www F จักรวาล ทาง ช้างเผือก
4.ดวงอาทิตย์
นักดาราศาสตรจ์า แนกลกัษณะรูปร่างของดาราจักรหรือกาแล็กซีว่ามี4 ประเภทคือ กาแล็กซีทรงกลมรี (Elliptical Galaxy), กาแล็กซีก้นหอยหรือทรงกังหัน (Spiral Galaxy), กาแล็กซีก้นหอยหรือทรงกังหันแบบมี คาน (Barred Spiral Galaxy) และกาแล็กซีไร้รูปร่าง (Irregular Galaxy) ซึ่งนักดาราศาสตรว์ิเคราะหว์ ่ารูปร่าง ของกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราน่าจะเป็ นชนิดก้นหอยหรือทรงกังหันแบบมีคาน 1. กาแล็กซีทรงกลมรี(Elliptical Galaxy) ▪ ใช้อักษรย่อ E มีหลายรูปทรงต้งัแต่ทรงกลม (มีความรีนอ้ยมากจนปรากฏคลา้ยทรงกลม)ไปจนถึงทรงรีคลา้ยลูกรักบ้ี ลักษณะที่ส าคัญที่สุดที่นักดาราศาสตร์ใช้แยกกาแล็กซีแบบทรงรีออกจากกาแล็กซีแบบกังหัน คือ กาแล็กซีแบบทรงรีจะไม่ มีลักษณะของจานหรือกังหันปรากฏให้เห็นโดยรอบส่วนโป่ งเลย
2. กาแล็กซีก้นหอยหรือทรงกังหัน(SpiralGalaxy) กาแล็กซีแบบกังหันหรือก้นหอย ( spiral galaxy ) เป็นกาแล็กซีที่มีดาวฤกษ์กระจุก หนาแน่นอยู่ที่ส่วนใจกลาง (nucleus) ของกาแล็กซี และค่อย ๆ กระจายออกไปรอบ ๆ จาก ตรงกลาง ส่วนที่กระจายจากตรงกลางเรียกว่า ส่วนแขน ซึ่งมีลักษณะกระจายออกคล้ายใบพัด ของกังหัน กาแล็กซีแบบกังหันสามารถแบ่งตามสัณฐานของส่วนใจกลางและลักษณะโครงสร้าง การกระจายออกจากส่วนใจกลาง
3. กาแล็กซีก้นหอยหรือทรงกังหันแบบมีคาน (Barred Spiral Galaxy) เป็นกาแล็กซีที่มีดาวฤกษ์กระจุกหนาแน่นอยู่ที่ส่วนใจกลาง (nucleus) ของกาแล็กซี และค่อย ๆ กระจายออกไปรอบ ๆ จากตรงกลาง ส่วนที่กระจายจากตรงกลางเรียกว่า ส่วนแขน ซึ่งมี ลักษณะกระจายออกคล้ายใบพัดของกังหัน กาแล็กซีแบบกังหันสามารถแบ่งตามสัณฐานของส่วน ใจกลางและลักษณะโครงสร้างการกระจายออกจากส่วนใจกลาง
4. กาแล ็ กซีไร ้ ร ู ปร่าง (Irregular Galaxy) ww w w เป็ไนกาแล็กซี่ที่มี รูปร่างลักษณะต่างออกไปจากกาแล็กซี่ทั้ง 3 ประเภทที่กล่าว มาแล้ว เป็นกาแล็กซี่ส่วนน้อย มีรูปร่างที่ไม่แน่นอน หรือเรียกว่า กาแล็กซี่อ สัณฐาน
มักจะเป็นกาแล็กซี่ขนาดเล็ก เช่น กาแล็กซี่แมกเจลแลนใหญ่ และกาแล็กซี่แมกเจ ลแลนเล็ก ระบบสุริยะ(อังกฤษ:Solar System) ประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอื่นๆ ที่โคจร รอบดวงอาทิตยเ ์ น ื่องจากแรงโนม ้ ถ่วง ไดแ ้ ก่ดาวเคราะห์8 ดวงกบัดวงจนัทร ์ บริวารที่ ค้นพบแล้ว 166 ดวง ดาวเคราะห์แคระ5 ดวงกบัดวงจนัทร ์ บริวารที่คน ้ พบแลว ้ 4 ดวง กบัวตัถุขนาดเลก ็ อ ื่นๆ อีกนบัลา ้ นชิ้น ซ่ึ งรวมถ ึ งดาวเคราะหน ์ อ ้ ยวัตถุในแถบไค เปอร์ดาวหาง สะเก ็ ดดาวและฝ่นุระหวา่งดาวเคราะห ์โดยทวั่ ไปแลว ้ จะแบ่งยา่นต่างๆ ของระบบสุริยะ นบัจากดวงอาทิตยอ ์ อกมาดงัน้ีค ื อ ดาวเคราะหช ์ ้นั ในจา นวน 4 ดวงแถบดาว เคราะห์น้อย ดาวเคราะห ์ ขนาดใหญ่รอบนอกจา นวน 4 ดวง และแถบไค เปอร์ซึ่งประกอบด้วยวัตถุที่เย็นจดัเป็ นน้า แขง ็ พน ้ จากแถบไคเปอร ์ ออกไปเป็ นเขต แถบจานกระจายขอบเขตเฮลิโอพอส (เขตแดนตามทฤษฎีที่ซ่ึ งลมสุริยะสิ้นกา ลงัลง เน ื่องจากมวลสารระหวา่งดวงดาว) และพน ้ไปจากน้นัค ื อยา่นของเมฆออร ์ กระแส พลาสมาที่ไหลออกจากดวงอาทิตย ์ (หร ื อลมสุริยะ) จะแผต่วัไปทวั่ระบบสุริยะ สร ้ าง โพรงขนาดใหญ่ข้ึ นในสสารระหวา่ง ดาวเรียกกนัวา่ เฮลิโอสเฟี ยร์ซึ่งขยายออกไปจาก ใจกลางของแถบจานกระจาย ดาวเคราะห ์ ช้นัเอกท้งั 8 ดวงในระบบสุริยะ เรียงล าดับ จากใกลด ้ วงอาทิตยท ์ ี่สุดออกไป มีดงัน้ีค ื อ ดาวพุธ ดาวศุกร์โลก ดาวอังคาร ดาว พฤหัสบดีดาวเสาร์ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน นับถึงกลางปีค.ศ. 2008วัตถุขนาด ยอ่มกวา่ดาวเคราะห ์ จา นวน 5 ดวง ได้รับการจัดระดับให้เป็ นดาวเคราะห์แคระไดแ ้ ก่ซี รีส ในแถบ ดาวเคราะห ์ นอ ้ ยกบัวตัถุอีก4 ดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตยอ ์ ยใู่นยา่นพน ้ ดาว
เนปไจูน คือ ดาวพลูโต (ซึ่งเดิมเคยถูกจัดระดับ ไว้เป็ นดาว เคราะห์) เฮาเมอา มาคี มาคีและอีรีส e มีดาวเคราะห์ 6 ดวงและดาวเคราะห์แคระ 3 ดวงที่มีดาวบริวารโคจรอยรู่อบๆ เราเรียกดาวบริวารเหลา่น้ีวา่"ดวงจนัทร ์" ตามอยา่งดวง จนัทร ์ ของโลก นอกจากน้ีดาว เคราะห ์ ช้นันอกยงัมีวงแหวนดาวเคราะห ์ อยรู่อบ ตวัอนั ประกอบดว ้ ยเศษฝ่นุและอนุภา คขนาดเล็ก ส าห รับคา วา่ ระบบดาวเคราะห์ใชเ ้ ม ื่อกล่าวถ ึ งระบบดาวโดยทวั่ ไปที่มีวตัถุ ต่างๆ โคจรร อบดาวฤกษ์คา วา่"ระบบสุริยะ" ควรใช ้ เฉพาะกบัระบบดาวเคราะห ์ ที่มี โลกเป็ นสมาชิก และไม่ควรเรียกวา่"ระบบสุริยจกัรวาล" อยา่งที่เรียกกนัติดปาก เน ื่องจากไม่เกี่ยวขอ ้ งกบัคา วา่"จกัรวาล" ตามนยัที่ใชใ้ นปัจจุบนั
ดาวพุธ
ดาวศุกร์
ดาวเสาร์
ดาวยูเรนัส
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่ส าคัญในระบบสุริยะ เป็นดาวฤกษ์ สีเหลือง มีอายุ เกือบ 5,000 ล้านปี อยู่ห่าจากโลกของ เราประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร แสง จากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเดินทางมายังโลกเพียง 8.3 นาที หรือ 499 วินาที เท่านั้น พลังงานจ านวนมหาศาล ในดวงอาทิตย์ได้มา จากการ เปลี่ยนก๊าซ ไฮโดรเจนเป็น ฮีเลียมที่อุณหภูมิประมาณ 15 ล้านเคลวิน หรือประมาณ 27 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ ดวงอาทิตย์มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่มากกว่าโลกของเรา109 เท่า มี ปริมาตร 1,300,000 เท่าของโลก และมีมวล มากกว่าโลกของเรา 333,434 เท่า กาลิเลโอเป็นคนแรก ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง และ จากการศึกษาของนักดาราศาสตร์ท าให้ทราบว่า การหมุนรอบตัวเองของดวง อาทิตย์ ในบริเวณเส้นศูนย์สูตรจะมีความเร็วกว่าที่บริเวณขั้ว เหนือและขั้วใต้ ดังนั้น นักดาราศาสตร์ บางคนจึงมีความเห็นว่ารูปร่างของดวงอาทิตย์ มี ลักษณะเป็นทรงรีรูปไข่ ทั้งนี้เพราะ เกิดแรงหนีศูนย์กลาง ที่มาจากการหมุน ซึ่งท าให้ดาวเคราะห์บริวารเป็นรูปทรงรีด้วย บริเวณผิวดวงอาทิตย์ จะมีความสว่าง สามารถมองเห็นได้ เราเรียกว่า บริเวณโฟโตสเฟี ยร์ (Photosphere) เป็นชั้นที่มีธาตุที่พบทั้งหมด แต่จะไม่อยู่ ในสภาพของแข็ง ซึ่งอาจจะรวมกันเป็นกลุ่มอนุภาคของเหลว ชั้นโฟโตสเฟี ยร์ 4. ดวงอาทิตย์
จะป็นชั้นที่แผ่พลังงานของดวงอาทิตย์สู่อวกาศ เป็นชั้นบางๆ แต่ค่อนข้างทึบ แสง มีความหนาประมาณ 400 กิโลเมตร เป็นชั้นที่มีอุณหภูมิแปรเปลี่ยน ตั้งแต่ประมาณ 10,000 เคลวิน ที่บริเวณ ส่วนลึกที่สุดจนถึง 6,000 เคลวินที่บ ริเวณส่วนบนสุด ถัดจากชั้น โฟโตสเฟี ยร์ขึ้นมา ประมาณ 19,200 กิโลเมตร จะเป็นชั้นโครโมส เฟี ยร์ (Chromosphere) ซึ่งเป็นชั้นค่อนข้างโปร่งแสงที่มีความหนาประมาณ 4,800 กิโลเมตร อุณหภูมิของชั้นโครโมสเฟี ยร์ จะเพิ่มมากขึ้นตามระยะทางที่ ห่างออกไปข้างนอก คือจะมีอุณหภูมิตั้งแต่ประมาณ 4,500 เคลวิน จนถึง 1,000,000 เคลวิน ดังนันชั้นบนสุดของ ชั้นโครโมสเฟี ยร์ จะเป็นชั้นบริเวณที่มี ปรากฎการณ์รุนแรงมาก ซึ่งจะมองเห็นแนวโค้ง เป็นสีสุกใสในขณะเกิด สุริยุปราคา เนื่องจากขณะที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงนั้น ชั้นของโฟโตสเฟี ยร์จะ ถูกดวงจันทร์บดบังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ท าให้มองเห็นชั้นของโครโมสเฟี ยร์เป็นแนว เว้า มีสีส้ม-แดง อยู่ในบริเวณของดวงจันทร์ ในศตวรรษที่ 19 นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ Angelo Secchi ได้อธิบายถึง ชั้นโครโมสเฟี ยร์ที่ขอบของดวงอาทิตย์ว่า เหมือนทุ่งหญ้าก าลังถูกไฟไหม้ ซึ่ง เกิดจากกลุ่มก๊าซ ที่เรียกว่า สปิคุล (Spicules) เป็นล าเล็กๆ พุ่งขึ้นไปข้างบน เป็นแถว ด้วยความเร็วประมาณ 20 -30 กิโลเมตรต่อวินาที พุ่งตัวสูง ประมาณ 8,000 กิโลเมตร และจากการวิจัยด้วยสเปกโตรสโคป พบว่า ล าก๊าซ สปิคุลนี้ มีอุณหภูมิถึง 10,000 เคลวิน ในบริเวณใจกลางของมัน แต่ที่บริเวณ ผิวจะมีระดับความร้อนสูงกว่าถึง 50,000 เคลวิน ซึ่งละอองก๊าซที่มีความร้อน สูงมากนี้ จะเป็นแหล่งก าเนิดคลื่นอัลตราไวโอเลตของดวงอาทิตย์
ส่วนประกอบชั้นนอกที่เรียกว่า โคโรนา (Corona) คือก๊าซที่ส่องแสงสว่างหุ้ม อยู่รอบๆ ดวงอาทิตย์ มีลักษณะปรากฎเป็นแสงเรือง มีรัศมีสีนวลสุกสกาวใน ขณะที่เกิดสุริยุปราคราเต็มดวง คุณสมบัติที่น่าอัศจรรย์ ของโคโรนาคือ การที่ มีอุณหภูมิสูงมากตั้งแต่ 1,500,000 เคลวิน ถึง 2,500,000 เคลวิน การที่โคโร นา มีอุณหภูมิสูงมากเช่นนี้ จะเกิดการระเหยของก๊าซออกไปอย่างต่อเนื่อง ท า ให้มีอุณหภูมิประจุไฟฟ้าที่เรียกว่า ลมสุริยะ (Solar wind) แพร่กระจาย ออกมาข้างนอก แล้วแพร่เข้ามายังบริเวณใกล้เคียง โลกเรา ด้วยความเร็ว 300 -1,000 กิโลเมตรต่อนาที ดังนั้นในอวกาศระหว่างดาวเคราะห์ จึงเต็มไปด้วย พลาสมา ที่มีความร้อนสูงและมีสภาพที่แตกตัวเป็นอิออน ลักษณะพื้นผิวของ ดวงอาทิตย์นั้น จะเห็นภาพปรากฎที่เรียกว่า จุดด าบนดวง อาทิตย์ (Sunspots) เป็นบริเวณสีคล ้าบนตัวดวงหรือบนชั้นโฟโตสเฟี ยร์ โดยมี ส่วนกลางด าคล ้ากว่าเรียกว่า เงามืด (Umbra) ส่วนรอบๆมีสีจางกว่าเรียกว่า เงาสลัว (Penumbra) บริเวณจุดบนดวงอาทิตย์นี้ ไม่ได้มืดหรือดับไป ดังที่บาง คนเข้าใจ แท้จริงแล้วจุดเหล่านี้ มีความสว่างและมีความร้อนยิ่งกว่าทังสเตน ขณะถึงจุดหลอมเหลว ซึ่งบางจุดมีอุณหภูมิสูงถึง 3,800 เคลวิน แต่ที่เห็นว่า มืดเป็นเพียงความรู้สึก ที่เกิดจากแสงสว่างที่จ้ากว่า ของชั้นโฟโตสเฟี ยร์ ตัด กับจุดนี้ จึงท าให้เรามองเห็นเป็นจุดด า ส าหรับการปรากฎมืดคล ้า (Darkening of Limb) ลักษณะนี้เป็นสิ่งยืนยันให้เราทราบว่าดวงอาทิตย์มิใช่ ของแข็ง แต่เป็นกลุ่มก๊าซ ที่แผ่รังสีออกไป ได้ไม่เท่ากัน