รายงาน เรื่องสมุนไพรพื้นบ้านใกล้ตัว จัดท าโดย นางสาวธัญพร อวนอ่อน รหัสนักศึกษา 6506110021 สาชาการศึกษาปฐมวัย เสนอ ดร.กัลยารัตน์ หัสโรค์ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการค้นคว้า วิทยาลัยพิชญบัณฑิต ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา2565
ก ค าน า รายงานเล่มนี้จัดท าขึ้นเพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง สมุนไพรพื้นบ้านใกล้ตัว และได้ศึกษาอย่าง เข้าใจเกี่ยวกับลักษณะ สพรรคุณ วิธีการปลูก พืชสมุนไพร เพื่อน ามาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจ าวันและเป็นภูมิ ปัญญาไทยที่มีความส าคัญ ผู้จัดท าหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่ก าลังหาข้อมูล เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะน าหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดท าขอน้อมรับไว้ และขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วย. ธัญพร อวนอ่อน ผู้จัดท า
ข สารบัญ เรื่อง หน้า ค าน า..................................................................................................................................ก สารบัญ...............................................................................................................................ข ความหมายของสมุนไพร....................................................................................................1 ลักษณะของสมุนไพร.........................................................................................................1 ประเภทของยาเภสัชวัตถุ..................................................................................................1 การเก็บรักษาสมุนไพร......................................................................................................2 สมุนไพรพื้นบ้านใกล้ตัว....................................................................................................3 กระเจี๊ยบแดง......................................................................................................3 กระเจี๊ยบเขียว....................................................................................................4 กระชาย..............................................................................................................5 กระถิน................................................................................................................6 กล้วยน้ าหว้า.......................................................................................................7 กระเพา...............................................................................................................8 ขมิ้นชัน...............................................................................................................9 ข่า......................................................................................................................10 ขิง......................................................................................................................11 แคบ้าน...............................................................................................................12 ชุมเห็ดเทศ..........................................................................................................13 ตะไคร้.................................................................................................................14 ต าลึง...................................................................................................................15 ทับทิม..................................................................................................................16 สาระแหน่............................................................................................................17 บัวบก..................................................................................................................18 ภาคผนวก บรรณานุกรม.......................................................................................................20
1 สมุนไพร ความหมายของสมุนไพร ค าว่า สมุนไพร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง พืชที่ใช้ ท าเป็นเครื่อง ยา สมุนไพรก าเนิดมาจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะ ในทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้ง การส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค ความหมายของยาสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ได้ระบุว่า ยาสมุนไพร หมายความว่า ยาที่ได้จากพฤกษาชาติสัตว์หรือแร่ธาตุ ซึ่งมิได้ผสม ปรุงหรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ล าต้น ใบ ดอก ผลฯลฯ ซึ่งมิได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใดๆ แต่ในทางการค้า สมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่างๆ เช่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง บด เป็นผงละเอียด หรืออัดเป็นแท่งแต่ในความรู้สึกของคนทั่วไป เมื่อกล่าวถึงสมุนไพร มักนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่น ามาใช้เป็นยา เท่านั้น ลักษณะของสมุนไพร พืชสมุนไพร นั้นตั้งแต่โบราณก็ทราบกันดีว่ามีคุณค่าทางยามากมายซึ่ง เชื่อกันอีกด้วยว่า ต้นพืชต่าง ๆ ก็เป็นพืชที่มีสารที่เป็นตัวยาด้วยกันทั้งสิ้นเพียงแต่ว่าพืชชนิดไหนจะมีคุณค่าทางยามากน้อยกว่ากันเท่านั้น พืชสมุนไพร หรือวัตถุธาตุนี้ หรือตัวยาสมุนไพรนี้ แบ่งออกเป็น 5 ประการ ดังนี้ 1. รูป ได้แก่ ใบไม้ ดอกไม้ เปลือกไม้ แก่นไม้ กระพี้ไม้ รากไม้ เมล็ด 2. สี มองแล้วเห็นว่าเป็นสีเขียวใบไม้ สีเหลือง สีแดง สีส้ม สีม่วง สีน้ าตาล สีด า 3. กลิ่น ให้รู้ว่ามีกลิ่น หอม เหม็น หรือกลิ่นอย่างไร 4. รส ให้รู้ว่ามีรสอย่างไร รสจืด รสฝาด รสขม รสเค็ม รสหวาน รสเปรี้ยว รสเย็น 5. ชื่อ ต้องรู้ว่ามีชื่ออะไรในพืชสมุนไพรนั้น ๆ ให้รู้ว่า ขิงเป็นอย่างไร ข่า เป็นอย่างไร ใบขี้เหล็กเป็นอย่างไร ประเภทของยาเภสัชวัตถุ ในพระราชบัญญัติยาฉบับที่ 3 ปีพุทธศักราช 2522 ได้แบ่งยาที่ได้จากเภสัชวัตถุนี้ไว้เป็น 2 ประเภทคือ 1. ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่ใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณหรือในการบ าบัดโรคของสัตว์ ซึ่ง มีปรากฏอยู่ในต ารายาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศให้เป็นยาแผนโบราณ หรือได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนต ารับยาเป็นยาแผนโบราณ 2. ยาสมุนไพร หมายถึงยาที่ได้จากพืชสัตว์แร่ธาตุที่ยังมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพสมุนไพรนอกจากจะใช้ เป็นยาแล้ว ยังใช้ประโยชน์เป็นอาหาร ใช้เตรียมเป็นเครื่องดื่ม 3. ใช้เป็นอาหารเสริม เป็นส่วนประกอบในเครื่องส าอาง ใช้แต่งกลิ่น แต่งสีอาหารและยา ตลอดจนใช้เป็น ยาฆ่าแมลง
2 อีกด้วย ในทางตรงกันข้าม มีสมุนไพรจ านวนไม่น้อยที่มีพิษ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้เกินขนาดจะมีพิษถึง ตายได้ ดังนั้นการใช้สมุนไพรจึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังและใช้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันมีการตื่นตัวในการ น าสมุนไพรมาใช้พัฒนาประเทศมากขึ้น การเก็บรักษาสมุนไพร 1. ควรเก็บยาสมุนไพรไว้ในที่แห้งและเย็น สถานที่เก็บสมุนไพรนั้นต้องมีอากาศถ่ายเทสะดวกเพื่อขับไล่ ความอับชื้นที่อาจจะก่อให้เกิดเชื้อราในสมุนไพรได้ 2. สมุนไพรที่จะเก็บรักษานั้นต้องแห้งไม่เปียกชื้น หากเสี่ยงต่อการขึ้นราได้ ควรน าสมุนไพรนั้นออกมาตาก แดดอย่างสม่ าเสมอ 3. ในการเก็บสมุนไพรนั้นควรแยกประเภทของสมุนไพรในการรักษาโรค เพื่อป้องกันการหยิบยาผิดซึ่ง อาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ 4. ควรตรวจดูความเรียบร้อยในการเก็บสมุนไพรบ่อย ๆ ว่ามีสัตว์หรือแมลงต่าง ๆ เข้าไปท าลายหรือก่อ ความเสียหายกับสมุนไพรที่เก็บรักษาหรือไม่ ถ้ามีควรหาทางป้องกันเพื่อรักษาคุณภาพของสมุนไพร พืชสมุนไพรเป็นพืชที่คนไทยรู้จักกันมานาน และมีการน ามาใช้เป็นเครื่องยา อาหาร เครื่องส าอาง และอื่น ๆ การประกอบอาหารมีการใช้พืชสมุนไพร เครื่องเทศ และผักสวนครัว มาใช้ในชีวิตประจ าวันจ านวน หลายชนิด เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กะเพรา โหระพา ใบแมงลัก การปลูกพืชสมุนไพรที่เป็นไม้ล้มลุกหรือผักสวนครัว ท าได้เช่นเดียวกับการปลูกพืชทั่วๆ ไป แต่สิ่ง ส าคัญคือ สรรพคุณที่จะน ามาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจ าวันและเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีความส าคัญ และมี เทคนิคการใช้ ผู้เขียนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์พอสมควรต่อผู้อ่านซึ่งเป็นผู้บริโภคที่ได้ใกล้ชิดกับต้นไม้ใบหญ้า พืชสมุนไพรใกล้ตัวที่จะน าเสนอมีดังนี้
3 สมุนไพรพื้นบ้านใกล้ตัว 1.กระเจี๊ยบแดง เป็นพืชวันสั้น คือจะออกดอกเมื่อช่วงกลางวันสั้นลง (เข้าฤดูหนาว) จึงควรปลูกในช่วงกลางหรือปลาย ฤดูฝน เพื่อให้เจริญเติบโตได้เต็มที่ก่อนที่จะออกดอก กระเจี๊ยบแดง มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กระเจี๊ยบเปรี้ยว (ภาคกลาง) ส้มพอเหมาะ ผักเก็งเค็ง (ภาคเหนือ) ส้มพอดี (ภาคอีสาน) ส้มตะเลงเครง (ตาก) ใบส้มม่า (ระนอง) ส้มปู (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : เมล็ด เป็นยาแก้อ่อนเพลีย บ ารุงก าลัง บ ารุงธาตุ แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ทั้งต้น เป็นยาฆ่าตัวจี๊ด เตรียมโดยน ามาใส่หม้อต้ม น้ า 3 ส่วน เคี่ยวไฟให้งวดเหลือ 1 ส่วน ผสมกับ น้ าผึ้งครึ่งหนึ่ง รับประทานวันละ 3 เวลา หรือรับประทานน้ ายาเปล่าๆ จนหมด กลีบเลี้ยง ชงกับน้ ารับประทานเพื่อลดความดัน ลดไขมันในเส้นเลือด ท าแยม ค าแนะน าในการปลูก ใช้เมล็ดหว่านห่างๆ บนแปลงที่ไถแล้ว หรือปลูกเป็นแถวยาวให้หยอดเมล็ด 3-4 เมล็ดต่อหลุม จากนั้น เมื่อต้นกล้ามีใบจริงสองใบค่อยถอนแยกให้เหลือหลุมละ 2 ต้น
4 2.กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชผักยืนต้น อายุประมาณ 1 ปี มีความสูง 40 เซนติเมตร ถึง 2 เมตร ล าต้น มีขนสั้น ๆ มีหลายสี แตกต่างตามพันธุ์ใบกระเจี๊ยบเขียว มีลักษณะกว้างเป็นแฉกคล้ายใบละหุ่ง แต่ก้านใบจะสั้นกว่า ดอกมีสีเหลือง โคนดอกด้านในสีม่วง เมื่อบานคล้ายดอกผ้าย มีเกสรตัวผู้ตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ฝักกระเจี๊ยบเขียว มีรูป เรียวยาว ปลายฝักแหลม มีทั้งชนิด ฝักกลมและฝักเหลี่ยม ซึ่งมีเหลี่ยม 5-10 เหลี่ยม ขึ้นกับพันธุ์ในแต่ละฝักมี เมล็ด 80-200 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลมรี ขนาดเดียว กับถั่วเขียว เมล็ดอ่อนมีสีขาว เมื่อแก่มีสีเทา ฝักแก่สีฝัก จะเปลี่ยนเป็นสีน้ าตาล และจะแตกออกตามแนวรอยสัน เหลี่ยมท าให้เห็น เมล็ดที่อยู่ข้างใน กระเจี๊ยบเขียว มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น มะเขือทวาย มะเขือมอญ สรรพคุณ : ผลแห้ง ป่นน ามาชงกับน้ า กินบ าบัดโรคกระเพาะอาหาร มีเพคตินและสารเมือกช่วยเคลือบกระเพาะ อาหาร แก้ไอ บ ารุงก าลัง ผลอ่อน เป็นยาหล่อลื่น ใช้ในโรคหนองใน ดอกลดไขมันในเลือด ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้กระหายน้ า ค าแนะน าในการปลูก การปลูกอาจท าได้ทั้งแบบร่องสวนและแบบไร่ โดยทั่วไปใช้ระยะระหว่างต้นและแถว 50 x 50 เซนติเมตร ปลูกจ านวน 1-2 ต้นต่อหลุม เมล็ดกระเจี๊ยบเขียว 100 เมล็ดหนัก 6-7 กรัม เมล็ดหนัก 1 กิโลกรัม = 16,666-14,285 เมล็ด อัตราการใช้ เมล็ดพันธุ์ต่อไร่ = 1 กิโลกรัม
5 3.กระชาย เป็นพืชล้มลุก มีล าต้นใต้ดินเป็นเหง้าสั้น ๆ ค่อนข้างกลมเรียงต่อกัน เหง้าตรงกลางจะมีขนาดใหญ่กว่า แง่งด้านข้าง เมื่อแก่จะมีสีน้ าตาล เนื้อด้านในสีเหลือง รากอวบยาว ปลายแหลมออกเป็นกระจุก ผิวสีน้ าตาล อ่อน เหนือดินเป็นกาบใบสีแดงเรื่อย ๆ 3-6 กาบ หุ้มซ้อนกันเป็นชั้น ความสูงต้นประมาณ 80 เซนติเมตร มีใบ เดี่ยวเรียงสลับ โคนสอบปลายเรียวแหลม ออกดอกเป็นช่อ มีทั้งดอกสีขาวและสีขาวอมชมพูบริเวณยอด มีผล แห้ง แต่เมื่อแก่จะไม่แตก กระชาย มีชื่ออื่นๆ เช่น ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ) ละแอน (ภาคเหนือ) กะแอน ขิงทราย (แม่ฮ่องสอน) จี๊ปูชีพู (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) เป๊าะสี่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : เหง้า เป็นยาแก้โรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล ปากแห้ง ขับระดูขาว ขับปัสสาวะ รักษาโรคบิด แก้ปวด มวนท้อง ราก (นมกระชาย) มีรสเผ็ดร้อน ขม มีสรรพคุณคล้ายโสม แก้กามตายด้าน บ ารุงความรู้สึกทางเพศ ท า ให้กระชุ่มกระชวย โดยใช้นมกระชายต าและหัวดองสุรา จากการทดลอง พบว่าใช้สารสกัดแอลกอฮอล์และคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ท าให้เกิดโรคผิวหนัง และแผลในปากได้ดีพอสมควร ค าแนะน าในการปลูก กระชายสามารถขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี คือ ปลูกด้วยต้นและเหง้า หัวพันธุ์ที่ดีควรมีอายุประมาณ 7-9 เดือน ลักษณะสมบูรณ์ ไม่มีโรคหรือแมลงรบกวน ก่อนปลูกควรแช่ในน้ ายาป้องกันเชื้อราและสารป้องกันแมลง ในดินก่อน 30 นาที เหมาะส าหรับปลูกในดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ พื้นที่แดดร าไร มีความชื้นสูง ควรเริ่มปลูก ช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงธันวาคม เพราะกระชายจะเจริญเติบโตได้ดีในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว
6 3.กระถิน เป็นพืชตระกูลเดียวกับถั่ว แตกกิ่งก้านสาขาเป็นทรงพุ่มสูงปานกลางไปจนสูง สามารถเจริญเติบโตได้ดี ในทุกสภาวะอากาศ ลักษณะต้นกระถินประกอบไปด้วยรากแขนงฝอยแผ่ขยาย ล าต้นสีน้ าตาลเทา ดอกพุ่ม กลมสีขาว-เหลือง ใบเรียงสลับซับซ้อนกันรูปเรียวเล็กและใบยอดอ่อนนิยมน าไปรับประทาน กระถิน มีชื่ออื่นๆ เช่น กระถิ่น (ภาคกลาง) บุหงาอินโดนีเซีย (กรุงเทพฯ) กระถินหอม ดอกค าใต้ ค าใต้มอนค า (ภาคเหนือ) มอนค า (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ถิน (ภาคใต้) บุหงาเซียม (มลายู-ภาคใต้) บุหงาละสะมะ นา (มลายู-ปัตตานี) เกากรึนอง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) สรรพคุณ : ราก มีรสเฝื่อนฝาด กินเป็นยาอายุวัฒนะ ทาแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ต้มน้ าอมแก้ปวดฟัน แก้อักเสบ ยาง เข้ายาแก้ไอ บรรเทาอาการระคายคอ ใบอ่อน ต าพอกแก้แผลเรื้อรัง ดอก ชงดื่ม แก้อาหารไม่ย่อย ดองเหล้าดื่ม แก้ปวดท้อง ค าแนะน าในการปลูก การปลูกกระถินเริ่มจากหาฝักของกระถินที่แห้งแล้วน าไปคัดเลือกเมล็ดที่อยู่ในฝัก หลังจากนั้นน า เมล็ดกระถินไปผึ่งแดดประมาณ 2-3 วัน จากนั้นน าเมล็ดที่ตากแดดแล้วไปแช่น้ าอุ่นภูมิห้องประมาณ 15-20 นาที ก่อนน าไปเพาะในกระถางหรือถุงเพาะช ากลบหน้าดินด้วยปุ๋ยและใบไม้แห้งและรดน้ าเช้า-เย็นในขั้นตอนนี้ เมล็ดจะงอกใน 7-12 วันเมื่อต้นกล้าโตได้ขนาดก็ย้ายจากถุงเพาะกล้าลงสถานที่ปลูกจริง
7 4.กล้วยน้ าว้า กล้วยน้ าว้าเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าสีน้ าตาลแข็ง ล าต้นสูง ล าต้นที่อยู่เหนือดิน รูปร่างกลม เป็นส่วนของ กาบใบหุ้มกันแน่น ใบสีเขียวใหญ่ ก้านใบยาวและเห็นชัดเจน ดอกออกที่ปลาย ล าต้นเป็นช่อใหญ่ ลักษณะห้อย ลง ช่อดอกยาวประมาณ 1/2 -3/4 ศอก เรียกว่า ปลี มีดอกย่อย ออกเป็นแผง ผลจะติดกันเป็นแผง เรียกว่า หวี ซ้อนกัน หลายหวี เรียกว่า เครือ ใช้หน่อปลูก ปลูกได้ทั่วไป กล้วยเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์ประจ าวันมาก กล้วยน้ าว้า มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กล้วยมะลิอ่อง (จันทบุรี) กล้วยใต้ (เชียงใหม่,เชียงราย) กล้วยอ่อง (ชัยภูมิ) กล้วยตานีอ่อง (อุบลราชธานี) สรรพคุณ : ผลดิบ ใช้รักษาอาการท้องเสียและบิด ผลสุก เป็นยาระบายอ่อน ๆ หัวปลี เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ า โรคโลหิตจาง บ ารุงน้ านม แก้โรคเกี่ยวกับล าไส้ ลดน้ าตาลในเส้น เลือด ค าแนะน าในการปลูก ให้ขุดหลุมปลูกกว้าง ยาว และลึก ด้านละ 50 หรือ 70 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ย คอกแห้ง วางต้นพันธุ์กล้วยน้ าว้ายักษ์ลงปลูกเกลี่ยดินกลบ ระยะปลูกระหว่างต้นและแถวห่างกัน 4×4 เมตร หรือ 5×5 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกกล้วยได้ราว 100 ต้น หลังการปลูกให้น้ าแต่พอชุ่ม ถ้าปลูกต้นฝนก็ปล่อยให้ ได้รับน้ าจากน้ าฝน
8 5.กะเพรา \ เป็นไม้พุ่มเตี้ยความสูงประมาณ 1-3 ฟุต ต้นค่อนข้างแข็ง แตกกิ่งก้านสาขามาก ก้านเป็นขน ก้านใบ ยาว รูปใบเรียว โคนใบรูดในลักษณะเรียวปลายมนรอบขอบใบเป็นหยัก พื้นใบด้านหน้าสีเขียว หรือแดงแก่กว่า ด้านหลัง ซึ่งมีกระดูกใบนูนเห็นได้ชัด ดอกออกเป็นช่อตั้งขึ้นคล้ายฉัตร ออกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็ก รูปคล้ายระฆัง กลีบดอกมีทั้งชนิดสีขาวลายม่วงแดงและสีขาว เมล็ดอยู่ภายในกลีบ กลีบ เลี้ยงสีม่วง ผลแห้งแล้วแตกออก เมื่อเมล็ดแก่สีด า เมื่อน าไปแช่น้ าเปลือกหุ้มเมล็ดพองออกเป็นเมือก กะเพรา มีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น กะเพราขน กะเพราขาว กะเพรา (ภาคกลาง) กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม่) อีตู่ไทย (ภาคอีสาน) สรรพคุณ : ใช้ทั้งต้น เป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง และคลื่นไส้อาเจียน รากและต้น มีรสเผ็ดร้อน แก้พิษตาซาง แก้ไข้สันนิบาต แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ บ ารุงธาตุ ใบ มีรสเผ็ดร้อน บ ารุงไฟธาตุ แก้ปวดท้อง ขับผายลม ท าให้เรอ แก้จุกเสียด แก้คลื่นไส้อาเจียน น้ าคั้น จากใบกินขับเหงื่อ แก้ไข้ ขับเสมหะ ทาผิวหนัง แก้กลากเกลื้อน ใบสดหรือแห้ง ชงกับน้ าร้อน ดื่มบ ารุง ธาตุ ขับลมในเด็กอ่อน เมล็ด มีรสเผ็ด กินบ ารุงเนื้อหนังให้ชุ่มชื้น ค าแนะน าในการปลูก การปลูกกะเพราท าได้ทั้งโดยวิธีเพาะเมล็ด และวิธีช ากิ่ง แต่วิธีเพาะเมล็ดกะเพราจะโตช้ากว่า จึง แนะน าให้ใช้วิธีช ากิ่ง การเลือกกิ่งพันธุ์ให้เลือกกิ่งกลางแก่กลางอ่อนที่ยังไม่เคยออกดอก ตัดกิ่งยาวประมาณ 4- 5 นิ้วมาปักช าในกระถาง โดยปักเอียง 45 องศา รดน้ าให้ชุ่ม ไม่กี่วันกะเพราก็แตกรากแตกใบ ต้นโตเร็วกว่าวิธี เพาะเมล็ดมาก
9 6.ขมิ้นชัน เป็นไม้ล้มลุก มีล าต้นใต้ดินประเภทไรโซม (Rhizome) ลักษณะเป็นเหง้าแง่งค่อนข้างกลม มีแง่งนิ้ว แตกออก 2 ข้าง เป็นข้อปล้องสั้น ๆ เหง้าอ่อนสีเหลืองอ่อนออกขาว แก่สีน้ าตาลอมส้ม เลื่อมมัน ด ารงชีวิตอยู่ ได้ข้ามปีหรือหลายปี ส่วนล าต้นเหนือดินกลมแบนกาบใบใหญ่หนาเรียงสลับซ้อนทับขึ้นไป และแตกต้นใหม่ หลายต้นเป็นกอสูง เจริญได้ดีในฤดูฝนและโทรมแห้งตายในฤดูหนาว ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่อยู่ที่ปลายกาบ ดอกออกมาจากกลางล าต้นสีขาว รากส่วนใหญ่จะหนาแน่นบริเวณโคนล าต้น ขมิ้นชัน มีชื่ออื่นๆ เช่น ขมิ้น (ภาคกลาง, ภาคใต้) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้หมิ้น (ภาคใต้) สรรพคุณ : เหง้าสด เป็นยารักษาโรคเหงือกบวมเป็นหนอง รักษาแผลสด แก้โรคกระเพาะ แก้ไข้คลั่งเพ้อ แก้ไข้ เรื้อรัง ผอมเหลือง แก้โรคผิวหนัง แก้ท้องร่วง แก้บิด พอกแผล แก้เคล็ดขัดยอก ขับผายลม คุมธาตุ หยอดตา แก้ตาบวม ตาแดง ทาแก้แผลถลอก แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้ท้องอืดเฟ้อ รักษาแผลใน กระเพาะอาหาร เหง้าแห้ง บดเป็นผงเคี่ยวกับน้ ามันพืช ท าน้ ามันใส่แผลสด ผสมน้ า ทาผิว แก้เม็ดผดผื่นคัน สารสกัด จากเหง้าแห้ง ป้องกันออกซิเดชั่น ชะลอความแก่ของผิวหนัง ท าครีมทาผิว ค าแนะน าในการปลูก เจริญได้ดีในดินร่วนอุดมสมบูรณ์สูงชอบอากาศค่อนข้างร้อนและมีความชุ่มชื้นในเวลากลางคืน ช่วงฤดู การปลูก ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ขยายพันธุ์โดยใช้เหง้าหัวหรือแง่งนิ้วที่ มีตา 2 - 3 ตา โดยขุดหลุมปลูกลึก 10-15 เซนติเมตร รองก้นหลุมปลูกด้วยปุ๋ยคอก 200-300 กรัม และวางหัว พันธุ์ในหลุมปลูก กลบดินหนา 5-10 เซนติเมตร ให้เว้นระยะปลูก 35x50 เซนติเมตร
10 7.ข่า ข่าเป็นไม้ล้มลุก สูง 1.5-2 เมตรอยู่เหนือพื้นดิน เหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน เนื้อในสีเหลืองและมีกลิ่น หอมเฉพาะ ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปใบหอก รูปวงรีหรือเกือบขอบขนาน กว้าง 7-9 ซม. ยาว 20-40 ซม. ดอก ช่อ ออกที่ยอด ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น 3 กลีบ กลีบใหญ่ที่สุด มีริ้วสีแดง ใบประดับรูปไข่ ผล เป็นผลแห้งแตกได้ ทรงกลม ข่า มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น กฎุกโรหินี (ภาคกลาง) ข่าตาแดง ข่าหยวก ข่าหลวง (ภาคเหนือ) เสะเออเคย สะเอเชย (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : เหง้าแก่สดหรือแห้ง มีรสเผ็ดร้อน ขม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้อง ใช้รักษาโรคผิวหนัง (เกลื้อน) แก้โรคบิด แก้ปวดเจ็บเสียดท้อง แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ไฟลวก น้ าร้อนลวก แก้ลมพิษ และโรค ลมป่วง แก้สันนิบาตหน้าเพลิง ต ากับน้ ามะขามเปียกและเกลือให้สตรีกินหลังคลอดเพื่อขับน้ าคาวปลา หน่อ มีรสเผ็ดร้อน หวาน แก้ลมแน่นหน้าอก บ ารุงไฟธาตุ ค าแนะน าในการปลูก ข่าเป็นไม้ล้มลุก สูง 1.5-2 เมตรอยู่เหนือพื้นดิน เหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน เนื้อในสีเหลืองและมีกลิ่น หอมเฉพาะ ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปใบหอก รูปวงรีหรือเกือบขอบขนาน กว้าง 7-9 ซม. ยาว 20-40 ซม. ดอก ช่อ ออกที่ยอด ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น 3 กลีบ กลีบใหญ่ที่สุด มีริ้วสีแดง ใบประดับรูปไข่ ผล เป็นผลแห้งแตกได้ ทรงกลม
11 8.ขิง ขิง เป็นพืชล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน เปลือกนอกสีน้ าตาลแกมเหลือง เนื้อในสีนวลมีกลิ่นหอมเฉพาะ แทง หน่อหรือล าต้นเทียมขึ้นเป็นกอประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน เป็นสองแถว ใบรูปหอกเกลี้ยง ๆ กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 12-20 ซม. หลังใบห่อจีบเป็นรูปรางน้ าปลายใบสอบ เรียวแหลม โคนใบสอบแคบและจะเป็นกาบหุ้มล าต้นเทียม ตรงช่วงระหว่างกาบกับตัวใบจะหักโค้งเป็นข้อศอก ดอกสีขาว ขิง มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ขิงแกลง ขิงแดง (จันทบุรี) ขิงเผือก (เชียงใหม่) สะเอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : ราก มีรสหวาน เผ็ดร้อน ขม แก้ลม บ ารุงเสียง แก้พรรดึก แก้คอมีเสมหะ เจริญอาหาร เหง้า มีรสเผ็ดร้อน ใช้เหง้าแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ าดื่มแก้คลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ เหง้าสด ต าคั้นน้ าผสมน้ ามะนาวและเกลือเล็กน้อย จิบแก้ไอ ขับเสมหะ ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ ขับเสมหะ แก้บิด และเจริญธาตุ ต้น มีรสเผ็ดร้อน ขับลมในล าไส้ แก้ท้องร่วง จุกเสียด ใบ มีรสเผ็ดร้อน แก้ฟกช้ า แก้นิ่ว แก้ขัดปัสสาวะ แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ ค าแนะน าในการปลูก ขิงขยายพันธุ์โดยใช้เหง้า ปลูกในดินร่วนซุยผสมปุ๋ยหมัก หรือดินเหนียวปนทราย โดยยกดินเป็นร่อง ห่างกัน 30 ซม. ปลูกห่างกัน 20 ซม. ลึก 5-10 ซม. ขิงชอบขึ้นในที่ชื้นมีการระบายน้ าดี ถ้าน้ าขังอาจโดนโรค เชื้อรา และการขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจเป็นการลงทุนสูงแต่คุ้มค่าและจะได้พันธุ์ที่ปลอด เชื้อ เพราะส่วนใหญ่โรคที่พบมักติดมากับท่อนพันธุ์ขิง
12 9.แคบ้าน แคบ้านเป็นไม้ยืนต้นสกุลโสน มีล าต้นขนาดเล็กถึงกลางสูงประมาณ 3–10 เมตร แตกกิ่งก้านสาขา มากไม่เป็นระเบียบ เปลือกเป็นสีน้ าตาลเข้ม มีรอยขรุขระหนา ใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ใบย่อยมีขนาด เล็กรูปขอบขนาน ขอบใบเรียบ ปลายใบมนกว้าง ดอกคล้ายดอกถั่ว ออกดอกแบบช่อตรงซอกใบ มีสีขาว ผลมี ลักษณะเป็นฝักกลมยาว 20–40 เซนติเมตร สีเขียวอ่อน ใช้รับประทานเป็นอาหารได้ เมล็ดมีลักษณะเหมือนลิ่ม ผสมเกสรโดยนก[2] ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีอายุได้ประมาณ 20 ปี แต่ถ้าหักยอดบ่อย ๆ จะท าให้มีอายุสั้นลง แคบ้าน มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า แค แคบ้านดอกแดง แคขาว (ภาคกลาง) แคแดง (เชียงใหม่) สรรพคุณ : ราก น้ าคั้นจากรากผสมกับน้ าผึ้ง เป็นยาขับเสมหะ เปลือกต้น มีรสฝาด ใช้รักษาท้องเดิน แก้บิด มูกเลือด คุมธาตุ ถ้ากินมากท าให้อาเจียน ใช้เป็นยาฝาด สมานทั้งภายนอกและภายใน ชะล้างบาดแผล ใบ มีรสจืดมัน แก้ไข้เปลี่ยนฤดู ไข้หวัด ถอนพิษไข้ ดับพิษและถอนพิษอื่นๆ ยอดอ่อน ใช้รักษาไข้หัวลม ดอก มีรสหวานเย็น แก้ไข้เปลี่ยนฤดู ค าแนะน าในการปลูก แคบ้านสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด โดยการน าเมล็ดที่แก่จัดมาแช่น้ าไว้ 1 คืน แล้วจึง น ามาเพาะในกระบะเพาะหรือถุงด า จนต้นกล้าออกสูงประมาณ 30-35 เซนติเมตร จึงน าลงปลูกโดยหลุมปลูก ควรมีขนาด กว้างxยาวxลึก ประมาณ 30x30x30 เว้นระยะระหว่างต้นประมาณ 1.5 เซนติเมตร และระหว่าง แถวประมาณ 2 เมตร
13 10.ชุมเห็ดเทศ ไมพุมสูง 1-5 เมตร ใบเปนใบประกอบแบบขนนก ปลายคูเรียงเวียน กวาง 0.6-1.5 เซนติเมตร กานใบ ยาว 2-3 เซนติเมตร ดอก ชอดอก แบบชอกระจะสีเหลือง ออกที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบใกลปลายกิ่ง มีกลีบ เลี้ยง 5 กลีบ สีเหลืองแกมสีสม รูปขอบขนานแกมรูปไข เกสรเพศผูมี 9-10 อัน รังไขเหนือวงกลีบ กานชูรังไข สั้น กาน ยอดเกสรเพศเมียเรียวยาวปลายแหลม ผลเปนฝกแบบแหงแตก รูปสี่เหลี่ยม มีครีบตามความยาวฝก เมื่อแกจะ มีสีน้ าตาลด า ภายในมีเมล็ดมาก เมล็ดเปนเหล่ยมี เปลือกแข็งสีเทาเขมอมสีน้ าตาลหรือสีน้ าตาลอมสีด า ชุมเห็ดเทศ มีชื่ออื่นเรียกว่า ขี้คาก ลับมืนหลวง หมากกะสิงเทศ (ภาคเหนือ) ชุมเห็ดใหญ่ ตะสีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : ฝัก มีรสเอียน แก้พยาธิ เป็นยาระบายขับพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน ใบ เป็นยาถ่าย รักษาขี้กลากและโรคผิวหนังอื่นๆ ใบและดอก ท ายาต้มรับประทาน ขับเสมหะในรายที่หลอดลมอักเสบ และแก้หืด เมล็ด มีกลิ่นเหม็น รสเอียนเล็กน้อย ใช้ขับพยาธิ แก้ตาซาง แก้ท้องขึ้น แก้นอนไม่หลับ ค าแนะน าในการปลูก เมื่อชุมเห็ดเทศฝกแกจะมีสีด า แกะดานในจะมีเมล็ดคลายวาว น าไปเพาะในกระบะ ประมาณ 1 – 2 สัปดาหชุมเห็ดเทศจะขึ้นเปนตนออนสูงประมาณ 10 – 20 เซนติเมตร แยกลงถุงเพาะช า โดยผสมดินกับปุยค อกและมะพราวสับ แยกตนกลาลงถุง 1 – 2 ตน/ถุง เอาไวในเรือนเพาะช า รดน้ าใหชุมชื้นอยูเสมอ
14 11.ตะไคร้ เป็นพืชตระกูลหญ้า ตะไคร้เป็นพืชที่เจริญเติบโตง่าย อาจมีทรงพุ่มสูงถึง 1 เมตร มีล าต้นที่แท้จริง ประมาณ 4-7 เซนติเมตร ล าของต้นจะถูกห่อหุ้มไปด้วยกาบใบโดยรอบ ใบยาวแคบเส้นใบขนานกับก้านใบ ใบ ของตะไคร้อุดมไปด้วยน้ ามันหอมระเหย ที่นิยมน ามาปลูกเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกกันโดยทั่วไป ตะไคร้ มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น จะไคร้ (ภาคเหนือ) ไคร (ภาคใต้) ห่อวอตะไป่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) คา หอม (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) หัวสิงโต (เขมร-ปราจีนบุรี) สรรพคุณ : เหง้า มีรสหอมปร่า แก้กระษัย แก้เบื่ออาหาร บ ารุงไฟธาตุ ขับลมในล าไส้ แก้ขัดปัสสาวะ แก้นิ่ว ดับ กลิ่นคาว เจริญอาหาร ใบ มีรสหอมปร่า แก้ไข้ ลดความดันโลหิต ทั้งต้น มีรสหอมปร่า แก้ปวดท้อง หืด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และบ ารุงธาตุ ค าแนะน าในการปลูก ปลูกได้การปักช าต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนประมาณหนึ่งคืบ น ามาปักช าไว้สักหนึ่ง สัปดาห์ก็จะมีรากงอกออกมา แล้วน าไปลงแปลงดินที่เตรียมไว้ หรืออาจใช้วิธีเอาโคนปักลงไปที่ดินซึ่งเตรียมไว้ เลย ให้ห่างประมาณหนึ่งศอก ถ้าปลูกในกระถางใช้วิธีปักโคนลงในกระถาง ๆ ละ 2-3 ต้นก็ได้ แล้วหมั่นรดน้ า ให้ชุ่มเช้าเย็น
15 12.ต าลึง ล าต้นเป็นเถาไม้เลื้อย ใบเป็นใบเดี่ยว มีลักษณะเป็น 3 หรือ 5 แฉก กว้างและยาวประมาณ 4–8 เซนติเมตร โคนใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ มีมือเกาะยื่นออกมาจากที่ข้อ ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ มี ลักษณะเป็นรูประฆัง กลีบดอกสีขาว แยกเพศอยู่คนละต้น ดอกออกตรงที่ซอกใบ ลักษณะของผลเป็นวงรีทรง ยาวสีเขียวอ่อน เมื่อยามแก่จัดจะเป็นสีแดง เป็นที่ชื่นชอบของนกนานาชนิด ต าลึง มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ผักแคบ(ภาคเหนือ) แคเด๊าะ(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) สรรพคุณ : ราก มีรสเย็น แก้ตาขึ้นฝ้า ดับพิษทั้งปวง แก้ไข้ แก้อาเจียน ต้มน้ ากินเป็นยาระบาย หัว มีรสเย็น ดับพิษทั้งปวง ใบ มีรสเย็น ปรุงเป็นยาดับพิษร้อน เช่น ยาเขียว ใบสดต าให้ละเอียด ค าแนะน าในการปลูก ใช้เมล็ดจากผลแก่หยอดลงในหลุม ปลูกได้ดีในดินร่วนซุย หลังจากที่ต้นกล้างอกก็ให้หาไม้มาปลัก เพื่อให้ต้นต าลึงใช้เลื่อย น าเถาแก่มาตัดให้ได้ขนาด 4-6 นิ้ว ปักลงในถุงเพาะช า หลังจากรากและใบงอกแล้วก็ น าไปปลูกลงหลุมตวย
16 13.ทับทิม เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีทรงพุ่มขนาดกลาง ล าต้นเป็นเนื้อไม้แข็งและเหนียว กิ่งหรือยอดอ่อนเป็น เหลี่ยม มีหนามแหลมยาว เปลือกมีผิวเรียบ มีสีเทา ใบมีลักษณะทรงหอก ยาวรี โคนมนปลายรี มีดอกเดี่ยว มี ลักษณะทรงแตร กลีบดอกมีสีขาว สีส้ม สีแดง มีเกสรฝอยเล็กๆสีเหลือง มีกลิ่นหอม มีก้านดอกยาว ออกตาม ซอกกิ่งหรือปลายยอด ผลมีลักษณะทรงกลม มีจุกด้านบน มีเปลือกหนาผิวเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อผล สุกจะเปลี่ยนเป็น สีแดงอมเหลือง ภายในผลข้างในจะมีเนื้อชุ่มน้ าสีแดง หรือชมพูอมแดง หุ้มเมล็ดอยู่ มีเมล็ด เกาะติดแน่นอยู่มาก มีเยื่อสีเหลืองนวลแบ่งออกเป็นช่องๆ มีรสชาติหวานหรือหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม ผล แก่จัดจะปลิแตกออกได้ น ามาเป็นผลไม้ใช้รับประทาน ใช้ท าเป็นเครื่องดื่มต่างๆ ได้หลายเมนู ในประเทศไทยมี ปลูกหลายสายพันธุ์ ทับทิม มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า มะเก๊าะ(ภาคเหนือ) พิลา(หนองคาย) พิลาขาว มะก่องแก้ว(น่าน) หมากจัง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) เขียะลิ้ว(จีน) สรรพคุณ : เปลือกผลแก่ ตากแห้งรักษาอาการท้องร่วง ฝนกับน้ าข้นๆ กินวันละ 1-2 ครั้ง กินมากเป็นอันตรายได้ หรือฝนกับน้ าทาแก้น้ ากัดเท้า ราก ใช้ฆ่าพยาธิตัวตืด น้ าทับทิม (จากเนื้อหุ้มเมล็ด) ใช้ลดความดันโลหิต ใช้ร่วมกับบัวบก ลดภาวะโรคเหงือก ค าแนะน าในการปลูก ทับทิมสามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ดินร่วนปนทรายจะเติบโตได้ดี ปลูกในฤดูฝนจะดี การปลูกท าได้ ด้วยวิธี การปลูกโดยใช้การเพาะเมล็ด และการปักช า น าเมล็ดมาเพาะ ในถุงเพาะช า ให้ต้นกล้ามีอายุประมาณ 3 เดือน แล้วน ามาปลูกลงในแปลง ปลูกให้มีระยะห่าง ประมาณ 4×4 เมตร
17 14.สะระแหน่ เป็นพืชในตระกูลวงศ์มินต์,วงศ์กะเพรา มีแหล่งก าเนิดมาจากแถบยุโรปตอนใต้และแถบทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 70 - 150 เซนติเมตร ส่วนใบจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับใบพืชใน ตระกูลมิ้นต์ มีกลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว และทุก ๆ ปลายฤดูร้อนต้นสะระแหน่จะออกดอกสีขาว ๆ ที่เต็มไป ด้วยน้ าหอมและน้ าหวานอยู่ภายใน สมุนไพรสะระแหน่ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หอมด่วน หอมเดือน (ภาคเหนือ), ขะแยะ (ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ), สะระแหน่สวน (ภาคกลาง), มักเงาะ สะแน่ (ภาคใต้) เป็นต้น สรรพคุณ : ทั้งต้นสด กินเป็นยาขับลม ขยี้ทาขมับแก้ปวดหัว แก้ปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ ดมแก้ลม ทาแก้ฟก ช้ า บวม ค าแนะน าในการปลูก สะระแหน่สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการ ปลูกด้วยเหง้าหรือการปักช าล าต้น ซึ่งควรเลือกล าต้นที่มี ความยาวประมาณ 8-10 ซม. แล้วเด็ดยอดทิ้ง ก่อนน าลงปลูก ซึ่งควรปลูกทันทีหลังการถอนต้นหรือตัดต้นมา แต่ในบางพื้นที่น าล าต้นมาแช่น้ าจนมีรากเกิดก่อนน าปลูก การปลูกมีระยะการปลูกในแต่ละต้นประมาณ 10- 15 ซม. โดยปักล าต้นลงดินประมาณ 3 ซม. และหลังการปลูกแล้วรดน้ าให้พอชุ่ม
18 15.บัวบก บัวบกพืชสัมลุกอายุหลายปี ล าดันทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน เรียกว่าไหล (Sstolen) มีรากและใบงอก ตามข้อของล าดัน ใบคี่ยารูปกลม ขอบใบหชัก กั้านใบยาวชูขึ้น ดอกออกเป็นช่อคล้ายร่มที่ซอกใบ แต่ละช่อมี ประมาณ 34 ดอก กลีบดอกสีม่วงอมแดง เกสรตัวผู้สั้น ผลแบน บัวบกเป็นวันพืชในเขตร้อน พบตามที่ชื้นแฉะ ทั่วไป ถิ่นก าเนิดเคิมพบในอินโดนีเซีย อินเดีย ศรีลังกา ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค บัวบก มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า ผักหนอก (ภาคเหนือ) ผักแว่น (ภาคใต้) สรรพคุณ : ทั้งต้น มีรสหอมเย็น แก้ช้ าใน แก้อ่อนเพลีย ขับปัสสาวะ รักษาบาดแผล แก้ร้อนในกระหายน้ า แก้โรค ปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน) แก้โรคเรื้อน แก้กามโรค แก้ตับอักเสบ บ ารุงหัวใจ บ ารุงก าลัง ใบ มีรสขม เป็นยาดับร้อน ลดอาการอักเสบบวม แก้ปวดท้อง แก้บิด แก้ดีซ่าน ใบต้มกับน้ าซาวข้าว กินแก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ต าพอกหรือต้มน้ ากินแก้ฝีหนอง แก้หัด ต้มกับหมูเนื้อแดงกินแก้ไอกรน เมล็ด มีรสขมเย็น แก้บิด แก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ ค าแนะน าในการปลูก บัวบกเป็นพืชที่ขึ้นง่าย ปลูกได้ทั่วไป ชอบดินที่มีความชุ่มชื้นสูงมากและชอบร่มเงา สามารถปลูกได้ดลอดปี ขยายพันธุ์โดยใช้มล็ดและไหล แต่นิยมการปีกช าไหล โดขตัดแยกไหลที่มี ด้นอ่อนและมีรากงอก น าไปปลูกในที่ชื้นแฉะ ไม่ข้าก็จะขยายพันธุ์ไปอย่างรวคเร็ว สามารถปลูกได้ใน กระถางและภาชนะอื่นๆ หลังจากปลูก 60-90 วัน สามารถท าการเก็บเกี่ยวได้ โดยใช้เสียมขุดเซาะ บริเวณใต้รากแล้วดึงเอาดันบัวบกออกมาล้างน้ า ท าความสะอาดเก็บใบเหลืองออก
19 บทสรุป “สมุนไพรไทย” เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น เป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์กับร่างกายของเราทั้งในเรื่อง ของการบ ารุงรักษาสุขภาพ และการรักษาโรค เป็นของใกล้ตัวที่เราหาได้ง่าย การที่เรารับประทานสมุนไพรใน ปริมาณที่พอเหมาะ และรับประทานเป็นประจ าจะท าให้ร่ายกายของเราดีขึ้น โดยที่ไม่ต้องเจ็บป่วยจนต้องไป หาหมอบ่อยๆ หรือต้องไปจ่ายเงินเข้าคอร์สโดยไม่สมควร เพียงแต่เรารู้จักเห็นคุณค่าของสิ่งใกล้ตัว รู้จัก ประโยชน์ของสมุนไพรไทย ของดีใกล้ตัวเท่านั้นเอง เราก็จะมีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ
ภาคผนวก
บรรณานุกรม เพ็ญศรี นันทสมสราญ. สมุนไพรใกล้ตัว. [เว็บบล็อก]. สืบค้นจาก https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-4/herb/11.html