The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือสอบ(รุ่น14 ปี 65)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chittima.chit, 2022-03-12 04:53:17

คู่มือสอบ(รุ่น14 ปี 65)

คู่มือสอบ(รุ่น14 ปี 65)

เอกสารเตรียมความพรอ้ ม
เพ่อื สอบเขา้ ฝึกอบรมหลักสตู รประกาศนียบัตรผชู้ ว่ ยทันตแพทย์

โรงเรยี นผู้ชว่ ยทนั ตแพทย์

คณะทนั ตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์

ปีการศึกษา 2565

คำนำ

เพ่ือให้ผู้สมัครสอบได้มีแนวทางในการเตรียมสอบและเป็นแนวทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองเม่ือ
ไดเ้ ข้าเรียนหรือฝกึ อบรมในโรงเรยี นผชู้ ่วยทันตแพทยต์ ามทมี่ ุ่งหวงั ไว้

ทางคณะกรรมการบริหารหลกั สูตร จึงได้ทาค่มู ือเลม่ นี้ขึน้ มาเพอ่ื ให้ผสู้ มัครสอบได้ใชเ้ ปน็ คู่มอื เตรียม
ตัวสอบและเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าฝึกอบรมในระดับหน่ึง โดยแบ่งเน้ือหาออกเป็น 8 บทหรือ 8 เรื่องซึ่งเป็นซึ่ง
เปน็ ส่วนหน่งึ วิชาตา่ งๆท่จี ะมีการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรม

คณะกรรมการบริหารหลักสูตรเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ท้ังในด้านการเตรียมตัวสอบและการเข้า
ฝกึ อบรมภายหลงั

อน่ึง เอกสารฉบับนี้จัดทาข้ึนมาเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าฝึกอบรมฯ ไม่สามารถใช้อ้างอิงใดๆ
ได้ท้ังส้นิ

คณะกรรมกำรบริหำรหลกั สูตร
โรงเรียนผชู้ ่วยทนั ตแพทย์

คณะทนั ตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
2565

2

วชิ าทนั ตกายวิภาคศาสตร์ (Dental Anatomy)

คือวิชาทว่ี ่าด้วยรปู ร่างลกั ษณะ ตาแหนง่ สว่ นประกอบ การเรยี กชื่อของฟนั และอวัยวะข้างเคยี ง
ส่วนประกอบของฟนั

1. ผิวเคลือบฟนั (Enamel) เป็นชน้ั ทีม่ คี วามแข็งแรงทส่ี ดุ
2. ช้ันเนื้อฟัน (Dentine) เป็นชั้นท่ีมีท่อเน้ือฟันติดต่อกับโพรงประสาทฟันเป็นช้ันท่ีส่งผ่านความรู้สึกเสียวฟัน, ร้อน, เย็นสู่โพรง
ประสาทฟัน
3. ชัน้ โพรงประสาทฟัน (Pulp) เปน็ ชน้ั ทม่ี ีเนอ้ื เยอื่ โพรงประสาทฟันรับความรู้สกึ ท่สี ่งตอ่ มาจากชั้นเน้ือฟนั มีเสน้ ประสาท, เส้นเลอื ด
มาหล่อเลีย้ งจากปลายรากฟนั
4. ช้ันผิวเคลือบรากฟัน (cementum) เป็นผิวเคลือบรากฟันปกคลุมต่อจากผิวเคลือบฟันรอยต่อระหว่างผิวเคลือบฟันและผิว
เคลอื บรากฟันเรยี กว่า cementoenamel junction (CEJ)
สว่ นประกอบของฟันและอวยั วะปรทิ นั ต์ ดังรูปท่ี 1
1. ตวั ฟนั (Crown) เรม่ิ ตง่ั แต่ชนั้ ผวิ เคลือบฟันจนถึง CEJ
2. รากฟัน (Root) เป็นสว่ นตง่ั แต่ CEJ ลงไปจนถงึ ปลายรากฟนั (apex of root)
3. เหงือก (Gum) เป็นส่วนทมี่ ีทงั้ เหงือกยึดทเ่ี คล่ือนไหวไม่ได้ (keratinized tissue) และเหงอื กท่เี คลื่อนไหวได้ (non-keratinized
tissue)
4. ช้ันผิวเคลือบรากฟัน (cementum) เป็นผิวเคลือบรากฟันปกคลุมต่อจากผิวเคลือบฟันรอยต่อระหว่างผิวเคลือบฟันและผิว
เคลือบรากฟันเรียกว่า cementoenamel junction
5. กระดกู (bone) ปกคลมุ รอบรากฟนั เพ่ือใหฟ้ ันแข็งแรง
6. เส้นเลอื ดเสน้ ประสาทและท่อน้าเหลือง (blood vessel and nerve and lymp duct)
ส่วนประกอบของเหงือกและเนอ้ื เยื่อรอบ ๆ ฟนั ดงั รปู ท่ี 2
1. เหงือกอสิ ระ (free gingival)
2. แนวเว้าเหงอื กอิสระ (free gingival groove)
3. เหงือกยึด (attached gingiva)
4. รอยตอ่ เหงอื กกบั เย่อื เมือก (mucogingival junction)
5. เยื่อเมือกหมุ้ กระดูกเบา้ ฟัน (alveolar mucosa)
6. เนื้อเย่ือเหงอื กยดึ ด้านรมิ ฝีปาก (labial frenum)
7. เหงอื กระหวา่ งซีฟ่ นั (interdental papillar)

3

รปู ที่ 1 แสดงสว่ นประกอบของฟันและอวัยวะปริทนั ต์

รูปที่ 2 แสดงส่วนประกอบของเหงือกและเนอ้ื เย่อื รอบ ๆ ฟันหน้าบน

การเรียกชอ่ื ฟันในฟันแท้
มักใช้ระบบตัวเลข 2 ตัว โดยแบ่งเป็น 4 ส่วนเม่ือให้ผู้ป่วยอ้าปากแล้วเรามองจากด้านหน้าแล้วแบ่งฟันเป็นเสี้ยว ๆ
ท้ังหมด 4 เส้ียวเร่ิมนับจากเส้นก่ึงกลางฟันจากฟันขวาบน ให้นับ 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ฟันซ้ายบนให้นับ
21, 22, 23, 24, 25, 26, 27, 28 ฟันซ้ายล่าง ให้นับ 31, 32, 33, 34, 35, 36, 37, 38 ฟันขวาล่าง ให้นับ 41, 42, 43,
44, 45, 46, 47, 48 การเรียกชื่อฟนั จะเรียกเป็นตัวเลข 2 ตวั และไม่มีเคร่ืองหมาย # หน้าตัวเลข
ยงั มีวธิ ีการเรยี กช้ือฟนั แท้อีก 2 วิธีแต่ไมไ่ ด้กลา่ วถึง แตจ่ ะได้เรียนในช้นั เรียน

4

การเรียกช่ือฟันในฟนั น้านม
เช่นเดียวกับฟันแท้โดยแบ่งเป็นสี่ส่วนเช่นกันใช้ระบบ 2 digit คือระบบตัวเลข2 ตัวโดยแบ่งเป็น 4 ส่วนโดยฟันขวาบน
ให้นับ 51, 52, 53, 54, 55 หรือ A , B , C , D , E โดยฟันซ้ายบน ให้นับ 61, 62, 63, 64, 65 หรือ A , B , C , D , E
โดยฟันซ้ายล่าง ให้นับ 71, 72, 73, 74, 75 หรือ A , B , C , D , E โดยฟันขวาล่าง ให้นับ 81, 82, 83, 84, 85 หรือ
A , B , C , D , E และไม่มเี คร่ืองหมาย # หน้าตัวเลขเชน่ กนั ดังรูปที่ 3

รูปที่ 3 แสดงการเรยี กช่อื ฟันในฟนั น้านมและฟนั แท้ และระบบตัวเลข 2 ดจิ ิต

5

ซึ่งมคี า้ ศัพทท์ ่ีใช้สอื่ กันในทางทันตกรรมทใ่ี ชใ้ นการบอกต้าแหน่งฟันและบอกด้านของฟนั บอ่ ยๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี

แนวกลางลาตัว = มดิ ไลน์ (midline) ดา้ นรมิ ฝปี ากฟนั หลัง = บคั คัล(buccal)

ด้านริมฝีปากฟนั หนา้ = เฟเชยี ลหรือเลเบียล (facial, labial) ด้านลิ้นฟนั หนา้ = ลงิ กวั ( lingual)

ด้านลิน้ ฟันหลงั = พาลาทลั (palatal) ด้านไกลกลาง = ดิสทัล(distal)

ดา้ นใกลก้ ลาง = มเี ซยี ล (mesial) ด้านบดเคยี้ วฟนั หลัง = อ๊อกคูซัล(occlusal)

ด้านปลายฟันหนา้ = อนิ ซสิ ซลั ( incisal)

ดงั รูปที่ 4 หากดูในช่องปากสามารถบอกตา้ แหนง่ ดา้ นตา่ ง ๆ ไดด้ งั รูปที่ 5

รปู ท่ี 4 แสดงการเรยี กชอื่ ฟันดา้ นตา่ ง ๆ

รูปที่ 5 แสดงการเรียกดา้ นตา่ ง ๆ ของฟนั

ในฟันหน้าบนมักมีคลองรากฟันเดยี วทง้ั ในฟันหนา้ บนและฟันหน้าล่างดังรปู ท่ี 6ในฟันกรามน้อยบนซท่ี หี่ นึ่งมักมี 2 รากฟันแต่
ไม่แยกออกจากกันชดั เจนหรอื แยกออกเป็น 2 รากชัดเจนแต่ในหน่ึงรากฟันมักมีคลองรากเดียวเช่น buccal root หรือLingual root
ดังรปู ท่ี 7 ในฟันกรามน้อยซ่ที ่สี องบนเช่น 15, 25 หรือในฟันกรามน้อยลา่ ง 34, 35, 44, 45 มักมรี ากเดยี วเชน่ กันดังรูปที่ 8

6

รปู ที่ 6 แสดงรูปรา่ งของฟันหน้าบนและล่างมกั มีรากฟัน 1 ราก

รปู ท่ี 7 แสดงรูปร่างฟันกรามนอ้ ยบนที่มักมีสองราก รูปท่ี 8 แสดงรปู รา่ งฟันกรามนอ้ ยซีท่ ส่ี องบนและฟันกราม มกั มรี ากฟนั 1 ราก
ส่วนในฟันกรามบนซ่ีท่ีหนึ่ง หรือเรียก 16,26 มักเป็นฟันกรามท่ีมี 3 รากคือ 1. Distobuccal root เขียนย่อว่า DB,

2. Palatal root เขียนย่อว่า P แต่ในรากฟัน 3. mesiobuccal root มักมี 2 คลองรากฟัน คือ MB 1 และ MB 2 หรือหากมีคลองราก
เดยี ว ย่อว่า MB ดังรปู ท่ี 9

รูปท่ี 9 แสดงรปู รา่ งของรากฟันกรามบนซีท่ ี่หนงึ่ และคลองรากภายใน

ในฟันกรามล่างซี่ที่หนึ่งหรอื 36,46 มักมีสองรากฟันคือ 1. distal root และ ราก 2. Mesial root ซ่ึงมักมีสองคลองรากฟัน
คือ MB ดังรูปท่ี 10 แสดงฟันกรามล่างซีท่ ่ี หน่งึ สองและสามทม่ี ักมี 2 รากฟัน

7

รปู ที่ 10 แสดงรูปร่างฟนั กรามล่างซ่ที ี่ หน่งึ ,สองและสาม

เม่ือเข้าใจในการเรียกชื่อฟันและด้านต่าง ๆ ของฟันแล้ว เรามาทาความเข้าใจเร่ืองการแบ่งประเภทของโพรงฟันซ่ึงเป็นการ

เตรยี มไวส้ าหรับการอดุ ฟันทนั ตแพทย์ Edward H. Angle ไดก้ าหนดการแบง่ โพรงฟนั ออกเป็น 6 ชนดิ คอื Class I, II, III, IV, V, VI

class I คือ โพรงฟนั ที่อยดู่ า้ นบดเคยี้ วของฟันหลงั ดา้ นเดยี วดังรปู ที่ 11

class I other คือ โพรงฟนั ดา้ นบดเค้ียวร่วมกบั ด้านแกม้ หรอื ด้านเพดานฟันหลังดังรูปท่ี 12

class II คือ โพรงฟันที่มีด้านบดเคย้ี วร่วมกับดา้ นใกลก้ ลางหรือดา้ นไกลกลางอย่างนอ้ ยหนึง่ ด้านดังรูป 13

class III คือ โพรงฟันทีอ่ ย่ดู ้านใกล้กลางหรือด้านไกลกลางฟนั หน้า ดังรปู 14

class IV คอื โพรงฟันด้านใกลก้ ลางหรือไกลกลางรวมกับดา้ นปลายฟันหน้า ดงั รปู 15

class V คือ โพรงฟันดา้ นแก้มบริเวณคอฟนั ทุกซี่ ดังรูป 16

class VI คือ โพรงฟันทย่ี อดฟนั หลังดงั รูป 17

รูปท่ี 11 โพรงฟนั class I ( 1 ดา้ น) รปู ท่ี 12 โพรงฟนั class I other

รปู ที่ 13 โพรงฟนั class II (2 หรอื 3 ด้าน) รูปท่ี 14 โพรงฟนั class III (ฟันหนา้ )

8

รปู ท่ี 15 โพรงฟนั class IV (ฟันหนา้ ) รปู ที่ 16 โพรงฟัน class V (คอฟัน) รูปท่ี 17 โพรงฟนั class VI

โรคฟนั ผุ (dental caries)

คือ การทาลายเนื้อเย่ือฟันโดยเช้ือแบคทีเรียท่ีเกิดข้ึนเฉพาะที่ รูฟันผุท่ีเกิดขึ้นจะเริ่มต้นด้วยบริเวณท่ีมีการละลายตัวของ
สารประกอบพวกแร่ธาตุ(demineralization)บริเวณเล็ก ๆ บนผิวเคลือบฟัน(enamel)แล้วดาเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนทะลุไปถึงเนื้อฟัน
(dentine) และเข้าสู่โพรงประสาทฟัน ในที่สุดเกิดการสลายตัวของแร่ธาตุบริเวณผิวเคลือบฟันเกิดจากกรดโดยเฉพาะอย่างย่ิงกรดแล
คติค ท่ีเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์สเตร็พโตคอคคัส มิวแทนส์ โดยการหมักของอาหารชนิดคาร์โบไฮเดรทเกิดรอยผุ และนาส่งสารพวก
แคลเซียมและฟอสเฟทไอออน ไปยังบรเิ วณแวดล้อมทีอ่ ยู่โดยรอบน้ีสามารถกลับคนื สูส่ ภาวะปกตไิ ด้ โดยมกี ารสร้างสารประกอบแร่ธาตุ
ขน้ึ มาใหม่ (remineralization)

ผวิ ฟันบริเวณหลุมฟัน ,ร่องฟัน และซอกฟันเป็นบริเวณที่มีอุบัติการณ์ ของการเกิดฟันผุสงู สุดเพราะเปน็ บรเิ วณท่ีเข้าทาความ
สะอาดได้ยาก แต่หากเกดิ การผุบรเิ วณผิวเรียบและบริเวณที่ไม่มเี ศษอาหารกักเกบ็ มักเกิดเป็นการผุรอบตัวฟันและเป็นมาก(rampant
caries)มกั เกิดกับเดก็ ท่นี อนดูดขวดนม

โดยฟันผุจะเริ่มตั่งแต่รอยโรคที่เป็นสีขาว(white lesion) เป็นสีน้าตาล(brown lesion)และสีดาเป็นโพรงฟัน (dark lesion)
ดังรูปที่ 18

9

สาเหตุการเกดิ ฟนั ผใุ นมนษุ ย์ มกั เกิดจากหลายสาเหตุรว่ มกนั แตม่ กั มีปจั จยั 4 อยา่ งมาเกย่ี วข้องคือ
1. เช้อื แบคทเี รยี โดยเฉพาะสเตร็พโตคอคคสั มวิ แทนสแ์ ละเชอื้ อืน่ ๆ
2. ฟันหรือตัวผู้ป่วยเอง เช่นหากผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน สว่ นใหญ่การผุของผ้ปู ่วยจะลดลงดว้ ยเพราะยาฆ่าเชอื้ แบคทีเรีย
ไปดว้ ย
3. อาหารท่ีทานเขา้ ไปโดยเฉพาะอาหารท่ีมนี ้าตาลซโู ครสปนอยูด่ ว้ ยมาก
4. เวลาหรอื ความถี่ในการทานอาหาร หากทานอาหารบอ่ ย ๆ มกั ทาใหส้ ภาพในช่องปากเป็นกรดอยู่นานทาใหน้ า้ ลายไม่สามารถปรับให้
สภาวะช่องปากอยใู่ นภาวะกลางได้ทาใหเ้ กดิ การละลายตัวของผิวเคลอื บฟนั ได้งา่ ยและเกดิ ฟันผตุ ามมา
ข้ันตอนในการอดุ ฟนั เตรยี มเครือ่ งมือพ้ืนฐานดงั ต่อไปน้ี

– ชุดตรวจ ประกอบด้วยสามเกลอคือ explorer , mouth mirror ,forceps ซึ่งควรเตรียมแก้วน้าบ้วนปากและ
หลอดดดู นา้ ลายดว้ ยดงั รปู 19

รูปที่ 19 แสดงถาดชดุ ตรวจ explorer, กระจกส่องปาก และ forceps
รวมทั้งแก้วน้าบ้วนปากและหลอดดดู นา้ ลาย

ทนั ตกรรมบรู ณะ (Operative Dentistry)

เป็นวิชาทเ่ี กย่ี วกบั การบรู ณะฟันให้กลบั มาใช้งานได้เหมอื นปกติ ส่วนมากจะเป็นการอดุ ฟนั
เตรยี มเคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการอดุ ฟันอะมลั กมั มดี ังน้ี
1. อะมลั กัมแคร่เี ออร์ (Amalgam carrier) เปน็ อุปกรณ์ท่ใี ชใ้ นการนาเอาอะมลั กัมใส่เขา้ ในโพรงฟัน
2. อะมลั กัมแวลล์ (Amalgam well) เป็นอปุ กรณใ์ สอ่ ะมัลกมั ดังรูปท่ี 20 ดา้ นล่างนี้

10

3. อะมัลกมั คาฟเวอร์ (Amalgam carver) รปู รา่ งปลายแหลมใช้เพอ่ื ตกแตง่ รูปรา่ งฟนั ให้ได้ลักษณะกายวภิ าคตามที่ตอ้ งการ
4. อะมลั กัมพลกั เกอร์ (Amalgam plugger) เป็นอุปกรณ์เพือ่ อดั อะมัลกมั เข้าโพรงฟัน
5. ทบี อลเบอร์นิเชอร์ (T- ball burnisher) เปน็ อุปกรณ์เพื่อตกแต่งขอบอะมัลกัมใหเ้ รยี บติดฟัน
6. พลาสตกิ อินสตรูเม้นต์ (Plastic instrument) เป็นอุปกรณ์ทใี่ ช้กับวสั ดกุ ึ่งเหลงกึ่งแขง็ เป็นส่วนใหญ่ เช่น วสั ดุคอมโพสิตในการอุดฟัน
หนา้ เป็นตน้ ดังรปู ที่ 21

รูปที่ 21 แสดงเครื่องมือท่ีใช้ในการอดุ ฟัน (ส่วนหนึง่ )

ซึง่ เม่ือเข้าใจอปุ กรณ์พนื้ ฐานในการอุดฟนั แลว้ การอุดฟันทมี่ ีฟันผุมากกว่า 1 ด้านมกั จะต้อง เตรยี มเครื่องมืออุดด้านขา้ งเพ่ิมเติม
ดงั นี้

ในกรณีท่ีเป็นโพรงฟันชนิด Class II ท่ีมีด้านบดเคี้ยวรวมกับด้านไกลกลางหรือใกล้กลางด้านใดด้านหนึ่ง (om,od)ให้เตรียม
อุปกรณด์ งั น้ี

1. ไอโวรี่แมตทริกซ์ (ivory matrix) หรือเรียกวา่ กา้ มปู พร้อมกับ
2. แบนด์ 2, 3 รู (ivory band) ดังรูปที่ 22
3. หากมีฟันซป่ี ระชิดกันใหใ้ ช้เวดจ์ (wedge) คือ แทง่ ไมเ้ สยี บทม่ี ลี ักษณะเปน็ รปู สามเหลี่ยมเสียบเข้าในเหงอื กสามเหล่ยี ม

ระหว่างฟนั จะใช้เวดจ์เพยี ง 1 อนั เวดจ์ มีหลายขนาดให้เลอื กใชต้ ามความเหมาะสม
4. ชดุ อุดฟันดงั ทีก่ ล่าวขา้ งตน้
5. อินเตอร์พร็อกซิมัลคาร์ฟเวอร์ (interproximal carver)

รูปที่ 22 แสดงไอโวร่ี เม็ททริกและแบนด์

11

ในกรณีทเ่ี ป็นโพรงฟันชนิดClass IIทมี่ ีด้านบดเคย้ี วรวมกับดา้ นไกลกลางและใกลก้ ลางทง้ั สองดา้ น (mod) ใหเ้ ตรียม อุปกรณด์ งั น้ี
1. ทอฟเฟิล์มายด์ (tofflemile matrix)
2. แบนดไ์ ม่มรี ู (tofflemile band)
3. หากมีฟันซีป่ ระชิดกันใหใ้ ช้เวดจ์ หากมดี า้ นประชดิ 2 ด้านให้ใชเ้ วดจ์ 2 อนั ดงั รปู ที่ 23

รูปที่ 23 แสดงอุปกรณ์ในการอุดฟนั class II MOD

4. อนิ เตอรพ์ ร็อกซิมัลคาร์ฟเวอร์ (interproximal carver) ใชใ้ นการแตง่ ขอบวัสดอุ ุดไม่ใหเ้ กิดในบริเวณด้านใกล้กลางหรือไกลกลาง ดัง
รปู ท่ี 24 และ 25

รปู ที่ 24 แสดงรปู ร่างของอนิ เตอรพ์ ร็อกซิมลั คาร์ฟเวอร์

รปู ท่ี 25 แสดงภาพขยายส่วนปลายของอินเตอร์พร็อกซิมลั คาวฟ์ เวอร์ซ่ึงมีลักษณะแหลมบางเหมือนเคยี วเพื่อ
สามารถเข้าไปตกแต่งสว่ นเกินของอะมัลกมั ระหว่างซอกฟันไดด้ ี

12

ในกรณีทเี่ ปน็ โพรงฟันชนิด Class III และ Class IV จะอุดดว้ ยวสั ดสุ ีเหมอื นฟนั ให้เตรยี มอุปกรณ์ดงั นี้
1. แบนดใ์ ส (malar strip) ดงั รูปที่ 26
2. ใบมีดเบอร์ 12 ดังรูปที่ 27
3. แผ่นขัดวสั ดุอดุ ฟันดา้ นข้าง (polishing strip) ดังรปู ที่ 28
4. หากมีฟนั ซี่ประชิดกันใหใ้ ช้เวดจ์

รปู ท่ี 26 แสดงแบนดใ์ สเพ่อื ใชอ้ ดุ คอมโพสติ รูปที่ 27 แสดงใบมดี เบอร์ 12

รปู ท่ี 28 แสดงแผ่นขดั วัสดุอุดดา้ นขา้ ง (polishing strip)

สารยดึ เรซนิ คอมโพสติ กับฟนั หรือสารบอนดิง่ (tooth-resin composite adhesive or bonding agent)
คือ สารที่ใช้เพื่อช่วยยึดวสั ดุบูรณะสีเหมือนฟันให้ติดแน่นอยู่กับโครงสร้างของฟัน ปัจจุบันนิยมใช้กรอฟอสฟอริกเข้มข้น 37%

เป็นเวลา 15-20 วนิ าที ทาให้เกิดสีขาวขุ่น (chalky white) ทาให้สารบอนดิ้งไหลแทรกซึมเข้าไปในพ้ืนผิวท่ีเกิดรูพรนุ เล็ก ๆ นเี้ กิดเป็น
แท่งเรซนิ ระดับจุลภาค (microresin tag) โดยสารบอนด่ิงท่ใี ช้อย่ใู นคณะทันตแพทยบ์ อ่ ย ๆ มีดงั น้ี

1. Scotch Bond Multipurpose ซึ่งประกอบไปด้วยไพร์เมอร์และบอนดิงโดยมีตัวเลขท่ีข้างขวดดังนี้ขวด กรด etching
เบอร์ 1 เป็นเวลา 20 วินาที ขวดไพรเมอร์เบอร์ 2 ทาแล้วเป่าแห้ง ขวดบอนดิงเบอร์ 3 ทาแล้วฉายแสง 20 วินาที แล้วอุด
คอมโพสิตและควรใช้แปรงท่ีมีสีให้ตรงกับสฝี าขวดดงั รูป 29

13

2. Single bond เป็นสารบอนด้ิงที่ใช้ง่ายขึ้นวิธีการใช้คือการใช้กรดกัดก่อน 20 วินาทีแล้วทาซิงเกิลบอนด์ฉายแสง 20 วินาที
แลว้ อุดคอมโพสิตได้เลยดังรูป 30

3. SE Bond® or Optibond®เปน็ สารบอนดงิ ทใ่ี ช้งานง่ายเหมือนในขอ้ 2 แต่รายละเอียดต่างกันโดยทาไว้ 20 วินาทีแล้วไมต่ ้องลา้ ง
น้าเป่าแหง้ แล้วทาบอนดงิ และฉายแสงตาม 20 วนิ าทีตามด้วยการอดุ คอมโพสติ ได้ตามปกติ ดงั รูป 31

รูปท่ี 31 แสดงบอนดง้ิ ย่ีห้อ SE Bond

4. บอนดงิ P90เปน็ คอมโพสิตทมี่ ีการหดตัวตา่ หลังเตรยี มโพรงฟนั เสรจ็ แล้ว กันนา้ ลาย แล้วทาไพรเ์ มอร์ 15 วินาที
เปา่ ลมฉายแสง 10 วนิ าที ทาบอนดงิ เปา่ ลมเบา ๆ แลว้ ฉายแสง 10 วนิ าทแี ลว้ อดุ ด้วย P90 เป็นช้ันๆ ละไม่เกิน 2.5
มลิ ลิเมตร ดังรปู 32

14

วสั ดุบอนด้ิงมอี ีกมากมายหลายยี่ห้อซ่ึงไม่อาจนามาแสดงให้หมดได้ ระยะหลังๆเหลือเพียงขวดเดยี ว
ขน้ั ตอนการอุดฟันในคลนิ ิก

15

วัสดุอุดฟัน (ในเอกสารน้ีจะเป็นการแบง่ ประเภทเพอื่ การอ่านสอบเขา้ ฝึกอบรมเพอ่ื ทดสอบความเข้าใจและความจาไมค่ วรนาไปอ้างอิง
เด็ดขาด)
แบง่ ออกเปน็ 2 ชนิดตามการใชง้ านคือ

1. วัสดอุ ุดฟันช่วั คราว ไดแ้ ก่ เควทิ (cavit) และ ไออารเ์ อม็ (Intermediate restorative material หรอื IRM)ดังรูปท่ี 33
โดยเควิทนั้นสามารถแบ่งออกได้อกี 3 ชนิดคือ เควิทธรรมดา, เควทิ วี และเควทิ ดับบลิว

รูปที่ 33 แสดงวัสดอุ ดุ ชั่วคราว

2. วัสดอุ ุดฟนั ถาวรท่ีใช้บ่อย ๆได้แก่
2.1 อะมัลกัม (amalgam) องคป์ ระกอบสาคัญ คือ
Alloy คอื ส่วนผง อาจเป็นเมด็ (tablet) ก็ได้ สว่ นประกอบทสี่ าคญั คือ เงิน, ทองแดง ดบี กุ
ปรอท (mercury)

16

วิธีการใชง้ าน
หากผลติ มาในรปู อัลลอยเมด็ และ ปรอท ตอ้ งนามาผสมกันในแคปซลู แลว้ ป่นั
หากผลิตในรูปแบบแคปซูลแล้วสามารถปั่น ในเครื่องป่ันอะมัลกัม ดังรูปที่ 34 ใช้เวลาประมาณ 6-10 วินาทีแล้วแต่
บริษัทผู้ผลิตกาหนดมา

รูปท่ี 34 แสดงส่วนต่างๆของเครอื่ งป่นั อะมัลกมั

2.2 คอมโพสิต (composite resin) ซึ่งมีทั้งชนิดบ่มตัวด้วยตัวเอง (self cure composite) และบ่มตัวด้วยแสง (light cure
composite) หรอื ท้ังบ่มตวั ได้ด้วยตวั เองและใชแ้ สง(dual cure)

แตห่ ากแบ่งตามลักษณะของวสั ดุคือ
1. คอมโพสิตชนิดเหลว (Flowable composite) ผลิตมาในรูปแบบที่ใช้อุดฟัน (filling material) ท่ัวไปและใน รูปของการทา
เปน็ วัสดุก่อแกน (core build up material) ดงั รูปที่ 35

รปู ท่ี 35 แสดงคอมโพสิตชนิดเหลว

2. คอมโพสิตชนดิ อัดได้ (packable composite)ท่บี รรจุในหลอดทว่ั ไป มที ่ังท่เี ปน็ micro-hybrid composite ทตี่ ัวfiller มี
ท้ังขนาดเล็กและใหญ่ปนกันเช่น Z100, Z250 หรือ nano composite เป็นคอมโพสิตท่ีตัว filler ขนาดเล็กระดับนาโน เช่น
Z350 ดงั รูปท่ี 36

17

รปู ท่ี 36 แสดงคอมโพสิตชนิดอดั ได้แบบตา่ ง ๆ

2.3 กลาสไอโอโนเมอร์ (glass ionomer หรือ GI) ซงึ่ ผลิตออกมาทัง้ แบบทใี่ ชร้ องพ้นื และแบบทใ่ี ชอ้ ดุ ฟนั มหี ลากหลายชนดิ แต่
จะแนะนาตัวท่ีมีใช้อยู่ในคณะดังน้ี
1. GI base and GI lining เป็นวสั ดุรองพ้นื โพรงฟันชนดิ บ่มเองหรอื แขง็ ตวั ไดเ้ อง (self cure) ดงั รปู ที่ 37

รูปท่ี 37 แสดง GI base ด้านซา้ ย และ GI lining ด้านขวา

2. Vitrebond เป็นวสั ดุ ฉาบพ้ืนโพรงฟนั มักผสมให้เหลวเพ่อื รองพื้นเป็น GI lining ชนดิ ฉายแสง ดังรปู 38

รูปที่ 38 แสดง vitrebond

18

3. Ketac Fil เป็นวสั ดอุ ดุ ฟนั หรอื กอ่ ผนงั โพรงฟนั ช่วั คราวในการรักษารากฟนั หรอื ใช้อดุ ฟันตามปกตเิ หมือน GI ชนดิ อ่นื ๆดังรปู ท่ี 39

รปู ที่ 39 แสดงวสั ดอุ ดุ ฟันยีห่ ้อ Ketac Fil

4. Fuji II ชนดิ ฉายแสง(Ligth cure) ดงั รปู ท่ี 40 ดา้ นลา่ ง

หรอื ในปจั จุบนั มกั ใช้รุ่น gold label ดงั รูป 41 ด้านลา่ ง
19

5. Vitremer core build up material เป็นวัสดุอุดฟันที่สามารถใช้เป็นวัสดุก่อแกนฟัน (core build up material) ได้ โดยมี
ขัน้ ตอนในการใชง้ านหลังกรอโพรงฟันเสร็จ หรอื รองพืน้ โพรงฟันเสร็จแล้วดงั นี้

1. ทา vitremer primer มีหน้าทก่ี าจัด smear layer หรอื smear plug ออกไป
2. วัสดุอุด vitremer LC ผงและน้าผสมกัน แล้วใช้ dycal carier อุด หรือฉีดด้วยปืนฉีดอุดเป็นชั้น ๆ แล้วฉายแสงเพ่ือให้เกิด
การแขง็ ตัว หลงั จากนัน้ ขดั เรยี บและขัดมนั
3.ทา Finishing gloss เป็นสารเคลือบเพอ่ื ปอ้ งกันการบวมนา้ ของวัสดุชนดิ นี้ ใชเ้ คลือบหลงั ขดั วัสดุอดุ เสร็จแล้วและฉายแสงตาม
20 วินาที ดังรปู ที่ 42

รูปท่ี 42 แสดงวัสดุ GI vitremer

และอีกหลายย่ีหอ้ ซึง่ ตอ้ งคอ่ ยๆ ทาความรจู้ กั และเชือ่ วา่ ยงั คงจะมยี ี่หอ้ ใหม่ๆ ออกมาไดอ้ ีกในอนาคต
ซ่งึ มักต้องใช้รว่ มกับเครอื่ งฉายแสงมี 2 ชนดิ เมอื่ แบง่ ตามแหลง่ กาเนิดแสง
1. เครอื่ งฉายแสงท่ีใชห้ ลอดฮาโลเจนเปน็ ตวั กาเนดิ แสง(ดูรูปที่ 43)
2. เคร่อื งฉายแสงท่มี ีหลอด LED เปน็ ตวั กาเนิดแสง ซึง่ มีรปู รา่ งไมค่ ่อยเหมอื นแบบแรก

20

เคร่ืองฉายแสงทง้ั สองชนิดจะมีท้ังแบบมีสายและไรส้ าย ยังมีเคร่ืองฉายแสงอีก 2 แบบ คือ แบบ Laser และแบบ ARC ซ่ึงจะ
ไมก่ ล่าวถงึ ณ ทน่ี ้ี

รูปที่ 43 แสดงเคร่อื งฉายแสงยห่ี ้อหนง่ึ

และควรใชแ้ ผ่นพลาสตกิ สสี ้มดงั รูป 44 กนั แสงเพื่อปอ้ งกันสายตา

รูปท่ี 44 แสดงแผน่ พลาสติกสสี ม้ กันแสง

21

โรคปรทิ นั ต์

โรคปริทันต์เป็นโรคติดเช้ือท่ีเกดิ ข้ึนกับอวัยวะปริทันต์ซ่ึงอยู่รอบๆฟันได้แก่ เหงอื ก (gingiva) เอ็นยึดปริทันต์ (periodontal
ligament ) เคลือบรากฟนั ( cementum ) และ กระดูกรอบรากฟัน ( alveolar bone)

ภาพท่ี 45 แสดงอวัยวะปริทนั ต์ เหงือก ( Gingiva)
เคลอื บรากฟัน ( Cementum )
เอน็ ยดึ ปริทนั ต์ (periodontal ligament )
กระดกู รอบรากฟัน ( alveolar bone)

ขอบเหงือก (Gingival margin )
เหงือกระหวา่ งฟัน ( Interdental papilla)
เหงือกยดึ ( Attached gingiva )
รอยตอ่ เหงอื กกบั เย่ือเมือก ( Mucogingivภaาl jพunทc่ี 4tio6nแ)สดงส่วน

ตา่ งๆของเหงือก
เย่ือเมอื ก ( Alveolar mโuรcคoปsรaิท)ันต์สามารถแบง่ ออกได้เป็น 2

ชนิดใหญ่ๆ คือ โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) และ โรคปริทันตอ์ กั เสบ (Periodontitis)
โรคเหงอื กอกั เสบ คือ โรคท่ีมีภาวะการอกั เสบท่เี หงอื ก ซง่ึ เกดิ จากแผ่นคราบจลุ ินทรีย์เปน็ หลักและสาเหตุเสรมิ อืน่ ๆเช่นหินนา้ ลาย ทาให้
เหงอื กจะมลี ักษณะ บวม สีแดง บางครัง้ อาจมีเลือดออก

ภาพท่ี 3 แสดงเหงอื กปกติ ภาพท่ี 4 แสดงภาวะเหงือกอักเสบ

ภาพที่ 47 แสดงภาพหินน้าลายท้าให้เหงือกมลี ักษณะบวมแดง

22

โรคปรทิ ันตอ์ ักเสบ คอื โรคตดิ เชอื้ ซ่ึง มสี าเหตเุ กดิ จากหลายปจั จยั ไดแ้ ก่ เชอื้ โรคในแผ่นคราบจลุ ินทรยี ์ ภูมิคุ้มกนั ของร่างกาย
เป็นต้นและมสี าเหตอุ ืน่ ๆเชน่ การมหี นิ นา้ ลายใต้เหงือก ทาใหม้ อี าการเหงอื กอักเสบ มกี ารทาลายกระดกู รอบๆ ฟัน ฟันโยกมหี นอง
หรอื บางคร้งั มีกลน่ิ ปาก

ภาพท่ี 48 แสดงโรคปรทิ นั ตอ์ กั เสบ ภาพที่ 49 แสดงภาพรังสที ่ีมกี ารทา้ ลายของกระดูกรองรับฟนั

เพ่ือทาให้มีฟนั อยู่ในชอ่ งปากและใชง้ านตอ่ ไปได้ ดังน้ันการรักษามีความสาคญั มาก การขูดหินนา้ ลายและเกลารากฟันนี้เป็นข้ันตอนท่ี
สาคัญในการรักษาโรคปริทันต์ ซึ่งจะทาร่วมไปกับการควบคุมการเกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์และการแก้ไขปัจจัยท่ีมีผลต่อการสะสมของ
แผน่ คราบจุลนิ ทรยี ์และหนิ น้าลาย ซึ่งจะทาให้เหงอื กลดการอักเสบ ลดความรนุ แรงของโรค หรือหยุดการลกุ ลามของโรคได้

เครอ่ื งมอื ปรทิ ันต์ (Periodontal Instruments)
เคร่ืองมือปริทันต์เป็นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการตรวจและรกั ษาโรคปริทันต์มีหลายชนิด มกี ารออกแบบเพอ่ื ประโยชน์การใช้งานที่

แตกต่างกันออกไป เช่น การขูดหินน้าลาย การเกลารากฟัน การขูดเหงือก หรืออ่ืน ๆ การเรียกช่ือเคร่ืองมือแต่ละชนิดข้ึนกับการ
ออกแบบ ลักษณะรูปร่างของสว่ นทีใ่ ช้งาน หรือลกั ษณะการใชง้ านของเครอื่ งมือ เปน็ ตน้
ชนิดเครื่องมอื ปรทิ ันต์ ส้าหรับการขดู หินนา้ ลายและเกลารากฟัน
แบ่งตามวัตถปุ ระสงคก์ ารใชง้ านดงั น้ี A. เครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการตรวจ (Periodontal probe and Explorer)

B. เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการกาจัดส่งิ สะสมบนตวั ฟนั และผวิ รากฟนั
- เครื่องมอื สาหรับขดู หนิ น้าลายและเกลารากฟัน (Scaling, root planing and Curetting instrument)
- เคร่อื งมือสาหรับขดั และทาความสะอาดฟัน (Cleansing and polishing instrument)

A เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการตรวจ
1. เครือ่ งมอื เอกซพ์ ลอเรอร์ (Explorer)
เป็นเคร่ืองมือที่ใช้สาหรับตรวจหาตาแหน่งของหินน้าลาย ความเรียบของผิวรากฟัน และรอยผุของฟันเครื่องมือชนิดน้ี

ออกแบบให้มรี ปู รา่ ง มมุ และขนาดต่าง ๆ กนั แต่สว่ นที่ใช้งานจะมีลักษณะปลายแหลม

ภาพท่ี 50 เคร่ืองมอื

2. เครอ่ื งมอื ตรวจปรทิ ันต์ เพอริโอดอนโทล โพรบ (Periodontal probe) เอกซ์พลอเรอร์

เปน็ เคร่ืองมือที่ใช้ในการตรวจวดั ความลกึ ของ pocket ตรวจหาอาการแรกเริ่มของเหงอื กอักเสบ ใช้วัดระดับของกระดกู เบ้า

23

ฟัน (alveolar crest) วัดความกว้างของเหงือกยึด (attached gingiva) และใช้ตรวจหาความขรุขระของผิวรากฟันใน pocket ที่ลึก
และแคบ

ลักษณะรปู ร่างส่วนใช้งานจะมีลักษณะยาวเรียว ทรงกระบอก ปลายทู่และกลมมน ส่วนที่ใช้วัดจะมีการแบ่งเป็นช่วง ๆ เป็น
มลิ ลิเมตรตามแต่ละบรษิ ทั ผูผ้ ลติ หรอื อาจมสี ที ่ีแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะช่วง (Colour-coded)

ภาพท่ี 51 เครื่องมือตรวจปรทิ ันต์ เพอรโิ อดอนโทล โพรบ ภาพท่ี 52 เนเบอร์ โพรบ (Naber’s Probe)
ใช้ตรวจหาความผิดปกติบรเิ วณงา่ มรากฟัน

B. เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการขดู หนิ นา้ ลายและเกลารากฟัน (Scaling and Root planning instruments)
1. ซกิ เกล (Sickle)
เป็นเครอ่ื งมอื ทมี่ ีลกั ษณะคลา้ ยเคยี วหรือตะขอมดี า้ นคม 2 ดา้ น ปลายแหลมหนา้ ตัดเปน็ รปู สามเหลยี่ มหน้าจั่ว ด้ามต่อ

มลี ักษณะตรงในฟนั หน้า หกั มุมและโคง้ ในฟนั หลัง
เครอ่ื งมอื น้ีเหมาะสาหรบั การกาจัดหินน้าลายเหนือเหงือกและใต้เหงือกเล็กนอ้ ยและยงั เหมาะสาหรับด้านประชิดของ

ฟนั หนา้ ท่ีซ้อนเก

ภาพท่ี 53 แสดงลกั ษณะ ซกิ เกลแบบหน่ึง

2. คิวเรท (Curette)
เป็นเครอื่ งมอื ทีม่ ีรปู รา่ งคลา้ ยชอ้ น หน้าตดั ของเครอื่ งมือเปน็ รูปครง่ึ วงกลมส่วนปลายของดา้ นคม (toe) จะมนกลมไม่

เปน็ ปลายแหลมเหมอื น sickle ใชส้ าหรบั ขูดหินน้าลายและเกลารากฟนั

ชนดิ ของเครือ่ งมอื curette
แบง่ ตามลกั ษณะการใช้งาน ไดแ้ ก่ 1. Universal Curettes 2.Gracey Curette
1. Universal Curette เป็นเครื่องมือที่ออกแบบให้สามารถใช้ด้านคมท้ังสองด้านเข้าทางานในตาแหน่งต่าง ๆ ได้ทุกบริเวณ

universal curette ที่นิยมใช้โดยทั่วไปได้แก่ columbia No. 13-14 ใช้กับฟันหน้าทั้งบนและล่าง 2R-2L และ 4R-4L.ใช้กับฟัน
หลงั โดยเฉพาะ 2R-2L จะมดี ้ามต่อของเครื่องมอื ยาวกวา่ ชนิดอืน่ ๆ
2. Area-specificity curettes (Gracey curettes) เป็น curette ท่ีถูกออกแบบให้สามารถใช้ด้านคมได้เพียงด้านเดียว เหมาะ
สาหรบั การขูดหนิ น้าลายและเกลารากฟนั ในตาแหนง่ เฉพาะดา้ นใดด้านหน่งึ ของฟนั

24

ภาพท่ี 54 แสดงลักษณะ และ ส่วนต่างๆของ Gracey curette

Cleansing and polishing Instruments
หลงั จากขูดหินน้าลาย และเกลารากฟันแล้ว ขน้ั ตอนสุดท้ายของการทางาน คือ แก้ไขสว่ นเกนิ ของวัสดุอุด ขัดคราบสี

และคราบจลุ ินทรยี ์ รวมท้งั รอยขีดข่วนบนผวิ ฟนั จากการใช้เครื่องมือเพอื่ ให้ผิวฟนั สะอาด และเรยี บ
1. Rubber cup

เป็นหัวกรอยางลักษณะคล้ายถ้วยยาง จะใช้กับ Prophylaxis angle ต่อกับ straight hand piece ใช้ร่วมกับผงขัด
หรอื Polishing paste ทเ่ี ปยี ก

ภาพที่ 55 แสดงลักษณะของ Rubber cup

2. Polishing paste และ Powder
ลักษณะเป็นผงละเอียด เรียก pumice เวลาใชอ้ าจเติมน้าหรือกลีเซอรีนและสารอ่ืน ๆ เพ่ิมเติม เช่น ฟลูออไรด์ ก็ได้

หรืออาจใชผ้ งขัดอย่างอื่น เช่น Zirconium oxide หรือ Kaolinite paste
การใชผ้ งขัดร่วมกบั ถ้วยยางจะชว่ ยลบรอยขีดข่วนบนผิวฟนั ซ่ึงเกดิ จากเครอ่ื งมอื ปริทันต์ชนดิ ต่างๆใหผ้ วิ ฟนั สะอาดและเรียบ นอกจากเครอื่ งมือ
เหลา่ นีก้ ารขดู หนิ นา้ ลาย ยังมีเครื่องมือและอปุ กรณ์ที่ใชก้ นั ท่วั ไป คอื เคร่อื งขูดหนิ น้าลายอลุ ตราโซนิก

เครอ่ื งมอื ขดู หินน้าลายอุลตราโซนิก (Ultrasonic Scaler)
ลักษณะทวั่ ไปของเครือ่ งมอื

คล่ืนสั่นสะเทือน อุลตราโซนิก เป็นคลนื่ ที่มีความถี่สูงกว่าความถ่ีของเสียงท่ีมนุษยร์ ับฟังได้ คือสูงกว่า 20,000 Hertz (Cycle
per sec) เครื่องขูดหินน้าลายอุลตราโซนิกท่ีนิยมใช้กันมีความถี่ระหว่าง 25,000-42,000 Hertz และมี Amplitude ระหว่าง 0.006-
0.1 มม. และขณะนม้ี ีเครอ่ื งขูดหินน้าลายโซนิก (Sonic scaler) ซงึ่ มีคณุ สมบตั แิ ละวธิ กี ารใชใ้ กล้เคียงกับเครอ่ื งอลุ ตราโซนกิ แต่ความถ่ี
จะต่ากวา่ คือประมาณ 2,300-6,300 Hz. เคร่ืองโซนิกนี้จะมีขนาดเล็กกว่า และมักติดกับ Dental Unit ลักษณะจะใกล้เคียงกับ hand
piece ที่ใชก้ นั อยู่

เครอื่ งขูดหนิ น้าลายอุลตราโซนกิ ประกอบด้วยสว่ นสาคัญ 2 สว่ นคือ ตัวเคร่อื งกาเนิดไฟฟ้า (Generator) และด้ามจับ (hand
piece) กระแสไฟฟ้าปกตจิ ะถกู เปลยี่ นเปน็ กระแสไฟฟ้าสลบั ท่ีมีความถสี่ ูงมาก (มากกว่า 20,000 Hz.) แล้ว
ถกู ส่งไปยังขดลวดในกระบอกด้ามจับ ซ่ึงมีแท่ง transducer อยู่ สนามไฟฟ้าในขดลวดจะทาให้แทง่ transducer ยดื หดดว้ ยความถี่สูง
จนเกดิ เป็นความสั่นสะเทอื น เนอื่ งจากหวั ขูด (tip) ติดกับ transducer จึงมกี ารส่นั สะเทอื นไปดว้ ย

25

ภาพที่ 56 แสดงเคร่ือง อลั ตราโซนกิ ยี่ห้อหนึ่ง และหวั ขูด P10

การเตรยี มเคร่อื งขูดหินนา้ ลายอุลตราโซนิกใหพ้ ร้อมใชง้ าน
1. จัดเครือ่ ง ultrasonic unit ในตาแหนง่ ที่สะดวกที่หมอจะใช้งาน
2. เสียบปลก๊ั ไฟ และนา้ ใหเ้ รียบรอ้ ย
3. เปดิ เคร่อื งและปรบั ปุ่มควบคุมน้า ไล่นา้ ผา่ น handpiece โดยยังไม่ไล่ หัว P 10
4. ถือ handpiece ในลักษณะ ยกช้ีขน้ึ เดินเครอื่ งใหน้ ้า เตม็ ใน handpiece
5. เสียบ sterile tip ใน handpiece
หัวขูดควรเลือกลักษณะที่เหมาะสม โดยท่ัวไปทันตแพทย์จะเป็นผู้กาหนด หัวที่มีลักษณะแบนเหมาะกับด้าน facial และ

lingual, หวั ขูดท่ีมีลกั ษณะโค้งงอปลายเรยี ว เหมาะกับบริเวณfด้านข้างของซฟ่ี ัน แต่สามารถใชก้ ับดา้ นอ่ืนๆได้ด้วย เช่น หัว P10 ห้าม
นาหวั ขดู เหลา่ น้ไี ปลบั ใหค้ ม เพราะอาจทาใหเ้ กดิ ความหยาบบนผิวรากฟัน

6. เดินเครื่องปรบั power และนา้ โดย
- ต้งั ความแรงเทา่ ที่จาเป็น : ควรเรมิ่ ต้นทกี่ าลงั ปานกลางกอ่ นถา้ ประสิทธิภาพไม่ดพี อจึงปรับใหส้ ูงข้นึ เพราะ ความแรงท่ี

มากเกนิ ไป จะทาใหเ้ กิดความขรขุ ระบนผวิ รากฟันได้
- ปรบั ความถใี่ ห้สงู สุด : ปรับจนเกิดการส่ันฟุง้ กระจาย (เครือ่ งโดยทั่วไปปุ่มปรบั ความถี่และความแรงรวมอยูด่ ว้ ยกนั แล้ว

ก็เพยี งแตป่ รับจนเกดิ การฟุ้งกระจายของน้า กใ็ ชไ้ ด้)
- ปรับปรมิ าณน้าให้มากพอ : เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กิดความรอ้ นทห่ี วั ขูด

7. หลงั จากใช้งาน ควร อบฆา่ เชอ้ื เคร่อื งมือใหส้ ะอาด กอ่ นนามาใชง้ านต่อไป

ภาพที่ 57 แสดงเคร่ืองอัลตราโซนกิ ติดกบั ยนู ติ ท้าฟัน

26

การรกั ษาทนั ตกรรมสา้ หรับเดก็

เป็นงานทนั ตกรรมทใ่ี หก้ ารดูแลรักษากับผปู้ ่วยเดก็ โดยควรเข้าใจความหมายของคาเหลา่ น้ี
การเจริญเตบิ โต(growth) เป็นกระบวนการเปล่ยี นแปลงขนาดซึ่งอาจมีเฉพาะท่ี หรือท้ังร่างกายก็ได้เช่นน้าหนักของร่างกาย
หรอื อวัยวะตา่ ง ๆ
การพัฒนาการ(development)เปน็ กระบวนการเปล่ยี นแปลงทางหนา้ ท่แี ละทักษะตลอดจนการปรบั ให้รับกับสภาพแวดลอ้ ม
(adaptation) ไดแ้ ก่

1. การพัฒนาทางร่างกาย
2. การพฒั นาการทางสมองและสติปญั ญา
3. การพัฒนาทางอารมณแ์ ละบุคลิกภาพ
การเรียนรูเ้ ก่ยี วกับทนั ตกรรมป้องกนั แบง่ เปน็ ข้ันตอนดงั น้ี
1. การให้ความรู้(Information )เพอื่ ใหค้ นไขเ้ ห็นถงึ ความสาคัญของการรกั ษาทันตสุขภาพให้ดอี ย่เู สมอ
2. ทศั นคติ(attitudes)ผูป้ ่วยทม่ี ที ัศนคติทดี่ ีจะปฏบิ ตั ติ าม
3. ความชานาญ(Skill) คอื ผู้ป่วยสามารถปฏิบตั ิได้จนเกิดความชานาญ
4. นสิ ัย(Habit)คอื การทาจนเป็นนิสยั
เพราะฉะน้ันการที่จะประสบผลสาเร็จในการสอนทนั ตกรรมปอ้ งกนั คอื เมือ่ เดก็ มกี ารเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมท่มี องเห็นไดอ้ ยา่ ง
ถาวรเป็นนสิ ยั ในท่สี ุด
ประโยชน์ของฟนั น้านม มี 6 อยา่ งดงั นี้
1. การบดเคยี้ ว(Function)
2. การออกเสยี ง(Phonetics)
3. ความสวยงาม(Esthetics)
4. กนั ช่องวา่ งใหฟ้ นั แท้และไมใ่ ห้เกิดนิสัยทผ่ี ดิ ปกติ(Protection-space maintenance, oral habit)
5, ความสบายและลดคา่ ใช้จา่ ยในการรกั ษา(comfort and economics)
วิธีกา้ จัดแผ่นคราบจลุ ินทรีย์ (mechanical plaque control)
1. การแปรงฟัน ควรทราบลักษณะแปรงสีฟันท่ีดีคือแปรงหัวตรงท่ีมีบริเวณขนแปรงไนล่อนครอบคลุมฟันได้ประมาณ 3 ซี่
เป็นหน้าตัดเรียบ ปลายขนแปรงมนกลมจะทาความสะอาดได้นุ่มนวลและไม่อันตรายต่อเหงอื กดีกว่าแบบปลายขนแปรงตัดตรง ด้าม
จบั ควรจัดไดถ้ นดั มือ ขนแปรงเป็นแบบ soft เส้นผ่าศนู ย์กลางเท่ากบั 0.005 น้ิว หรือ 0.1 มิลลเิ มตร ขนแปรงยาว 11/32 น้ิว หรอื 8.7
มลิ ลิเมตร ควรมีขนาดหัวแปรงเล็กเพียงพอเข้าไปในปากและฟนั ของเดก็ ได้
เทคนิกการแปรงฟันในเด็ก แนะนา Scrub technic และ Modified Bass technic แต่วธิ ีScrub เหมาะกวา่ ในเด็กท่ีทักษะการใช้มือ
ยงั ไม่ดโี ดยแปรงถูไปมา เมื่อโตขึน้ ค่อยเปลย่ี นมาเป็น Modified Bass technic หลงั อายุ 11 ปขี ้นึ ไป
การแปรงวธิ ี Modified Bass Technique
วางแปรง 45 องศากับแนวแกนฟนั และค่อย ๆ กดขนแปรงเข้าไปในรอ่ งเหงอื กและบรเิ วณระหว่างฟัน 2 ซี่ท่ีติดกันโยกแปรงไปขา้ งหน้า
และขา้ งหลงั เป็น การขยับปัดระยะสัน้ ๆ (short stroke)ประมาณ 10-15 วินาที สาหรับแต่ละบรเิ วณเพื่อใหแ้ ผน่ คราบฟนั หลดุ ออกจาก
ระหว่างฟันและท่ีรอ่ งเหงอื ก สว่ นขนแปรงบรเิ วณที่ไม่ได้อยู่ในรอ่ งเหงอื กจะทาความสะอาดบริเวณฟันทีอ่ ย่เู หนือเหงอื กแล้วจึงปัดแปรง
เขา้ หาด้านบดเคย้ี ว บริเวณดา้ นบดเคยี้ วจะแปรงโดย การขยับปัดระยะสั้น ๆ ไปขา้ งหน้า และข้างหลัง ควรแปรงประมาณ 20 คร้ังต่อ
ดา้ นหนงึ่ ๆ ของฟนั
การแปรงวธิ ี Scrub technique ใหว้ างแปรงท่ี 90 องศากับผวิ ของฟันและเคล่ือนฟนั ไปมาหนา้ - หลังเป็นระยะสั้น ๆ

27

2. การใช้ไหมขดั ฟัน
รูปแบบตา่ ง ๆ ของการใชฟ้ ลูออไรด์ในการปอ้ งกันฟันผุ ได้แก่

1. การใชฟ้ ลูออไรดท์ างระบบ(Systemic fluoride supplementation)
1.1 การเตมิ ฟลูออกไรดใ์ นนา้ ประปาชุมชน (community water fluoridation)
1.2 การเติมฟลูออไรดใ์ นนา้ ประปาโรงเรียน (School water fluoridation)
1.3 การรับประทานยาฟลูออไรดเ์ สริม (Dietary fluoride supplement)
1.3.1 ยานา้ ฟลอู อไรด์ (Fluoride drops)
1.3.2 ยาเมด็ ฟลูออไรด์ (Fluoride tablets)
1.4 การเตมิ ฟลอู อไรด์ในเกลอื (Salt fluoridation)
1.5 การเตมิ ฟลอู อไรดใ์ นนม (Milk fluoridation)

2. การใชฟ้ ลอู อไรดเ์ ฉพาะท่ี (Topical Fluoride Application)
2.1 การใช้ฟลอู อไรด์ความเขม้ ข้นสงู โดยทนั ตแพทย์
2.1.1 การใช้ฟลูออไรด์เจล(Fluoride gel)ซึ่งมีทั้งท่ีเป็นแบบธรรมดาต้องอมในปากประมาณ 4 นาทีและแบบที่อมเพียง 60
วนิ าที เป็นต้น ดังรปู ที่ 58
2.1.2 การใชฟ้ ลูออไรดผ์ สมในสารขดั (Fluoride prophylaxis paste)ดงั รูปที่ 58
2.1.3 การใชฟ้ ลอู อไรดผ์ สมในสารวานชิ (Fluoride Varnish)ดังรูป 58

รปู ที่ 58 รูปซา้ ย แสดงฟลูออไรดเ์ จล รูปกลางแสดงฟลูออไรด์ผสมในสารขดั และ รปู ขวาแสดงฟลูออกไรดผ์ สมในสารวานชิ

2.2 การใช้ฟลอู อไรด์ความเข้มขน้ ต่าโดยตนเอง
2.2.1 ยาสฟี นั ผสมฟลูออไรด์
2.2.2 น้ายาบว้ นปากผสมฟลูออไรด์(Fluoride mouth rinse)
2.2.3 การใชฟ้ ลอู อไรด์เจล(Fluoride gel)
ขน้ั ตอนการเคลอื บฟลูออไรดเ์ จล
1. อธิบายผู้ป่วยก่อนเคลือบและผู้ป่วยควรมีอายุตั่งแต่ 5 ปีข้ึนไปเพราะห้ามกลืนฟลูออไรด์เจลระหว่างทาโดยใช้หลอดดูด
นา้ ลายดดู น้าลายสว่ นเกนิ ออกขณะทา จดั ตาแหนง่ ผู้ป่วยใหอ้ ยูใ่ นลกั ษณะต้ังตรงก้มคาง
2. เลือกขนาดถาดเคลือบให้คลมุ ฟนั ทุกซใี่ นขากรรไกรบนและล่างใหฟ้ ลอู อไรด์เจลสัมผัสกบั ฟันมากท่สี ดุ
3. ใสฟ่ ลูออไรด์ประมาณ 2.5 มลิ ลิลิตรหรอื ประมาณหนึง่ ในสามของถาดเคลอื บหรอื ประมาณ 40%ของถาดเคลือบฟลอู อไรด์
ในเด็กเล็กใหใ้ ช้ปรมิ าณนอ้ ยลง ควรใช้ไหมขัดฟันทุกซอกฟนั หลังการเคลือบ
4. ใชเ้ คร่อื งดดู น้าลายกาลังสูง(High power suction) ดดู ฟลูออไรดส์ ่วนเกนิ ออกรว่ มกบั การเช็ดด้วยผา้ ก๊อสแห้ง
5. ใหผ้ ปู้ ว่ ยบว้ นนา้ ลายโดยไม่ใช้น้าในนาทแี รกหลังจากทา
6. อธิบายผู้ปกครองผู้ปว่ ยทราบหลงั เคลอื บฟลูออไรดห์ า้ มบ้วนนา้ หรือทานอาหารอย่างนอ้ ย 30 นาที

28

การกรอฟันผุในเด็กมักใช้ หัวกรอเบอร์ #330 tungsten carbide(pear shape) ดังรูป 59 ร่วมกบั หัวกรอไมโครรปู ทรงกลม

เม่ือกรอฟันแล้วหากเปน็ การอดุ ฟัน class II ในเดก็ จะใช้ ทีแบนด์ (T-band) ดังรปู 60 และหากตอ้ งอุดฟัน 2 ซ่โี ดยมีดา้ นประชิดติดกัน
เช่น ฟนั ซ่ี 75 OM และ74 OD ไมว่ า่ เปน็ การอุดดว้ ยวสั ดอุ ะมัลกมั หรือคอมโพสติ เรียกว่าการอุดแบบ Back to Back ดงั รูป 61

รูป 59 แสดง T-band รปู ที่ 60 แสดงการอุดแบบ back to back

ตวั อย่างคาศัพท์ตา่ ง ๆ ในการรักษาทางทันตกรรมสาหรับเด็กซึ่งผชู้ ่วยจะมบี ทบาทมากทีช่ ่วยทาให้เด็กรว่ มมอื รกั ษา
1. เครื่องบิน หรือเก้าอี้วิเศษ (dental unit) ในการชว่ ยขา้ งเกา้ อ้ีผ้ปู ว่ ยเด็กควรเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้ครบทกุ อยา่ งโดยควรมกี ระจกและ
ของเล่นเด็กเพื่อดึงดดู ความสนใจเดก็ เช่นแว่นตาดาเดก็ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ เล่นเวลาฉายแสง
2. ชุดตรวจจับหนอน เป็นชุดพ้ืนฐานทั่วไป ประกอบด้วย คฑาวิเศษ หรือ ไม้เข่ียหนอน (explorer) ,คีมจับหนอน (forceps) ,กระจก
วเิ ศษ (mouth mirror)
3. หลอดดูดวิเศษ เอาไว้ดูดหนอนคือ หลอดดดู น้าลายแรงดันสงู (High power suction)
4 .เครื่องยงิ แสงอุลตรา้ แมนใหฟ้ นั แขง็ แรง คอื เครื่องฉายแสง
5. แหวนรดั ฟัน คอื ทีแบนด์ (T-band)
6, กางร่มใหพ้ ฟี่ นั คอื การใสช่ ดุ รับเบอรแ์ ดมเพ่ือกนั น้าลาย
7. ชุดพี่หมี หรือ ชุดอุลตร้าแมน เพื่อให้พี่ฟันอบอุ่น กรณีที่พ่ีฟันหนาว คือการใส่กระดานและผ้าสาหรับมัดผู้ป่วยเด็ก (papoose
bord)
8. เก้าอใี้ ห้พฟี่ ันนั่ง คือ mouth prop หรือ mouth gag
9. ฝังไข่มุกใหพ้ ่ฟี นั คือ การผนกึ หลุมร่องฟนั
10. ปิดบ้านหนอน คือ การอุดฟนั
11. ฟันนางฟา้ หรือฟนั เทวดา คือ การทาครอบฟนั โลหะ
12. กระดาษสหี รือกระดาษวิเศษ คอื กระดาษอารต์ ิคเู ลติ้งเปเปอร์หรือกระดาษก๊อปป้ี เป็นต้น

29

การรักษารากฟัน (Endodontics)

เป็นข้นั ตอนตอ่ จากกระบวนการกรอเอาเน้ือฟนั ส่วนทผี่ ุออก หากการผนุ นั้ ลกึ ถึงช้นั โพรงประสาทฟันและทาให้เกดิ การตดิ เชื้อ
ท่โี พรงประสาทฟันซ่งึ ในกระบวนการอุดฟันหากมีการรองพ้ืนด้วยวัสดุ แคลเซ่ยี มไฮดร็อกไซด์ แล้วตามด้วยแกลสไอโอโนเมอร์ แล้วอุด
ปิดกรณีท่ียังไม่ทะลุโพรงประสาทฟัน แต่เอาเนื้อฟันส่วนผุท่ียังน่ิมอยู่ออกไม่หมดและใส่ยาฆ่าเช้ือลงไปรองพ้ืนก่อนอุดช่ัวคราว เรียกว่า
การรักษาประสาทฟันทางอ้อม(Indirect pulp capping) ควรดูอาการแล้วมารอ้ื เอาวสั ดุอุดชั่วคราวออกและอุดถาวรในภายหลังอย่าง
น้อย 6 เดือนเพื่อให้เกิดการสร้างเน้ือฟันข้ึนมาใหม่(reparative dentine)และหากทะลุโพรงประสาทฟันท่ีเพ่ิงทะลุเรียกว่าการรักษา
ประสาทฟันทางตรง( direct pulp caping) วิธีน้เี ปน็ การรักษาประสาทฟนั ถาวรทผี่ ทุ ะลถุ งึ เนื้อเยอ่ื ประสาทเปน็ จดุ เล็กขนาดน้อยกวา่ 1
มลิ ลิเมตร อาจโดยอุบัตเิ หตุจากเครอ่ื งมือทันตกรรมหรือโดยได้รบั อุบัติเหตุจนฟันหักทะลุถงึ เนื้อเยือ่ ประสาทและฟนั ซ่ีนน้ั ต้องเป็นฟันดี
ไมม่ พี ยาธสิ ภาพอ่นื ร่วมด้วย ไมน่ ิยมทาการรกั ษานีใ้ นฟันน้านมหากมีการตดิ เชอ้ื สู่โพรงประสาทฟนั แล้วมีการตดิ เชอื้ ในโพรงประสาทฟัน
ทาให้ผู้ป่วยปวดหรือมีหนองปลายรากฟันต้องทาการรักษารากฟัน แต่วิธีการรักษารากฟันในเด็กและผู้ใหญ่ก็จะแตกต่างกัน มี
เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการรกั ษาคลองรักฟันทจ่ี าเป็นดังน้ี
1. รับเบอร์เดมเฟรม (rubber dam flame or rubber dam holder) มี 2 ชนิด คือ

รูปที่ 61 แสดงรบั เบอร์แดมเฟรม 2 แบบ คอื ก. The Young’s holder ข. Nygard-Ostby ®

2. อปุ กรณ์สาหรับเจาะแผ่นยางกันน้าลาย หรือ รบั เบอร์เดมพ้นั ช(์ rubber dam punch) เปน็ อุปกรณ์ท่เี จาะแผ่นยากันน้าลาย
เพ่อื โอบรดั ให้พอดกี บั ฟนั แตล่ ะซี่จะมขี นาดของรทู ี่ตอ้ งการเจาะใหเ้ หมาะสมกบั ฟัน โดยหมุนที่ ฐานโลหะเพื่อปรับใหไ้ ด้ขนาดรู
ท่ีต้องการโดยหมุนรใู ห้มาตรงกบั เข็มเจาะโดยมี ท้งั หมด 5 รู ดังน้ี
No 1 สาหรบั ฟนั หน้าบนซีท่ ่ีสองและฟันหนา้ ลา่ ง
No 2 สาหรับฟนั หน้าบนซ่ีแรก ฟันเขย้ี วบนและล่าง ฟนั กรามนอ้ ย
No 3 สาหรบั ฟันกรามบนและล่าง
No 4 สาหรับฟันกรามขนาดใหญ,่ ฟันหลกั ที่เป็นหลกั ยดึ สะพานฟนั
No 5 ฟนั หลักทเ่ี ป็นหลักยึดสะพานฟัน

30

รปู ท่ี 62 แสดงรบั เบอรเ์ ดมพันช์

3. อปุ กรณ์ยึดแผน่ ยางกันนา้ ลาย หรอื แคลมป(์ rubber dam retainer or clamp) มสี ่วนประกอบต่าง ๆ ดงั รปู ที่ 63

รปู ท่ี 63 แสดงส่วนประกอบต่าง ๆ ของรบั เบอรแ์ ดมแคลมป์

ซง่ึ รับเบอรเ์ ดมแคลป์มีหลายขนาดและรูปรา่ งเพ่อื ใหเ้ หมาะกับฟนั แตล่ ะซดี่ ังรูปท่ี 64

31

รปู ท่ี 64
4. อปุ กรณส์ าหรบั ใสท่ ย่ี ดึ แผน่ ยางกนั น้าลาย หรือ รับเบอร์แดมฟอรเ์ ซ็ปส์ (rubber dam retainer forceps)

เปน็ เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการใส่และถอดแคลมป์ออกจากตวั ฟันตรงปลายท้งั สองมีแทง่ กลมสัน้ ๆ ออกแบบมาใหม้ ีขนาดท่ีพอดีกับ
รทู ่ีอยูบ่ นแคลมป์เพื่อบีบให้สว่ นของ jaw ของแคลมป์อา้ ออกและสามารถผ่านความอูมนูนของฟันไปจับกับตวั ฟันได้เวลาถอดออกก็ทา
เชน่ เดยี วกันดังรปู 65

32

รปู ที่ 65 แสดงเครอ่ื งมือช่ือรับเบอรแ์ ดมฟอร์เซปส์

5. endodontic explorer ดังรปู 66

รูปท่ี 66 แสดงเอนโดดอนติคเอกซพลอเรอร์

6. Glick No 1,2 มีรปู ร่างด้านหน่ึงแบนปลายมนกลมอีกด้านเหมือนอะมัลกัมพลักเกอรเ์ ป็นทรงกระบอกยาวกว่าใชล้ นไฟเพือ่ ตดั กัตต้า
เปอรช์ าเม่อื อดุ คลองรากฟนั เสร็จแล้วดังรปู 67

รปู ที่ 67 เครือ่ งมอื ชอื่ Glick

7. เพลตแก้วใสเ่ ปเปอรพ์ ้อยท์ และสาลี (plate with paper point and cotton) และตะเกยี งแอลกอฮอล์ ดังรูป 68

รูปท่ี 68 แสดงเพลทแก้วและตะเกียงแอลกอฮอล์

33

8. บารบ์โบรช (Barb broach) ขนาดต่าง ๆ มีสีต่ังแต่ม่วงขาวเหลืองแดงน้าเงินเขียวและดารูปร่างเหมือนหนามเพื่อดึงเส้นประสาท
ฟนั ออกมาดังรูป 69

รปู ท่ี 69 แสดง บารบ์ โบรชซ่ึงมลี กั ษณะคลา้ ยลวดหนาม

9. เกตส์กลิตเด็น ดริล (Gates-Glidden drill) ลักษณะหัวรูปดอกบัวก้านยาวมีหน้าท่ีเป็นทางเข้าไปในคลองรากฟันเพ่ือขยายคลอง
รากฟนั ดงั รูป 70แสดงภาพ เกตกลติ เดน็ ดริลและภาพขยายสว่ นหัว

รปู ที่ 70 แสดงลกั ษณะของเกตสก์ ลดิ เดนดริล

10. เลน็ ตูโรสไปรลั (Lentulo spiral) มีสแี ดง.น้าเงิน.เขยี วและดาตามขนาด รปู ท่ี 71

รูปท7ี่ 1 แสดงลักษณะของเลนตูโรสไปรลั

11. เคร่ืองมือขยายคลองรากฟันหรือ ไฟล์ (file) สามารถแบ่งชนิดของไฟล์ไดต้ ามวัสดุท่ีทาคือสแตนเลสสตีล ไฟล์ (stainless steel
file) และ นิเกิลไทเทเนียมไฟล์( Nikel titanium file) หรือแบ่งตามรปู ร่างของไฟล์ได้แก่ Reamers , K-type file ,Headstrom file,
safety Headstrom file และ Flex-R file ดังรปู ท่ี 72

34

รูปที่ 72 แสดงตัวอย่างเคไฟล์ทีเ่ รยี งตงั่ แตเ่ บอร์ 8สเี ทา, 10สมี ่วง, 15สขี าว, 20สเี หลอื ง, 25สแี ดง, 30สนี า้ เงนิ , 35สี
เขยี ว, 40สีดา และรปู ขยายลักษณะของไฟลท์ ้ัง 5 ชนิดที่ใชม้ อื หมนุ ขยายคลองรากฟัน

12. หวั กรอคารไ์ บดห์ รอื หัวกรอเพชรทรงกลมและทรงสอบเขา้ แบบยาว
13. หัวกรอชา้ สแตนเลสกา้ นยาว(long shank round steel bur)
14. Mueller bur ดงั รปู 73

รูป73 แสดงหัวกรอทใ่ี ชใ้ นงานรักษารากฟนั
15. เอน็ โดดอนติคพลักเกอร์(endodontic pluger ) เป็นเครอ่ื งมอื รปู ทรงกระบอกยาวใช้ลนไฟเพ่ือตัดกตั ตาเปอรช์ าทอี่ ยใู่ น คลอง
รากฟนั ดงั รปู 74

รูปท่ี 74 แสดงลักษณะของ เอนโดดอนตคิ พลักเกอร์

16. สเปร๊ดเดอร์ (spreader) เป็นเคร่อื งมือท่ใี ช้ในการอุดคลองรากฟันด้วยเทคนิค Lateral condensation ซึ่งควรมี stopper ใส่ไว้
เพื่อรู้ถงึ ความยาวขณะท่ีอุดคลองรากฟันดังรปู ท่ี 75

35

รปู ท่ี 75 แสดงลกั ษณะของสเปรดเดอร์

17. เอ็นโดเรย์ (endoray)และ ฟิลมเ์ อ๊กเรย์เป็นอุปกรณ์สาหรับถา่ ยภาพรังสใี นการรกั ษาคลองรากฟนั ดังรปู ที่ 76

รปู ท่ี 76 แสดงอุปกรณเ์ อ็นโดเรยแ์ ละการใช้อปุ กรณถ์ า่ ยภาพรังสใี นช่องปาก

เม่ือเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้วควรทาความเข้าใจเก่ียวกับการรักษาโดยหากผุไม่มากเพียงชั้นของผิวเคลือบฟันหรือถึ งช้ันเนื้อ
ฟันเล็กน้อยทันตแพทย์สามารถอุดฟันได้ โดยไม่ต้องรองพ้ืน หากลึกมากจาเป็นต้องรองพื้นโพรงฟันโดยการใชว้ ัสดุรองพื้นโพรงฟันเช่น
แคลเซ่ียมไฮดร็อกไซด์ หรือ ไดแคล(Dycal) แล้วตามด้วย เกลสไอโอโนเมอร์ หรือถ้าไม่ลึกมากแค่เกลสไอโอโนเมอร์ก็พอในกรณีที่
สามารถกรอเอาเนือ้ ฟนั ผอุ อกได้หมด
วธิ ีการรกั ษาประสาทฟัน

1. การรักษาประสาทฟันทางตรง (Direct pulp capping) เป็นการรักษาประสาทฟันถาวรที่ผุทะลุถึงเน้ือเยื่อประสาทเป็น
จุดเล็กขนาดน้อยกว่า 1.มิลลิเมตร อาจโดยอุบัติเหนุจากเครื่องมือทันตกรรมหรือโดยได้รับอุบัติเหตุจนฟันหักทะลุถึงเน้ือเย่ือประสาท
และฟันซี่นั้นต้องเป็นฟันดีไม่มีพยาธิสภาพอ่ืนใดร่วมด้วย ไม่นิยมรักษาในฟันน้านม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการซ่อมแซมเน้ือเย่ือ
ประสาทฟันสว่ นทีท่ ะลุโดยทาใหเ้ กิดเนอื้ ฟันขนึ้ ใหม่ (secondary dentine bridge) โดยการใชแ้ คลเซียม

ไฮดร็อกไซดใ์ ส่บริเวณที่มีรอยทะลุ แล้วรองพ้ืนและอดุ ด้วยวัสดอุ ดุ ฟันถาวร
2. การรกั ษาประสาทฟันทางออ้ ม (Indirect pulp capping) เป็นการรักษาโดยการเอาเนื้อฟันส่วนที่ผุออกเหลือเพียงเนื้อ
ฟนั ช้นั ท่ีละลายตัวมีลักษณะน่ิมห่างจากโพรงประสาทฟันประมาณ 1มลิ ลิเมตรแล้วใส่แคลเซีย่ มไฮดร๊อกไซด์ลงไปและรองพ้ืนด้วยเกลส
ไอโอโนเมอร์เพอ่ื ใหเ้ กิดการสร้างเนอื้ ฟันขน้ึ ใหมใ่ นดา้ นทีช่ ิดกับโพรงประสาทฟนั (reparative dentine)
3. การรักษาคลองรากฟันในฟันแท้ (Root canal treatment) เป็นการรักษาคลองรากฟันโดยการกาจัดเนื้อประสาทที่ติด
เช้อื ออกทั้งหมดรว่ มกบั การทาการขยายคลองรากฟันและลา้ งคลองรากฟนั เพื่อกาจัดเช้อื แล้วทาการอุดคลองรากฟันดว้ ยกัตตาเปอรช์ า
หลงั จากน้นั จึงแนะทาทาเดอื ยฟันและครอบฟันเพ่ือเสรมิ ความแข็งแรงให้แก่ฟันในการบูรณะการบดเคยี้ วต่อไป

นอกจากนี้ยังมีการรักษารากฟันแบบอนื่ ๆอีกคือ การทาพลั โพโตมีโดยใช้ฟอรโ์ มครีซอล(pulpotomy Using Formocresol)
, การทาพัลเพคโตมี , การทาเอเพคซิฟิเคชั่น (Apexification) ซึ่งจะได้เรียนต่อไปเพ่ือจัดเตรียมเครื่องมือ, วัสดุ และอุปกรณ์ในการ
รักษาไดถ้ กู ต้อง

36

วตั ถุประสงคข์ องการขยายคลองรากฟัน
1. กาจดั เศษเน้อื เย่อื ในและเนือ้ ฟันทน่ี ่ิมและตดิ เชื้อ
2. กาจดั เชื้อจุลินทรยี ท์ ่อี ยใู่ นคลองรากฟันเหลอื ปรมิ าณน้อยทสี่ ุดทีจ่ ะไมก่ ่อให้เกิดอันตรายตอ่ เนอ้ื เยอื่ ปลายราก
3. เตรียมคลองรากฟันใหใ้ หญพ่ อที่จะรองรบั วสั ดุอดุ คลองรากเพอ่ื ให้อดุ ได้อยา่ งสมบูรณไ์ ม่วา่ จะอดุ ดว้ ยวิธใี ด
ข้นั ตอนสา้ คญั ในการขยายคลองรากฟัน
1. การเตรียมฟันกอ่ นเปดิ ทางเขา้ คลองรากฟัน
2. การเปดิ ทางเข้าคลองรากฟนั (access opening)
3. การทาความสะอาดและตกแต่งคลองรากฟัน (cleaning and shaping of the root canal system) โดยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลัก
คือ การขยายในสว่ นบนของคลองรากฟนั และการขยายในส่วนปลายราก ซ่ึงขน้ั ตอนสาคัญคอื การกาหนดความยาวรากฟันโดยสามารถ
ทาได้ 2 วิธคี ือใช้เครื่องวัความยาวรากฟันไฟฟา้ ซง่ึ มขี ายหลายย่ีหอ้ และการใชภ้ าพถา่ ยรังสคี านวณความยาวรากฟนั

เม่ือวัดความยาวรากแล้วขยายจนได้เครื่องมือขนาดสุดท้ายที่ใช้ขยายคลองรากฟันในบริเวณปลายรากนี้เรียกว่า Master
apical file หรอื ย่อว่า MAF เมือ่ ขยายควรผูช้ ่วยต้องเตรยี มน้ายาลา้ งคลองรากฟันเช่น โซเดียมไฮโปคลอไรด์ (NaOCL หรือ sodium
hypochlorite) 2.5% ห รื อ 5.25%, ค ล อ เ ฮ ก ซิ ดี น (Chlorhexidine) แ ล ะ ใ น ก า ร ล้ า ง อ า จ ร่ ว ม กั บ ส า ร พ ว ก
ethylenediaminetetraacetic acid มีชื่อย่อว่า EDTA ในการกาจัดสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ท่ีอยู่บนผนังคลองรากฟัน(smear
lay) หลังจากการรักษาในแต่ละคร้ังให้ผู้ช่วยต้องเตรียมยาใส่ภายในคลองรากฟันคือ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ,สาลีรองพื้นและวัสดุอุด
ช่วั คราวเช่น เควทิ และไออาร์เอม็

ในการนัดครั้งต่อไปเม่ือผู้ป่วยไม่มีอาการสามารถอุดรากฟันได้โดยโดยผู้ช่วยเตรียมกัตตาเปอร์ชาแท่งแรกเรียกว่า เรียกว่า
Main cone และกตั ตาเปอร์ชาแท่งเล็กท่ีนามาอุดเสริมให้เต็มในคลองรากฟันเรียกวา่ lateral cone ดงั รูป 77 โดยใช้วัสดเุ รียกว่าซีล
เลอร์ท่ใี ชใ้ นการอดุ คลองรากฟันเช่นซงิ ค์ออกไซดย์ ูจินอลกบั โคลฟออยและให้เตรยี มเครอ่ื งมือชอ่ื สเปร็ดเดอร์

รปู ท่ี 77 รปู ซา้ ยและกลาง แสดงการลอง main cone รปู ขวาแสดงภาพถ่ายรังสหี ลัดอุดคลองรากฟัน
และอดุ วสั ดุอดุ ช่ัวคราวแลว้

เมื่อรักษารากฟันแล้วควรทาเดือยและครอบฟันเพื่อบูรณะให้ฟันมีความแข็งแรงสามารถต้านทานตอ่ แรงทั้งในแนวนอนและ
แนวตั่งจากการบดเค้ียวอาหารไดด้ ี โดยเดอื ยฟันสามารถแบ่งวธิ กี ารทาได้ดังน้ี
1. อะมลั กมั โดยใชอ้ ะมลั กมั เป็นวสั ดกุ อ่ แกน(amalgam core)เพอ่ื เสริมความแข็งแรงของฟนั
2. เดือยโลหะหลอ่ ซึ่งสามารถทาได้ 3 ลกั ษณะคอื

2.1 เดอื ยท่ีทาโดยการพิมพ์ปากในคลินิก แล้วส่งแล็บ โดยควรเตรียมกาวทีใ่ ชย้ ดึ เดือยทาบนเดอื ยแล้วนาเดือยใส่ในคลองราก

37

ท่เี จาะไวแ้ ละพมิ พ์ปากไดด้ งั รูป

รปู ที่ 78 a) รูปซา้ ยมือแสดงกาวยึดซิลโิ คน B) รปู กลางแสดงเดือยทากาวแล้วและ
C) รปู ซ้ายมอื เมอ่ื พมิ พเ์ ดือยเสรจ็ แลว้

2.2 ปน้ั เดือยด้วยเรซนิ ดูราเลย์เองบนแบบหลอ่ (cast)ในห้องปฎิบัตกิ ารหลังพมิ พ์ปากแล้วส่งแล็บเหว่ยี งโลหะ

รูปที่ 79 แสดงแบบหลอ่ ทีเ่ ทเสร็จแลว้ พร้อมป้ันด้วยเรซนิ กอ่ นน้าไปเหว่ยี ง
2.3 ป้ันเดอื ยด้วยเรซิน ดรู าเลยเ์ องในปากแลว้ สง่ ดูราเลย์ที่ปัน้ ได้ไปเหวยี่ งท่แี ล็บได้เลย
เมอื่ เหวี่ยงเสรจ็ แล้วทางแลป็ จะสง่ ช้นิ งานมาดังรปู 80

รูปท่ี 80 แสดงเดือยเหวย่ี งในฟนั กรามแท้ซี่แรกและฟนั กรามนอ้ ย

38

รูปที่ 81 แสดงการลองเดือยโลหะในช่องปากและการยึดเดอื ยโลหะในช่องปาก

3. เดือยสา้ เรจ็ รปู ซ่งึ มีมากมายหลากหลายชนิดทามาจากวสั ดุหลายอยา่ งเช่นไทเทเนียม ,คาร์บอนไฟเบอร,์ ไฟเบอรเ์ รนฟอร์สดค์ อมโพ
สติ เปน็ ตน้

รูปท่ี 82 แสดงการใส่เดือยส้าเร็จรูปในคลองรากด้านเพดาน และรูปขวาแสดงหลังการอุดด้วยวัสดุก่อ
แกนเช่น คอมโพสิต, มัลติคอร์(multicore) , ลักซ์ซาคอร์(luxacore),วิทรีเมอร์(vitremer) หรือวัสดุ
กอ่ แกนชนดิ ต่าง ๆ

การจะทาเดอื ยประเภทใดนนั้ มกั จะใช้วสั ด,ุ อุปกรณ์แตกตา่ งกันจงึ ต้องเรยี นรเู้ พ่อื จดั เตรียมวสั ด,ุ อุปกรณไ์ ด้อยา่ งถกู ต้อง
หลงั จากนน้ั จึงทา้ ครอบฟนั ใสต่ ่อไปขนั้ ตอนในการท้าครอบฟนั มีดงั นี้
การนัดคร้ังแรก ผู้ช่วยเตรียมวสั ดุทาครอบชั่วคราวหรอื ตัวครอบชว่ั คราว , ดา้ ยแยกเหงือก, วสั ดุพิมพป์ าก (โดยท่ัวไปใช้ซลิ ิโคน), วัสดุ
ยดึ ครอบชั่วคราว, กระดาษเช็คสบ (articulating paper) และเตรยี มเลือกสีฟนั ซ่งึ มีอุปกรณเ์ ลือกสฟี ันท่ีใช้ประจาอยปู่ ระมาณ 3 ชนิด
ดงั รปู 83 ตวั ครอบฟนั แลบ็ จะเป็นผูท้ าเมื่อทาเสร็จจะส่งกลบั คืนใหห้ มอ

39

รูปท่ี 83 แสดงอุปกรณ์สา้ หรบั เทียบสีฟัน (shade guide)
สา้ หรบั งานฟนั ปลอมติดแนน่ ทีเ่ ป็นกระเบื้อง(พอรซ์ เลน)

ในการนัดคร้ังทสี่ อง เป็นการนัดเพือ่ ใส่ครอบฟันมีขน้ั ตอนดังนี้

1. การเชค็ ดา้ นประชิด (Check contact point)

2. เชค็ ขอบของครอบฟัน (Check margin)
3. เช็คสูง (Check occlusion)

4. ขดั ครอบฟัน (Polishing)
5. ยึดครอบฟนั (Fixed)

วัสดทุ ่ตี ้องเตรียม (Material) ดังรปู ท่ี 85
1. แบบหลอ่ ฟันหลัก(working model and die)
2. ครอบหรอื ชิน้ งานที่ใส่ โดยควรแชแ่ อลกอฮอล์กอ่ นลองในผู้ปว่ ย
3. ชุดตรวจและ สปนู (spoon)
4. หัวกรอ airrotor ,straight, contra angle and rubber cupและ ผงพมั มสิ
5. กระดาษกดั สบสีแดง-น้าเงิน, ชิมสต๊อกและไหมขัดฟนั
6. หวั กรอ stone เขยี ว,ขาว, หัวขัดยางแดง, เขยี ว ชดุ หวั ขดั พอรเ์ ซเลน (porcelain adjustment kid)
7. ดนิ สอแดง นา้ เงนิ หรอื ดา
8. ซีเมน็ ต์ (cement) ท่ใี ชย้ ดึ ครอบฟันซึง่ มีหลากกลายชนิด ซ่ึงตอ้ งรู้และเตรียมให้หมอได้อย่างถกู ตอ้ ง
9. พีเอสไอ (PSI=pressure spot indicator) รปู 84

รูปที่ 84 แสดง PSI และดินสอซ่ึงอาจเป็นสแี ดงนา้ เงนิ หรือดา้

40

รปู ท่ี 85 แสดงการจดั ชดุ ตรวจเพอ่ื เตรียมอุปกรณส์ า้ หรับใส่ครอบฟนั

ความรู้ในงานทนั ตกรรมประดษิ ฐ์ (Prosthodontics)

ทันตกรรมประดิษฐ์ เป็นวิชาที่เก่ียวข้องกับการใส่ฟันเทียม( ฟันปลอม) เพื่อทดแทนฟันที่ถูกถอนไป นอกจากน้ีอาจรวมถึง
การใสอ่ วัยวะเทียมได้แก่ หู ตา เปน็ ตน้

ประเภทของฟันปลอมสามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญๆ่
1. ฟนั ปลอมแบบถอดได้ 2. ฟันปลอมแบบตดิ แน่น
1. ฟนั ลอมแบบถอดได้ ฟนั ปลอมแบบถอดไดม้ ี 3 ประเภทด้วยกัน
1.1 ฟันปลอมท้ังปาก ( complete denture) เป็นฟันปลอมที่ใส่ให้กับผปู้ ว่ ยทไ่ี ม่มฟี นั เหลืออยู่
ลกั ษณะตัวฐานฟนั ปลอมเป็นอะคลินิกคล้ายพลาสติก และมีตวั ฟนั ปลอมเรียงตัวกันอยดู่ งั รูป 86

รปู ท่ี 86 แสดงลกั ษณะของฟนั ปลอมทั้งปาก

41

1.2 ฟันปลอมบางส่วนถอดได้ฐานอะคลิลิก (Temporary partial denture - TP หรือ Acrylic Removable Partial
Denture – ARPD) ลักษณะตัวฐานฟันปลอมเป็นอะคลิลิกเช่นเดียวกับฟันปลอมทั้งปากและมีซ่ีฟันปลอมใส่ทดแทนในตาแหน่งฟัน
ธรรมชาตทิ หี่ ายไปและมักมตี ะขอโลหะอยดู่ ้วยเสมอ

ภาพที่ 87 แสดงลกั ษณะฟันปลอมบางสว่ นถอดได้ฐานอะคลลิ กิ

1.3 ฟันปลอมถอดได้ชนิดโครงโลหะ ( Removable partial denture – RPD ) ลักษณะของฐานฟันปลอมจะทามาจากโลหะผสม
และมีซฟี่ ันทดแทนในตาแหนง่ ทีห่ ายไป

ภาพที่ 88 แสดงลกั ษณะฟนั ปลอมถอดได้ฐานโลหะ(RPD)

2. ฟันปลอมชนิดติดแนน่
2.1 ครอบฟัน (Crown) เป็นการบูรณะฟันที่มีการสูญเสียเน้ือฟันมากท่ีไม่สามารถให้การรักษาด้วยการอุดฟันแบบปกติได้

ลกั ษณะของครอบฟัน ส่วนใหญ่ทามาจาก พอรซ์ เลน หรือ โลหะผสม

ภาพท่ี 89 แสดงฟันปลอมแบบติดแนน่ (ครอบฟนั )กอ่ นและหลังการรกั ษา

42

2.2 สะพานฟัน ( Bridge ) เป็นฟันปลอมติดแนน่ ท่ีใสฟ่ ันทดแทนในบริเวณท่ีถกู ถอนไป โดยมีการยึดกบั ฟันข้างเคยี ง

ภาพท่ี 90 แสดงลกั ษณะสะพานฟันในปากกอ่ นและหลังการรักษา

ความรเู้ ร่ืองฟนั ปลอมติดแน่นส่วนหน่งึ ไดก้ ลา่ วไปแลว้ ในบททา้ ยเร่ืองการรักษารากฟนั
2.3 รากฟันเทียม ( implant )

ภาพท่ี 91 แสดงลกั ษณะการใส่ฟนั แบบรากฟันเทียม

เครื่องมือในงานทันตกรรมประดิษฐ์ มีความจาเพาะในแต่ละชนิดของฟันปลอม ในท่ีน้ีนี้จะกล่าวถึงเฉพาะขั้นตอนการพิมพ์
ปาก (ซงึ่ เปน็ ข้ันตอนที่สาคัญมากข้ันตอนหนึ่งของการรักษาทางทันตกรรมหลายๆอยา่ งโดยเฉพาะทางทันตกรรมประดิษฐ์ ) และการเท
แบบพมิ พ์
วสั ดแุ ละอปุ กรณใ์ นการพิมพ์ปาก

1. ถาดพิมพป์ าก โดยทว่ั ไปมี 2 ขนาดใหญ่ๆ คือ
1.1 ถาดพมิ พป์ ากชนิดมีขอบ ( Rim lock tray )
1.2 ถาดพมิ พป์ ากชนดิ มรี ู ( Perforated tray )

โดยที่ถาดพิมพ์ ปากจะมีขนาดต่างๆเพ่อื ใหเ้ หมาะสมกบั ชอ่ งปาก ได้แก่ ขนาด 11 ( ใหญ่ทีส่ ุด), 12, 13, 14, 15 (เลก็ ท่ีสุด )
ถาดพิมพ์ปากตา่ งยห่ี อ้ อาจใชเ้ บอรท์ ่ีต่างกันได้ เช่นบางย่ีหอ้ อาจใช้เบอร์ 1, 2, 3, 4, 5, 6, เปน็ ตน้

43

ภาพท่ี 92 แสดงถาดพิมพ์ปากชนดิ มีขอบ ภาพที่ 93 แสดง ถาดพมิ พ์ปากชนดิ มีรู

ภาพท่ี 94 แสดงถาดพมิ พ์ปากขนาดต่างๆ กนั

2. ถว้ ยผสม (Bowl)
3. พายผสม (Spatula)

ภาพท่ี 95 แสดงถว้ ยผสมและพายผสม

4. ผงพมิ พ์ปาก อัลจิเนต (Alginate) ลักษณะของผงพมิ พป์ ากเป็นผงเนอ้ื ละเอยี ดเมื่อมีการผสมน้าจะแขง็ ตัว

ภาพท9ี่ 6 แสดงผงพมิ พ์ปาก อลั จิเนต
และการตวงใสถ่ ้วยผสม

44

วสั ดแุ ละอุปกรณใ์ นการเทแบบพมิ พ์
หลงั จากที่เราพิมพ์ปากผู้ป่วยและไดร้ อยพิมพ์ ต้องทาการเทแบบเพื่อทจ่ี ะสามรถทางานขนั้ ตอนต่อไปได้ วสั ดแุ ละอุปกรณท์ ใ่ี ช้

มีดงั นี้ :-
1. แบบพิมพ์ ( Impression)
2. ถ้วยผสม ( Bowl )
3. พายผสม ( Spatula )
4. ผงเทแบบ ได้แก่ ปูนปลาสเตอร์ ปลาสเตอรห์ นิ หรือ สโตน เปน็ ต้น

ภาพท่ี 97 แสดงอุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการพิมพป์ าก

ภาพที่ 98 แสดงรอยพิมพ์ หลงั พมิ พ์ปากแลว้ ภาพท่ี 99 แสดงการเทหรอื หล่อแบบพิมพ์ ดว้ ยปูนปลาสเตอร์

ภาพท่ี 100 แสดงแบบหลอ่ ฟนั (casts)

45

การดูแลผปู้ ว่ ยศัลยกรรมชอ่ งปาก

กอ่ นจะทาการถอนฟันหรอื ผ่าตดั จะต้องประเมินสภาพจิตใจและความพรอ้ มทงั้ ทางร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยก่อนทกุ ครั้ง
โดยทันตแพทย์ นอกจากทันตแพทยเ์ ปน็ ผวู้ างแผนการใชย้ าชา การถอนฟัน และการผ่าตัด ตวั ผชู้ ่วยทันตแพทยก์ ็ต้องมีความร้ใู นการ
ประเมินผูป้ ว่ ย และเตรยี มผู้ปว่ ยด้วยเช่นกนั
การประเมนิ ผปู้ ว่ ยและการเตรียมผ้ปู ว่ ย
ข้นั ตอนในการประเมนิ ผ้ปู ว่ ยประกอบด้วย

1. การซกั ประวัติ
2. การตรวจทางคลนิ กิ
3. การตรวจทางรงั สีวนิ จิ ฉยั
4. การตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ

1. การซักประวัติ การซักประวัติที่ดีและได้ข้อมูลที่ถูกต้อง จะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ถึงร้อยละ 50 ส่วนการตรวจ
รา่ งกายและการตรวจอื่นๆจะช่วยได้ในอีกรอ้ ยละ 50 ท่ีเหลือ การซักประวัติประกอบด้วย ขอ้ มูลเบ้ืองต้นของผู้ป่วยคือ เพศ อายุ
อาชีพ สถานภาพ และดังตอ่ ไปนี้

1.1 อาการส้าคัญ (Chief complaint) คือ อาการสาคัญทน่ี าผปู้ ว่ ยมาพบเรา ควรซักให้ไดค้ วามเปน็ จรงิ และบันทึกไว้ รวมถงึ
ระยะเวลาท่ีมีอาการนัน้ ๆ

1.2 ความเจ็บป่วยปัจจุบัน (Present illness) เป็นของประวัติของอาการสาคัญน้ันๆ คือ การซักถามความเป็นมาของ
อาการ ระยะเวลาทเี่ กดิ ขึ้น ตาแหน่งความรุนแรง ความเปล่ียนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรอื เลวลงอย่างไร ปัจจัยอ่ืนที่มีผลต่ออาการน้ันๆ
ประวตั กิ ารรักษาทผี่ ่านมาก่อนท่จี ะมาพบกบั เรา

1.3 ประวัติทางการแพทย์ (Post medical history) หมายถึงโรคทางร่างกายหรือโรคประจาตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน
ความดันโลหิตสงู โรคหัวใจ รวมทั้งประวัติการนอนพกั รกั ษาในโรงพยาบาล (ต้องซกั ประวัติถึงสาเหตขุ องการนอนโรงพยาบาล) การ
แพย้ า แพส้ ารเคมแี ละอ่นื ๆ ประวัติการใช้ยา หรอื การรับประทานยาหรอื รับประทานยาอย่ปู ระจา

1.4 ประวัติครอบครวั (Familial history) เนื่องจากโรคบางอยา่ งทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับกรรมพนั ธุ์ เช่นโรคโลหติ จาง ธาลัสซีเมยี
โรคเบาหวาน โรคเลือดออกหยุดยากบางชนิด

1.5 ประวัติส่วนตัว (Personal history) หมายถึง การดาเนินชีวิตของผู้ป่วยที่มีผลต่อความเจ็บป่วย เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหา
ทางภาวะเศรษฐกจิ อาการเครยี ด และอาจสง่ ผลต่ออาการปวดขอ้ ต่อขากรรไกร การสูบบหุ ร่ีจัดมีผลต่อโรคเหงอื กอกั เสบ และการหาย
ของแผลถอนฟนั

1.6 ประวัติทางทันตกรรม (Past dental history) ประวัติทางการรักษาทางทันตกรรม เช่นการอุดฟัน ขูดหินปูน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประวตั ิเคยถอนฟนั จะมปี ระโยชนม์ าก เนื่องจากสามารถประเมนิ ทั้งภาวะความกังวลของผปู้ ว่ ย ความกลัวตอ่ การ
ถอนฟัน การถอนฟันยากหรือง่ายมาก่อน การแพ้ยาชา มีภาวะแทรกซ้อนหลังถอนฟันหรือไม่ เช่นเลือดออกหยุดช้า แผลหายช้า
ปวดแผลมาก

การซักประวัติทาให้ทราบปัญหาและภูมิหลังของผู้ป่วย การถามประวัติบางอย่างสามารถทาให้ทราบว่าผู้ป่วยอาจมี โรคทาง
การแพทย์ โดยท่ีตัวผู้ป่วยเองยังไม่ทราบถึงความผิดปกติ เช่น การมีจ้าเลือดหรือรอยช้าง่าย การมีเลือดออกบวมตามข้อต่างๆ บ่ง
บอกถงึ ความปกตขิ องโรคเลือดออกหยดุ ยากได้

46

2. การตรวจทางคลนิ กิ
2.1 การตรวจดูสภาพท่วั ไป คือ การดลู ักษณะทา่ ทางของผปู้ ว่ ยขณะทม่ี าหาเรา ได้แก่ ทา่ ทางการเดนิ ผิดปกตหิ รอื ไม่ มี
อาการอ่อนเพลีย ขาดน้า เนอ่ื งจากอา้ ปากได้จากัดหรือกลนื ลาบาก ความมสี ติ การดสู ีผวิ ลักษณะผวิ รูปร่างอว้ นหรอื ผอม
นอกจากนตี้ อ้ งตรวจวัดความดันโลหิตและชพี จรของผปู้ ว่ ยเพือ่ ปอ้ งกันผูป้ ่วยที่มโี รคความดันโลหติ สงู แต่ไม่เคยตรวจและไม่มี
อาการมาก่อน และสามารถประเมินภาวะความกลวั วิตกกังวลของผู้ปว่ ยปกติได้ดว้ ย
2.2 การตรวจนอกช่องปาก
เปน็ การตรวจดู สงั เกต คลา บรเิ วณศีรษะ ใบหน้า และคอ นอกจากน้สี ว่ นทคี่ วรตรวจ ไดแ้ ก่
- ขอ้ ต่อขากรรไกร
- ต่อมน้าเหลอื ง
- โพรงอากาศ แมก็ ซิลลา คืออวัยวะทอี่ ยใู่ กลเ้ คียงกับช่องปากและสามารถเกดิ รทู ะลุกับชอ่ งปาก เมอ่ื เกดิ พยาธสิ ภาพ
- ริมฝีปาก
- การอ้าปาก หบุ ปาก
2.3 การตรวจในช่องปาก

การตรวจในช่องปาก ควรเริ่มต้นจาก การดูลักษณะ สี และตามด้วย การคลา หรือเคาะ การตรวจเร่ิมตรวจ
สภาพผิวเยือ่ เมือกในชอ่ งปาก ชอ่ งคอ ลน้ิ ใต้ลิ้น เหงอื ก กระดูกรอบ ๆ ฟัน และตัวฟนั ที่ตอ้ งการถอน

การดูลักษณะพ้ืนผิวสามารถบอกถึงขนาดของรอยโรคต่างๆ สีผิวของรอยโรค การคลา สามารถทาให้รู้ถึงความ
น่ิมหรือแขง็ ของรอยโรค กดเจ็บหรอื ไม่ ลักษณะทมี่ ีของเหลวอยู่ภายใน ลักษณะทม่ี ีการเต้นตามจงั หวะของ ชีพจร
3. การตรวจทางรงั สีวนิ ิจฉัย
การถ่ายภาพรังสีสามารถดู ลักษณะของฟัน และอวัยวะรอบๆ ฟันได้ เช่น รอยผุ รอยแตกร้าวของฟัน ลักษณะรากฟัน
กระดูกรองรับฟัน อวัยวะท่ีอยู่ใกล้เคียงกับฟัน ทาให้สามารถประเมินโรคของฟันที่จะถอน ความยากง่ายของการถอนฟัน
ภาวะแทรกซอ้ นทีอ่ าจเกิดขึน้ กับอวยั วะข้างเคียงกับฟัน การมีถุงน้าในกระดูกขากรรไกร รอยหกั ของกระดกู ขากรรไกร
4. การตรวจทางห้องปฏิบตั กิ าร
ได้แก่ การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจชิ้นเน้ือ เป็นต้น จะช่วยในการวินิจฉัยและวางแผนรักษาโรค ดังน้ันผู้ป่วยที่
ตรวจพบความผดิ ปกติ หรอื มปี ระวตั ทิ ี่สงสัยวา่ มีความผดิ ปกติ ควรส่งตรวจกอ่ นที่จะถอนฟนั เชน่ ประวตั ิเกี่ยวกบั โรคเลอื ด ประวตั ิ
เบาหวานที่ไมไ่ ดค้ วบคุม นอกจากนกี้ ารตรวจช้นิ เนอ้ื เปน็ การเอาช้นิ เนอื้ จากรอยโรคในชอ่ งปากสง่ ตรวจว่าเป็นรอยโรคอะไร
โรคทางระบบตา่ ง ๆ ที่เปน็ ขอ้ หา้ มในการถอนฟัน

1. โรคเบาหวานที่ไม่ไดค้ วบคุม เนอื่ งจากแผลหายยากและติดเชือ้ ได้ง่าย
2. โรคหัวใจ เช่น เส้นเลือดเล้ียงหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติหัวใจขาดเลือด (myocardial

infarction) ควรปรกึ ษาแพทย์ประจาตัวผปู้ ว่ ยกอ่ นถอนฟนั
3. โรคที่มีความผิดปกตขิ องเลือด (Blood dyscrasias) เชน่ ภาวะโลหิตซีดจาง โรคเลือดต่าง ๆ เช่น ฮโี มฟเิ ลีย ลคู เี มีย

กอ่ นถอนฟันตอ้ งมกี ารเตรยี มผู้ป่วยอย่างดีก่อนโดยใหส้ ่วนประกอบของเลือดทข่ี าดไปเพื่อปอ้ งกนั ภาวะเลอื ดออก
4. ผปู้ ว่ ยท่อี อ่ นแอ (Debilitating diseases) ซง่ึ มผี ลทาให้ผู้ปว่ ยเสยี่ งต่อการทาศลั ยกรรมช่องปากต่าง ๆ ไดน้ อ้ ยลง
5. Addison’s disease หรอื โรคที่ขาดสารสเตอรอยด์ หรือผปู้ ่วยทเี่ คยไดร้ ับสารสเตอรอยดเ์ พื่อการรกั ษามาระยะหนง่ึ

ขณะนห้ี ยดุ ยาแลว้ กจ็ าเปน็ ต้องให้สเตอรอยดท์ ดแทน เพราะสว่ นของ ต่อมหมวกไต จะถูกกดและผู้ป่วยไม่สามารถ
ทนต่อภาวะกดดันในขณะถอนฟนั หรือทาศลั ยกรรมอื่น ๆ ได้

47

6. ผปู้ ่วยท่มี ไี ขต้ ลอดเวลา ซงึ่ ไม่ทราบสาเหตุของไข้ เมอ่ื ถอนฟันอาจทาให้ผปู้ ว่ ยอาการเลวร้ายขน้ึ บางครง้ั ไขน้ ้ีอาจเกิด
จาก infective endocarditis

7. โรคไตอักเสบ ตอ้ งเตรียมผู้ปว่ ยกอ่ นเพื่อปอ้ งกัน กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน และปญั หาท่ีตอ้ งระวงั คือ การใหย้ าทข่ี บั
ออกทางไต

8. ผู้ปว่ ยทต่ี ัง้ ครรภ์ ช่วงท่ีปลอดภัยที่สดุ คอื ในระยะไตรมาสท่ี 2 การพิจารณางานแบ่งเปน็ 3 ประเภทของงานคอื
ก. งานเร่งด่วน เชน่ มกี ารตดิ เช้อื อยา่ งรนุ แรง มอี าการเจ็บปวด
ข. งานจาเปน็ แตไ่ ม่เรง่ ด่วน เช่น ฟนั ผุไม่มอี าการแต่จาเปน็ ต้องอดุ
ค. งานรอได้ เช่น การผ่าฟันคุดในฟันท่ีไม่มีอาการ งานด้านทันตกรรมประดิษฐ์ในงานเร่งด่วน จาเป็นต้องรีบ
รักษาไม่ควรรอไว้ ไม่ว่าจะต้ังครรภ์ระยะใด แต่ในงานอีก 2 ประเภท ควรทาในระยะไตรมาสที่ 2 และในงาน
ประเภทรอได้ ถา้ เปน็ ไปไดค้ วรรอทาหลังคลอด

9. ผู้ปว่ ยสูงอายุ ไมใ่ ช่ข้อห้ามแตค่ วรระมัดระวงั มาก เน่อื งจากมีการหายของแผลช้า สภาวะของร่างกายทนตอ่ งานด้าน
ศัลยกรรมไดน้ อ้ ย

10. ผู้ป่วยที่มปี ัญหาด้านจติ เภทและโรคประสาท จะทาใหย้ ่งุ ยากในการทางาน และมีผลแทรกซ้อนหลังถอนฟันไม่รจู้ บ
11. ผปู้ ่วยท่ไี ด้รบั ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ส่วนมากจะเป็นยารับประทาน เช่น Warfarin sodium ผู้ป่วยท่ีได้รับยา

ส่วนใหญ่ คือ ผู้ป่วยท่ีใส่ล้ินหวั ใจเทียม ปัญหาของผู้ป่วยกลุ่มน้ีคือ มีภาวะเลือดออกอยู่นานหลังการถอนฟัน ซึ่งถ้า
หากหยดุ ยาผลตามมาคอื เกดิ ภาวะลม่ิ เลือดอดุ ตัน ซง่ึ มอี ันตรายถงึ ชวี ติ ดังน้นั การทางานศัลยกรรมชอ่ งปากทุกชนิด
ใหผ้ ู้ปว่ ยเหลา่ นี้ ต้องปรกึ ษาแพทยเ์ จา้ ของผู้ป่วยอย่างใกล้ชดิ เพือ่ ลดยาลงใหอ้ ยู่ในระดบั ที่สามารถทางานได้

เคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการถอนฟนั พนื้ ฐาน
ประกอบด้วยเครอ่ื งมอื หลกั สาคัญๆ คือ คีมถอนฟัน และเครือ่ งมือยกดันฟนั (elevator) ส่วนเครื่องมอื เสรมิ อนื่ ๆ

ได้แก่ ชอ้ นขดู (curette) ชุดเคร่อื งมือเย็บแผล ชุดเคร่ืองมอื ปิดแผน่ เหงอื ก มีดผา่ ตัด เป็นตน้
คีมถอนฟัน (Forceps) มีท้ังคีมถอนฟันบนและคีมถอนฟันล่าง ลักษณะโดยท่ัวไปของคีมถอนฟันบน คือแนวของ

ปากคีมจะขนานกับด้านคีม (รูปท่ี 1,2) ส่วนคีมถอนฟันล่างจะมีแนวของปากคีมค่อนข้างต้ังฉากกับด้ามคีม (ตั้งแต่ 55 -90
องศา) (รูปท่ี 3,4)
คมี ถอนฟันยงั สามารถจาแนกตามลกั ษณะความจาเพาะของการทางาน เปน็ 2 ประเภท คือ
1. คีมถอนฟันชนดิ จาเพาะ (Special forceps) เป็นคมี ที่ถูกออกแบบให้เขา้ กับรปู รา่ งของฟันเฉพาะซี่
2. คีมถอนฟนั ชนิดสากล (Universal forceps) เป็นคีมถอนฟันท่ถี ูกออกแบบมาเพื่อใชก้ บั ฟนั บนหรอื ฟันล่าง โดยคีมถอนฟัน
บนจะสามารถใช้ถอนฟนั บนทกุ ซ่ีทั้งซ้ายและขวา สว่ นคีมถอนฟนั ล่างกเ็ ช่นกนั

เครื่องมอื ยกดนั (Elevator)
เครื่องมือชนิดน้ี มีส่วนประกอบของด้ามจับ และส่วนต่อไปถึงปลายเคร่ืองมือ ส่วนปลายเคร่ืองมือจะมีลักษณะ
โค้งเวา้ เล็กน้อยเพื่อเขา้ กับรากฟัน มีทั้งชนิดตรงและทามุมแล้วแต่ชนิดของการใช้งาน เชน่ การแยกเหงือก การยกดันฟัน
การเขยี่ เอารากฟนั ออก (รูปที่ 5)
ช้อนขดู (Curette)
เป็นเคร่ืองมือที่ใช้สาหรับตักเนื้อเยื่อที่อักเสบบริเวณปลายรากออก หลังจากถอนฟันออกแล้ว หรือ ตักเศษหินปูน
เศษฟนั ทต่ี ิดอยู่ในเบา้ รากฟันออก (รปู ท่ี 6)

48

รูปท1ี่ ด้านตรง รูปที่ 2 ดา้ นข้าง

คมี ถอนฟันบนชนิดสากล ลกั ษณะของปากคมี เมอื่ ดจู ากด้านขา้ ง จะมลี กั ษณะขนานกบั ดา้ มคีม

รปู ท่ี 3 ดา้ นตรง รูปที่ 4 ดา้ นขา้ ง

คมี ถอนฟันลา่ งชนดิ สากล ลกั ษณะของปากคมี เมอื่ ดจู ากด้านข้าง จะมลี กั ษณะทามมุ 55-90 องศากบั ดา้ มคมี

รูปท่ี 5 เคร่ืองมือยกคัน (Elevator)

รูปท่ี 6 ชอ้ นขูด (Curette)

โดยท่วั ไปชุดถอนฟันจะประกอบด้วยเครอ่ื งมอื ดงั นี้
1. ชุดตรวจ ประกอบด้วย กระจกส่องปาก (Mouth mirror) เครื่องมือตรวจเขี่ย (explorer) เคร่ืองมือคีบสาลี
(Cotton plier)
2. กระบอกฉีดยาชา
3. เคร่ืองมอื ยกดนั
4. คมี ถอนฟัน
5. อาจมชี ้อนขูด หรอื ไม่ ขน้ึ อยู่กับการมีพยาธิสภาพปลายรากหรือไม่

49

การดแู ลผปู้ ว่ ยหลังถอนฟัน
ผูป้ ว่ ยต้องได้รับคาแนะนาหลังถอนฟนั เพ่ือป้องกันภาวะแทรกซ้อน ที่สามารถเกดิ ขึ้นได้จากการถอนฟัน ถ้าหากไม่
ปฏิบตั ิตาม คอื
1. ใหก้ ดั ผ้ากอ๊ ซไว้น่ิง ๆ 30 นาที ถึง 1 ช่ัวโมง เพ่ือใหเ้ ลอื ดหยดุ ดปี กติ
2. มีน้าลายต้องกลืน ไม่บ้วนออก เพราะการบ้วนน้าลายบ่อย ๆ จะกระทบกระเทือนแผลถอนฟัน และทาให้
รบกวนการหยุดไหลของเลือด สามารถทาให้เลือดออกมาตลอดได้ ถ้าเลือดออกมากนาน ๆ จะทาให้การ
แขง็ ตัวของเลอื ดถกู รบกวนตลอดเวลา ทาให้เกดิ ภาวะเลอื ดออก หยุดชา้ กว่าปกติ
3. ไม่ดดู หรือเข่ียแผลเล่น ไมอ่ อกกาลังกายหนัก ๆ เพราะจะทาให้เลือดออกมาใหม่ได้ หรืออาจทาใหล้ ิ่มเลือดท่ี
แขง็ ตวั ในเบา้ รากฟนั หลดุ ออกกจ็ ะทาใหแ้ ผลหายชา้ และปวดแผลได้
4. รบั ประทานยาตามสง่ั ยาทใี่ ห้ทัว่ ไป คอื ยาแกป้ วด ยาฆ่าเช้อื
5. ไมร่ ับประทานอาหารรอ้ นจัด เพราะทาให้แผลถูกรบกวน

6. ถา้ มอี าการผดิ ปกติ ใหก้ ลับมาพบทันตแพทยท์ ่โี รงพยาบาล

50


Click to View FlipBook Version