โครงงานภาษาไทย เรื่ององค์ประกอบของหนังสั้น โดย นายอภิรักษ์ สกุลโพทอง เลขที่ 4 นายนพลักษณ์ ชูติระโส เลขที่ 17 นางสาวศิริรักษ์ สุภาแพ่ง เลขที่ 22 นางสาวชณัชฐา มณีรัตน์ เลขที่ 26 นางสาวนภัสวรรณ ยิ้มอยู่ เลขที่ 27 นางสาชนากาญจน์ เถลิงกอบลาภ เลขที่ 38 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/11 เสนอ ครูณัฏฐณิชา แทบทาม โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาโครงงานภาษาไทยรหัส ท 30201 ภาคเรียนศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสิงห์บุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง
ก ชื่อโครงงาน : องค์ประกอบหนังสั้น ผู้จัดทำโครงงาน : นายอภิรักษ์ สกุลโพทอง นายนพลักษณ์ ชูติระโส นางสาวศิริรักษ์ สุภาแพ่ง นางสาวชณัชฐา มณีรัตน์ นางสาวนภัสวรรณ ยิ้มอยู่ นางสาชนากาญจน์ เถลิงกอบลาภ ชื่อครูที่ปรึกษาโครงงาน : ครูณัฐฎณิชา เเทบทาม ปีการศึกษา : ๒๕๖๕ บทคัดย่อ โครงงานเรื่อง องค์ประกอบเรื่องสั้น ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผู้คนรู้ถึงองค์ประกอบและพัฒนาของ เรื่องสั้น กลวิธีการเขียนเรื่องสั้นดั้งนั้นคณะผู้จัดทำจึงศึกษาค้นคว้าวิธีการทำองค์ประกอบที่ถูกต้อง และวิธีการเขียนแนวคิดหรือจุดสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านทราบคณะผู้จัดทำจึง รวบรวมโดยการเรียบเรียงเนื้อหาและอ้างอิงข้อมูลที่ได้จากการศึกษาจากเว็บต่างๆ โดยนำข้อมูลมา สรุปเพื่อนำเสนอให้แก่ผู้ที่สนใจ
ข กิตติกรรมประกาศ โครงงานภาษาไทย เรื่อง องค์ประกอบของเรื่องสั้น เป็นอีกหนึ่งโครงงานที่สามารถช่วยให้ คนรุ่นใหม่ทำองค์ประกอบของเรื่องสั้นได้ถูกต้องและได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพแต่อาจถูกละเลย ไปบ้างที่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากเท่าที่ควร การจัดทำโครงงานนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีโดยได้รับความช่วยเหลือจากคุณครู ณัฐฎณิชา เเทบทาม ท้ายสุดนี้ทางคณะผู้จัดทำโครงงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนที่สนใจ คณะผู้จัดทำ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค บทที่ 1 บทนำ 1 1. ความเป็นมาเเละความสำคัญของการศึกษาค้นคว้า 2. จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 3. สมมุติฐาน 4. ขอบเขตของการศึกษา 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2 1. องค์ประกอบของการเขียนบทภาพยนตร์หนังสั้น 2. ปัจจัยสำคัญในโครงสร้างบท 3. ขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์สั้น 4. ส่วนประกอบของโครงเรื่องขยาย (treatment) 5. กลวิธีเกี่ยวกับการดำเนินเรื่อง 6. การปิดเรื่อง บทที่ ๓ วิธีดำเนินการศึกษา 6 ๑. เครื่องมือที่ใช้ ๒. เเหล่งศึกษาค้นคว้า ๓. วิธีการศึกษา บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน 7 1. องค์ประกอบของการเขียนบทภาพยนตร์ 2. ปัจจัยสำคัญในโครงสร้างบท 3. ขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์สั้น 4. ส่วนประกอบของโครงเรื่องขยาย (treatment) 5. กลวิธีเกี่ยวกับการดำเนินเรื่อง 6. การปิดเรื่อง บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา 11 1. ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำโครงงาน 2. การนำผลการศึกษาไปใช้
ค 3. ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม 12
1 บทที่๑ บทนำ 1. ความเป็นมาเเละความสำคัญของการศึกษาค้นคว้า หนังสั้นโดยเปรียบเทียบกับเรื่องสั้นในความหมายของหนังสั้นที่ยึดถือตามธรรมเนียมปฏิบัติคือ หนัง ที่มมีความยาวไม่เกิน 30 นาทีมีรูปแบบหรือสไตล์หลากหลายทั้งที่การใช้แสดงสดหรือแอนิเมชั่นก็ได้ เพราะการกำหนดความยาวของหนังสั้นด้วยเวลาที่แน่นอนเนื่องจากหนังที่มีความยาวเกิน 30 นาที จะมีรูปแบบการเข้าถึงตัวละครและโครงเรื่องต่างจากหนังสั้นที่มีความยาวไม่เกิน 30 นาทีหนังที่มี ความยาวตั้งแต่ 30-60 นาที จะมีโครงเรื่องที่ซับซ้อนมากกว่าการกำหนดอารมณ์ของคนดูว่าตอน ไหนควรเร่งรีบ ตอนไหนควรทิ้งหรือถ่วงเวลาเพื่อให้คนดูสนุกสนานส่วนหนังสั้นมีเวลาจำกัดไม่ สามารถถ่ายทอดอารมณ์หรือเล่นอารมณ์กับคนดูได้มากนักจึงต้องเข้าถึงตัวละครอย่างรวดเร็วและ ทำโครงเรื่องให้ง่ายไม่ซับซ้อนเพื่อคนเข้าใจเรื่องได้ในเวลาที่จำกัดดังนั้นผู้จัดทำจึงสนใจจัดทำ โครงงานเรื่ององค์ประกอบหนังสั้นขึ้นเพื่อให้ความรู้ในเรื่ององค์ประกอบของหนังสั้นโดยใช้วิธีการ รวบรวมข้อมูลนำเสนอหน้าชั้นเรียน 2. จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า ๒.๑ เพื่อศึกษาองค์ประกอบของหนังสั้น ๒.๒ เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่ององค์ประกอบหนังสั้น ๒.๓ เพื่อให้สามารถนำไปสร้างหนังสั้นที่ถูกต้องได้ 3. สมมุติฐาน ได้ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบหนังสั้นและเข้าใจความหมายขององค์ประกอบหนังสั้นและนำไป อธิบายให้คนที่ไม่รู้ได้รู้เรื่ององค์ประกอบหนังสั้นและสามารถนำไปสร้างหนังสั้นที่ได้อย่างถูกต้องได้ 4. ขอบเขตของการศึกษา ศึกษาองค์ประกอบของหนังสั้น จำนวน 10 คน 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5.1 เพื่อให้ได้ความรู้เกี่ยวกับโครงงานเรื่องของหนังสั้น 5.2 เพื่อนำไปทำหนังสั้น สร้างรายได้ให้แก่ตัวเอง 5.3 เพื่อนำเสนอต่อบุคคลนั้นเพื่อให้ผู้อื่นรับรู้
2 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง การเขียนบทภาพยนตร์สั้น บทภาพยนตร์สั้น คือ แบบร่างของการสร้างภาพยนตร์ บทภาพยนตร์จะมีการบอกเล่าเรื่องราวว่า ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และต้องสื่อความหมายออกมาเป็นภาพ โดยใช้ภาพเป็นตัวสื่อ ความหมาย เป็นการเขียนอธิบายรายละเอียดเรื่องราว เมื่อได้โครงสร้างเรื่องที่ชัดเจนแล้วจึงนำ เหตุการณ์มาแตกขยายเป็นฉากๆ ลงรายละเอียดย่อยๆ ใส่สถานการณ์ ช่วงเวลา สถานที่ ตัวละคร บทสนทนา บางครั้งอาจกำหนดมุมกล้องหรือ ขนาดภาพ ให้ชัดเจนเลยก็ได้ 1.องค์ประกอบของการเขียนบทภาพยนตร์ 1.1 เรื่อง (story) หมายถึง. เหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้นและดำเนินไปสู่ จุดสิ้นสุด เรื่องอาจจะสั้นเพียงไม่กี่นาที อาจยาวนานเป็นปี หรือไม่รู้จบ (infinity) ก็ได้ สิ่งสำคัญใน การดำเนินเรื่อง คือปมความขัดแย้ง (conflict) ซึ่งก่อให้เกิดการกระทำ ส่งผลให้เกิดเป็นเรื่องราว 1.2 แนวความคิด (concept) เรื่องที่จะนำเสนอมีแนวความคิด (Idea) อะไรที่จะสื่อให้ผู้ชมรับรู้ 1.3 แก่นเรื่อง (theme) คือ ประเด็นเนื้อหาสำคัญหรือแกนหลัก (Main theme) ของเรื่องที่จะ นำเสนอ ซึ่งอาจประกอบด้วยประเด็นรองๆ (sub theme) อีกก็ได้ แต่ต้องไม่ออกนอกแนวความคิด หลัก 1.4 เรื่องย่อ (synopsis) เป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาใหม่ เรื่องที่ นำมาจากเหตุการณ์จริง เรื่องที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรม หรือแม้แต่เรื่องที่ลอกเลียนแบบมาจาก ภาพยนตร์อื่น สิ่งแรกนั้นเรื่องต้องมีความน่าสนใจ มีใจความสำคัญชัดเจน ต้องมีการมีการตั้งคำถาม ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น (What…if…?) กับเรื่องที่คิดมา และสามารถพัฒนาขยายเป็นโครงเรื่องใหญ่ได้ 1.5 โครงเรื่อง (Plot) เป็นการเล่าเรื่องลำดับเหตุการณ์อย่างมีเหตุผล เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ จะต้องส่งเสริมประเด็นหลักของเรื่องได้ชัดเจน ไม่ให้หลงประเด็น โครงเรื่องจะประกอบด้วย เหตุการณ์หลัก (main plot) และเหตุการณ์รอง (sub plot) ซึ่งเหตุการณ์รองที่ใส่เข้าไป ต้องผสม กลมกลืนเป็นเหตุเป็นผลกับเหตุการณ์หลัก 1.6ตัวละคร (character) มีหน้าที่ดำเนินเหตุการณ์จากจุดเริ่มต้นไปสู่จุดสิ้นสุดของเรื่อง ตัว ละครอาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเป็นนามธรรมไม่มีตัวตนก็ได้ การสร้างตัวละครขึ้นมาต้องคำนึงถึง ภูมิหลังพื้นฐาน ที่มาที่ไป บุคลิกนิสัย ความต้องการ อันก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของตัวละครนั้นๆ ตัวละครแบ่งออกเป็นตัวแสดงหลักหรือตัวแสดงนำ และตัวแสดงสมทบหรือตัวแสดงประกอบ ทุกตัว ละครจะต้องมีส่งผลต่อเหตุการณ์นั้นๆ มากน้อยตามแต่บทบาทของตน ตัวเอกย่อมมีความสำคัญ มากกว่าตัวรองเสมอ
3 1.7 บทสนทนา (dialogue) เป็นถ้อยคำที่กำหนดให้แต่ละตัวละครได้ใช้แสดงโต้ตอบกัน ใช้บอกถึงอารมณ์ ดำเนินเรื่อง และสื่อสารกับผู้ชม ภาพยนตร์ที่ดีจะสื่อความหมายด้วยภาพมากกว่า คำพูด การประหยัดถ้อยคำจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ความหมายหรืออารมณ์บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ ถ้อยคำมาช่วยเสริมให้ดูดียิ่ง ขึ้นก็ได้ 2. ปัจจัยสำคัญในโครงสร้างบท 2.1. แนะนำ (INTRODUCTION) คือ การแนะนำเหตุการณ์ สถานการณ์ สถานที่ ตัวละคร สิ่งแวดล้อม และเวลา 2.2. สร้างเงื่อนไข (SUSPENSE) คือ การกระตุ้นให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างลึกลับมีเงื่อนไข มี ปมผูกมัด ความขัดแย้ง ทำให้ผู้ชมเกิดความสงสัยและสนใจในเหตุการณ์ 2.3. สร้างวิกฤตกาล (CRISIS) คือการเผชิญปัญหา วิเคราะห์ปัญหาของตัวละคร และหาทาง แก้ไข หาทางออก หากตัวละครวนเวียนอยู่กับปัญหานานมากจะทำให้ผู้ชมรู้สึกหนักและเบื่อขึ้นได้ ควรที่จะมีการกระตุ้นจากเหตุการณ์อื่นมาแทรกด้วย 2.4. จุดวิกฤตสูงสุด (CLIMAX) เป็นช่วงเผชิญหน้ากับปัญหาครั้งสุดท้ายที่ถูกบีบกดดันสูงสุด ทำให้มีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด 2.5. ผลสรุป (CONCLUSION) คือทางออก ข้อสรุป ทำให้เกิดความกระจ่าง ภาพยนตร์บาง เรื่องอาจไม่มีบทสรุป ก็เพื่อให้ผู้ชมนำกลับไปคิดเอง 3. ขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์สั้น 3.1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research)เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำ ถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียด เรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การ ค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม 3.2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise)หมายถึง ความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นถ้า…” (what if) ตัวอย่างของ premise ตาม รูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียต เกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้น ถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือ เรื่อง Titanic เป็นต้น
4 3.3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis)คือ เรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อน เขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment) 3.4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment)เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ใน รูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลัก สำคัญ (premise) ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ 4. ส่วนประกอบของโครงเรื่องขยาย (treatment) 4.1. การเปิดเรื่อง คือ จุดเริ่มต้นของเรื่องซึ่งถือว่าเป็นตอนสำคัญที่จะดึงดูดความสนใจของ ผู้อ่านให้ติดตามเรื่องราวต่อไปเปิดเรื่องโดยการบรรยาย การเปิดเรื่องแบบนี้มักเป็นการเริ่มต้นเล่า เรื่องอย่างเรียบ ๆ แล้วค่อย ๆ ทวีความเข้มข้นของเรื่องขึ้นเป็นลำดับ อาจเป็นการบรรยายฉาก บรรยายตัวละคร หรือเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้เปิดเรื่องโดยการพรรณนา การเปิดเรื่องวิธีนี้ อาจเป็นการพรรณนาฉาก พรรณนาตัวละคร หรือพรรณนาเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ คล้าย วิธีการบรรยาย เพียงแต่เน้นที่จะสร้างภาพเพื่อปูพื้นอารมณ์ให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตามเป็น พิเศษเปิดเรื่องโดยใช้นาฏการหรือการกระทำของตัวละครที่ก่อให้เกิดความสนใจโดยเร็ว การเปิด เรื่องวิธีนี้สามารถทำให้ผู้อ่านกระหายที่จะติดตามเรื่องราวต่อไปได้มากเป็นพิเศษเปิดเรื่องโดยใช้บท สนทนา การเปิดเรื่องแบบนี้สามารถเรียกร้องความสนใจของผู้อ่านได้ดีวิธีหนึ่ง ถ้าถ้อยคำที่นำมา เริ่มต้นนั้นเร้าใจหรือกระทบใจผู้อ่านทันที แต่ก็ต้องพยายามเชื่อมโยงบทสนทนานั้นให้เกี่ยวพันกับ เรื่องต่อไปอย่างแนบเนียนด้วยเปิดเรื่องโดยใช้สุภาษิต บทกวี เพลง หรืออาจใช้ข้อความที่คมคายชวน คิด ชวนให้ฉงนสนเท่ห์น่าติดตาม 4.2. การดำเนินเรื่อง นอกจากโครงเรื่องจะประกอบด้วยการเปิดเรื่องในตอนต้นแล้ว การ ดำเนินเรื่องซึ่งเป็นตอนกลางของเรื่องก็มีความสำคัญอยู่มากเช่นเดียวกัน เพราะผู้แต่งจะต้องดึงความ สนใจของผู้อ่านให้ติดตามเรื่องอย่างจดจ่ออยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องสร้างความขัดแย้ง (Conflict)ที่เร้าใจ แล้วคลี่คลายความขัดแย้งเหล่านั้นอย่างแนบเนียนไปจนถึงเป้าหมายสุดยอดในตอนปิดเรื่อง รวมทั้ง ต้องอาศัยกลวิธีเล่าเรื่องที่เหมาะสมประกอบด้วยความขัดแย้ง (Conflict)คือ ปัญหาที่จะทำให้ เรื่องราวดำเนินต่อไป วีรวัฒน์ อินทรพร กล่าวไว้ว่า ความขัดแย้งแบ่งได้หลายประเภทดังนี้ความ ขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ หมายถึง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละครกับตัวละคร ซึ่งอาจ เป็นตัวละครเอกกับตัวละครรอง เช่น ความขัดแย้งระหว่างขุนแผนกับขุนช้าง ความขัดแย้งระหว่าง แฮรี่พอตเตอร์ กับลอร์ดโวลเดอมอร์ เป็นต้น
5 5. กลวิธีเกี่ยวกับการดำเนินเรื่อง 5.1 เล่าเรื่องตามลำดับปฏิทิน (Chronological order) คือ การเล่าเรื่องไปตามลำดับเวลา ก่อนหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น เรื่องลูกอีสาน ของคำพูน บุญทวี เป็นต้น 5.2 เล่าเรื่องย้อนต้น (Flashback) คือ การดำเนินเรื่องที่เล่าย้อนสลับกันไปมาระหว่างอดีตกับ ปัจจุบัน ดังนั้นเรื่องจึงอาจเริ่มต้นที่ตอนใดก็ได้ เช่น ข้างหลังภาพ ของศรีบูรพา เป็นต้น 5.3 เล่าเหตุการณ์เกิดต่างสถานที่สลับกันไปมา แต่เรื่องยังต่อเนื่องกันไปตลอด 5.4 เล่าตอนกลางก่อนแล้วย้อนมาตอนต้นเรื่อง คือ จัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนกลางของเรื่องมา ก่อนแล้วจึงเล่าเรื่องตอนต้นมาบรรจบกันก่อนที่จะดำเนินเรื่องไปสู่ตอนจบ 6. การปิดเรื่อง 6.1ปิดเรื่องแบบหักมุม หรือพลิกความคาดหมายของผู้อ่าน (Surprise ending หรือ Twist ending) การปิดเรื่องแบบนี้เป็นการทำให้ผู้อ่านคาดไม่ถึง ไม่ควรให้ผู้อ่านระแคะระคายตั้งแต่ต้น เรื่องหรือกลางเรื่อง เพราะจะทำให้เรื่องขาดความความน่าสนใจ ส่วนมากมักปรากฏอยู่ในเรื่องสั้น มากกว่านิยายโดยเฉพาะในงานเขียนประเภทอาชญานิยาย หรือ นวนิยายลึกลับซ่อนเงื่อน เป็นต้น 6.2 ปิดเรื่องแบบโศกนาฏกรรม (Tragic ending) คือ การจบเรื่องด้วยความตาย ความผิดหวัง ความสูญเสีย หรือความล้มเหลวในชีวิต เช่นในเรื่อง คู่กรรม ของ ทมยันตี แม้พระเอกคือโกโบริจะ ตายตอนจบ แต่ทมยันตีก็ได้ให้พระเอกและนางเอก ได้มีโอกาสเปิดเผยความรักซึ่งกันและกันที่ต่าง คนต่างไม่ยอมกล่าวในตอนดำเนินเรื่อง ดังนั้น เรื่องจึงประทับใจผู้อ่านเพราะตัวละครเข้าใจกันดีแล้ว ถ้าทมยันตีให้โกโบริตายโดยไม่ได้บอกรักอังศุมาลิน นวนิยายเรื่องนี้คงไม่ยืนยงเป็นอมตะมานานจน ทุกวันนี้ 6.3 ปิดเรื่องแบบสุขนาฏกรรม (Happy ending) คือ การจบเรื่องด้วยความสุขหรือความสำเร็จ ของตัวละคร การปิดเรื่องแบบนี้มีนักเขียนนิยมใช้กันโดยทั่วไปทั้งเรื่องสั้นและนวนิยาย เช่น อยู่กับก๋ง เป็นต้น 6.4 ปิดเรื่องแบบสมจริงในชีวิต (Realistic ending) คือการจบเรื่องแบบทิ้งปัญหาไว้ให้ผู้อ่านคิด หาคำตอบเอาเอง เพราะในชีวิตจริงมีปัญหาหลายอย่างที่ไม่สามารถแก้ปัญหาหรือหาคำตอบให้แก่ ปัญหานั้นได้ เช่นใน เศรษฐศาสตร์กลางทะเลลึก ของอาจินต์ ปัญจพรรค์ เป็นต
6 บทที่ ๓ วิธีดำเนินการศึกษา ๑. เครื่องมือที่ใช้ - อินเตอร์เน็ต - โทรศัพท์มือถือ - คอมพิวเตอร์ ๒. เเหล่งศึกษาค้นคว้า - เว็บไซต์ ๓. วิธีการศึกษา ขั้นที่ ๑ ขั้นศึกษา - เสนอโครงสร้างของโครงงานต่อครูเเละขอคำปรึกษา - ประชุมสมาชิกในกลุ่มเเบ่งเขตการศึกษาค้นคว้า - ศึกษาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต - รวบรวมข้อมูลจากเเหล่งอินเทอร์เน็ต - จัดทำชิ้นงานเเล้วรูปเล่ม นำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อแก้ไขปรับปรุงส่วนที่บกพร่อง ขั้นที่ ๒ ขั้นนำเสนอผลงาน - เเนะนำเเละชี้แจงการจัดทำโครงงาน หน้าชั้นเรียน - เสนอผลงาน - เเนะนำนักเรียนศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม - จัดทำเอกสารเผยเเพร่ผลงาน - จัดการเสนอหน้าชั้นเรียน
7 บทที่4 ผลการดา เนินงาน การเขียนบทภาพยนตร์สั้น บทภาพยนตร์สั้น คือ แบบร่างของการสร้างภาพยนตร์ บทภาพยนตร์จะมีการบอกเล่าเรื่องราวว่า ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และต้องสื่อความหมายออกมาเป็นภาพ โดยใช้ภาพเป็นตัวสื่อ ความหมาย เป็นการเขียนอธิบายรายละเอียดเรื่องราว เมื่อได้โครงสร้างเรื่องที่ชัดเจนแล้วจึงนำ เหตุการณ์มาแตกขยายเป็นฉากๆ ลงรายละเอียดย่อยๆ ใส่สถานการณ์ ช่วงเวลา สถานที่ ตัวละคร บทสนทนา บางครั้งอาจกำหนดมุมกล้องหรือ ขนาดภาพ ให้ชัดเจนเลยก็ได้ 1.องค์ประกอบของการเขียนบทภาพยนตร์ 1.1 เรื่อง (story) หมายถึง. เหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้นและดำเนินไปสู่ จุดสิ้นสุด เรื่องอาจจะสั้นเพียงไม่กี่นาที อาจยาวนานเป็นปี หรือไม่รู้จบ (infinity) ก็ได้ สิ่งสำคัญใน การดำเนินเรื่อง คือปมความขัดแย้ง (conflict) ซึ่งก่อให้เกิดการกระทำ ส่งผลให้เกิดเป็นเรื่องราว 1.2 แนวความคิด (concept) เรื่องที่จะนำเสนอมีแนวความคิด (Idea) อะไรที่จะสื่อให้ผู้ชมรับรู้ 1.3 แก่นเรื่อง (theme) คือ ประเด็นเนื้อหาสำคัญหรือแกนหลัก (Main theme) ของเรื่องที่จะ นำเสนอ ซึ่งอาจประกอบด้วยประเด็นรองๆ (sub theme) อีกก็ได้ แต่ต้องไม่ออกนอกแนวความคิด หลัก 1.4 เรื่องย่อ (synopsis) เป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาใหม่ เรื่องที่ นำมาจากเหตุการณ์จริง เรื่องที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรม หรือแม้แต่เรื่องที่ลอกเลียนแบบมาจาก ภาพยนตร์อื่น สิ่งแรกนั้นเรื่องต้องมีความน่าสนใจ มีใจความสำคัญชัดเจน ต้องมีการมีการตั้งคำถาม ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น (What…if…?) กับเรื่องที่คิดมา และสามารถพัฒนาขยายเป็นโครงเรื่องใหญ่ได้ 1.5 โครงเรื่อง (Plot) เป็นการเล่าเรื่องลำดับเหตุการณ์อย่างมีเหตุผล เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ จะต้องส่งเสริมประเด็นหลักของเรื่องได้ชัดเจน ไม่ให้หลงประเด็น โครงเรื่องจะประกอบด้วย เหตุการณ์หลัก (main plot) และเหตุการณ์รอง (sub plot) ซึ่งเหตุการณ์รองที่ใส่เข้าไป ต้องผสม กลมกลืนเป็นเหตุเป็นผลกับเหตุการณ์หลัก 1.6ตัวละคร (character) มีหน้าที่ดำเนินเหตุการณ์จากจุดเริ่มต้นไปสู่จุดสิ้นสุดของเรื่อง ตัว ละครอาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเป็นนามธรรมไม่มีตัวตนก็ได้ การสร้างตัวละครขึ้นมาต้องคำนึงถึง ภูมิหลังพื้นฐาน ที่มาที่ไป บุคลิกนิสัย ความต้องการ อันก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของตัวละครนั้นๆ ตัวละครแบ่งออกเป็นตัวแสดงหลักหรือตัวแสดงนำ และตัวแสดงสมทบหรือตัวแสดงประกอบ ทุกตัว
8 ละครจะต้องมีส่งผลต่อเหตุการณ์นั้นๆ มากน้อยตามแต่บทบาทของตน ตัวเอกย่อมมีความสำคัญ มากกว่าตัวรองเสมอ 1.7 บทสนทนา (dialogue) เป็นถ้อยคำที่กำหนดให้แต่ละตัวละครได้ใช้แสดงโต้ตอบกัน ใช้ บอกถึงอารมณ์ ดำเนินเรื่อง และสื่อสารกับผู้ชม ภาพยนตร์ที่ดีจะสื่อความหมายด้วยภาพมากกว่า คำพูด การประหยัดถ้อยคำจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ความหมายหรืออารมณ์บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ ถ้อยคำมาช่วยเสริมให้ดูดียิ่ง ขึ้นก็ได้ 2. ปัจจัยสำคัญในโครงสร้างบท 2.1. แนะนำ (INTRODUCTION) คือ การแนะนำเหตุการณ์ สถานการณ์ สถานที่ ตัวละคร สิ่งแวดล้อม และเวลา 2.2. สร้างเงื่อนไข (SUSPENSE) คือ การกระตุ้นให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างลึกลับมีเงื่อนไข มี ปมผูกมัด ความขัดแย้ง ทำให้ผู้ชมเกิดความสงสัยและสนใจในเหตุการณ์ 2.3. สร้างวิกฤตกาล (CRISIS) คือการเผชิญปัญหา วิเคราะห์ปัญหาของตัวละคร และหาทาง แก้ไข หาทางออก หากตัวละครวนเวียนอยู่กับปัญหานานมากจะทำให้ผู้ชมรู้สึกหนักและเบื่อขึ้นได้ ควรที่จะมีการกระตุ้นจากเหตุการณ์อื่นมาแทรกด้วย 2.4. จุดวิกฤตสูงสุด (CLIMAX) เป็นช่วงเผชิญหน้ากับปัญหาครั้งสุดท้ายที่ถูกบีบกดดันสูงสุด ทำให้มีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด 2.5. ผลสรุป (CONCLUSION) คือทางออก ข้อสรุป ทำให้เกิดความกระจ่าง ภาพยนตร์บาง เรื่องอาจไม่มีบทสรุป ก็เพื่อให้ผู้ชมนำกลับไปคิดเอง 3. ขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์สั้น 3.1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research)เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำ ถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียด เรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การ ค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม 3.2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise)หมายถึง ความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นถ้า…” (what if) ตัวอย่างของ premise ตาม รูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียต เกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้น ถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The
9 Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือ เรื่อง Titanic เป็นต้น 3.3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis)คือ เรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือ หนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียน เป็นโครงเรื่องขยาย (treatment) 3.4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment)เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ใน รูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลัก สำคัญ (premise) ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ 4. ส่วนประกอบของโครงเรื่องขยาย (treatment) 4.1. การเปิดเรื่อง คือ จุดเริ่มต้นของเรื่องซึ่งถือว่าเป็นตอนสำคัญที่จะดึงดูดความสนใจของ ผู้อ่านให้ติดตามเรื่องราวต่อไปเปิดเรื่องโดยการบรรยาย การเปิดเรื่องแบบนี้มักเป็นการเริ่มต้นเล่า เรื่องอย่างเรียบ ๆ แล้วค่อย ๆ ทวีความเข้มข้นของเรื่องขึ้นเป็นลำดับ อาจเป็นการบรรยายฉาก บรรยายตัวละคร หรือเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้เปิดเรื่องโดยการพรรณนา การเปิดเรื่องวิธีนี้ อาจเป็นการพรรณนาฉาก พรรณนาตัวละคร หรือพรรณนาเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ คล้าย วิธีการบรรยาย เพียงแต่เน้นที่จะสร้างภาพเพื่อปูพื้นอารมณ์ให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตามเป็น พิเศษเปิดเรื่องโดยใช้นาฏการหรือการกระทำของตัวละครที่ก่อให้เกิดความสนใจโดยเร็ว การเปิด เรื่องวิธีนี้สามารถทำให้ผู้อ่านกระหายที่จะติดตามเรื่องราวต่อไปได้มากเป็นพิเศษเปิดเรื่องโดยใช้บท สนทนา การเปิดเรื่องแบบนี้สามารถเรียกร้องความสนใจของผู้อ่านได้ดีวิธีหนึ่ง ถ้าถ้อยคำที่นำมา เริ่มต้นนั้นเร้าใจหรือกระทบใจผู้อ่านทันที แต่ก็ต้องพยายามเชื่อมโยงบทสนทนานั้นให้เกี่ยวพันกับ เรื่องต่อไปอย่างแนบเนียนด้วยเปิดเรื่องโดยใช้สุภาษิต บทกวี เพลง หรืออาจใช้ข้อความที่คมคายชวน คิด ชวนให้ฉงนสนเท่ห์น่าติดตาม 4.2. การดำเนินเรื่อง นอกจากโครงเรื่องจะประกอบด้วยการเปิดเรื่องในตอนต้นแล้ว การ ดำเนินเรื่องซึ่งเป็นตอนกลางของเรื่องก็มีความสำคัญอยู่มากเช่นเดียวกัน เพราะผู้แต่งจะต้องดึงความ สนใจของผู้อ่านให้ติดตามเรื่องอย่างจดจ่ออยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องสร้างความขัดแย้ง (Conflict)ที่เร้าใจ แล้วคลี่คลายความขัดแย้งเหล่านั้นอย่างแนบเนียนไปจนถึงเป้าหมายสุดยอดในตอนปิดเรื่อง รวมทั้ง ต้องอาศัยกลวิธีเล่าเรื่องที่เหมาะสมประกอบด้วยความขัดแย้ง (Conflict)คือ ปัญหาที่จะทำให้ เรื่องราวดำเนินต่อไป วีรวัฒน์ อินทรพร กล่าวไว้ว่า ความขัดแย้งแบ่งได้หลายประเภทดังนี้ความ ขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ หมายถึง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละครกับตัวละคร ซึ่งอาจ เป็นตัวละครเอกกับตัวละครรอง เช่น ความขัดแย้งระหว่างขุนแผนกับขุนช้าง ความขัดแย้งระหว่าง แฮรี่พอตเตอร์ กับลอร์ดโวลเดอมอร์ เป็นต้น
10 5. กลวิธีเกี่ยวกับการดำเนินเรื่อง 5.1 เล่าเรื่องตามลำดับปฏิทิน (Chronological order) คือ การเล่าเรื่องไปตามลำดับเวลา ก่อนหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น เรื่องลูกอีสาน ของคำพูน บุญทวี เป็นต้น 5.2 เล่าเรื่องย้อนต้น (Flashback) คือ การดำเนินเรื่องที่เล่าย้อนสลับกันไปมาระหว่างอดีตกับ ปัจจุบัน ดังนั้นเรื่องจึงอาจเริ่มต้นที่ตอนใดก็ได้ เช่น ข้างหลังภาพ ของศรีบูรพา เป็นต้น 5.3 เล่าเหตุการณ์เกิดต่างสถานที่สลับกันไปมา แต่เรื่องยังต่อเนื่องกันไปตลอด 5.4 เล่าตอนกลางก่อนแล้วย้อนมาตอนต้นเรื่อง คือ จัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนกลางของเรื่องมา ก่อนแล้วจึงเล่าเรื่องตอนต้นมาบรรจบกันก่อนที่จะดำเนินเรื่องไปสู่ตอนจบ 6. การปิดเรื่อง 6.1ปิดเรื่องแบบหักมุม หรือพลิกความคาดหมายของผู้อ่าน (Surprise ending หรือ Twist ending) การปิดเรื่องแบบนี้เป็นการทำให้ผู้อ่านคาดไม่ถึง ไม่ควรให้ผู้อ่านระแคะระคายตั้งแต่ต้น เรื่องหรือกลางเรื่อง เพราะจะทำให้เรื่องขาดความความน่าสนใจ ส่วนมากมักปรากฏอยู่ในเรื่องสั้น มากกว่านิยายโดยเฉพาะในงานเขียนประเภทอาชญานิยาย หรือ นวนิยายลึกลับซ่อนเงื่อน เป็นต้น 6.2 ปิดเรื่องแบบโศกนาฏกรรม (Tragic ending) คือ การจบเรื่องด้วยความตาย ความผิดหวัง ความสูญเสีย หรือความล้มเหลวในชีวิต เช่นในเรื่อง คู่กรรม ของ ทมยันตี แม้พระเอกคือโกโบริจะ ตายตอนจบ แต่ทมยันตีก็ได้ให้พระเอกและนางเอก ได้มีโอกาสเปิดเผยความรักซึ่งกันและกันที่ต่าง คนต่างไม่ยอมกล่าวในตอนดำเนินเรื่อง ดังนั้น เรื่องจึงประทับใจผู้อ่านเพราะตัวละครเข้าใจกันดีแล้ว ถ้าทมยันตีให้โกโบริตายโดยไม่ได้บอกรักอังศุมาลิน นวนิยายเรื่องนี้คงไม่ยืนยงเป็นอมตะมานานจน ทุกวันนี้ 6.3 ปิดเรื่องแบบสุขนาฏกรรม (Happy ending) คือ การจบเรื่องด้วยความสุขหรือความสำเร็จ ของตัวละคร การปิดเรื่องแบบนี้มีนักเขียนนิยมใช้กันโดยทั่วไปทั้งเรื่องสั้นและนวนิยาย เช่น อยู่กับก๋ง เป็นต้น 6.4 ปิดเรื่องแบบสมจริงในชีวิต (Realistic ending) คือการจบเรื่องแบบทิ้งปัญหาไว้ให้ผู้อ่านคิด หาคำตอบเอาเอง เพราะในชีวิตจริงมีปัญหาหลายอย่างที่ไม่สามารถแก้ปัญหาหรือหาคำตอบให้แก่ ปัญหานั้นได้ เช่นใน เศรษฐศาสตร์กลางทะเลลึก ของอาจินต์ ปัญจพรรค์ เป็นต้น
11 บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา การศึกษาโครงงานเรื่องภาพยนตร์สั้น เรื่อง องค์ประกอบหนังสั้น ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ผู้คนรู้ถึงองค์ประกอบและพัฒนาของเรื่องสั้นกลวิธีการเขียนหนังสั้นดั้งนั้นเราจึงค้นคว้าวิธีการทำ องค์ประกอบที่ถูกต้องโดยศึกษาจากผู้รู้และค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งสารสนเทศและหนังสือเรื่อง องค์ประกอบหนังสั้น 1. ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำโครงงานจากผู้ -ทำให้เราสามารถสร้างหนังสั้นได้อย่างถูกต้องและนำไปเผยแพร่สู่สายให้คนอื่นได้เรียนรู้ ถึงองค์ประกอบต่างๆได้อย่างอิสระ 2. การนำผลการศึกษาไปใช้ -ได้นำความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบหนังสั้นที่บางคนไม่รู้ เผยแพร่แก่เพื่อนๆ -เข้าใจถึงความเป็นมาและองค์ประกอบหนังสั้นส่วนต่างๆมากขึ้น 3. ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาองค์ประกอบหนังสั้น ทำให้รู้ถึงองค์ประกอบของหนังสั้นหลายแขนงที่เราไม่ รู้จักหรือไม่คุ้นเคย ต้องการให้ทุกคนได้ศึกษาองค์ประกอบของหนังสั้นที่รวบรวมไว้และถ้ามีโอกาส น่าจะศึกษาเพิ่มเติมให้มากกว่านี้
12 บรรณานุกรม นายนิวัฒน์ สารบุญ.(2565).องค์ประกอบการเขียนบทภาพยนต์.แหล่งที่มา : https://www.niwatcomedu.com/.(วันที่สืบค้น 6 กุมภาพันธ์ 2566)