The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ลิณธิพัชร์, 2024-02-03 08:56:00

โครงงานภาษาไทย

โครงงานภาษาไทย เอกสารประกอบการเรียนการสอน รายวิชา ท 30201 โครงงานภาษาไทย ของ ชื่อ.......................................................................................... เลขที่............................................. ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 /..... ครูผู้สอน นางสาวณัฏฐณิชา แทบทาม โรงเรียนสิงห์บุรี ต าบลบางมัญ อ าเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง โ ค ร ง ง า น ภ า ษ า ไ ท ย


ค าอธิบายรายวิชาเพิ่มเติม รายวิชา โครงงานภาษาไทย รหัสวิชา ท 30201 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 40 ชั่วโมง จ านวน 1.0 หน่วยกิต มีทักษะในการแก้ปัญหาภาษาไทย โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รู้จักวางแผนในการท างาน การศึกษาค้นคว้าข้อมูลความรู้ ออกแบบการศึกษา รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลข้อค้นพบ และสามารถ น าเสนอในรูปแบบต่างๆ มีทักษะในการแก้ปัญหาภาษาไทย โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รู้จักการวางแผนการท างาน ตามล าดับขั้นตอน จัดท าโครงงานตามความสนใจ มีความรับผิดชอบ และกระตือรือร้น ปฏิบัติตามกรอบงานที่ได้วางแผนและตกรามเวลาที่ก าหนดเห็น คุณค่าและความส าคัญ ในการใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ค้นหาค าตอบ ผลการเรียนรู้ ๑. ศึกษาความหมายของโครงงานภาษาไทย ๒. ศึกษาหลักการส าคัญของโครงงานภาษาไทย ๓. บอกจุดมุ่งหมายของการท าโครงงานภาษาไทย ๔. ล าดับขั้นตอนในการท าโครงงานภาษาไทย ๕. เขียนเค้าโครงของโครงงานภาษาไทย ๖. การน าเสนอโครงงานภาษาไทย รวมทั้งหมด ๖ ผลการเรียนรู้ โครงสร้างการสอน สัปดาห์ที่ คาบที่ เนื้อหา/สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ๑-5 ๑-5 ศึกษากระบวนการเขียน - องค์ประกอบของการเขียนโครงงาน - กระบวนการเขียน - ตัวอย่างงานเขียน 1-3 6-7 8-9 10-11 12-14 6-7 8-9 10-11 12-14 พากเพียรค้นหา - ค้นคว้าเนื้อหาสาระตามความสนใจ - เสนองานเพื่อรับข้อเสนอแนะ - ค้นคว้าต่อ - เขียนรายงานการค้นคว้า 4-5 15-17 15-17 ร้อยรัดเนื้อหาเรื่องราว - เสนอการเขียนรายงานการค้นคว้า - เขียนรายงานการค้นคว้าต่อ 6 18-20 18-20 อภิปรายผลงาน - น าเสนอผลงาน - อภิปรายเสนอแนะ 6


การวัดประเมินผล สัดส่วนคะแนน 60 : 40 วิธีการเก็บคะแนน เนื้อหา/สาระการเรียนรู้ที่สอบ ครั้งที่ คะแนน ประเภทแบบทดสอบ 1. คะแนนเก็บก่อนสอบกลางภาค 1.1 องค์ประกอบของการเขียน 1.2 เค้าโครงโครงงาน 1.3 วิเคราะห์งานเขียน 30 10 10 10 แบบอัตนัย 2. สอบกลางภาค 1 20 แบบปรนัย และอัตนัย 3. คะแนนเก็บหลังสอบกลางภาค 3.1 ส่วนประกอบรายงานโครงงาน 3.2 การเขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า 3.3 อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 30 10 10 10 แบบอัตนัย 4. สอบปลายภาคเรียน 2 20 แบบปรนัย และอัตนัย งานที่มอบหมาย 1. เค้าโครงโครงงานภาษาไทยเดี่ยว (10 คะแนน) 2. เค้าโครงโครงงานภาษาไทยงานกลุ่ม (10 คะแนน) 3. แบบฝึกทักษะ (10 คะแนน) 4. รูปเล่มโครงงานวิชาการ ๑ เรื่องเกี่ยวกับ ภาษาไทย (ตามความสนใจ) (10 คะแนน) 5. การน าเสนอโครงงาน (การพรีเซนต์งาน + Powerpoint ในการน าเสนอ) (15 คะแนน) 6. การอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโครงงาน (5 คะแนน)


สารบัญ หน้า ค าอธิบายรายวิชา ก การวัดประเมินผล ข สารบัญ ค ปริศนาอะไรเอ่ย?? 1 เฉลยปริศนา 2 โครงงานคืออะไร? 3 ประเภทของโครงงาน 4 รูปแบบโครงงาน 4 ขั้นตอนการท าโครงงาน 7 ขั้นตอนที่ 1 การคิดและเลือกหัวข้อเรื่องโครงงาน 9 ขั้นตอนที่ 2 การวางแผน 12 ขั้นตอนที่ 3 การด าเนินงาน 23 ขั้นตอนที่ 4 การเขียนรายงานโครงงาน 25 ขั้นตอนที่ 5 การน าเสนอ 32 ตัวอย่างรายงานโครงงานภาษาไทย 34 แบบประเมินการน าเสนอโครงงาน 48


ปริศนาอะไรเอ่ย ?? ให้นักเรียนตอบค าถามต่อไปนี้ (ภายใน 1 ชั่วโมง ตอบค าถามได้กี่ข้อกันนะ) 1. น้ามีเงินยี่สิบบาทให้ยายยี่สิบบาทน้าจะเหลือเงินเท่าไหร่?.............................................................. 2. ท าไมปลาจึงต้องวางไข่? ........................................................................................................... 3. คนอะไรมีสองมือพันหัว? .......................................................................................................... 4. ต้นไม้ชนิดใด มีใบแค่ สามใบ?.................................................................................................. 5. สีอะไร รวมกัน 2 ครั้งแล้วเป็นสีแดง? .................................................................................... 6. ตัวอักษรไทย44 ตัวตัวไหนโง่ที่สุด? .......................................................................................... 7. มันอะไรสีด า? .......................................................................................................................... 8. ฮ่องเต้มีโอรสเพียงองค์เดียว ถ้าฮ่องเต้สวรรคตแล้ว โอรสฮ่องเต้จะเป็นอย่างไร?.......................... 9. แมวอะไรไม่กินข้าว? ................................................................................................................. 10. อะไรเอ่ยตายแล้วไม่เน่า? .......................................................................................................... + พักก่อน พี่อยากให้น้องพักก่อน ว่าง ๆ ค่อยมาหาค าตอบกัน 11. ดาวอะไรหนักใจที่สุด? ............................................................................................................ 12. ขี่ช้างจับอะไร? ........................................................................................................................ 13. แมวอะไรเดินไม่ค่อยตรง? ........................................................................................................ 14. ดาวอะไรใกล้โลกที่สุด?............................................................................................................. 15. อะไรเอ่ย 4 ขา รอ 4 ขา อยู่บน 4 ขา? ............................................................................. 16. ปลาอะไรไม่สุภาพ? ................................................................................................................. 17. เปาบุ้นจิ้นชื่อเล่นว่าอะไร? ....................................................................................................... 18. อะไรเอ่ย ใหญ่ ยาว ขนเยอะ? ............................................................................................... 19. ปีอะไรมี 370 วัน? ............................................................................................................... 20. ปลาอะไรคุมทะเล?................................................................................................................... 1


เฉลย 1. เหลือ 10 บาท (ให้ยายชื่อ ยี่ หนะ) 2. กลัวไข่แตกจ๊ะ 3. คนอินเดีย (มีผ้าพันหัว) 4. ต้นกล้วย (ใบตอง) 5. สีเหลือง (ให้ใบเหลือง 2 ครั้งเป็นใบแดง ) 6. ก กับ ธ เพราะมันไม่มีหัว 7. มันปิดไฟ จนมืดตึ๊ดตื๋อ 8. ลูกก าพร้า 9. แมวมันอิ่ม 10. นาฬิกา 11. ดาวน์บ้านแล้วไม่มีเงินผ่อน 12. จับให้แน่นจ้า เดี๋ยวตก 13. แมวเล้า (เมาแล้ว) 14. ดาวมยุรี 15. แมวยืนรอหนูอยู่บนโต๊ะกับข้าว 16. ปลาตาย ( เพราะว่าย(ไหว้) ไม่เป็นเลย) 17. ค า (ฟังค าพิพากษา) 18. รถบรรทุก 19. ปีเศษ ๆ 20. ปลาเก๋า เอกสารอ้างอิง ป่องน้อยราชแซง. (2559). รวมค าถามกวนๆ ไม่อยากโดนทีนอย่าเอาไปเล่น. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://oknation.nationtv.tv/blog/pongnoi/2016/07/22/entry-1 (วันที่ค้นข้อมูล : 10 เมษายน 2563) 2


โครงงาน คืออะไร โครงงาน หมายถึง การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลาย ๆ สิ่งที่อยากรู้ค าตอบให้ลึกซึ้งหรือเรียนรู้ ในเรื่องนั้น ๆ ให้มากขึ้น โดยใช้กระบวนการและวิธีการศึกษาอย่างมีระบบ เป็นขั้นตอนมีการวางแผนในการศึกษา อย่างละเอียด ปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้จนได้ข้อสรุปหรือผลสรุปที่เป็นค าตอบในเรื่องนั้นๆ “การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน คือการจัดประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ให้แก่เด็กเหมือนกับการทา งานในชีวิตจริง เพ่ือให้เด็กมีประสบการณ์ตรง เด็กจะได้เรียนรู้ วิธีการแก้ปัญหารู้จักรู้จักการทา งานอย่างมีระบบ รู้จักการวางแผนในการทา งาน ฝึกการคิด วิเคราะห์และเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง” โครงงานจัดเป็นการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ท าให้ผู้เรียนรู้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์อย่างเป็นขั้นตอนและใช้ความรู้ที่ตนเองได้มาบูรณาการ นักเรียนคิดว่าโครงงานภาษาไทย คืออะไร…………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………. โครงงานภาษาไทย หมายถึง................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………. เขียนผิดหักค าละ 2 คะแนน ฮัล์คไม่ได้กล่าวไว้ โครงงาน สะกดด้วย ควบกล้ า คร นะคะ 3


ประเภทของโครงงาน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. โครงงานตามสาระการเรียนรู้ เป็นการใช้บูรณาการร่วมกับการเรียนรู้ ทักษะและเป็นพื้นฐานในการ ก าหนดโครงงานและปฏิบัติ ๒. โครงงานตามความสนใจ เป็นโครงงานที่ผู้เรียนก าหนดขั้นตอน ความถนัด ความสนใจ ความต้องการ โดยใช้ทักษะความรู้ จากกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ มาบูรณาการเป็นโครงงานและปฏิบัติ รูปแบบโครงงาน สามารถแบ่งได้ ๔ รูปแบบ ตามวัตถุประสงค์ 1. โครงงานที่เป็นการส ารวจ รวบรวมข้อมูล เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูล เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วน าข้อมูลนั้นมาจ าแนกเป็น หมวดหมู่ ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก เป็นต้น 2. โครงงานที่เป็นการค้นคว้า ทดลอง เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ โดยออกแบบในรูปผลการ ทดลอง เพื่อศึกษาตัวแปรหนึ่ง จะมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาอย่างไร ด้วยการควบคุมตัวแปร 3. โครงงานที่เป็นการศึกษาทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ เป็นการศึกษาทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอความรู้ หรือ หลักการใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ยังไม่มีใครเคยคิดหรือขัดแย้ง หรือขยายจากของเดิมที่มีอยู่ ซึ่งต้องผ่าน การพิสูจน์อย่างมีหลักการก่อน 4. โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์ คิดค้น เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ คือ การน าความรู้ทฤษฎี หลักการ มาประยุกต์ใช้ โดยประดิษฐ์เป็น เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่างๆ หรืออาจเป็นการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ (research and development) หรือปรับปรุงของเดิมให้ดี(copy and development) ขึ้นก็ได้ ให้นักเรียนตอบค าถามต่อไปนี้ ๑. นักเรียนสนใจท าโครงงานประเภท................................................รูปแบบ............................................................ เพราะเหตุใด............................................................................................................................................................... ๒. นักเรียนคิดว่าโครงงานรูปแบบใด เหมาะสมกับการท าโครงงานภาษาไทยมากที่สุด.............................................. ๓. ให้นักเรียนยกตัวอย่างรูปแบบโครงงานตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทย จ านวน 3 โครงงาน ดังนี้ ๓.๑ โครงงานที่เป็นการส ารวจ รวบรวมข้อมูล เช่น 1.การส ารวจค าต่างประเทศในภาษาไทยในหนังสือพิมพ์ 2............................................................................... 3.............................................................................. ๓.๒ โครงงานที่เป็นการค้นคว้า ทดลอง เช่น..1................................................................................................... 2……………………………………………………………………… 3………………………………………………..………………..… ๓.๓ โครงงานที่เป็นการศึกษาทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ เช่น 1............................................................ 2................................................................................ 3............................................................................. ๓.๔ โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์ คิดค้น เช่น 1.................................................................................................. 2................................................................................ 3............................................................................. 4 1


๔. ให้นักเรียนน าหมายเลขหน้ารูปแบบของโครงงานภาษาไทย เติมลงหน้าชื่อโครงงานที่มีความสัมพันธ์กัน (ข้อละ 1 คะแนน) รูปแบบโครงงาน 1. โครงงานส ารวจข้อมูล รวบรวมข้อมูล 2. โครงงานการค้นคว้า ทดลอง 3. โครงงานการสร้างทฤษฎีหรือการอธิบาย 4. โครงงานการสร้างสิ่งประดิษฐ์คิดค้น ชื่อโครงงาน ........................ก. อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชในคลื่นแสงที่แตกต่างกัน ........................ข. ความนิยมในใช้การเขียนภาษาวัยรุ่นในสื่อออนไลน์ ........................ค. การสอนภาษาไทยให้กับนักเรียนชาวเขา ........................ง. ตะกร้าสานจากไม้ไผ่ ........................จ. การปลูกพืชไร้ดิน ........................ฉ. เครื่องตากผ้าอัตโนมัติ ........................ช. วิวัฒนาการของภาษาไทย ........................ซ. ความหลากหลายของภาษาต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทย ........................ฌ. ถิ่นก าเนิดของคนไทยเชื้อสายม้ง ........................ญ. การผสมผสานค าระหว่างบาลีสันสกฤต และค าภาษาไทย ๕. ให้นักเรียนวงกลม ค าตอบที่ถูกต้อง 1. โครงงานแบ่งออกเป็นกี่รูปแบบ ๒. ข้อใดเป็นโครงงานรูปแบบส ารวจ ก. 2 ประเภท ข. 3 ประเภท ก. ดอกไม้จากผ้าใยบัว ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท ข. ดอกกุหลาบจากธนบัตร ค. การศึกษาค าควบกล้ าในหน้าหนังสือพิมพ์ 3. ข้อใดคือความส าคัญของการท าโครงงาน ง. การศึกษาผลของน้ าเสียต่อการตายของปลา ก. เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ข. พัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 4. ความหมายของโครงงานเน้นส่วนที่ส าคัญ คือ ค. ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ก. เป็นกิจกรรมที่ครูออกแบบให้ ง. ถูกทุกข้อ ข. เป็นกิจกรรมที่ครูคิดหัวข้อให้ ค. เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนปฏิบัติได้ด้วยตนเอง 5. ชนิดของแป้งในการท าขนมบัวลอยเป็น ง. เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้จัดท าเป็นไป โครงงานรูปแบบใด ตามการเรียนการสอนปกติ ก. โครงงานทฤษฎี ข. โครงงานทดลอง ค. โครงงานสิ่งประดิษฐ์ ง. โครงงานส ารวจและรวบรวมข้อมูล 5


ให้นักเรียนเขียนแผนผังความคิด หัวข้อ ประเภท และรูปแบบของโครงงาน (แนวตั ้งหรือแนวนอนก็ได้) อย่าลืม! ระบายสีให้สวยงาม 6 1


ขั้นตอนการท าโครงงาน 1. การคิดและการเลือกหัวข้อโครงงาน ผู้เรียนจะต้องคิด และเลือกหัวข้อของโครงงานด้วย ตนเองว่าอยากจะศึกษาอะไร ท าไมจึงอยากศึกษา หัวเรื่องของโครงงานมักจะได้มาจากปัญหา ค าถาม หรือความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของผู้เรียนเอง หัวเรื่องของโครงงานควรเฉพาะเจาะจง และชัดเจน เมื่อใครได้อ่านชื่อเรื่องแล้วควรเข้าใจและรู้เรื่องว่าโครงงานนี้ท าจากอะไร การก าหนดหัว เรื่องของโครงงานนั้นมีแหล่งที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดและความสนใจหลายแหล่งด้วยกัน เช่น จากการอ่านหนังสือ เอกสาร บทความ การเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ การฟังบรรยายทางวิชาการ การเข้า ชมนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงาน การสนทนากับบุคคลต่างๆ หรือจากการสังเกตปรากฏการณ์ ต่างๆ รอบตัว เป็นต้น นอกจากนี้ควรค านึงถึงประเด็นต่อไปนี้ - ความเหมาะสมของระดับความรู้ ความสามารถของผู้เรียน - วัสดุ อุปกรณ์ ที่ใช้ - งบประมาณ - ระยะเวลา - ความปลอดภัย - แหล่งความรู้ 2. การวางแผน การวางแผนการท าโครงงาน จะรวมถึงการเขียนเค้าโครงของโครงงาน ซึ่งต้อง มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การด าเนินการเป็นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ ไม่สับสน แล้ว น าเสนอต่อผู้สอนหรือครูที่ปรึกษาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนด าเนินการขั้นต่อไป การเขียนเค้าโครง ของโครงงาน โดยทั่วไป เขียนเพื่อแสดงแนวคิด แผนงาน และขั้นตอนการท าโครงงาน ซึ่งควร ประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้ 1. ชื่อโครงงาน ควรเป็นข้อความที่กะทัดรัด ชัดเจน สื่อความหมายได้ตรง 2. ชื่อผู้ท าโครงงาน 3. ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน 4. หลักการและเหตุผลของโครงงาน เป็นการอธิบายว่าเหตุใดจึงเลือกท าโครงงานเรื่องนี้ มีความส าคัญอย่างไร มีหลักการหรือทฤษฎีอะไรที่เกี่ยวข้อง เรื่องที่ท าเป็นเรื่องใหม่หรือมีผู้อื่นได้ศึกษา ค้นคว้าเรื่องนี้ไว้บ้างแล้ว ถ้ามีได้ผลอย่างไร เรื่องที่ท าได้ขยายเพิ่มเติม ปรับปรุงจากเรื่องที่ผู้อื่นท าไว้ อย่างไร หรือเป็นการท าซ้ าเพื่อตรวจสอบผล 5. จุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ควรมีความเฉพาะเจาะจง และสามารถวัดได้ เป็นการบอก ขอบเขตของงานที่จะท าได้ชัดเจนขึ้น 6. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) สมมติฐานเป็นค าตอบหรือค าอธิบายที่คาดไว้ ล่วงหน้า ซึ่งอาจจะถูกหรือไม่ก็ได้ การเขียนสมมติฐานควรมีเหตุมีผลมีทฤษฎีหรือหลักการรองรับ และ 7 1


ที่ส าคัญ คือ เป็นข้อความที่มองเห็นแนวทางในการด าเนินการทดสอบได้ นอกจากนี้ควรมี ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามด้วย 7. วิธีด าเนินงานและขั้นตอนการด าเนินงาน จะต้องอธิบายว่า จะออกแบบการทดลอง อะไรอย่างไร จะเก็บข้อมูลอะไรบ้างรวมทั้งระบุวัสดุอุปกรณ์ที่จ าเป็นต้องใช้ มีอะไรบ้าง 8. แผนปฏิบัติงาน อธิบายเกี่ยวกับก าหนดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นการด าเนินงานใน แต่ละขั้นตอน 9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ 10. เอกสารอ้างอิง 3. การด าเนินงาน เมื่อที่ปรึกษาโครงงานให้ความเห็นชอบเค้าโครงของโครงงานแล้ว ต่อไปก็ เป็นขั้นลงมือปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่ระบุไว้ ผู้เรียนต้องพยายามท าตามแผนงานที่วางไว้ เตรียมวัสดุ อุปกรณ์และสถานที่ให้พร้อมปฏิบัติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ ค านึงถึงความประหยัดและ ปลอดภัยในการท างาน ตลอดจนการบันทึกข้อมูลต่างๆ ว่าได้ท าอะไรไปบ้าง ได้ผลอย่างไร มีปัญหา และข้อคิดเห็นอย่างไร พยายามบันทึกให้เป็นระเบียบและครบถ้วน 4. การเขียนรายงาน การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงาน เป็นวิธีสื่อความหมายวิธีหนึ่งที่จะให้ ผู้อื่นได้เข้าใจถึงแนวคิด วิธีการด าเนินงาน ผลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เกี่ยวกับ โครงงานนั้น การเขียนโครงงานควรใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ชัดเจนและครอบคลุมประเด็น ส าคัญๆ ทั้งหมดของโครงงาน 5. การน าเสนอผลงาน การน าเสนอผลงาน เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการท าโครงงานและเข้าใจ ถึงผลงานนั้น การน าเสนอผลงานอาจท าได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมต่อประเภทของ โครงงาน เนื้อหา เวลา ระดับของผู้เรียน เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การเล่าเรื่อง การเขียนรายงาน สถานการณ์จ าลอง การสาธิต การจัดนิทรรศการ ซึ่งอาจมีทั้งการจัดแสดงและการอธิบายด้วยค าพูด หรือการรายงานปากเปล่า การบรรยาย สิ่งส าคัญคือ พยายามท าให้การแสดงผลงานนั้นดึงดูดความ สนใจของผู้ชม มีความชัดเจน เข้าใจง่าย และมีความถูกต้องของเนื้อหา น า เสนอ การเขียนรายงาน การด าเนินงาน การวางแผน การคิดและเลือกหัวข้อโครงงาน 8 1


ขั้นตอนที่ 1 การคิดและเลือกหัวข้อเรื่องโครงงาน การคิดเลือกหัวข้อ เป็นขั้นตอนแรกของการท าโครงงาน หัวเรื่องที่ศึกษาควรเป็นเรื่องที่เกิด จากความสนใจ ความสงสัย ของนักเรียนในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ครูสอนในห้องเรียนที่อยาก ค้นหาค าตอบ หัวข้อเรื่องของโครงงาน ควรเฉพาะเจาะจงและมีความชัดเจน ตัวอย่าง ชื่อโครงงานภาษาไทย 1. โครงงานภาษาไทยประเภทการส ารวจและรวบรวมข้อมูล เช่น - การส ารวจค าศัพท์ที่ควรรู้จากเรื่อง... - การส ารวจชื่อครูที่มีมาตราตัวสะกดแม่ต่าง ๆ - การส ารวจค าราชาศัพท์ในหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ฉบับการ์ตูน - การส ารวจค าควบกล้ าในหนังสือเสริมทักษะภาษาไทย ป. 2 ของ พว. - การส ารวจค าที่มี ร, ล, ว ควบกล้ าในหนังสือ - การศึกษาประวัติของนักประพันธ์ - การส ารวจค าย่อในหนังสือพิมพ์... - หลักการอ่านภาษาไทย - การส ารวจค าอ่านยากของสมาชิกในกลุ่ม - หลักการเขียนภาษาไทย - การส ารวจหลักภาษาไทยในบทความเรื่อง... - การส ารวจตัวละครในเรื่อง... - การส ารวจความนิยมในการอ่านหนังสือนิตยสาร - องค์ประกอบของเรื่องสั้น - การส ารวจค าแสลง ค าสมัยนิยม ในหนังสือพิมพ์... - การส ารวจตัวอักษรที่ใช้กับคนพิการทางหู - การส ารวจรวบรวมค าที่มักเขียนผิดในภาษาไทย - วิเคราะห์ลักษณะนิสัยของตัวละครในเรื่อง... - การส ารวจข้อสอบวิชาภาษาไทย ชั้น... - ศึกษาประวัติความเป็นมาของวรรณคดีเรื่อง... - ภาษาไทยกับการปลูกฝังคุณธรรมผ่าน ภาษิต นิทาน ต านานและวรรณคดี - การถอดความบทร้อยกรอง เมื่อส ารวจและรวบรวมข้อมูลมาแล้ว ควรน ามาจัดล าดับหมวดหมู่ให้เหมาะแก่การค้นหา อาจ น าเสนอในรูปตาราง กราฟ แผนภูมิ หรืออื่น ๆ ก็ได้ จะท าให้ข้อมูลน่าศึกษายิ่งขึ้น ส่งผลให้โครงงาน นั้นมีคุณค่า 2. โครงงานภาษาไทยประเภทการทดลอง เช่น - ทดลองออกเสียงค าควบกล้ า - การศึกษาวิธีการพูดโดยการก าหนดหัวข้อเรื่อง... - ทดลองอ่านออกเสียงค าที่มีตัวการันต์ - การศึกษาความจ าจากการฟัง - ทดลองอ่านออกเสียงค าราชาศัพท์ - การศึกษาความถูกต้องจากการอ่าน... - การศึกษาวิธีการเขียนตามค าบอก... - การเขียนสะกดค าง่าย - การเขียนสะกดค ายาก ในการทดลองภาษาไทย เน้นเรื่องการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เป็นวิธีการที่เห็น เด่นชัดมาก นักเรียนที่ท าโครงงาน สร้างเครื่องมือ ซึ่งอาจเป็นตารางง่าย ๆ เหมาะสมกับระดับชั้นเพื่อ ตรวจสอบการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนของเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน หรือต่างชั้นเรียนก็ได้ 9 1


3. โครงงานภาษาไทยประเภทสิ่งประดิษฐ์เช่น - การประดิษฐ์ข้อสอบวิชาภาษาไทย นักเรียนน าความรู้ที่เรียนมาช่วยครูสร้างแบบทดสอบแทนครู - การประดิษฐ์เกมภาษาไทย - การประดิษฐ์สื่อที่ใช้ในการเรียนภาษาไทย... - การประดิษฐ์แผนผังบทร้อยกรองแบบใหม่ - การประดิษฐ์หนังสือช่วยการอ่านค าที่มีตัวการันต์ - การประดิษฐ์หนังสือภาษาไทย... - การประดิษฐ์พจนานุกรมฉบับนักเรียน... สิ่งที่นักเรียนประดิษฐ์ขึ้นโดยดูแบบอย่างมาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ถือว่าเป็นโครงงาน ประเภทสิ่งประดิษฐ์ มีข้อพึงระวังในการลอกเลียนแบบของผู้อื่นมาทุกประการ 4. โครงงานภาษาไทยประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่นักเรียนเสนอหลักการหรือแนวความคิดใหม่ ๆ โดยใช้แนวความคิดหรือการ จินตนาการของผู้ท าโครงงาน เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ที่ยังไม่มีผู้ใดคิดมาก่อน หรือ อธิบายทฤษฎีที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเดิมที่มีอยู่ในวิชาภาษาไทย อาจเป็นการเสนอทฤษฎีหรือหลักการ ขึ้นมาสนับสนุน หรือขัดแย้งกับแนวความคิดเดิม ๆ เช่น นักเรียนเสนอโครงงานประเภททฤษฎีขึ้นมา ว่าท่านสุนทรภู่ไม่ดื่มเหล้า โดยน าทฤษฎีหรือหลักการมาสนับสนุนการวิเคราะห์ว่า หากท่านดื่มเหล้า เป็นคนเมามาย คงไม่สามารถแต่งบทประพันธ์ได้จ านวนมากมายดังที่ทราบ แต่ที่เห็นพฤติกรรมว่าเมา นั้นอาจเป็นการเข้าใจผิดของชาวบ้านทั่วไปได้ ค าชี้แจง ให้นักเรียนคิดหัวข้อเรื่องโครงงานที่สนใจ เกี่ยวกับเนื้อหารายวิชา ภาษาไทยมา 3 ชื่อโครงงาน แล้วเขียนลงช่องว่างที่ก าหนดให้ จากนั้นท าตามขั้นตอนต่อไป และเลือกหัวข้อโครงงานที่มีคะแนนมากที่สุดมาเพียง 1 ชื่อเรื่อง เลือกให้ดีนะ เลือกชื่อโครงงาน แล้วไม่สามารถ เปลี่ยนได้นะ 10 01


ตัวอย่างตารางวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเลือกปฏิบัติงาน ค าชี้แจง ให้นักเรียนเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจแล้ววิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ โดยให้ คะแนน 1-5 ตามความสนใจถ้าคะแนนเท่ากันให้ตัดสินใจเลือกมาเพียง 1 โครงงาน รายละเอียด โครงงานที่จะปฏิบัติ 1 2 3 ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง 1. ความสนใจ ความถนัด ความตั้งใจ และจริงใจ 2. ความรู้และประสบการณ์เดิม 3. ความพร้อมด้านเงินทุน งบประมาณ 4. ความพร้อมวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ 5. ความพร้อมด้านเวลา/แรงงาน ข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อม 6. มีประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว 7. คนในครอบครัวให้การสนับสนุน 8. ไม่ซ้ ากับเพื่อน / เพื่อนในกลุ่มสนับสนุน 9. มีแหล่งความรู้ให้ศึกษา 10. สถานที่ปฏิบัติงานเหมาะสม สะดวก 11. ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 12. ใช้วัสดุในท้องถิ่น มีความประหยัด ข้อมูลเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทางวิชาการ 13. มีความรู้เกี่ยวกับงาน 14. ขั้นตอนการปฏิบัติไม่ซับซ้อน 15. ความรู้ที่ได้รับน าไปปฏิบัติงานอื่นได้ รวมคะแนน สรุปโครงงานที่เลือก คือ ................................................................................................................... เมื่อลองวิเคราะห์จากตารางแต่ละชื่อแล้ว เขียนสรุปชื่อโครงงานที่เลือกเลย 11 10 01


การวางแผนการท าโครงงาน จะรวมถึงการเขียนเค้าโครงของโครงงาน ซึ่งต้องมีการวางแผนไว้ ล่วงหน้า เพื่อให้การด าเนินการเป็นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ ไม่สับสน แล้วน าเสนอต่อผู้สอนหรือ ครูที่ปรึกษาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนด าเนินการขั้นต่อไป ตัวอย่างเค้าโครงงาน (อาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบแต่ข้างต้นให้ด าเนินการตามขั้นตอนนี้) ชื่อโครงงาน..................................................................................................... คณะท างาน..................................................................................................... อาจารย์ที่ปรึกษา................................................................................................. 1) ที่มาและความส าคัญที่ต้องการศึกษา........................................................................ 2) จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า............................................................................... 3) สมมติฐานของการศึกษา……………………………………………………………………… 4) ขอบเขตของการท าโครงงาน......................................................... 5) วิธีด าเนินการด าเนินงาน..................................................................................... 6) ประโยชน์ที่จะได้รับ.................................................................. 7) เอกสารอ้างอิง........................................................................... 1) ที่มาและความส าคัญของโครงงานที่ต้องการศึกษา การเขียนที่มาและความส าคัญ คือ การ อธิบายให้กระจ่างชัดว่าท าไมต้องท า ท าแล้วได้อะไร หากไม่ท าจะเกิดผลเสียอย่างไร ซึ่งมีหลักการ เขียนคล้ายการเขียนเรียงความ ทั่ว ๆ ไป คือ มีค าน า เนื้อเรื่อง และสรุป ต้องมี ส่วนที่ 1 ค าน า : เป็นการบรรยายถึงนโยบาย เกณฑ์ สภาพทั่ว ๆ ไป หรือปัญหาที่มีส่วนสนับสนุน ให้ริเริ่มท า ส่วนที่ 2 เนื้อเรื่อง : อธิบายถึงรายละเอียดเชื่อมโยงให้เห็นประโยชน์ของการท า โดยมี หลักการ ทฤษฎีสนับสนุนเรื่องที่ศึกษา หรือการบรรยายผลกระทบ ถ้าไม่ท าเรื่องนี้ ส่วนที่ 3 สรุป : สรุปถึงความจ าเป็นที่ต้องด าเนินการตามส่วนที่ 2 เพื่อแก้ไขปัญหา ค้นความรู้ใหม่ ค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ให้เป็นไปตามเหตุผลส่วนที่ 1 ตัวอย่าง ขั้นตอนที่ 2 การวางแผน ที่มาและความส าคัญของโครงงาน ต้องประกอบด้วย 3 ส่วน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ 12 10 01


ตัวอย่าง ที่มาและความส าคัญของโครงงาน เรื่อง ปริศนาค าทายในท้องถิ่น ที่มาและความส าคัญของโครงงาน จากการเรียนภาษาไทยจะมีการน าปริศนาค าทาย มาทายกันอยู่เสมอ โดยมากน ามาจาก หนังสือ ซึ่งเป็นค าถามที่คล้าย ๆ กัน ท าให้ไม่ชวนติดตามเมื่อได้ฟังปริศนาค าทายจากคนแก่ ๆ ใน หมู่บ้าน รู้สึกสนุกสนานน่าสนใจ/1 เพราะมีทั้งภาษาถิ่นที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้ความหมาย มีค าคล้องจอง ซึ่งบางปริศนาจะสร้างค าใหม่ขึ้นใช้เพื่อให้มีสัมผัสคล้องจอง มีค าผวนชวนให้คิด บางปริศนาก็ใช้ภาษา สองแง่สองง่ามท าให้การทายมีความสนุกสนาน ค าตอบของปริศนาค าทายส่วนมากเป็นสิ่งใกล้ตัวและ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจ าวัน สามารถคิดหาค าตอบได้ง่าย/2 ปริศนาค าทายในท้องถิ่นเป็นความคิดของคนในท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการ ใช้ภาษาของชาวบ้าน ถือเป็นวัฒนธรรมทางภาษาของท้องถิ่นสมาชิกในกลุ่มเห็นว่าปริศนาค าทาย ในท้องถิ่นนี้น่าศึกษาและรวบรวมไว้เผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รู้จักและศึกษา เพื่อเป็นการอนุรักษ์มรดก ทางภาษาของท้องถิ่น จึงได้จัดท าโครงงานนี้ขึ้น/3 ค าชี้แจง ให้นักเรียนอ่านค าถาม จ านวน 3 ข้อ แล้วตอบค าถามให้ถูกต้อง ๑. ให้นักเรียนพิจารณาความส าคัญ/ความเป็นมาของโครงงานแล้วตอบค าถามด้านล่าง "ภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาฉายในประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่จะมีการแปลชื่อเรื่องจาก ภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย1/ จึงท าให้คณะผู้จัดท าสนใจที่จะรวบรวมชื่อเรื่องภาพยนตร์ ต่างประเทศซึ่งได้แปลเป็นภาษาไทยแล้วมาวิเคราะห์และจัดกลุ่ม"2 ข้อความที่เป็นเหตุคือ ข้อความที่ 1 2 ข้อความที่เป็นผลคือ ข้อความที่ 1 2 2. ให้นักเรียนขีดเส้นใต้ส่วนที่เป็นค าน า เนื้อเรื่อง สรุป พร้อมเขียนเลขก ากับด้านบน (ค าน า1 /เนื้อเรื่อง2 /สรุป3) ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในการสื่อสารทางภาษา การอ่าน เป็นการสื่อสารที่ส าคัญของมนุษย์ การอ่านภาษาไทยให้ถูกต้องชัดเจน จะท าให้การสื่อสารบรรลุ วัตถุประสงค์ประกอบกับแผนพัฒนาการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ระยะที่ 8 ได้ก าหนดความ จ าเป็นของการใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการมีเป้าหมายในการพัฒนาการอ่าน ซึ่ง กรมวิชาการจึงได้ก าหนดให้วิชาภาษาไทยเป็นวิชาบังคับโดย ท าให้เห็นว่าภาษาไทยเป็นภาษาประจ า ชาติและการสื่อสารให้ถูกต้องจึงเป็นการรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมไทยอีกทางหนึ่งด้วย จากการศึกษาและส ารวจสภาพปัญหาการอ่านของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของ โรงเรียนบ้านดงแดง โดยวิธีการสุ่มตรวจพบว่า นักเรียนไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้ถูกต้องตามเกณฑ์ ร้อยละ 60 เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้จัดท าจึงคิดค้นโครงการพี่สอนน้องขึ้น แบบทดสอบ 13 10 01


3. ให้นักเรียนเขียนที่มาและความส าคัญของโครงงานที่นักเรียนเลือก ให้ถูกต้องตามรูปแบบการเขียน ที่มาและความส าคัญ (ความยาวอย่างน้อย 5 บรรทัด) โครงงานเรื่อง................................................. ที่มาและความส าคัญของโครงงาน ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2) จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า ก าหนดจุดมุ่งหมายปลายทางที่ต้องการให้เกิดจากการท า โครงงาน ในการเขียนวัตถุประสงค์ ต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายสอดคล้องกับชื่อโครงงาน หาก มีวัตถุประสงค์หลายประเด็น ให้ระบุเป็นข้อ ๆ ตัวอย่าง จุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์การศึกษาค้นคว้า เรื่อง ปริศนาค าทายในท้องถิ่น จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า ๑. เพื่อรวบรวมปริศนาค าทายในท้องถิ่น ๒. เพื่อจัดท าเอกสารเผยแพร่ในโรงเรียนและผู้ที่สนใจ ๓. เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น 1. ข้อใดเป็นจุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า/วัตถุประสงค์ ………ก. ศึกษาเฉพาะนักเรียนระดับชั้น ม.4 ………ข. เพื่อส ารวจและรวบรวมพันธุ์ไม้ในโรงเรียน ………ค. เข้าใจสภาพและความเปลี่ยนแปลงของสังคมในประเทศ ………ง. เพื่อศึกษาว่าภาษาใดที่ร้านค้าในซอยเจริญกรุง ๕๗ นิยมส าหรับตั้งชื่อร้านมากที่สุด สรุป การเขียนวัตถุประสงค์จะต้องขึ้นต้นด้วยค าว่า "……………" แบบทดสอบ 14 10 01


2. ให้นักเรียนเขียนวัตถุประสงค์ตามตัวอย่างต่อไปนี้ “ตัวอย่าง หากต้องการทราบว่า นางสีดา ทศกัณฐ์ พระราม มีลักษณะและต้นก าเนิดอย่างไร วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะและต้นก าเนิดของนางสีดา ทศกัณฐ์ และพระราม” 1. หากต้องการทราบเส้นทางการเดินทางของสุนทรภู่ในเรื่องนิราศภูเขาทอง วัตถุประสงค์....................................................................................................................... 2. หากต้องการออกแบบบ้านโดยใช้สูตรคณิตศาสตร์ วัตถุประสงค์....................................................................................................................... 3. หากต้องการรณรงค์ให้นักเรียนโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยรักษาความสะอาด วัตถุประสงค์....................................................................................................................... 4. หากต้องการให้งานที่ท าเป็นแนวทางในการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ของผู้อื่น วัตถุประสงค์....................................................................................................................... 5. หากต้องการสื่อการสอนเรื่องโลกของเรา วัตถุประสงค์....................................................................................................................... 3. ให้นักเรียนเขียนจุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า / วัตถุประสงค์ของโครงงานที่ นักเรียนเลือก ให้ถูกต้องตามรูปแบบการเขียนจุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า/วัตถุประสงค์ (จ านวน 3 ข้อ) 1. .................................................................................. 2. .................................................................................. 3. .................................................................................. *การเขียนจุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า หรือวัตถุประสงค์ของโครงงาน ควรเขียนภายใต้ เงื่อนไขเพื่อศึกษาค้นคว้า เพื่อประดิษฐ์ เพื่อทดลอง เพื่อเผยแพร่ในสิ่งที่นักเรียนสามารถศึกษาหรือ ปฏิบัติได้จริง* 15 01


3) สมมติฐานของการศึกษา เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ท าโครงงาน ต้องให้ ความส าคัญ เพราะจะท าให้เป็นการก าหนดแนวทางในการออกแบบการทดลองได้ชัดเจนและ รอบคอบ ซึ่งสมมติฐานก็คือ การคาดคะเนค าตอบของปัญหาอย่างมีหลักและเหตุผล ตามหลักการ ทฤษฎี รวมทั้งผลการศึกษาของโครงงาน ตัวอย่าง สมมติฐานการศึกษาค้นคว้า เรื่อง ปริศนาค าทายในท้องถิ่น สมมติฐานการศึกษาค้นคว้า ปริศนาค าทายในท้องถิ่นเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่มี ค่าและน่าศึกษาและควรเผยแพร่เพื่อเป็นการอนุรักษ์ไว้ให้อยู่คู่ท้องถิ่นตลอดไป ให้นักเรียนเขียนสมมุติฐานการศึกษาค้นคว้า ของโครงงานที่นักเรียนเลือก ................................................................................................................................................. .......................................................................................................................................................... 4) ขอบเขตของการท าโครงงาน การก าหนดขอบเขตการท าโครงงาน เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่ น่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ การก าหนดประชากร กลุ่มตัวอย่าง เนื้อหา ตลอดจนระยะเวลาที่ศึกษา ตัวอย่าง ขอบเขตของการท าโครงงาน เรื่อง ปริศนาค าทายในท้องถิ่น ศึกษาและรวบรวมปริศนาค าทายในเขตหมู่บ้านปากด่าน บ้านดอนคาและบ้านดอนเมา ซึ่งอยู่ ในต าบลสะพลี อ าเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ศึกษาจากผู้รู้ในหมู่บ้าน จ านวน 10 คน โดยการ สัมภาษณ์และจดบันทึกรวบรวมไว้ใช้เวลาในการศึกษาระหว่างวันที่ ๑ - ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นเวลา ๒ สัปดาห์ ค าชี้แจง ให้นักเรียนดูตัวอย่างแล้วปฏิบัติตามการเขียนขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า ตัวอย่าง เรื่อง มหาวิทยาลัยไหนที่คุณใฝ่ฝัน ถามใคร : นักเรียน ม.๖ แผนการเรียนวิทย์-คณิต เพศใด : หญิง ถามที่ไหน : โรงเรียนสุธีวิทยา จ านวนเท่าไร : ๑๐๐ คน ขอบเขต : ศึกษาเฉพาะนักเรียน ม.๖ แผนการเรียนวิทย์-คณิต โรงเรียนสุธีวิทยา จ านวน 50 คน แบบทดสอบ 16 01


1. เรื่อง คิดอย่างไรกับการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับชั้น ม.๑ ถามใคร : ............................................................. เพศใด : ............................................................. อายุเท่าไร : ............................................................. ถามที่ไหน : ............................................................. จ านวนเท่าไร : ............................................................. ขอบเขต.......................................................................................................................................... 2. เรื่องค าสันธานที่มักใช้แต่งเพลง เพลงของใคร : .......................................................... จ านวนเพลง : ......................................................... เพลงอะไร : .......................................................... ขอบเขต............................................................................................................................................ 3. ให้นักเรียนเขียนขอบเขตการท าโครงงานของโครงงานที่นักเรียนเลือก ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับ : …………………………………………………………………………………..……….………… ถามที่ไหน : ………………………………………………………….………………………………………………..…….. ถามใคร : ………………………………………………………….………………………………………………………….. จ านวนเท่าไหร่ : ………………………………………………………….………………………………………………… ขอบเขต.................................................................................................................................... 5) วิธีด าเนินการด าเนินงาน วิธีการที่ช่วยให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการท าโครงงาน ตั้งแต่ เริ่มเสนอโครงการกระทั่งสิ้นสุดโครงการต้องท าให้ชัดเจนว่าจะท าอะไรบ้าง เรียงล าดับกิจกรรมก่อน และหลังให้ชัดเจน เพื่อสามารถน าโครงการไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง ตัวอย่าง วิธีการด าเนินงาน เรื่อง ปริศนาค าทายในท้องถิ่น ๑. วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ 1. แบบบันทึก 2. ดินสอ ปากกา 3. กล้องถ่ายรูป 17 01


๒. แนวการศึกษาค้นคว้า ส ารวจผู้รู้ในชุมชน ในครอบครัว และเพื่อนๆ รวบรวมปริศนาค าทายแต่ละเขต พร้อม ค าตอบ โดยแยกหมวดปริศนาค าทายจัดท าผลงานเป็นรูปเล่ม 3. แผนการปฏิบัติงาน ที่ กิจกรรม ระยะเวลา สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ ผู้รับผิดชอบ 1 เสนอเค้าโครงของโครงงานต่อครู และขอค าปรึกษา 12 ม.ค. 63 321 รร.สิงห์บุรี เค้าโครง โครงงาน นางสาวรักเรียน ดีจริง 2 ประชุมสมาชิกในกลุ่มแบ่งเขต ศึกษาค้นคว้า 15 ม.ค. 63 รายชื่อสมาชิก นายเรียนดี ไม่มี อบายมุข 3 ส ารวจผู้รู้ในชุมชน ในครอบครัว และเพื่อนๆ 16 ม.ค. 63 ชุมชนวัด โคกหม้อ แบบส ารวจ สัมภาษณ์ นายมั่งมี เงินทอง 4 รวบรวมปริศนาค าทายแต่ละเขต พร้อมค าตอบ 18 ม.ค. 63 รร.สิงห์บุรี แบบส ารวจ นางสาวรักเรียน ดีจริง 5 จัดท าผลงานเป็นรูปเล่มแยก หมวดปริศนาค าทาย 20 ม.ค. 63 รร.สิงห์บุรี รูปเล่ม รายงาน สมาชิกในกลุ่ม 6 น าเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อแก้ไขปรับปรุงส่วนที่บกพร่อง 24 ม.ค. 63 321 รร.สิงห์บุรี โครงงาน และ เล่มรายงาน สมาชิกในกลุ่ม 1. การจัดท าโครงงานที่ดี นักเรียนต้องท าอย่างไร 2. ผู้ที่ควรเป็นที่ปรึกษาโครงงานที่ดี ควรเป็นใคร ก. เป็นโครงงานที่มากจากโครงงานอื่น ก. อาจารย์ประจ าชั้น ข. เป็นโครงงานที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาเก่ง ๆ ข. บุคคลที่ไม่ใช่ครูอาจารย์ หรือผู้อ านวยการ ค. เป็นโครงงานที่เราคิดเอง ท าเอง แก้ปัญหาเอง ค. ใครก็ได้ที่มีความรู้ในเรื่องของโครงงาน น าเสนอเองอย่างมีรูปแบบขั้นตอน ง. ใครก็ได้ที่มีความรู้ในเรื่องที่เราศึกษา ง. เป็นโครงงานที่ ส่งเข้าประกวดได้รางวัล 3. ในการที่จะได้มาศึกษาหัวเรื่องของโครงงาน 4. สิ่งที่ควรท าเป็นอันดับแรกในการท าโครงงาน ควรจะได้มาจากที่ใด เป็นอันดับแรก ก. สอบถามเรื่องที่จะท าจากอาจารย์ที่ปรึกษา ก. สังเกตส ารวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ข. คิดหัวเรื่องที่จะท า ข. ไปศึกษา แนวคิดของโครงงานอื่น ค. เตรียมสถานที่ที่จะท าโครงงาน ค. ไปศึกษานอกสถานที่ ง. ศึกษาหาสถานที่ที่จะประกวด ง. ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน 5. วิธีการด าเนินงานมีกี่ข้อหัวข้อส าคัญ 6. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่หัวข้อในการด าเนินงาน ก. 1 ข. 2 ก. วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ข. แนวการศึกษาค้นคว้า ค. 3 ง. 4 ต. แผนการปฏิบัติงาน ง. กิจกรรม แบบทดสอบ 18 01


7. ให้นักเรียนเขียนวิธีการด าเนินโครงงานของโครงงานที่นักเรียนเลือก 1. วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ 1.1 ....................................... 1.2 ........................................ 1.3 ........................................ 2. แนวการศึกษาค้นคว้า .......................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………..…………………………….. 3. แผนการปฏิบัติงาน ที่ กิจกรรม ระยะเวลา สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 6) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การคาดหวังถึงผลการด าเนินการตามโครงการ ในการเขียนต้อง คาดคะเนเหตุการณ์ว่าเมื่อได้ท าโครงงานวิทยาศาสตร์สิ้นสุดลง ใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์อย่างไรและ ได้รับมากน้อยเพียงใด ประโยชน์ที่ได้รับต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ศึกษา เช่น จุดประสงค์ ๑. เพื่อรวบรวมปริศนาค าทายในท้องถิ่น ๒. เพื่อจัดท าเอกสารเผยแพร่ในโรงเรียนและผู้ที่สนใจ ๓. เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น จุดมุ่งหมาย ประโยชน์ที่ คาดว่าจะได้รับ 19 10 01


ต้องสอดคล้องกับ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๑. ได้ปริศนาค าทายในท้องถิ่นไว้ทายในเวลาว่างและเผยแพร่ให้แก่ผู้ ที่สนใจได้ศึกษา ๒. ปริศนาค าทายในท้องถิ่นเป็นที่รู้จักของเพื่อน ๆ น้อง ๆ และบุคคล ที่สนใจ 3. อนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมไม่สูญหายไปจากท้องถิ่น ให้นักเรียนเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับของโครงงานนักเรียน *โดยต้องเขียนให้สอดคล้อง กับจุดมุ่งหมายการศึกษาค้นคว้าของโครงงานนักเรียน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ………………………………………………………………………………………………………………….. 3. ………………………………………………………………………………………………………………….. 7) เอกสารอ้างอิง/บรรณานุกรม คือ รายชื่อเอกสารที่น ามาอ้างอิงเพื่อประกอบการท าโครงงาน ตลอดจนการเขียนรายงานการท าโครงงานควรเขียนให้ถูกต้องตามหลักการ โดยมีหลักการ ดังนี้ 7.1 การเขียนชื่อ ไม่ต้องใส่ค าน าหน้านาม ต าแหน่งทางวิชาการค าเรียกทางวิชาชีพและ ต าแหน่งยศต่าง ๆ (ยกเว้น มีฐานันดรศักดิ์ บรรดาศักดิ์ และสมณศักดิ์) 7.2 จ านวนผู้แต่ง ถ้าผู้แต่งจ านวนสองคนใช้ค าว่า “และ” (เช่น เจน และนุ่น) ถ้าผู้แต่งสามคนใช้ค าว่า “และ” หน้าคนสุดท้าย (เช่น เจน, นุ่น และโบว์) ถ้าผู้แต่งมากกว่าสามคน ใช้ค าว่า “และคณะ” (เช่น เจนและคณะ) 7.3 การใช้อักษรย่อ ม.ป.ท. แทนค าเต็มว่า ไม่ปรากฏสถานที่พิมพ์ (ม.ป.ป.) แทนค าเต็มว่า ไม่ปรากฏปีพิมพ์ 7.4 ครั้งที่พิมพ์หากพิมพ์ครั้งที่ 1 ไม่ต้องเขียนลง เขียนปีที่พิมพ์ได้ต้องมากกว่า 1 ขึ้นไป ตัวหนาที่ชื่อเรื่อง หากไม่มีชื่อผู้แต่งให้น าชื่อเรื่องมาเขียนอันดับแรกและท าตัวหนา 7.5 การเว้นระยะและย่อหน้าเข้า บรรทัดแรกของเอกสารอ้างอิงควรเขียนให้ชิดเส้น ส่วน บรรทัดต่อมาให้ย่อหน้าเข้าไป 7 ตัวอักษร แล้วเขียนตรงตัวที่ 8 7.6 เอกสารอ้างอิงและบรรณานุกรม ควรเขียนเรียงตามล าดับอักษร ก-ฮ ตัวอย่าง การเว้นระยะห่าง ย่อหน้า และเรียงล าดับอักษร ค > บ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (ม.ป.ป). การอ้างอิงแบบแทรกใน - - - - - - - เนื้อหาตามหลักเกณฑ์ APA. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.jba. tbs.tu.ac.th - - - - - - - /files/APA_Style.pdf (วันที่ค้นข้อมูล : 18 กันยายน 2562) บุญฑา วิศวไพศาล. (ม.ป.ป). มนุษยศาสตร์สาร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :http://journal.human. - - - - - - - cmu.ac.th/files/form2.pdf (วันที่ค้นข้อมูล : 18 กันยายน 2562) 20 10 01


ตัวอย่างบรรณานุกรมหนังสือ และเว็บไซต์ หนังสือเล่ม ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. เมืองที่พิมพ์ : ชื่อส านักพิมพ์หรือโรงพิมพ์. ตัวอย่าง มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (๒๕๔๘). บทละครค ากลอนเรื่องพระร่วง. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์. ค าชี้แจง ให้นักเรียนเขียนบรรณานุกรมให้ถูกต้อง 1. ชื่อหนังสือ : คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ชื่อผู้แต่ง : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ สถานที่พิมพ์ : กรุงเทมหานคร โรงพิมพ์การศาสนา ปีที่พิมพ์: 2527 ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ชื่อหนังสือ : ชีวิตของข้าพเจ้า ชื่อผู้แต่ง : เฮเลน เคลเลอร์ ครั้งที่พิมพ์: พิมพ์ครั้งที่ 1 สถานที่พิมพ์: ส านักพิมพ์ก้าวหน้า พระนคร ปีที่พิมพ์: 2512 ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ชื่อหนังสือ : โดราเอมอน ชื่อผู้แต่ง : ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ครั้งที่พิมพ์ : 22 สถานที่พิมพ์ : เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ ปีที่พิมพ์ : 2539 ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… แบบทดสอบ 21 10 01


เว็บไซต์ ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่ลงข้อมูล). ชื่อเรื่อง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : แหล่งสารนิเทศ. (วันที่ค้นข้อมูล : วัน เดือน ปี). ตัวอย่าง Dr. Ou. (1998). โรคเอดส์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.thaiclinic.com/ hiv.html. (วันที่ค้นข้อมูล : ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑) 3. ชื่อผู้เขียนบทความ: ชวนะ ภวกานนท์ ชื่อบทความ : ธุรกิจสปาไทยน่าจะก้าวไกลไปกว่านี้ เข้าถึงได้จาก : http://www.businesstgai.co.th วัน เดือน ปี ที่ค้นข้อมูล : วันที่ 25 ธันวาคม 2563 ปีที่แต่ง : 2548 ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 4. ผู้เขียนบทความ : เจน นุ่น โบว์ ชื่อบทความ : Superวาเลนไทน์ วัน เดือน ปีที่ค้นข้อมูล : 1 เมษายน 2563 ปีที่แต่ง : 2554 เข้าถึงได้จาก : https://www.komchadluek.net/news/regional/426066 ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ให้นักเรียนเขียนบรรณานุกรมจากหัวข้อโครงงานที่นักเรียนสืบค้น เพื่อน ามาจัดท าโครงงาน โดย เขียนให้ถูกต้องตามหลักการเขียนบรรณานุกรม จากหนังสือ และเว็บไซต์ (จ านวน 3 บรรณานุกรม) 1. …………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. …………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… แบบทดสอบ 22 10 01


ขั้นตอนที่ 3 การด าเนินงาน โครงงาน....................................... 1. ชื่อโครงงาน........................................................................................................... 2. ชื่อผู้ท าโครงงาน 1) ...................................................... 2) .............................................................. 3. ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน………………………………………………………………………………….. 4. ที่มาและความส าคัญของโครงงาน .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... 5. จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 1) ………………………………………………………………………………………………………………………… 2) ………………………………………………………………………………………………………………………… 3) ……………………………………………………………………………………………………………………….. 6. สมมุติฐาน .................................................................................................................................................. ……………………………………………………………………………………………………………….………………… 7. ขอบเขตของการศึกษา ……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………..…..… ………………………………………………………………………………………………………………………..…..… 8. วิธีด าเนินงาน 1) วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ …………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………….. 2) แนวการศึกษาค้นคว้า .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. แบบฝึกหลังเรียนเรื่อง การเขียนเค้าโครงโครงงาน ……/10 .. 23 10 01


9. แผนการปฏิบัติงาน ที่ กิจกรรม ระยะเวลา สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ ผู้รับผิดชอบ 10. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………… 11. เอกสารอ้างอิง ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ.......................................................ผู้เสนอโครงงาน (......................................................) ............/............................../.......... ลงชื่อ.......................................................อาจารย์ที่ปรึกษา (......................................................) ............/............................./............. 24 10 01


ขั้นตอนที่ 4 การเขียนรายงานโครงงาน รูปแบบของรายงานโครงงานภาษาไทย รายงานวิชา โครงงานภาษาไทยประกอบด้วย แบ่งออกเป็น 3 ส่วน 1.1 ปกนอก ปกนอกเป็นส่วนที่ควรเน้นความเรียบร้อยสวยงามเป็นพิเศษ โดยทั่วไปนิยมใช้กระดาษ ขนาด 120 แกรม พิมพ์ตัวอักษรด้วยสีสุภาพ หรือใช้กระดาษสี ข้อความบนปกนอกประกอบด้วย ข้อความเรียงตามล าดับ ดังนี้ 1. ตราโรงเรียน 2. ชื่อเรื่องโครงงานภาษาไทย 3. ชื่อนักเรียนผู้จัดท าโครงงานทุกคน โดยระบุค าน าหน้าชื่อ ชื่อตัวและชื่อสกุล และใส่ค า ว่า โดย” ก่อนพิมพ์ชื่อผู้ท าโครงงาน 4. ข้อความที่บอกให้ทราบถึงโอกาสในการท าโครงงาน คือ “รายงานนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ รายวิชา.......ตามหลักสูตร..........โรงเรียน....................ภาคเรียนที่............ชั้นมัธยมศึกษาปีที่............... ปีการศึกษา........” ข้อความทั้งหมดบนปกนอกควรจัดเรียงให้กระจายอยู่บนปก ได้ระยะที่สวยงาม ใช้ขนาด ตัวอักษรที่พอเหมาะ ดึงดูดความสนใจ และเว้นระยะห่างให้สมดุล การจัดระยะขอบ หรือจัดกั้นหน้า – กั้นหลัง กั้นหน้า ระยะขอบเท่ากับ 3.81 cm กั้นหลัง ระยะขอบเท่ากับ 2.54 cm ขอบบน ระยะขอบเท่ากับ 3.81 cm ขอบล่าง ระยะขอบเท่ากับ 2.54 cm รูปแบบของปก ประกอบด้วยข้อความ 4 ส่วน ส่วนที่ 1 คือ ชื่อเรื่องรายงาน ส่วนที่ 2 คือ ชื่อผู้จัดท ารายงาน ส่วนที่ 3 คือ เสนอใคร ส่วนที่ 4 คือ วิชาอะไร/ภาคเรียน/ปีการศึกษา หมายเหตุข้อความทั้ง 4 ส่วน ให้มีการเว้นระยะห่างของแต่ละส่วนให้เท่า ๆ กันข้อความส่วน ที่ 1 อาจมีขนาดอักษรที่ใหญ่กว่าข้อความส่วนอื่น ๆ ก็ได้ ข้อความในส่วนที่ 2 – 3 ควรใช้ขนาด อักษรที่เท่ากัน ส าหรับข้อความในส่วนที่ 4 ขนาดอักษรอาจมีขนาดเท่ากับส่วนที่ 2 และ 3 หรือ อาจจ าเป็นต้องมีขนาดอักษรที่เล็กกว่าส่วน 2 – 3 เล็กน้อย 25 10 01


1.2 ใบรองปก เป็นกระดาษ A4 สีขาว ขนาด 80 แกรม ไม่พิมพ์ข้อความใดๆ จ านวน 1 แผ่น ใส่ไว้ถัด จากปกนอก ถ้าเป็นปกอ่อนและรายงานมีความหนาสันปกไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร อาจไม่ต้องใส่ใบ รองปก 1.3 ปกใน ข้อความทั้งหมดบนปกในควรจัดเรียงให้กระจายอยู่บนปก ได้ระยะที่สวยงาม ใช้ขนาด ตัวอักษร ที่พอเหมาะ ดึงดูดความสนใจ และเว้นระยะห่างให้สมดุล ข้อความเหมือนปกนอก 1.4 บทคัดย่อ (abstract) บทคัดย่อ เป็นข้อความโดยสรุปของรายงานโครงงานภาษาไทยที่สั้นได้ใจความชัดเจน อธิบายถึงที่มาและความส าคัญของโครงงาน วัตถุประสงค์ วิธีด าเนินการ และผลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุป ต่างๆ อย่างย่อ (ประมาณ 250-400 ค า) 1.5 กิตติกรรมประกาศ กิตติกรรมประกาศเป็นส่วนที่ผู้ท าโครงงานเขียนแสดงความขอบคุณบุคคล สถาบัน หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือทั้งในการค้นคว้าความรู้ การด าเนินงาน ให้ข้อคิดเห็น ใช้ FONT > TH SarabunIT๙ หรือ TH Sarabun New ถ้าไม่มีให้ใช้ Angsana New ใช้ให้เหมือนกันหมดทั้งเล่ม ส่วนที่ 1 รูปแบบ และชื่อโครงงาน ขนาดอักษร 22 ส่วนที่ 2 ชื่อผู้จัดท าโครงงาน ขนาดอักษร 20 ส่วนที่ 3 เสนอใคร ขนาดอักษร 22 ส่วนที่ 4 วิชา/กาคเรียน/ปีการศึกษา/ โรงเรียน ขนาดอักษร 22 26 10 01


และให้ข้อมูล การเขียนกิตติกรรมประกาศเป็นการแสดงถึงจรรยาบรรณทางวิชาการที่ผู้ท าโครงงาน ควรถือปฏิบัติ ข้อความที่เขียนควรเป็นภาษาทางวิชาการ ไม่ใช้ภาษาพูดและค าสแลง การระบุชื่อ บุคคลให้ระบุทั้งชื่อ นามสกุล และค าน าหน้า หากต้องการแสดงความขอบคุณบุคคลในครอบครัวให้ จัดไว้ในล าดับสุดท้าย 1.6 สารบัญ สารบัญเป็นส่วนที่แสดงล าดับหน้าของรายงานทั้งฉบับ ซึ่งประกอบด้วยส่วนน า ส่วนเนื้อ เรื่อง และ ส่วนอ้างอิง ในส่วนน าให้ใช้เป็นตัวอักษร โดยเริ่มบทคัดย่อเป็นหน้า ก ส่วนเนื้อเรื่อง และ ส่วนอ้างอิงให้ใช้เป็นตัวเลข ในส่วนของรายงานโครงงานที่มีการแสดงผลเป็นตารางและภาพ (รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิ กราฟ ฯลฯ) ในหัวข้อสารบัญต้องมีหัวข้อสารบัญตาราง และสารบัญภาพเป็นหัวข้อ ย่อย แม้จะมี จ านวนเพียง 1 ตาราง / ภาพ ก็ตาม ใบรอง ปก ปกนอก ปกใน บทคัดย่อ สารบัญ กิตติกรรม ประกาศ 27 10 01


2. ส่วนเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย ส่วนนี้ก าหนดให้ท าแบบเป็นบท จ านวน 5 บท ประกอบด้วย 2.1 บทที่ 1 บทน า 2.2 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.3 บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีด าเนินการ 2.4 บทที่ 4 ผลการด าเนินงาน 2.5 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ บทที่ 1 บทน า 1.1 ที่มา และความส าคัญของโครงงาน กล่าวถึงความเป็นมาและความส าคัญของปัญหาหรือสิ่งที่สนใจศึกษา หรือสิ่งที่ต้องการ ปรับปรุง โดยอธิบายในภาพกว้างก่อนจากนั้นจึงเชื่อมโยงเข้าสู่หัวข้อโครงงาน อธิบายถึงความเป็นมา เกี่ยวกับเรื่องปัญหาที่สนใจจะศึกษาว่ามีความเป็นมาอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุจูงใจที่ท าให้ผู้เรียนสนใจ เป็นพิเศษ และเหตุใดจึงได้เลือกท าโครงงานนี้ โครงงานนี้มีความส าคัญอย่างไร มีหลักการ หรือ ทฤษฏีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องที่คิดขึ้นใหม่ หรือเป็นที่ศึกษาต่อยอดจากโครงงานเดิมที่เคยท า มาแล้ว หรืออาจเป็นการท าซ้ าเพื่อตรวจสอบผลอีกครั้งก็ได้ 1.2 วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ เป็นการระบุถึงสิ่งที่ต้องการพัฒนาขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงงาน ทั้งในเชิงปริมาณ และคุณภาพ แต่ไม่ใช่น าเอาประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการท าโครงงานมาเขียนเป็นวัตถุประสงค์ การ เขียนวัตถุประสงค์อาจเขียนเป็นข้อๆ ได้โดยต้องสอดคล้องกับสิ่งที่จะศึกษาหรือทดลองมีการเขียนที่ ชัดเจน และกระชับ เช่น เพื่อศึกษา...............เพื่อพัฒนา..............เพื่ออออกแบบ..................... เพื่อ สร้าง............................... 1.3 สมมติฐาน (ถ้ามี) สมมติฐานคือ การคาดคะเนค าตอบของปัญหาหรือสิ่งที่เราสนใจศึกษาอย่างมีเหตุผล ตามหลักการ ทฤษฎี รวมทั้งผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ท ามาแล้ว การเขียนสมมติฐานควรชี้แนะ การออกแบบการทดลอง การส ารวจไว้ด้วย และการทดสอบประสิทธิภาพของสิ่งประดิษฐ์ 1.4 ตัวแปร (ถ้ามี) 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ (ถ้ามี) เป็นการให้ความหมาย หรือค าจ ากัดความของค าศัพท์ที่ผู้ท าโครงงานใช้ในการท า โครงงาน ซึ่งเป็นความหมายเฉพาะงานที่ท า เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันทั้งผู้ท าโครงงานและผู้อ่าน เช่น การเจริญเติบโตของต้นคะน้า หมายถึง ต้นคะน้ามีความสูง ความยาวรอบล าต้น และมีจ านวนใบ เพิ่มขึ้น 28 10 01


1.6 ขอบเขตของการด าเนินงาน เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือ นักเรียนต้องก าหนดขอบเขตการท าโครงงานซึ่งได้แก่ การก าหนดประชากรว่าเป็นสิ่งมีชีวิต หรือสิ่งไม่มีชีวิต ระบุชื่อ กลุ่ม ประเภท แหล่งที่อยู่/ผลิต และ ช่วงเวลาที่ท าการทดลอง เช่น เดือน ปี รวมทั้งก าหนดกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเหมาะสมเป็นตัวแทนของ ประชากรที่สนใจ ศึกษา และก าหนดตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็นตัวแปรต้น ตัวแปรใดที่ ศึกษาเป็นตัวแปรตาม และ ตัวแปรใดบ้างเป็นตัวแปรควบคุมเพื่อเป็นแนวทางการออกแบบการ ทดลอง ตลอดจนมีผลต่อการเขียนรายงาน การท าโครงงานฯ ที่ถูกต้อง สื่อความหมายให้ผู้ฟังและ ผู้อ่านเข้าใจตรงกัน บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยเนื้อหา หรือทฤษฎี จากเอกสาร โครงงานภาษาไทยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ โครงงานของนักเรียนซึ่งมีผู้ศึกษาทดลองมาก่อน และอ้างอิงแหล่งที่มา เพื่อความสะดวกในการเขียน รายงาน เมื่อส ารวจค้นคว้ารวบรวมผลงาน จากหนังสือ ต ารา วารสาร หนังสือพิมพ์ เอกสารเผยแพร่ หรือเว็บไซต์แล้ว นักเรียนควรรวบรวมรายชื่อเอกสารเหล่านั้นในรูปแบบที่จะน าไปเขียนในหัวข้อ เอกสารอ้างอิง บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีด าเนินการ การเขียนวิธีการด าเนินงาน จ าเป็นต้องเขียนเกี่ยวกับวิธีการด าเนินการศึกษาค้นคว้า รูปแบบ การ วิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล การ ประมวลผล และ การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้ยืนยันผลการศึกษา การวิเคราะห์ และการอภิปรายผล และมีรายละเอียดเพียงพอ ที่ผู้สนใจสามารถท าซ้ าได้ โดยมีหัวข้อย่อยดังนี้ 3.1 วัสดุ /อุปกรณ์ และเครื่องมือพิเศษ (ถ้ามี) 3.2 ขั้นตอนการด าเนินงาน ในส่วนของขั้นตอนการด าเนินงาน นักเรียนต้องเขียนรายงานเรียงล าดับตามวัตถุประสงค์ และสมมติฐานให้สอดคล้องและครบถ้วน ในการกล่าวถึงสิ่งเดียวกันต้องใช้ค าหรือข้อความเดียวกัน เสมอ นอกจากนี้ ควรกล่าวถึงการออกแบบการส ารวจ ประดิษฐ์ ทดลองที่มีการควบคุมตัวแปรอย่าง ถูกต้องเหมาะสม อธิบายวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลจากการส ารวจ ประดิษฐ์ ทดลอง และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลไว้อย่างชัดเจน บทที่ 4 ผลการด าเนินงาน เป็นการรายงานผลการศึกษา การส ารวจ ประดิษฐ์ ทดลอง ที่นักเรียนได้ค้นพบด้วยตนเอง รวมทั้ง รายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการรายงานผลการด าเนินงานนี้ต้องเขียนรายงานตามล าดับ หัวข้อให้ สอดคล้องกับจุดประสงค์และวิธีการด าเนินงาน ควรใช้ข้อความที่กะทัดรัดใช้ค าที่ตรงกับ 29 10 01


ความต้องการที่จะสื่อ ให้ผู้อ่านเข้าใจ อาจมีการจัดกระท าข้อมูลและน าเสนอในรูปของตาราง กราฟ ภาพประกอบให้เหมาะสม บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในบทนี้ ต้องเขียนหัวข้อเรียงล าดับ ดังนี้ 5.1 สรุปผล การเขียนสรุปผลที่ได้จากการท าโครงงาน ถ้ามีการตั้งสมมติฐานควรระบุว่าผลที่ ได้สนับสนุน หรือคัดค้านกับสมมติฐาน แล้วสรุปผล เรียงล าดับตามจุดประสงค์และผลการด าเนินงาน 5.2 การอภิปรายผล การอภิปรายผลการด าเนินงาน เป็นการอธิบายเหตุผลที่ท าให้ได้ผลการ พิสูจน์ ส ารวจ ประดิษฐ์ ทดลอง อาจค้นพบองค์ความรู้ใหม่ การอภิปรายผลการด าเนินงานจัดเป็น ส่วนที่แสดงถึงความรู้และความเอาใจใส่ในเรื่องที่ศึกษาค้นคว้า นักเรียนควรสืบค้นความรู้ต่างๆ มา อ้างอิง เพื่อสนับสนุนผลการด าเนินงานว่ามีคุณค่า และเชื่อถือได้ ควรอภิปรายผลการด าเนินงาน เรียงล าดับตามประเด็นที่รายงานผลการด าเนินงานไปแล้วในบทที่ 4 5.3 ข้อเสนอแนะ ในส่วนของข้อเสนอแนะนั้น ให้เสนอข้อควรปรับปรุงแก้ไข ปัญหา และ อุปสรรค เพื่อพัฒนา ต่อยอดองค์ความรู้ได้ หากมีผู้ต้องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปใน อนาคต และเนื้อหาทั้งหมดนี้จะต้อง เป็นเนื้อหาสาระที่ได้จากการท าโครงงาน รวมถึงประโยชน์ที่ได้ จากการท าโครงงาน บทที่ 1 บทที่ 2 บทที่ 3 บทที่ 4 บทที่ 5 30 10 01


3. ส่วนอ้างอิง ประกอบด้วย รายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม รายการอ้างอิง เป็นรายการแสดงรายชื่อหนังสือ สิ่งพิมพ์อื่นๆ โสตทัศนวัสดุ การสัมภาษณ์ ฯลฯ ที่น ามาใช้ประกอบการท าโครงงาน การลงรายการอ้างอิง ให้พิมพ์เฉพาะเอกสารทุกรายการที่มี การอ้างถึงใน เนื้อหาของโครงงานในบทที่ 1 บทน า หรือบทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรือ บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ เท่านั้น โดยให้ใช้ค าว่า เอกสารอ้างอิง (references) ภาคผนวก ภาคผนวกเป็นส่วนท้ายของรายงานเชิงวิชาการ ไม่ใช่ส่วนที่เป็นเนื้อหาอย่างแท้จริง เป็นเพียง ส่วนประกอบที่จะสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยของผู้ท าโครงงานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ในกรณีของการเขียนรายงานโครงงานของนักเรียน ข้อมูลส่วนที่น ามาลงไว้ในภาคผนวก เช่น - ข้อมูลการส ารวจ ประดิษฐ์ ทดลองที่ยังไม่จัดกระท า - ตาราง รูปภาพ กราฟ และแผนภาพที่ละเอียดมากๆ ซึ่งถ้าใส่ไว้ในส่วนเนื้อเรื่องจะท าให้เนื้อ เรื่องยาวไม่กระชับ - ข้อมูลของผลการทดลองเบื้องต้น - ข้อความซึ่งเป็นรายละเอียดของเทคนิควิธีต่างๆ ที่ต้องการให้ผู้สนใจได้ศึกษา - ฯลฯ บรรณานุกรม ภาคผนวก 31 10 01


ขั้นตอนที่ 5 การน าเสนอโครงงาน 8 เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณน าเสนองานได้อย่างมืออาชีพ 1. เตรียมตัวให้เต็มที่ ขั้นตอนแรกที่คุณควรให้ความส าคัญเลยก็ คือ สถานะของผู้ฟัง คุณควรท าการบ้านมาให้ดีว่า ผู้ฟังเป็นใคร เพราะการน าเสนออาจมีหลายรูปแบบ เช่น การน าเสนอให้เจ้านายฟังอาจจะแตกต่างไป จากการน าเสนอให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆฟัง และอีกสิ่งหนึ่งคือ อะไรคือสิ่งที่คนฟังคาดหวังที่จะได้จาก การน าเสนอของเรา? 2. ดึงดูดความสนใจผู้ฟังด้วยค าเกริ่นใหม่ ๆ ในฐานะผู้ฟัง คุณอาจจะรู้สึกเบื่อทุกครั้งที่คนน าเสนอมักจะเกริ่นด้วยประโยคซ้ า ๆ และน่าเบื่อ อย่างเช่น วันนี้เราจะมาเริ่มกันที่….เทคนิคดีๆ ที่เราน ามาแนะน าก็คือ คุณอาจจะดึงดูดความสนใจ ของผู้ฟังด้วยการเริ่มการน าเสนอด้วยวลีเด็ด ๆ โดน ๆ แล้วค่อยแนะน าตัว หรือกล่าวหัวข้อที่จะพูดถึง บางทีอาจจะใช้วลีเด็ดๆเหล่านั้นไปพูดในตอนท้ายก็ได้ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะจดจ าเนื้อหาตอนต้น และตอนท้ายได้ดีเป็นพิเศษ 3. จัดพื้นที่ระหว่างคุณและคนฟังให้ดี มันก็เป็นเรื่องที่ดี หากมีคนอยากฟังคุณน าเสนอผลงาน แต่ในสถานการณ์ที่คนเยอะๆในห้อง ประชุม ไม่ว่าจะเป็นบริเวณที่คุณยืนพูด หรือ บริเวณที่ผู้ฟังนั่งอยู่ อาจจะเป็นอุปสรรคในการน าเสนอ ได้ ฉะนั้น จัดพื้นที่ให้ทุกคนสามารถมองเห็นคุณและฟังคุณพูดได้ชัดเจนจะดีกว่า สิ่งส าคัญเลย คือ คุณ ควรจะไปถึงห้องประชุมก่อนเวลาจริง เพื่อจะได้มีเวลาจัดพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมตามที่คุณต้องการ 4. หลีกเลี่ยงการน าเสนอแบบใช้ PowerPoint หลาย ๆ คนคงเคยชินกับการใช้โปรแกรม PowerPoint น าเสนองานในวัยเรียน และเข้าใจมา ตลอดว่ามันจะช่วยให้ผู้ฟังเห็นภาพข้อมูลได้ชัดเจนที่สุด แต่ขอบอกเลยว่า คุณก าลังท าผิดพลาดครั้ง ใหญ่ เพราะปัญหาที่เกิดจากการใช้ PowerPoint คือ ท าให้คนฟังสนใจแต่หน้าจอ ไม่ได้สนใจสิ่งที่คุณ ก าลังพูด อีกทั้งการหรี่ไฟภายในห้องเพื่อให้หน้าจอ PowerPoint สว่างนั้น ยังท าให้คนฟังรู้สึกง่วงและ เผลอหลับไปในที่สุด อีกปัญหาใหญ่ที่พบเจออยู่บ่อยๆก็คือ การที่มีหน้าสไลด์เยอะเกินไป และบางทีก็ เยอะเกินจนท าให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อ และไม่สนใจหน้าจอไปเลยก็เป็นได้ หากคุณอยากจะใช้ PowerPoint ในการน าเสนอ เราขอแนะน าว่า คุณควรใส่พวก Keyword หรือ ค าส าคัญเด่นๆ หรือหัวข้อหลักๆลง ไป เพื่อให้คุณไม่ลืมข้อมูลที่จะพูด แถมยังท าให้คนฟังมองเห็นภาพรวมของการน าเสนออีกด้วย 32 10 01


5. ไม่ท่องสคริปท์มาน าเสนอ ถ้าคุณอยากจะน าเสนอให้ได้อย่างมืออาชีพ สิ่งนี้คือหัวใจหลัก คุณควรจะเตรียมตัวพูดให้เป็น ธรรมชาติ ไม่ควรเกร็งจนเกินไป หรือพูดมาในลักษณะการท่อง เพื่อที่จะท าให้คนฟังรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การ น าเสนองาน แต่เป็นการพูดคุยกันมากกว่า และพวกเขาจะได้รู้สึกผ่อนคลายและกล้าถามค าถามที่ สงสัย 6. ไม่พูดนอกเรื่อง สิ่งจ าเป็นในการน าเสนอ คือ พูดเนื้อหาที่เกี่ยวกับประเด็นหลักให้มากที่สุด ไม่ควรพูดจาวกวน หรือพูดนอกเรื่องจนเกินไป 7. หาครูฝึกเก่ง ๆ คนที่น าเสนอผลงานเก่งๆเคยบอกว่า เพราะพวกเขามีครูฝึกที่ดีมาก่อน เลยท าให้เขาประสบ ความส าเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ดังนั้นการหาคนที่เป็นมืออาชีพมาช่วยชี้แนะและสอนเรานั้นคือสิ่งจ าเป็น เช่นกัน เรามั่นใจว่า ถ้าหากคุณได้ลองท าตามวิธีเหล่านี้ ไม่นานคุณจะสามารถน าเสนอผลงานได้อย่าง มืออาชีพแน่นอน 8. สังเกตและประเมินผลตัวเอง ข้อสุดท้ายเลยก็คือ การยอมรับฟังค าแนะน า เพราะการรับฟังค าติชมจากคนอื่น ๆ ไม่ใช่เรื่อง ที่ผิด แต่คุณควรรับฟังแล้วน ามาปรับปรุงแก้ไขทักษะของตัวเอง เพื่อจะได้พัฒนาศักยภาพของตัวเอง ไปให้ถึงขีดสุดและกลายเป็นมืออาชีพในอนาคต เอกสารอ้างอิง 8 เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณน าเสนองานได้อย่างมืออาชีพ. (ม.ป.ป.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://sumrej. com/8-tips-presentation-5-2016/ (วันที่ค้นข้อมูล : 12 เมษายน 2563) ศึกษาเรื่องราว ให้ลึกซึ ้ง น าเสนออย่าง มั่นใจ ตอบค าถาม อย่างเชี่ยวชาญ 33 10 01


โครงงานภาษาไทย เรื่อง ไสยศาสตร์ในวรรณคดีไทยเรื่อง ขุนช้างชุนแผน โดย นางสาวภัทรา แก้วเพ็ง เลขที่ 20 นางสาววชิรญาณ์ หลาวเพ็ชร์ เลขที่ 21 นางสาวณฤตา มานพ เลขที่ 39 นางสาววิชชุตา ชวดชม เลขที่ 40 นางสาวนิรัชพร สุมะโน เลขที่ 26 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/11 เสนอ อาจารย์ณัฏฐณิชา แทบทาม รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของราววิชาโครงงานภาษาไทย รหัส ท 30201 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนสิงห์บุรี ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง ตัวอย่างโครงงานภาษาไทย 34 10 01


ชื่อโครงงาน ไสยศาสตร์ ผู้จัดท า ๑. นางสาวภัทรา แก้วเพ็ง ๒. นางสาววชิรญาณ์ หลาวเพ็ชร์ ๓. นางสาวนิรัชพร สุมะโน ๔. นางสาวณฤตา มานพ ๕. นางสาววิชชุตา ชวดชม อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ณัฎฐณิชา แทบทาม ปีการศึกษา ๒๕๖๒ บทคัดย่อ โครงงานภาษาไทย เรื่อง ไสยศาสตร์ในวรรณคดีไทยเรื่อง ขุนช้างชุนแผน จัดท าขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ที่มาจากเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งวรรณคดีเปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนสภาพสังคมในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น เพื่อเป็นการอนุรักษ์วรรณคดีและเผยแพร่ความเชื่อในเรื่องราวของไสยศาสตร์คณะผู้จัดท า จึงรวบรวมโดยการเรียบเรียงเนื้อหาและอ้างอิงข้อมูลที่ได้จากการศึกษาจากเว็บต่าง ๆ โดยน าข้อมูลมาสรุปเพื่อ น าเสนอให้แก่ผู้ที่สนใจ 35 34 10 01


กิตติกรรมประกาศ โครงงานภาษาไทย เรื่อง ไสยศาสตร์ในวรรณคดีไทยเรื่อง ขุนช้างชุนแผน มีการด าเนินการหลายขั้นตอน ส าเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจาก คุณสมาวรรธม์ อุ่ยเจริญ ที่เป็นผู้เสนอแนะและ ให้ช้อมูลเพิ่มเติม ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณบิดา มารดา และครูประจ าวิชาตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่ไม่ได้กล่าวนามไว้ ณ ที่นี้ ที่ ได้ให้ก าลังใจและมีส่วนช่วยเหลือให้โครงงานฉบับนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ท้ายที่สุดคณะผู้จัดท าโครงงานหวังว่าโครงงาน ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย คณะผู้จัดท า ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ 36 34 10 01


บทที่ ๑ บทน า 1. ที่มาและความส าคัญของโครงงาน ไสยศาสตร์ หมายถึง วิชาทางไสย อันเป็นลัทธิเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาที่เชื่อว่ามาจากศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะจากคัมภีร์อถรรพเวท การสมาธิ การลงเลขยันต์ ที่มีพิธีเพื่อให้เกิดสิริมงคลป้องกันอันตรายต่อตนเอง หรือท าอันตรายต่อผู้อื่น การพิจารณาเรื่อง “ความเชื่อและไสยศาสตร์” ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผน” จึงช่วย ให้เรามองเห็นความเชื่อและวิธีแก้ปัญหาของคนไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส าหรับความเชื่อที่ปรากฏมากที่สุดในเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้แก่ ความเชื่อเรื่องความฝัน ซึ่ง “ความฝัน” ที่ปรากฏในเรื่อง มักจะเป็นความฝันเพื่อบอกเหตุที่ก าลังจะเกิดขึ้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ ได้แก่ 1. ฝันดี เช่น นางทองประศรีฝันว่าได้แก้ว ต่อมาก็ตั้งครรภ์ พอคลอดลูกออกมาเป็นชาย ก็ตั้งชื่อว่า พลาย แก้ว หรือขุนแผน พระเอกของเรื่อง 2. ฝันร้าย เช่น นางวันทองฝันว่ามีคนมาท าร้ายพลายงาม ซึ่งสอดคล้องกับ เหตุการณ์ที่ขุนช้างลวงพลาย งาม ลูกชายของวันทองที่เกิดจากขุนแผนไปฆ่าในป่า เนื่องจากรู้สึกอับอาย ที่ผู้คนต่างพากันล้อเลียน ความเชื่ออีกประเภทหนึ่งที่ปรากฏ ได้แก่ “ความเชื่อเรื่องลางสังหรณ์” ส่วนใหญ่ “ลางสังหรณ์” ที่ ปรากฏในเรื่องจะเป็นลางร้าย มากกว่า ลางดี เช่น นางวันทองเห็นแมงมุมก าลังทุ่มอกตัวเอง เมื่อคราวที่ พลายงาม ก าลังจะถูกขุนช้างฆ่าอยู่กลางป่า หรือตอนที่ขุนแผนก าลังจะเอาดาบฟันขุนช้างขณะที่ขุนช้างนอนหลับอยู่ ก็มีจิ้งจก ร้องทักขึ้น ขุนแผนจึงได้สติ มิได้ฆ่าขุนช้าง เป็นต้น ส าหรับไสยศาสตร์ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม เช่นเดียวกับความเชื่อ ในเรื่องความฝัน ได้แก่ 1. ไสยขาว เป็นไสยศาสตร์ที่มิได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เน้นอิทธิวิธีต่าง ๆ เช่น การดูเมฆเพื่อหา ฤกษ์ยาม หรือวิธีที่เรียกว่า สูรย์จันทร์ และสุริยกลา โดยสังเกตจากลมหายใจเข้าออก เป็นต้น ซึ่งไสยขาวนี้เชื่อว่า หากปฏิบัติตามแล้วจะเกิดสิ่งมงคลแก่ตัว 2. ไสยด า จัดเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นไสยศาสตร์ที่มุ่งท าร้ายผู้อื่น ส าหรับ ไสยศาสตร์ประเภทนี้ที่ปรากฏใน เรื่อง ได้แก่ การท าเสน่ห์ โดยเฉพาะ “การฝังรูปฝังรอย” เช่น ตอนที่เถนขวาดท าเสน่ห์ให้พลายงามมารักนางสร้อย ฟ้า ภรรยาน้อย เป็นต้น จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าความเชื่อ และไสยศาสตร์ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผนมีทั้งด้านที่ให้ คุณและให้โทษ ซึ่งนับว่ามีความสมจริงและสอดคล้องกับสังคมมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะในสังคมของมนุษย์นั้นสิ่ง ต่าง ๆ ก็มีทั้ง “คุณ” และ “ โทษ” อยู่ในตัวเสมอ ความเชื่อและไสยศาสตร์ในขุนช้างขุนแผน ช่วยสะท้อนให้เห็น ว่า สภาพสังคมวัฒนธรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น การคิดหรือค าอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแบบ วิทยาศาสตร์ตามหลักของเหตุและผลยังไม่เป็นที่แพร่หลายดังเช่นปัจจุบัน จึงน าความเชื่อและไสยศาสตร์มาเป็น เหตุผลอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้คนในสมัยนั้นรู้สึกมั่นใจในการด าเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ความเชื่อและไสยศาสตร์ได้ท าหน้าที่เสมือนเป็นคู่มือในการด ารงชีวิต และอุปกรณ์เสริมความมั่นใจให้กับคนไทยใน สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๒. วัตถุประสงค์ในการศึกษา ๑. เพื่อศึกษาไสยศาสตร์ในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน และรับรู้วิธีป้องกันไสยศาสตร์ ๒. เพื่อรวบรวมน าเสนอหน้าชั้นเรียน 37 10 01


๓. ขอบเขตของการศึกษา เนื้อหา ศึกษาและรวบรวมข้อมูลไสยศาสตร์จากทางอินเทอร์เน็ตและหนังสือในห้องสมุด แหล่งศึกษา อินเทอร์เน็ตและหนังสือ ระยะเวลา ใช้เวลาในการศึกษาระหว่างวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ – ๒๐ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นเวลา ๓ สัปดาห์ ๔. สมมุติฐานในการศึกษา - ๕. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๑. ได้รู้เรื่องไสยศาสตร์ในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน และวิธีป้องกันไสยศาสตร์ ๒. ได้เผยแพร่ความรู้น าเสนอหน้าชั้นเรียน 38 34 10 01


บทที่ ๒ เอกสารที่เกี่ยวข้อง วิชาทางไสยศาสตร์อันน่าสะพรึงกลัวไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และเลขยันต์ ประกอบ กับการใช้อ านาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสกศาสตร์มืด หรือการท า "คุณ ไสย" ในพจนานุกรมไทยให้ค าจ ากัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อท าร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทาง วิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลกในแต่ละชุมชนจะมีรูปแบบ ของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการท าให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฎ ของธรรมชาติ เช่น ท าให้สามีภรรยาที่ดีกันทะเลาะและแยกทางกัน ท าให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้ว จะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการท า "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อท าร้าย ผู้ไม่เป็นมิตรด้วยการ ปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการท าเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ท ามาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่า พวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม “คุณไสย” หรือ “มนต์ด า” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย ไสยศาสตร์ถือเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับมีมาตั้งแต่ดึกด าบรรพ์ และมี ทั่วโลกแม้กระทั่งในเวลาปัจจุบัน แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การท าอันตรายต่อผู้คน ด้วยวิธีที่ลี้ลับ ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอ านาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ท าการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ด าเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ได้ด้วย กระแสคลื่นแห่งพลังอ านาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่ง อ านาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้ ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ในทาง พระพุทธศาสนาได้เรียกไสยศาสตร์ว่า เดรัจฉานวิชา ซึ่งเป็นค ากล่าวดูถูกของพระพุทธเจ้า เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น จากความทุกข์ และยังเป็นที่ขวางกั้นทางไปสู่นิพพาน แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะท าให้มีความสุขได้แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์อยู่ดี และอีกอย่างยังน ามาซึ่งความหายนะ มีความอันตรายถึงแก่ชีวิตต่อผู้อื่นและตนเองได้ ต่อไปนี้คือ ๕ อันดับสุดยอดไสยศาสตร์อันน่าสะพรึงกลัว ๑. ของเขมร เป็นที่เลื่องลือและขึ้นชื่อมากที่สุด ในความน่ากลัวของคุณไสย ใครที่เคยดูหนังเรื่องลองของ หรือหนังที่ เกี่ยวกับคนเล่นของ อาจมีบางฉากที่เราคุ้นกันดีอย่างการเสกหนังควายเข้าท้อง เสกต่อแตน เสกควายธนู เสกเส้น ผมและใบมีด สารพัดสิ่งที่จะเสก คนเล่นของเขมรนั้นมักจะเอาให้ถึงตาย หรือไม่ก็ท าให้พิการ ใครที่โดนของเขมร จะโชคร้ายหน่อย เพราะใช้เวลาและการรักษาที่ยากพอสมควร สิ่งที่คนเล่นของเขมรสามารถน าไปท าของได้ก็คือ สิ่งของตามร่างกายเราอย่างเส้น ผม เล็บมือ เสื้อผ้า ภาพถ่าย วันเดือนปีเกิด และอีกหลายอย่าง ที่สามารถเอาไป ท าคุณไสยได้ง่ายๆ ของเขมรที่ได้ยินบ่อย ๆ คือ พราย น้ ามันพราย กุมารทอง ผี วัวควายธนู ๒. ไสยศาสตร์จากแดนเหนือ รู้สึกไม่ค่อยคุ้นหู แต่ความน่ากลัวจัดอยู่ในอันดับที่2ทีเดียว เป็นไสยศาสตร์ที่มาจาชาวเขา ทางภาคเหนือ ของขลังที่ถูกท าขึ้นจากฝีมือหมอผีของชนเผ่าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวกะเหรี่ยง แม้ว อาข่า เย้า หากพูดถึงวิชาที่ขึ้น ชื่อ ทุกคนต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน มันคือ “ยาสั่ง” ที่ถูกแบบผสมมากับอาหารหรือน้ าดื่ม หากใครกินเข้าไปแล้ว ก็บอกลาโลกได้เลย เล่นถึงตายเลยทีเดียว แม้แต่พระ หรือคนที่เล่นของที่มีวิชาไม่แก่กล้าพอ ก็ต้องจบชีวิตไป เช่นกัน 39 34 10 01


๓. ไสยเวทย์ฝั่งตะวันตก เป็นศาสตร์จากฝั่งตะวันตกและเอเชีย ตะวันตก ไสยศาสตร์จากกลุ่มนี้จะมีความเชื่อมโยงกันระหว่าง ศาสนาและวิทยาศาสตร์ ไม่ดูเป็นความเชื่อแบบสุดโต่งไปทีเดียว เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติ ก็มักจะน าเอา วิทยาศาสตร์มาหาทางอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไสยศาสตร์จาก ตะวันตกจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ค าสาป” เป็นค า สาปที่เจ็บปวดเหมือนโดนของแหลมคมทิ่ม จะคุ้นหูคุ้นตายหน่อยถ้าเอ่ยถึงตุ๊กตาวูดู ที่ใช้ประกอบพิธีกรรม เอาเข็ม มาจิ้มตามร่างกายของตุ๊กตา คนที่ตกเป็นเหยื่อก็จะรู้สึกเจ็บจี้ดแบบโดนของแหลมทิ่ม อาจฟังดูไม่ค่อยน่ากลัว แต่ก็ มีระดับความรุนแรงเหมือนกันนะ ๔. มุสลิม-อิสลาม แม้ตามหลักศาสนาของอิสลามจะมีข้อห้ามใน การแตะเรื่องไสยศาสตร์ แต่ก็ยังมีบางกลุ่มพวก ที่ไม่เชื่อฟัง ค าสอนอยู่ดี การท าคุณไสยของอิสลามจะเรียกว่า “ญิน” อาการของผู้ที่ถูกญินสิงร่างจะถูกข่มขวัญและจิตใจ เป็น การข่มขี่ทางจิตวิทยา มองเห็นญิน ภาพหลอน หรือสัตว์ประหลาด ได้ยินเสียง สร้างความปั่นป่วนภายในจิตใจโดยการน าจุดอ่อนหรือข้อเสียของผู้ที่ถูกญินสิง มาพูดกรอกหู ยุแหย่ และ น าพาไปสู่การกระท าที่ศาสนาห้าม ๕. สยามประเทศ อันดับสุดท้ายคือประเทศไทย คุณไสยของไทยนั้นเป็นวิชาที่อ่อนที่สุดจาก 4 อันดับที่กล่าวมา ที่บอกว่า อ่อนที่สุดเพราะจริง ๆ แล้ว วิชาอาคมของไทยจะเน้นในเรื่องของการป้องกันตัว และการรักษามากกว่าการเล่น ของท าร้ายคนอื่น อีกทั้งยังไปหยิบยืมวิชาจากประเทศอื่นมาใช้มากกว่า สมัยก่อนนั้นเล่นคุณไสยหรือวิชาอาคมไว้ เพื่อการสู้รบ การสักยันต์ป้องกันมีด ดาบ ปืน ยิงไม่เข้าฟันไม่เข้า แต่หากเทียบกับของเขมรแล้วก็ยากที่จะต่อกร เพราะอ่อนวิชากว่าเขาเยอะ จึงต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม กลอุบาย ในการสู้รบมากกว่า เหนื่อยหน่อยแต่ชัวร์ขึ้น ใน สมัยก่อนนั้นพระสงฆ์เองก็พอมีวิชาอาคมจากฝั่งเขมรอยู่บ้าง มีการน ามาปรับใช้กลายเป็นรอยยันต์ที่สักตาม ร่างกาย เห็นได้ตามเรือนร่าง ของคนสมัยก่อนนั่นล่ะ พุทธคุณจะเน้นส่งเสริมการป้องกันจากคุณไสยอื่น ๆ ทั้งปวง ไสยศาตร์ในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน “ไสยศาสตร์” เป็นศาสตร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดศาสตร์หนึ่งส าหรับคนไทย มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ กฎหมายไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม ประมาณ พ.ศ.๒๑๖๘ ให้จัดตั้งกระทรวงแพทยาคม เพื่อช าระคดีผู้กระท าผิดเกี่ยวกับคุณไสย เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปด้วยวิทยาคม กฎหมายบัญญัติลงโทษผู้กระท าผิดใน การใช้คุณไสยและวิทยาคมท าร้ายผู้อื่นทางอาญา และในหนังสือวรรณกรรมต่าง ๆ มีการกล่าวถึงเรื่องทางไสย ศาสตร์อยู่มาก ส าหรับไสยศาสตร์ นั้น สามารถแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่ม ดังนี้ ๑.ไสยขาว : เป็นไสยศาสตร์ที่มิได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เน้นอิทธิวิธีต่าง ๆ เช่น การดูเมฆ เพื่อหาฤกษ์ยาม หรือวิธีที่เรียกว่า สูรย์จันทร์ และสุริยกลา โดยสังเกตจากลมหายใจเข้าออก เป็นต้น ซึ่งไสยขาวนี้ เชื่อว่าหากปฏิบัติตามแล้วจะเกิดสิ่งมงคลแก่ตัว ๒.ไสยด า : จัดเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นไสยศาสตร์ที่มุ่งท าร้ายผู้อื่น ส าหรับ ไสยศาสตร์ประเภทนี้ที่ ปรากฏในเรื่อง ได้แก่ การท าเสน่ห์ โดยเฉพาะ “การฝังรูปฝังรอย” เช่น ตอนที่เถรขวาดท าเสน่ห์ให้พลายงามมารัก นางสร้อยฟ้า ภรรยาน้อย เป็นต้น ส าหรับ“ไสยเวทย์” ที่ปรากฏในขุนช้าง-ขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา เริ่ม ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบตอนซึ่งสามารถแบ่งประเภทของไสยศาสตร์ที่ปรากฏในตอนนี้อย่างคร่าวได้ ๓ ประเภท ได้แก่ ๒.๑ เวทย์มนตร์คาถา : อธิบายถึงคาถาต่าง ๆ เช่น คาถามหาละลวย คาถาสะกดให้หลับ คาถาเสน่ห์ ยาแฝด ในตอน ขุนช้างถวายฎีกาปรากฏการใช้เวทย์มนตร์คาถา ดังนี้ 40 34 10 01


๒.๑.๑ คาถาใช้สะกด : ซึ่งเป็นการกระท าที่ส่งผลต่อผู้อื่นและจะต้องเตรียมพิธีกรรม เนื่องจากเป็น การลักลอบกระท าและเป็นการเผชิญภัย เช่น ตอน พระไวยขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อพานางวันทองมาอยู่ด้วยนั้นก่อนที่ พระไวยจะไปยังเรือนขุนช้าง พระไวยได้ท าพิธีเซ่นเหล้าเพื่อเลี้ยงผีพรายให้อิ่มหน าส าราญเพื่อที่จะได้พร้อมท างาน ดังนี้ “จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว ลงยันต์ราชะเอาปะอก หยิบยกมงคลขึ้นหัว เป่า มนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา จับดาบเคยปราบณรงค์รบ เสร็จครบบริกรรมพระคาถา ลงจาก เรือนไปมิได้ช้า รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน ฯ หรือจะเป็นในตอนที่นางวันทองฝันร้าย ขุนแผนจึงต้องช่วยแก้ฝัน และ ใช้คาถาเพื่อช่วยแก้ฝันก่อนจะเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษา ดังนี้ “ ครานั้นวันทองเจ้าพลายงาม ได้ฟังความคร้ามครั่น หวั่นไหว ขุนแผนเรียกวันทองเข้าห้องใน ไม่ไว้ใจจึงเสกด้วยเวทมนตร์ สีขี้ผึ้งสีปากกินหมากเวท ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ ขัดสน น้ ามันพรายน้ ามันจันทน์สรรเสกปน เคยคุ้มขลังบังตนแต่ไรมา แล้วท าผงอิทธิเจเข้าเจิมพักตร์ คนเห็นคนทัก รักทุกหน้า เสกกระแจะจวงจันทน์น้ ามันทา เสร็จแล้วก็พาวันทองไป” ๒.๑.๒ คาถาขับไล่ผี (ล้างอาถรรพณ์) : เมื่อไปถึงเรือนขุนช้าง พระไวยจึงใช้คาถาล้างอาถรรพณ์ที่บ้าน ของขุนช้าง เพราะบ้านคนไทยในสมัยก่อนประตูบ้านจะมีเทวดาและภูตผีพรายคอยปกปักรักษา และยังมี อาถรรพณ์คุ้มครองป้องกันอีก เมื่อพระไวยจะเข้าบ้านขุนช้างจึงต้องร่ายมนตร์ถอนอาถรรพณ์เสียก่อน หาก อาถรรพณ์ของขุนช้างไม่เสื่อม เครื่องรางของขลังและเวทย์มนตร์ของพระไวยก็จะเสื่อมคลายความศักดิ์สิทธิ์เมื่อ ผ่านประตูบ้านของขุนช้างเข้าไป ดังนั้นเมื่อพระไวยมาถึงหน้าบ้านของขุนช้างจึงต้องใช้คาภาล้างอาถรรพณ์ ดังนี้ “จึงร่ายมนตรามหาสะกด เสื่อมหมดอาถรรพ์ที่ฝังอยู่ ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ ทั้ง ชายหญิงง่วงงมล้มลงหลับ นอนทับคว่ าหงายก่ายกันเปรอะ จี่ปลาคาไฟมันไหลเลอะ โงกเงอะงุยงมไม่สมประดี” ๒.๑.๓ คาถาสะเดาะกลอน : การสะเดาะกลอน หรือสะเดาะโซ่ตรวนให้หลุดจากตัวเพื่อให้พ้นจาก พันธนาการก็นับว่าเป็นการกระท าทางไสยศาสตร์เช่นเดียวกัน ในตอน ขุนช้างถวายฎีกานั้นพบในช่วงหลังจากที่ พระไวยใช้คาถาล้างอาถรรพณ์ที่บ้านของขุนช้าง ต่อจากนั้นก็ใช้พรายสะเดาะกลอน ดังนี้ “ใช้พรายถอดกลอนถอนลิ่ม รอยทิ่มถอดหลุดไปจากที่ ย่างเท้าก้าวไปในทันที มิได้มีใครทักแต่สักคน” .......................................................... .......................................... จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ภูตพรายกระโดดเรือนสะเทือนผาง สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้” ๒. ภูติผีปีศาจ : ตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นและถูกสะกดด้วยเวทย์มนตร์ เช่น ผี พราย กุมารทอง ในตอน ขุน ช้างถวายฎีกาปรากฏภูตผีปีศาจที่โดดเด่นและมีหน้าที่ส าคัญในการเป็นผู้ช่วยของพระไวยคือ ผีพราย ดังตัวบท จึงร่ายมนตรามหาสะกด เสื่อมหมดอาถรรพ์ที่ฝังอยู่ ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ .......................................................... .......................................... ใช้พรายถอดกลอนถอนลิ่ม รอยทิ่มถอดหลุดไปจากที่ ย่างเท้าก้าวไปในทันที มิได้มีใครทักแต่สักคน” ๓. เครื่องรางของขลัง : สิ่งที่ตัวละครใช้พกติดตัวเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจว่าเมื่อท างาน จะส าเร็จ และแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง เช่น ผ้าซิ่น หรือ ตะกรุด ก็เช่นเดียวกัน เรามักพบหลักฐานเกี่ยวกับการ "ใช้" ตะกรุดและเครื่องราง เช่นเดียวกันกับในตอนขุนช้างถวายฎีกา จากข้อมูลในข้างต้นจึงสรุปได้ว่า ไสยศาสตร์ก็เป็น ศาสตร์หนึ่งที่มีความเชื่อเป็นฐานสามารถเป็นที่พึ่งของคนได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นความเกินเลยของ 41 34 10 01


จินตนาการมนุษย์ แต่ก็มีเค้ามูลที่มาจากความเป็นจริง ประเพณี และวิถีปฏิบัติของผู้คนในสมัยนั้น จึงไม่ใช่เรื่อง แปลกที่ตลอดระยะเวลา 200 กว่าปีที่ผ่านมานี้ ขุนช้างขุนแผนจะสามารถหยัดยืนอยู่บนแถวหน้าของวงการ วรรณคดีได้อย่างเป็นอมตะ และถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง 42 34 10 01


บทที่ ๓ วิธีด าเนินการศึกษา ๑. เครื่องมือที่ใช้ - อินเตอร์เน็ต - กระดาษ - โทรศัพท์มือถือ - คอมพิวเตอร์ ๒. แหล่งศึกษาค้นคว้า - หนังสือในห้องสมุด - เว็บไซต์ ๓. วิธีการศึกษา ขั้นที่ ๑ ขั้นศึกษา - เสนอโครงสร้างของโครงงานต่อครูและขอค าปรึกษา - ประชุมสมาชิกในกลุ่มแบ่งเขตการศึกษาค้นคว้า - ศึกษาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและหนังสือต ารา - รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ - จัดท าชิ้นงานและรูปเล่ม น าเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อแก้ไขปรับปรุงส่วนที่บกพร่อง ขั้นที่ ๒ ขั้นน าเสนอผลงาน - แนะน าและชี้แจ้งการจัดท าโครงงาน หน้าชั้นเรียน - เสนอผลงาน - แนะน านักเรียนศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม - จัดท าเอกสารเผยแพร่ผลงาน - จัดการน าเสนอหน้าชั้นเรียน 43 34 10 01


บทที่ ๔ ผลการศึกษา ไสยศาสตร์ในสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ภูตผีปิศาจ การแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ การแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในที่นี้ก็คือการแสดงฤทธิ์เดชต่างๆแต่มักแสดงเพื่อให้สิ่งนั้นไปท าร้ายผู้อื่นเหมือน ในการรบกัน หรือเพื่อแก้ไขหักล้างสิ่งที่ผู้อื่นแสดงมา เช่น การล่องหนหายตัว ให้ผู้อื่นเห็นว่าตนมีความรู้ ความสามารถ เรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงภูตผีปิศาจมาก ทั้งการปลุกเสกเรียกผีขึ้นมาเป็นบริวาร ให้ท างาน หรือ น ามาเป็นเครื่องรางคุ้มตัว ขุนแผนเรียนวิชานี้ตั้งแต่ยังเป็นเณร ขุนช้างเองไม่ได้สนใจไสยศาสตร์นักก็ยังเลี้ยงนาง พรายไว้เฝ้าบ้าน ผีที่ยอมอยู่ในอ านาจแล้ว มันก็จะติดตามเจ้านายไปทุกหนทุกแห่ง เป็นพาหนะ เป็นผู้คุ้มครอง ระแวดระวังอันตรายและคอยหลอกหลอนศัตรูที่เข้ามาใกล้ ตัวละครที่เป็นภูตผีปิศาจที่มีบทบาทเด่นในเรื่องขุนช้างขุนแผนได้แก่โหงพราย และกุมารทองซึ่งต่างก็มี หน้าที่ติดตามคุ้มครองขุนแผนทั้งคู่ การแสดงปาฏิหาริย์ในการต่อสู้กันระหว่างพลายชุมพลกับเถรขวาด พลายงามกับขุนแผนแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ตอนอาสาไปรบเชียงใหม่ การปลุกเสกตัวเองคือการแปลง ตัวจากรูปกายอย่างหนึ่งไปสู่รูปกายอีกอย่างหนึ่งเพื่อท าให้เกิดความมีอ านาจ พลัง หรือข่มขวัญศัตรูก็ได้ เถรขวาดแค้นพลายชุมพลตั้งแต่เมื่อครั้งที่ต่อสู้กันในคดีที่สร้อยฟ้าท าเสน่ห์พระไวย จึงแปลงเป็นจระเข้ ไป อาละวาดถึงกรุงศรีอยุธยา ไล่ท าร้ายผู้คนจนเดือดร้อนไปทั่ว พลายชุมพลจึงอาสาไปปราบจระเข้ แล้วทั้งสองฝ่ายก็ สู้กัน ด้วยการแปลงกายเป็นสัตว์ต่างๆ สุดท้ายเถรขวาดก็พ่ายแพ้สาเหตุที่ต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ก็คือพลาย งามอาสาไปท าศึก และต้องการทูลขอโทษให้ขุนแผนออกจากคุกด้วยจึงได้ขอร้องจมื่นศรีให้พาเข้าเฝ้าพระพันวษา จมื่นศรีเห็นว่าพลายงามยังเด็กนักเกรงว่าจะไม่มีความสามารถพอพลายงามจึงต้องแสดงความสามารถให้ประจักษ์ และเมื่อขุนแผนออกจากคุกก็ได้ถือโอกาสแสดงปาฏิหาริย์ด้วยกันทั้งคู่ โดยการแปลงกายเป็นรูปลักษณะต่างๆ เช่น แปลงเป็นเสือโคร่ง งูเห่า นกกด ช้างตกมัน ฯลฯ ต่อหน้าพระที่นั่ง และประชาชนทั้งหลาย เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นวรรณคดีที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ของคนในสมัยกรุงศรีอยุธยาถึง กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้อย่างชัดเจน เพราะอิทธิพลของสงครามชายไทยนิยมกันว่าชายชาตรีจะต้องมีลักษณะ เช่นเดียวกับขุนแผนคือเป็นชายชาติทหาร มีความรู้ทางไสยศาสตร์ ใช้เวทย์มนตร์คาถาเป็นอยู่ยงคงกระพัน ประเภทของไสยศาสตร์ 4ประเภท ได้แก่ กุมารทอง โหงพราย พระไวยเอาน้ ามันทาตัวแล้วไปนอนบนเชิงตะกอนที่เผาศพวันทองได้โดยไม่ไหม้ไฟ กุมารทองคือลูกของ ขุนแผนกับบัวคลี่โดยขุนแผนผ่าท้องของบัวคลี่แล้วน าทารกไปท าพิธีที่วิหารในวัด แล้วปลุกเสกลงคาถาอาคมปิด ทองเก็บไว้บูชา พอปลุกเสกกุมารทองเสร็จ กุมารทองก็ได้ให้ความช่วยเหลือขุนแผน ถ้าขุนแผนท าอะไรที่ผิดพลาด กุมารทองก็ช่วยตักเตือน เช่น ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง แล้วเห็นขุนช้างนอนกอดนางวันทอง ก็โกรธและจะฆ่า ขุนช้าง กุมารทองเตือนสติขุนแผนให้นึกถึงอาญาแผ่นดิน กุมารทองป้องปัดสกัดดาบ ประนมกราบขอโทษยิ่งโกรธส่ง ถีบต่อยเตะตกจากเตียงลง กุมารตรงยึดขวางไม่วางมือ งดก่อนผ่อนพ่ออย่าเพ่อฆ่า ไม่กลัวอาญาเจ้าชีวิตหรือ ขุนแผนแค้นกัดกรามค ารามฮือ เอออือกูไม่กลัวแล้วอาญา 44 34 10 01


โหงพรายเป็นผีที่ขุนแผนเลี้ยงไว้ใช้โดยไปท าพิธีปลุกขึ้นมาจากป่าช้าตั้งแต่ยังเป็นพลายแก้วและเพิ่งสึกจาก เณร พวกโหงพรายรับใช้ขุนแผนอย่างซื่อสัตย์ตลอดมานอกจากนั้นยังช่วยปกป้องคุ้มครองญาติใกล้ชิดของขุนแผน ด้วย เช่น คอยกระซิบเตือนเมื่อจะมีภัย เช่น คราวที่นางบัวคลี่วางยาพิษในอาหารให้ขุนแผนกิน และเคยช่วยเหลือ พลายงามไว้ตอนที่ถูกขุนช้างหลอกไปฆ่าในป่าโหงพรายก็เอาตัวก าบังพลายงามไว้ ขุนช้างทุบตีพลายงาม น าขอน ไม้มาทับร่างพลายงามไว้ แล้วหนีไป ฝ่ายผีพรายนายขุนแผนแค้นขุนช้าง อุตส่าห์ง้างขอนใหญ่ให้เขยื้อน แล้วเป่าแก้แผลหายละลายเลือน เจ้าพลายเคลื่อนคลายฟื้นเหมือน นางพรายบอกว่าเราบ่าวขุนแผน ท าแทนเมื่อมันทับช่วยรับขอน ไม่ม้วยแล้วแก้วตาอย่าอาวรณ์ อยู่นี่ก่อนเถิดนะเจ้าอย่าเศร้าใจ โหงพรายช่วยเหลือให้พลายงามฟื้นคืนสติ รอดชีวิตมาได้ แล้วแนะน าตนว่าเป็นโหงพราย บ่าวของขุนแผน แล้วจึงปลอบโยนพลายงามไม่ให้เสียขวัญ เวทมนตร์คาถา 1. คาถาที่ใช้ส าหรับตวาดข้าศึกศัตรูให้ตกตะลึง การใช้คาถานี้เป็นการกระท าเพื่อให้เกิดความอับอาย ความเดือดร้อน เช่นตอนที่ขุนแผนกับขุนช้างเป็น ความกัน พอได้ประจันหน้ากันเข้า เมื่อขุนแผนฟังข้อกล่าวหาของขุนช้างจบสิ้นแล้วก็ใช้คาถาอาคม กระท าขุนช้าง คือเป่ามนตร์อัดทวาร หรือ คาถาขี้แตก ขุนแผนตัวดีมีแยบคาย อ่านมนตร์สนธยายอัดทวาร เป่าต้องขุนช้างเข้าหว่างอก เหงื่อตกอกใจให้ฟุ้งซ่าน หน้าแดงแสยงขนลนลาน ขอประทานฉานไม่สบายใจ เวียนหัวยิ่งยวดปวดท้องขี้ จะแก้ความวันนี้เห็นไม่ได้ มันให้อัดพลุ่งพลุ่งพุงพองไป งดไว้พรุ่งนี้เถิดพ่อคุณฯ 2. คาถามหาเสน่ห์ คาถาแบบนี้ท าให้อีกฝ่ายหนึ่งหลงรักหรือนิยมชมชอบตามเรื่องขุนช้างขุนแผนมักเป็นผู้ชายใช้กับผู้หญิง ดังตอนที่นางลาวทองถูกต้องมนตร์เทพรัญจวนของขุนแผนท าให้หลงรักขุนแผน ลืมความอายตามประสาหญิง และ มีจิตใจจงรักภักดีต่อขุนแผนทันที พี่เลี้ยงรับหมากมายื่นให้ เจ้าลาวทองรับไว้ไม่เงยหน้า ไม่กินกลัวจะไม่ให้ไคลคลา ครั้นกินหมากมนตราให้เสียวใจ ตั้งแต่ยามเย็นนางมาอยู่ หาได้ดูหน้าตาเจ้าพลายไม่ ครั้นต้องหมากมนตร์เคี้ยวประเดี๋ยวใจ ก็อาลัยลอบเหลือบช าเลืองตา เห็นเจ้าพลายนายทัพขยับยิ้ม ปิ้มประหนึ่งจะคลานเข้าไปหา เจ้าพลายแก้วแว่วเห็นกิริยา ก็รู้ว่าต้องเทพรัญจวนใจ นอกจากนี้คาถาที่รู้จักกันมากที่สุดในเรื่องนี้คือคาถามหาละลวย หรือมนตร์มหาละลวย ซึ่งท าให้ชายหญิง เคลิบเคลิ้ม และยังใช้กับบุคคลอื่นได้ด้วยดังตอนที่พระไวยขอเข้าเฝ้าพระพันวษาเพื่อ ทูลขออภัยโทษให้นางวันทอง แสดงว่ามนตร์นี้ไม่จ าเป็นต้องใช้กับเพศตรงข้ามเท่านั้น แต่เพศเดียวกันก็ใช้ได้ 45 34 10 01


บทที่ ๕ สรุปผลการศึกษา การศึกษาโครงงานเรื่องไสยศาสตร์จากวรรณคดีไทย เรื่อง ขุนช้างขุนแผน เป็นไปเพื่อศึกษาหาความรู้ เพิ่มเติม ส่งเสริมการแสวงหาความรู้นอกห้องเรียน โดยศึกษาจากการถามผู้รู้ และค้นหาข้อมูลจากแหล่ง สารสนเทศ และหนังสือเรื่อง ขุนช้างขุนแผน 1. ประโยชน์ที่ได้รับจากการท าโครงงาน - ได้รู้เรื่องไสยศาสตร์จากวรรณคดี เรื่อง ขุนช้างขุนแผน - ได้เผยแพร่ข้อมูลน าเสนอหน้าชั้นเรียนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ 2. การน าผลการศึกษาไปใช้ - ได้น าความรู้เกี่ยวกับไสยศาสตร์ที่บางคนไม่รู้ เผยแพร่แก่เพื่อน ๆ - เข้าใจถึงความเป็นมาและความเชื่อทางไสยศาสตร์ ๓. ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาไสยศาสตร์ ท าให้รู้ถึงไสยบางแขนงที่เราไม่รู้จักหรือคุ้นเคย ต้องการให้ทุกคนได้ศึกษา ไสยศาสตร์ที่รวบรวมไว้ และถ้ามีโอกาสน่าจะศึกษาเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ 46 34 10 01


Click to View FlipBook Version