โครงงานภาษาไทย
เรื่อง สถาปตั ยกรรมไทย
โดย
นางสาว รพินท์นภิ า บารัมย์ เลขท่ี๓๕
นางสาว อาทิตยา รุ่งแสง เลขที่๑๓
นางสาว มนทกานต์ หงษ์ทอง เลขที่๑๖
นางสาว กิตตยิ า ชูเทยี น เลขท่ี๓๕
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่๔/๙
เสนอ
คณุ ครูณัฏฐณชิ า แทบทาม
รายงานน้ีเป็นส่วนหนง่ึ ของวิชาโครงงานภาษาไทย รหสั ๓๐๒๐๑
ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔
โรงเรียนสิงห์บรุ ี
สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษา เขต๕
โครงงานภาษาไทย
เรอ่ื ง สถาปัตยกรรมไทย
โดย
นางสาว รพินท์นภิ า บารัมย์ เลขท่ี๓๕
นางสาว อาทติ ยา รุ่งแสง เลขท่ี๑๓
นางสาว มนทกานต์ หงษ์ทอง เลขที่๑๖
นางสาว กิตติยา ชเู ทียน เลขที่๓๕
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่๔/๙
เสนอ
คณุ ครูณฏั ฐณิชา แทบทาม
รายงานนี้เป็นส่วนหนง่ึ ของวิชาโครงงานภาษาไทย รหสั ๓๐๒๐๑
ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔
โรงเรียนสิงห์บรุ ี
สานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศึกษา เขต๕
ก
ช่อื โครงงาน สถาปัตยกรรมไทย
ช่ือผจู้ ัดทา ๑.นางสาวรพินท์นภิ า บารัมย์
๒.นางสาวอาทิตยา รุ่งแสง
๓.นางสาวมนทกานต์ หงษ์ทอง
๔.นางสาวกติ ติญา ชูเทียน
อาจารย์ทป่ี รึกษาโครงงาน ครูณฏั ฐณิชา แทบทาม
ปีการศึกษา ๒๕๖๔
บทคดั ย่อ
โครงงานภาษาไทย เร่ือง สถาปตั ยกรรมจดั ทาขึน้ เพื่อให้คนในสงั คมรุ่น
ใหมไ่ ดเ้ ห็นถงึ ความสาคัญและความสวยงามของสถาปัตยกรรมไทย และได้หนั มาอนุรักษ์หรือใหค้ วามสนใจมาก
ขนึ้ กว่าทีผ่ า่ นมาและนาไปเผยแพร่ใหค้ นรนุ่ ต่อๆไปในอนาคต คณะผู้จดั ทาจงึ ได้ทาการรวบรวมโดยการเรียบ
เรยี งเนื้อหาและอา้ งองิ ขอ้ มลู ท่ไี ดท้ าการศึกษาจากเว็บต่างๆ โดยนาขอ้ มูลมาสรุปเพื่อนาเสนอให้แกผ่ สู้ นใจ
ข
กติ ตกิ รรมประกาศ
โครงงานภาษาไทยเรื่อง สถาปัตยกรรมไ เป็นอกี หนึง่ โครงงานท่ีชว่ ยใหน้ ักเรียนเกดิ ความคดิ ที
อยากจะอนรุ ักษส์ ถาปัตยกรรมไทยที่มีมาอย่างยาวนาน แต่อาจจะถกู ละเลยไปบ้าง การจัดทาโครงงานนี้
สาเรจ็ ลุล่วงไปไดด้ ้วยดีโดยไดร้ ับการความช่วยเหลือจากคนในครอบครวั และไดร้ ับการสนบั สนนุ จากคุณครู
ทา้ ยสดุ น้ีทางคณะผู้จัดทาหวังว่าโครงงานฉบบั นจี้ ะเปน็ ประโยชนต์ ่อสงั คมไม่มากก็น้อย
คณะผู้จดั ทา
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔
สารบัญ ค
บทคัดย่อ หนา้
กติ ตกิ รรมประกาศ
สารบญั ก
บทท่ี ๑ บทนา ข
บทท่ี ๒ เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกีย่ วข้อง ค
บทท่ี ๓ อุปกรณ์และวธิ ีการดาเนินงาน 1
บทที่ ๔ ผลการดาเนนิ งาน 3
บทท่ี ๕ อภปิ รายและข้อแนะนา 7
บรรณานุกรม 8
12
13
1
บทที่ ๑
บทนา
๑.ทีม่ าและความสาคัญของโครงงาน
สถาปัตยกรรมไทย หมายถงึ ศลิ ปะการก่อสรา้ งของไทย อันไดแ้ ก่ วัด อาคาร บ้านเรือน โบสถ์ วหิ าร
วงั สถูป และสง่ิ ก่อสร้างอื่น ๆ มีลกั ษณะแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ และคตินิยม สถาปตั ยกรรมไทยมีมา
นานตั้งแต่ท่ีคนไทยเรมิ่ ตัง้ ถ่นิ ฐาน และไดพ้ ฒั นาและปรบั ปรุงรปู แบบสถาปัตยกรรมอันเป็นส่ิงจาเป็นต่อการ
ดารงชวี ิต เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ สภาพภูมิประเทศ
รปู แบบ
สามารถจดั หมวดหมู่ ตามลักษณะการใช้งานได้ ๒ ประเภท คือ
๑.สถาปัตยกรรมท่ใี ชเ้ ป็นที่อย่อู าศยั ไดแ้ ก่ บา้ นเรือน ตาหนักวงั และพระราชวงั เป็นตน้ บ้านหรือ
เรอื นเป็นทอ่ี ยู่อาศัยของสามัญชน ธรรมดาทว่ั ไปคอื เรือนเคร่อื งผูกเปน็ เรือนไมไ้ ผป่ ดู ว้ ยฟากไมไ้ ผห่ ลงั คามุง
ด้วยใบจากหญา้ คาหรือใบไมอ้ ีกอยา่ งหน่ึงเรยี กว่าเรือนเครอื่ งสับเปน็ ไม้จรงิ ทง้ั เน้อื อ่อน และเนอ้ื แข็งตามแต่
ละทอ้ งถน่ิ หลงั คามงุ ด้วยกระเบอ้ื งดินเผาพ้นื และฝาเป็นไมจ้ รงิ ทัง้ หมดลักษณะเรือนไมข้ องไทยในแต่ละ
ท้องถน่ิ แตกตา่ งกันและโดยทว่ั ไปแลว้ จะมลี ักษณะสาคัญร่วมกันคือเป็นเรอื นไมช้ ้ันเดียวใตถ้ นุ สงู หลังคา
ทรงจัว่ เอยี งลาดชนั
๒.สถาปตั ยกรรมท่เี กี่ยวข้องศาสนา
สถาปัตยกรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ งศาสนา ซงึ่ สว่ นใหญ่อยู่ในบิรเวณสงฆไ์ ดแ้ ก่ โบสถ์, วหิ าร, กุฏิ, หอไตร,
หอระฆังและหอกลอง, สถูป, เจดยี ์
สถาปัตยกรรมไทยสมัยประวัตศิ าสตร์
สามารถแบ่งได้เปน็ ยุคๆ ได้ดังนี้
ยคุ ทวาราวดี (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖)
ยุคศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๘)
ยคุ ลพบรุ ี (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘)
ยคุ เชยี งแสน (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ - ๒๓)
ยุคสโุ ขทัย (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ - ๒๐)
ยคุ อู่ทอง (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๗ - ๒๐)
ยคุ อยธุ ยา (พทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๓)
สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์
2
๒.วัตถุประสงค์ในการศึกษา
๑.๑ เพือ่ อนรุ กั ษ์ รักษาสถาปัตยกรรมไทย
๑.๒ เพื่อเผื่อแพร่อตั ลักษณแ์ ละความรเู้ กย่ี วสถาปัตยกรรมไทย
๑.๓ เพอื่ สบื สานและสร้างสรรคต์ ่อยอดมรดกและวฒั นธรรม
๓.ขอบเขตการศึกษาคน้ คว้า
ศกึ ษาเกย่ี วกับสถาปัตยกรรมไทยเบ้ืองตน้ โดยศกึ ษาเกีย่ วกับสถาปัตยกรรมแตล่ ะยุคสมยั ประเภทและ
รปู แบบของสถาปัตยกรรมไทย
๔.สมมุติฐาน
ผอู้ ่านได้รบั ความรเู้ กย่ี วกบั สถาปัตยกรรมไทยเบ้ืองต้นและนาความรไู้ ปเผยแพร่
และนาไปต่อยอดต่อไป
๕.ประโยชนท์ ่จี ะได้รับจากการทาโครงงาน
ได้ให้ความรเู้ พื่อไปสู่การอนรุ ักษ์ รักษาสถาปัตยกรรมไทย
ไดเ้ ผยแพรอ่ ัตลักษณ์และความร้เู ก่ยี วกบั สถาปตั ยกรรมไทย
3
บทท่ี ๒
เอกสารที่เกยี่ วข้อง
สถาปตั ยกรรมไทย หมายถงึ ศิลปะการก่อสรา้ งของไทยทีม่ มี ูลเหตุทีม่ าของการก่อสรา้ งการกอ่ สรา้ ง
อาคารบ้านเรือนในแต่ละท้องถ่ินจะมลี ักษณะผิดแผกแตกต่างกนั ไปบ้างตามสภาพทางภมู ิศาสตร์ และคตนิ ิยม
ของแตล่ ะท้องถิน่ แตส่ งิ่ ก่อสร้างทางศาสนาพทุ ธมักจะมีลักษณะท่ีไมแ่ ตกต่างกันมากนักเพราะมีความเชอื่ ความ
ศรัทธาและแบบแผนพธิ กี รรมที่เหมือน ๆ กัน อนั ไดแ้ ก่ วัด อาคาร บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร วงั สถปู และ
สิ่งก่อสรา้ งอนื่ ๆ มีลกั ษณะแตกต่างกนั ไปตามภูมศิ าสตร์ และคตินยิ ม สถาปตั ยกรรมไทยมมี านานตง้ั แต่ท่คี น
ไทยเริ่มต้ังถน่ิ ฐาน และได้พัฒนาและปรบั ปรงุ รูปแบบเพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั สภาพอากาศ สภาพภมู ปิ ระเทศ
สามารถจดั หมวดหมู่ ตามลักษณะการใช้งานได้ ๒ ประเภท คอื
๑.สถาปัตยกรรมท่ีใช้เป็นที่อยู่อาศัย ได้แก่ บา้ นเรือน ตาหนักวงั และพระราชวงั เป็นต้น บ้านหรอื
เรอื นเป็นท่ีอยู่อาศัยของสามัญชน ธรรมดาท่ัวไปคอื เรือนเครื่องผกู เปน็ เรือนไม้ไผป่ ูด้วยฟากไม้ไผห่ ลงั คามุงดว้ ย
ใบจากหญา้ คาหรอื ใบไม้อีกอยา่ งหนึ่งเรยี กว่าเรอื นเครื่องสบั เป็นไมจ้ รงิ ทั้งเน้อื อ่อน และเนอ้ื แขง็ ตามแตล่ ะ
ท้องถิ่นหลังคามุงดว้ ยกระเบื้องดนิ เผาพ้นื และฝาเปน็ ไม้จริงทง้ั หมดลักษณะเรอื นไม้ของไทยในแต่ละทอ้ งถิ่น
แตกต่างกันและโดยท่วั ไปแล้วจะมีลกั ษณะสาคัญรว่ มกันคือเปน็ เรือนไมช้ ั้นเดยี วใต้ถนุ สงู หลงั คาทรงจั่วเอียง
ลาดชัน
๒.สถาปัตยกรรมท่ีเก่ยี วข้องศาสนา
สถาปัตยกรรมทเี่ กีย่ วข้องศาสนา ซง่ึ สว่ นใหญ่อยู่ในบิรเวณสงฆ์ได้แก่ โบสถ์, วหิ าร, กุฏิ, หอไตร, หอระฆังและ
หอกลอง, สถูป, เจดีย์
แบง่ ได้ ๔ ประเภท คอื
๑.ธาตุเจดีย์ หมายถงึ พระบรมธาตแุ ละเจดยี ท์ ่ีบรรจุพระบรมสารรี กิ ธาตุของพระพทุ ธเจา้
๒.ธรรมเจดีย์ หมายถึง พระธรรมพระวินยั คาสง่ั สอนทุกอย่างของพระพุทธเจ้า
๓.บริโภคเจดีย์ หมายถงึ ส่ิงของเคร่ืองใชข้ องพระพทุ ธเจ้าหรือของพระภิกษสู งฆไ์ ด้แก่ เครื่อง
อัฐบริขารทงั้ หลาย
๔.อเุ ทสกิ เจดยี ์ หมายถึง สิ่งท่ีสรา้ งขนึ้ เพ่ือเป็นท่รี ะลกึ ถึงองคพ์ ระพทุ ธเจ้า เช่น สถปู เจดยี ์ ณ สถานที่
ทรงประสูติ ตรสั รู้ แสดงปฐมเทศนา ปรินพิ พานและรวมถงึ สญั ลกั ษณ์อยา่ งอืน่ เช่น พระพุทธรปู ธรรมจักร
ต้นโพธ์ิ
สถาปัตยกรรมไทยสามารถแบ่งได้เปน็ ยุคๆ ได้ดงั นี้
ยคุ ทวาราวดี (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖)
ยคุ ศรวี ชิ ยั (พุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๘)
ยุคลพบุรี (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘)
ยุคเชยี งแสน (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ - ๒๓)
ยุคสุโขทยั (พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ - ๒๐)
ยุคอ่ทู อง (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๒๐)
ยคุ อยธุ ยา (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๓)
สมยั รัตนโกสนิ ทร์
4
ยคุ ทวาราวดี (พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๖)
จะปรากฏอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย แถบจังหวดั นครปฐม สพุ รรณบุรี สงิ หบ์ ุรี ลพบุรี ราชบรุ ี
และ ยงั กระจายไปอยทู่ ุกภาคประปราย เชน่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตะวันออกและใต้ มักก่ออฐิ และใช้สอดนิ
เชน่ วัดพระเมรุ และเจดียจ์ ุลปะโทนวดั พระประโทน อาเภอเมืองนครปฐม จงั หวัดนครปฐม บางแหง่ มีการใช้
ศลิ าแลงบา้ ง เชน่ ก่อสรา้ งบริเวณฐานสถูป การก่อสรา้ งเจดียใ์ นสมยั ทวาราวดีทีพบท้ังเจดีย์ฐานส่เี หลย่ี ม เจดีย์
ทรงระฆังควา่ มียอดแหลมอยู่ด้านบน
ยคุ ศรวี ชิ ัย (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๘)
พบในภาคใตล้ กั ษณะของสถาปัตยกรรมแบบศรีวชิ ยั คอื การสร้างสถูปทรงมณฑปให้มีฐานและเรือน
ธาตุรูปสเ่ี หล่ียมจัตุรัส สว่ นยอดเปน็ เจดียแ์ ปดเหลีย่ ม สว่ นฐานปากระฆังสรา้ งเป็นชนึ้ ลดหลนั่ กนั ไป มีเจดีย์
ประดบั มมุ และซุ้มบันแถลงในแต่ละทิศ เชน่ พระบรมธาตุไชยา จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี
ยคุ ลพบุรี (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘)
พบบรเิ วณ ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนอื มีรูปแบบคล้ายศลิ ปะขอม เชน่
เทวาลัย ปราสาท พระปรางค์ ตา่ งๆ นิยมใช้อฐิ หินทรายและศิลาแลง โดยใช้อิฐและหินทรายสาหรับสรา้ งเรอื น
ปราสาทและใชศ้ ิลาแลง สร้างสว่ นฐาน ตอ่ มากส็ ร้างด้วยศลิ าแลงทัง้ หลงั เช่น ปรางคว์ ดั พระพายหลวง จังหวดั
สุโขทยั และ พระปรางคส์ ามยอด จังหวดั ลพบรุ ี
ยคุ เชยี งแสน (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ - ๒๓)
พบในภาคเหนือ สถาปตั ยกรรมส่วนใหญ่สรา้ งเพื่อเป็นศาสนสถาน อาณาจักรเชยี งแสนได้รบั เอา
ศลิ ปวฒั นธรรมมาจากดินแดนแหง่ อืน่ เข้าผสมผสาน ทั้งศิลปะสโุ ขทยั ศลิ ปะทวาราวดี ศลิ ปะศรีวิชยั ศลิ ปะพมา่
พบว่าได้มีศิลปะพมา่ ผสมผสานอยูด่ ้วย
สถาปตั ยกรรมยุคเชียงแสน เกยี่ วขอ้ งกับพุทธศาสนา ทั้งโบสถ์ วหิ าร เจดยี ์ โดยโบสถแ์ ละวิหารสร้างดว้ ยไม้ เสา
และฝาทาจากไม้ ฝาทาเปน็ แบบฝาปะกน หลงั คาเป็นหลงั คาซ้อนหลายชัน้ กระเบอ้ื งมุงหลังคาทาจากกระเบื้อง
ดนิ เผาและไม้ ไม่นยิ มตีฝ้าเพดาน มที างข้นึ ทางด้านด้านหน้า และทางลงทางดา้ นข้าง
ยุคสุโขทยั (พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ - ๒๐)
เจดยี ท์ รงพุ่มข้าวบิณฑศ์ ลิ ปะสุโขทัยเร่มิ ต้นราว พ.ศ.๑๗๘๐ วัสดทุ ี่ใชใ้ นการก่อสร้างใชอ้ ิฐและศลิ าแลง
เปน็ หลกั อาจใชห้ ินชนวนบา้ ง ศลิ าแลงที่มขี นาดใหญ่และใช้กอ่ ส่วนฐานอาคารจะใช้วิธีเรียงทับตามแบบ
อทิ ธพิ ลเขมร โดยไม่มีตวั ประสาน ส่วนศิลาแลงขนาดเล็กจะใช้ดนิ เป็นตัวประสานเช่นเดียวกบั อิฐ เมือ่ กอ่ วสั ดุ
เสร็จแลว้ จะฉาบปูนทบั อีกช้นั หนง่ึ ปนู ที่ใช้ฉาบผนงั หรอื ทาลวดลายประดบั ประกอบดว้ ย ปูนขาว ทราย
น้าอ้อย หนังสัตวเ์ ค่ียวจนเปื่อยเปน็ น้าเหนียว
อาคารท่ีใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา คือ วหิ ารและอโุ บสถ วหิ าร นิยมสรา้ งขนาดใหญ่ และต้งั อยูใ่ นแกน
หลกั ของวดั ส่วนโบสถ์เปน็ อาคารทพี่ ระสงฆ์ใช้ประกอบกิจจะมขี นาดเลก็ มักจะตง้ั อย่นู อกคูนา้ หรอื นอกกาแพง
วัด มใี บเสมาหินชวนปักคู่ ๘ตาแหนง่ แผนผังอาคารท้งั สองประเภทเป็นรปู ส่เี หลีย่ มผนื ผา้ ยกฐานสงู จากระดบั
พืน้ ดินประมาณ ๑เมตร มขี นาดตงั้ แต่ ๔-๑๑ห้อง (ชว่ งเสา) ด้านกว้างหรือดา้ นสกัดจะมชี ว่ งเสากลางตามความ
5
กว้างของหอ้ งและมีชว่ งเสาเล็กที่รับชายคา ฐานและเสาก่อด้วยอิฐหรือศิลาแลง เสาจะมีทง้ั แบบกลมและแปด
เหลยี่ ม โครงสร้างหลังคาใช้ไม้ มุงดว้ ยกระเบื้องดินเผาแบบขอเต็มลดหล่ันไลก่ ันเป็นทอด ๆ มีการทาเครื่องสังค
โลกมาประดบั สว่ นหลงั คาเชน่ วิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสโุ ขทัย
สาหรับสถาปัตยกรรมที่ใชส้ กั การะในรปู สญั ลักษณ์ ไดแ้ ก่ เจดีย์ มณฑป และปรางค์
เจดีย์มี ๓แบบคือ
๑.เจดยี แ์ บบสุโขทัยแท้ หรอื เจดยี ท์ รงพุม่ ข้าวบณิ ฑ์ ฐานทาเปน็ ฐานส่ีเหลี่ยมซ้อนกนั สามชัน้ จากนนั้
ทาเป็นฐานบวั ถดั ขน้ึ ไปเป็นชน้ั แวน่ ฟา้ ย่อเหล่ียมไมย้ ่สี ิบซ้อนกนั ๒ชั้น ขึน้ ไปเป็นเรือนธาตยุ ่อเหล่ยี มไมย้ ส่ี บิ
๒.เจดยี ์ทรงกลมแบบลังกา ฐานล่างทาเปน็ ฐานสเี่ หลี่ยมซอ้ นกนั ๒-๓ชัน้ จากนนั้ คือ ฐานบัวหนึ่งช้นั
หรอื สองช้ัน ถัดไปเปน็ มาลยั เถาเรียงซ้อนลดหลน่ั กันขึน้ ไป ๓ชนั้ (อาจเรยี กว่า บัวถลา) ถือเปน็ ลกั ษณะเฉพาะ
ของเจดยี ์ทรงกลมแบบสโุ ขทยั ถดั ไปคือ องคร์ ะฆังซึ่งบรเิ วณส่วนล่างจะมีบัวปนู ปนั้ ประดับ เรียกกันว่า บวั ปาก
ระฆงั องค์ระฆังรองรบั ส่วนท่เี ป็นบัลลงั ก์ เหนือบัลลงั ก์ขน้ึ ไปเป็นสว่ นแกน แล้วเป็นปล้องไฉนปลียอด จนถงึ เมด็
น้าคา้ งเปน็ ท่ีสุด
๓.เจดยี แ์ บบศรวี ชิ ัย หรอื เจดยี ์ทรงปราสาท ฐานทาเป็นฐานส่ีเหล่ียมถดั ข้ึนไปเป็นเรือนธาตุ ตรงมุมของเรือน
ธาตุ ประดับด้วยเจดยี ์ขนาดเล็กท้ังส่ีมมุ ต่อจากเรือนธาตขุ ึ้นไปเปน็ ฐานแปดเหลยี่ มรองรับองค์ระฆงั แล้วจงึ
เป็นปลียอด
มณฑป มี ๒แบบคือ
๑.มณฑปที่มีลักษณะแผนผงั เป็นรูปสเ่ี หล่ียมจัตุรัส ผนงั ดา้ นข้างก่อหนา มที างเข้าทางเดียว โครงสร้าง
หลังคาเปน็ เครื่องไมซ้ ้อนเป็นช้นั ๆ ใช้กระเบ้อื งดินเผามงุ หลงั คา
๒.มณฑปโถง ตรงกลางจะมีแท่นทึบเพื่อรับส่วนหลังคา และมีพระพทุ ธรูปประดับผนงั ท้งั สดี่ ้าน
ยุคอู่ทอง (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๒๐)
เป็นศิลปะทเี่ กดิ จากการรวมกันของศิลปะทวาราวดี และอารยธรรมขอม มีความเกี่ยวข้องกบั พุทธ
ศาสนานิกายหินยาน เอกลกั ษณ์เช่น วหิ ารไมเ่ จาะหนา้ ตา่ ง แตส่ ร้างเป็นทรงยาว ชน้ั หลงั คาเตย้ี ลักษณะเจดยี ์
แบบยุคอู่ทอง คอื ลกั ษณะฐาน ๘เหลย่ี ม เรอื นฐาน ๘เหลีย่ ม มีซุ้มจรนารับฐานบวั ลกู แก้วและองค์ระฆังเช่น
พระปรางคอ์ งคใ์ หญ่ในวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ จงั หวัดลพบรุ ี
ยคุ อยธุ ยา (พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ - ๒๓)
เอกลักษณ์ของสถาปตั ยกรรมในยุคน้ี คือการออกแบบให้แสดงถึงความยง่ิ ใหญ่ ร่ารวย สถาปัตยกรรม
จึงมีขนาดและรปู รา่ งสงู ใหญ่ ตกแตง่ ดว้ ยการแกะสลักปดิ ทอง โบสถว์ ิหารในกรงุ ศรีอยธุ ยาไมน่ ิยมสรา้ งใหม้ ี
ชายคายืน่ ออกมาจากหัวเสามากนกั สว่ นใหญ่มีบวั หัวเสาเป็นรูปบวั ตมู และนิยมเจาะผนังอาคารใหเ้ ปน็ ลูกกรง
เลก็ ๆแทนชอ่ งหนา้ ต่าง ลักษณะเดน่ ของการก่อสรา้ งโบสถ์วหิ ารอกี อยา่ งคือ การปล่อยแสงใหส้ าดเขา้ มาใน
อาคารมากขึน้ โดยจะออกแบบให้แสงเขา้ มาทางด้านหนา้ และฉายลงยงั พระประธาน
สมัยอยุธยาตอนปลาย รูปแบบสถาปตั ยกรรมถอื ว่าอยู่ในจุดสูงสดุ คือเปน็ สถาปัตยกรรมท่สี ามารถตอบสนอง
ความต้องการของมนุษย์ได้ทุกประการ และมีความงดงามออ่ นชอ้ ยตามลักษณะแบบไทยๆเชน่ วหิ ารพระมงคล
บพติ ร
6
สมัยรัตนโกสนิ ทร์
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกลา้ เจ้าอย่หู วั นบั เปน็ ยคุ ทองแห่งศลิ ปะจนี มีการใชก้ ารก่ออฐิ ถือปนู
และใช้ลวดลายดนิ เผาเคลือบประดบั หน้าบันแทนแบบเดิม
สมัยรชั กาลท่ี ๔เรมิ่ มีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากข้ึน มกี ารสร้างอาคารต่างชนิดเพื่อรองรับกิจกรรมทาง
ธุรกิจนอกเหนือจากทอ่ี ยู่อาศัยและวัดวาอารามในอดีต ไดแ้ ก่ โรงงาน โรงสี โรงเล่อื ย หา้ งร้านและท่ีพักอาศัย
ของชาวตะวันตก นอกจากน้ีการสรา้ งอาคารของทางราชการ กระทรวงตา่ ง ๆ และพระราชวงั ทีม่ ีรูปแบบ
ตะวันตกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมไทย เช่น พระท่ีนั่งจกั รีมหาปราสาท พระทนี่ ั่งอนันตสมาคมวัดท่ีมีการ
ผสมผสานสถาปัตยกรรมตะวนั ตกเช่น วัดนิเวศธรรมประวัติ ในจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ซ่ึงเปน็ ศิลปะแบบกอ
อิฐ
สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพได้แบ่งประเภท ของบ้านเรือนในกรุงเทพตามแบบวฒั นธรรมออกเป็น ๓
แบบ คอื
๑.แบบเดมิ คอื แบบเรือนของผู้มฐี านะ (ระดับ) เดียวกนั เคยทามาอยา่ งไรก็ทามาอย่างน้ัน มไิ ดค้ ดิ
เปล่ียนแปลงยกตวั อยา่ งเชน่ วงั เจา้ บา้ นนายขนุ
๒.แบบผสม คอื เอาตึกฝรง่ั หรือเก๋งจีนมาสร้างแทรกเข้าบ้าง เขา้ ใจว่าเกิดขน้ึ ในรัชการที่ ๔และตอ่ มา
จนต้นรัชกาลท่ี ๕เช่นการแก้ไขตาหนกั ท่ีวงั ท่าพระ
๓.เปลย่ี นเป็นอย่างใหม่ คือ เลกิ สรา้ งเรอื นแบบไทยเดิม และตกึ ฝร่ัง เก๋งจนี คิดทาเป็นตกึ ฝรั่งทเี ดยี ว
เกดิ ขึ้นในสมยั รัชกาลที่ ๕
รูปแบบของสถาปตั ยกรรมในสมัยน้ันกค็ งเอกลักษณ์ไทยเอาไวบ้ ้าง เช่นการนาหน้า ตาสถาปัตยกรรมไทยเขา้ มา
ใส่ดา้ นหน้าของตึกเช่นลายฉลุไม้ หลงั คา ทรงจว่ั
7
บทท่ี ๓
วิธีดาเนินการศกึ ษา
๑. เคร่ืองมือทใี่ ช้
- อุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกต่างๆ
- อินเทอร์เนต็
๒. แหลง่ ศึกษาคน้ คว้า
- เว็บไซต์ในอนิ เทอร์เนต็
๓. วธิ ีการศกึ ษา
ข้ันที่ ๑ ขั้นศกึ ษา
- เสนอโครงสรา้ งของโครงงานต่อครูและขอคาปรึกษา
- ประชุมสมาชกิ ในกลุ่มแบ่งเขตการศึกษาค้นควา้
- ศกึ ษาข้อมูลจากอนิ เทอร์เน็ต
- รวบรวมข้อมลู จากเวบ็ ไซต์ต่างๆ
- จดั ทาชิ้นงานและรูปเลม่ นาเสนอตอ่ อาจารย์ท่ีปรึกษา เพ่อื ปรับปรุงแก้ไขในส่วนทบ่ี กพร่อง
ขั้นที่ ๒ ขัน้ นาเสนอผลงาน
- แนะนาและชแ้ี จงการจดั ทาโครงงาน หนา้ ช้นั เรียน
- เสนอผลงาน
- แนะนานักเรียนศกึ ษาค้นคว้าเพ่ิมเติม
- จดั ทาเอกสารเผลแพรผ่ ลงาน
- จดั การนาเสนอหน้าชน้ั เรยี น
8
บทที่ ๔
ผลการศกึ ษา
สถาปัตยกรรมไทย หมายถึงศิลปะการก่อสร้างของไทย อันได้แก่ อาคาร บา้ นเรือน โบสถ์ วหิ าร วงั
สถูป และสิ่งก่อสรา้ งอ่ืน ๆ มีลกั ษณะแตกตา่ งกันไปตามภมู ิศาสตรแ์ ละคตินิยม สถาปัตยกรรมไทย มมี านาน
ต้งั แต่ที่คนไทยเร่ิมต้งั ถิ่นฐาน เป็นเวลาร่วม 4000 ปี บรรพบุรุษไทยได้พัฒนาและปรบั ปรุงรูปแบบ
สถาปัตยกรรมอันเปน็ สิง่ จาเป็นต่อการดารงชีวิต เพื่อให้เหมาะสมกบั สภาพอากาศ สภาพภูมปิ ระเทศ โดย
เพ่ิมเติมใสเ่ อกลกั ษณ์ความเป็นไทยเขา้ ไป ซึ่งนับเปน็ การแสดงออกความสามารถของบรรพบรุ ษุ ไทย สามารถ
แบ่งยคุ ไดเ้ ป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คอื สถาปัตยกรรมไทยสมยั ประวัตศิ าสตร์ และ สถาปตั ยกรรมสมยั
รตั นโกสนิ ทร์สามารถจดั หมวดหมู่ ตามลักษณะการใช้งานได้ 2 ประเภท คือ
สถาปตั ยกรรมที่ใช้เป็นท่ีอยูอ่ าศัย ไดแ้ ก่ บ้านเรอื น ตาหนักวัง และพระราชวงั เปน็ ต้น บา้ นหรอื เรือน
เป็นทีอ่ ยู่อาศยั ของสามญั ชน ธรรมดาทว่ั ไป ซึง่ มีทัง้ เรอื นไม้ และเรือนปนู เรือนไม้มีอยู่ 2 ชนดิ คอื เรือนเคร่ือง
ผกู และ เรือนเครื่องสับ
ตาหนกั และวงั เป็นเรือนที่อยู่ของชนชั้นสูง พระราชวงศ์ หรอื ใช้เรียกท่ปี ระทบั ชน้ั รอง ของพระมหากษัตรยิ ์
สถาปัตยกรรมทเี่ กยี่ วข้องศาสนา
ได้แก่ โบสถ์, วหิ าร, กุฏิ, หอไตร, หอระฆงั และหอกลอง, สถปู , เจดีย์
สถาปัตยกรรมไทยสมัยประวัตศิ าสตร์
สามารถแบง่ ไดเ้ ป็นยุคๆ ไดด้ ังนี้
ยคุ ทวาราวดี (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖)
ยุคศรีวชิ ยั (พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๘)
ยุคลพบุรี (ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๘)
ยุคเชยี งแสน (ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ - ๒๓)
ยุคสโุ ขทยั (พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ - ๒๐)
ยคุ อู่ทอง (ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ - ๒๐)
ยคุ อยุธยา (พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ - ๒๓)
สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์
ยุคทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖)
จะปรากฏอยใู่ นภาคกลางของประเทศไทย แถบจังหวัดนครปฐม สพุ รรณบรุ ี สิงห์บุรี ลพบุรี ราชบุรี
และ ยังกระจายไปอย่ทู ุกภาคประปราย เชน่ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ตะวนั ออกและใต้ มักก่ออฐิ และใช้
สอดินเช่น วัดพระเมรุ และเจดยี ์จลุ ปะโทนวัดพระประโทน อาเภอเมืองนครปฐม จงั หวัดนครปฐม บางแห่งมี
การใช้ศิลาแลงบา้ ง เชน่ กอ่ สร้างบรเิ วณฐานสถปู การกอ่ สร้างเจดีย์ในสมัยทวาราวดีทีพบท้งั เจดยี ์ฐาน
สีเ่ หลี่ยม เจดยี ์ทรงระฆงั ควา่ มยี อดแหลมอยู่ดา้ นบน
9
ยุคศรวี ชิ ัย (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๘)
พบในภาคใต้ลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบศรีวชิ ัย คือการสร้างสถูปทรงมณฑปใหม้ ีฐานและ
เรอื นธาตรุ ูปสเี่ หล่ียมจตั รุ ัส ส่วนยอดเป็นเจดียแ์ ปดเหลย่ี ม ส่วนฐานปากระฆงั สร้างเป็นชน้ึ ลดหล่นั กันไป มี
เจดีย์ประดบั มุมและซ้มุ บันแถลงในแต่ละทิศ เช่น พระบรมธาตุไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี
ยคุ ลพบรุ ี (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘)
พบบริเวณ ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื มรี ูปแบบคล้ายศิลปะขอม เช่น
เทวาลัย ปราสาท พระปรางค์ ต่างๆ นยิ มใช้อฐิ หินทรายและศลิ าแลง โดยใช้อิฐและหินทรายสาหรบั สร้าง
เรือนปราสาทและใช้ศลิ าแลง สร้างสว่ นฐาน ต่อมากส็ ร้างดว้ ยศลิ าแลงทงั้ หลงั เชน่ ปรางคว์ ัดพระพายหลวง
จงั หวัดสุโขทัย และ พระปรางคส์ ามยอด จงั หวัดลพบุรี
ยคุ เชยี งแสน (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ - ๒๓)
พบในภาคเหนือ สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่สรา้ งเพ่ือเปน็ ศาสนสถาน อาณาจักรเชยี งแสนไดร้ ับเอา
ศิลปวัฒนธรรมมาจากดินแดนแหง่ อนื่ เข้าผสมผสาน ทั้งศิลปะสโุ ขทยั ศลิ ปะทวาราวดี ศิลปะศรีวชิ ัย ศิลปะ
พม่าพบวา่ ได้มศี ิลปะพมา่ ผสมผสานอยู่ดว้ ย
สถาปัตยกรรมยคุ เชียงแสน เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ทั้งโบสถ์ วิหาร เจดยี ์ โดยโบสถ์และวิหารสร้างด้วยไม้
เสาและฝาทาจากไม้ ฝาทาเป็นแบบฝาปะกน หลังคาเป็นหลังคาซอ้ นหลายช้ัน กระเบอ้ื งมงุ หลังคาทาจาก
กระเบือ้ งดินเผาและไม้ ไมน่ ิยมตีฝา้ เพดาน มีทางข้นึ ทางดา้ นดา้ นหนา้ และทางลงทางดา้ นข้าง
ยุคสุโขทัย (พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ - ๒๐)
เจดียท์ รงพุ่มขา้ วบิณฑ์ศลิ ปะสโุ ขทยั เร่มิ ตน้ ราว พ.ศ.๑๗๘๐ วสั ดทุ ใี่ ช้ในการก่อสรา้ งใช้อิฐและศลิ า
แลงเปน็ หลกั อาจใชห้ นิ ชนวนบ้าง ศิลาแลงทม่ี ขี นาดใหญแ่ ละใชก้ อ่ สว่ นฐานอาคารจะใช้วธิ ีเรียงทบั ตาม
แบบอทิ ธพิ ลเขมร โดยไมม่ ตี ัวประสาน ส่วนศลิ าแลงขนาดเล็กจะใช้ดนิ เปน็ ตวั ประสานเช่นเดียวกบั อิฐ เมือ่
ก่อวสั ดเุ สรจ็ แลว้ จะฉาบปูนทับอีกชั้นหนึ่ง ปูนทใี่ ช้ฉาบผนังหรือทาลวดลายประดับประกอบด้วย ปนู ขาว
ทราย น้าอ้อย หนังสตั ว์เคีย่ วจนเปื่อยเป็นน้าเหนยี ว
อาคารท่ีใช้ประกอบพิธกี รรมทางศาสนา คือ วิหารและอุโบสถ วิหาร นิยมสรา้ งขนาดใหญ่ และตัง้ อยู่ใน
แกนหลกั ของวดั สว่ นโบสถ์เปน็ อาคารทีพ่ ระสงฆ์ใช้ประกอบกจิ จะมขี นาดเล็ก มกั จะตั้งอยนู่ อกคูน้าหรือ
นอกกาแพงวดั มใี บเสมาหนิ ชวนปักคู่ ๘ตาแหนง่ แผนผงั อาคารทั้งสองประเภทเป็นรูปสเ่ี หลีย่ มผืนผา้ ยก
ฐานสูงจากระดับพื้นดินประมาณ ๑เมตร มีขนาดตัง้ แต่ ๔-๑๑หอ้ ง (ชว่ งเสา) ด้านกว้างหรือด้านสกัดจะมี
ช่วงเสากลางตามความกวา้ งของห้องและมีชว่ งเสาเลก็ ทร่ี ับชายคา ฐานและเสาก่อดว้ ยอฐิ หรือศลิ าแลง เสา
10
จะมีท้ังแบบกลมและแปดเหลีย่ ม โครงสรา้ งหลงั คาใชไ้ ม้ มงุ ด้วยกระเบ้ืองดินเผาแบบขอเต็มลดหล่ันไล่กนั
เปน็ ทอด ๆ มกี ารทาเคร่ืองสังคโลกมาประดบั ส่วนหลังคาเชน่ วิหารหลวงวดั มหาธาตุ เมอื งสโุ ขทัย
สาหรับสถาปัตยกรรมท่ใี ชส้ กั การะในรูปสัญลกั ษณ์ ได้แก่ เจดีย์ มณฑป และปรางค์
เจดียม์ ี ๓แบบคอื
๑. เจดยี แ์ บบสุโขทัยแท้ หรือ เจดียท์ รงพุ่มขา้ วบณิ ฑ์ ฐานทาเปน็ ฐานส่ีเหล่ยี มซอ้ นกนั สามชัน้
จากนนั้ ทาเป็นฐานบวั ถัดขึ้นไปเป็นชน้ั แว่นฟ้ายอ่ เหล่ียมไม้ย่ีสิบซอ้ นกนั ๒ช้ัน ขน้ึ ไปเป็นเรือนธาตยุ ่อเหลี่ยม
ไม้ยส่ี บิ
๒. เจดยี ์ทรงกลมแบบลังกา ฐานล่างทาเป็นฐานสเ่ี หล่ียมซ้อนกัน ๒-๓ชัน้ จากน้ันคือ ฐานบัวหนงึ่
ช้ันหรอื สองชนั้ ถัดไปเปน็ มาลยั เถาเรียงซ้อนลดหลั่นกนั ข้ึนไป ๓ช้ัน (อาจเรยี กวา่ บวั ถลา) ถือเปน็
ลักษณะเฉพาะของเจดีย์ทรงกลมแบบสุโขทยั ถัดไปคือ องค์ระฆังซงึ่ บริเวณส่วนลา่ งจะมีบวั ปนู ปน้ั ประดบั
เรยี กกนั ว่า บัวปากระฆัง องคร์ ะฆังรองรับส่วนทเ่ี ป็นบัลลังก์ เหนือบลั ลังก์ข้ึนไปเปน็ สว่ นแกน แล้วเป็นปลอ้ ง
ไฉนปลยี อด จนถงึ เม็ดนา้ ค้างเป็นที่สุด
๓. เจดีย์แบบศรวี ชิ ัย หรือ เจดียท์ รงปราสาท ฐานทาเปน็ ฐานสีเ่ หลีย่ มถัดข้ึนไปเป็นเรือนธาตุ ตรง
มุมของเรอื นธาตุ ประดับด้วยเจดียข์ นาดเล็กทงั้ สีม่ ุม ต่อจากเรอื นธาตขุ นึ้ ไปเปน็ ฐานแปดเหล่ียมรองรับองค์
ระฆัง แลว้ จึงเปน็ ปลียอด
มณฑป มี ๒แบบคอื
๑.มณฑปทีม่ ลี ักษณะแผนผงั เป็นรูปส่เี หลี่ยมจัตรุ ัส ผนงั ด้านขา้ งก่อหนา มีทางเขา้ ทางเดยี ว โครงสรา้ ง
หลังคาเปน็ เครื่องไมซ้ อ้ นเป็นช้นั ๆ ใช้กระเบอื้ งดินเผามงุ หลงั คา
๒.มณฑปโถง ตรงกลางจะมีแท่นทึบเพ่ือรบั ส่วนหลังคา และมีพระพทุ ธรปู ประดับผนงั ท้ังสี่ดา้ น
ยุคอู่ทอง (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๗ - ๒๐)
เป็นศลิ ปะทเี่ กิดจากการรวมกันของศิลปะทวาราวดี และอารยธรรมขอม มีความเก่ียวข้องกับพุทธ
ศาสนานกิ ายหนิ ยาน เอกลักษณ์เชน่ วหิ ารไมเ่ จาะหนา้ ต่าง แตส่ รา้ งเปน็ ทรงยาว ช้นั หลงั คาเตี้ย ลกั ษณะ
เจดยี ์แบบยุคอู่ทอง คือ ลักษณะฐาน ๘เหลีย่ ม เรือนฐาน ๘เหลีย่ ม มซี ้มุ จรนารับฐานบัวลกู แก้วและองค์
ระฆังเช่น พระปรางค์องคใ์ หญ่ในวดั พระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบรุ ี
ยุคอยธุ ยา (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๓)
11
เอกลักษณข์ องสถาปัตยกรรมในยุคน้ี คือการออกแบบให้แสดงถงึ ความยิง่ ใหญ่ ร่ารวย
สถาปัตยกรรมจงึ มีขนาดและรูปร่างสูงใหญ่ ตกแต่งดว้ ยการแกะสลกั ปดิ ทอง โบสถ์วิหารในกรุงศรอี ยุธยา
ไมน่ ยิ มสรา้ งให้มีชายคายืน่ ออกมาจากหัวเสามากนกั ส่วนใหญม่ บี ัวหัวเสาเปน็ รูปบัวตมู และนิยมเจาะผนัง
อาคารใหเ้ ป็นลูกกรงเลก็ ๆแทนช่องหนา้ ต่าง ลกั ษณะเดน่ ของการก่อสร้างโบสถว์ ิหารอีกอย่างคือ การปล่อย
แสงให้สาดเขา้ มาในอาคารมากข้นึ โดยจะออกแบบให้แสงเข้ามาทางด้านหน้าและฉายลงยังพระประธาน
สมยั อยธุ ยาตอนปลาย รูปแบบสถาปัตยกรรมถอื วา่ อย่ใู นจุดสงู สุด คือเปน็ สถาปัตยกรรมท่สี ามารถ
ตอบสนองความต้องการของมนษุ ยไ์ ดท้ ุกประการ และมีความงดงามอ่อนช้อยตามลักษณะแบบไทยๆเชน่
วหิ ารพระมงคลบพิตร
สมยั รตั นโกสนิ ทร์
ในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หัว นับเป็นยคุ ทองแห่งศลิ ปะจนี มกี ารใชก้ ารกอ่ อฐิ ถือ
ปูนและใชล้ วดลายดินเผาเคลือบประดับหนา้ บนั แทนแบบเดิม
สมยั รัชกาลที่ ๔เร่ิมมกี ารติดตอ่ กับชาติตะวันตกมากขน้ึ มกี ารสรา้ งอาคารตา่ งชนิดเพื่อรองรับกจิ กรรมทาง
ธุรกจิ นอกเหนอื จากทอ่ี ยูอ่ าศัยและวัดวาอารามในอดีต ได้แก่ โรงงาน โรงสี โรงเลือ่ ย ห้างรา้ นและที่พัก
อาศัยของชาวตะวันตก นอกจากนี้การสร้างอาคารของทางราชการ กระทรวงต่าง ๆ และพระราชวงั ที่มี
รูปแบบตะวันตกผสมผสานกับสถาปตั ยกรรมไทย เช่น พระที่นง่ั จักรมี หาปราสาท พระทนี่ ั่งอนันตสมาคมวดั
ที่มกี ารผสมผสานสถาปัตยกรรมตะวันตกเชน่ วดั นิเวศธรรมประวัติ ในจังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ซ่ึงเป็น
ศิลปะแบบกออฐิ
สมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพไดแ้ บง่ ประเภท ของบ้านเรือนในกรงุ เทพตามแบบวฒั นธรรมออกเป็น ๓
แบบ คือ
๑.แบบเดมิ คือ แบบเรือนของผู้มฐี านะ (ระดับ) เดียวกัน เคยทามาอย่างไรก็ทามาอยา่ งนั้น มิได้คิด
เปลี่ยนแปลงยกตัวอย่างเช่น วังเจา้ บา้ นนายขุน
๒.แบบผสม คือ เอาตึกฝรงั่ หรอื เก๋งจนี มาสรา้ งแทรกเข้าบ้าง เข้าใจว่าเกิดขึ้นในรชั การที่ ๔และ
ต่อมาจนตน้ รชั กาลที่ ๕เช่นการแกไ้ ขตาหนักท่ีวงั ทา่ พระ
๓.เปลีย่ นเป็นอยา่ งใหม่ คือ เลกิ สร้างเรอื นแบบไทยเดมิ และตึกฝรั่ง เกง๋ จนี คิดทาเป็นตึกฝร่งั
ทีเดยี ว เกิดขน้ึ ในสมัยรชั กาลที่ ๕รปู แบบของสถาปตั ยกรรมในสมัยน้นั ก็คงเอกลักษณ์ไทยเอาไว้บ้าง เชน่
การนาหน้า ตาสถาปัตยกรรมไทยเข้ามาใสด่ ้านหนา้ ของตึกเช่นลายฉลไุ ม้ หลงั คา ทรงจ่วั
12
บทที่ ๕
สรุปผลการศึกษา
การศกึ ษาโครงงานเรือ่ งสถาปัตยกรรมไทย เป็นไปเพื่อศกึ ษาหาความรูเ้ พิ่มเติม
สง่ เสรมิ การแสวงหาความรูน้ อกห้องเรียน โดยศึกษาจากอินเตอร์เนต็ แหล่งสารสนเทศ และความรู้รอบตัวหรอื
ความรู้ท่ัวไป ในเรื่องสถาปัตยกรรมไทย
๑. ประโยชน์ทจ่ี ะได้รับจากการทาโครงงาน
- ได้ใหค้ วามรู้เพ่ือไปสู่การอนรุ ักษ์ รักษาสถาปัตยกรรมไทย
- ไดเ้ ผยแพร่อัตลกั ษณ์และความรเู้ ก่ยี วกับสถาปตั ยกรรมไทย
๒. การนาผลการศึกษาไปใช้
- ได้เปน็ สว่ นหน่ึงในการสบื สาร สรา้ งสรรค์คาและต่อยอดมรดกและวฒั นธรรม
- ไดค้ วามรูเ้ กีย่ วกบั เร่ืองสถาปตั ยกรรมไทยเพมิ่ ขนึ้ และไดเ้ ผยแพรแ่ ก่คนทไ่ี ม่รู้
๓. ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาค้นควา้ ในเร่ืองสถาปตั ยกรรมไทย อาจจะทาให้ไมเ่ ขา้ ใจในรายละเอยี ดบางส่วน และ
ต้องการให้คนทย่ี ังไม่เขา้ ใจในขอ้ มลู ทีร่ วบรวมไวใ้ ห้ หากมโี อกาสนา่ จะศึกษาเพ่ิมเติมมากกวา่ น้ี
13
บรรณานกุ รม
สถาปตั ยกรรมไทย. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : สถาปัตยกรรมไทย
- วิกพิ เี ดยี https://th.wikipedia.org › wiki › สถาปัตยกรรมไทย
สถาปัตยกรรมไทย. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก : สถาปัตยกรรมไทย
-mintwanwisa2544 - Google Siteshttps://sites.google.com › site › sthapatykrrm-thi
สถาปัตยกรรมไทย. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก : สถาปัตยกรรมไทย - สถาปัตยกรรม –
Google Siteshttps://sites.google.com › sthapatykrrm › sthapatykrrm-thiy
สถาปัตยกรรมไทย. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ไดจ้ าก : สถาปตั ยกรรมไทย
-SlideSharehttps://www.slideshare.net › pongpangud13
ววิ ฒั นาการและรปู แบบการประกอบอาชีพสถาปัตยกรรมในประเทศไทย".
วารสารสภาสถาปนิกฉบบั เดือนธันวาคม 2552 หน้า 23-27
บ้านในกรุงเทพ:รปู แบบการเปลีย่ นแปลงในรอบ 200 ปี, ผสุ ดี ทิพทสั ,
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั