5.1 ปฏิกิรยิ าการเผาไหม้
ปฏิกิริยาการเผาไหม้เกิดจากเชื้อเพลิง ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน
(H) และธาตุคาร์บอน (C) เป็นองค์ประกอบหลัก ทาปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจน
ในอากาศ (O2) ซึ่งหากเกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะได้ผลิตภัณฑ์เป็น
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) และไอน้า (H2O) แต่หากเกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้
ไมส่ มบรู ณ์ จะเกิดเขม่า (ผงคารบ์ อน) แก๊สคารบ์ อนมอนอกไซด์ (CO) และไอน้า
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
1) ปฏิกิริยาการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ เป็นปฏิกิริยาการเผาไหม้
ท่ีเ กิด ข้ึ น ใ นภ าว ะที่ มี แก๊ ส อ อก ซิ เจ นม าก เ กิน พ อ จ ะ ได้ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์
เปน็ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละไอน้า
สมการข้อความ
เช่น
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3
เราสามารถทดสอบแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ได้
โดยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะทาให้น้าปูนใส [Ca(OH)2] ขุ่น ดังน้ี
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
2) ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ไม่สมบรู ณ์ เปน็ ปฏิกิริยาการเผาไหม้ท่ีเกิดขึ้นโดยมี
แก๊สออกซิเจนน้อยไม่เพียงพอต่อการเกิดปฏิกิริยาหรือมีพลังงานไม่เพียงพอ
จะไดผ้ ลติ ภัณฑเ์ ป็นเขม่า (ผงคารบ์ อน) แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ และไอน้า
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3
สมการข้อความ
เช่น
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3
ก า ร เ ผ า ไ ห ม้ ท่ี ไ ม่ ส ม บู ร ณ์ จ ะ ท า ใ ห้ เ กิ ด เ ข ม่ า สี ด า ส ก ป ร ก
และแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษต่อการหายใจ ถ้าสูดดมแก๊สชนิดนี้
เพียงเล็กน้อยจะรูส้ ึกเวียนศีรษะ ถ้าสูดดมมากอาจทาให้ปวดศีรษะได้และถ้าสูดดม
มากเกินไปอาจทาใหส้ ลบหรอื เสยี ชีวติ ได้
การเผาไหมข้ องเช้ือเพลิง
ทไ่ี ม่สมบรู ณ์ ทาใหเ้ กดิ เขมา่ สดี า
และแกส๊ คารบ์ อนมอนอกไซด์
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
5.2 ปฏิกิริยาของกรดกบั โลหะ
ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ เกิดจากโลหะส่วนใหญ่สามารถเกิดปฏิกิริยากับกรด
แล้วได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะ และแก๊สไฮโดรเจน ทาให้อะตอมของโลหะซ่ึง
เป็นสารตั้งต้นเกิดการสึกกร่อนหายไป กลายเป็นเกลือของโลหะ ซึ่งเป็นสารใหม่
มสี มบตั ิแตกต่างจากโลหะเดมิ
สมการขอ้ ความ
เช่น
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3
5.3 ปฏิกริ ิยาการเกิดสนมิ ของโลหะ
ปฏิกิริยาการเกิดสนิมของโลหะ เกิดจากโลหะทาปฏิกิริยากับ น้าและ
แก๊สออกซิเจนเกิดเป็นสนิมหรือออกไซด์ของโลหะ ทาให้อะตอมของโลหะซ่ึงเป็น
สารต้ังต้นเกิดการสึกกร่อนหายไปกลายเป็นออกไซด์ของโลหะ ซ่ึงเป็นสารใหม่
มสี มบตั แิ ตกต่างจากโลหะเดมิ
สมการขอ้ ความ
เชน่
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3
5.4 ปฏกิ ิริยาของเบสกับโลหะบางชนิด
เบสสามารถเกิดปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด เช่น อะลูมิเนียม (Al)
สงั กะสี (Zn) ตะกว่ั (Pb) ได้เกลอื ของเบส และแก๊สไฮโดรเจน
สมการข้อความ
เช่น
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
5.5 ปฏกิ ิรยิ าของกรดกับสารประกอบคาร์บอเนต
วัสดุที่นักเรียนรู้จัก เช่น อิฐ หินปูน กระเบื้องปูห้องน้าชนิดไม่เคลือบ คอนกรีต
ล้วนมีแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3 ) เป็นองค์ประกอบ จึงเรียกว่า วัสดุคาร์บอเนต
ซ่งึ ถา้ ลองสงั เกตดจู ะพบวา่ วสั ดุเหลา่ น้ีเกดิ การสึกกร่อนได้ ปฏกิ ิรยิ าดงั กล่าวเกิดได้ ดังนี้
สมการข้อความ
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
ในธรรมชาติเม่ือฝนตกลงมาจะละลายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในอากาศ
และเกิดปฏิกิริยากันกลายเป็นสารละลายกรดคาร์บอนิก (H2CO3) ทาให้น้าฝนมีกรด
คาร์บอนิก (H2 CO3 ) ปนอยู่ เมื่อน้าฝนไหลซึมไปตามก้อนหินหรือภูเขาท่ีเป็นหินปูนก็
จะทาปฏิกริ ิยาเคมกี ับแคลเซียมคาร์บอเนตในหินปูนได้สารละลายแคลเซียมไฮโดรเจน-
คาร์บอเนต และเม่ือสารละลายน้ีไหลซึมลงมาตามเพดานถ้าแล้วน้าระเหยไปหมด
จะเหลือตะกอนปูนเกาะสะสมอยู่เป็นระยะเวลานานก็จะกลายเป็นหินย้อยท่ีเพดาน ถ้า
แต่ถ้าสารละลายนี้หยดลงบนพ้ืน ถ้า เม่ือน้าระเหยไปจะเหลือตะกอนปูน
เกาะสะสมอยู่ เมือ่ เวลาผ่านไปนาน ๆ กจ็ ะกลายเป็นหนิ งอกได้ ดังปฏิกริ ิยาเคมีตอ่ ไปนี้
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3
H2O (I) + CO2(g) H2CO3(aq)
(นา้ ฝนทาปฏิกิรยิ ากับแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์) (กรดคาร์บอนิก)
หินงอก หนิ ย้อยในถา้ H2CO3 (aq) + CaCO3(s)
(กรดคารบ์ อนิกทาปฏกิ ริ ิยากับหินปนู )
Ca(HCO3)2(aq)
(แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต)
ความร้อน
CaCO 3(s) + H2O (I) + CO2 (g)
หินงอก หนิ ยอ้ ย
(งอกจากพน้ื ถา้ ) (ย้อยจากเพดานถา้ )
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3
5.6 ปฏิกริ ิยาของกรดกับเบส
เ ม่ื อ ม นุ ษ ย์ รั บ ป ร ะ ท า น อ า ห า ร ม า ก เ กิ น ไ ป จ ะ เ กิ ด อ า ก า ร ท้ อ ง อื ด ท้ อ ง เ ฟ้ อ
แต่เมื่อรับประทานยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะทาให้มีอาการดีขึ้น ที่เป็นเช่นน้ี
เพราะเม่ือรับประทานอาหารมากเกินไป กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ-
อาหารจะหล่ังออกมามาก จึงทาให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ ซ่ึงอาการดังกล่าว
สามารถแก้ไขได้โดยการรับประทานยาลดกรด เพราะยาลดกรดดังกล่าวมีสมบัติเป็น
เบส เมื่อรับประทานเข้าไปจะไปทาปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะอาหารของมนุษย์
ได้สารใหม่ คือ เกลือของโลหะ และน้า เรียกปฏิกิริยาระหว่างกรดและเบสว่า ปฏกิ ิริยา
การสะเทิน ซึง่ เกดิ ขึ้นได้ ดงั นี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3
สมการขอ้ ความ
เชน่
จากปฏิกิริยาดังกล่าว เม่ือกรดกับเบสทาปฏิกิริยาพอดีกัน จะได้ผลิตภัณฑ์เป็น
เกลอื แกง (โซเดียมคลอไรด)์ และน้า ซ่ึงมีสมบตั ิเปน็ กลาง
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3
เบสบางชนิด เช่น แก๊สแอมโมเนีย (NH3 ) เมื่อทาปฏิกิริยากับกรด แล้วเกิดเกลือ
ของโลหะเพียงอย่างเดียว ดงั นี้
สมการข้อความ
เชน่
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3
5.7 ปฏิกิริยาการเกิดฝนกรด
โรงผลิตพลงั งานสว่ นใหญ่ผลิตพลงั งานจากการเผาไหม้ของซากส่ิงมีชวี ิต (เช้ือเพลิง
ซากดึกดาบรรพ์) ได้แก่ ถ่านหิน น้ามันดิบ และแก๊สธรรมชาติ กระบวนการเหล่านี้ทาให้
เกิดแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และแก๊สไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ข้ึน ซ่ึงเป็น
ต้ น เ ห ตุ ข อ ง ฝ น ก ร ด เ พ ร า ะ แ ก๊ ส ซั ล เ ฟ อ ร์ ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์ ร ว ม กั บ น้ า ใ น อ า ก า ศ ท่ี ชื้ น ม า ก
เป็นกรดซัลฟิวรัส (H2SO3) จากน้ันจะถูกออกซิไดส์ต่อเป็นกรดซัลฟิวริก (H 2SO4)
และในที่สุดกรดซัลฟิวริกที่เกิดขึ้นจะลงมาสู่ผิวดินพร้อมกับน้าฝน เป็นเหตุให้น้าฝนมี
ค่า pH ต่ากว่า 7 ซึ่งเรียกน้าฝนน้ีว่า ฝนกรด (acid rain) ซ่ึงฝนกรดส่วนใหญ่มีค่า pH
ระหวา่ ง 2.1-5.0 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3
ฝนกรดเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างน้ากับออกไซด์ของอโลหะที่เกิดจากการเผาไหม้
เชน่ แก๊สซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ (SO2 ) แกส๊ ซลั เฟอรไ์ ตรออกไซด์ (SO3) แกส๊ ไนโตรเจน-
ไดออกไซด์ (NO2 ) ซงึ่ สามารถอธบิ ายการเกิดปฏกิ ริ ิยาได้ ดังนี้
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
สมการข้อความ
เช่น
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
ผลกระทบท่ีเกิดจากฝนกรด เช่น ทาให้ดินเปร้ียวไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก
สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตทางการเกษตร กัดกร่อนวัตถุที่ทาด้วยโลหะ และวัสดุ
คาร์บอเนต เปน็ อนั ตรายตอ่ ระบบทางเดินหายใจและเนอื้ เยื่อตา่ ง ๆ ของร่างกาย
แนวทางการป้องกันแก้ไขการเกิดฝนกรด เช่น ควบคุมปริมาณแก๊สซัลเฟอร์-
ไดออกไซด์โดยเลือกใช้เช้ือเพลิงท่ีมีปริมาณกามะถันต่า ควบคุมการปล่อยควันจาก
โรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าและเลือกใช้เช้ือเพลิงที่มีคุณภาพ ใช้พลังงาน
ทดแทนจากธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้าแทนการเผาไหม้เชื้อเพลิง
ซากดึกดาบรรพ์
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
5.8 ปฏิกิรยิ าการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช
พืชสีเขียวมีบทบาทสาคัญในระบบนิเวศ คือ มีบทบาทเป็นผู้ผลิต ทาหน้าที่
สร้างอาหารด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง พืชต้องการแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) และน้าเป็นสารต้ังต้นในกระบวนการสังเคราะห์ด้วย
แสง โดยมีคลอโรฟิลล์และแสงเป็นตัวกระตุ้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้ คือ น้าตาลกลูโคส
น้า และแก๊สออกซิเจน ซ่ึงสามารถแสดงปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นได้ด้วยสมการ
การสังเคราะหด์ ้วยแสง ดังนี้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
สมการข้อความ
สมการเคมี
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชต้องใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
และน้า (H2O) เปน็ สารต้งั ต้นในปฏกิ ริ ยิ า ดังนั้น พชื สีเขยี วจงึ มีประโยชน์ในการช่วยลด
ปริมาณของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุของ
ภาวะโลกร้อน จงึ กลา่ วได้ว่า กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช เป็นกระบวนการ
ทมี่ คี วามสาคญั อย่างยงิ่ ตอ่ การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3
1. จากการเปลยี่ นแปลงตอ่ ไปนี้
A. แนฟทาลนี (ของแข็ง) แนฟทาลนี (แก๊ส)
B. แก๊สไฮโดรเจน + แก๊สออกซเิ จน น้า
C. แกส๊ ไนโตรเจน + แกส๊ ไฮโดรเจน แกส๊ แอมโมเนยี
ขอ้ ใดจดั เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมบี า้ ง
1. ข้อ A และ B
2. ข้อ B และ C เฉลย 2 เหตุผล ข้อ A ไม่ถูกต้อง
3. ขอ้ A และ C เ พ ร า ะ เ ป็ น ก า ร เ ป ล่ี ย น ส ถ า น ะ
4. ขอ้ A B และ C จัดเปน็ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3
2. การเปล่ียนแปลงข้อใดจดั เป็นการเปล่ียนแปลงทางกายภาพ
1. เทกรดลงในหนิ ปูนแลว้ เกดิ ฟองแกส๊
2. พชื นาออกซเิ จนเขา้ ไปใชใ้ นการหายใจ
3. พืชไดร้ บั แสงสวา่ งแล้วนาไปสร้างอาหาร
4. การรวมเป็นเน้ือเดยี วกนั ของตัวทาลายและตัวถกู ละลาย
เฉลย 4 เหตุผล การรวมตัวเป็นเน้ือเดียวกันของตัวทาละลายและตัวละลาย จัดเป็นการละลาย
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ไม่มีสารใหม่เกิดข้ึน ส่วนข้อ 1 2 และ 3 เป็นการ
เปลีย่ นแปลงทางเคมี เพราะหลงั การเปลี่ยนแปลงมีสารใหมเ่ กิดขึ้น
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
3. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 80 กรัม ทาปฏิกิริยากับกรดไฮโดรคลอริก
73 กรมั ไดผ้ ลติ ภัณฑ์เป็นเกลือโซเดียมคลอไรด์ 117 กรัม และน้า
จะเกดิ น้าจากปฏิกิรยิ านี้กก่ี รมั
1. 18 กรัม เฉลย 2 เหตผุ ล ใชก้ ฎทรงมวลในการอธบิ าย
2. 36 กรัม
3. 153 กรมั NaOH + HCl NaCl + H2O
4. 270 กรัม 80 g 73 g 117 g X g
จะได้ 80 + 73 = 117 + X
X = 36 g
ดงั นนั้ จะเกดิ นา้ จากปฏกิ ริ ิยานี้ 36 กรัม
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
4. ข้อใดเป็นปฏกิ ิรยิ าเคมแี บบคายความรอ้ น
A. การเผาไหม้ของเชอ้ื เพลิง
B. เทโซเดียมไฮดรอกไซดล์ งในน้าแล้วอุณหภูมสิ ูงข้นึ กว่าเดิม
C. เทสาร A รวมกบั สาร B ได้สาร C เมื่อจบั ดรู สู้ ึกเย็นกวา่ เดิม
1. ขอ้ A เฉลย 1 เหตุผล
2. ข้อ B A. เป็นปฏิกิริยาเคมแี บบคายความร้อน
3. ข้อ C B. เปน็ การละลายแบบคายความร้อน (ไมใ่ ช่ปฏิกริ ยิ าเคมี)
4. ข้อ A และ B C. เป็นปฏิกิริยาเคมีแบบดูดความร้อน เพราะหลังเกิดปฏิกิริยา
อณุ หภมู ลิ ดลง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3
5. ขอ้ ใดเป็นปฏิกิริยาเคมแี บบดดู ความรอ้ น
A. การเผาไหม้ของเช้ือเพลงิ
B. เทโซเดยี มไฮดรอกไซดล์ งในน้าแลว้ อณุ หภมู สิ งู ข้ึนกว่าเดิม
C. เทสาร A รวมกับสาร B ไดส้ าร C เมื่อจับดูรสู้ กึ เยน็ กว่าเดิม
1. ขอ้ A เฉลย 3 เหตผุ ล
2. ข้อ B A. เป็นปฏิกริ ยิ าเคมแี บบคายความรอ้ น
3. ขอ้ C B. เปน็ การละลายแบบคายความร้อน (ไม่ใช่ปฏิกิรยิ าเคมี)
4. ขอ้ A และ B C. เป็นปฏิกิริยาเคมีแบบดูดความร้อน เพราะหลังเกิดปฏิกิริยา
อุณหภูมลิ ดลง
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
6. การเกิดปฏิกิริยาต่อไปน้ี A + B C ถ้าปฏิกิริยานี้ต้องดูดพลังงานไปใช้ทาลาย
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคของสาร A และสาร B 2,000 กิโลจูล และต้องคาย
พลังงานออกมาเพ่ือสร้างแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคของ A และ B เกิดเป็นสาร C
1,200 กโิ ลจูล ขอ้ ใดกลา่ วถูกตอ้ ง
1. ปฏิกริ ยิ านี้เปน็ ปฏิกริ ยิ าดูดพลังงาน 2. เม่ือสน้ิ สุดปฏกิ ิรยิ าอุณหภมู จิ ะลดลง
3. ถูกทงั้ ขอ้ 1 และ 2 4. ผดิ ท้งั ขอ้ 1 และ 2
เฉลย 3 เหตุผล การเปล่ียนแปลงครั้งน้ีมีสารใหม่เกิดขึ้นจึงจัดเป็นปฏิกิริยาเคมี และพลังงานที่ดูดเข้าไป
มากกวา่ พลังงานทค่ี ายออกมา ดงั น้นั จึงเปน็ ปฏกิ ิริยาดูดพลังงาน ซ่งึ เมื่อสน้ิ สุดปฏกิ ิริยาจะมีอณุ หภูมิลดลง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3
7. การเกดิ หนิ งอก หนิ ย้อยเป็นผลมาจากปฏิกริ ิยาเคมีในข้อใด
1. ปฏิกริ ิยาระหว่างกรดกบั เฉลย 1 เหตุผล หินงอก หินย้อย คือ แคลเซียมคาร์บอเนตที่เกิด
สารประกอบคารบ์ อเนต
ในถ้าซึ่งเป็นผลมาจากฝนกรด ทาปฏิกิริยากับหินปูน หรือ
2. ปฏิกิริยาระหวา่ งกรดกบั โลหะ
แคลเซียมคาร์บอเนตได้แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ไหลซึม
3. ปฏิกริ ยิ าการสะเทิน
ไปตามเพดานถ้า แล้วน้าระเหยไปหมดเหลือตะกอนหินปูน
4. ปฏกิ ริ ยิ าการสนั ดาป
เกาะสะสมอยู่นาน ๆ ก็จะกลายเป็นหินย้อยท่ีเพดานถ้า แต่ถ้า
สารละลายนหี้ ยดลงบนพนื้ ถา้ เมื่อนา้ ระเหยไปจนกลายเป็นหินงอก
ดังสมการ
H2CO3 (aq) + CaCO3(s) Ca(HCO3)2(aq) หนิ งอก
Ca(HCO3 )2(aq) CaCO3 (s) + CO2 (g) หนิ ย้อย
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
8. เมื่อนาสารประกอบออกไซด์ของสาร A มาละลายน้าแล้วทดสอบด้วย
กระดาษลิตมัสปรากฏว่าเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสจากสี น้าเงิน
เปน็ สีแดง แสดงวา่ สาร A ควรเป็นสารขอ้ ใด
1. โพแทสเซียม (K) 2. แมกนีเซยี ม (Mg)
3. กามะถัน (S) 4. อาจเปน็ ไปไดท้ ง้ั ข้อ 1 และ 2
เฉลย 3 เหตุผล ออกไซด์ของอโลหะเป็นกรด โดยจะเปล่ียนสีของกระดาษลิตมัสจากสีน้าเงิน
เป็นสีแดง ดังน้นั สาร A ควรเป็นอโลหะ ซึง่ ก็คอื กามะถนั (S) ดงั น้ัน ขอ้ 1 และ 2 ไมถ่ ูกต้อง
เน่อื งจากโพแทสเซยี ม (K) และแมกนเี ซียม (Mg) เป็นโลหะ
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3
9. ข้อใดต่อไปนเ้ี ปน็ ขอ้ เสยี ท่เี กิดจากปฏกิ ิรยิ าเคมีในชีวติ ประจาวัน
A. การเกดิ หนิ งอก หินย้อย B. การเกิดฝนกรด C. การเกิดสนมิ ของเหลก็
1. ข้อ A และ B 2. ขอ้ B และ C
3. ข้อ A และ C 4. ขอ้ A B และ C
เฉลย 2 เหตุผล A เป็นประโยชน์ท่ีเกดิ จากปฏกิ ริ ิยาเคมี ทาใหเ้ กิดธรรมชาติท่งี ดงาม
B เปน็ ขอ้ เสยี เนอื่ งจากฝนกรดจะกัดกร่อนส่ิงก่อสร้างตา่ ง ๆ ทาใหส้ กึ กร่อนเสียหาย
C เป็นข้อเสยี เนอื่ งจากการเกิดสนมิ ทาใหโ้ ลหะสึกกร่อน
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3
10. ผลติ ภณั ฑ์ทเ่ี กดิ จากการเผาไหม้ไมส่ มบรู ณ์
ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายต่อชวี ติ มากท่สี ุดคือสารข้อใด
1. คารบ์ อน (เขม่า) เฉลย 3 เหตุผล แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์
2. แก๊สออกซิเจน (O2) (CO) เป็นแก๊สพิษที่เม่ือหายใจเข้าไปแล้ว
3. แกส๊ คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) จะเข้าไปรวมตัวกับฮีโมโกลบินได้เร็วกว่า
4. แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) แก๊สออกซิเจน ทาให้ร่างกายขาดแก๊ส-
ออกซเิ จน ซง่ึ อาจทาให้ตายได้
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3