The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pornpipat Somju, 2024-06-23 09:32:32

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย เสนอ คุณครูพนา ครุฑบุตร จัดทำ โดย นายพรพิพัฒน์ สมจู ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6/3 หนังสือประวัติศาสตร์อารยธรรมโบราณ


อารยธรรมเมโสโปเตเมีย เป็นอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดของโลก มีอายุราว๓.๕๐๐-๒,๓๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ดินแดนที่เรียกว่า "พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์" ระหว่าง แม่น้ำ ไทกริสกับแม่น้ำ ยูเฟสทีส ซึ่งเป็นแม่น้ำ ที่ไหลผ่านประเทศอิรักในปัจจุบันไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซีย เนื่องจาก ดินแดนนี้ตั้งอยูบนที่ราบลุ่มแม่น้ำ ที่อุดมสมบูรณ์ และอยู่ท่ามกลางทะเลทรายปราศจากการป้องกันโดย ธรรมชาติ ทำ ให้มีหลายชนชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และแย่งชิงกันเป็นใหญ่ในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์นี้ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamian Civilization) อารยธรรมเมโสโปเตเมีย นับว่าเป็นอารยธรรมโบราณที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ซึ่งมีหลายชนชาติผลัดเปลี่ยนกัน ครอบครองดินแดนนี้ อารยธรรมเมโสโปเตเมียจึงเป็นอารยธรรมของผู้คนหลายเชื้อชาติที่สำ คัญ ได้แก่ ชาวซู- เมเรียน ชาวแอคคัด ชาวอะมอไรต์ ชาวอัสซีเรีย ชาวแคลเดียนชาวฮิตไทต์ ชาวเปอร์เซีย ชาวฮีบรูหรือยิว 1


ชาวซูเมเรียนเป็นชาติแรกที่ปกครองแบบเครัฐ ซึ่งเป็นพวกชนเผ่าอินโดยูโรเบียน ชนชาติหนึ่งที่อพยพจาก ทะเลดำ และทะเลแคสเปียนไปตั้งถิ่นฐานในดินแคนเมโสโปเตเมียและเป็นชนชาติแรกที่สร้างความเจริญในดิน แดนนี้ สร้างอาณาจักรซูเมอร์ ขึ้น ชาวชุมเรียนสามารถประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกที่เรียกว่า อักษรลิ่ม หรือคูนิฟอร์ม ได้เมื่อ ประมาณ 1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช จึงมีคำ กล่าวว่า "ประวัติศาสตร์เริ่มต้นที่อาณาจักรชู เมอร์ ต่อมาได้รวมกันตั้งเป็นรัฐขนาดเล็ก เรียกว่า นครรัฐ เเละนครรัฐที่สำ คัญ เช่น อีรีดู คิช บาบิโลน อูร์ เออรุด ในแต่ละรัฐมีอิสระต่อกันและมักแย่งชิงกันเป็นใหญ่อยู่เสมอ 2 ชาวซูเมเรียน ชาวซูเมเรียนสร้างระบบชลประทาน ทำ คันดินทดน้ำ เข้าไปในไร่นา สร้างบ้านด้วย ดินเหนียวตากแห้งที่มุงด้วย กก และรู้จักการทำ อิฐดินที่ผสมด้วยโคลนและฟ่าง ในงานหัตถกรรมมีการประดิษฐ์แป้นหมุนสำ หรับใช้ในการ ปั้นภาชนะดินเผาถือเป็นเครื่องกลชนิดแรกของโลก ต่อมาได้นำ เทคโนโลยีเดียวกันไปใช้ประดิษฐ์วงล้อเพื่อใช้ กับเกวียน และรถม้ามีการแกะสลักประติมากรรม หินเป็นรูปคนขนาดเล็ก ชาวซูเมเรียนสร้างสถาปัตยกรรม ขนาดใหญ่มีลักษณะคล้ายภูเขาซึ่งเป็นสิ่ง ที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุด เรียกว่า ชิกกูรัต เพื่อเป็นสถานที่ในการบูชา พระเจ้าหรือเทพประจำ เมือง


3 ชาวอัคคาเดียน ชาวอัคคาเดียน เป็นพวกเผ่าเซมิติกชนชาติหนึ่งจากคาบสมุทรอาหรับ โดยพระเจ้าซาร์กอนที่๑ ได้เข้ามา และยึดครองนครรัฐของชาวซูเมเรียนตั้งอาณาจักร อัคคาเดียนขึ้น แต่มีอำ นาจเพียงระยะเวลาสั้น ๆ พวกซูเมเรียนจากเมืองเออร์สามารถยึดคืนได้ ต่อมาชาวอีลาไมต์ ได้เข้ามารุกรานและได้ทำ ลายอาณาจักรของซูเมเรียน ผลงานที่สำ คัญของชาวอัคคาเดียน คือ การรักษาวัฒนธรรมของชาว สุเมเรียน และนำ อักษรคูนิฟอร์มทำ การดัดแปลงให้เป็นภาษาอัคคาเดียน และการแต่งวรรณกรรมต่างๆ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสุเมเรียน ได้แก่ ตำ นานเทพเจ้าต่างๆ


4 ชาวอะมอไรต์ เป็นชนเผ่าเซมิติคอีกพวกหนึ่งที่อพยพมาจากทะเลทรายอาราเบีย โดยได้ยกกำ ลังเข้ายึดครองนครรัฐของ ชาวสุเมเรียนและขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางเมื่อประมาณ 1750 ก่อนคริสตกาล โดยมีผู้นำ ที่เข้ม แข็งทรงพระนามว่า ฮัมมูราบี (Hammurabi) จักพรรดิฮัมมูราบีทรงเป็นนักปกครองและนักบริหารที่ยอดเยี่ยมได้ทรงคิดค้นเครื่องมือที่จะช่วยสร้างความ เป็นระเบียบและความยุติธรรมให้แก่ดินแดนทั่วทั้งจักวรรดิ เครื่องมือดังกล่าวนั้น คือกฏหมายที่เขียนเป็น ลายลักอักษร วึ่งประมวลขึ้นจากจารีตประเพณีของพวกสุเมเรียนเดิมตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติของชนเผ่า เซมิติค เรียกว่า ประมวลกฏหมายฮัมบูราบี (the Code of Hammurabi) มีข้อบัญญัติต่างๆ รวมทั้งสิ้นเกือบ 300 ข้อ จารึกอยู่บนแท่งหินสีดำ สูงประมาณ 8 ฟุต จารึกด้วยตัวอักษรคิวนิฟอร์ม ประมวลกฏหมายนี้ใช้ หลักความคิดแบบแก้แค้นและตอบโต้อย่างตรงไปตรงมาที่เรียกว่า “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” นอกจากนี้ยังว่า ด้วยเรื่องต่างๆ ในการปฏิบัติต่อกันของคนในสังคม เช่น เรื่องการค้าขายและประกอบอาชีพ เรื่องทรัพย์สิน ที่ดิน เรื่องการกินอยู่ระหว่างสามีภรรยาและการหย่าร้าง เป็นต้น ประมวลกฏหมายฉบับนี้นับว่าเป็นหลัก ฐานทางวัฒนธรรมของมนุษย์ในความพยายามที่จะจัดระเบียบภายในสังคมที่มีคนเข้ามาอยู่รวมกันแล้ว นำ ระเบียบดังกล่าวเขียนลงไว้อย่างชัดเจน ประมวลกฏหมายฮัมมูราบีจึงเป็นประมวลกฏหมายที่เก่าแก่ที่สุดซึ่ง เหลือตกค้างมาจนถึงสมัยปัจจุบัน


5 ชาวอัสซีเรีย อาณาจักรอัสซีเรียมีความเจริญมาช้านาน ตราบจนกระทั่งสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้าอัสสุรบานิปาล (Assurbanipal)กรุงนิเนเวห์ (Nineveh) ได้ถูกทำ ลายลงโดยกองทัพร่วมของพวกมีเดีย และพวกบาบิโลเนีย หลังจากนั้นอาณาจักรอัสซีเรีย ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน อารยธรรมซึ่งเคยเจริญมาช้านานได้ดับวูบลง ทำ ให้อาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ของแคลเดียน (Neo Babylonian) ภายใต้การนำ ของกษัตริย์Nebuchadnezza ขยายพระราชอาณาจักรและจุดแสงแห่งอารยธรรมขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง อาณาจักรอัสซีเรียได้รับอารยธรรมจากสุเมเรีย เช่นเดียวกับบาบิโลเนีย เพราะฉะนั้น ศิลปกรรมของ อาณาจักรเหล่านี้มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ชนเผ่าอัสซีเรียมีนิสัยที่โหดร้ายทารุณ ตรงข้ามกับชาวบาบิโลเนียมี นิสัยที่อ่อนโยนและสุภาพ แต่เป็นสิ่งน่าแปลกมากที่ชาวอัสซีเรียกลับเป็นพวกที่มีอารยธรรมสูงไม่แพ้ชาวเมโส โปเตเมียกลุ่มอื่น ๆ


6 ชาวเเคลเดียน ระมาณปี 612 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวแคลเดียน เดิมมีถิ่นฐานอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของลุ่มแม่น้ำ ไทกรีส-ยู เฟรติส ต่อมามีผู้นำ ที่สำ คัญ คือ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งเคยเป็นข้าราชการรับใช้จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ อัสซีเรียในตำ แหน่งผู้ว่าการมณฑล พวกคาลเดียนสามารถยกกองทัพไปพิชิตเมืองเยรูซาเลม และกวาดต้อน เชลยชาวยิวมายังกรุงบาบิโลน เป็นจำ นวนมาก ต่อมาได้ทำ การกบฏล้มอำ นาจและสถาปนาจักรวรรดิแคลเดีย ชนชาติแคลเดียเป็นเผ่าเซไมท์พวกสุดท้ายที่มีอำ นาจครอบครองดินแดนบาบิโลเนีย ชาวแคลเดียนได้ปรับปรุง นครบาบิโลนให้รุ่งเรืองอีกครั้ง จนกลายเป็นนครที่งดงามอย่างยิ่ง หรือเรียกอีกอย่างว่า New Babylonia กษัตริย์ที่สำ คัญของบาบิโลเนีย คือ เนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งเป็นผู้ฟื้นฟูนครบาบิโลนขึ้นใหม่ รวมถึงพยายามรื้อฟื้น วัฒนธรรมของกษัตริย์ฮัมมูราบีขึ้นอีกครั้ง พระองค์ทรงโปรดให้สร้างนครบาบิโลนเป็นเมืองหลวง และตกแต่ง ระเบียงราชวังด้วยการปลูกต้นไม้ขึ้นเพื่อให้คลุมหลังคาพระราชวังอย่างแน่นหนา หลังคาที่ปลูกต้นไม้นี้เรียกว่า “สวนลอยแห่งนครบาบิโลเนีย (Hanging Gardens of Babylon)” ซึ่งชาวกรีกนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของ โลกในยุคโบราณที่ใช้การชลประทานทำ ให้สวนเขียวขจีตลอด


ชาวฮิตไทต์ (Hitites) เป็นพวกชนเผ่าอินโดยูโรเปียนที่มีความสามารถทางการรบใช้อาวุธที่ทำ ด้วยเหล็กและ รถม้าศึก มีชัยชนะและทำ ลายอาณาจักรบาบิโลเนียลง ต่อมาพวกคัสไซต์ จากเอเชียกลางเข้ามาครอบครองดินแดนเมโสโปเตเมียราว 1200 ปีก่อนคริสต์ศักราชหลังจากนั้น พวกอัสซีเรีย ได้มีชัยชนะเหนือดินแดนเมโสโปเตเมีย และปกครองดินแดนแห่งนี้เป็นเวลานานถึง 600 ปี สามารถ ขยายอิทธิพลจากอ่าวเปอร์เซียไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในบางครั้งยังได้ปกครองอียิปต์ด้วย จักรวรรดิ อัสซีเรียได้รับสมญาว่าเป็น เจ้าแห่งดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์มีศูนย์กลางการปกครอง ณ กรุง นิเนเวท์ ชาวอัสซีเรียเป็นชนชาตินักรบ นักก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างหลายแห่งในสมัยนี้จัดว่าเป็นสถาปัตยกรรม ที่สวยงาม มีการสร้างถนนหนทางอย่างทั่วถึง กษัตริย์อัสซีเรียที่มีชื่อเสียง คือ พระเจ้าอัสซูร์บานิปาล ซึ่งได้ รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ผู้รักความสันติ ในสมัยของพระองค์โปรดให้จัดสร้างห้องสมุดและรวบรวม หนังสือเป็นจำ นวนมากไว้ที่พระราชวังที่กรุงนิเนเวห์ 7 ชาวฮิตไทต์ ในราว 612 ปีก่อนคริสต์ศักราช จักรวรรดิอัสซีเรียสิ้นสุดลง เพราะชาวแคลเดียน ชนเผ่าเซมิติกที่อยู่ทางใต้ของ เมโสโปเตเมียได้เข้ามารุกรานและยึดครองดินแดนแถบนี้ได้สำ เร็จพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ ของชาวแคลเดียน ได้บูรณะกรุงบาบิโลนขึ้นมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งเรียกว่า อาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ และขยายอาณาเขตไป ทางตะวันตกจนถึงซีเรีย มีการสร้างพระราชวังและวิหารขนาดใหญ่บนฝั่งแม่น้ำ ยูเฟรทีส บนระเบียงพระราชวัง ได้สร้างสวนขนาดใหญ่ เรียกว่า สวนลอยแห่งบาบิโลน ที่ชั้นบนสุดของพระราชวังให้แก่มเหสีชาวเปอร์เซีย สวนลอยแห่งบาบิโลนนี้นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งหนึ่งของโลกที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยโบราณ


จักรวรรดิเปอร์เชีย (Persian Empire) คือจักรวรรดิและอาณาจักรต่างในประวัติศาสตร์ของเปอร์เชียที่ ปกครองต่อเนื่องกันมาในบริเวณที่ราบสูงอิหร่าน, ถิ่นกำ เนิดของเปอร์เชีย และไกลไปทางเอเชียตะวันตก, เอเชียใต้, เอเชียกลาง และ บริเวณคอเคซัสจักรวรรดิเปอร์เชียจักรวรรดิแรกก่อตั้งภายใต้จักรวรรดิมีเดีย (728–559 ปีก่อนคริสต์ศักราช) หลังจากการโค่นจักรวรรดิอัสซีเรียด้วยความช่วยเหลือของบาบิโลเนีย จักรวรรดิเปอร์เชียอคีเมนียะห์ (550–330 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในยุคโบราณ และ มารุ่งเรืองที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าดาไรอัสมหาราช และ พระเจ้าเซอร์ซีสมหาราช ผู้มีชื่อเสียงว่าเป็น ศัตรูคนสำ คัญองรัฐกรีกโบราณ บริเวณที่ตั้งเดิมอยู่ในบริเวณที่ในปัจจุบันรู้จักกันว่าจังหวัดพาร์ส (จังหวัดฟาร์ส) ในประเทศอิหร่านปัจจุบัน 8 ชาวเปอร์เซีย


อารยธรรมเมโสโปเตเมีมีย มีมี ที่ที่ ที่ที่ มีมีอิอิ มีมี อิอิทธิธิพธิธิลต่ต่ ต่ต่ อมนุนุษ นุนุ ยชาติติติติ


10 ชาวซูเมเรียนคิดค้นการก่อสร้างสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่เป็นพระราชวังและวิหารของเทพเจ้า ที่นครอูร์ พบพระราชวังและป้อมปราการ เรียกว่า ชิกกูรัต ซึ่งคล้ายพีระมิดขั้นบันไดเป็นศาสนสถานสำ หรับบูชาเทพเจ้า ก่อสร้างด้วยอิฐ ๒ ประเภท คือ อิฐทำ จากดินเหนียวที่ตากแห้ง เรียกว่า อิฐตากแห้ง และอิฐเผาหรืออบจนแห้ง ที่ป้องกันความชื้นได้ดีกว่า ใช้ในส่วนก่อสร้างที่ต้องการความมั่นคงแข็งแรงสถาปัตยกรรมที่สำ คัญ คือ พระราชวังซาร์กอนที่คอร์ซาแบด สร้างขึ้นเมื่อประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์ศักราช มีกำ แพง เมืองชั้นเดียวตั้งอยู่บนฐานสูง ลักษณะที่โดดเด่นคือ การทำ ประตูโค้งและการประดับด้วยประติมากรรมทั้งแบบ นูนและแบบลอยตัว ประติมากรรมที่สำ คัญคือประติมากรรมรูปสัตว์ที่รักษาประตูวังโดยเฉพาะประติมากรรม รูปสิงโต มีปีกเหมือนนก และมีหัวเป็นมนุษย์ ประติมากรรมที่มีชื่อว่า สิงโตตัวเมียใกล้ตาย เป็นภาพสิงโตตัวเมีย ที่ถูกล่าประติมากรรมนูนต่ำ สิงโตตัวเมียไกล้ตายกำ ลังร้องครวญ สถาปัตยกรรมและประติมากรรม


11 การประดิษฐ์ตัวหนังสือ ชาวซูเมเรียนเป็นชนชาติแรกในดินแดนเมโสโปเตเมีย ที่ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ ตั้งแต่๓,๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช เริ่มต้นเป็นตัวอักษรภาพต่อมาจึงได้ดัดแปลงเป็นเครื่องหมายต่าง ๆ โดย ใช้ "ก้านอ้อ" เขียนลงบนแผ่นดินเหนียวขณะที่ยังอ่อนตัวแล้วนำ ไปตากแดดหรือเผาให้แห้ง ตัวอักษรคล้าย ลิ่ม จึงเรียกว่า อักษรลิ่มหรือคูนิฟอร์ม ผู้ที่สามารถอ่านอักษรลิ่มได้คนแรก คือ เซอร์เฮนรี รอว์ลินสัน ชาว อังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญภาษาเปอร์เซียและชนชาติต่าง ๆ ในเมโสโปเตเมียสามารถอ่านจารึกของพระเจ้าดาไร อัสมหาราชของจักรวรรดิเปอร์เซียได้ ต่อมาชาวฟินิเชียน อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่ง เป็น นักเดินเรือค้าขายที่เก่าแก่ในโลกยุคโบราณได้ดัดแปลงแก้ไขตัวอักษรของชาวซูเมเรียนกับตัวอักษร ของอียิปต์มาประดิษฐ์เป็นตัวพยัญชนะ ซึ่งชาวกรีกและชาวยุโรปส่วนใหญ่รับอารยธรรมนี้มาเป็น รูปแบบ ตัวอักษรของตน ตัวพยัญชนะของชาวฟินิเชียน ๒ ตัวแรก คือ แอลฟา และบีตาหรือเบตา ทำ ให้เรียกตัว อักษรนี้ว่า แอลฟาเบท หมายถึง พยัญชนะ ตัวอักษรของฟินิเชียนใช้พยัญชนะแทนเสียง เป็นการนำ ตัว อักษรมาผสมกันจนออกเสียงเป็นคำ ที่มีความหมายแตกต่างกัน ชาวอาร์เมเนีย ซึ่งเป็นพ่อค้ากองคาราวานในสมัยโบราณก็ได้นำ ตัวอักษรของชาวฟินิเชียนมาดัดแปลงเป็น ภาษาเขียนของตนใช้อย่างแพร่หลาย เรียกว่า อักษรอารบิก การประดิษฐ์ตัวหนังสือ


12 วรรณกรรม ชาวซูเมเรียนมีวรรณกรรมที่ท่องจำ สืบต่อกันมาเป็นกาพย์ กลอน ส่วนเรื่องสั้นมีบันทึก ไว้ในแผ่นดินเผางานเขียนส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงและถือว่าเป็น วรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือ มหากาพย์กิลกาเมช ซึ่งเล่าเรื่องการผจญภัยของวีรบุรุษของนคร เออรุค ซึ่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าในสมัยนั้น สันนิษฐานว่ามีอิทธิพลต่อพระคัมภีร์ของพวกฮิบรูด้วย วรรณกรรม ประมวลกฎหมาย ประมวลกฎหมาย ประมวลกฎหมายของชาวซูเมเรียน นับว่าเก่าแก่ เรียกว่า ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี จารึกอยู่บนแผ่นหิน ไดโอไรต์สีดำ มีขนาดสูงประมาณ 8 ฟุต จารึกเป็นตัวอักษรลิ่ม ตอนบน สลักรูปเทพเจ้ากำ ลังประทานประมวลกฎหมายให้แก่พระเจ้าฮัมมูราบี ข้อความในแผ่นหิน ต่าง ๆ สะท้อนสภาพสังคมของชาวซูเมเรียน กฎหมายฉบับนี้มีบทลงโทษที่รุนแรงมากเป็นการลงโทษแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งหมายถึงการชดใช้ความผิดด้วยการกระทำ อย่างเดียวกัน ประมวลกฎหมายฉบับนี้เป็นการรวบรวมกฎหมายต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระเบียบวินัย ขึ้นในสังคม ถือเป็นประมวลกฎหมาย ลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโลก


13 ปฏิทินและระบบการคำ นวณ ปฏิทินและระบบการคำ นวณ ชาวซูเมเรียนศึกษา การโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว ต่าง ๆ ปฏิทินของชาวซูเมเรียนเป็นแบบจันทรคติ คือ ใน 1 เดือนมี 29 วัน 1 ปี มี 12 เดือน ปีของชาว ซูเมเรียนจึงมี 354 วัน แต่ละเดือนแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 7-8 วัน วันหนึ่งแบ่งออกเป็นก ลางวัน 3 ชั่วโมง กลางคืน ชั่วโมง 1 วันมี 12 ชั่วโมง (แต่ละชั่วโมงเทียบเท่า 2 ชั่วโมงใน ปัจจุบัน) การคำ นวณพื้นที่ของวงกลม พื้นที่ สามเหลี่ยม และมาตราชั่งตวงวัด เทคโนโลยีการผลิตโลหะ เทคโนโลยีการผลิตโลหะ ชาวซูเมเรียนเป็นชาติแรก ๆ ที่รู้จักทำ สำ ริดเป็นเครื่องมือเครื่องใช้โดยนำ ทองแดง หลอมรวม กับดีบุก ประดิษฐ์เป็นคันไถสำ ริดใช้ในการทำ ไร่ไถนาทำ ให้สามารถผลิตอาหารได้เพิ่มขึ้น ส่วน ชาวฮิตไทต์สามารถประดิษฐ์อาวุธทำ ด้วยเหล็กที่แข็งแกร่งกว่าสำ ริดทำ ให้มีชัยชนะครอบครองอาณาจักร บาบิโลเนียนอกจากนี้ยังมีการประดิษฐ์วงล้อเพื่อใช้กับเกวียนและรถม้าศึกส่วนชาวอัสซีเรียมีความสามารถ ด้านการก่อสร้างและ ศิลปกรรมที่ยังปรากฏจนถึงปัจจุบัน


Click to View FlipBook Version