๑
ประวตั ิบา้ นนาถ่ม
ในอดีตพทุ ธกาลก่อน นานมาแล้ว คนเรายัง
ด้อยการศึกษา ยังไม่ได้รับการศึกษาที่ดี ยัง
ขาดประสบการณ์ในด้านต่างๆ อยู่มาก ซ่ึง
ความเป็นมาของหมู่บ้านนาถ่ม เม่ือหลาย
ร้อยปีก่อนบรรพบุรุษของหมู่บ้านนาถ่มได้
ก่อตง้ั บ้านเรอื นอยู่ทีบ่ า้ นม่วงใหญ่
ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตัง้ ของหมบู่ ้านอมั พวนั ตอ่ มาเมอ่ื ประมาณปพี ุทธศกั ราช๒๔๒๐ หมู่บา้ นม่วงใหญ่
ไดเ้ กดิ โรคระบาด ชาวบา้ นจงึ ต้องอพยพแยกยา้ ยกนั ไปเพอ่ื หนโี รคระบาดและไดม้ าตั้งถน่ิ ฐานอยู่
บริเวณทศิ ตะวันออกของหม่บู ้านนาถม่ ปจั จุบนั และได้ยา้ ยถิ่นฐานอีกคร้งั หนึง่ เม่อื ปพี ทุ ธศักราช2467
โดยภายใตก้ ารนาของผ้ใู หญ่จารย์ชาวงค์ อินทร์ทอง ซง่ึ ทา่ นเปน็ ผู้ใหญบ่ า้ นคนแรกของหมบู่ า้ นนาถม่
ซ่งึ ยา้ ยมาวันแรก ๕ ครวั เรอื น ตอ่ มาก็ได้มีการขยายครอบครัว ประชากรในหมู่บา้ นเพมิ่ ขึ้นและญาตพิ ่ี
นอ้ งบ้านใกลเ้ รือนเคียงไดอ้ พยพเข้ามาอาศยั อยู่ทาให้มปี ระชากรมาขน้ึ จนมีหลายครอบครัวและได้
เปน็ หม่บู ้านท่มี ขี นาดใหญ่ในปจั จบุ ัน
๒
ท่ีมาของช่ือหมู่บ้านว่า" บ้านนาถ่ม " นั้น มีความเป็นมา คือ บริเวณที่ต้ังของ
หมบู่ ้านในปัจจบุ นั น้ัน เดมิ เป็นชายป่าติดท่งุ นา มตี ้นถม่ ขน้ึ เปน็ จานวนมาก ต้นถ่ม
เป็นไม้ยืนต้นชนิดหน่ึง มีดอกสีขาว ออกดอกในช่วงเดือนเมษายนของทุกๆปี ซึ่ง
ต้นถ่มนี้ ชอบเกิดบริเวณทุ่งนา ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านตามลักษณะของท้องที่
ดังกลา่ ว
การปกครองของหมบู่ ้านนาถม่
การปกครองในแต่ละสมัยนั้น มีลักษณะแตกต่างกันไป ในอดีต ตั้งแต่การ
ปกครองแบบต่างๆ จนถึงปัจจุบัน มีการปกครองมนประชาธิปไตย อันมี
พระมหากษตั ริย์เป็นประมุข รัฐบาลบริหารงานด้านต่างๆ ในสังกัดของกระทรวง
กระทรวงกรมซึ่งครอบคลมุ ดแู ลการปกครองทกุ เรอื่ ง ตั้งแต่ในระดับประเทศ โดย
อานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ซึ่งก็จะมีองค์กรการบริหารส่วนภูมิภาค ส่วน
ท้องถ่ินลงมาจนถึงหมู่บ้านก็มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ปกครองและบริหารงานของ
หมบู่ า้ น ตลอดจนประชาชนในหมู่บ้านทุกหลังคาเรือนทุกคน ให้ได้รับความเป็น
ธรรม เพ่อื ความสงบสขุ เกดิ ขนึ้ ในหม่บู า้ นนนั้ ๆ
๓
ผ้คู นในหมู่บา้ นส่วนใหญ่ ประกอบอาชพี
เป็นเกษตรกร การเกษตรเป็นเรื่อง
เกี่ยวข้องกับ ดิน น้า และอากาศเป็น
อย่างมาก ชีวิตคนในหมู่บ้าน จึงมี
ความสมั พนั ธ์กบั ธรรมชาติ ถ้าปีไหน ฝน
ตกตามฤดกู าล พืชผลก็จะงอกงาม ถ้าปี
ใดแห้งแล้ง พชื ผลกจ็ ะเสียหาย
ผู้คนในหมู่บ้านก็จะเดือดร้อน มีข้าวไม่พอกิน ต้องไปกู้หน้ียืมสิน เพ่ือจะมาซ้ือข้าวกิน
ธรรมชาติเป็นตวั กาหนดวถิ ชี วี ิตท่สี าคญั ของคนในชนบท ไม่ว่าจะทาอะไร เม่ือไร หรือจะ
กินอะไร ก็ขึ้นกบั ธรรมชาติ และอาหารของคนในหมูบ่ ้าน ก็นามาจากทรัพยากรธรรมชาติ
เป็นหลัก เชน่ พชื ผักท้องถิน่ อยา่ ง ผกั บงุ้ , ผักกระเฉด , ยอดออ่ นของผกั ต่างๆ เป็นต้น
เท่าน้ันยงั ไม่พอ สัตว์,แมลงที่มีอยู่ในท้องถ่ิน ก็สามารถใช้เป็นอาหารได้ ชาวบ้านมักกิน
แมลงอย่าง จง้ิ หรีด , ต้ักแตน , ตัวอ่อนดักแด้ไหม เป็นตน้ แลว้ ก็ยงั กนิ ปนู า , กบ , เขยี ด ,
กุ้งฝอย , ปลา ท่ีมาในช่วงน้าหลาก , กินไข่มดแดง เป็นต้น โดยชาวบ้านมักจะนาปลา
และก้งุ ท่จี ับมาเอง นามาทาเปน็ ปลาร้ากบั กุ้งแจว่ เพ่ือจะไดเ้ ก็บไว้กินนานๆ
๔
วฒั นธรรมทเ่ี ด่นชัดในบา้ นนาถ่มคอื ภมู ิปญั ญาด้านอาหารและดา้ นหัตถกรรม
เช่น ตาแย้ใส่บักม่วง เป็นอาหารที่หายาก เพราะวัตถุดิบบางอย่างหาได้ยาก มี
วัตถุดบิ ดังน้ี แย้ พรกิ ป่น หอมแดง มะมว่ ง และเคร่อื งปรุงรสต่างๆ
ขั้นตอนการประกอบอาหาร นาแย้มาลอกหนังออก แล้วกรีดท้องเอาอวัยวะ
ภายในออก ล้างน้า แล้วนาไปย่างให้สุก พอแย้สุกก็นาแย้มาตาให้ละเอียดเอา
มะม่วงที่ยาแล้วตาให้เข้ากัน พอเข้ากันก็ปรุงรสตามความชอบ ตาแย้ใส่บักม่วง
รับประทานกับขา้ วเหนียว
หมกเขยี ด
หมกเขียด เป็นอาหารที่หารับประทานได้ยาก เน่ืองจากวัตถุดิบมีบางฤดูกาล
เท่าน้นั หมกเขียดมีวัตถุดิบดังนี้ เขียด พริก กล้วยดิบ ปลีกล้วย ตะไคร้ ผักอีตู่
(ใบแมงลกั ) หอมแดง ผกั ชีลาว ใบตองกล้วย และเครื่องปรงุ รสตา่ งๆ
ขัน้ ตอนการประกอบอาหาร นาเขียดไปลา้ งน้า แล้วนามาสับให้ละเอียด นาพริก
หอมแดง กะเทียม ตะไคร้ กลว้ ยดบิ ดอกกล้วยมาโขลกใหล้ ะเอยี ด แล้วนาเขียดท่ี
สับแล้วมาคลุกเคล้ากับเครื่องที่โขลกไว้ แล้วปรุงรส จากนั้นนาไปห่อใส่ใบตอง
กล้วย (ยกเวน้ ใบตองจากกลว้ ยตีบ) นาไปน่ึงจนเขียดสุก หมกเขียดสามารถนามา
รบั ประทานกับขา้ วเหนยี ว
๕
ผดั เผ็ดกะปอม(ผดั เผด็ ก้งิ กา่ )
ผัดเผ็ดกะปอม(ผัดเผ็ดก้ิงก่า) มีวัตถุดิบดังน้ี ก้ิงก่า พริก ตะไคร้ ใบกะเพรา และ
เครอ่ื งปรงุ รสตา่ งๆ
ขั้นตอนการประกอบอาหาร นากะปอม (กิ้งก่า) มาลอกหนัง ล้างน้าให้สะอาด สับ
กะปอม (กิ้งก่า) จากนั้นนาพริกกับตะไคร้มาโขลกให้ละเอียด นาพริกกับตะไคร้ท่ี
โขลกแลว้ ไปผัดให้พอหอม นากะปอมที่สับไว้มาผัด เติมน้าเปล่า และปรุงรส ผัดพอ
สกุ แลว้ ใสใ่ บกะเพราลงไป จะใช้เวลาผัดประมาณ ๑๐ นาที ผัดเผ็ดกะปอม (ผัดเผ็ด
ก้งิ ก่า) กนิ กบั ขา้ วสวย
๖
สม้ ปลาตะเพยี น
สม้ ปลาตะเพยี น เป็นอาหารหมักดอง สม้ ปลาตะเพยี นมีวัตถดุ ิบดงั นี้ ปลาตะเพียน
กระเทยี ม ขา้ วเหนียว ใบตองกลว้ ย
ขน้ั ตอนการประกอบอาหาร นาปลาตะเพียนมาขูดเกล็ดออก ล้างน้า จากน้ันขูด
เอาแต่เนื้อปลาตะเพียน สับให้ละเอียด ใส่กระเทียมที่โขลกแล้ว และปรุงรส
คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนามาห่อใส่ใบตองกล้วย ส้มปลาตะเพียนทิ้งไว้ ๑ วันก็
สามารถรับประทานได้ แต่ถ้าชอบเปร้ียวๆ ท้ิงเอาไว้ประมาณ ๒ วัน หรือเก็บไว้
ในตู้เยน็ ก็ได้ ส้มปลาตะเพยี นเวลารับประทานจะทอดหรือกินดบิ ก็อร่อย
๗
งานหัตถกรรมเช่น การทอผ้าผ้าถือเป็นปัจจัยขั้นพ้ืนฐานที่มีความสาคัญต่อการ
ดารงชีวิตของมนุษย์ เพราะผ้าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่นอกเหนือจากอาหาร ที่อยู่อาศัย
และยารกั ษาโรค ในสงั คมเกษตรกรรมตงั้ แต่บรรพบุรษุ สบื มา ทุกครัวเรือน จะมีการทอ
ผ้าเพื่อใช้สอยภายในครอบครัว และมีการถ่ายทอดและสั่งสมกรรมวิธีการทอให้แก่
สมาชิกที่เป็น เพศหญิง เพราะการทอผ้าเป็นการศิลปะที่ต้องใช้ทั้งความขยัน ความ
อดทน ความพยายาม และความประณีตละเอียดอ่อน แม่หรือยายจะเป็นผู้ทาหน้าที่
อบรมและถา่ ยทอดวชิ าการกรรมวิธี และประสบการณใ์ นการทอผ้าให้แก่บุตรสาวหรือ
หลานสาว จนสงั่ สมเป็นภมู ิปญั ญาท่ไี ดร้ ับการถ่ายทอดจากบรรพบุรษุ ร่นุ หนึ่งไปสอู่ ีกรุ่น
หน่งึ เปน็ เสมือนมรดกทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีบทบาทสาคัญทั้งในแง่เศรษฐกิจ
สังคม และวฒั นธรรม
ผ้าทอ นอกจากจะนามาใช้เป็นเครื่องนุ่มห่มแล้ว ยังได้ถูกนามาใช้ในพิธีกรรมท่ี
เก่ียวข้องกับชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น เก่ียวข้องกับพิธีเกิดโดยหมอตาแยจะได้ของ
กานัลของพอ่ แมข่ องเด็กที่เกิดใหม่เป็นผ้าทอในพิธีบวชนาค นาคจะสวมใส่ผ้าขาวหรือ
ผ้าโสร่งผนื ใหญท่ ่ีแม่ทอเตรียมไว้ให้ลูกชาย ผู้หญิงต้องเตรียมผ้าทอไว้ใช้ในพิธีแต่งงาน
ของตน เป็นตน้ นอกจากนีแ้ ลว้ ผ้าทอยังเป็นเคร่ืองบ่งช้ีถึงฐานะของผู้สวมใส่หรือแสดง
ถงึ สถานะทางสังคมของผู้นน้ั
๘
ดงั น้นั ทกุ ภาคสว่ นจึงต้องชว่ ยกนั อนุรักษ์ส่งเสริมและพัฒนาผ้าทอไทยให้เป็นท่ียอมรับ
ของนานาอารยะธรรมประเทศต่อไป การจักสานเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนที่
สาคัญยิ่งต่อการดารงชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน การจักสานเป็นตัวอย่างหน่ึงที่
แสดงให้เหน็ ภมู ิปญั ญาอันเฉลยี วฉลาดของคนในท้องถิ่น ท่ใี ช้
ภูมิปัญญาสามารถนาส่ิงท่ีมีอยู่ในชุมชนมาประยุกต์ทาเป็นเครื่องมือเคร่ืองใช้ใน
ชีวิตประจาวัน ซึ่งมี ประโยชน์ในการดารงชีวิต การจักสานมีมานานแล้วและได้มีการ
พัฒนามาตลอดเวลาโดยอาศัยการ ถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง
การดารงชีวิตประจาวันของชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ เอาการรู้หนังสือมาเกี่ยวข้อง การ
เรยี นรู้ต่างๆ อาศัยวิธกี ารฝึกหัดและบอกเล่าซึ่งไม่เป็นระบบในการ บันทึก สะท้อนให้
เหน็ การเรยี นรคู้ วามรูท้ ส่ี ะสมทสี่ บื ทอดกันมาจากอดีตมาถึงปัจจุบันหรือที่เรียกกัน ว่า
ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ดังนั้นกระบวนถ่ายทอดความรู้จึงมีความสาคัญอย่างยิ่งท่ีทาภูมิ
ปญั ญาทอ้ งถน่ิ นัน้ คงอยูต่ อ่ เน่อื งและยั่งยืน การจักสานตะกร้าไม้ไผ่ ได้สืบทอดมาจาก
บรรพบรุ ุษ ถา่ ยทอดภมู ิปัญญาจาก รนุ่ สรู่ ุ่น เกิดจากความคิดในการนาเอาไม้ไผ่ซึ่งเป็น
วัตถุดิบที่มอี ยูใ่ นหมูบา้ น นามาแปรรูปเปน็ ตะกรา้ วธิ กี ารจักตอก
๑.การจักตอกป้ืน แบง่ ไมไ้ ผอ่ อกเปน็ ชนิ้ ๆตามขนาดทีต่ อ้ งการ ใช้มีดจกั ตอกเอา
สว่ นในออก
๒.(ข้ีตอก)จักในส่วนทเ่ี หลือออกเป็นเส้นบางๆ แล้วหลาวให้เรียบรอ้ ยตากแดดให้แหง้
๙
๓. การจักตอกตะแคง ใช้วิธีเดียวกันกับการจักตอกปื้นเบื้องต้น แต่การจักให้เป็นเส้น
ตอกจะทาการจกั ทางผิวเป็นเส้นเลก็ กวา่ ตอกปนื้ ทาการหลาวให้เรียบร้อย แล้วนาออก
ตาก
การสาน เป็นขั้นตอนที่ยาก และต้องใช้ความละเอียดมากท่ีสุด เริ่มจากการก่อฐาน
ดา้ นลา่ งด้วยเส้นตอกสองชนดิ คอื ตอกยนื (ตอก-ต้งั ) ซ่ึงจะมลี ักษณะคอดตรงกลางต่าง
จากตอกทั่ว ๆ ไป และตอกนอน (ตอกสาน) ท่ีมีขนาดกว้างเท่ากันเท่ากันทั้งเส้นตาก
ปกติ เหตุท่ีตอกยืนมีลักษณะพิเศษ เนื่องมาจากเมื่อสานเสร็จจะได้ตะกร้าท่ีมีฐานเล็ก
และคอ่ ย ๆ บานขนึ้ บริเวณปาก
การรมควัน
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการสานเพ่ือเพิ่มความแข็งแรง สวยงาม แก่เคร่ืองจักสานด้วย
หวาย ในส่วนท่ตี อ้ งการเสรมิ เป็นพเิ ศษได้แก่ ปาก ขา หู การผกู และพนั ดว้ ยหวาย จะ
เสรมิ ให้เครื่องจกั สานเกิดความสวยงาม
การถักและพนั
เมื่อสานตัวเรียบร้อยก็ถึงการรมควันโดยจะทาในวันที่ไม่มีลม ใช้ฟางพรมน้าหมาด ๆ
เปน็ เชอื้ เพลิงเพื่อให้เกิดควนั มาก รมจนเคร่ืองจักสานมีสีเหลืองเท่ากันท้ังใบ แล้วนามา
เข้าสว่ นประกอบหวาย มกี ารผูกปาก พันขา ใส่ฐานและหหู ้วิ
๑๐
ชาวบ้านนาถม่ มีความเชอ่ื คือเรอื่ งผี เชน่ ผปี ู่ตาเปน็ ผที คี่ อยดแู ลรักษาป้องกัน
อันตรายตา่ ง ๆ ทจ่ี ะมากระทาแกค่ นในหมูบ่ ้านทกุ ๆ ปี จะมีการเลี้ยงผีป่ตู ามักจะ
เปน็ ปา่ ท่มี ีตน้ ไมอ้ ายุนับร้อยปี เพราะชาวบ้านมคี วามเช่ือว่า หากไปตัดไมห้ รอื ยิงนก
ภายในบรเิ วณดอนปูต่ า ผปี ตู่ าจะโกรธาและบันดาลใหช้ ีวิตประสบแตอ่ ปั มงคล ใน
พิธเี ล้ียงผปี ตู่ าน้นั เฒ่าจ่า เป็นผปู้ ระกอบพธี กี รรมต่างๆ เกย่ี วกบั การบวงสรวง
สังเวยผี และเทวดาประจาหมู่บ้านหรอื ผีปู่ตาเป็นผชู้ ่วยสือ่ สารระหวา่ งคนกับผีจะ
เปน็ พธิ กี รเพราะเฒา่ จ่าเปน็ คนกลางในการตดิ ตอ่ ระหว่างชาวบ้านกับผปี ู่ตา เมอื่ วัน
เลีย้ งผบี ้าน ชาวบ้านจะจดั เตรียมอาหารคาวหวานไปร่วมในพธิ เี ช่น ข้าวตม้ ไขต่ ้ม
ไก่ต้ม เหล้าขาว ป้นั ข้าว ข้าวดาขา้ วแดง กล้วย น้าอ้อย น้าตาล
๑๑
ผีนา หรือผีตาแฮก เป็นผีท่ีทาหน้าที่อารักษ์ผืนนา คอยอานวยผลให้ข้าวกล้างดงาม
น้า ปลา อุดมสมบูรณ์ คลอดจนคอยคุ้มครอง วัว ควาย ให้มีสุขภาพดีเหมาะในการ
ทางาน ผีตาแฮก จะสถิตอยู่มุมใดมุมหน่ึงของที่นา นาแปลงใดท่ีตาแฮกสถิต ชาวนา
จะยกคันนาให้สูงขึ้น ก่อนจะลงมือทานา จะต้องทาพิธีเลี้ยงผีตาแฮกเสียก่อน การ
เล้ียงผีตาแฮก นั้น จะกระทากนั ในวนั พฤหสั บดี อาหารที่นาไปเซ่นผีตาแฮก ได้แก่ ไก่
ตม้ เหล้าขาว แกลบ ข้าวตม้ มดั ไข่ตม้ ขา้ วดา กลว้ ย นา้ ออ้ ย น้าตาล เมื่อเลี้ยงตาแฮก
เสรจ็ แล้วชาวนากจ็ ะปีกดาข้าวกล้าในนาแปลงท่ตี าแฮกอยู่ก่อนเพ่ือเป็นการเส่ียงทาย
ความงอกงามของข้าวในนา
ผปี อบ ผปี อบก็คอื คนท่เี ปน็ ผีเข้าสงิ ในร่างกายคนอื่นเรยี กวา่ ผีปอบเข้า เพอื่ ทีจ่ ะกิน
ตับไตไส้พุงคนน้ัน บางครั้งคนท่ีถกู ปอบเขา้ จะถึงแกช่ วี ติ หากไมม่ หี มอผมี าขับไล่ ผี
ปอบทส่ี งิ สถติ อยใู่ ห้ออกไป เชื่อวา่ สาเหตทุ ่ีจะทาใหค้ นเป็นปอบนนั้ มีอยู่ ๒ ประการ
คือ
- เกดิ จากการเรียนเวทมนตรค์ าถาต่าง ๆ เช่น เสนห่ ์ยาแฝดอยูย่ งคงกระพันแล้ว เวท
มนตรค์ าถาน้นั แกก่ ลา้ จนเกินไป หรือประพฤตปิ ฏบิ ตั ผิ ดิ ขอ้ ห้ามของเวทมนตรน์ น้ั ๆ
ผลท่สี ุดก็กลายเป็นผปี อบ
๑๒
- เกิดจากการถ่ายจากบรรพบุรุษ หากพ่อหรือแม่เป็นปอบเม่ือตายไป ผีปอบจะรีบออก
จากรา่ งไปสิงสถิตบุคคลท่อี ยใู่ กลแ้ ละบุคคลนั้นจะกลายเป็นปอบทันที เมื่อผีปอบเข้าสิงร่าง
ใคร บุคคลนน้ั จะมีอาการชักกระตุกด้ินทุรนทุราย ส่งเสียงร้องโหยหวนน่ากลัว ญาติพ่ีน้อง
ต้องไปตามหมอผีมาทาพิธีขับไล่ผีปอบ โดยการใช้หวายวิเศษหรือหางกระเบนและใช้ว่าน
ไฟเหนบ็ หรอื จ้ีลงไปตามสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย เมอื่ ผปี อบทนไมไ่ ด้กจ็ ะออกปากบอกว่าตน
เป็นใคร มาจากไหน แล้วจึงออกจากร่างไป แต่ในบางรายถ้าผีปอบนั้นมีคาถาแก่กล้ากว่า
หมอผี ผีปอบนั้นก็จะไม่ยอมออก คนที่ถูกผีปอบเข้าก็จะตายหากแก้ไขไม่ทัน เป็นท่ีน่า
สงั เกตว่า คนที่ถูกผปี อบเขา้ สิงสว่ นมากจะเปน็ คนปว่ ย คนออ่ นแอ และคนขวญั ออ่ น
ขะลา
การขะลา เป็นความเช่ืออีกอย่างหน่ึงของชาวบ้าน ซ่ึงเช่ือว่าหากปฏิบัติได้จะเกิดผลดีแก่
ตนเองและครอบครัว เป็นต้น เช่น คนคลอดลูกใหม่อยู่ไฟหรืออยู่กรรม จะต้องไม่กิน
เน้อื สตั วแ์ ละหน่อไม้ จะทาให้ผดิ ไฟอาจทาให้ถึงตายได้ หรือมีคนในครอบครัวเสียชีวิตท่ีอ่ืน
จะไม่เอาเขา้ บ้าน ถือวา่ จะทาให้ครอบครวั เดือนร้อนและมคี นตายตามไปอกี เปน็ ตน้
๑๓
ประเพณที จ่ี ดั ในบ้านนาถ่ม เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีปฏิบัตสิ บื ต่อกันมาจนถงึ
ปัจจุบัน ซึง่ เปน็ วฒั นธรรมแสดงถึงความเกา่ แก่และเจรญิ ร่งุ เรอื งมานาน เชน่
เดือนสาม บุญขา้ วจี่
บุญขา้ วจเี่ ป็นประเพณีทเ่ี กิดจากความสมัครสมานของชมุ ชนชาวบ้านจะนัดหมายกันมา
ทาบญุ รว่ มกนั โดยช่วยกนั ปลูกผามหรอื ปะรา เตรียมไวใ้ น ตอนบ่าย คร้ันเมื่อถึงร่งุ เช้าใน
วนั ต่อมาชาวบา้ นจะช่วยกันจี่ข้าว หรือปงิ้ ข้าวและตักบาตรข้าวจี่รว่ มกนั หลังจากนัน้ จะ
ใหม้ กี าร เทศนน์ ทิ านชาดก เร่อื งนางปณุ ณทาสีเปน็ เสรจ็ พธิ ี พอถงึ วดั นดั หมายทาบุญ
ข้าวจีท่ กุ ครวั เรอื นในหมูบ่ า้ นจะจัดเตรยี มข้าวจ่ตี ง้ั แต่ตอนยา่ รงุ่ ของวนั นน้ั เพ่อื ให้ขา้ วจ่สี กุ
ทนั ใสบ่ าตรจงั หัน นอกจาก ขา้ วจแ่ี ล้วก็จะนา "ข้าวเขียบ" ท้ังที่ยงั ไมย่ ่างเพ่ือใหพ้ ระเณร
ยา่ งกินเองและท่ียา่ งไฟจนโปง่ พองใส่ถาดไปดว้ ย พรอ้ มจัดอาหารคาว ไปถวายพระที่วัด
ข้าวจบ่ี างกอ้ นผู้ เปน็ เจ้าของได้ยดั ไส้ด้วยน้าอ้อย แล้วทาด้วยไข่ เพ่ือใหเ้ กิดรสหวานหอม
ชวน รบั ประทาน คร้ันถึงหอแจกหรอื ศาลาโรงธรรมพระภกิ ษุสามเณรทงั้ หมดในวดั จะ
ลงศาลาที่ญาติโยมทม่ี ารวมกนั อยบู่ นศาลาก่อน แล้วประธานในพิธเี ป็นผอู้ าราธนาศลี
พระภิกษใุ หศ้ ลี ญาตโิ ยมรบั ศลี แล้วกล่าวคาถวายข้าวจ่ี จากนั้นกจ็ ะนา ขา้ วจ่ใี สบ่ าตร
พระ ซ่งึ ตง้ั เรยี งไวเ้ ป็นแถวเทา่ จานวนพระเณร พร้อมกบั ถวายปิน่ โต สารับกับ ขา้ วคาว
หวาน เมื่อพระฉนั จังหันเทศน์เสร็จแลว้ กใ็ ห้พร ญาติโยมรบั พรเป็นเสรจ็ พธิ ี
๑๔
เดือนส่ี บุญผะเหวด
"บญุ ผะเหวด" เป็นสาเนยี งชาวอสี านทม่ี าจากคาวา่ "บุญพระเวส"หรือพระเวสสันดร เป็น
ประเพณีตามคติความเชอื่ ของชาวอีสานท่ีว่า หากผู้ใดได้ฟัง เทศน์เรื่องพระเวสสันดรท้ัง
๑๓ กณั ฑ์จบภายในวันเดยี ว จะไดเ้ กิดร่วมชาติภพกับพระศรีอริยเมตไตย บุญผะเหวดนี้
จะทาติดต่อกันสามวัน วันแรกจัดเตรียมสถานท่ีตกแต่ง ศาลาการเปรียญวันท่ีสองเป็น
วันเฉลิมฉลองพระเวสสันดร ชาวบ้านร่วมทั้งพระภิกษุสงฆ์จากหมู่บ้านใกล้เคียงจะมา
ร่วมพิธีมีท้ังการจัดขบวนแห่เครื่องไทยทานฟังเทศน์และแห่พระเวส โดยการแห่ผ้าผะ
เหวด (ผ้าผืนยาวเขียนภาพเล่าเรื่องพระเวสสันดร) ซ่ึงสมมติเป็น การแห่พระเวสสันดร
เข้าสู่เมือง เม่ือถึงเวลาค่าจะมีเทศน์เรื่องพระมาลัย ส่วนวันที่สามเป็นงานบุญพิธี
ชาวบ้านจะร่วมกันตักบาตรข้าวพันก้อน พิธีจะมี ไปจนค่า ชาวบ้านจะแห่แหน ฟ้อนรา
ตง้ั ขบวนเรียงรายตั้งกณั ฑม์ าถวายอานิสงฆ์อีกกัณฑ์หน่ึง จึงเสร็จพิธมูลเหตุของพิธีกรรม
พระสงฆ์จะเทศน์เรื่อง เวสสันดรชาดกจนจบและเทศน์ จากเรื่องในหนังสือมาไลยหม่ืน
มาไลยแสนกล่าวว่า คร้ังหนึ่งพระมาลัยเถระได้ข้ึนไปไหว้พระธาตุเกษแก้วจุฬามณี บน
สวรรค์ช้ันดาวดึงส์และได้พบปะสนทนากับพระศรี อริยเมนไตย ผู้ท่ีจะมาเป็น
พระพทุ ธเจ้าในอนาคตและพระศรีอรยิ เมตไตยได้สงั่ ความมากับ พระมาลัยว่า "ถ้ามนุษย์
อยากจะพบและร่วมเกิดในศาสนาของพระองคแ์ ล้วจะต้องปฏิบตั ิตน
๑๕
เดือนหก บุญบ้งั ไฟ
บุญบงั้ ไฟ เป็นประเพณที เ่ี กดิ จากความเช่ือเกี่ยวกับแถน เม่ือถึงเดือนหกเร่ิมต้นการ
ทานาชาวบ้านจะจุดบ้ังไฟเป็นการบูชาขอให้พญาแถนบันดาล ฝนให้ตกลงมา
ประเพณีบุญบ้ังไฟเป็นกิจกรรมร่วมกันของชุมชนอีสานหลาย ๆ หมู่บ้าน หมู่บ้าน
เจา้ ภาพจะปลูกโรงเรอื น เรียกว่า ผามบุญ ไว้ต้อนรับ ชาวบ้านจากหมู่บ้านอ่ืน และ
ดูแลจัดหาอาหารสาหรับทุกๆ คน เช้าของวันงานชาวบ้านจะร่วมกันทาบุญ
ประกวดประชนั แหแ่ ละจุดบ้ังไฟที่ตกแต่ง อย่างงดงาม บั้งไฟของหมู่บ้านใดจุด ไม่
ขน้ึ ชาวบ้านหมู่บ้านน้ันจะถูกโยนลงโคลนเป็นการทาโทษ และจะมีการเซ้ิงฟ้อนกัน
อยา่ งสนุกสนาน และจะมี การเซิ้งปลดั ขิกรว่ มอยูใ่ นขบวนด้วยเสมอ โดยมีความเชื่อ
ว่าเปน็ การไล่ผใี ห้พน้ ออก ไปจากหมบู่ า้ นและเรง่ ให้แถนสง่ ฝนลงมาเรว็ ๆ
เดือนแปด บุญเข้าพรรษา บุญเข้าพรรษาของภาคอีสานเป็นประเพณีทางพุทธ
ศาสนาคล้ายคลึงกับทางภาคกลางคือจะมีการทาบุญตักบาตร ถวายผ้าอาบน้าฝน
สงบ จีวรและ เทยี นพรรษา หากแตใ่ นภาคอีสานจะจัดขบวนแห่เทียน อย่างย่ิงใหญ่
และมักมีการประกวดความสวยงามของเทียนจากแต่ละหมู่บ้าน ซ่ึงตกแต่ง สลัก
เสลาเทียนเป็นลวดลาย เร่ืองราวทางพุทธศาสนาอย่างสวยงาม เมื่อแห่เทียนมาถึง
วดั ชาวบา้ นจะรบั ศีล รบั พรฟังธรรม ตอนค่าจะเวียนเทียน รอบพระอโุ บสถ
๑๖
เดอื นเกา้ บญุ ข้าวประดบั ดิน
บญุ ขา้ วประดับดนิ จดั ขน้ึ ในช่วงปลายเดอื นเก้าเปน็ การทาบญุ ใหญ้ าตผิ ลู้ ่วงลับ โดยการนา
ขา้ วปลาอาหารคาวหวาน หมากพลู บหุ รอี่ ย่างละเลก็ ละนอ้ ย หอ่ ดว้ ยใบตองเปน็ สองหอ่
กลดั ตดิ กนั เตรยี มไวต้ ั้งแตห่ ัวค่า คร้ันถงึ เวลาตีสาม ตสี ี่ของวันรงุ่ ข้ึนจะนาห่ออาหารและ
หมากพลูไปวางไว้ตามโคนต้นไมร้ อบๆ วัด เพือ่ ใหญ้ าติพนี่ ้องผ้ลู ว่ งลบั รวมท้ังผีไรญ้ าตอิ ืน่ ๆ
ซึง่ เชอ่ื ว่าจะมาเยย่ี มญาติพนี่ ้องในเวลานี้มารบั ไปเพื่อจะไดไ้ มอ่ ดอยากหิวโหย นอกจากจะ
เปน็ การทาบญุ และทาทานแล้วยังแสดงถงึ ความกตญั ญูอีกสว่ นดว้ ย
เดอื นสบิ บุญข้าวสาก
บุญขา้ วสากเป็นประเพณใี นวนั ขน้ึ ๑๕ ค่า ซ่งึ ชาวบา้ นจะจัดเตรยี มสารับอาหาร ซง่ึ บรรจุ
ข้าวเหนยี ว อาหารแหง้ เชน่ ปลาย่าง เนือ้ ย่าง แจว่ บองหรือ น้าพริกปลาร้า และหอ่ ข้าว
เลก็ ๆ อกี หอ่ หนึ่งสาหรับอุทศิ ใหญ้ าติผู้ลว่ งลับและนาไปทาบญุ ที่วัด โดยจะเขียนชอื่ เจา้ ของ
สารับอาหารและเครือ่ งไทยทาน ใส่ไว้ในบาตร เพือ่ ใหพ้ ระในวดั จับสลาก หากภกิ ษุรูปใดจับ
สลากไดช้ ่อื ผู้ใด กจ็ ะไดส้ ารบั อาหารพร้อมเคร่อื งไทยทานของเจ้าภาพน้นั ๆ
๑๗
เดอื นสิบเอ็ด บญุ ออกพรรษา
บญุ ออกพรรษาในเดอื นสบิ เอด็ นอกจากจะเปน็ โอกาสท่ีพระภิกษุสงฆ์จะแสดงอาบัติ
และว่ากล่าวตกั เตอื นกันแล้ว ชาวบ้านในภาคอีสานยังมีกิจกรรม กันอีกหลายอย่าง
ทั้งประเพณีตักบาตรเทโว การจุดประทีปโคมไฟประดับประดาตามต้นไม้ บางแห่ง
นาต้นออ้ ย หรือไมไ้ ผม่ ามัดเปน็ เรอื จุดโคมแลว้ นาไปลอยในแมน่ า้ ท่ีเรยี กว่า การไหล
เรือไฟ เพื่อเป็นพุทธบูชาสาหรับหมู่บ้านท่ีอยู่ไกล แหล่งน้าจะนิยมทาปราสาทผ้ึง
หรือผาสาดผึ้งทาจากกาบกล้วย ประดับประดาด้วยขี้ผ้ึง ซ่ึงทาเป็นดอกไม้ แต่
ปัจจุบันมักใช้ขี้ผ้ึงมาตกแต่งปราสารทท้ังหลัง แล้วจัดขบวนแห่มาถวายที่วัดอย่าง
สนกุ สนานจะมพี ธิ กี รรม
ในเช้ามืดวันขึ้น ๑๕ ค่าเดือน ๑ พระสงฆ์จะไปรวมกันที่อุโบสถเพื่อแสดงอาบัติต่อ
กัน จากนั้นจะทาวัตรและทาปวารณาแทนการสวดปาฏิโมกข์ (ปวารณา คือ
พิธีกรรมทางศาสนาทสงฆ์ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนกับการปวารณาจะทาในวันขึ้น
๑๕ ค่าเดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษาจึงเรียกวันออกพรรษาว่า วันปวารณาหรือ
วนั มหาปวารณา (จากพจนานกุ รรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ฉบับพิมพ์
พ.ศ.๒๕๓๘) ส่วนชาวบ้านก็จะเตรียมข้าวปลาอาหาร เพื่อให้ทาบุญตักบาตรที่วัดใน
ตอนร่งุ เขา้ และถวายผ้าจานาพรรษาแด่ภิกษุสามเณร ตอนคา่ มกี ารเวยี นเทยี น
๑๘
เดือนสิบสอง บญุ กฐนิ
บุญกฐินคอื บญุ ที่เรียกวา่ "กาลทาน" นี้มีกาหนดให้ทาได้เฉพาะใน ชว่ งวนั แรม ๑ คา่
เดอื น ๑๑ ถึง ๑๕ ค่า เดือน ๑๒ ของทุก ปี จึงมีช่ือเรียกอีกอยา่ งวา่ "บุญ เดอื น ๑๒" ชาว
อสี านเชื่อว่าผูใ้ ดได้ ทาบญุ กฐนิ จะไม่ตกนรกและจะได้รับผลบุญที่ทาในชาตินไ้ี ว้เกบ็ กินใน
ชาตหิ นา้ งานบญุ กฐนิ จึงจดั เป็นงานสาคญั ในสว่ น พธิ กี รรมนัน้ คล้ายคลึงกบั ภาคกลางแตท่ ่ี
ชาวอสี านและเคร่ืองบรวิ ารกฐิน ซ่ึงส่วนมากจะเป็นเครอ่ื งใช้ในครัวเรือนมาต้ังวางไว้ในท่ี
เปิดเผยเพ่ือใหญ้ าติพ่ีน้อง หรอื ชาวบ้าน ใกลเ้ คียงนาสิง่ ของ เช่น เส่อื หมอน อาสนสงฆ์
ฯลฯ มาร่วมสบทบ ตอนเย็นของวนั รวมก็จะนมิ นต์ พระสงฆ์มาเจรญิ พระพุทธมนตต์ อน
กลางคืน อาจจดั ใหม้ ีมหรสพตา่ งๆ และทีข่ าดไมไ่ ด้ในงานบญุ กฐินก็คือ ตอ้ งจุด "บัง้ ไฟพลุ“
อย่างนอ้ ยจานวน ๔ บ้งั เอาไว้จดุ เมื่อตอนหวั คา่ หนึ่งลกู ตอนดกึ หน่ึงลกู ตอนใกล้สว่างหนงึ่
ลูก และตอนถวายกฐินอกี หน่ึงลูก นอกจากจดุ บ้งั ไฟพลแุ ล้วกจ็ ะจุดบ้ังไฟตะไลเป็นระยะ ๆ
ในขณะท่ีแห่กฐนิ รงุ่ เช้าเป็นขบวนแห่กฐนิ จาก บ้านไปถวายพระสงฆท์ ีว่ ัด เมื่อถงึ วดั ต้องแห่
เคร่อื งกฐินเวียนขวาสามรอบ รอบศาลาโรงธรรม จากน้นั จงึ นาเคร่ืองกฐินข้ึนตั้งบนศาลา
โรงแรม นาขา้ วปลา อาหารถวายพระ ถา้ ถวายตอนเช้าก็เลยี้ งพระตอนฉนั จังหัน แต่ถ้า
ถวายตอนบา่ ยกจ็ ะเลี้ยงพระตอนเพล เม่ือพระสงฆส์ ามเณรฉันเสร็จแลว้ ผเู้ ป็นเจา้ ภาพ องค์
กฐินจะจุดธปู เทียนบชู าพระรตั นตรยั
๑๙
นารับศีลแล้วกล่าวคาถวายกฐนิ เปน็ เสร็จพธิ ี ส่วนพระสงฆเ์ มือ่ มกี ฐนิ มาทอดทวี่ ัดก็จะ
ประชุมสงฆแ์ ลว้ ใหภ้ ิกษรุ ปู หน่ึงเสนอต่อทปี่ ระชมุ สงฆ์วา่ ควรใหแ้ ก่ภกิ ษุ (เอย่ นามภกิ ษุ)
ท่ีสมควรจะไดร้ บั กฐิน สว่ นมากกเ็ ป็นเจ้าอาวาสวัดนน้ั ๆ เมื่อทป่ี ระชุมสงฆเ์ หน็ ชอบตามท่ี
มผี เู้ สนอ กจ็ ะเปลง่ คาว่า "สาธ"ุ พร้อมกันจากนั้นญาติโยมกจ็ ะพากนั ถวายเครื่องปัจจยั
ไทยทานแดภ่ กิ ษุสามเณรอน่ื ๆ ท้ังวดั พระสงฆ์รบั แลว้ จะอนุโมทนาและใหพ้ รเปน็ เสร็จ
พธิ ีจะขาดไมไ่ ด้ คอื การเฉลมิ ฉลองโดยการจุดพลุบัง้ ไฟอย่างเอกิ เกริกในขณะท่ีแห่ขบวน
กฐินมาที่วดั
พิธีกรรม
ตงั้ แต่ตอนเช้าเขา้ พรรษาใหม่ ๆ ซ่งึ อาจเป็นเดอื นเก้า เดือนสบิ เมอื่ เจ้าอาวาสแจง้ ว่าวัดนนั้
ยงั ไม่มผี ใู้ ด จองกฐนิ ผมู้ จี ิตศรัทธาทีจ่ ะทาบุญจะปกั สลากเพอ่ื ประกาศให้คนท้ังหลายรู้วา่
ตนเปน็ ผูจ้ องและจะนากฐนิ มาทอดท่ีวดั ดังกลา่ วสลากตอ้ งปักไว้ในทเ่ี ปดิ เผย เช่น ศาลาโรง
ธรรม หรอื ฝาผนงั ดา้ นนอกของโบสถ์ รายละเอยี ดในสลากก็จะบอกถงึ ชือ่ ทอ่ี ยู่ของผทู้ จี่ ะ
นากฐินมาทอด รวมทัง้ บอกวันเวลาทีจ่ ะทอดด้วย เพือ่ ไม่ให้เจา้ ศรัทธาอืน่ นากฐนิ มาทอด
รวมทั้งบอกวนั เวลา ทีจ่ ะทอดดว้ ย เพอ่ื ไม่ใหเ้ จ้าศรัทธาอน่ื นากฐินมาทอดซา้ ซอ้ นกัน
เพราะวดั หนงึ่ ๆ
๒๐
จะรบั กฐนิ ไดป้ ลี ะหนง่ึ กองเท่านน้ั คนอสี านมคี วามเชอื่ ว่าถ้าผใู้ ดได้ทาบุญกฐิน แลว้
ตายไปจะไมต่ กนรก มแี ต่จะไดร้ บั ผลบญุ ที่ตนเองกระทาเอาไวเ้ ก็บกนิ ในชาติหนา้
การทาบญุ กฐนิ จงึ จัดเปน็ งานสาคัญ ผทู้ จ่ี ะทาบญุ กฐนิ จึงบอกกลา่ ว ลูกหลาน ญาติ
มิตรของตนใหโ้ ดยพรอ่ มหน้า ครัน้ ถึงวันรวมก็จะตัง้ องคก์ ฐนิ ที่บา้ นของตน
สถานทส่ี าคญั ของหมู่บา้ นนาถม่ คอื วดั เปน็ สถาบนั ทสี่ าคัญประการหนึ่งในการสืบทอด
หลกั ธรรมคาสอนและอุดมคติทาง พระพุทธศาสนาไปส่สู ังคมและชมุ ชน ตง้ั แต่อดีตจวบ
จนปัจจุบัน วิถีชีวิต วัฒนธรรม ของสังคมและชุมชนไทยผูกติดอยู่กับหลักคาสอนใน
พระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้นมาเป็นเวลา ยาวนาน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางและเป็น
สัญลกั ษณ์แหง่ ความมีอารยธรรมอนั สงู ส่งของสงั คม และชุมชน
๒๑
แหลง่ ที่มา
นายชูศักดิ์ ทองปาน
นางบวั สอน สุทธไชยา
๒๒
จัดทาโดย
นางสาวนฤมล ทองปาน เลขที่๓
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๕/๔
เสนอ
คุณครอู นชุ ยั หัวดอน
โรงเรียนคาเขือ่ นแกว้ ชนูปถัมภ์
สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยม
เขต๒๘