องอยู่ภายใต้การกำหนดของคีย์ (Key) ดังนี้ 1. คีย์หลัก (Primary Key : PK) หมายถึง ข้อมูลที่จะกำหนดให้แอททริบิวต์ใดแอททริบิวต์ หนึ่งมีคุณสมบัติให้เป็นคีย์หลัก โดยมีวิธีการกำหนดอยู่ 4 ประการคือ 1.1 ค่าที่กำหนในแอททริบิวต์นั้นจะต้องมีค่าที่ไม่ซ้ำกัน 1.2. ทุกตารางที่มีการเชื่อมความสัมพันธ์กันจะต้องมีคีย์หลัก 1.3 ในแต่ละตารางจะต้องมีแอททริบิวตใดแอททริบีวต์หนึ่งที่มีข้อมูลน้อยที่สุดในทูเพิลนั้น ๆ เป็นคีย์หลัก ซึ่งไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนให้แอททริบิวต์อื่น ๆ เป็นคีย์หลัก 1.4 ได้ค่าที่กำหนดในแอททริบิวต์นั้นจะต้องไม่มีค่าว่าง (Not Null) 2. คีย์คู่แข่ง (Condidate Key : CK) หมายถึง ข้อมูลในแอททริบิวต์ใดแอททริบิวต์หนึ่งที่มี ลักษณะและคุณสมบัติเดียวกับคีย์หลัก ซึ่งสามารถทดแทนกันได้ เช่น รหัสผู้เช่าเชื่อ-นามสกุล เลขบัตร ประชาชน,เพศ,อายุ,ที่อยู่
18 3. คีย์นอก (Forelien Key : FK) หมายถึง แอททริบิวต์ของตารางหนึ่งที่จะต้องไปอ้างอิง กับแอททริบิวดีคีย์หลักของอีกตารางหนึ่ง โดยทั้ง 2 ตารางจะต้องเชื่อมความสัมพันธ์กันซึ่งมีคุณสมบัติ ดังนี้ 3.1 ค่ากำหนดจะต้องมีค่าที่เหมือนกับแอททริบิวต์คีย์หลักของตารางที่เชื่อมความสัมพันธ์กัน 3.2 สามารถมีค่าที่ซ้ำกันได้ 3.3 สามารถมีค่าเป็นว่างได้ (Null) 4. คีย์รวมหรือคีย์ผสม (Composite Key : CK) หมายถึง การรวมเอาหลายแอททริบิวต์ ของแต่ละตารางมาสร้างเป็นคีย์ใหม่ เนื่องจากไม่สามารถใช้เพียงแอททริบิวต์เดียวมาสร้างเป็นข้อมูล ใหม่ได้ ซึ่งคีย์รวมนี้มีคุณสมบัติเดียวกับคีย์หลัก คือจะต้องไม่มีข้อมูลที่ช้ำกันและไม่มีค่าว่าง ( Not Null)เช่น ใบกำกับการเช่าห้องพักของผู้เช่าซึ่งจะต้องมีอย่างน้อย 2 แอททริบิวต์ที่จะนำมาสร้างเป็น คีย์ คือ เลขที่ใบกำกับกับรหัสผู้เช่า เพราะว่าใบกำกับการเช่าห้องพัก 1 ใบ จะออกให้กับผู้เช่าห้องพัก 1 คนหรือ 1 ครั้งเท่านั้น จนกว่าผู้เช่านั้นจะย้ายออกไปและจะไม่สามารถออกช้ำได้ ชนิดของความสัมพันธ์ระหว่างแอททริบิวต์ ในการเชื่อมความสัมพันธ์ของเขตข้อมูลแต่ละตารางจะมีข้อมูลของแอททริบิวต์ในตารางหนึ่ง มีความสัมพันธ์กับข้อมูลในแอททริบิวต์ของอีกตารางหนึ่งจึงต้องคำนึงถึงว่ามีความสัมพันธ์กันแบบใด โดยจะอธิบายถึงชนิดของความสัมพันธ์กับแอททริบิวตได้ 3 ประการ ดังนี้ 1.ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One-to-One Relationships) (1:1) เป็นความสัมพันธ์ที่ เข้าใจง่าย ๆ คือ ในแอททริบิวต์หนึ่งของตารางจะมีความสัมพันธ์กับอีกแอททริบิวต์หนึ่งในตารางหนึ่ง เท่านั้น จะไม่สามารถมีมากกกว่า 1 ได้ ตัวอย่างเช่น ใบกำกับการเช่าห้องพักมีเพียงใบเดียว และผู้เฒ่า ห้องจะมีใบกำกับการเจ่าห้องพักได้เพียงใบเดียวเช่นกัน หรือเขียนเป็นรูปสัญลักษณ์ดังนี้ รูปที่ 2.2 ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง 2. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One-to-Many Relationships) (1 : M) หรือ (1 : N) เป็นความสัมพันธ์ที่พบเห็นบ่อย ๆ ในฐานข้อมูลทั่วไป ซึ่งมีความสัมพันธ์ของแอททริบิวต์หนึ่งในตาราง กับความสัมพันธ์ของแอททริบิวต์ตั้งแต่ 2 แอททริบิวขึ้นไปในอีกตารางหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้เช่าห้อง 1 คน สามารถเช่าพักได้หลายห้อง แต่ใบกำกับการเช่าห้องพัก 1 ใบจะมีเพียงผู้เช่าห้องคนเดียวเท่านั้นที่ ทางอพาร์ทเม้นท์ออกให้ รูปที่ 2.3 ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม ใบกำกับการเช่าห้องพัก ผู้เช่าห้อง 1 : 1 ผู้เช่าห้อง ใบกำกับการเช่าห้องพัก 1 : N
19 3. ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (Many-to-Many Relationships) (M : N) หรือ (N : M) เป็นความสัมพันธ์ที่หลายแอททริบิวในตารางหนึ่งมีความสัมพันธ์กับหลายแอททริบิวต์อีกตารางหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้เช่าห้อง 1 คน สามารถเช่าห้องพักได้หลายห้อง และห้องพัก 1 ห้อง ผู้เช่า ห้องสามารถ นำครอบครัวหรือเพื่อนมาอยู่ร่วมกันได้ รูปที่ 2.4 ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม ขั้นตอนการออกแบบฐานข้อมูล ในการออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่จะทำให้สามารถออกแบบและพัฒนา โปรแกรมขึ้นใช้งานได้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี เพื่อในอนาคตภายหน้าเมื่อมีปัญหาในการนำไปใช้จะ สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในหัวข้อนี้จะอธิบายวิธีการและขั้นตอนในการ ออกแบบฐานข้อมูลไว้ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ถึงปัญหาของระบบงานเดิม โดยพิจารณาถึงจุดอ่อน จุดบกพร่อง และ อุปสรรคต่าง ๆ ที่จะทำให้ระบบงานเดิมล้าช้า ซ้ำช้อน และไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น ในระบบงานเดิมของอพาร์ทเมันท์เป็นแบบจัดเก็บข้อมูลโดยการบันทึกข้อมูลผู้เช่าห้องพักด้วยมือ ลงในสมุดบันทึก ซึ่งการจัดก็บลักษณะนี้ทางเจ้าของอพาร์ทเมันท์จะไม่ทราบเลยว่าผู้เช่าห้องพักเข้ามา เช่าเมื่อไร วางเงินประกันไว้เท่าไร เข้ามาอยู่กี่คน จนกว่าผู้เช่าจะคืนห้อง ถึงจะหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาดู เป็นต้น 2. พิจารณาความต้องการขั้นพื้นฐานและความเป็นไปได้เมื่อได้ทราบถึงปัญหาของการ ทำงานในระบบเดิมแล้ว ขั้นต่อมาคือการพิจารณาถึงความต้องการว่าสมควรนำมาใช้ในองค์กรหรือไม่ โดยดูจากปัจจัยด้านต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 ด้านเทคโนโลยี พิจารณาถึงเทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีในองค์กรว่าเหมาะสมและเพียงพอ กับปริมาณการใช้หรือไม่ รวมถึงขีดความสามารถและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนั้น ๆ และต้อง จัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ต่าง ( จำนวนมากเท่าไรเพื่อมาสนับสนุนต่อระบบงานที่จะปรับปรุงใหม่ 2.2 ด้านการเงิน พิจารณาถึงความคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่จ่ายออกไปกับประสิทธิภาพของงานที่ จะได้มาทั้งค่าใช้จ่ายในด้าน ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบุคลากรที่จะต้องจัดอบรมหรือส่งไปศึกษาดู งานให้กลับมาพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.3 ด้านความต้องการของผู้ใช้ พิจารณาถึงความต้องการของผู้ใช้ระบบปฏิบัติการและ ผู้บริหารว่ามีความต้องการใช้งานมากเพียงไร โดยมุ้งเน้นถึงการแก้ปัญหาและผลที่ได้สามารถนำไปใช้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และตรงตามความต้องการหรือไม่ ผู้เช่าห้อง ห้องเช่า M : N
20 3. การออกแบบฐานข้อมูล เมื่อได้ทราบถึงผลกระทบต่าง ๆ แล้ว และวิเคราะห์ถึงผลดี มากกว่าผลเสีย ขั้นต่อไปคือการออกแบบฐานข้อมูลให้ตรงกับความต้องการขององค์กรให้มากที่สุด โดยการออกแบบฐานข้อมูลจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ 3.1 การกำหนดค่าแอททริบิวตให้กับระบบฐานข้อมูลที่จะทำการสร้าง เช่น แอททริบิวต์ของ ผู้เช่าห้อง, แอททริบิวต์ของใบกำกับการเช่าห้องพัก แอททริบิวต์ของจำนวนห้องพักทั้งหมดของอ พาร์ทเม้นท์ เป็นต้น 3.2 กำหนดคีย์หลักของแอททริบิวตในตารางที่สร้างทุกตาราง 3.3 กำหนดความสัมพันธ์ของแอททริบิวต์ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับการใช้งาน 3.4 ตรวจสอบหรือแก้ไขในแอททริบิวต์แต่ละตัวถ้ามีข้อมูลที่ซ้ำช้อนกันหลังจากการเชื่อม ความสัมพันธ์แล้ว 4. การพัฒนาโปรแกรมให้ตรงกับความต้องการและการติดตั้ง โดยการพิจารณาถึงหน้าที่ การใช้งาน และความเกี่ยวข้องกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงผลที่ออกมาจากทาง เครื่องพิมพ์หรือในรูปของรายงานต่าง ๆ ต้องให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด และ ทางด้านความปลอดภัยของระบบ ข้อจำกัดของผู้ใช้ การกำหนดสิทธิของผู้ใช้ การสำรองข้อมูลก็ถือ เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้พัฒนาจะต้องคำนึงถึง โดยมีขั้นตอนของการพัฒนาดังนี้ 4.1 พัฒนาโปรแกรมให้ตรงกับความต้องการและที่ออกแบบไว้ 4.2 เมื่อพัฒนาเสร็จแล้วต้องทำการทดสอบระบบโดยรวมทั้งหมด พร้อมทั้งจดบันทึกว่ามี ข้อผิดพลาดของโปรแกรมที่ใดและทำการแก้ไข 4.3 ติดตั้งระบบฐานข้อมูลยังเครื่องที่ใช้งานจริงและตรวจสอบถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ว่าได้ผลของ ระบบตรงตามความต้องการหรือไม่ 4.4 จัดฝึกอบรมบุคคลากรที่เกี่ยวข้องภายในองค์กรให้สามารถใช้งานระบบฐานข้อมูลให้ตรง ตามความต้องการของแต่ละฝ่าย 4.5 จัดทำเอกสารประกอบการใช้งานของโปรแกรมทุกขั้นตอน พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียด การใช้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง 4.6 จัดตารางการบำรุงรักษาทั้งเรื่องของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบฐานข้อมูลให้ เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้และองค์กรเมื่อมีการปรับเปลี่ยนระบบต่าง ๆ ตามกาลเวลาหรือ เมื่อมีปัญหาต่าง ๆ ในอนาคต ความหมายของผังงาน ผังงาน (Flowchart) คือ แผนภาพแสดงลำดับขั้นตอนการทำงาน เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการ วางแผนขั้นแรกมาหลายปี โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการเขียนผังงาน เพื่อช่วยลำดับแนวความคิดใน การเขียนโปรแกรม เป็นวิธีที่นิยมใช้เพราะทำให้เห็นภาพในการทำงานของโปรแกรมง่ายกว่าใช้ ข้อความหากมีข้อผิดพลาด สามารถดูจากผังงานจะทำให้การแก้ไขหรือปรับปรุงโปรแกรมทำได้ง่ายขึ้น ผังงานแบ่งได้ 2 ประเภท 1. ผังงานระบบ (System Flowchart) คือ ผังงานที่แสดงขั้นตอนการทำงานในระบบอย่าง กว้าง ๆ แต่ไม่เจาะลงในระบบงานย่อย 2. ผังงานโปรแกรม (Program Flowchart) คือ ผังงานที่แสดงถึงขั้นตอนในการทำงานของ โปรแกรม ตั้งแต่รับข้อมูล คำนวณ จนถึงแสดงผลลัพธ์
21 สัญลักษณ์ผังงานโปรแกรม สัญลักษณ์ ความหมาย จุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุดของผังงาน การประมวลผลการคำนวณ กำหนดค่า แสดงค่าข้อมูลทางจอภาพ การติดต่อกับอุปกรณ์ที่เป็นการเข้าถึงข้อมูลบบลำดับ ใช้ในการตัดสินใจ จุดเชื่อมต่อภายในหน้าเดียวกัน ตารางที่ 2.1 สัญลักษณ์ผังงานโปรแกรม
22 สัญลักษณ์ ความหมาย การนำเข้าข้อมูล การนำออกข้อมูล การรับข้อมูลเข้าทางแป้นพิมพ์ แสดงค่าข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์ การติดต่อกับอุปกรณ์ที่เป็นดิศก์ แสดงทิศทรงการทำงานของผังงาน จุดเชื่อมต่อระหว่างหน้า ตารางที่ 2.1 สัญลักษณ์ผังงานโปรแกรม (ต่อ) การออกแบบฐานข้อมูลด้วย E-R Diagram เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ช่วยในการออกแบบฐานข้อมูล แต่วิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก นำเสนอ โดย Peter ซึ่งวิธีการนี้อยู่ในระดับ Conceptual level และมีหลักการคล้ายกัU Relational model เพียงแต่ E-R model แสดงในรูปแบบกราฟิก บางระบบจะใช้ E-R model ได้เหมาะสมกว่า แต่บาง ระบบจะใช้ Relational mode! ได้เหมาะสมกว่าเป็นต้น ซึ่งแล้วแต่การพิจารณาของผู้ออกแบบว่าจะ เลือกใช้แบบใด (Relational model) คือตารางข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน
23 สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงแผนภาพ E-R Diagram (Symbols in E-R Diagram) สัญลักษณ์ ความหมาย Entity Attribute Key Attribute Relationship Set Connection ตารางที่ 2.2 สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงแผนภาพ E-R Diagram การเขียนแผนภาพกระแสข้อมูล DFD Level 0 [Context Diagram] แผนภาพบริบท (Context Diagram) คือ แผนภาพกระแสข้อมูลระดับบนสุดที่แสดงภาพรวม การทำงานของระบบที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมภายนอกระบบ Level-0 Diagram คือ แผนภาพกระแสข้อมูลในระดับที่แสดงขั้นตอนการทำงานหลักทั้งหมด (Process) หลัก ของระบบ แสดงทิศทางการไหลของ Data Flow และแสดงรายละเอียดของแหล่งจัดเก็บข้อมูล (Data Store) Level-0 Diagram เป็นการแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดของ Process การทำงานหลักๆ ที่มีอยู่ภายใน ภาพรวมของระบบ (Context Diagram) ว่ามีขั้นตอนใดบ้าง Attribute
24 ทฤษฎีเกี่ยวกับโปรแกรม Microsoft Access รูปที่ 2.5 Icon แสดงสัญลักษณ์ของโปรแกรม Microsoft Access ไมโครชอฟต์แอคเซส Microsoft Access หรือเรียกสั้นๆว่าแอคเซส เป็นโปรแกรมทางด้านการ จัดการฐานข้อมูล (Database Management) ที่มีขีดความสามารถสูงแต่ใช้งานง่าย ผู้ใช้สามารถใช้ แอคเซสในการจัดการฐานข้อมูล,ค้นหาข้อมูล, และนำข้อมูลเหล่านั้นมาแสดงในแบบฟอร์มทีสวยงาม หรือจัดพิมพ์เป็นรายงานได้อย่างง่ายดาย โปรแกรม Access นั้นยังมีความสามารถต่าง 1 ที่ตอบสนองความต้องการในระดับสูง เช่น เชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลอื่นๆได้ง่าย การสร้างโปรแกรมฐานข้อมูลบนระบบเครือข่าย การนำข้อมูล ในฐานข้อมูลออกมาเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำได้อย่างง่ายดาย และยังมีภาษาโปรแกรม VBA ให้ ใช้ ถ้าต้องการสร้างระบบจัดการฐานข้อมูลที่มีความชับซ้อนมากขึ้น ประโยชน์ของไมโครซอฟต์แอคเซส Microsoft Access ถูกนำไปใช้งานในระบบฐานข้อมูลได้ในหลากหลายธุรกิจ รองรับการ ทำงานพร้อม ๆ กัน (Concurrent Usage) รองรับการพัฒนาปรับแต่ง และนำไปใช้กับระบบอื่น ๆ ได้ สามารถ Import/Export Data ไปยังระบบต่าง ๆ เช่น Excel, SQL Server, Text File เป็นต้น ลักษณะงานเหมาะกับ Microsoft Access -งานด้านลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Management) - งานระบบ เช่า / ยืม-คืน สินค้า (Rental System) - งานติดตามใบสั่งซื้อ (Order Tracking)
25 ระบบฐานข้อมูลแอคเซส ในแอคเซสจะใช้ระบบข้อมูลแบบสัมพันธ์ (Relational Database) โดยมองข้อมูลในรูปแบบ ตารางข้อมูล (Table) ตารางข้อมูลคือกลุ่มของชัอมูลที่นำมาเก็บรวมกันจะต้องมีความเกี่ยวข้องกัน โดยระบุความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มข้อมูลและใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นั้นได้จะประกอบด้วย - บิต (8t) คือ ข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและ นำไปใช้ งานได้ ซึ่งได้แก่ เลข 0 หรือ เลข 1 เท่านั้น - ไบต์ (Byte) หรือ อักขระ (Character) ได้แก่ ตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์พิเศษ 1 ตัว เช่น 1, 1, ... 9, A, B.....2 และเครื่องหมายต่างๆ ซึ่ง 1 ไบต์จะเท่ากับ 8 ปิต หรือ ตัว อักขระ 1 ตัว เป็นต้น - ฟิลด์ (Field) หรือเขตข้อมูล หมายถึง หัวรายการหรือหัวเรื่องข้อมูลที่เราตั้งขึ้นมาข้อมูล ตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์พิเศษ รูปภาพ โดยตั้งชื่อให้สื่อความหมายกับข้อมูลที่จะเก็บ ภายใต้ซื่อฟิลน์นั้น เช่น ฟิลด์ชื่อสินค้า ก็จะเก็บข้อมูลของชื่อสินค้านั้นๆ เป็นต้น - เรคคอร์ด (Record) ได้แก่ ฟิลด์ตั้งแต่ 1 ฟิลด์ขึ้นไปที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องรวมกัน เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัว ยอดขาย ข้อมูลของพนักงาน 1 คน เป็น 1 เรคคอร์ด - ไฟล์ (Files) หรือ แฟ้มข้อมูล ในฐานข้อมูลแอคเชสอาจประกอบด้วย Table, Form, Report, Query, Macro และ Module จำนวนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระบบฐานข้อมูลที่ผู้ใช้ เก็บมักจะเก็บฐานข้อมูลซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น ไฟล์ ข้อมูลพนักงาน ไฟล์ข้อมูลลูกค้า ไฟล์ข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า ส่วนประกอบของฐานข้อมูลแอคเซส ในฐานข้อมูลหนึ่งๆ จะประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่ใช้จัดการข้อมูล ซึ่งเรียกว่า วัตถุฐานข้อมูล (Database Object) ซึ่งมีดังต่อไปนี้ ตางราง (Table) ใช้เก็บตัวข้อมูลที่ต้องการซึ่งอยู่ในรูปของตาราง โดยมีแต่ละแถวเป็นเรคคอร์ด (Record) และแต่ละคอลัมน์เป็นฟิลด์ (Field) แบบสอบถาม (Query) ใช้ในการคัดกรองข้อมูลเพื่อเลือกเอาเฉพาะที่ต้องการ รายงาน (Report) ใช้ในการพิมพ์รายงานจากข้อมูลในแบบฟอร์มข้อมูลที่จัดไว้ แมโคร (Macro) เป็นกลุ่มของการกระทำที่เราเขียนขึ้นเพื่อให้ทำงานแบบอัตโนมัติ โมดูล (Module) เป็นส่วนของการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Visual Basic เพื่อสั่งงานแบบชับซ้อน
26 รูปที่ 2.6 Icon แสดงสัญลักษณ์ของโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 คุณสมบัติพื้นฐานของโปรแกรม โปรแกรม Photoshop เป็นโปรแกรมในตระกูล Adobe ที่ใช้สำหรับตกแต่งภาพถ่ายและ ภาพกราฟิก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นงานสิ่งพิมพ์ นิตยสาร และงานด้านมัลติมีเดีย อีกทั้ง ยังสามารถ retouching ตกแต่งภาพและการสร้างภาพ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมสูงมากในขณะนี้ สามารถ ใช้โปรแกรม Photoshop ในการตกแต่งภาพ การใส่ Effect ต่าง ๆให้กับภาพ และตัวหนังสือ การทำ ภาพขาวดำ การทำภาพถ่ายเป็นภาพเขียน การนำภาพมารวมกัน การ Retouch ตกแต่งภาพต่าง เราสามารถเรียนรู้วิธีการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop นี้ได้ด้วยตัวเอง คุณสามารถที่จะ ทำการแก้ไขภาพ ตกแต่งภาพ ช้อนภาพในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การ ใส่ข้อความประกอบลงในภาพด้วย และเนื่องด้วย Adobe Photoshop มีการพัฒนาโปรแกรมมา อย่างต่อเนื่อง ทำให้เราจำเป็นต้องศึกษาคำสั่งต่างๆ ให้เข้าใจ แต่ที่สำคัญ เมื่อคุณเรียนรู้การใช้คำสั่งใน เวอร์ชั่นเก่า คุณก็ยังคงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเวอร์ชั่นใหม่ๆ ได้ ความสามารถพื้นฐานของ Adobe Photoshop ที่ควรทราบ - ตกแต่งหรือแก้ไขรูปภาพ - ตัดต่อภาพบางส่วน หรือที่เรียกว่า crop ภาพ - เปลี่ยนแปลงสีของภาพ จากสีหนึ่งเป็นอีกสีหนึ่งได้ - สามารถลากเส้น แบบฟรีสไตล์ หรือใส่รูปภาพ สี่เหลี่ยม วงกลม หรือสร้างภาพได้อย่างอิสระ - มีการแบ่งชั้นของภาพเป็น Layer สามารถเคลื่อนย้ายภาพได้เป็นอิสระต่อกัน - การทำ cloning ภาพ หรือการทำภาพช้ำในรูปภาพเดียวกัน
27 โปรแกรม Adobe Photoshop CS6 เมื่อทำการเปิดโปรแกรมแล้ว จะพบหน้าตาของโปรแกรม ดังรูป รูปที่ 2.7 หน้าต่างโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 อะโดบี โฟโตชอป (Adobe Photoshop) มักเรียกสั้นๆ ว่า โฟโตชอป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มี ความสามารถในการจัดการแก้ไขและตกแต่งรูปภาพ (photo editing and retouching) แบบแร สเตอร์ ผลิตโดยบริษัทอะโดบีซิสเต็มส์ ซึ่งผลิตโปรแกรมด้านการพิมพ์อีกหลายตัวที่ได้รับความนิยม เช่น Illustrator และ InDesign ปัจจุบันโปรแกรมโฟโตชอปได้พัฒนามาถึงรุ่น CC (Creative Cloud) ความสามารถตกแต่งภาพ โปรแกรมโฟโตชอปเป็นโปรแกรมที่มีความสามารถใช้ได้หลายรอบในการจัดการไฟล์ข้อมูล รูปภาพที่มีประสิทธิภาพ การทำงานกับไฟล์ข้อมูลรูปภาพของโฟโตชอปนั้น ส่วนใหญ่จะทำงานกับ ไฟล์ข้อมูลรูปภาพที่จัดเก็บข้อมูลรูปภาพแบบ Raster โฟโตชอปสามารถใช้ในการตกแต่งภาพได้ หลากหลาย เช่น ลบตาแดง, ลบรอยแตกของภาพ, ปรับแก้สี, เพิ่มสีและแสง หรือการใส่เอฟเฟกต์ ให้กับรูป เช่น ทำภาพสีซีเปีย, การทำภาพโมเซค, การสร้างภาพพาโนรามาจากภาพหลายภาพต่อกัน นอกจากนี้ยังใช้ได้ในการตัดต่อภาพ และการซ้อนฉากหลังเข้ากับภาพ โฟโตชอปสามารถทำงานกับระบบสี RGB, CMYK, Lab และ Grayscale และสามารถจัดการ กับไฟล์รูปภาพที่สำคัญได้ เช่น ไฟล์นามสกุล JPG, GIF, PNG, TIF, TGA โดยไฟล์ที่โฟโตชอปจัดเก็บ ในรูปแบบเฉพาะของตัวโปรแกรมเอง จะใช้นามสกุลของไฟล์ว่า PSD จะสามารถจัดเก็บคุณลักษณะ พิเศษของไฟล์ที่เป็นของโฟโตชอป เช่น เลเยอร์, ชันแนล, โหมดสี รวมทั้งสไลส์ ได้ครบถ้วน
28 ส่วนประกอบต่าง ๆ ของโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 โปรแกรม Adobe Photoshop CS6 ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบ นอกจากจะมีสีสันสวยงามขึ้น แล้ว ยังจัดการกับพาเนลหรือเครื่องมือที่จัดวางไม่เนระเบียบ ออกไปจากหน้าต่างการทำงาน ค่อนข้างมาก เช่น เพิ่มปุ่มคำสั่งและจัดเรียงปุ่มคำสั่งบางปุ่มใหม่ จึงมีความจำเป็นต้องรู้จักกับวน ประกอบที่สำคัญเพื่อให้สามารถค้นหาและเรียกใช้เครื่องมือได้อย่างรวดเร็วสำหรับหน้าต่างโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 ประกอบไปด้วยพาเนลและกล่องเครื่องมือที่วางอยู่บนพื้นที่ว่างซึ่ง เปรียบเสมือนกับโต๊ะทำงาน ดังนั้นจึงสามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งพาเนลและเครื่องมือไปยังจุดที่ ต้องการได้ ส่วนประกอบสำคัญของหน้าต่างโปรแกรม มีรายละเอียดดังนี้ 1.แถบเมนูคำสั่ง (Menu Bar) เป็นจุดรวบรวมชุดคำสั่งที่ใช้สำหรับเรียกคำสั่งต่าง ๆ เพื่อใช้จัดการไฟล์ภาพหรือตกแต่งภาพ ดังแสดงในภาพที่ 1 รูปที่ 2.8 แถบเมนูคำสั่ง Adobe Photoshop CS6 2.แถบตัวเลือก (Options Bar) เป็นส่วนที่ใช้ในการปรับแต่งคำการทำงานของเครื่องมือ ต่าง ๆ การกำหนดค่าในแถบ ตัวเลือกจะเปลี่ยนไปตามเครื่องมือที่ใช้งานอยู่ ตังแสดงในภาพที่ 2 รูปที่ 2.9 แถบตัวเลือก Adobe Photoshop CS6
29 แถบเมนูคำสั่งประกอบไปด้วยทั้งหมด 10 เมนูคำสั่ง โดยแสดงชื่อเมนูคำสั่งและรูปแบบการทำงาน เมนูคำสั่ง รูปแบบการทำงาน File สำหรับจัดการกับไฟล์ในลักษณะต่าง ๆ เช่น สร้างไฟล์งานใหม่ เปิดไฟล์ภาพ บันทึกไฟล์งาน นำเข้าหรือส่งออกไฟล์เพื่อทำงานในลักษณะอื่น ๆ Edit สำหรับแก้ไขภาพ เช่น ตัด คัดลอก วาง รวมถึงปรับตั้งค่าเบื้องต้นของโปรแกรม Image สำหรับจัดการภาพ เช่น แก้ไขความสว่างหรือสีของภาพให้สมดุลยิ่งขึ้น รวมถึงใช้ สำหรับย่อขยายขนาดภาพและกำหนดขนาดพื้นที่การทำงานของภาพ Layer สำหรับจัดการเกี่ยวกับเลเยอร์ เช่น การสร้างเลเยอร์ใหม่การรวมเลเยอร์ การแปลงเลเยอร์ การจัดการกับเลเยอร์ของไฟล์ลักษณะต่าง ๆ รวมถึงการจัดการ รายละเอียดของภาพในเลเยอร์นั้น Type สำหรับจัดการและปรับแต่งเกี่ยวกับข้อความ เช่น ปรับแต่งสีข้อความ ปรับแต่งชอบ ข้อความ หรือการเปลี่ยนข้อความให้เป็นภาพ Select สำหรับปรับแต่งการเลือกพื้นที่ บันทึกและเรียกพื้นที่ที่เลือกมาใช้งาน รวมถึงคำสั่ง สำหรับการเลือกพื้นที่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น Filter สำหรับปรับแต่งภาพให้มีรูปแบบที่น่าสนใจยิ่งขึ้น บิด ตัดปรับรูปทรงรูปแบบต่าง ๆ ให้กับภาพ View สำหรับเลือกรูปแบบการแสดงผล เช่น ย่อขยายภาพ แสดงไม้บรรทัด เส้นกริด หรือ เส้นไกด์ Window สำหรับเลือกเปิดปิดพาเนล รวมถึงกำหนดรูปแบบการแสดงหน้าต่างในแบบต่าง ๆ Help ใช้สำหรับแสดงความช่วยเหลือเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือหรือคำสั่งในรูปแบบต่าง ๆ ตารางที่2.3 รูปแบบการทำงานของแถบเมนูคำสั่ง
30 กล่องเครื่องมือ (Toolbox) เป็นส่วนที่ใช้เก็บเครื่องมือพื้นฐานในการทำงาน ในโปรแกรม สามารถเรียกใช้ชุดเครื่องมือ ย่อยโดยการคลิกรูปสามเหลี่ยมที่มุมด้านล่างดังแสดงในภาพที่ 3 รูปที่ 2.10 กล่องเครื่องมือ Adobe Photoshop CS6
31 4.พื้นที่ออกแบบ (Windows Desing) เป็นพื้นที่ว่างสำหรับแสดงงานที่กำลังทำอยู่ดังแสดงในภาพที่ 4 รูปที่ 2.11 พื้นที่ออกแบบ Adobe Photoshop CS6 5.การเก็บการใช้งานโปรแกรม (Control Bar) ใช้ในการเก็บการใช้งานโปรแกรมการปิดโปรแกรมเมื่อไม่ต้องการใช้แล้วยังสามารถจะย่อ หน้าต่างโปรแกรมให้เล็กตามต้องการได้ไว้ใช้ในกรณีใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่น ๆ ดังแสดงในภาพที่ 5 รูปที่ 2.12 การเก็บการใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop CS6
32 มี 3 ปุ่มด้วยกัน ประกอบด้วย 1.Minimize คือ การพับโปรแกรมมาเก็บไว้ที่ ทาร์สบาร์ด้านล่าง 2.Restorn คือ การย่อหน้าต่างโปรแกรม ให้เล็กลง หรือให้เต็มหน้าจอ 3.Close คือ การใช้ปิดโปรแกรมเมื่อไม่ต้องการใช้งาน รูปที่ 2.13 ปุ่มเก็บการใช้งานโปรแกรม Adobe Photoshop CS6 6.เมนูของพื้นที่ทำงาน (Panel menu) เป็นวินโดว์ย่อย ๆ ที่ใช้เลือกรายละเอียด หรือคำสั่งควบคุมการทำงานต่าง ๆ ของโปรแกรม ใน Photoshop มีพาเนลอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น พาเนล Color ใช้สำหรับเลือกสี, พาเนล Layers ใช้ สำหรับจัดการกับเลเยอร์ และพาเนล Info ใช้แสดงค่าสีตรงตำแหน่งที่ชี้เมาส์ รวมถึงขนาด/ตำแหน่ง ของพื้นที่ที่เลือกไว้ดังแสดงในภาพที่ 6 รูปที่ 2.14 เมนูของพื้นที่ทำงาน Adobe Photoshop CS6
33 2.4 ระบบงานที่เกี่ยวข้อง นายกันต์กวิน คูณทวี และนายณัฐพล ศรีโพธิ์ช้าง(2563) โครงการระบบการขายสินค้า ออนไลน์ ประเภทสินค้า กระบองเพชร E- Commerce For cactus online,โครงการนี้มีการจัดทำ ระบบเป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ช่วยให้สามารถดูสินค้าได้ทุกอย่างภายในเว็บไซต์ โดยจะมีระบบ Login ซึ่งมีเพียง Admin ของเว็บไซต์เท่านั้นที่จะสามารถเข้าใช้งาน ปรับปรุง เพิ่ม-ลบ-แก้ไข ข้อมูล ของสินค้า นายปราการ ท่วมไธสง และนายสรศักดิ์ ธาระ(2563) โครงการการระบบการขายสินค้า ออนไลน์ ประเภทสินค้า ต้นไม้ไทย E- Commerce For Thai Trees,โครงการนี้ผู้จัดทำได้ออกแบบ ให้มีระบบสมัครสมาชิก ระบบเข้าสู่เว็บไซต์ ระบบแจ้งชำระเงินและออกใบเสร็จให้แก่ลูกค้าได้ โดย สามารถแก้ไขข้อมูลลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ ผลการดำเนินงานตัวโปรแกรมทั้งหมดเป็นไปตามที่ผู้จัดทำ วางแผนไว้ทุกอย่างตรงกับวัตถุประสงค์ของผู้จัดทำ นางสาวบุณฑริการ แช่มกัน และนางสาวพัณณิตา นัยพัฒน์ (2563) โครงการระบบขายสินค้า ออนไลน์ประเภท ต้นไม้สวยงาม E- Commerce For Beautiful Trees,โครงการเว็บไซต์ระบบขาย สินค้าออนไลน์ประเภทต้นไม้สวยงาม ได้รับการพัฒนามาจากเว็บต้นแบบหลาย ๆ เว็บ โดยการนำ ข้อมูลมาเสนอให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้นและอยากศึกษา
34 บทที่ 3 การออกแบบงานด้วยคอมพิวเตอร์ 3.1 การออกแบบภาพความสัมพันธ์ของข้อมูล (Entity Relationship Diagram) รูปที่ 3.1 Entity Relationship Diagram ระบบฐานข้อมูลบันทึกการโอนเงินบริจาค
35 3.2 การออกแบบพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary Design) ตารางข้อมูลผู้บริจาค Field Name ชื่อฟิลด์ Type ชนิดของข้อมูล Field Side ขนาดฟิลด์ Description ใช้เก็บข้อมูล หมายเหตุ ID_D Short Text 5 รหัสผู้บริจาค PK Name Short Text 50 ชื่อ Surname Short Text 50 นามสกุล Address Long Text - ที่อยู่ Phone_No Short Text 10 เบอร์โทรศัพท์ Name_O Short Text 10 ชื่อองค์กร Account_No Short Text 10 เลขที่บัญชี Price Currency - จำนวนเงิน Date Date/Time - วันที่ ตารางที่ 3.1 ตารางข้อมูลผู้บริจาค ตารางข้อมูลโอนเงิน Field Name ชื่อฟิลด์ Type ชนิดของข้อมูล Field Side ขนาดฟิลด์ Description ใช้เก็บข้อมูล หมายเหตุ ID_T Short Text 5 รหัสโอนเงิน PK ID_O Short Text 5 รหัสองค์กร Name_O Short Text 50 ชื่อองค์กร ID_D Short Text 5 รหัสผู้บริจาค Name_D Short Text 50 ชื่อผู้บริจาค Account_No Short Text 10 เลขที่บัญชี Price Currency 10 จำนวนเงิน ตารางที่ 3.2 ตารางข้อมูลโอนเงิน
36 ตารางข้อมูลองค์กร Field Name ชื่อฟิลด์ Type ชนิดของข้อมูล Field Side ขนาดฟิลด์ Description ใช้เก็บข้อมูล หมายเหตุ ID_O Short Text 5 รหัสองค์กร PK Name_O Short Text 10 ชื่อองค์กร Address Long Text - ที่อยู่ Phone_No Short Text 10 เบอร์โทรศัพท์ ตารางที่ 3.3 ตารางข้อมูลองค์กร ตารางข้อมูลใบเสร็จ Field Name ชื่อฟิลด์ Type ชนิดของข้อมูล Field Side ขนาดฟิลด์ Description ใช้เก็บข้อมูล หมายเหตุ ID_R Short Text 5 รหัสใบเสร็จ PK ID_D Short Text 5 รหัสผู้บริจาค Price Currency 10 จำนวนเงิน Total Short Text 10 ยอดรวม ตารางที่ 3.4 ตารางข้อมูลใบเสร็จ
37 3.3 การออกแบบแผนภาพแนวความคิด (Story Board Design) รูปที่ 3.2 หน้าล็อคอินเข้าสู่ระบบ รูปที่ 3.3 หน้าหลัก
38 รูปที่ 3.4 หน้าผู้บริจาค รูปที่ 3.5 หน้าโอนเงิน
39 รูปที่ 3.6 หน้าองค์กร รูปที่ 3.7 หน้าใบเสร็จ
40 3.4 การออกแบบสิ่งนำเข้า (Input Design) 1. ข้อมูลผู้บริจาค 2. ข้อมูลโอนเงิน 3. ข้อมูลองค์กร 4. ข้อมูลใบเสร็จ 3.5 การออกแบบสิ่งนำออก (Output Design) 1. ข้อมูลแสดงทางจอคอมพิวเตอร์ 2. ข้อมูลแสดงออกทางเครื่องพิมพ์