๔๒ “ตาอ้นนั้นเป็นคนชอบเสียสละ ถ้าตาอ้นมีของอย่างไรน้องอยากได้ตาอ้นก็รีบให้ ทั้งนี้ใช่ว่าตา อ้นจะไม่เสียดาย แต่ที่ให้ก็เพราะตาอ้นชอบให้ของแก่คนอื่นมากกว่าที่จะเก็บไว้เอง” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๔๐) จากที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์บุคลิกลักษณะของตัวละครดังกล่าว ปรากฏว่าตัวละคร ชื่อ ร้อยตรี ประพนธ์ (อ้น) มีบุคลิกลักษณะนิสัยที่เห็นได้เด่นชัด คือ ผู้ที่เป็นลูกชายคนแรกของพระยาบทมาลย์ (คุณเปรม) มีอาชีพเป็นทหาร เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตใจที่แข็งกร้าว เป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ชอบชีวิตที่มีความเป็นอิสระ อีกทั้งยังมีน้ำใจ รู้จักการแบ่งปัน ๒. ประพันธ์ (อั้น) “ลูกหัวปีของพลอยนั้นเสียอีกกลับมีนิสัยดื้อ มุทะลุ เวลาโกรธหรือโมโหก็แสดงแสดงอาการ รุนแรงได้มาก ๆ ทำให้พลอยต้องหนักใจ ต้องคอยอบรมดัดนิสัยอยู่เสมอ” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๔๐) “ตาอั้นนั้นเป็นคนชอบของของคนอื่น” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๔๐) “อั้นพูดเก่งเถียงเก่ง ควรเป็นหมอความ” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๔๓) “ตาอั้นนั้นยิ่งจากบ้านไปนานเข้า ยิ่งดูจะเป็นคนเอาการเอางานและคงแก่เรียนขึ้นทุกวัน” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๕๐๖) จากที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์บุคลิกลักษณะของตัวละครดังกล่าว ปรากฏว่าตัวละคร ชื่อ ประพันธ์ (อั้น) มีบุคลิกลักษณะนิสัยที่เห็นได้เด่นชัด คือ เป็นลูกชายคนที่ ๒ ของพระยาบทมาลย์ (คุณเปรม) เป็นลูกชายคนแรกของแม่คุณหญิงบทมาลย์ (แม่พลอย) เป็นผู้ที่เรียนจบในด้านกฎหมายมาจาก ต่างประเทศ เป็นคนที่มีนิสัยดื้อ อารมณ์รุนแรง พูดเก่ง เถียงเก่ง รวมถึงมีความมั่นใจในตนเองสูง ค่อยข้างจะเอาแต่ใจตนเอง และมีความเป็นผู้นำในหมู่คณะ ๓. ประพจน์ (อ๊อด) “ตาอ๊อดเป็นเด็กมีอารมณ์ขัน พูดจาด้วยถ้อยคำแปลก ๆ และของที่ตาอ๊อดเห็นว่าขบขัน เป็นที่สุดก็คือตัวของตัวเอง” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๔๐)
๔๓ “ตาอ๊อดเป็นคนไม่เอาเรื่องหาเรื่องสนุกสบายได้ง่าย ๆ ไม่ต้องการอะไรมากนักและไม่หวง กันใคร” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๕๗) จากที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์บุคลิกลักษณะของตัวละครดังกล่าว ปรากฏว่าตัวละคร ชื่อ ประพจน์ (อ๊อด) มีบุคลิกลักษณะนิสัยที่เห็นได้เด่นชัด คือ ลูกชายคนเล็กของพระยาบทมาลย์ (คุณเปรม) กับ คุณหญิงบทมาลย์ (แม่พลอย) เรียนจบจากต่างประเทศในด้านภาษาศาสตร์ เป็นคนที่มีจิตใจดี มี น้ำใจ มีความเห็นใจคนอื่น มีอารมณ์ดี และมักพูดจาด้วยถ้อยคำแปลก ๆ ๔. ประไพ “ประไพเป็นเด็กที่เกิดยากก็จริง แต่เมื่อเกิดมาแล้วก็เป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย ไม่อ้อนและไม่ขี้โรค ยิ่งประไพโตขึ้น หน้าตาก็ประพิมพ์ประพายไปทางคุณเปรม แต่ก็ยังได้รับเอาความงามจากพลอยผู้ เป็นมารดาไว้มาก” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๓๙) “ประไพเป็นเด็กหน้ารักน่าเอ็นดูใครเห็นใครต้องรักเพราะช่างฉอเลาะไปทุกอย่าง” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๓๙) “ประไพคงจะได้นิสัยช่างคุยไปจากมารดาของตนผู้เป็นยายของประไพ” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๓๙) “ประไพเป็นบุตรคนเล็กที่สุดและเป็นลูกสาวคนเดียว เป็นลูกคนสุดท้ายที่พลอยจะมีได้ใน ชีวิตนี้” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๔๔๐ – ๔๔๑) “ประไพเป็นคนเจ้าอารมณ์ ดีใจ เสียใจหรือโกรธ ก็แสดงออกมาให้เห็นโดยง่าย บางครั้งก็ แสดงมากจนเกินกว่าเหตุ นอกจากนั้นประไพยังเด็กแสนงอน มีอะไรไม่ถูกใจเพียงนิดเดียวก็โกรธ ขึงและโกรธไปนานได้ตั้งหลายวัน” (สี่แผ่นดิน แผ่นดินที่ ๒ : ๕๑๕) จากที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์บุคลิกลักษณะของตัวละครดังกล่าว ปรากฏว่าตัวละคร ชื่อ ประไพ มีบุคลิกลักษณะนิสัยที่เห็นได้เด่นชัด คือ ลูกสาวคนเล็กของพระยาบทมาลย์ (คุณเปรม) กับ คุณหญิง บทมาลย์ (แม่พลอย) สมัยยังเด็ก ๆ เป็นคนที่เลี้ยงง่าย ไม่อ้อน สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีหน้าตา คล้ายกับผู้เป็นบิดา (คุณเปรม) มีความสวยงามมาทางผู้เป็นมารดา (แม่พลอย) เป็นเด็กที่น่ารัก น่า เอ็นดูของผู้ใหญ่ พูดเก่ง เติบโตมาเป็นคนเจ้าอารมณ์ ครั้งใดตนที่ดีใจ เสียใจ หรือโกรธ ก็มัก
๔๔ แสดงออกมาตรง ๆ และบางครั้ง ประไพก็มักไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจ มีความรักสวยรักงาม เป็นคน ทันสมัย นิยมใช้ชีวิตตามธรรมเนียมของฝรั่ง เห็นอะไรไม่พอใจเป็นต้องโกรธทุกครั้ง จากการวิเคราะห์ตัวละครที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ล้วนปรากฏบุคลิกลักษณะของตัวละครต่าง ๆ ซึ่ง ตัวละครแต่ละตัวต่างก็มีบทบาท ความ เป็นลักษณะเฉพาะในด้านพฤติกรรม การใช้ชีวิต ตลอดไปจนถึงจุดจบของเรื่องที่ตัวละครแต่ละตัว ได้ แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนี้ ผู้เขียนนวนิยายต่างก็ให้ความสำคัญต่อตัว ละครทุกตัวให้สื่อถึงความเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด ๔.๒ ศึกษากลวิธีการดำเนินเรื่องในนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช มี รายละเอียดดังต่อไปนี้ ๔.๒.๑ การเปิดเรื่อง ๔.๒.๒ การดำเนินเรื่อง ๔.๒.๓ การปิดเรื่อง ๔.๒.๑ การเปิ ดเรื่องของนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ผู้เขียนหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายถึงการเปิดเรื่องโดย การใช้บทสนทนา ยกตัวอย่างเช่น พลอย “เสียงแม่เรียกขณะที่เรือกำลังบ่ายหน้าออกจากคลองบางหลวง มุ่งหน้าตรงไปยังท่าพระ” การเปิดเรื่องในลักษณะนี้ เป็นการเปิดเรื่องที่มีความโดดเด่นในกลวิธีการใช้บท สนทนา ซึ่งจะเข้ามาช่วยให้เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ เป็นจุดสนใจให้กับผู้อ่านได้มีความมหัศจรรย์ใจ ตื่นเต้น ในเรื่องราวความเป็นมาของเรื่องสี่แผ่นดิน การเปิดเรื่องในนวนิยาย เรื่องสี่แผ่นดิน นอกจากจะเปิดเรื่องด้วยบทสนทนาแล้ว ยังมีการ บรรยายถึงสภาพวิถีชีวิตของตัวละครหลัก คือ แม่พลอย เป็นการบรรยายถึงสภาพภูมิประเทศโดยรอบ เปิด ฉากโดยการบรรยายถึงสภาพของบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของคลองบางหลวงที่เป็นบ้านของแม่พลอยในส่วน แรก ต่อมาเป็นการกล่าวถึง ความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดปมซึ่งจะนำความร้าวฉานมาสู่ครอบครัวของแม่พลอย อย่างที่ไม่เคยคาดคิด นึกฝันมาก่อน ทั้งนั้น เหตุการณ์การเปิดเรื่องนั้น มีการกล่าวถึงชีวิต ความเป็นอยู่ของตัวละครเอก คือ แม่
๔๕ พลอย เด็กสาวอายุได้สิบขวบ ที่ต้องจากบ้านมาอยู่ในวังกับผู้เป็นมารดา คือ แม่แช่ม ด้วยเหตุการณ์ทาง ครอบครัวที่เป็นปัญหามานานหนักหนา จากเด็กสาวที่อยู่ในคลองบางหลวง สู่ชีวิตที่เป็นชาวรั้วชาววัง ต้อง ปฏิบัติตนตามขนบธรรมเนียม ประเพณีต่าง ๆ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างกำพร้าแม่ในภายหลัง ต้องผิดหวังกับรัก ครั้งแรก และต้องอดทนต่อปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตของแม่พลอยตลอด ๔ แผ่นดิน คือ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ – รัชกาลที่ ๘ เป็นต้นมา ๔.๒.๓ การล าดับเรื่องของนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช การลำดับเรื่องที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็น การลำดับเรื่องตามลำดับปฏิทิน เป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของตัวละครที่ปรากฏในเรื่องตั้งแต่ชีวิต ของการเกิดไปจนตายในที่สุด โดยการลำดับเรื่องนี้อธิบายรายละเอียดต่อเนื่องกันไปจากแผ่นดินที่ ๑ แผ่นดินที่ ๒ แผ่นดินที่ ๓ และแผ่นดินที่ ๔ เรียงไปตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหลัง ทั้งนี้ผู้วิจัยจะ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่สำคัญที่ผู้อ่านจะเห็นถึงเนื้อเรื่อง แผ่นดินที่ ๑ กล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพลอย ซึ่งอยู่ในบ้านคลองบางหลวง เป็นช่วงชีวิต ตั้งแต่พลอยเกิด อันเกิดเป็นความรัก ความผูกพันระหว่างพี่น้องของพลอยในวัยเด็ก เวลาล่วงเลยมาถึง ช่วงหนึ่งในชีวิตของพลอย ความร้าวฉานระหว่างมารดา คือ แม่แช่มกับพี่สาวต่างบิดา คือ คุณอุ่น หลังจาก เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้แม่แช่มจำต้องพาพลอยออกจากบ้านที่เคยอยู่อย่างคลองบางหลวง และทิ้งพ่อเพิ่ม พี่ชายของพลอย ให้อยู่กับผู้เป็นบิดา คือ พระยาพิพิธฯ ส่วนพลอยนั้นแม่ได้นำตัวมาถวายให้กับเสร็จ เพื่อให้ เสด็จท่านทรงชุบเลี้ยงอุปถัมภ์พลอย เหมือนกับที่ท่านเคยเลี้ยงดูแม่ให้อยู่อย่างสบายในวังหลวง พลอยได้พบ เจอกับคุณสายผู้ที่อบรมสั่งสอน วิชาความรู้ให้แก่พลอยในขณะที่พลอยใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง ตลอด ระยะเวลาที่พลอยใช้ชีวิตอยู่ในวัง พลอยต่างก็ได้เรียนรู้วิถีชีวิตต่าง ๆ ภายในวัง และได้พบเจอกับช้อย และ พี่เนื่อง ซึ่งเป็นหลานของคุณสาย ทั้งพลอยและช้อยเป็นเพื่อนกัน แต่กับพี่เนื่องนั้น กลับกลายเป็นความรัก ครั้งแรก ที่เกิดจากความรู้สึกภายในใจระหว่างพลอยกับพี่เนื่องในเวลานั้น แต่ความรักของแม่พลอยครั้งนี้ ต้องพังทลายลงอย่างที่พลอยไม่ได้นึกได้ฝันไว้ ต่อจากนั้นชีวิตของพลอย ซึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ได้พบ การคู่ครอง ผู้ที่มีฐานะอันดี เป็นลูกของครอบครัวเศรษฐีได้มาใช้ชีวิตครองเรือนอยู่กับคุณเปรม ผู้ซึ่งพ่อของ พลอยต่างก็สนับสนุนความรักของพลอยครั้งนี้ แม้ว่าพลอยจะไม่มีความรักให้กับคุณเปรมก็ตาม นอกจากนี้ในแผ่นดินนี้ มีการบรรยายถึงเรื่องราววิถีชีวิตในรั้วในวังของพลอย ในวัยเด็ก ตลอดจนไปถึงวันที่พลอยได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีการครองเรือน กล่าวถึงงานพิธีต่าง ๆ รวมถึงสภาพความ เป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น ๆ แผ่นดินที่ ๒ กล่าวถึงเหตุการณ์ความเป็นอยู่ของชีวิตแม่พลอย กับแผ่นดินใหม่ที่มีการผลัด
๔๖ แผ่นดินใหม่ ที่มีการรับวัฒนธรรมของทางชาติตะวันตกอย่างฝรั่งเศส และอังกฤษเข้ามาในเมืองไทย ทำให้ บางครั้งแม่พลอยเองต่างก็ความต่อต้านทัดทานกับแนวคิด ค่านิยมใหม่ ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงจารีต ขนบธรรมเนียม ประเพณีของไทยที่มีมาตั้งแต่ครั้งแผ่นดินก่อนจากบรรพบุรุษที่ได้ทำรงรักษาไว้ ประกอบกับ มีแนวคิดสมัยใหม่เกิดขึ้นตามมา ทั้งในเรื่องการเมืองการปกครอง เกิดสงครามโลกขึ้นระหว่างประเทศ ระหว่างฝ่ายเยอรมณี กับฝ่ายพันธมิตร และการรับอิทธิพลในเรื่องการไปเรียนต่อในต่างประเทศของอั้น กับอ๊อด ซึ่งเป็นลูกของแม่พลอย ซึ่งการเปลี่ยนรสนิยมจากเดิมเป็นแบบสมัยใหม่ที่เป็นที่นิยมของคนไทยทั้ง ประเทศที่มีอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์อีกด้วย แผ่นดินที่ ๓ กล่าวถึงการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินจากสมัยรัชกาลที่ ๖ มาเป็นสมัยรัชกาลที่ ๗ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากวันที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต แม่พลอยกับคุณเปรม ซึ่งแก่ตัวลงไปทุกขณะ และความเป็นอยู่ของบ้านเมืองในสมัยนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลง ความปรารถนาในสิ่งต่าง ๆ กลับเข้ามา แทนที่ ความผันผวนในชีวิต ซึ่งเป็นแนวที่ถูกตั้งขึ้นใหม่ คุณเปรมต่างเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ในแผ่นดินนี้ ทุกคนต่างก็มีแนวความคิดที่ผิดเพี้ยนไปจากเก่า ตลอดจนเรื่องความผันผวนในด้านเศรษฐกิจ ที่แปรผันไป ตามกาลสมัย การรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามามีบทบาทมากไปกว่าเก่า มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง บทบาททางการศึกษา การมีรัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดิน และทรงรับเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้ รัฐธรรมนูญ สังคมเกิดการก่อกบฏ เป็นต้น แผ่นดินที่ ๔ กล่าวถึงชีวิตของแม่พลอยที่อยู่ในวัยชรา อายุห้าสิบเศษ เป็นช่วงชีวิตที่แม่พลอย ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาอย่างโทมนัส การลำดับเรื่องในแผ่นดินนี้มักกล่าวถึงความเป็นอยู่ของเหตุการณ์ บ้านเมือง ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ การปกครองที่แสดงออกถึงความจงรักภักดีที่มีต่อชาติบ้านเมือง จนสื่อไป ชีวิตของผู้คนในครอบครัวของแม่พลอยบางคนได้จากไป รวมทั้งชีวิตของแม่พลอยด้วยในที่สุด ๔.๒.๔ การปิ ดเรื่องของนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช การปิดเรื่องในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน เป็นการปิดเรื่องแบบโศกนาฏกรรม ซึ่งตัวละครหลัก อย่างแม่พลอย ซึ่งได้จากไปในแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ ๔ ด้วยโรคและความทุกข์ระทมที่มีอยู่ในใจของแม่ พลอยนั้น ดังเช่นตัวอย่าง เย็นวันนั้น วันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ น้ำในคลองบางหลวงลงแห้ง เกือบขอดคลอง หัวใจของพลอยที่อ่อนแอลงด้วยโรคและความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็หลุดลอยตามน้ำไป... อย่างไรก็ตาม กลวิธีการดำเนินเรื่อง ซึ่งได้แก่ การเปิดเรื่อง การลำดับเรื่อง และการปิดเรื่องไป ในที่สุดนั้น ชี้ให้เห็นวิธีการเขียนของผู้เขียนนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ที่จะตระหนักให้ผู้อ่านได้มีความรู้ความ เข้าใจในลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเนื้อเรื่องได้อย่างถ่องแท้ และเกิดความลึกซึ้งเป็นที่สุด
๔๗ ๔.๓ ศึกษาภาพสะท้อนทางสังคม วัฒนธรรม ประเพณี อาหาร รวมถึงการแต่งกายของตัวละครที่ ปรากฏในนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ๔.๓.๑ ภาพสะท้อนสังคม ๔.๓.๑.๑ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ๔.๓.๑.๒ การเมืองการปกครอง ๔.๓.๑.๓ การศึกษา ๔.๓.๑.๔ ค่านิยม ความเชื่อ ๔.๓.๒ ภาพสะท้อนวัฒนธรรม ประเพณี ๔.๓.๒.๑ พิธีการโกนจุก ๔.๓.๒.๒ พิธีการแต่งงาน ๔.๓.๒.๓ วัฒนธรรมการทักทายของคนไทย และคนต่างชาติ ๔.๓.๒.๔ วัฒนธรรมด้านอาหาร ๔.๓.๒.๕ วัฒนธรรมด้านการแต่งกาย ๔.๓.๑ ภาพสะท้อนสังคม ๔.๓.๑.๑ วิถีชีวิตความเป็ นอยู่ “ตึกนั้นเป็นตึกก่ออิฐ ฉาบด้วยปูนขาว หลังคากระเบื้องเป็นลูกฟูก” (สี่แผ่นดิน : ๒) จากข้อความข้างต้น เป็นการแสดงออกถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวละคร มีการบรรยายถึง ลักษณะสถานที่ของบ้านเรือน “เจ้าของเป็นชาวเมืองเพชรก็พูดสำเนียงเป็นชาวเมืองเพชรไปทั้งตำหนัก ที่มาจากปักษ์ ใต้ก็พูดปักษ์ใต้ ส่วนตำหนักใหญ่สูงสี่ชั้นมียอดหอคอยกลางที่ช้อยบอกว่าเป็นตำหนักเจ้าดารา
๔๘ นับว่า แปลกว่าที่อื่นทั้งสิ้นเพราะข้าหลวงนุ่งซิ่นไว้ผมมวย แต่งกายอย่างชาวเชียงใหม่พูดภาษาเหนือทั้ง ตำหนัก” (สี่แผ่นดิน : ๕๐ – ๕๑) จากข้อความข้างต้น เป็นการอธิบายให้ผู้อ่านเห็นถึงเรื่องราวความเป็นอยู่ของชาววังที่มาจาก ต่างที่ต่างถิ่น หรือแสดงให้เห็นถึงชั้นวรรณะ การใช้ภาษา เพื่อบ่งบอกถึงฐานะของตนเอง “ฉันมันคางคกในกะลา ไม่มีหูมีตาเคยเห็นอะไรข้างนอก” (สี่แผ่นดิน : ๗๐) จากข้อความข้างต้น เป็นการอธิบายถึงสภาพชีวิตที่เป็นอยู่ ซึ่งสื่อสารออกมาให้ผู้อ่านเห็นถึง ฐานะ การใช้ชีวิตของแม่พลอยในอดีต ซึ่งไม่เคยออกจากบ้านไปไหนเลย ผิดกับชีวิตในรั้วในวังที่ได้พบ เจอและได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างที่ชีวิตเด็กคนหนึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” (สี่แผ่นดิน : ๗๕) จากข้อความข้างต้น เป็นการสะท้อนให้เห็นถึง ความคล้ายคลึงระหว่างชีวิตความเป็นอยู่ของ แม่กับพลอย ซึ่งต่างก็เป็นแม่ลูกกัน ลักษณะนิสัยในด้านชีวิตความเป็นอยู่ หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตาก็ไม่มี ผิดเพี้ยนไปจากแม่ จึงใช้คำพูดที่ว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” “การเสด็จไปบางปะอินในระยะนั้นต้องแยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งไปเรือเครื่อง มีคุณ สายเป็นผู้ใหญ่ควบคุมไป และออกล่วงหน้าวันหนึ่ง จากตำหนักแพไปทางน้ำ บรรทุกข้าวของเครื่องใช้ และเครื่องครัวต่าง ๆ ที่เป็นสัมภาระหนักพร้อมด้วยข้าหลวงที่จะตามเสด็จอีกหลายคน ส่วนเจ้านาย ฝ่ายในที่จะโดยเสด็จพระราชดำเนินนั้นเสด็จโดยรถม้าพระประเทียบจากวังไป “สะเตชั่น” หรือ สถานีรถไฟหัวลำโพง จากนั้นก็เสด็จทางรถไฟในขบวนหลวงไปจนถึงบางปะอิน” (สี่แผ่นดิน : ๒๓๑) จากข้อความข้างต้น เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้น ซึ่งใน ข้อความดังกล่าวนั้นพูดเกี่ยวกับการเดินทางของคนในสมัยก่อน ซึ่งต้องเสด็จโดยเรือเครื่อง รถม้า หรือ รถไฟ ในการเสด็จไปในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ชีวิตอยู่ในวัง “รถไฟยิ่งแล่นไกลออกไป บ้านช่องที่เรียงรายอยู่นั้นก็ค่อยห่างกันออกไป มีทุ่งอันกว้าง
๔๙ และป่าละเมาะที่เห็นอยู่ไกล ๆ เข้ามาแทนที่ จะมองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำใสสะอาดสลับด้วยต้น ข้าวเขียวขจี และดอกบัวหลากสี” (สี่แผ่นดิน : ๒๓๙) จากข้อความข้างต้น สะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนที่ใช้ชีวิต อยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในรั้วในวัง หรือ บ้านช่องต่าง ๆ ล้วนมีบรรยากาศที่ต่างกันออกไป ทั้งนี้กล่าวถึงทุ่งอันกว้าง หรือป่าละเหมาะ สื่อให้เห็น ถึงความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตในชนบท “เด็กอีกกลุ่มหนึ่งเล่นน้ำอยู่ที่หน้าศาลาวัด เห็นรถไฟผ่านไปก็ตะโกนโห่ร้องโลดเต้นอย่าง ลำพองใจ ตามธรรมดาของเด็กที่ไร้เดียงสา ควายฝูงหนึ่งเดินหากินอยู่ใกล้ทางรถไฟ บางตัวก็นอน เคี้ยวเอื้องอยู่อย่างสบายอารมณ์” (สี่แผ่นดิน : ๒๓๙) จากข้อความข้างต้น กล่าวถึงภาพสะท้อนวิถีชีวิตของเด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่ไร้เดียงสา กับ ธรรมชาติอันแสนจะอบอุ่น ท่ามกลางความสุขสบายของสัตว์ ซึ่งอยู่ในชุมชนชนบท “คุณสายสนุกในการซื้อของจากชนบท พวกฟักแฟงแตงร้าน ผักตับเต่าสันตะวา และ สายบัว ตลอดจนกุ้งปลาต่าง ๆ ที่มีคนนำมาขายตามเรือ” (สี่แผ่นดิน : ๒๔๓) จากข้อความข้างต้น กล่าวถึงวิถีชีวิตในการค้าขายของผู้คนในชนบท “ราษฎรเหล่านั้นก็เข้าเฝ้าฯ เจ้าชีวิตของตนในระยะใกล้ชิด มิใช่ในปราสาทราชฐานที่โอ่ อ่าแวดล้อมไปด้วยเครื่องประดับอันมีค่า ซึ่งจะทำให้เขาเหล่านั้นตระหนกใจและเจ้าชีวิตนั้นก็มิได้ แต่งพระองค์ด้วยภูษาภรณ์อันมีค่า ประทับอยู่บนราชบัลลังก์ที่แสดงพระราชอำนาจอันอาจทำให้เขา ต้องตกประหม่า สิ่งที่คนบ้านนอกจากชนบทได้พบเห็นเมื่อเข้าเฝ้าฯ ก็คือเจ้าชีวิตที่แต่งพระองค์อย่าง ลำลองประทับอยู่ที่บนเรือนไม้ ท่ามกลางบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่ไม่ผิดไปจากบ้านในชนบทที่เขา คุ้นเคยอยู่” (สี่แผ่นดิน : ๒๗๕) จากข้อความข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมของชีวิตผู้คนในรั้วในวังกับชีวิตของคน สามัญชนบท ที่มีความแตกต่างกันออกไปในด้านความเป็นอยู่ และการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมไทยใน สมัยหนึ่ง ๆ
๕๐ “งานอดิเรกของพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงสนพระราชหฤทัยมากกว่าอย่างอื่นก็คือ การปลูก ต้นไม้นานาชนิดในบริเวณสวนดุสิต ทั้งไม้ดอกไม้ใบ บางอย่างก็ขุดมาทั้งต้นโต ๆ จนพระราชวัง ดุสิตนั้นร่มรื่นไปด้วยรุกขชาติต่างพรรณ ผลิดอกออกผลตามฤดูกาล รื่นรมย์น่าอยู่น่าสบายยิ่งกว่า ในพระบรมมหาราชวัง” (สี่แผ่นดิน : ๒๗๖) “งานอดิเรกที่ทรงพอพระราชหฤทัยอีกสองอย่างก็คือ การถ่ายภาพและล้างอัดภาพด้วย พระองค์เอง” (สี่แผ่นดิน : ๒๗๖) จากข้อความข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้ครองแผ่นดินในด้านความเป็นอยู่ ว่าทรง ดำรงชีวิตอยู่ในรั้วในวัง ทรงดำเนินกิจการต่าง ๆ ตามพระทัยได้ แต่จะมีเพียงการกระทำดังกล่าว ล้วนต้องเป็นไปเพียงในวังหลวงเท่านั้น “พลอยทอดอารมณ์มองดูทิวทัศน์สองข้างแม่น้ำอย่างพอใจ ต้นหมากรากไม้แลดูเขียว ชอุ่ม บ้านช่องราษฎรโผล่หลังคาขึ้นมารับแสงตะวันเป็นระยะสลับกับวัดวาอารามสองข้างแม่น้ำ” (สี่แผ่นดิน : ๓๖๖) จากข้อความข้างต้น สะท้อนวิถีชีวิตของการใช้ชีวิตให้สมกับการเป็นชาววังที่แท้จริงของแม่ พลอย แม้จะไม่เคยได้ประสบพบเจอมาก่อน “พระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยเจ้านายฝ่ายหน้าฝ่ายในไปยังสถานีรถไฟ บางปะอิน เพื่อรับพระศพกรมขุนสุพรรณฯ จากกรุงเทพฯ กระบวนรถพระศพเข้าถึงสถานีในตอน สาย พระโกศบรรจุพระศพนั้นประดิษฐานอยู่บนรถโถง ซึ่งตกแต่งเป็นพิเศษพร้อมด้วยกระบนพระ อิสริยยศต่าง ๆ และเมื่อพระศพถึงบางปะอินแล้วก็เชิญพระโกศลงเรือยาวมาขึ้นท่าพระราชวังบางปะ อิน จากนั้นก็เชิญพระโกศไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ ซึ่งสร้างไว้กลางสระใน พระราชวัง โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระศพ ณ ที่นั้นสามวันและให้มีงานมหรสพสมโภช” (สี่แผ่นดิน : ๓๖๘) “มัจจุราชนั้นมิได้ยกเว้นให้แก่ใคร และวงล้อแห่งชีวิตคือความเกิด แก่เจ็บ ตาย และการ พลัดพรากสูญเสียของรักนั้นกว้างขวางนัก” (สี่แผ่นดิน : ๓๗๕) จากข้อความข้างต้น สะท้อนในเรื่องการใช้ชีวิตของผู้คน ว่า ชีวิตคนเรานั้นมีเกิด ก็ต้องมีเจ็บ มี แก่ และตายไปในที่สุด ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับชีวิตของใครทั้งนั้น
๕๑ “พลอยเกิดมาในแผ่นดินของท่านที่รู้สึกว่าเป็นสุขแต่น้อยคุ้มใหญ่ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความ แน่นอน เหมือนกับว่ามีต้นโพธิ์อันใหญ่คุ้มกันอยู่ให้ได้รับความร่มเย็นเพราะพระบารมี” (สี่แผ่นดิน : ๔๑๔ ) จากข้อความข้างต้น สะท้อนสังคมในเรื่องความเป็นอยู่ โดยที่มีเสด็จ ซึ่งเป็นผู้ชุบเลี้ยงพลอย มาจนเติบใหญ่ และเปรียบเสด็จเป็นผู้ที่มีพระคุณ คอยปกป้องคุ้มครองชีวิตของพลอย “ตั้งแต่แต่เด็กมาก็อยู่ในวัง ชีวิตทุกด้านในวังนั้นก็แวดล้อมพระองค์อยู่ และดำรงอยู่ใต้ ด้วยพระเจ้าอยู่หัว” (สี่แผ่นดิน : ๔๑๕) จากข้อความข้างต้น สะท้อนสภาพการใช้ชีวิตของพลอย ที่ได้เข้ามาอยู่ในวัง และเป็นที่ รักของเสด็จ ซึ่งอยู่ภายใต้พระบารมีของพระเจ้าแผ่นดิน “ต่อมาอีกปีหนึ่งมีวานบรมราชาภิเษกสมโภช มีเจ้านายจากประเทศต่าง ๆ ในโลกมา ชุมนุมในกรุงเทพฯ มากว่าที่เคยปรากฏมาในประเทศใด ๆ ในตะวันออก คุณเปรมหรือคุณสนองฯ รับ ราชการคราวนั้นมีความดีความชอบมาก ได้เหรียญตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และพอเสร็จงานบรม ราชาภิเษกสมโภชแล้วไม่นาน คุณเปรมก็ย้ายตำแหน่งจากกรมมหาดเล็ก ไปอยู่กรมวังเลื่อย บรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นคุณพระ มีราชทินนามว่าพระบริบาลภูมินารถ” (สี่แผ่นดิน : ๔๒๒) จากข้อความข้างต้น สะท้อนวิถีชีวิต การมีชื่อเสียงเกียรติยศ ในหน้าที่การงานของคุณเปรมที่ ได้รับพระราชทินนามใหม่ “ทุกคนพยายามทำตนให้อยู่ในสายตาของคนอื่น คุณเปรมมีฐานะทางส่วนตัวดีกว่าคน ธรรมดาก็ย่อมจะแสดงความหรูหราโอ่อ่าได้มาก ความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณเปรมนั้น พลอยดูอยู่ ด้วยสายตาที่เป็นกลาง” (สี่แผ่นดิน : ๔๒๔) จากข้อความข้างต้น สะท้อนความเป็นอยู่ของคุณเปรม ในเรื่องฐานะทางครอบครัว ว่าเป็นผู้ที่ มีฐานะดีกว่าครอบครัว หรือตระกูลอื่น ๆ “พลอยพยายามสอนลูกทุกคนให้รักคุณเปรม และสนิทสนมกับคุณเปรม เด็กทุกคนก็
๕๒ ตั้งใจฟังและรู้สึกว่าอยากจะทำตาม” (สี่แผ่นดิน : ๔๔๑) จากข้อความข้างต้น สะท้อนวิถีชีวิตครอบครัว ที่ผู้เป็นแม่อย่างแม่พลอย ซึ่งแสดงความให้ บรรดาลูกของตนรู้จักแสดงออกถึงความรักครอบครัว ความรักของบิดา ผู้เป็นพ่ออย่างคุณเปรม “บางทีเด็กก็ต้องการอยู่กับพ่อที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ถ้าจะพูดกันจากใจเด็กแล้ว พ่อดู เหมือนจะสำคัญกว่าแม่เสียอีก ในระหว่างที่เด็กกำลังเติบโตขึ้น เด็กที่จะติดแม่ก็เป็นแต่เวลาที่ยังเป็น เด็กเล็กเท่านั้น” (สี่แผ่นดิน : ๔๔๒) จากข้อความข้างต้น สะท้อนวิถีชีวิตในบทบาทของความเป็นพ่อเป็นแม่ “เมื่อรถที่นั่งมาด้วยกันนั้นเลี้ยวเข้าประตูท่าเรือที่ถนนตก ฝนก็เริ่มปรอยลงมา ทำให้ บริเวณรอบ ๆ เฉอะแฉะ เบื้องหน้านั้นมีเรือกลไฟใหญ่พร้อมที่จะเดินทาง มีควันขึ้นกรุ่นจาก ปล่องแสงไฟหลายดวงบนเรือนั้นส่องทะลุความมืดช่วยให้พลอยเห็นคนแปลกหน้าหลายคนไปมา อยู่บนเรือ” (สี่แผ่นดิน : ๔๘๗) จากข้อความข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงภาพชีวิต เหตุการณ์ภายในวังที่แม่พลอยได้ประสบพบ เจอมากับตัว เมื่อเวลาผ่านไปนานถึง ๒ แผ่นดิน “คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับแม่พลอย เขาก็ไว้ผมยาวกันมากแล้ว แม่พลอยจะมานั่ง ทำตัวเป็นคนโบราณอยู่ทำไม ฉันว่าแม่พลอยทำตัวให้แก่ใจก็เลยแก่ไปตาม” (สี่แผ่นดิน : ๔๙๓) จากข้อความข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่ล้าหลังของแม่พลอย ผู้ซึ่งยึดมั่นใน ขนบธรรมเนียมเดิมของแผ่นดินเก่า และแม่พลอยยังถูกกล่าวขานว่า เป็นคนหัวโบราณ ๔.๓.๑.๒ สภาพบ้านเมือง และการเมืองการปกครอง “พระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้นหลายครั้งหลายครา เสด็จไปตามจังหวัดต่าง ๆ ปะปน ไป กับหมู่ราษฎร และเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรถึงบ้านช่องโดยที่ราษฎรมิได้รู้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด” (สี่แผ่นดิน : ๒๗๕) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการที่เสด็จออกเยี่ยมเยือนราษฎรในพื้นที่ต่าง ๆ โดยไม่
๕๓ คำนึงถึงความยากลำบากของตน เป็นภาพของสภาพบ้านเมืองน่าน่าอยู่ “ตั้งแต่เจ้าคุณพ่อถึงแก่กรรมลงจนถึงเวลาเผา เรียกได้ว่าเป็นระยะเวลาบ้านแตก สาแหรกขาดของบ้านคลองบางหลวง การวิวาทกันในหมู่พี่น้องเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สมบัติ” (สี่แผ่นดิน : ๔๐๑) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความร้าวฉานของครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งให้เรื่อง เป็นครอบครัวของแม่พลอย มีเหตุการณ์การแย่งชิงมรดกของพี่น้อง “แผ่นดินก่อนนั้นเป็นแผ่นดินของผู้ใหญ่สูงอายุ คุณเปรม ตลอดจนคนอื่น ๆ ที่พลอยรู้จัก จึงวางท่าทางเป็นผู้ใหญ่ กิริยาวาจา การแต่งกายตลอดจนชีวิตประจำวัน หรือวิธีการทำงานก็ รู้สึกว่าเป็นอย่างผู้ใหญ่ไปสิ้น แต่พอผลัดแผ่นดินใหม่ การเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างนั้นก็เริ่ม สำแดงตัวออกมาทีละน้อย แผ่นดินใหม่เป็นแผ่นดินของคนหนุ่ม บรรยากาศในพระราชสำนักก็ เป็นบรรยากาศของความหนุ่มแน่น คุณเปรมก็เปลี่ยนไปตามโดยไม่รู้ตัว”(สี่แผ่นดิน : ๔๒๓) จากข้อความข้างต้น สะท้อนสังคมที่เป็นที่นิยมของผู้ใหญ่ที่มีอายุน้อยกว่าผู้คนในสมัยก่อน ๆ แสดงถึงท่าทาง กิริยา การใช้คำพูดวาจา ตลอดจนการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสังคมที่มีความทันสมัย ของบ้านเมือง “การเปลี่ยนแปลงที่พลอยเห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชีวิตในวังเพราะแผ่นดินนี้ยังไม่มี ข้างในดังที่ได้กล่าวแล้ว ความร่วงโรยก็เริ่มเกิดขึ้นในวังทีละน้อย ระเบียบประเพณีต่าง ๆ นั้น ยังคงมีอยู่เช่นเดิม ตำหนักรักษาและพระที่นั่งก็ยังเหมือนเก่าไม่ได้ปรักหักพังลงไป แต่ทุกครั้งที่ พลอยเข้าวังเพื่อเยี่ยมเยียนพวกพ้องคนเคยรู้จัก พลอยก็เดินความรู้สึกเหมือนกับว่าไปในบ้านที่ไม่มี เจ้าของเจ้านายชั้นพระมเหสีหรือพระอัครชายาก็เสด็จไปประทับตามวังต่าง ๆ ข้างนอกซึ่งสร้างเป็น ส่วนพระองค์” (สี่แผ่นดิน : ๔๒๔ – ๔๒๕) จากข้อความข้างต้น แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงของประเพณีเก่า ๆ ที่ได้มีการสืบทอดมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ บ้านเมืองดูผิดไปจากเดิมอย่างมาก
๕๔ “ชีวิตของพลอยในระยะต้นในแผ่นดินที่สอง เป็นชีวิตแห่งความสงบ พลอยได้แต่นั่งดูแล บ้านให้เรียบร้อย และดูลูกซึ่งเป็นเด็กผู้ชายทั้งสามคนเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ ชีวิตของสตรีในสมัย นั้นดูเหมือนจะถอยไปอยู่ข้างหลังมิได้รุ่งเรืองออกหน้าออกตาเหมือนกับแผ่นดินก่อน งานการต่าง ๆ ที่มีในระยะนั้นก็ดูเหมือนเป็นเรื่องของผู้ชายเสียเป็นส่วนมาก” (สี่แผ่นดิน : ๔๓๓) จากข้อความข้างต้น มีการกล่าวถึงสภาพบ้านเมืองในสมัยนั้น ๆ จะเน้นในบทบาทหน้าที่ของ ผู้ชายที่เข้ามามีบทบาทมากกว่าสตรี ซึ่งแตกต่างจากสังคมในสมัยก่อน “ในระยะเวลาต้นรัชกาลที่ ๖ นั้น เมืองไทยกำลังอยู่ในรัชสมัยที่สมบูรณ์พูนสุขอย่างยอด เยี่ยมสมัยหนึ่ง หลังจากการทำงาน การก่อสร้างตัวมาแต่แผ่นดินก่อน ๆ ผลดีต่าง ๆ ที่พึงเกิดจะ เกิดขึ้นจากความอุตสาหะพากเพียรของคนแต่ก่อนก็มาตกแก่คนในยุคนั้น ความสงบเรียบร้อยของ บ้านเมือง ทรัพย์สมบัติของบ้านเมืองและของเอกชนที่ได้สะสมเอาไว้ ต่างมารวมกันก่อให้เกิด ความสุขกายสบายใจ และชีวิตที่ไม่มีกังวลแก่คนเป็นจำนวนมาก” (สี่แผ่นดิน : ๔๗๓) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงสภาวะทางสังคมของเมืองไทยที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ในยุคสมัยทั้งในด้านความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ก่อให้ราษฎรใช้ชีวิตอยู่ ด้วยกันอย่างมีความสุข “เมื่อสงครามดำเนินต่อไป พลอยก็รู้สึกว่าของต่าง ๆ เริ่มมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้า ที่มาจากนอก แต่ในตอนของที่ทำในเมืองไทยนี้เองก็มีราคาแพงได้ตามเป็นต้นว่า ของกินและ ข้าวสาร พลอยมีหน้าที่คุมรายจ่ายทางบ้านก็ได้แต่นั่งดูรายจ่ายที่สูงขึ้นด้วยความหนักใจของทุก อย่างดูจะมีค่ามากกว่าเก่าไปหมดคล้าย ๆ กับว่าบ้านเมืองกำลังจะเข้ายุคข้าวยากหมากแพง เหมือนที่ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังมาแต่ก่อน” (สี่แผ่นดิน : ๔๖๗ – ๔๖๘) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความแปรผันทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้สิ่งของ เครื่องใช้ต่าง ๆ ในสมัยนั้นมีราคาสูงขึ้นกว่าปกติ หรือเรียกได้ว่า ยุคข้าวยากหมากแพง “เมืองอังกฤษเขาก็มีเมืองขึ้นมาก เมืองแขก เมืองพม่า เมืองมลายู ก็เป็นประเทศราช ทั้งนั้น” (สี่แผ่นดิน : ๔๑๓) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่ประเทศต่าง ๆ ได้ตกเป็น เมืองขึ้นของประเทศในชาติตะวันตกอย่างประเทศอังกฤษ
๕๕ “พลอยได้รู้เรื่องสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็จากคุณเปรม ในตอนแรกพลอยมิได้สนใจหนัก หนาถือเสียว่าเป็นเรื่องฝรั่งรบกันและก็รบกันถึงยุโรปไกลเกินกว่าตัวมาก” (สี่แผ่นดิน : ๔๖๗) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ของบ้านเมืองที่เกิดสงครามโลก การทำศึก สงครามระหว่างประเทศทางชาติตะวันตก อันจะนำมาซึ่งผลประโยชน์แก่กัน “คราวนี้เยอรมันชนะแน่ คอยดูไปเถิด อังกฤษฝรั่งเศสจะแย่คราวนี้แหละ ฉันเอา เยอรมันเป็นต่อทีเดียว” (สี่แผ่นดิน : ๔๖๘ – ๔๖๙) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการทำศึกสงครามระหว่างฝ่ายเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส “คุณเปรมทำตัวเป็นฝ่ายเยอรมันไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่พูดกันเรื่องสงคราม คุณเปรม จะต้องยกย่องฝ่ายเยอรมันวันเก่งกาจต่าง ๆ รบก็เก่งกว่าฝ่ายพันธมิตร อาวุธก็ดีกว่าฝ่ายพันธมิตร” (สี่แผ่นดิน : ๔๖๙) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความนิยมในด้านความคิดของคุณเปรมที่เข้ามาให้ความ สนใจในเหตุการณ์ของสงครามที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคมขณะนั้น เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง “เมื่อคืนตำรวจออกจับพวกเยอรมันกันทั้งคืน นี่เขาคุมตัวไว้หมดแล้ว ทรัพย์สิน เยอรมันเขาก็ยึดหมด อย่างห้ามบีกริมและเรือเยอรมันอีกตั้งหลายลำ” (สี่แผ่นดิน : ๔๖๙) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เกิดขึ้นในการทำสงคราม “เวลาพูดถึงเยอรมันคุณเปรมก็ใช้ถ้อยคำรุนแรงเรียกว่าอ้ายศัตรูบ้าง อ้ายข้าศึกบ้าง หรือ เรียกว่าอ้ายฮั่น ซึ่งคำหลังนี้คุณเปรมแปลให้ฟังว่าเป็นคนป่าชนิดหนึ่ง มีความโหดร้ายทารุณ ปราศจากศีลธรรมของมนุษย์เหมือนกับพวกเยอรมันสมัยนั้น” (สี่แผ่นดิน : ๔๗๐) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางแนวความคิดที่มีความรุนแรงขึ้น ผ่านทางคำพูดวาจาของคุณเปรม
๕๖ “พระเจ้าอยู่หัวจะทรงประกาศสงครามกับเยอรมัน” (สี่แผ่นดิน : ๔๗๑) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการทำสงครามระหว่างประเทศไทยกับเยอรมัน “ราชสำนักแผ่นดินใหม่ยังเป็นเรื่องของผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่” (สี่แผ่นดิน : ๔๙๕) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงบทบาทหน้าที่ของผู้ชายที่มีอำนาจมากกว่าผู้เป็นหญิง “ฝรั่งเขาเจริญเร็วนั้นเพราะเขาเปิดโอกาสให้ราษฎรทุกคนสนใจกับกิจการบ้านเมืองมาก ไปนั่งตามร้านกาแฟที่ไหนก็เห็นแต่คนคุยกันเรื่องนี้หรือมิฉะนั้นก็อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับกิจการ บ้านเมือง แม้แต่นักเรียนก็พูดกันถึงเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ ที่นี่เขาให้ราษฎรเลือกตัวแทนเข้าไปนั่ง ประชุมปรึกษาราชการ แล้วก็ตั้งรัฐบาลมาปกครองประเทศอีกต่อหนึ่ง รัฐบาลไหนทำไม่ดีเขาก็ติ เตียนได้ ถ้าไม่เชื่อฟังก็ต้องออก คนที่ฝรั่งเศสนี้เขาเสมอกันหมดไม่มีเจ้าไม่มีไพร่ ไม่มีพระเจ้า แผ่นดิน ใครผิดใครถูกก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ทุกคนเขาสนใจ อยากให้บ้านเมืองเจริญ เมื่อเขามี โอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นได้และใช้ความสามารถของเขาได้ บ้านเมืองของเขาจึงเจริญทันใจ ราษฎร ซึ่งผิดกับของเราเพราะการปกครองของเราไม่เป็นเช่นนั้น ฝรั่งที่เขาเรียนหนังสือกับลูกเขา ถามถึงเรื่องการปกครองในเมืองไทยบ่อย ๆ แต่ลูกก็เฉยเสีย เพราะของเรายังหล้าหลังเขาอยู่มาก” (สี่แผ่นดิน : ๕๓๕) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงกิจการบ้านเมือง ความเป็นไปของสังคม ราษฎรมีส่วนร่วม ในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ แนวคิดที่มีต่อกิจการบ้านเมือง กล่าวถึงการทำงานของคณะรัฐบาลที่เข้า มาปกครองแผ่นดิน การใช้อำนาจที่ยุติธรรมถูกต้อง ราษฎรต่างให้ความร่วมมือ เพื่อการบริหาร บ้านเมืองให้มีความเจริญต่อไป “เมืองไทยนั้นหล้าหลัง เจริญไม่พอแต่ความจริงเมืองไทยเท่าที่พอเห็นนั้น รู้สึกว่าจะเจริญ ออกไปไกลกว่าแต่ก่อนมากมาย จนพลอยแทบจะก้าวตามไปไม่ทันอยู่แล้ว จิตใจของคนก็ดี วิธีที่จะ พูดจาปฏิบัติตนก็ดี พลอยสังเกตดูเห็นว่าหละหลวมมากกว่าแต่ก่อน ไม่มีใครค่อยถือประเพณี เคร่งครัดอย่างแต่ก่อน” (สี่แผ่นดิน : ๕๓๖) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นว่าการปกครองของประเทศไทยนั้น ยังมีความล้าหลังอยู่
๕๗ มาก วัฒนธรรม ประเพณีเก่าแก่ที่มีมานั้น กลับลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัดในสังคมนี้ “กาลสมัยเปลี่ยนไป บ้านเมืองเปลี่ยนไป ศาสนาเรียวลงทุกวัน ใจคนก็ต้องเปลี่ยนไปบ้าง ถึงสมัยเราก็เถอะ คนที่เขาทำท่าเหมือนกับแหม่มก็มีถมไป พวกคุณหญิงคุณนายเมียทูตที่เขาเคยไป อยู่เมืองนอก กลับมาถึงเมืองไทย พอมีงานรับเจ้าฝรั่งทีไรเขาออกแสดงแหม่มกันออก จำไม่ได้เสีย แล้วหรือ” (สี่แผ่นดิน : ๕๓๗) จากข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปตามกาลสมัยเปลี่ยน บ้านเมือง ศาสนาก็เปลี่ยนไปตามเช่นเดียวกัน “คำอธิบายของพ่อเพิ่มก็นับว่าใกล้ต่อความจริงอยู่มาก การแต่งกายในสมัยนั้นก็ดี การกินอยู่ อย่างฟุ่มเฟือย การใช้อย่างฟุ้งเฟ้อ ตลอดจนการประกวดประชันแข่งดีกันตามพ่อเพิ่มว่าเป็น สัญลักษณ์ของยุคที่บริบูรณ์ เป็นเครื่องหมายว่าทุกคนในสมัยนั้น อาศัยความสมบูรณ์พูนสุขของ บ้านเมืองอันเป็นผลของการกระทำในยุคก่อน ได้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างสุขกายสบายใจ ปราศจากปัญหา ปราศจากความข้องใจ และด้วยความรู้สึกอันแน่นอนปราศจากความวิตกถึง อนาคต” (สี่แผ่นดิน : ๕๔๖) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึง รสนิยมในการใช้ชีวิตที่สื่อถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ก่อให้สังคมมี ความเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงมีปัญหาในด้านเศรษฐกิจ การแข่งขันกันตามความชอบนั้น แต่ยัง สะท้อนให้เห็นสภาพบ้านเมืองขณะนี้นั้น ว่าราษฎรของแผ่นดินยังมีความกินดีอยู่ดี มีความสุขในการ ใช้ชีวิตในสมัยนี้ “ความหรูหราฟุ่มเฟือยในราชสำนักสมัยนั้น มิได้มีใครเห็นเป็นของเสียหาย และมิได้มีใคร มองดูด้วยสายตาที่มีความอิจฉาริษยา ตรงกันข้ามคนส่วนมากกลับมองดูความเป็นอยู่อย่างนั้นแล้ว เห็นเป็นมาตรฐานที่จะต้องดำเนินตาม การแต่งกาย กิริยามารยาท ตลอดจนวิธีพูดจาและอาหารการ กิน และเหล้าหรือบุหรี่ชนิดต่าง ๆ นั้น มักจะมีความนิยมเกิดขึ้นในราชสำนักก่อน แล้วแพร่หลาย ออกไปโดยทั่ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนทั่วไปนั้นอยู่ในระดับดีพอที่จะไม่ เกิดความเคียดแค้น น้อยใจในความสุขของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และประการที่สองราชสำนักใน สมัยนั้น เป็นราชสำนักเปิด และเปิดด้วยความกว้างขวาง ไม่จำกัดชั้นวรรณะหรือชาติตระกูลของ ผู้ที่เข้าไปอยู่ในนั้นได้” (สี่แผ่นดิน : ๕๔๗)
๕๘ จากข้อความข้างต้น แสดงถึงภาพสะท้อนของบ้านเมือง ที่ผู้คนในสมัยนี้รักความสุขสบาย ชอบความทันสมัย การไม่แบ่งชนชั้นทางวรรณะ เป็นต้น “การปกครองของเราทุกวันนี้โบราณ ล้าสมัย ปกครองกันมาแบบนี้กี่พันปี ก็ยังปกครองกัน อยู่อย่างนั้น ผลที่สุดก็เลยทำอะไรไม่ได้พาคนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย ถ้าจะให้แก้ปัญหาอื่น ๆ ให้ สำเร็จก็ต้องแก้ที่การปกครองก่อนให้ถูกเวลาเหมือนของคนอื่นเขา คนอื่นที่เขาดีมีความสามารถ จะได้มีโอกาสเข้ามาทำงานให้แก่บ้านเมืองได้” (สี่แผ่นดิน : ๖๑๔) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงปัญหาของบ้านเมืองที่ก่อให้บ้านเมืองยังเกิดความล้าหลัง กว่าประเทศอื่น ๆ การหยิบยื่นโอกาสทางการเมืองการปกครองที่นำมาพัฒนาในบ้านเมืองของไทย “ในหลวงทรงตกลงยอมแล้วมีพระราชโทรเลขมาว่า ทรงเห็นด้วยที่จะมีรัฐธรรมนูญปกครอง แผ่นดินและทรงรับเป็นพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ”(สี่แผ่นดิน : ๖๖๑) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการปกครองบ้านเมืองในสมัยนี้ เป็นการปกครองโดยทรง มีพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ “เปลี่ยนจากการปกครองสมัยเก่ามาเป็น Democray แต่การปกครองแบบใหม่นี้เขา รับรองเสรีภาพในการพูด”(สี่แผ่นดิน : ๖๖๑) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นการปกครองที่ได้รับการปรับเปลี่ยนมาจากในสมัยหนึ่งไปสู่ อีกสมัยหนึ่ง ให้มีรูปแบบที่ดีกว่า ราษฎรมีสิทธิเสรีมากขึ้น “การเมืองเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พลอยต้องเสียลูกไปถึงสองคน” (สี่แผ่นดิน : ๗๐๖ ) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึง ปัญหาของเหตุการณ์ทางการเมืองที่เป็นปัจจัยสำคัญใน การใช้ชีวิตของแม่พลอยอยู่ในสมัยนั้น เป็นผลกระทบต่อจิตใจของตัวละครหลักอย่างแม่พลอย “การผลัดแผ่นดินใหม่จากรัชกาลที่ ๗ มาเป็นรัชกาลที่ ๘ นั้นดูเงียบเหงาในสายตาของ พลอย เพราะเป็นการผลัดแผ่นดินทางกฎหมาย โดยที่รัชกาลก่อนยังมิได้เสด็จสวรรคต และพระ เจ้าอยู่หัวแผ่นดินใหม่ก็ยังทรงพระเยาว์และประทับอยู่ต่างประเทศ” (สี่แผ่นดิน : ๗๒๔)
๕๙ จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึง การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินจากสมัยรัชกาลที่ ๗ มาแผ่นดิน รัชกาลที่ ๘ มีความเป็นไปผ่านกระบวนการทางกฎหมาย “เยอรมันเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนครั้งสามสิบปีมาแล้ว ตาอั้นอธิบายอย่างแน่ใจ แต่ก่อนนั้น ถึงจะมี กำลังมากก็ไม่แข็งแรงอย่างทุกวันนี้และผมก็ไม่เชื่อว่าฝรั่งเศสและอังกฤษจะพร้อมที่จะทำ สงคราม แต่เมื่อจำเป็นจะต้องทำสงครามก็คงจะเสียเปรียบเยอรมันมาก สงครามคราวนี้ อาจไม่ ยืดเยื้อเหมือนคราวก่อนก็ได้”(สี่แผ่นดิน : ๘๓๖) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงสภาพบ้านเมืองที่อยู่ในขณะการเกิดสงครามระหว่าง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ “ญี่ปุ่นยกทัพเข้าเมืองไทยตั้งแต่เมื่อคืนนี้...ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับฝรั่ง อังกฤษ อเมริกา จะขอยกทัพผ่านเมืองไทย โดยยื่นคำขาดให้ตอบ ถ้าเราไม่ยอมก็จะเข้าตีเอา” (สี่แผ่นดิน : ๘๔๕) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการประกาศสงครามของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประเทศไทย เรานั้น ได้รับผลกระทบตามไปด้วย ถ้าหากไทยปฏิเสธญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นเองก็จะเห็นไทยเป็นศัตรู เช่นเดียวกัน “ตาอั้นคุกเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ เอามือพลอยไปกุมไว้แล้วพูดเบา ๆ ว่า คุณแม่อย่า...อย่า ร้องไห้ ผมรับขอเสียทีเถิด อย่าร้องไห้ให้ผมเห็นในเวลานี้อ๊อดกับพี่อ้นไม่เป็นไรหรอก ผมรับรอง เพราะญี่ปุ่นรบกับทหารไทยอยู่ที่สงขลา แต่อ๊อดไม่ได้อยู่ที่สงขลาไปทำเหมืองอยู่แถวพังงา ไกลกันตั้ง เป็นกอง พี่อ้นก็อยู่เกาะอีกถึงฝั่งทะเลหนึ่ง ญี่ปุ่นยังไปไม่ถึง ๆ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง” (๘๔๖) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการทำศึกสงครามของประเทศญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในเมือง สงขลา “พลอยดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อญี่ปุ่นเข้าเมืองในภายหลัง ก็รู้สึกว่าแปลก เพราะในวันแรก ๆ นั้นมีแต่คนโทมนัส และเห็นว่าญี่ปุ่นนั้นเป็นมารร้ายที่น่าสยดสยอง แต่ภายในเวลาไม่เท่าไรนัก ความรู้สึกเช่นนั้นก็ดูจะลืมเลือนกันไป ญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก ทั้งทหาร และพลเรือน เข้ามาอยู่ใน เมืองไทยร่วมกับคนไทยโดยสนิทสนม มีทหารญี่ปุ่นผ่านเข้าออกในเมืองไทยนี้อย่างมากมายไม่มีใคร ว่าอะไร และภาวะเช่นนั้น ก็ดูกลายเป็นภาวะธรรมดา” (๘๕๑) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงสภาพบ้านเมืองของไทย ที่มีทหารญี่ปุ่นเข้ามาอาศัยอยู่ใน
๖๐ เมืองไทย เพื่อการทำศึกสงครามโลก ใช้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งทัพเพื่อพักศึกสงคราม ทั้งนี้ยังแสดงออกว่า ในสังคมขณะนั้น ประชาราษฎรคนไทยได้มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับกองทหารญี่ปุ่น ซึ่งเข้ามามีอำนาจใน การปกครองของเมืองไทย “เสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินดังกระหื่มอยู่จากที่สูง เสียงปืนต่อสู้ อากาศยานดังอยู่เป็น ระยะ ๆ ใกล้บ้างไกลบ้าง ทุกครั้งทำให้พลอยและหลานชายต้องสะดุ้งกอดกัน ทุกคนที่อยู่เป็นกลุ่มใน ความมืดสลัวนั้นเงียบกริบไม่มีใครพูดจาว่ากระไรมีแต่เสียงหายใจจากพวกผู้หญิงในบ้านบางคน” (สี่แผ่นดิน : ๘๙๗ – ๘๙๘) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการเหตุการณ์การต่อสู้ มีเสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินดัง กระหื่มอยู่ในขณะการทำศึกสงคราม “ลูกเจ็บเป็นไข้ไปเสียอีกแล้ว หมอบอกว่าเป็นโรคเก่าคือ ไข้มาลาเรียที่ลูกเป็นก่อนไป กรุงเทพ คราวที่แล้ว” (สี่แผ่นดิน :๙๒๗) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงโรคที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองสมัยนั้น ที่เป็นเหตุให้ผู้คนเกิด โรคติดต่อโรคมาลาเรีย อันมีต้นเหตุมาจากยุง “วันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นเฉย ๆ โดยมิได้คาดหมายไว้ก่อน ภาวะเชื่อและตามผู้นำ นั้นหยุดลงอย่างไม่น่าเชื่อ พลอยได้ยินว่ารัฐบาลเก่าลาออกไป รัฐบาลใหม่เข้ามาแทนที่ พลอยได้ ยินเสียงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ปราศรัยทางวิทยุ ละเมื่อจบแล้วแทนที่จะมีเพลงปลุกใจแบบฝรั่ง อย่างที่เคยได้ยิน ก็มีเสียงเพลงเขมรไทรโยคดังเยือกเย็นออกมาทางวิทยุ” (๙๓๑) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในด้านการปกครองของ คณะรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแทนที่ และเข้ามามีผลในการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น ไปโดยสิ้น ๔.๓.๑.๓ กำรศึกษำ “ลูกเรายิ่งรักเท่าไรก็ยิ่งควรจะหาวิชาความรู้ให้ไว้” (สี่แผ่นดิน : ๔๘๓) “แม่พลอยทำใจเสียให้ดี ถ้าไม่ส่งไปเสียแต่เดี๋ยวนี้ เด็กก็จะเสียเวลาไปทุกวัน ยิ่งนานเข้า ก็ยิ่งส่งไปยาก แล้วถ้าไปโตแล้วจะร่ำเรียนอะไรก็ไม่สะดวก ส่งไปยังเด็กจะได้รู้ภาษาได้ช่ำชอง”
๖๑ (สี่แผ่นดิน : ๔๘๔) “ในขั้นแรกนี้จะส่งเด็กสองคนให้ไปเรียนด้วยกันที่อังกฤษก่อน แต่ต่อไปจะส่งตาอั้นไป เรียนกฎหมายที่ฝรั่งเศส ส่วนตาอ๊อดนั้นจะให้เลือกวิชาเรียนจนจบในอังกฤษ” (สี่แผ่นดิน : ๔๘๕) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการศึกษาจากประเทศทางชาติตะวันตก เข้ามามีอิทธิพล ต่อประเทศไทยในแผ่นดินของรัชกาลที่ ๖ – รัชกาลที่ ๗ .ของบ้านเมืองสมัยนั้นที่นิยมส่งลูกหลานเข้า ไปศึกษาในต่างประเทศ หลังจากนั้น เพื่อที่จะใช้วิชาความรู้ที่ได้ร่ำได้เรียนมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ให้มีความทันสมัย และไม่ล้าหลังไปกว่าประเทศอื่น ๆ “การเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัย และที่โรงเรียนนั้นผิดกันราวกับหน้ามือและหลังมือทีเดียว เมื่ออยู่โรงเรียนนั้น เขาปกครองอย่างเด็ก ๆ ไม่มีเวลาที่จะปล่อยให้เป็นตัวของตัวเองหรือให้ทำอะไร ตามใจตัวเองได้ การกระทำทุกอย่างนั้นเป็นไปตามข้อบังคับและตามเวลาที่เขากำหนดให้ทำ แต่พอ ขึ้นมาอยู่ที่มหาวิทยาลัย เขาก็เริ่มเลี้ยงเราอย่างผู้ใหญ่ทันที มีห้องนอนห้องนั่งจัดไว้ให้เฉพาะ และมี บ่าวประจำคนหนึ่ง การเรียนนั้นมีอาจารย์คอยควบคุม แต่เขาก็ควบคุมอย่างผู้ใหญ่ด้วยกัน เป็น แต่เพียงแนะนำว่าควรจะอ่านหนังสืออะไรบ้าง ควรจะฟัง Lecture ที่ไหนบ้าง เมื่อเขาแนะนำ แล้ว เราจะทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้ สุดแล้วแต่ตัวเราเป็นใหญ่” (สี่แผ่นดิน : ๕๕๘) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการศึกษาในชีวิตมหาวิทยาลัย ความแตกต่างระหว่าง การเรียนในระดับการศึกษาของโรงเรียนกับมหาวิทยาลัย ในต่างประเทศกับประเทศของเรา คือ ประเทศไทยรูปแบบต่างกันโดยสิ้นเชิง “การเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ ขอแม่อย่าได้เข้าใจว่าลูกอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อ เรียนความรู้จากบ่าวฝรั่ง ที่เล่ามาให้ฟังก็เพราะเห็นมันแปลกดี แต่การหาวิชาความรู้ที่นี่ เป็น เรื่องที่เราจะต้องหาเอาเองไม่มีใครมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชถ่ายทอดความรู้ให้” (สี่แผ่นดิน : ๕๖๐) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการศึกษาเป็นสำคัญ ความจำเป็นใน การศึกษาเล่าเรียนในชีวิตของผู้คนในสมัยนั้น ๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่า
๖๒ “ลูกสอบไล่กฎหมายได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกจึงได้ซื้อตั๋วเรือเพื่อจะได้กลับบ้าน กะว่าจะถึง บ้านในปลายเดือนหน้า ครูบาอาจารย์ตลอดจนเพื่อนฝูงของลูกเห็นว่าลูกควรจะเรียนต่อหาความรู้ ชั้นสูงไปอีก แต่ลูกเห็นว่าลูกควรจะรีบกลับบ้าน เพื่อทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองของเราต่อไป เมืองไทยของเรายังล้าสมัยอยู่มาก ต้องการคนมีความรู้เข้ามาสร้างความเจริญให้” (สี่แผ่นดิน : ๕๖๖) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงชนชั้นทางการศึกษา ที่แสดงออกถึงความทันสมัย เป็นที่ นิยมของบ้านเมืองในเวลานี้ ครู อาจารย์เข้ามีบทบาทมากในบ้านเมือง ทั้งนี้ วิชา ความรู้ ต่างเป็น เครื่องหมายที่สำคัญอย่างหนึ่ง ๔.๓.๑.๔ ค่านิยม ความเชื่อ “พลอยจำได้ว่าปีนั้นเป็น ร.ศ. ๑๑๘ และพอกลับมาถึงในวังได้ไม่เท่าไรก็บังเกิดความ ตื่นเต้นนิยมขี่จักรยานหรือที่เรียกกันในขณะนั้นว่ารถ “ไบซิเกิ้ล” อย่างขนานใหญ่” (สี่แผ่นดิน : ๒๕๗) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นค่านิยมในสังคมที่นิยมใช้รถจักรยาน เป็นพาหนะในการ เดินทาง “ชาววังผู้เคยอยู่ทั้งสองแห่งจะต้องยืนยันเป็นเสียงเดียวดันว่า ที่สวนดุสิตนั้นผีดุกว่ามาก ถึงแม้ในวังจะมีคนถูกผีหลอกบ้างประปราย ผีที่หลอกในวังนั้นก็เป็นผีเจ้าผีนาย ย่อมมีมารยาท เรียบร้อยกว่าคนธรรมดาสามัญ ด้วยเหตุที่ในวังนั้นไม่มีใครจะเข้าไปตายได้นอกจากเจ้านาย ยกเว้นกรณีพิเศษที่หามออกไปไม่ทันจริง ๆ แต่ถ้าเกิดกรณีเช่นนั้นขึ้นแล้วก็ย่อมจะต้องมีพิธีสวด มนต์ปัดรังควาน ไล่ผีให้เตลิดไป “ (สี่แผ่นดิน : ๒๗๗) “ในวังนั้นมีผู้ได้ยินเสียงเปรตร้องเป็นครั้งเป็นคราว เปรตนั้นก็ว่าเป็นเจ้านายในวังอีก จึงไม่ มีภัยอันตรายอย่างใด พลอยเคยได้ยินเสียงเปรตร้องถนัดชัดเจนกลางดึกที่ในวังครั้งหนึ่ง และ คนทีนอนอยู่ในห้องเดียวกันคือคุณสายและช้อยก็ได้ยิน เสียงนั้นเป็นเสียงหวีดร้องอย่างโหยหวน ของผู้หญิง และดังจนพลอยและช้อยต้องลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ เสียงนั้นร้องขึ้นครั้งเดียวแล้วก็ เงียบไป แต่ก็ทำให้คุณสายต้องลุกขึ้นจุดตะเกียงสวดมนต์พึมพำอยู่พักใหญ่ จบลงด้วยการ กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลไปถวาย” (สี่แผ่นดิน : ๒๗๗) “ส่วนหนึ่งของที่ที่เป็นสวนดุสิตนั้นแต่ก่อนเป็นวัดร้าง มีป่าช้าเก่า เมื่อมาขุดถมที่ดินก็ว่า
๖๓ กันว่าได้ขุดเอากระดูกคนขึ้นมามาก” (สี่แผ่นดิน : ๒๗๗) “เมื่อคืนวานนี้เองแหละพลอย คนเขาเห็นกันตั้งหลายคน เขาเล่าให้ฉันฟังว่า มันโผล่ขึ้นมา ระหว่างอ่างบัวที่ท่านฯ ปลูกไว้หน้าตำหนัก คนที่เขานอนอยู่ข้างล่างเห็นเข้านึกว่าขโมย เขาร้อง เอะอะ มันก็ไม่ไป ตกใจเต็มที่ เขาถอดกำไลข้อมือขว้างมันก็ยังอยู่ ที่นี้คนอื่น ๆ ได้ยินเสียงร้องก็ พากันมาดู จุดไต้จุดไฟกันขึ้น มันก็ยังอยู่ที่เก่า โผล่ขึ้นมาจากพื้นเป็นรูปคนครึ่งตัว อ้วน ๆ ดำ มิดหมี หัวล้านด้วย แล้วก็ตาพองโต เขาว่ามันกลอกตาไปมาน่ากลัวพิลึกละ” (สี่แผ่นดิน : ๒๗๙) “รดน้ำแล้วพลอยก็พลัดเครื่องแต่งตัวอีกชุดหนึ่ง และเมื่อแต่งตัวด้วยชุดใหม่เสร็จแล้ว ก็ ต้องรีบขึ้นไปนำผ้าไหว้ไปเซ่นผีบรรพบุรุษของทางคุณเปรมที่บนตึก” (สี่แผ่นดิน : ๓๓๓) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เป็นความชื่อ ในเรื่องผีสาง ที่นิยมเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแต่ก่อน และสังคมในสมัยนี้ ต่างก็ยังมีความเชื่ออย่าง นั้นอยู่เช่นเดิม แนวความคิดไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก “คุณเชยกับแม่ชั้นเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนพลอยจนค่ำประมาณสักยามหนึ่ง แม่ชั้นก็ขอตัว หายไป บอกว่าได้ฤกษ์ปูที่นอนแล้ว และเมื่อถึงเวลาอีกสิบนาทีจะห้าทุ่ม เจ้าคุณพ่อและคุณสายก็พา ตัวพลอยขึ้นไปบนตึกเพื่อส่งตัวต่อคุณเปรมที่รออยู่บนนั้น” (สี่แผ่นดิน : ๓๓๔) จากข้อความข้างต้น แสดงให้ความเชื่อในเรื่องของฤกษ์งามยามดี ของการจัดพิธีการที่ เกิดขึ้นในงานแต่งงานของแม่พลอย ที่ต้องอาศัยฤกษ์เพื่อความเป็นสิริมงคล “สามวันแรกของชีวิตแต่งงานพลอยมิได้ไปไหน นอกจากไปที่บ้านคลองบางหลวงอย่าง เงียบ ๆ พร้อมกับคุณเปรม เพื่อนำผ้าไปไหว้กระดูกบรรพบุรุษในห้องพระที่ตึกเจ้าคุณพ่อ” (สี่แผ่นดิน : ๓๓๗) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องของผีบรรพบุรุษที่เป็นที่เคารพนับ ถือ เพื่อปกป้องคุ้มครองเจ้าบ้านให้ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข ไม่มีสิ่งใดเข้ามากร่ำกราย “ท่านฝันว่าท่านนั่งอยู่ที่บ้าน เห็นดาวอะไรก็ไม่รู้ ดวงใหญ่มีรัศมีลุกโพลงเหมือนผีพุ่งใต้ แล่นผ่านท้องฟ้าจากบ้านข้ามมาฟากข้างนี้ พอท่านตกใจตื่นก็พอดีใกล้รุ่ง พอท่านแก้ฝันให้ฉันฟัง แล้วท่านก็ทำนายของท่านเสร็จ ท่านว่าคราวนี้เห็นจะได้หลานตาเป็นผู้ชาย”
๖๔ (สี่แผ่นดิน : ๓๗๗ - ๓๗๘) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องการทำนายความฝัน ที่มีความเชื่อ มาในสังคมสมัยก่อน ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังจะมาถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์ อะไรบ้าง ในที่นี้ พูดถึงความฝันของเจ้าคุณพ่อของแม่พลอยที่คิดว่า แม่พลอยจะให้กำเนิดบุตรคน แรก ซึ่งเป็นผู้ชาย “ถ้าอยากออกลูกง่าย ๆ ก็ให้เดินเหินให้มาก ๆ อย่างนั่งนอนอยู่กับที่นิ่ง ๆ” (สี่แผ่นดิน : ๓๘๗) “ผู้ดีที่ออกลูกกันยาก ก็เพราะท่านไม่ทำอะไร ได้แต่นั่งกับนอน นางพิศอธิบาย คนที่บ้าน ของบ่าวเขามีท้องเขาก็ยิ่งทำการงาน ตักน้ำตำข้าว เขาออกลูกง่ายกันทุกคน คุณพลอยไม่ต้องทำการ งานอะไรก็เดินเหินเสียบ้าง” (สี่แผ่นดิน : ๓๘๗) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องการคลอดบุตรของผู้เป็นแม่ใน สมัยก่อน ในระยะเวลาที่อุ้มท้อง ถ้าเกิดผู้เป็นแม่ได้แต่นอนนิ่ง ไม่ทำงานทำการอะไรเลย การคลอด บุตรนั้นถือว่าทำยาก แต่ถ้าหากในระยะเวลาที่ผู้เป็นแม่ ต่างทำงานหนัก การคลอดนั้นจะทำได้ง่าย กว่า ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อของคนโบราณที่ยายพิศนำมาบอกกล่าวแก่แม่พลอย “นางพิศและยายเทียบก็ตั้งพิธีตามตัวคุณนุ้ยมาคอยรับเด็ก นางพิศอ้างว่าต้องทำอย่างนี้ เพื่อไล่ผีสางมิให้รบกวนเด็ก” (สี่แผ่นดิน : ๓๙๒) “พอได้เวลานางพิศก็ยกกระด้งใส่เด็กขึ้นร่อนไปมากระทืบเท้าขู่ผีตามธรรมเนียม แล้วก็ ร้องว่า สามวันลูกผีสี่วันลูกคน ลูกของใคร รับเอาไปเน้อ” (สี่แผ่นดิน : ๓๙๓) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคนโบราณ ที่มีกล่าวมาว่า หลังจากที่ บ้านใดมีการคลอดบุตร ต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้กับเด็กที่คลอดออกมา ไม่ฉะนั้น ผีสางจะมา นำเอาตัวเด็กไปเป็นลูก เป็นความเชื่อที่มีมาก่อนทุกยุคทุกสมัย “การแต่งเนื้อแต่งตัวนั้นดูพิถีพิถันเอาสวยเอางามกว่าแต่ก่อน ท่าทางก็ดูทะมัดทะแมง กระเดียดไปทางฝรั่ง” (สี่แผ่นดิน : ๔๒๔)
๖๕ “คุณเปรมซื้อผ้าม่วงผ้าพื้นสีต่าง ๆ เป็นจำนวนมากมาย และตัดเสื้อที่ใช้ผ้าราคาสูง เป็นจำนวนมาก จะเป็นไหนก็แต่งตัวอย่างประณีตบรรจงเหมือนกับว่าจะไปประกวดประชันกับ ใคร” (สี่แผ่นดิน : ๔๒๔) “คุณเปรมเริ่มสะสมผ้านุ่งและเสื้อ หมวก ตลอดจนถุงตีน” (สี่แผ่นดิน : ๔๒๔) “คุณเปรมเอ่ยขึ้นมาว่า เสื้อนอกที่ซักรีดในเมืองไทยนั้นฝีมือไม่ดี ไม่เรียบร้อย อยากจะ ส่งไปซักที่สิงคโปร์โดยฝากเรือเมล์ไป” (สี่แผ่นดิน : ๔๒๔) “คุณเปรมซื้อรถยนต์ตอนเดียว เครื่องทองเหลืองจุดไฟแก๊สที่ตะเกียงข้างหน้ามาคันหนึ่ง และจ้างแขกมาขับ พลอยก็เห็นดีด้วยเพราะรถยนต์เป็นของใหม่ สะอาดสะอ้าน รวดเร็วกว่ารถม้า และทำให้พลอยได้มีหน้ามีตาไปด้วย” (สี่แผ่นดิน : ๔๒๔) “สมัยนี้เขานิยมส่งลูกไปเรียนนอกกัน ฉันก็อยากส่งอั้นกับอ๊อดไปเรียนนอกบ้างกลับมา จะได้ช่องทางเข้ารับราชการมีหน้ามีตาว่าคนที่ไม่ได้ไป” (สี่แผ่นดิน : ๔๖๒) “ตั้งแต่นั้นพลอยก็ปล่อยผมให้ยาว และเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับบ้านไม่ไหนจนผมนั้นเกล้า ได้” (สี่แผ่นดิน : ๔๙๓ – ๔๙๔) จากข้อความทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงค่านิยมของสังคมไทยในสมัยนี้ ที่ ได้รับอิทธิพลความคิดมาจากชาติตะวันตก ทั้งในเรื่องการแต่งกาย ที่เปลี่ยนจากของเก่ามาเป็น ของใหม่ มีความแปลกตา การไว้ผมของสตรี การซื้อรถยนต์ไว้ใช้ขับ รวมถึงการไปเรียนต่อ ต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นกระแสในสังคมที่ให้คนปฏิบัติตามกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม สมัยนี้เสียจริง ๆ ๔.๓.๒ ภาพสะท้อนวัฒนธรรม ประเพณี ๔.๓.๒.๑ พิธีการโกนจุก “วันงานโกนจุก” (สี่แผ่นดิน : ๑๐๔) จากข้อความข้างต้น พิธีการโกนจุกที่ปรากฏในเรื่อง เป็นการสืบทอดวัฒนธรรม ประเพณีที่มี มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ในเนื้อเรื่องนี้มีการกล่าวถึงงานโกนจุกที่มีให้กับพลอยกับช้อยผู้ซึ่งเติบโตเป็นสาว
๖๖ ๔.๓.๒.๒ การละเล่นของไทย และต่างประเทศ “มีการละเล่นที่น่าดูหลายอย่าง มีไม้ลอยซึ่งคนปีนไม้สูงขึ้นไปอยู่บนยอด มีไต่สวดและ การแสดงโลดโผนอื่น ๆ ที่ชอบมากที่สุดก็เห็นจะได้แก่ กะอั้วแทงควาย มีคนสองคนเข้าไปอยู่ในผ้า คลุมถือหัวควาย แสดงกิริยาเหมือนควายจริง ๆ มีชายคนหนึ่งเล่นเป็นผัวนางกะอั้วถือมืดไล่แทงควาย จะมีคนแต่งเป็นนางกะอั้วอย่างตลกน่าหัวเราะ ถือร่มขาดและกระเดียดกระจาดคอยวิ่งตามหลัง ส่วน ควายนั้นก็วิ่งไล่ขวิดคนทั้งสอง” (สี่แผ่นดิน : ๗๖) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึง การละเล่นของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อน ในยุคแห่ง รัชกาลที่ ๕ ที่มีเล่นในงานพิธีกรรม ประเพณีต่าง ๆ ลักษณะของการละเล่น กะอั้วแทงควาย จะให้คน สองคน เข้าไปอยู่ในผ้าคลุม มีหน้าที่ถือหัวควาย เลียนแบบพฤติกรรมของควายให้เกิดความสมจริง และ ต่อจากนั้นให้ชายผู้หนึ่งแสดงเป็นสามีของนางกะอั้วถือมีดวิ่งไล่แทงควาย “โขนกลางแปลงนั้นมีกลางคืน ท้องสนามหลวงจึงถูกประดับประดาด้วยโคมไฟ สว่างไสว ดูสวยงามแทบจำไม่ได้ โขนคืนนั้นจัดตอนพระรามเข้าเมืองมีการสมโภชต้อนรับพระราม คืนเมืองอโยธยา” (สี่แผ่นดิน : ๑๕๙) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการเล่นโขน ซึ่งเป็นที่นิยมของคนในสมัย นั้น ๆ “วันนั้นเป็นวันแรกที่พลอยได้เห็นการเต้นรำแบบฝรั่ง นักเรียนหญิงกับนักเรียนชายจับคู่กับ กันเต้นรำกลางสนามหน้าพลับพลา เข้ากับจังหวะแตรวงที่เล่นเพลงเต้นรำเรียกว่า เพลงลาน เซอร์และเซอร์โรเยอร์” (สี่แผ่นดิน : ๑๖๐) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการรับวัฒนธรรมของชาติตะวันตกในวัฒนธรรมการ เต้นรำ ให้เข้ากับจังหวะเพลง ซึ่งเป็นทำนองเพลง ซึ่งในประเทศไทยในสมัยนั้นไม่เคยมีมาก่อน “ละครคืนนั้นเล่นเรื่องอิเหนา ตอนอิเหนาเข้ากรุงดาหาไปจนถึงตอนใช้บนเพื่อให้เข้ากับ เรื่องเสด็จพระราชดำเนินกลับพระนคร บรรดาท่านที่ออกรำในคืนนั้นล้วนแล้วแต่สูงด้วยเกียรติและอายุ ตั้งแต่ท้าวดาหา นางประไหมสุหรี มะเดหวี อิเหนา บุษบา ฯลฯ” (สี่แผ่นดิน : ๑๖๑)
๖๗ “กระบวนรำและศิลป์ชั้นเชิงของละครคืนนั้นสดที่จะพรรณนาได้ถูกเพราะท่านผู้ แสดงแต่ละคนมีศิลปสูงเยี่ยงเป็นชั้นครูบาอาจารย์อยู่แล้ว” (สี่แผ่นดิน : ๑๖๑) “พลอยแว่วได้ยินเสียงเหมือนใครร้องเพลงดัง ๆ อยู่แต่ไกลและเสียงนั้นก็ค่อย ๆ ดังใกล้ ๆ เข้ามาทุกทีจนจับคำที่ร้องอยู่สุดเสียงนั้นได้ว่าเป็นเพลงกราวนอก” (สี่แผ่นดิน : ๑๙๖) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนให้ด้านการละครเรื่องอิเหนา ศิลปะ ท่ารำต่าง ๆ รวมทั้งแสดงถึงบทเพลงพื้นบ้านอย่างเพลงกราวนอก ๔.๓.๒.๓ พิธีการแต่งงาน “วันสำคัญที่สุดในชีวิตของพลอยวันหนึ่งคือวันแต่งงานก็มาถึง” (สี่แผ่นดิน : ๓๒๐) “นิ่งเสียเถิดพลอย อย่าร้องไห้ร้องห่มไปเลย เจ้าจะออกไปแต่งงาน เขาถือว่าเป็นพิธี มงคล ร้องไห้ไปไม่ดีหรอก จะเป็นลางไปเปล่า ๆ” (สี่แผ่นดิน : ๓๒๑) “แม่พลอยจำไว้ให้ดี รดน้ำแล้วต้องถอดมงคลก่อน แล้วลุกจากเตียงก่อน ต่อไปเขาจะ ได้กลัวเรา อย่าลืมทีเดียว ช้อยคอยเตือนด้วย” (สี่แผ่นดิน : ๓๓๑) “เจ้านายต่างกรมองค์ หนึ่งเสด็จเข้ามาในห้องเพื่อทรงสวมมงคลแฝดให้คู่บ่าวสาว เมื่อ ประทานน้ำสังข์แล้วก็ทรงเจิม” (สี่แผ่นดิน : ๓๓๓) “ต่อจากนั้นก็มีญาติผู้ใหญ่เข้ามารดน้ำมากมาย บางคนก็ให้ศีลให้พร บางท่านก็ชมว่า สมกันนัก บางท่านก็รดน้ำเงียบ ๆ ส่วนมากเป็นญาติผู้ใหญ่จริง ๆ น้ำที่รดจึงลงบนศีรษะของพลอย เกือบทั้งหมด” (สี่แผ่นดิน : ๓๓๓) “พอเห็นเจ้าคุณพ่อและคุณสายนำพลอยเข้าไป คุณเปรมก็ลงกราบ เมื่อลงนั่งกัน เรียบร้อย เจ้าคุณพ่อก็บอกพลอยให้กราบคุณเปรม แล้วก็เริ่มสั่งสอนให้คุ้มครองกัน” (สี่แผ่นดิน : ๓๓๔) จากข้อความข้างต้น ที่กล่าวถึงพิธีการแต่งงาน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญ สะท้อนวิถี ชีวิต พิธีกรรมทางศาสนาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากสังคมในสมัยอดีต ในเนื้อเรื่องเป็นงานพิธี แต่งงานของชีวิตแม่พลอยกับคุณเปรม ซึ่งเป็นวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงาม
๖๘ ๔.๓.๒.๔ วัฒนธรรมการทักทายของคนไทย และคนต่างชาติ “ตาอั้นส่งภาษาฝรั่งกับแหม่มอีกสองสามคำ แหม่มก็หันหน้ามายิ้มกับพลอย พอพลอยจะเอา อย่างคุณเปรมโดยยื่นมือออกไปหมายว่าจะจับมือกับแหม่ม แหม่มก็ตรงเข้ามาจับหัวไหล่พลอย ดึงตัวเข้าไปชิด เอาแก้มทาบเข้ากับแก้มของพลอย แล้วก็ดูดปากที่อยู่ชิดข้างหูของพลอยดังจ๊วบ ใหญ่” (สี่แผ่นดิน : ๕๗๐) “แหม่มเดินตรงเข้าไปที่คุณเปรม ทักเป็นภาษาฝรั่งแล้วก็เอื้อมมือออกจากมือกับคุณเปรมอีก ครั้งหนึ่ง” (สี่แผ่นดิน : ๕๗๘) “ตาอั้นเห็นพ่อไปพอใจก็พูดขึ้นว่าธรรมเนียมฝรั่งเศสครับคุณพ่อ เจอะกันเข้าก็ต้องจับมือ กัน” (สี่แผ่นดิน : ๕๗๘) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงภาพสะท้อนวัฒนธรรมของชาวต่างชาติ ที่เข้ามาใน ประเทศไทย ในที่นี่บรรยายเกี่ยวกับการทักทายของฝรั่ง ซึ่งผิดไปจากวัฒนธรรมของไทยอย่างแท้จริง ๔.๓.๒.๕ วัฒนธรรมด้านอาหาร “บนชั้นนี้มีขวดโหลวางเรียงรายอยู่แถวในขวดโหลนั้นใส่ข้าวตังกะทิบ้าง น้ำพริกเผาบ้าง หมู หยอง มะขามฉาบ ปลาแห้งผัด พริกกะเกลือ ฝอยทองกรอบ ขนมอะลัว และของอื่น ๆ ที่น่าสนใจ” (สี่แผ่นดิน : ๑๙) “ชามใบหนึ่งนั้นใส่ไข่แมงดาทะเลซึ่งพลอยเคยเห็นแต่เขาแกงคั่วกับสับปะรด และชามอีกใบ หนึ่งนั้นใส่กุ้งตะเข็บ ซึ่งพลอยเคยเห็นเขาทำกุ้งเค็ม หรือใช้ผัดใช้แกง แต่ไข่แมงดาทะเลและกุ้งที่ เห็นในวังวันนี้กลายเป็นของใหม่สำหรับพลอย เพราะทั้งสองอย่างนั้นเชื่อมน้ำตาลมีน้ำตาลจับจน แข็ง พลอยเหลียวไปดูแม่เพื่อจะหาความรู้ก็เห็นแม่กำลังหยิบกุ้งเชื่อมหรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็ต้อง เรียกว่ากุ้งแช่อิ่ม” (สี่แผ่นดิน : ๒๐) “ในสำรับนั้นจะมีกับข้าวชาววังที่ประหลาดพิสดารอย่างไรอีกบ้าง แต่พอเปิดฝาชามออก พลอยก็ค่อยคลายใจ เพราะพบกับข้าวที่รู้จักแล้วทั้งนั้น เป็นต้นว่า แกงบอน ผัดถั่วฝักยาว ยำไข่ ปลาดุก” (สี่แผ่นดิน : ๒๑) “น้ำพริกหมากมาดและน้ำพริกผัด พลอยสั่งเขาทำเป็นพิเศษให้แก่หวานไว้เพราะพี่เนื่อง
๖๙ ชอบอย่างนั้น หมูหยองนั้นช่วยกันทำสองคนกับช้อยตลอดจนมะขามฉาบ ขนมกรุบขนมกรอบ ลูก บัวผัด” (สี่แผ่นดิน : ๑๓๖) “เช้าวันนั้น น้ำขึ้นเต็มคลอง เรือที่พายเร่ขายของต่าง ๆ เช่นผลไม้จากสวน ผักสด พริก มะเขือ นานาชนิด จนถึงเรือขนมจีน เรือข้าวเม่าทอดพายผ่านไปใกล้ ๆ ส่งกลิ่นเข้าจมูกพลอย ทำให้ หวนระลึกถึงบรรยากาศเดิมเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ที่บ้านกับแม่และเคยตามแม่มาซื้อ ของ เรือที่ตีนท่า” (สี่แผ่นดิน : ๑๗๘) “พลอยหาเรื่องมาทำแก้กลุ้ม จ้างเจ๊กต่อหีบไม้ใบใหญ่ทำของกินบรรจุใส่ขวด มีหมูหยอง มะขามฉาบ ลูกบัวผัด ลูกไม้แช่อิ่มต่าง ๆ เอาลงหีบสำหรับลูกจะได้ไปกินในเรือกลางทาง” (สี่แผ่นดิน : ๔๘๕) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมด้านอาหาร กล่าวถึงอาหารหลากหลายชนิด ได้แก่ ข้าวตังกะทิบ้าง น้ำพริกเผาบ้าง หมูหยอง มะขามฉาบ ปลาแห้งผัด พริกกะเกลือ ฝอยทอง กรอบ ขนมอะลัว ไข่แมงดาทะเล กุ้งแช่อิ่ม แกงบอน ผัดถั่วฝักยาว ยำไข่ปลาดุก ข้าวเม่าทอด น้ำพริก ขนมจีน นอกจากนี้ในเนื้อเรื่องยังพูดถึงพืชผัก ผลไม้ต่าง ๆ ๔.๓.๒.๖ วัฒนธรรมด้านการแต่งกาย “ทุกคนแต่งกายแฟนซีแบบต่าง ๆ เป็นฝรั่งก็มี เป็นไทยก็มี เป็นจีนก็มี” (สี่แผ่นดิน : ๑๖๐) จากข้อความข้างต้น แสดงให้ให้เห็นภาพสะท้อนในด้านการแต่งกายด้วยการรับเอาวัฒนธรรม ชาติตะวันตกเข้ามาประยุกต์ในให้มีความเหมาะสมกับความเป็นอยู่ของยุคสมัย ทั้งนี้ในเรื่องมีการพูด ถึงการแต่งกายแนวแฟนตาซี ทั้งแบบฝรั่ง ไทย และจีน “บรรดาผู้ที่ไปในงานนั้นแต่งกายสวยงามพิสดารแบบแปลกตาทุกท่าน บางท่านแต่ง เป็นแขกดำ บางท่านแต่งเครื่องฮองเฮา จากราชสำนักเมืองจีนอย่างเต็มยศ บางท่านเป็นเร็ดไรดิง ฮู้ดจากเทพนิยายฝรั่ง บางท่านแต่งเป็นนางละเวง นางพระยาฝรั่งจากเรื่องพระอภัยมณี” (สี่แผ่นดิน : ๑๖๑) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงภาพสะท้อนของการแต่งกายที่มีความแปลกใหม่ของยุค
๗๐ สังคมในสมัยนั้น อาจมีวัฒนธรรมหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย “ผ้าลายที่จะต้องเลือกดูกันทุกกุลีไป นอกจากผ้าลายก็ยังมีผ้าม่วงไหมเลี่ยน ผ้าม่วง ดอก ผ้าม่วงลาย ผ้าม่วงคดกฤช ซึ่งต้องเลือกซื้อไว้นุ่งไปการงานออกหน้าออกตาให้สมกับฐานะ” (สี่แผ่นดิน : ๓๑๒) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการใช้ผ้าลวดลายต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทสำคัญ ในสังคมมากขึ้น “เสร็จจากเรื่องผ้าก็ถึงเรื่องเสื้อ ซึ่งเดี๋ยวนี้ใส่กันหนาตากว่าแต่ก่อน สมัยนิยมนั้นก็ เปลี่ยนไปจากเสื้อแขนพองเหมือนขาหมูแฮม กลายเป็นเสื้อแขนธรรมดารัดเอวแน่นและเกี่ยวขอ ข้างหลัง” (สี่แผ่นดิน : ๓๑๒) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการแต่งกายที่แตกต่างไปจากแผ่นดินก่อน ๆ นิยมใช้เสื้อ แขนธรรมดา มากว่าเสื้อแขนพองที่มีอยู่ในอดีต “พลอยก็เห็นว่าของที่ประทานนั้นมีราคาอยู่มิใช่ของเล็กน้อยอย่างที่เสด็จรับสั่ง อันหนึ่ง เป็นเข็มกลัดสำหรับกลัดกับแพรสะพายทำเป็นช่อกุหลาบทำด้วยเพชรกับทับทิม สายสร้อยอีก สองเส้นนั้นก็ฝังเพชรกับทับทิมสลับกัน” (สี่แผ่นดิน : ๓๒๒) “พลอยนุ่งผ้าม่วงดอกใส่เกือกถุงตีน สะพายแพรกลัดเข็มกลัด และสวมสายสร้อยที่ เสด็จประทาน และเพื่อเอาใจเจ้าคุณพ่อ” (สี่แผ่นดิน : ๓๓๒) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงภาพสะท้อนการแต่งกาย การใช้เครื่องประดับที่มีความ ลวดลายประดับสวยงาม หรือเป็นเครื่องประดับที่ทำจากวัตถุ คือ ทับทิม เพชร หรือเม็ดพลอย ตกแต่งสลับกันไป “บรรดาสตรีทั้งสาวและไม่สาวก็เริ่มแต่งกายไปตามแบบที่พระวรกัญญาฯ โปรดทรง แบบนั้นก็ คือ นุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่ถุงเท้ารองเท้า และเสื้อรัดเอวปล่อยชายยาวลงมาเหมือนกระโปรง เกือบจะคลุมผ้านุ่งนั้นมิด ดูแต่ไกล ๆ ก็เหมือนกระโปรงแหม่มอย่างสั้น ๆ ใครที่ไว้ผมยาวก็เกล้า มวยแล้วใช้แถบกำมะหยี่หรือแพรรัดที่หน้าผากผู้หญิงคนใดที่แต่งตัวกันอย่างนี้ก็นับว่าทันสมัย เป็นที่สุด” (สี่แผ่นดิน : ๔๙๖)
๗๑ จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงภาพสะท้อนวัฒนธรรมการแต่งกายของสังคมในสมัยนั้น ๆ มีการแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมฝรั่ง โดยการแต่งกายใส่กระโปรงสั้น ๆ เกล้าผมมวยแล้วใช้แถบ กำมะหยี่ แพรรัดที่หน้าผาก เพื่อความทันสมัย “การเปลี่ยนจากผ้านุ่งโจงกระเบนมาเป็นนุ่งผ้าซิ่น” (สี่แผ่นดิน : ๕๓๙) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการแต่งกายที่เปลี่ยนจากการนุ่งผ้าโจงกระเบน เปลี่ยนมาเป็นการนุ่งซิ่นเป็นส่วนใหญ่ “ฝ่ายคุณเชยก็มองดูน้องสาวแล้วหัวเราะขึ้นเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างเห็นว่าการเปลี่ยนแปลใน เครื่องแต่งกายนั้นเป็นของไม่สำคัญ แต่เป็นเพียงอารมณ์ชั่วขณะของผู้เป็นใหญ่ต่อไปก็อาจเลิก หาได้รู้ไม่ว่าผ้าซิ่นนั้นเมื่อมาถึงแล้วก็จะมาอยู่ตลอดไป และจักกลับกลายเป็นกระโปรง เป็นสแล็ค ยาวแล็คสั้นและอื่น ๆ อีกเป็นอันมาก” (สี่แผ่นดิน : ๕๔๒) จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการแต่งกายที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยจาก แผ่นดินเก่ามาสู่แผ่นดินใหม่ โดยการแต่งกายในสมัยนี้ จะนิยมนุ่งซิ่น กระโปรง เป็นต้น จากการศึกษา การวิเคราะห์บุคลิกลักษณะของตัวละคร ศึกษากลวิธีการดำเนินเรื่อง และภาพสะท้อน ในนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ปรากฏผลการวิเคราะห์ในการศึกษาประเด็น ดังกล่าวครอบคลุมในความรู้ในหลากหลายมุมมอง ทั้งที่เป็นบุคลิกลักษณะของตัวละครทั้งหมด ล้วนมีบทบาท หน้าที่ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว มีลักษณะนิสัยที่ต่างกันออกไป ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามบริบท ของสังคมในแผ่นดินแต่ละสมัย ในประเด็นกลวิธีการดำเนินเรื่อง มีกลวิธีที่น่าสนใจ ความเป็นไปของเรื่องราวเป็นไป ตามลำดับเวลาของแต่ละแผ่นดินที่ดำเนินไปตลอดจนแผ่นดินที่ ๔ นอกจากนี้ นวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดินนี้ ยังสะท้อน ภาพสังคมในหลาย ๆ ด้าน และยังสะท้อนความเป็นอยู่ทางวัฒนธรรมประเพณีที่มีอยู่ในสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี และเป็นภาพที่จะเปรียบเสมือนแว่นขยายที่ทำให้เราได้มองย้อนกลับไปยังแผ่นดินในสมัยก่อนว่าเป็นที่จดจำ เหตุการณ์ทางบ้านเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้น
๗๒ บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในบทนี้ผู้วิจัยจะแสดงผลการวิเคราะห์บุคลิกลักษณะของตัวละคร กลวิธีการดำเนินเรื่อง และภาพสะท้อน ในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยจำแนกออกเป็นประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ บทย่อ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ตามลำดับ โดยมีรายละเอียดดังนี้ สรุปผล การศึกษาแสดงผลการวิเคราะห์บุคลิกลักษณะของตัวละครในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อม ราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ผลการศึกษาพบว่า ผู้เขียนได้บรรยายถึงบุคลิกลักษณะผ่านชีวิตของตัวละคร แต่ละตัว ซึ่งตัวละครแต่ละตัว ผู้เขียนบรรยายไปตามสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ฐานะทางบ้าน ฐานะทางการ งาน โดยผลการศึกษาที่ผู้วิจัยได้ศึกษาตัวละครทั้งหมด ๑๗ ตัวละคร ผลการศึกษามีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๑. พระยาพิพิธฯ ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ ผู้เป็นพ่อของพลอย เป็นบุคคลที่มีฐานะ ทางสังคม ได้รับความนับถือจากลูกหลานเป็นอย่างมาก นอกจากนี้พระยาพิพิธฯ ยังมีความภูมิใจในชาติ กำเนิดของตนเอง ลักษณะนิสัยรักเด็ก มีน้ำใจ มีความเป็นหัวหน้าครอบครัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก ๆ หลาน ๆ ๒. แม่แช่ม ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ ผู้เป็นแม่ของพลอย เป็นบุคคลที่มีรูปร่าง หน้าตาสวยสง่า มีกิริยามารยาทเป็นชาววัง รักในชีวิตอิสระ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมีจิตใจที่แน่วแน่ใน ด้านการตัดสินใจ ๓. เสด็จพระองค์หญิงฯ ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ เป็นบุคคลผู้ที่เป็นผู้ชุบเลี้ยงอุปถัมภ์แม่แช่ม กับพลอยขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง ทรงมีพระเมตตา จิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อข้าหลวงในตำหนัก เป็นที่ น่าเคารพกราบไหว้ของผู้คนอื่น ๆ
๗๓ ๔. คุณสาย ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ เป็นบุคคลที่คอยอบรมดูแลเลี้ยงดูพลอย เป็นคนโปรดของเสด็จที่เสด็จให้ดูแลกิจการส่วนพระองค์ มีความเป็นกันเอง มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นที่ เดือดร้อนกว่า บางครั้งก็มีอารมณ์คมคาย ๕. ยายพิศ ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ เป็นบุคคลผู้ที่แม่แช่มซื้อตัวมาเป็นบ่าว ซึ่ง จะมีไว้คอยรับใช้ ทำงานต่าง ๆ ภายในบ้าน มีอารมณ์ขบขัน มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อเจ้านาย ๖. คุณหญิงบทมาลย์บ ารุง (แม่พลอย) ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ เป็นตัวละครหลักของเรื่องนี้ ซึ่งมีรูปร่าง หน้าตาที่สวยสดงดงามมาตั้งแต่เด็กตลอดจนผู้ใหญ่ หรือวัยชรา ก็ยังสวยสง่าเหมือนกับผู้เป็นแม่ เป็นสาว ชาววังมาตั้งแต่ยังเด็ก และได้แต่งงานกับผู้ชายที่ตนไม่ได้รัก นอกจากนี้ยังเป็นคนดี มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ ผู้อื่น เป็นคนเจ้าทุกข์ มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโส มีความคิดยึดมั่นในแนวคิดเก่า ๆ ไม่ค่อยรับวัฒนธรรม สมัยใหม่ที่เข้ามามีบทบาทต่อสังคมไทยในตลอดระยะเวลา ๔ แผ่นดิน ๗. พระยาบทมาลย์บ ารุง (คุณเปรม) ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ เป็นบุรุษร่างใหญ่ ผิวขาวเป็นลูกคนเดียว ฐานะทางหน้าที่การงานเริ่มแรกเป็นมหาดเล็กหลวง และต่อมามีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ทางครอบครัว ของคุณเปรมมีฐานะดีเป็นเศรษฐีใหม่ในสังคมสมัยนั้น ๆ มีทรัพย์สมบัติต่าง ๆ เป็นบุคคลที่ทันสมัย มี ความเป็นหัวสมัยใหม่ มีความคิดเห็นที่รุนแรง เหตุนี้เพราะว่า ต้องการที่จะให้สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลง และนำไปซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ๘. แม่ช้อย ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ คือ หลานสาวของคุณสาย เป็นบุคคลที่ใจดี มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รักความสนุก และยังเป็นเพื่อนรักของพลอยในวัยเด็ก เติบโตอยู่ในวัง เป็นที่ เกรงใจของเพื่อนในวัยเดียวกัน ๙. คุณอุ่น ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ คือพี่สาวคนโตยของบ้านแห่งคลองบาง หลวง เป็นบุคคลที่มีน้ำใจเหี้ยมเกรียม รักเฉพาะพี่น้องของตนเอง เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเกรงขามของทุกคนใน
๗๔ บ้าน เป็นคนเจ้าระเบียบ นอกจากนี้ เมื่อเวลาผ่านไป นิสัยแย่ ๆ ของคุณอุ่นเหล่านั้นกลับเปลี่ยนพลิกไป จากหน้ามือเป็นหลังมือ และกลับมาเป็นที่รักของญาติพี่น้องอีกครั้ง ๑๐. คุณชิด ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ คือพี่ชายคนรองของบ้านแห่งคลองบาง หลวง เป็นบุคคลที่ไม่เอาไหน ไม่มีงานไม่มีการทำเป็นของตัวเอง ติดสุรา ติดฝิ่น ติดการพนัน และผลาญ ทรัพย์สิน เงินทองของของพี่สาวไปใช้จ่ายจนทำให้ต้องพบกับความเดือดร้อน ๑๑. หลวงภัณฑ์วิจารณ์ (พ่อเพิ่ม) ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ เป็นพี่ชายมารดาเดียวกันกับพลอย เป็น บุคคลที่ชอบดื่มสุรา มีความรักพี่รักน้อง ใช้ชีวิตอย่างรักความสนุก และไม่เอาการเอางานอย่างจริง ๆ จัง ๆ ๑๒. คุณเชย ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ คือผู้เป็นลูกคนที่ ๔ ของพระยาพิพิธฯ ต่างมารดากับพลอย เป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบการปีนป่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี มีความ รักพลอยเหมือนกับน้องสาว ต่อมาได้แต่งงานกับหลวงโอสถ ๑๓. พี่เนื่อง ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ คือผู้ที่เป็นพี่ชายของแม่ช้อย ไปมาหาสู่แม่ กับแม่พลอยในวังหลวงสมัยที่ยังเด็ก ใช้ชีวิตอยู่บนความสนุก ความสบาย มีจิตใจที่ดีงาม เป็นคนรักคนแรก ของพลอย ๑๔. ร้อยตรี ประพนธ์ (อ้น) ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ คือ ผู้ที่เป็นลูกชายคนแรกของพระยาบท มาลย์ (คุณเปรม) มีอาชีพเป็นทหาร เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตใจที่แข็งกร้าว เป็นคนที่ว่านอนสอน ง่าย ชอบชีวิตที่มีความเป็นอิสระ อีกทั้งยังมีน้ำใจ รู้จักการแบ่งปัน ๑๕. ประพันธ์ (อั้น) ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ คือ เป็นลูกชายคนที่ ๒ ของพระยาบท มาลย์ (คุณเปรม) เป็นลูกชายคนแรกของแม่คุณหญิงบทมาลย์ (แม่พลอย) เป็นผู้ที่เรียนจบในด้านกฎหมาย
๗๕ มาจากต่างประเทศเป็นคนที่มีนิสัยดื้อ อารมณ์รุนแรง พูดเก่ง เถียงเก่ง รวมถึงมีความมั่นใจในตนเองสูง ค่อยข้างจะเอาแต่ใจตนเอง และมีความเป็นผู้นำในหมู่คณะ ๑๖. ประพจน์ (อ๊อด) ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ คือ ลูกชายคนเล็กของพระยาบทมาลย์ (คุณเปรม) กับคุณหญิงบทมาลย์ (แม่พลอย) เรียนจบจากต่างประเทศในด้านภาษาศาสตร์ เป็นคนที่มี จิตใจดี มีน้ำใจ มีความเห็นใจคนอื่น มีอารมณ์ดี และมักพูดจาด้วยถ้อยคำแปลก ๆ ๑๗. ประไพ ผลการศึกษาพบว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครนี้ คือ ลูกสาวคนเล็กของพระยาบทมาลย์ (คุณเปรม) กับ คุณหญิงบทมาลย์ (แม่พลอย) สมัยยังเด็ก ๆ เป็นคนที่เลี้ยงง่าย ไม่อ้อน สุขภาพร่างกาย แข็งแรง มีหน้าตาคล้ายกับผู้เป็นบิดา (คุณเปรม) มีความสวยงามมาทางผู้เป็นมารดา (แม่พลอย) เป็นเด็กที่ น่ารัก น่าเอ็นดูของผู้ใหญ่ พูดเก่ง เติบโตมาเป็นคนเจ้าอารมณ์ ครั้งใดตนที่ดีใจ เสียใจ หรือโกรธ ก็มัก แสดงออกมาตรง ๆ และบางครั้ง ประไพก็มักไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจ มีความรักสวยรักงาม เป็นคนทันสมัย นิยมใช้ชีวิตตามธรรมเนียมของฝรั่ง การศึกษาแสดงผลการศึกษากลวิธีการดำเนินเรื่องในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ผลการศึกษาพบว่า ผู้เขียนได้บรรยายถึงกลวิธีการดำเนินเรื่องในหลากหลายรูปแบบ ตามลักษณะแนวทางการผูกเรื่อง การสร้างบทละคร ซึ่งผลการศึกษาอธิบายไว้ ๓ ขั้นตอน มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ๑. การเปิ ดเรื่อง ผลการศึกษาพบว่า กลวิธีการเปิดเรื่อง ผู้เขียนเปิดเรื่องด้วยบทสนทนาระหว่างแม่กับลูก คือ แม่ แช่ม กับพลอย มีการบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราววิถีชีวิตความเป็นอยู่ในบ้านคลองบางหลวงของครอบครัว ตัวละครหลักคือ พลอย ผู้ที่ต้องจากบ้านมาใช้ชีวิตอยู่ในรั้วในวังเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของตัวพลอยเอง ที่ ปราศจากปราศจากความรัก ความดูแลของผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่ชีวิตยังเด็ก ๒. การล าดับเรื่อง ผลการศึกษาพบว่า กลวิธีการลำดับเรื่อง ผู้เขียนมีการลำดับเรื่องตามลำดับเหตุการณ์ตามปฏิทิน โดยกล่าวถึงความเป็นมาของเรื่องราวสี่แผ่นดิน แบ่งออกเป็น ๔ แผ่นดินด้วยกัน ได้แก่ แผ่นดินที่ ๑ กล่าวถึงชีวิตความเป็นมาของตัวตัวละครหลัก คือ พลอย ที่ต้องจากบ้านมาไกล มา ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง รู้จักการปรนนิบัติดูแลเสด็จที่เป็นผู้อุปถัมภ์พลอยมาตั้งแต่เล็กจนโต ได้พบเจอเพื่อน รักคือ ช้อย พากันเล่นสนุกไปตามชีวิตของชาวรั้วชาววัง หลังจากนั้นชีวิตของพลอย ซึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่
๗๖ เต็มตัวได้พบการคู่ครอง ผู้ที่มีฐานะอันดี เป็นลูกของครอบครัวเศรษฐีได้มาใช้ชีวิตครองเรือนอยู่กับคุณ เปรม ผู้ซึ่งพ่อของพลอยต่างก็สนับสนุนความรักของพลอยครั้งนี้ แม้ว่าพลอยจะไม่มีความรักให้กับคุณ เปรมก็ตาม แผ่นดินที่ ๒ กล่าวถึงเหตุการณ์ความเป็นอยู่ของชีวิตของพลอย ซึ่งมีการก่อเกิดสงครามทาง การเมือง การเปลี่ยนแปลงทางการปกครอง รวมถึงการรับเอาวัฒนธรรมจากชาติตะวันตกเข้ามามีบทบาท อย่างยิ่ง รวมทั้งกล่าวถึงความเป็นอยู่ของชีวิตความเป็นอยู่ของรุ่นลูกของพลอย เมื่อได้ไปศึกษาต่อที่ ต่างประเทศ แผ่นดินที่ ๓ กล่าวถึงการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหตุการณ์บ้านเมือง ความแปรผันทางเศรษฐกิจ และรสนิยมของฝรั่งที่เข้ามามีเปลี่ยนแปลงสังคม ซึ่งเป็นมรดกของแผ่นดินเก่า ที่ต้องธำรงรักษาเอาไว้ตามจารีตประเพณี แผ่นดินที่ ๔ กล่าวถึงชีวิตของพลอยในวัยแก่ชรา การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่อยู่ภายใต้ กฎหมายรัฐธรรมนูญเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยมากขึ้น และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สังคมไทยมีการพัฒนา ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ๓. การปิ ดเรื่อง ผลการศึกษาพบว่า กลวิธีการปิดเรื่อง ผู้เขียนใช้วิธีการปิดเรื่องแบบโศกนาฏกรรม ซึ่งตัวละคร หลักอย่างพลอยต้องพบกับการจากลาของครอบครัวของตนเอง และในที่สุดแม่พลอยก็ได้จากไปด้วยความ ทุกข์ระทมใจ การศึกษาแสดงผลการศึกษาภาพสะท้อนในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ผลการศึกษาพบว่า ผู้เขียนได้บรรยายถึงภาพสะท้อนที่สื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นมุมมองในด้านสังคม วัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๑. ภาพสะท้อนสังคมด้านวิถีชีวิตความเป็ นอยู่ ผลการศึกษาพบว่า ในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน มีเหตุการณ์ที่สื่อให้เห็นภาพสะท้อนวิถีชีวิตความ เป็นอยู่ของชีวิตตัวละครของแม่พลอย ทั้งในแผ่นดินทั้ง ๔ แผ่นดิน ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงไปทั้ง บ้านเรือน ชนชั้นวรรณะต่าง ๆ หรือหน้าที่การงานของตัวละคร ที่แสดงออกถึงช่วงเวลาหนึ่งไปยังช่วงเวลา หนึ่ง ว่า มีความเปลี่ยนแปลงในด้านการใช้ชีวิตที่มีความรักความเข้าใจของตัวละครกันมากขึ้น ตัวละคร บางตัวอาจพบจุดจบที่แตกต่างกันออกไป สะท้อนวิถีชีวิตในสังคมเมือง สังคมชนบท เป็นต้น
๗๗ ๒. ภาพสะท้อนสังคมด้านสภาพบ้านเมือง และการเมืองการปกครอง ผลการศึกษาพบว่า ภาพสะท้อนในสภาพบ้านเมือง การเมืองการปกครอง ทั้งในด้านการ เปลี่ยนแปลงการปกครองในรูปแบบต่าง ๆ การทำศึกสงคราม เหตุการณ์บ้านเมืองต่าง ๆ อาทิเช่น สงครามโลก การคิดกบฏของฝ่ายก่อการร้าย การเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองแผ่นดิน การประกาศใช้ รัฐธรรมนูญที่อยู่ภายใต้กฎหมาย เป็นต้น ๓. ภาพสะท้อนสังคมด้านการศึกษา ผลการวิจัยพบว่า ภาพสะท้อนในด้านการศึกษา มีการรับอิทธิพลของชาติตะวันตก ในเรื่องของ การเดินทางไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เพื่อนำความรู้มาใช้ในการปกครอง และพัฒนาประเทศให้ไปสู่ความ เจริญเหมือนประเทศอื่น ๆ ๔. ภาพสะท้อนสังคมด้านค่านิยม ความเชื่อ ผลการวิจัยพบว่า ภาพสะท้อนในด้านค่านิยมความเชื่อ มีความเชื่อปรากฏอยู่หลายเรื่อง ซึ่งได้รับ การสืบทอดมาตั้งแต่สังคมในอดีตมาสู้สังคมในปัจจุบัน เช่น ความเชื่อในเรื่องของพิธีกรรมต่าง ๆ การ เคารพผีบรรพบุรุษ การถือเรื่องฤกษ์ยามงามดี การทำขวัญเด็กแรกเกิด ส่วนค่านิยมนั้น แสดงถึงการรับ เอาความนิยมจากชาติตะวันตกเข้ามาประยุกต์ เปลี่ยนแปลงให้เข้ากับความเป็นอยู่ของสังคมไทย เช่น การซื้อรถยนต์ การนิยมนุ่งผ้าซิ่น การนิยมไว้ผมมวย การใช้กริยาวาจาทางคำพูด การนิยมใช้ภาษาอังกฤษ ในการติดต่อสื่อสาร ๕. ภาพสะท้อนวัฒนธรรม ประเพณีในด้านพิธีกรรม ผลการศึกษาพบว่า ในเรื่องสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมพิธีการโกนจุก กับพิธีแต่งงาน ที่เป็น จุดเด่นมีสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นในสังคมอดีต สืบทอดมายังแผ่นดินปัจจุบันนั่นคือ แผ่นดินที่ ๔ ในรัชกาลที่ ๘ เป็นที่ดำรงสืบสานไว้เป็นประเพณีที่มีตกทอดมาเป็นสมบัติในรุ่นลูกรุ่นหลาน ๖. ภาพสะท้อนวัฒนธรรม ประเพณีในด้านการละเล่นของไทย และต่างประเทศ ผลการศึกษาพบว่า ในเรื่องสะท้อนให้เห็นถึงการละเล่นต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมของผู้คนในสมัยนั้น อันได้แก่ กะอั้วแทงควาย ไม้ลอย ซึ่งเป็นการละเล่นของไทยในอดีต ส่วนการละเล่นของต่างประเทศนั้น ได้แก่ การเต้นรำตามจังหวะเพลง การจัดปาร์ตี้ ที่สื่อให้เห็นถึงความรุ่งเรือง ความทันสมัยของบ้านเมืองใน สมัยนั้น ๗. ภาพสะท้อนวัฒนธรรมด้านอาหาร ผลการศึกษาพบว่า ในเรื่องสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมด้านอาหาร ซึ่งเป็นที่นิยมของชาววัง อัน ได้แก่ ข้าวตังกะทิบ้าง น้ำพริกเผาบ้าง หมูหยอง มะขามฉาบ ปลาแห้งผัด พริกกะเกลือ ฝอยทองกรอบ
๗๘ ขนมอะลัว ไข่แมงดาทะเล กุ้งแช่อิ่ม แกงบอน ผัดถั่วฝักยาว ยำไข่ปลาดุก ข้าวเม่าทอด น้ำพริก ขนมจีน มะขามฉาบ ลูกบัวผัด และลูกไม้แช่อิ่มต่าง ๆ ๘. ภาพสะท้อนวัฒนธรรมด้านการแต่งกาย ผลการศึกษาพบว่า ในเรื่องสะท้อนให้ถึงวัฒนธรรมด้านการแต่งกายด้วยการรับเอาวัฒนธรรมของ ชาติตะวันตกเข้ามาประยุกต์ในให้มีความเหมาะสมกับความเป็นอยู่ของยุคสมัย ทั้งการแต่งกายแนวแฟน ตาซี ทั้งแบบฝรั่ง ไทย และจีน มีผ้าม่วงไหมเลี่ยน ผ้าม่วงดอก ผ้าม่วงลาย ผ้าม่วงคดกฤชเปลี่ยนไปจาก เสื้อแขนพองเหมือนขาหมูแฮม กลายเป็นเสื้อแขนธรรมดารัดเอวแน่นและเกี่ยวขอข้างหลัง นุ่งผ้าโจง กระเบน ใส่ถุงเท้ารองเท้า และเสื้อรัดเอวปล่อยชายยาวลงมาเหมือนกระโปรงเกือบจะคลุมผ้านุ่งนั้นมิด ดู แต่ไกล ๆ ก็เหมือนกระโปรงแหม่มอย่างสั้น ๆ และใครที่ไว้ผมยาวก็เกล้ามวยแล้วใช้แถบกำมะหยี่หรือแพร รัดที่หน้าผาก ผลการศึกษาโดยภาพรวมทั้งหมดที่ได้ศึกษานั้นได้วิเคราะห์ตัวละคร กลวิธีการดำเนินเรื่อง และ ภาพสะท้อนในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช มีลักษณะโดดเด่นในประเด็น ดังกล่าว ทั้งนี้ผู้วิจัยได้เล็งเห็นความสำคัญในประเด็นดังกล่าว และเป็นประโยชน์ ผลการศึกษาใน บุคลิกลักษณะของตัวละครมีความโดดเด่นในบทบาทของตัวละครที่เป็นตัวของตัวเองของแต่ละตัวละคร ในผลการศึกษากลวิธีการดำเนินเรื่อง ผู้เขียนเขียนได้มีความเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง การผูกเรื่องมีความ เหมาะสม ไม่ซับซ้อน ทั้งนี้ผลการศึกษาภาพสะท้อน เป็นการแสดงให้เห็นถึงภาพสะท้อนในหลายมุมมอง ของชีวิต และความตั้งใจของผู้เขียนนวนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง อภิปรายผล การวิเคราะห์ตัวละคร กลวิธีการดำเนินเรื่อง และภาพสะท้อนในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ต้องการการวิเคราะห์ บุคลิกลักษณะของตัวละคร กลวิธีการดำเนินเรื่อง และภาพสะท้อนในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อม ราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และตรงกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ เนื่องจากบุคลิกลักษณะของตัวละครแต่ละตัวที่ แสดงออกมาให้เห็นในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน นี้ ผู้เขียนมีแนวทางในการสร้างสรรค์ตัวละครให้มีบทบาท ในหลากหลายแง่มุม โดยเฉพาะตัวละครหลักอย่างแม่พลอย เป็นตัวละครที่ผู้เขียนใช้ในการผูกเรื่องราว ทั้งหมด การศึกษากลวิธีการดำเนินเรื่อง ผู้เขียนบรรยายให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา ใช้กลวิธีที่ใช้ในการโน้ม น้าวใจให้กับผู้อ่านได้มีความรู้ ประสบการณ์ในการใช้ชีวิต ทั้งนี้การลำดับความสำคัญของเหตุการณ์ในนว นิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเหตุการณ์การ เปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติประเทศของสังคมที่เป็นอยู่ขณะนั้น ประกอบกับผูกเรื่องโดย วิธีการเล่าเรื่องราวชีวิตผ่านตัวละครคือ แม่พลอย การใช้บทสนทนา การบรรยายฉากที่ทำให้ผู้อ่านเห็น
๗๙ ภาพได้ชัดขึ้น ส่วนการปิดเรื่องนั้น ผู้เขียนได้บรรยายถึงชีวิตของตัวละครหลักที่ต้องจบชีวิตด้วยโรคและ ความทุกข์ที่มีอยู่ในหัวใจของแม่พลอย การศึกษาภาพสะท้อนที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน เป็นการสื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลง ของสภาพบ้านเมือง การปกครอง วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การศึกษา ค่านิยม ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี ในด้านต่าง ๆ อันได้แก่ พิธีโกนจุก พิธีแต่งงาน การละเล่น อาหาร และการแต่งกายที่เปลี่ยนไปทุกยุคทุก สมัยเมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน จากแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ ๕ – รัชกาลที่ ๘ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้ให้มุมมองของภาพสะท้อนสังคม วัฒนธรรม ประเพณีไว้ได้อย่างมีความ ละเอียด ลึกซึ้ง และผู้อ่านเกิดความรักในความเป็นชาตินิยมของการเปลี่ยนแปลง ข้อเสนอแนะ ๑. ผู้ที่สนใจเกี่ยวการวิเคราะห์ตัวละคร สามารถใช้เป็นแนวทางในการศึกษาลักษณะการ วิเคราะห์ตัวละครที่ปรากฏอยู่ในงานวรรณกรรมได้ ๒. ผู้ที่สนใจศึกษากลวิธีการดำเนินเรื่องในงานวรรณกรรม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อการบูร -ณาการให้เกิดเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคตได้ ๓. ผู้ที่สนใจศึกษาภาพสะท้อนของงานวรรณกรรม สามารถนำไปเป็นแนวทางในการศึกษาต่อไป ได้
๘๐ บรรณานุกรม คึกฤทธิ์ ปราโมช. (๒๕๕๔). สี่แผ่นดิน เล่ม ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๑๕. นนทบุรี : ดอกหญ้า ๒๐๐๐. คึกฤทธิ์ ปราโมช. (๒๕๕๔). สี่แผ่นดิน เล่ม ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๑๕. นนทบุรี : ดอกหญ้า ๒๐๐๐. เจตนิพิฐ ท้าวแก้ว. (๒๕๕๙) ศึกษาสถานภาพและบทบาทตัวละครหญิงในนวนิยายของพงศกร (รายงานผลการวิจัย). เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๔๒). ความหมายของวรรณกรรม. สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๔, จาก https://dictionary.sanook.com. มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี. (ม.ป.ป.) ความหมายของวรรณกรรม. สืบค้นวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๔, จาก http://www.etheses.rbru.ac.th. มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา. (ม.ป.ป.) ตัวละครและกลวิธีการสร้างตัวละคร. สืบค้นวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๔, จาก http://oservice.skru.ac.th. มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา. (ม.ป.ป.) ความหมายของงานวรรณกรรม. สืบค้นวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๔, จาก http://oservice.skru.ac.th. มหาวิทยาลัยศรีปทุม. (ม.ป.ป.) แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรม. สืบค้นวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๔, จาก https://soreda.oas.psu.ac.th. มณฑา วิริยางกูร และสิริวรรณ นันทจันทูล. (๒๕๖๓). ศึกษาภาพสะท้อนสังคมสมัยรัตนโกสินทร์ในนวนิยาย อิงประวัติศาสตร์ของทมยันตี(รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. มนชิดา หนูแก้ว. (๒๕๖๒). ศึกษากลวิธีในการนำเสนอเนื้อหาและการใช้ภาษาในนวนิยายของรอมแพง (รายงานผลการวิจัย). พัทลุง : มหาวิทยาลัยทักษิณ. สุพรรณี วราทร. (๒๕๑๙). หนังสือประวัติการประพันธ์นวนิยายไทย. กรุงเทพฯ : เจริญวิทย์การพิมพ์. สุวิทย์ ว่องวีระ. (๒๕๓๕). พิเคราะห์คึกฤทธิ์พินิจสี่แผ่นดิน. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า.
๘๑ ศิริธรรม ชูทอง. (๒๕๖๒). ศึกษาเรื่องเปรียบเทียบภาพสะท้อนสังคมในนวนิยายเรื่องบ้านทุ่งเมืองลุงของทวี ชูโรจน์ กับนวนิยายลูกชาวนา ของเชาวลิต ขันคำ (รายงานผลการวิจัย). พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา.
๘๒ ประวัติผ ู้ท าวิจัย ชื่อ นางสาวนัทชา ศรีใส เกิด วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ปัจจุบัน ๓๖/๙ หมู่ที่ ๘ ตำบลกะเปอร์ อำเภอกะเปอร์จังหวัดระนอง ๘๕๑๒๐ ประวัติการศึกษา สำเร็จการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนวัดสุวรรณวิหารน้อย จังหวัดพัทลุง สำเร็จการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนวัดสุวรรณวิหารน้อย จังหวัดพัทลุง สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนกะเปอร์วิทยา จังหวัดระนอง สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนสตรีระนอง จังหวัดระนอง ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ ๔ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี