รายงานการพัฒนาตนเอง การพัฒนาตนเองด้านการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เเละการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับครูในศตวรรษที่ 21 โดยการใช้คลิปวีดิโอบน YouTube จัดทำโดย นางสาวพรรษชล หมินหมัน เสนอ อาจารย์ ดร.กุลพัฒน์ ยิ่งดำนุ่น สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล
ก คำนำ ครุนิพนธ์เรื่อง การพัฒนาตนเองด้านการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เเละการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับครูในศตวรรษที่ 21 โดยการใช้คลิปวีดิโอบน YouTube ฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาช่วยเหลือ แนะนำ และให้คำปรึกษาอย่างดียิ่ง จาก ดร.กุลพัฒน์ยิ่ง ดำนุ่น ดร.นรเทพ ศักดิ์เพชร อาจารย์ชนกนาฏ พูลสวัสดิ์อาจารย์สรัส ดอกบัวแก้ว และอาจารยสิทธิพร ศรีผอง อาจารย์ที่ ปรึกษาการเขียนเล่มครุนิพนธ (Individual Development Plan) ผู้ศึกษารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ขอขอบพระคุณอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ ดร.กุลพัฒน์ ยิ่งดำนุ่น อาจารย์ที่ปรึกษาชั้นปีที่ 4 ที่ได้กรุณาตรวจสอบความ ถูกต้อง และความเหมาะสม ให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนา และการแนะนำแหล่งเรียนรู้ที่เป็นเครื่องมือที่ ใช้ใน การศึกษา ขอขอบคุณเพื่อน ๆ สาขาวิชาสังคมศึกษาทุกคน และกัลยาณมิตรทุกท่านที่ไม่สามารถกล่าวนาม ใน ที่นี่ได้หมดที่คอยช่วยเหลือมาตลอดการศึกษาการพัฒนาตนเองด้านการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เเละการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับครูในศตวรรษที่ 21 โดยการ ใช้คลิปวีดิโอบน YouTube ผู้ศึกษาขอขอบคุณท่านเหล่านั้นไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย พรรษชล หมินหมัน
ข สารบัญ เรื่อง หน้า คํานํา ก สารบัญ ข บทคัดย่อ 1 บทคัดย่อ (ภาษาอังกฤษ) 2 บทนำ 3 หลักการและเหตุผล 4 วัตถุประสงค์ของการพัฒนาตนเอง 4 ขอบเขตของการพัฒนาตนเอง 4 นิยามศัพท์ 4 แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารชั้นเรียน 5 - ความหมายของวิดีโอ 5 - ความหมายของ YouTube 5 - การจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม 5 - สังคมศึกษากับทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 7 - ทักษะและบทบาทของครูไทยในศตวรรษที่ 21 9 - ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 10 - รูปแบบการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21 14 วิธีดำเนินการพัฒนาตนเอง 19 ผลการดำเนินการ 21 การอภิปรายผลการพัฒนาตนเอง 25 สรุปผลการพัฒนาตนเอง 25 ข้อเสนอแนะ 25 อ้างอิง 26
1 การพัฒนาตนเองด้านการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เเละการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับครูในศตวรรษที่ 21 โดยการใช้คลิปวีดิโอบน YouTube นางสาวพรรษชล หมินหมัน สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา บทคัดย่อ การพัฒนาตนเองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถของตนเองในด้านการจัดการ เรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เเละการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับครู ในศตวรรษที่ 21 โดยการใช้คลิปวีดิโอบน Youtube ในการศึกษาหาความรู้พบว่าหลังเรียนมีคะแนนเท่ากับ 10 คะแนน และ 20 คะแนน ตามลำดับจากแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 แบบทดสอบออนไลน์หลังเรียน เรื่อง การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 พบว่าคะแนนทดสอบหลังเรียนผ่าน เกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไปแนวทางการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณสำหรับครูในศตวรรษที่ 21 มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนและการพัฒนา การศึกษา ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศ อันเป็นรากฐานสำคัญ ในการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ให้เป็นผู้มีความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการทำงานและ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข โดยจัด แนวทางดังนี้ 1. ฝึกกระบวนการสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดรวบยอด 2. ฝึกกระบวนการปฏิบัติ เพื่อพัฒนาทักษะการสังเกต การคิดเปรียบเทียบ การจำแนก และการให้เหตุผล และ 3. ฝึกกระบวนการสร้าง ค่านิยม เพื่อพัฒนาทักษะการประยุกต์ใช้ เนื่องจากสภาวการณ์ในสังคมปัจจุบัน ทั่วโลกกำลังเผชิญ กับการ เปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้วิถีชีวิตของ คนมีความแตกต่างกันมากขึ้นก่อให้เกิดเป็นสังคม พหุวัฒนธรรม ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งพัฒนา ครูผู้สอนให้สามารถ ปรับตัวเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยต้องจัดการศึกษาให้ทันกับสถานการณ์โลกที่ เต็ม ไปด้วยความรู้และข้อมูลที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งต้องวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังคน ของประเทศให้ก้าวทันต่อ กระแสสังคมในทุกมิติในปัจจุบัน และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้มีคุณภาพและ ประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน คำสำคัญ : การจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา / การคิดอย่างมิวิจารณญาณ / ครูในศตวรรษที่ 21
2 Self-Development in Learning Management for the Social Studies, Religion and Culture Course and the Development of Critical Thinking Skills for Teachers in the 21st Century Using YouTube Videos. Pansachol Minman Social Studies, Faculty of Education, Songkhla Rajabhat University Abstract This self-development aims to develop one's skills and abilities in social studies, religion and culture, and critical thinking skills. For teachers in the 21st century by using video clips on YouTube to study knowledge, it was found that the scores after learning were equal to 10 points and 20 points, respectively, from the post-learning test on learning management in the 21st century. Online post-learning on learning management in the 21st century found that the test scores after learning passed the criteria of 80% or higher. The learning management approach for social studies, religion and culture to develop critical thinking skills for teachers in the 21st century has An important role in the development of learners and the development of education. which can be regarded as the heart of the country's development which is the cornerstone in developing human resources to be knowledgeable, skilled, and good working attitudes live happily with others The guidelines are as follows: 1. Practice the knowledge creation process. To develop conceptual thinking skills. 2. Practice the practical process. to develop observational skills Comparative thinking, classification and reasoning, and 3. Practice the process of creating values. to develop application skills due to current social conditions all over the world are facing With rapid changes in society, culture, politics, economy and technology, people's lifestyles are increasingly different, resulting in a multicultural society. Adaptable to changes by providing education to keep up with the world situation Full of knowledge and growing information. Including the need to plan production and develop manpower. of the country to keep pace with current social trends in all dimensions and changing trends that will occur in the future for quality and sustainable efficiency Keywords :Social studies learning management / Critical thinking / Teacher in the 21st century
3 บทนำ การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนา ประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง การปลูกจิตสำนึก ให้รู้จักคุณค่าของการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างต่อเนื่อง และเมื่อ ปัจจุบันโลกเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 และการเปิดประชาคมอาเซียนในปี 2558 จึงส่งผลให้เป็นสังคมแห่งยุคโลกา ภิวัตน์ที่มีการ การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรงเพิ่มมากขึ้น การจัดการศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ให้เท่าทันและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทั้งตัวผู้เรียน และครูผู้สอน เพื่อส่งเสริมและพัฒนา คนให้มีคุณภาพ โดยเน้นคุณธรรมนำความรู้ มีความพร้อม ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา คุณธรรม จริยธรรมและ อารมณ์ สามารถแก้ไขปัญหา มีทักษะ ในการคิด มีความมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและอยู่ร่วมกัน อย่างสงบสุข เพราะ ทักษะการคิด เป็นรากฐานสำคัญของการตัดสินใจในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการดำเนิน ชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณท่ามกลางข้อมูล ข่าวสารที่มีมากมายใน ปัจจุบัน มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการกลั่นกรองข้อมูลที่ว่านั้น และใช้เป็นเครื่องในการคิดพิจารณาไตร่ตรอง เกี่ยวกับข้อมูลหรือสถานการณ์ที่เป็นปัญหา อย่างรอบคอบ อันนำำไปสู่การสรุปอย่างสมเหตุสมผลต่อไป สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นวิชาที่มีเนื้อหากว้างครอบคลุมถึงสาขาวิชา ต่างๆ ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศาสนา ศีลธรรม สิ่งแวดล้อม หน้าที่พลเมือง เป็นต้น สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเป็นการบูรณาการรวมหลายวิชาเข้าด้วยกัน จึงถือ เป็นวิชาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาตนเอง พัฒนาชุมชนและนำไปสู่การพัฒนาประเทศ เพราะสาระการ เรียนรู้เหล่านี้เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการดำารงชีวิต การแก้ปัญหา และการปฏิบัติตนในสังคม เพื่อให้ทุกคนมี ความเข้าใจในการสร้างเสริมชีวิตให้ดีขึ้น ดังนั้นผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จำเป็นต้องมุ่งสร้างความเป็นพลเมืองดี ความมีคุณภาพชีวิตที่ดี พัฒนาตนเองและสังคมได้ โดยการปลูกฝัง ค่านิยมและทัศนคติที่ดี เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมของผู้เรียน ตลอดจนสามารถคิด แก้ปัญหา ปรับตัวและดำรงชีวิตได้อย่างราบรื่นทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและสามารถปรับตัวเพื่อ เป็นพลโลกได้อย่างมีความสุข (Theinsri, 2013, p.1) ในการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ต้องมีการปรับเปลี่ยนเหมือนรายวิชาอื่น เช่นกัน โลกของการเรียนรู้ในปัจจุบันถือว่าผู้เรียนเป็นผู้มีความสำคัญที่สุด การจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงต้องคำนึงถึงกระบวนการพัฒนาผู้เรียนและผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นหลัก ผู้สอนจึง มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง และ ต้องมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถเต็มตามศักยภาพด้วย ผู้สอนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องใช้เทคนิคหรือวิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายมากขึ้น เพราะเนื้อหาสาระการเรียนรู้ของรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นั้นมีความหลากหลายว่ารายวิชา อื่นและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
4 หลักการและเหตุผล การจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงต้องส่งเสริมการพัฒนาประเทศไทยไปสู่โมเดล ประเทศไทย 4.0 ที่มีเป้าหมายจะพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศในโลกที่หนึ่งภายในปี 2579 เป็นประเทศให้ มีรายได้สูงและขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ด้วยการพัฒนาที่สมดุล 4 มิติ ได้แก่ มีความสมดุลในความมั่ง คั่ง ทางเศรษฐกิจ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การมีสังคมที่อยู่ดีมีสุข และการเสริมสร้างภูมิปัญญามนุษย์ และต้อง ปรับระบบการ ศึกษาให้เป็น “การศึกษาไทย 4.0” ที่จะต้องปรับปรุงตำราการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 จึงต้องส่งเสริมการพัฒนาประเทศไทยไปสู่โมเดลประเทศไทย 4.0 ที่มีเป้าหมายจะพัฒนา ประเทศให้เป็นประเทศในโลกที่หนึ่งภายในปี 2579 เป็นประเทศให้มีรายได้สูงและขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย นวัตกรรม ด้วยการพัฒนาที่สมดุล 4 มิติ ได้แก่ มีความสมดุลในความมั่งคั่ง ทางเศรษฐกิจ การอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม การมีสังคมที่อยู่ดีมีสุข และการเสริมสร้างภูมิปัญญามนุษย์ และต้องปรับระบบการ ศึกษาให้เป็น “การศึกษาไทย 4.0” ที่จะต้องปรับปรุงตำราเรียน การจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณสำหรับผู้จัดทำในศตวรรษที่ 21 ครูผู้สอนต้องมีส่วนร่วมในการจัด กระบวนการเรียนรู้ทุก ขั้นตอนและเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดการออกแบบ การเรียนรู้ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการแก้ปัญหาของผู้เรียนที่หลากหลาย เน้นเป้าหมายสำคัญ วัตถุประสงค์ของการพัฒนาตนเอง เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในด้านการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เเละการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับครูในศตวรรษที่ 21 ก่อนและหลังการพัฒนาตนเอง โดยการใช้คลิปวีดิโอบน YouTube ขอบเขตของการพัฒนาตนเอง 1. ระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนาตนเอง ดำเนินการพัฒนาตนเองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 ชั่วโมง รวมระยะเวลาทั้งหมด 15 ชั่วโมง ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 2. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น การใช้คลิปวิดีโอบน YouTube ตัวแปรตาม 1. ความสามารถดการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับครูในศตวรรษที่ 21 นิยามศัพท์ คลิปวีดิโอ หมายถึง มัลติมีเดียที่สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงบรรยายได้ การนำเสนอ วิดีโอมีหลายรูปแบบ เช่น วิดีโอเพื่อการศึกษา วิดีโอเพื่อความบันเทิง ประโยชน์ของวิดีโอมีมากมาย นอกจาก ให้ความรู้ ให้ความบันเทิง ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ ใช้งาน เช่น วิดีโอนำเสนอสินค้า ผลิตภัณฑ์ ต่างๆ เป็นต้น การทำงานของวิดีโอมีหลาย ประเภทซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความ เหมาะสมและความต้องการของ ผู้ใช้งาน เพื่อให้เข้าใจและสามารถเรียนรู้พร้อมกับ สร้างวิดีโอได้ด้วยตนเองคุณจึงไม่ควรรอช้า ที่จะทำความรู้ จักกับการสร้างวิดีโอด้วยตน เองการสร้างสรรค์ผลงานของตนเองด้วย วิดีโอ สามารถทำได้ง่ายหากทุกคน สามารถ เรียนรู้และเข้าใจการสอนใช้โปรแกรมการ สร้างผลงานในรูปแบบวิดีโอ เช่น วิดีโอสอน การใช้
5 โปรแกรมคอมพิวเตอร์ วิดีโอการ สอนสำหรับครู วิดีโอนำเสนอผลงาน Presentation วิดีโอWedding วิดีโอ หนังสั้น ภาพยนตร์ ซึ่งโปรแกรมที่สามารถใช้สร้าง วิดีโอในปัจจุบันมีความหลากหลายให้ผู้ใช้ งานเลือกใช้ เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของตนเอง YouTube เป็นเว็บไซต์คลังคลิปวิดีโอที่มีจำนวนมาก จากผู้ใช้งานที่อัปโหลดทั่วโลกมีหลากหลาย หมวดหมวดให้เลือกชม เช่น สารคดี กีฬา ภาพยนต์ การ์ตูน รายการทีวี วีดีโอเพลง เป็นต้น จึงเป็นที่นิยมของ คนทุกเพศ ทุกวัย เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการแลกเปลี่ยนภาพวิดีโอระหว่างผู้ใช้ได้ฟรี โดยนำเทคโนโลยีของ Adobe Flash Player มาใช้ในการแสดงภาพวิดีโอ โดยผู้ใช้สามารถเข้าดูวีดีโอต่างๆ พร้อมทั้งเป็นผู้อัปโหลด วีดีโอ ผ่าน Youtube ได้ฟรี เมื่อสมัครสมาชิกแล้วผู้ใช้จะสามารถใส่ภาพวิดีโอเข้าไป แบ่งปันภาพวิดีโอให้คน อื่นดูด้วย แต่หากไม่ได้สมัครสมาชิกก็สามารถเข้าไปเปิดดูภาพวิดีโอที่ผู้ใช้คนอื่น ๆ ใส่ไว้ใน Youtube ได้ แต่ไม่ สามารถเป็นผู้อัปโหลดวีดีโอได้ การเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการ อยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เข้าใจถึงการ พัฒนา การเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลาตามเหตุปัจจัยต่างๆเกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น มีความ อดทนอดกลั้น ยอมรับในความแตกต่างและมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็น พลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลกได้ เนื้อหาสาระของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม แบ่งเป็น 5 สาระ ได้แก่ 1) ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 2) หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนิน ชีวิตในสังคม 3) เศรษฐศาสตร์4) ประวัติศาสตร์ และ 5) ภูมิศาสตร์ (Department ofAcademic, 2008, p.4) เห็นได้ว่า สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเป็นวิชาที่มีเนื้อหากว้างครอบคลุมถึงสาขาวิชา ต่างๆ เป็นการบูรณาการรวมหลายวิชาเข้าด้วยกัน ครูในศตวรรษที่ 21 ลักษณะของครูในยุคศตวรรษ 21 นั้น เรื่องของการใช้เทคโนโลยีและการสร้างให้ ผู้เรียนเป็นนักคิดและนักพัฒนา ถือเป็นหัวใจหลักในการส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งเป็นไปตามยุคสมัยที่ เปลี่ยนแปลงไป ครูจะเป็นผู้สอนอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ จะต้องให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองด้วย โดยที่ครู ออกแบบการเรียนรู้ เป็นผู้แนะนำ และอำนวยความสะดวก ในการเรียนรู้ให้กับเด็ก ทั้งนี้เพื่อให้เด็กสามารถ สร้างสรรค์และพัฒนาองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการสร้างสรรค์ด้วยตัวเองนี้คือแนวทางสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 ที่มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องสร้างให้เกิดขึ้นกับการศึกษาไทยเป็นอย่างยิ่ง แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 1. ความหมายของคลิปวีดิโอ หมายถึง มัลติมีเดียที่สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงบรรยายได้ การนำเสนอวิดีโอมีหลาย รูปแบบ เช่น วิดีโอเพื่อการศึกษา วิดีโอเพื่อความบันเทิง ประโยชน์ของวิดีโอมีมากมาย นอกจากให้ความรู้ ให้ ความบันเทิง ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ ใช้งาน เช่น วิดีโอนำเสนอสินค้า ผลิตภัณฑ์ ต่างๆ เป็นต้น การ ทำงานของวิดีโอมีหลาย ประเภทซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความ เหมาะสมและความต้องการของผู้ใช้งาน เพื่อให้เข้าใจและสามารถเรียนรู้พร้อมกับ สร้างวิดีโอได้ด้วยตนเองคุณจึงไม่ควรรอช้า ที่จะทำความรู้จักกับการ สร้างวิดีโอด้วยตน เองการสร้างสรรค์ผลงานของตนเองด้วย วิดีโอ สามารถทำได้ง่ายหากทุกคนสามารถ เรียนรู้ และเข้าใจการสอนใช้โปรแกรมการ สร้างผลงานในรูปแบบวิดีโอ เช่น วิดีโอสอน การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
6 วิดีโอการ สอนสำหรับครู วิดีโอนำเสนอผลงาน Presentation วิดีโอWedding วิดีโอหนังสั้น ภาพยนตร์ ซึ่ง โปรแกรมที่สามารถใช้สร้าง วิดีโอในปัจจุบันมีความหลากหลายให้ผู้ใช้ งานเลือกใช้เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ ของตนเอง ชนิดของวิดีโอ แบ่งได้เป็น 2 ชนิด 1. วิดีโออนาล็อก (AnalogVideo) เป็นวีดีโอที่ทำการบันทึกข้อมูลภาพและ เสียงให้อยู่ในรูปของ สัญญาณไฟฟ้า มีลักษณะการบันทึกข้อมูลที่ให้ความคมชัดต่ำ กว่าวิดีโอแบบดิจิตอล วิดีโออนาล็อกจะใช้ เทป VHS (Video Home System) หรือ Hi – 8 ซึ่งเป็นม้วนเทปวีดีโอที่ใช้ดูกันตามบ้าน เมื่อทำการตัดต่อข้อมูล จะทำให้ได้วิดีโอที่มี ความคมชัดต่ำ 2. วีดีโอดิจิตอล (Digital Video) เป็นวีดีโอที่ทำการบันทึกข้อมูลภาพและ เสียงด้วยการแปลสัญญาณ คลื่นให้เป็นตัวเลข 0 กับ 1 คุณภาพของวิดีโอที่ได้จะมีความใกล้ เคียงกับต้นฉบับมาก ทำให้สามารถ บันทึก ข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดี หรือ อุปกรณ์บันทึกข้อมูลอื่น ๆ และสามารถ แสดงผลบนคอมพิวเตอร์ ได้ อย่างมี ประสิทธิภาพ ในการผลิตมัลติมีเดียบน คอมพิวเตอร์ สามารถเปลี่ยนรูปแบบของสัญญาณอนาลอกเป็น สัญญาณดิจิตอลได้ หากผู้ใช้มีทรัพยากรทางด้านฮาร์ดแวร์และ ซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมเท่านั้น 2. ความหมายของ YouTube หมายถึง เป็นเว็บไซต์คลังคลิปวิดีโอที่มีจำนวนมาก จากผู้ใช้งานที่อัปโหลดทั่วโลกมีหลากหลายหมวด หมวดให้เลือกชม เช่น สารคดี กีฬา ภาพยนต์ การ์ตูน รายการทีวี วีดีโอเพลง เป็นต้น จึงเป็นที่นิยมของคนทุก เพศ ทุกวัย เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการแลกเปลี่ยนภาพวิดีโอระหว่างผู้ใช้ได้ฟรี โดยนำเทคโนโลยีของ Adobe Flash Player มาใช้ในการแสดงภาพวิดีโอ โดยผู้ใช้สามารถเข้าดูวีดีโอต่างๆ พร้อมทั้งเป็นผู้อัปโหลดวีดีโอ ผ่าน Youtube ได้ฟรี เมื่อสมัครสมาชิกแล้วผู้ใช้จะสามารถใส่ภาพวิดีโอเข้าไป แบ่งปันภาพวิดีโอให้คนอื่นดูด้วย แต่ หากไม่ได้สมัครสมาชิกก็สามารถเข้าไปเปิดดูภาพวิดีโอที่ผู้ใช้คนอื่น ๆ ใส่ไว้ใน Youtube ได้ แต่ไม่สามารถเป็น ผู้อัปโหลดวีดีโอได้ 3. การจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม การจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาซึ่งเป็นรายวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสมรรถนะ ของผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้การดำรงชีวิตอยู่ในสังคม และการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข ตลอดจน สามารถนำเอาความรู้ความเข้าใจนั้นไปปรับใช้ให้เข้ากับสภาพสังคมที่แปรเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม สมดุล และ ยั่งยืน จุดมุ่งหมายสำคัญของรายวิชาสังคมศึกษาโดยส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้มีทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะทาง สังคม ทักษะการคิด ทักษะการตัดสินใจ และทักษะการแก้ปัญหาที่ใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้เรียนให้สอดคล้อง กับความต้องการของสังคมในการสร้างพลเมืองดีของประเทศอันเป็นรากฐานของพลโลกต่อไป ดังนั้น การ จัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา หรือสาระการเรียนรู้สังคมสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงต้องใช้วิธีการ เรียนรู้ที่จะช่วยสร้างเสริมเติมเต็มประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ใช้สติปัญญา ความรู้ความคิด ความสามารถทักษะ ค่านิยมและเจตคติที่ดี ตลอดจนต้องจัดให้เหมาะสมกับวัยและวุฒิภาวะของผู้เรียให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมจัดการ เรียนรู้ของตนเอง พัฒนาและขยายความคิดของตนเองจากความรู้ที่ได้เรียน โดยมีกระบวนการ ดังนี้ 1. การพัฒนาทักษะทางปัญญา เป็นกระบวนการการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะด้านความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของวิชา อันประกอบด้วยเครื่องมือช่วยคิดกระบวนการคิด ทักษะการคิด เช่น การ คิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณคิดแก้ปัญหา และคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนความรู้ที่ได้จาก การบูรณาการที่เชื่อมโยงเป็นสาระเรื่องราวต่าง ๆ จากสภาพแวดรอบตัว เป็นต้น
7 2. การพัฒนาทักษะทางสังคม เป็นกระบวนการการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียมีทักษะที่เน้นการฝึก ปฏิบัติจริง เพื่อสร้างผู้เรียนให้มีทักษะชีวิตพื้นฐาน เช่น ทักษะการรู้จักตนเอง ทักษะการคิด การตัดสินใจและ การแก้ปัญหา ทักษะการแสวงหาข้อมูล ข่าวสารความรู้ ทักษะการปรับตัว ทักษะการสื่อสารและสร้าง สัมพันธภาพ ทักษะการวางแผน และการจัดการตลอดจนทักษะการทำงานเป็นทีม เป็นต้น 3. การพัฒนาเจตพิสัยและคุณลักษณะ เป็นกระบวนการการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะการ พัฒนาค่านิยมและเจตคติที่ดีในการประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของสังคม นั้น เช่น ความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทนโดยยึดหลักธรรมะมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของผู้เรียน เป็นต้นดังนั้น การพัฒนาทักษะผู้เรียนทั้ง 3 ด้านได้นั้น จำเป็นต้องมีการออกแบบและ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกันแต่ละด้าน ดังนี้ 1. การพัฒนาทักษะทางปัญญา ผู้เรียนต้องสามารถเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายในบริบททั้งใน และนอกห้องเรียน เรียนรู้เรื่องใกล้ตัวไปสู่เรื่องไกลตัว ผู้เรียนต้องศึกษามาก่อนว่ามีแหล่งข้อมูลใดในท้องถิ่นที่มี ความสำคัญ ผู้เรียนสามารถรวบรวมข้อมูล และทำความเข้าใจข้อมูลได้ด้วยวิธีใด เช่น จากการสังเกต สัมภาษณ์ ฟังจากวิทยากร การฝึกปฏิบัติด้วยตนเองการจดบันทึก การอ่านจากเอกสาร ตำรา เป็นต้น ต่อมาใน การจัดข้อมูลให้เป็นระเบียบโดยผู้เรียนสามารถเขียนเป็นเค้าโครงร่างที่มีหัวข้อประเด็นสำคัญ ๆ เช่น รูปภาพ ประกอบการเรียงลำดับข้อมูล ซึ่งใช้เป็นแนวทางในการเสนอและอภิปรายเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูล หลังจากนั้นจึงนำมาเขียนเป็นรายงาน และนำมาใช้เป็นฐานของข้อมูลในการวิเคราะห์และการพัฒนาท้องถิ่นได้ อย่างชัดเจนต่อไป 2. การพัฒนาทักษะทางสังคม ผู้เรียนสามารถนำทักษะในการทำงานมาใช้เป็นแนวทางให้งานประสบ ผลสำเร็จจากการร่วมกันแสดงความคิดเห็น การอภิปราย และการสรุปเพื่อใช้ในการตัดสินใจอย่าง สมเหตุสมผล ซึ่งทักษะดังกล่าวใช้กระบวนการทักษะทางสังคม เช่นการทำำงานร่วมกันในกลุ่มย่อย และกลุ่ม ใหญ่ทั้งหมด การประสานงานกับบุคคลภายนอกการเดินทาง และใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างการออกไปศึกษาจาก แหล่งความรู้ในพื้นที่เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายและนำมาใช้ในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ร่วมกัน 3. การพัฒนาเจตพิสัยและคุณลักษณะ ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ทักษะจากการปฏิบัติที่ได้มาใช้ใน การส่งเสริมค่านิยมและเจตคติในการรับข้อมูลด้านต่าง ๆ ในพื้นที่ด้วยตนเอง จนเกิดความรู้และความเข้าใจ อย่างลึกซึ้ง ตลอดจนรู้สึกถึงคุณค่าความสำคัญและเห็นศักยภาพของท้องถิ่น เกิดความภูมิใจ รักหวงแหนและ ผูกพันท้องถิ่นของตนตลอดจนเกิดแนวคิดที่จะพัฒนาท้องถิ่นที่ตนอยู่อาศัยและประเทศสืบไปจากการจัดการ เรียนรู้วิชาสังคมศึกษาข้างต้น ผู้จัดจึงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบทั้งความรู้ ทักษะ และเจตคติเพื่อใช้ในการ ปลูกฝังและส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดหรือวิธีการคิด ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ต้องเน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ และส่งเสริมการจัดแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายอันเป็นพื้นฐานของการเสริมสร้างความรู้ ความคิด ประสบการณ์และปลูกฝังเจตคติที่ดีในสังคมอย่างมีคุณภาพสืบไป 4. สังคมศึกษากับทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาในบริบทที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ต้องคำนึงถึงทักษะการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเริ่มต้นในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีแนวคิดเรื่อง “ทักษะแห่ง อนาคตใหม่: การ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21” (กระทรวงศึกษาธิการ, 2557) พัฒนาโดยเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพื่อทักษะการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Skills: P21) ที่ต้องการเห็นเยาวชนมีทักษะ 3R ประกอบด้วย Reading (การอ่าน) wRiting (การเขียน) และ aRithmetic (คณิตศาสตร์) และ 7C ประกอบด้วย
8 Critical Thinking & Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการ แก้ปัญหา) Creativity & Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม) Cross-Culture Understanding (ทักษะด้าน ความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์) Collaboration, Teamwork & Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การ ทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ) Communications, Information & Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และ รู้เท่าทันสื่อ) Computing & ICT literacy (ทักษะด้าน คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) Career & Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทักษะ การเรียนรู้) สาระวิชาหลักและทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ภาษาอังกฤษ การอ่าน ภาษา ของโลก ศิลปะ คณิตศาสตร์เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์การ ปกครองและความเป็น พลเมืองที่ดี โรงเรียนต้องส่งเสริมความ เข้าใจเนื้อหาวิชาการให้อยู่ในระดับสูงด้วยการสอดแทรกทักษะ เพื่อ การดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เข้าในวิชาหลักทุกวิชา ได้แก่ ความรู้เรื่องโลก ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจและการ เป็นผู้ประกอบการ ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี ความรู้ด้าน สุขภาพ และความรู้ด้าน สิ่งแวดล้อมซึ่งสัมพันธ์กับสาระของ สังคมศึกษาทั้ง 5 สาระ ที่อิงมาตรฐานการเรียนรู้ (กระทรวง ศึกษาธิการ, 2551) สังคมศึกษากับทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ปรัชญาการสร้างความรู้ด้วยตนเองมีอิทธิพลต่อ ผู้เรียน สำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ดังนี้ (วิจารณ์ พานิช, 2555) 1) มีอิสระที่จะเลือกสิ่งที่พอใจ แสดง ความเห็นและลักษณะ เฉพาะของตนเอง 2) ต้องการดัดแปลงสิ่งต่างๆ ให้ตรงตามความ พอใจและความ ต้องการของตนเอง 3) ตรวจสอบหาความจริง เบื้องหลัง 4) เป็นตัวของตัวเองและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อ รวมตัวกันเป็นองค์กร 5) ชอบความสนุกสนานและการเล่นถือเป็น ส่วนหนึ่งของงาน การเรียนรู้และชีวิตทาง สังคม 6) การร่วมมือ และความสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของทุกกิจกรรม 7) ต้องการ ความเร็วในการสื่อสาร การ หาข้อมูลและตอบคำถาม 8) สร้าง นวัตกรรมต่อทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ครูสังคมศึกษาต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ผู้เรียนยุคนี้เป็น เจเนอเรชัน แซด ครูจึงต้องออกแบบการเรียนรู้และอำนวย ความสะดวกในการเรียนรู้ ให้ ผู้เรียนเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติเพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 (3R และ 7C) นอกจากนี้ต้องเสริมด้วยการพัฒนาสมอง (วิจารณ์ พานิช, 2555) ตามแนวคิดของ โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) 5 ด้าน ได้แก่ สมองด้านวิชาและวินัย ด้านสังเคราะห์ ด้าน สร้างสรรค์ ด้านเคารพให้ เกียรติ และด้านจริยธรรม เพื่อให้เกิด มิติทางปัญญา ครูสังคมศึกษา เจเนอเรชัน ซี (Generation C) กับผู้เรียน เจเนอเรชัน แซด (Generation Z) ผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในปัจจุบันเป็นวัย ที่เรียกกันว่า เจเนอเรชัน แซด (MTHAI, 2016) ซึ่งเกิดตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมาที่มีลักษณะที่ครูควรทำความเข้าใจ และนำไปเป็นปัจจัยส่งเสริมการ เรียนรู้ ได้แก่ การมีสมาร์ทโฟน เป็นอวัยวะที่ 33 เป็นมนุษย์ข้อมูลที่ห่วงอนาคต เชื่อมโลก เชื่อมวัฒนธรรม มี ความอดทนต่ำ มีแนวโน้มเป็นมนุษย์หลายงาน (มนัสนันท์ หัตถศักดิ์, 2557) ต้องการความรักและความ ห่วงใย มีต้นแบบในวัยใกล้เคียงกัน ต้องการเหตุผลและหาความรู้ได้ทุกที่ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ครูสังคม ศึกษายุคนี้จึงต้องให้ความสำคัญในการจัด ห้องเรียนที่นำเอาเทคโนโลยีมาเสริมกับกิจกรรมการเรียนรู้ให้ แรงจูงใจ มีการแข่งขัน มีรางวัล จะทำให้ผู้เรียนกระตือรือร้น ในการเรียนรู้และครูต้องปรับตัวให้เข้ากับ เจ เนอเรชัน แซด โดยการพัฒนาตนเองให้เป็น เจเนอเรชัน ซี (มนัสนันท์ หัตถศักดิ์, 2557; กระปุก, 2556; สวทช. , 2560) ที่สามารถใช้สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย เป็นผู้แบ่งปันความรู้และข้อมูล ข่าวสาร ดังนั้นครูเจเนอเรชัน ซี ของผู้เรียนเจเนอเรชัน แซด ต้องยึดหลักลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ (teach less, learn more) เพื่อมีเวลาให้ผู้เรียนปฏิบัติมากขึ้น มีคุณลักษณะเป็น “ครู 9 E” (มนัสนันท์ หัตถศักดิ์, 2557) คือ มี
9 Experience (ประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านอินเทอร์เน็ต) Extended (มีทักษะ การค้นหาความรู้ด้วย เทคโนโลยี) Expanded (ขยายความรู้ด้วยเทคโนโลยีสู่ผู้เรียน) Exploration (สามารถเลือกเนื้อหา ที่ทันสมัย ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์) Evaluation (เป็นนัก ประเมินที่ดี) End-User (เป็นผู้ใช้ปลายทางที่ดี) Engagement (แลกเปลี่ยนความเห็น หาแนวร่วมบนอินเทอร์เน็ต) และมีEfficient and Effective (ประสิทธิภาพและประสิทธิผลจะต้อง เป็นผู้ใช้เทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่ว) 5. ทักษะและบทบาทของครูไทยในศตวรรษที่ 21 จากศตวรรษที่ 20 สู่ศตวรรษที่ 21 ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ ความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ทำให้เกิดเครือข่ายโทรคมนาคมดิจิทัลที่เชื่อมโยงโลกในแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ผ่านอุปกรณ์อีเล็กโทนิกส์ต่างๆ ที่มีการ พัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เช่น คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งปัจจุบันอุปกรณ์อีเล็ก โทนิกส์เหล่านี้ ก็ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทุกคนต้องมีไว้เพื่อตอบสนอง ต่อการก้าวทันการเติบโตของโลก โลกในยุคศตวรรษที่ 21 นั้น ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ อันหมายถึงยุคแห่งการสื่อสาร ไร้พรมแดน ซึ่งเป็นผลจากการนำเครือข่ายโทรคมนาคมดิจิทัลมาใช้ร่วมกับการพัฒนานวัตกรรมและวิทยาการ ต่างๆ ซึ่งช่วยให้เราสามารถทำสิ่งต่างๆได้รวดเร็วมากขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาทีผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การทำ ธุรกรรมทางการเงิน การติดต่อประสานงาน การประชุมทางไกล หรือการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งจากการ เติบโตนี้ จะเห็นได้ว่าทักษะทางเทคโนโลยีนั้นถือเป็นทักษะหนึ่งที่คนในยุคนี้จะต้องมี และรวมไปถึงทักษะ สำคัญที่ใช้ในการสื่อสาร เช่น ภาษา ก็นับเป็นอีกทักษะหนึ่งที่มีความสำคัญ นอกจากนี้ด้วยวิทยาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวหน้า จึงทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ต่างๆ เป็นไปด้วยความง่ายดายมากขึ้นในทุกมิติ ซึ่งสิ่งนี้มีทั้งข้อดีและผลกระทบ จึงจำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันใน ด้านไอทีและทักษะในการเลือกเฟ้นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการนำไปใช้ด้วย สำหรับบทบาทของครูใน ศตวรรษที่ 21 นั้น ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ๆ ว้ว่า ครูไทยในยุคศตวรรษที่ 21 จะต้องกลับมาดูการศึกษาโดยรวมของเราได้ปฏิรูปการศึกษาที่เน้นทักษะ เพื่อ นำไปสู่การมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีคุณภาพแล้วหรือยัง เพราะขณะที่โลกตอนนี้มีการพัฒนาด้วยไอเดียความคิด สร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ แต่เรายังคงเลือกที่จะเป็นผู้รับมากกว่าที่จะเป็นนักสร้างสรรค์เสียเอง ทำให้ ประเทศไทยเราตกอยู่ในฐานะเป็นเพียงผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นมันถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยน วัฒนธรรมการเรียนรู้ของเด็กไทยเสียใหม่ ให้รู้จักการสร้างสรรค์ ร่วมกันวางแผน รู้จักแยกแยะ รู้จักประยุกต์ วิจัยค้นคว้า สร้างผลงาน วางแผนและประมวลผลเป็น ซึ่งตัวแปรที่สำคัญในเรื่องนี้ก็คือครู ซึ่งคุณลักษณะ สำคัญ 7 ประการ ของครูใน ศตวรรษที่ 21 ที่ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ได้ให้มุมมองไว้ มีดังนี้ 1. สร้างและบูรณาการความรู้ได้ ครูจะต้องสามารถบูรณาการความรู้ต่างๆที่มี มาใช้ในการสร้างสรรค์ และพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ 2. มีความคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์ ครูจะต้องสอนให้เด็กมีทักษะกระบวนการคิด โดยสามารถคิด วิเคราะห์ในเรื่องต่างๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ 3. มีวิสัยทัศน์และตกผลึกทางความคิดเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เรียน ครูจะต้องเป็นคนมี วิสัยทัศน์ เน้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้ โดยการส่งเสริมการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้เด็กตกผลึกทาง ความคิดได้ด้วยตัวเอง และมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน
10 4. ครูต้องรู้และเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ มีทักษะใหม่ๆ พร้อมทั้งชี้แนะข้อดีข้อเสียให้ผู้เรียนได้ ครูจะต้อง สามารถใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการศึกษาได้หลากหลาย และสามารถชี้ให้เด็กเห็นถึงข้อดีข้อเสีย และการใช้ เทคโนโลยีต่างๆอย่างเหมาะสม 5. มีทักษะการสอนเด็กให้เติบโตเต็มศักยภาพและสร้างผลงานใหม่ๆ ครูจะต้องส่งเสริมการเรียนรู้ให้ เด็กตามวัยและให้เด็กพัฒนาอย่างเต็มที่ตามศักยภาพของเด็กและเน้นให้เด็กเปลี่ยนจากเป็นผู้รับ กลายเป็น ผู้พัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ 6. ต้องเข้มแข็งในจรรยาบรรณ คุณธรรม จริยธรรม และชักชวนให้คนอื่นๆทำเพื่อสังคม ครูจะต้องยึด มั่นในจรรยาบรรณวิชาชีพ รักษาคุณธรรมจริยธรรมและเป็นบุคคลหนึ่งในสังคมที่ช่วยให้สมาชิกในสังคมนั้นๆมี แนวทางในการปฏิบัติตนต่อตนเองแปละสังคมที่เหมาะสม 7. มีบทบาทนำด้านการสอนและวิชาชีพ พัฒนาคุณภาพของโรงเรียนและในวิชาชีพร่วมกับผู้บริหาร มากขึ้น ครูจะต้องมีบทบาทต่อการส่งเสริม พัฒนา และประเมินผลการเรียนรู้และวิชาชีพในโรงเรียนร่วมกับ บุคลากร ผู้บริหารและชุมชน จากคุณลักษณะทั้ง 7 ข้อที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ลักษณะของครูในยุคศตวรรษ 21 นั้น เรื่องของการ ใช้เทคโนโลยีและการสร้างให้ผู้เรียนเป็นนักคิดและนักพัฒนา ถือเป็นหัวใจหลักในการส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่ง เป็นไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ครูจะเป็นผู้สอนอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ จะต้องให้เด็กเรียนรู้ด้วย ตนเองด้วย โดยที่ครูออกแบบการเรียนรู้ เป็นผู้แนะนำ และอำนวยความสะดวก ในการเรียนรู้ให้กับเด็ก ทั้งนี้ เพื่อให้เด็กสามารถสร้างสรรค์และพัฒนาองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการสร้างสรรค์ด้วยตัวเองนี้คือแนวทาง สำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 ที่มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องสร้างให้เกิดขึ้นกับการศึกษาไทยเป็นอย่างยิ่ง 6. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จากการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) ตามนโยบายการ ศึกษาได้ระบุสิ่งที่ ควรมีคือทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ควรได้รับการสนับสนุนให้เกิดการมีทักษะ การคิดขั้นสูง แล้วการจัดการ เรียนรู้ให้ผู้เรียนในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความเหมาะสมและ สามารถพัฒนาทักษะการคิดได้อย่างมีศักยภาพ ซึ่งครู มีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนา ศักยภาพของผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ตามความสามารถของผู้เรียน ความ พยายามของผู้เรียน และความใส่ใจในการจัดการเรียนรู้ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ดังนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนต้องหาวิธีการจัดการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสม และสนับสนุนให้เกิด ทักษะการคิดขั้นสูงอย่างมีทิศทาง ตลอดจนสอดคล้องกับวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นที่ผู้เรียน อาศัยอยู่ เพื่อให้เกิดความสมดุลของรูปแบบทางการคิด โดยต้องประกอบไปด้วยการจัดการเรียนรู้ที่ หลากหลายรูปแบบ มากกว่าการใช้เพียงรูปแบบ เดียวในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งการจัดการเรียนรู้ที่ให้เกิดความ สมดุลทางความคิด โดยไม่ต้อง นำผู้เรียนมาเป็นเครื่องมือในการทดลองอีกต่อไป ซึ่งครูผู้สอนจำเป็นต้อง เลือกใช้ให้สอดคล้องกับสิ่งที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดที่ต้องการในเชิงทฤษฎีนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลง หรือการพัฒนาไปตามกระแสสู่แนวคิดหลักการแบบสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมพัฒนาคิดอย่างมี วิจารณญาณสามารถนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงในการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพของผู้เรียนได้ จากการศึกษา ความหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ของนักวิชาการและนักจิตวิทยาการหลายคน ได้ให้คำนิยามความหมายไว้ เช่น Dewey กล่าวว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นการคิดอย่างใคร่ครวญ ไตร่ตรอง เริ่มต้นจากการคิด ภายใต้สถานการณ์ที่มีความยุ่งยาก และสิ้นสุดลงด้วยสถานการณ์ที่มีความชัดเจน Hilgard กล่าวว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นความสามารถในการตัดสินข้อความหรือ ปัญหาว่าเป็น ข้อเท็จจริงหรือเป็นเหตุเป็นผลกัน ตลอดจน Good กล่าวว่าการคิด อย่างมีวิจารณญาณ เป็นการคิดอย่าง
11 รอบคอบตามหลักของการประเมินและมีหลักฐาน อ้างอิง เพื่อหาข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้ ตลอดจนพิจารณา องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและใช้กระบวนการทางตรรกวิทยาได้อย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล และ Ennis [12] กล่าวว่า การคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นการคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล ที่มุ่งเพื่อการ ตัดสินใจว่า สิ่งใดควรเชื่อหรือสิ่งใดควรทำ ซึ่งบุคคลที่มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณควรประกอบด้วยทักษะ 12 ประการ ได้แก่ 1) การกำหนดหรือระบุ ประเด็นคำถามหรือปัญหาที่สำคัญได้ชัดเจน พร้อมทั้งระบุเกณฑ์เพื่อตัดสิน คำตอบที่เป็น ไปได้ 2) การคิดวิเคราะห์ข้อโต้แย้งโดยระบุข้อมูลที่มีเหตุผลหรือน่าเชื่อถือได้ และข้อมูล ที่ไม่มีเหตุผล หรือไม่น่าเชื่อถือ พร้อมทั้งระบุความเหมือนและความแตกต่างของความคิด เห็นหรือข้อมูลที่มีอยู่ได้ ตลอดจน หาข้อสรุปได้ 3) การถามด้วยคำถามที่ท้าทาย และตอบ คำถามได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างคำถามที่ใช้ เช่น เพราะเหตุ ใด ประเด็นสำคัญคืออะไร ข้อความที่กำหนดนี้หมายความว่าอย่างไร ตัวอย่างที่เป็นไปได้มีอะไรบ้าง ความ คิดเห็น ของท่านในเรื่องนี้คืออะไร ให้พิจารณาว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร อะไรเป็น ข้อมูลที่มีเหตุผล เป็นต้น 4) การพิจารณาความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล ซึ่งเป็น ข้อมูลที่ไม่มีข้อโต้แย้งได้รับการยอมรับ สามารถให้เหตุผลว่าเชื่อถือได้ และมาจาก ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ 5) การสังเกตและตัดสินผลข้อมูลจากการสังเกตด้วยตนเอง โดยมีหลักเกณฑ์กล่าวคือ เป็นข้อมูลที่ได้ จากการสังเกตด้วยตัวเองโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ใช่เพียงได้ยินมาจากคนอื่น จากนั้นจึงมีการบันทึกทันที 6) การคิดนิรนัยและตัดสิน ผลการนิรนัยกล่าวคือ สามารถนำหลักการใหญ่ไปแตกเป็นหลักการย่อย ๆ ได้ หรือนำ หลักการไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ 7) การคิดอุปนัยและตัดสินผลการอุปนัย กล่าว คือ ในการสรุปอ้างอิงไปยังกลุ่มประชากรนั้น กลุ่ม ตัวอย่างต้องเป็นตัวแทนของประชากร และก่อนที่จะมีการอุปนัยนั้น ต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างถูกต้อง ตามแผนที่กำหนด และมีข้อมูลเพียงพอต่อการสรุปแบบอุปนัย 8) การตัดสินคุณค่าได้ โดยพิจารณา ทางเลือกภายใต้ข้อมูลพื้นฐานที่เพียงพอ ตลอดจนชั่งน้ำหนัก ระหว่างดีและไม่ดี หรือผลดีและผลเสียก่อนตัดสินใจ 9) การให้ความหมายคำต่าง ๆ และตัดสินความหมาย เช่น การบอกคำเหมือน คำที่มีความหมาย คล้ายกัน การจำแนก จัดกลุ่ม การให้คำนิยาม เชิงปฏิบัติ และการยกตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่ได้ 10) การระบุข้อสันนิษฐานคาดเดา คาดคะเน สิ่งที่เกิดขึ้นหรือผลที่จะเกิดขึ้น ตามมาภายหลังได้ 11) การตัดสินใจเพื่อนำไป ปฏิบัติโดยการกำหนดปัญหา การเลือกเกณฑ์ตัดสินผลที่เป็นไปได้ การ กำหนดทางเลือก อย่างหลากหลาย และการตัดสินใจเลือกทางเลือกเพื่อปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 12) การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ เข้าใจตนเองและคนอื่น สามารถประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี ในการเข้าร่วมกับ คนอื่น มีความรู้สึกไวต่อปฏิกิริยาของตน และสามารถปรับตัว เข้ากับคนอื่นได้อย่างเหมาะสม จากทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณทั้ง 12 ประการดังกล่าว สามารถนำมาสรุป ได้เป็นหลักการ 4 ประการ ได้แก่ 1) หลักความชัดเจน 2) หลักความสมเหตุสมผลเป็นที่ ยอมรับ 3) หลักการสรุปอ้างอิง และ 4) หลักการปฏิสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความหมาย ในมุมมองของการคิดอย่างมีวิจารณญาณของไทยมอง ว่า เป็นความสามารถในการมอง การณ์ไกล ความหยั่งรู้ ความรู้ดี ความสามารถในการวินิจฉัยและการตัดสินใจ เป็นการ คิดที่มีเหตุผลโดยผ่านการคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มีหลักเกณฑ์มีหลักฐาน ที่เชื่อถือได้ เพื่อนำไปสู่การสรุปและตัดสินที่มีประสิทธิภาพว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดควรเชื่อ สิ่ง ใดควรเลือก หรือสิ่งใดควรทำ
12 ดังนั้น การคิดอย่างมีวิจารณญาณจึงมีความสำคัญสำหรับ ทุกคนในการดำเนินชีวิตประจำวัน กล่าวสรุปได้ว่า การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นกระบวนการในการคิดที่ใช้เหตุผล โดยมีการศึกษาข้อเท็จจริงหลักฐาน และ ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ แล้วนำมาพิจารณาวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผล โดยการไตร่ตรอง ก่อนตัดสินใจว่าสิ่งใด ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ โดยยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นก่อนจะตัดสินใจอย่าง รอบคอบ ตลอดจนแสวงหาความรู้ที่เหมาะสมถูกต้องเพียงพอโดยอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้ของ หลักการ ซึ่งผู้เขียนสามารถสรุปการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณสำหรับ ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 จะเห็นได้ว่าแนวทางการจัดกิจกรรมวิชาสังคมศึกษาของครูผู้สอน เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณสำหรับครูในศตวรรษที่ 21 ต้องเน้นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การยอมรับสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลง ความสามารถในการเข้าใจและตัดสินใจ ทัศนะ การคิดวิเคราะห์ การกำหนดปัญหาและการ แก้ปัญหาในวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน โดยครูผู้สอนใน ศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นครูที่มีความสามารถเชิงวิชาชีพมีความรู้ในวิชาการ ทันต่อการก้าวหน้าซึมซาบในวิชาชีพ ครู ที่มีพื้นฐานมาจากสหวิทยาการโดยการบูรณาการ 5 กลุ่มสาระในรายวิชาสังคมศึกษามาใช้ในการจัด กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ตลอดจนต้องก้าวทันต่อเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน โดยการติดตามข่าวสารของ สื่อมวลชน เพื่อที่จะสามารถพูดคุยกับผู้เรียนได้ เตรียมผู้เรียนให้สามารถเลือกและใช้ข้อมูลสาธารณะอย่างมี วิจารณญาณ สามารถวิเคราะห์ แยกแยะรู้จักผิดชอบชั่วดี ตลอดจนมีความเข้าใจปัญหาของโลกปัจจุบันแนว ทางการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 จากการศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณ สามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณสำหรับครู ในศตวรรษที่ 21 มีขั้นตอนสรุปได้ดังนี้ 1. ขั้นการตั้งคำถาม (Questioning) เป็นขั้นที่ฝึกสังเกตสถานการณ์ปรากฏการณ์ต่าง ๆ จนเกิดความ สงสัย จากนั้นฝึกให้ตั้งคำถามสำคัญ รวมทั้งการ คาดคะเนคำตอบ ด้วยการสืบค้นความรู้จากแหล่งต่าง ๆ และ สรุปเป็นคำตอบชั่วคราว ทักษะที่จำเป็น ได้แก่ 1. การสังเกตเพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุด 2. การตั้งคำถาม เป็นขั้น ฝึก ให้ตั้งคำถามทั้งคำถามระดับต่ำ และคำถามระดับสูง และ 3. การเข้าถึงข้อมูล โดยการ อ่าน ฟัง ดู จด บันทึก (Literacy) เพื่อหาคำตอบที่ได้จากการคาดคะเน ซึ่งต้องอาศัยการ ใช้เหตุผลแบบอุปนัย (Induction Reasoning) เพื่อสรุปคำตอบของปัญหา 2. ขั้นการวางแผนแหล่งเรียนรู้ (Planning Resources) เป็นขั้นตอนการออกแบบ/ วางแผนเพื่อ รวบรวมข้อมูล สารสนเทศ จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ รวมทั้งการทดลองเป็นขั้น ที่เด็กใช้หลักการนิรนัย (Deduction Reasoning) เพื่อการออกแบบเก็บข้อมูล (ทักษะ ที่จำเป็น ได้แก่ 1. การสืบค้นข้อมูล รวมทั้งการ กลั่นกรองข้อมูล 2. การสื่อสาร (Literacy) 3. การนิรนัย (Reasoning) และ 4. การใช้ตัวเลข (Numeracy) ใน การวัด (Measuring) การวิเคราะห์ 3. ขั้นการสร้างองค์ความรู้ (Creating knowledge) เป็นขั้นที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ การสื่อความหมายข้อมูลด้วยแบบต่าง ๆ หรือด้วยผังกราฟิก การแปลผล จนถึงการสรุปผล หรือ การสร้างคำอธิบาย เป็นการสร้างองค์ความรู้ ซึ่งเป็นแก่น ของความรู้ประเภท ข้อเท็จจริง คำนิยาม มโนทัศน์ หลักการ กฎและทฤษฎี สร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ทักษะที่จำเป็น ได้แก่ 1. การวิเคราะห์ข้อมูล และการ ใช้ตัวเลข รวมทั้งค่าสถิติ (Numeracy) 2. การสื่อความหมายข้อมูล (Literacy) 3. การแปลผลข้อมูล การอ่าน
13 ข้อมูลจากการวิเคราะห์ข้อมูล (Literacy) และ 4. การใช้เหตุผลอุปนัย (Induction Reasoning) ในการสรุปผล หรือสร้างองค์ความรู้ 4. ขั้นการสื่อสาร (Communication) เป็นขั้นนำเสนอความรู้ด้วยการใช้ภาษา ที่ถูกต้อง ชัดเจน และ เป็นที่เข้าใจ อาจเป็นการนำเสนอเป็นภาษา และนำเสนอด้วยวาจา (ทักษะที่จำเป็น ได้แก่ 1. การสื่อสาร (Literacy) 2. การสรุปด้วยภาษาที่เป็นที่เข้าใจ 3. การนำเสนอข้อมูล เช่น 3.1 การเขียน เช่น ความเรียง เรียงความ เขียนรายงานวิชาการ เขียนรายงานวิจัย เขียนบทความ เป็นต้น และ 3.2 การนำเสนอด้วยวาจา คือ การพูดนำเสนอ อย่างมีคุณภาพในโรงเรียน ในชุมชน ตลอดจนนำเสนอในระดับอาเซียน และระดับ นานาชาติ 5. ขั้นการตอบแทนสังคม (Community Development) เป็นขั้นตอนของการ ฝึกให้นำความรู้ที่ เข้าใจการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม หรือเห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วยการทำงานเป็นกลุ่มร่วมกัน สร้างผลงานที่ได้จากการแก้ปัญหาสังคมอย่าง สร้างสรรค์ ซึ่งอาจเป็นความรู้ แนวทางสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งอาจเป็น นวัตกรรมด้วยความรับผิดชอบ ต่อสังคม อันเป็นการแสดงออกของความเกื้อกูล (Caring) และแบ่งปัน (Sharing) ให้สังคม มีสันติและยั่งยืน (ทักษะที่จำเป็น ได้แก่ 1. การทำงานกลุ่มอย่างต่อเนื่อง 2. การประยุกต์ ความรู้และการเรียนรู้ 3. การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Creative Problem Solving) 4. ทักษะความ รับผิดชอบ และ 5. ทักษะการแสดงความเกื้อกูล และแบ่งปัน การออกแบบการเรียนรู้โดยการเน้นประสบการณ์เพื่อส่งเสริมทักษะการคิด อย่างมี วิจารณญาณในรายวิชาสังคมศึกษา จากการศึกษาการออกแบบการเรียนรู้โดยการเน้นประสบการณ์ สามารถนำมา ประยุกต์ใช้ในการ จัดการเรียนรู้โดยการเน้นประสบการณ์เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดอย่าง มีวิจารณญาณในรายวิชาสังคมศึกษา ของในแต่ละขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การรับประสบการณ์จากสิ่งที่เป็นรูปธรรม เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการ เรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยประสบการณ์ที่จัดให้ต้องมีลักษณะเป็นรูปธรรม กล่าวคือต้องให้ผู้เรียนได้รับ ประสบการณ์ด้วยตนเองโดยตรง จากการตั้งประเด็นข่าว สถานการณ์ในชีวิตประจำวันกับผู้เรียน ขั้นที่ 2 การสังเกตอย่างไตร่ตรอง เป็นขั้นที่ผู้เรียนได้สะท้อนสิ่งที่ได้รับประสบการณ์มา กล่าวคือได้มี การพินิจพิจารณาสิ่งที่ได้รับประสบการณ์มาอย่างรอบคอบลึกซึ้ง จนสามารถ พัฒนาเป็นความคิดหรือความคิด รวบยอดและความรู้สึกเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้รับ มาจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ขั้นที่ 3 การสร้างแนวคิดเชิงนามธรรมและสรุปเป็นหลักการ เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียน ได้สร้างความเข้าใจใน ความเป็นนัยทั่วไปของเรื่องนั้น ๆ ซึ่งอาจจะออกมาในรูปของการ สรุปความคิดรวบยอดหรือหลักการใน รูปแบบการอภิปราย บรรยาย การสาธิต การทดลอง หรือการทำชิ้นงาน ขั้นที่ 4 การทดลองประยุกต์หลักการนำไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ เป็นขั้นของการ ให้ผู้เรียนได้นำ ความคิดรวบยอดหรือหลักการที่สรุปได้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ โดยการ สร้างสรรค์นวัตกรรม เช่น การทำ โครงงาน โครงการต่าง ๆ ในรูปแบบการจัดเวทีสัมมนา หรือจัดนิทรรศการ กล่าวโดยสรุป กระบวนการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ข้างต้น จะเน้นขั้นตอน ที่ด้รับประสบการณ์ที่ เป็นรูปธรรมด้วยตนเอง ให้เวลาได้สังเกต ไตร่ตรอง และสามารถสรุปเป็นความคิดรวบยอดเพื่อนาไปใช้ใน สถานการณ์ใหม่ได้ โดยแต่ละขั้นตอน ผู้เรียนต้องใช้ทักษะการคิดจำนวนมากช่วยในการเรียนรู้ ซึ่งการเน้น ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูผู้สอนเป็นเพียงผู้คอยสนับสนุนหรือแนะนำ การดำเนินกิจกรรมให้บรรลุผลสำเร็จ
14 สมรรถนะของครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดไว้ดังนี้ สมรรถนะหลัก (Core Competency) 5 ประการได้แก่ 1. การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงาน 2. การบริการที่ดี 3. การพัฒนาตนเอง 4. การทำงานเป็นทีม 5. จริยธรรมและจรรยาบรรณครู สมรรถนะตามสายปฏิบัติงาน (Functional Competency) 6 ประการได้แก่ 1. การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ 2. การพัฒนาผู้เรียน 3. การบริหารจัดการชั้นเรียน 4. การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน 5. ภาวะผู้นำ 6. การสร้างความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับชุมชน 7. รูปแบบการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21 การสร้างความรู้ด้วยตนเอง (constructivism) และวิธีสอนแบบการลงมือปฏิบัติ (active learning) มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา 5 รูปแบบ ได้แก่ 1. การจัดการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning) 2. การจัดการเรียนรู้แบบการใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based learning) 3. การจัดการเรียนรู้แบบการใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-based learning) 4. การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEM education) 5. การศึกษาบทเรียนและวิธีการแบบเปิด (Lesson study & open approach) 1. การเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based learning) (ไพศาล สุวรรณน้อย, 2558) จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เป็นผู้คิดวิธีสอนแบบ แก้ปัญหาได้เสนอแนวคิดว่าการเรียนรู้เกิดจากการปฏิบัติหรือ ได้ลงมือกระทำ ด้วยตนเองนำไปสู่แนวคิดของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน พัฒนาโดยคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ Mcmaster University ประเทศแคนาดา การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเป็นบริบท ของการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการคิดที่หลากหลาย เช่น การคิด วิจารณญาณ คิดวิเคราะห์ การ คิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ฯลฯ แม้จะนิยมใช้ในการเรียนวิทยาศาสตร์แต่ก็มีความ เหมาะสมอย่างยิ่งที่ จะนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา ได้เป็นอย่างดี การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมีลักษณะ สำคัญ ได้แก่ 1) ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ อย่างแท้จริง 2) จัดกลุ่มนักเรียนกลุ่มละประมาณ 5-8 คน 3) ครูทำหน้าที่ เป็นผู้อำนวยความสะดวกหรือผู้ให้
15 คำแนะนำ 4) ใช้ปัญหาเป็น ตัวกระตุ้น (สิ่งเร้า) ให้เกิดการเรียนรู้ 5) ปัญหาที่นำมาใช้ต้อง มีลักษณะคลุมเครือ ไม่ชัดเจนมีวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างหลาก หลาย อาจมีคำตอบได้หลายคำตอบ 6) นักเรียนเป็นผู้แก้ปัญหา โดย การแสวงหาข้อมูลใหม่ๆ ด้วยตนเอง และ 7) ประเมินผล จากสถานการณ์จริงในขณะทำกิจกรรมการเรียนรู้ (learning process) และผลงานจากการเรียนรู้ (learning product) จากผลการวิจัยทางด้านการเรียนรู้โดย ใช้ปัญหาเป็น ฐานพบว่า มีขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน (ไพศาล สุวรรณน้อย, 2558) ประกอบด้วย 1) ทำความเข้าใจคำ ศัพท์ข้อความที่ปรากฏอยู่ในปัญหาให้ชัดเจน 2) ระบุปัญหาหรือ ข้อมูล สำคัญร่วมกัน 3) ระดมสมองเพื่อวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ 4) วิเคราะห์ปัญหา เพื่ออธิบายและตั้งสมมติฐานที่ เชื่อมโยงกัน กับปัญหาตามที่ได้ระดมสมอง 5) กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้เพื่อค้นหาข้อมูลที่จะอธิบายผล การวิเคราะห์ที่ตั้งไว้ 6) ค้นคว้า ด้วยตนเองจากสื่อและแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ และพัฒนาทักษะ การเรียนรู้ 7) รายงานผลสรุปเป็นหลักการและแนวทางเพื่อ นำไปใช้โอกาสต่อไป บทบาทของครู ครูมีบทบาทในการใช้คำถาม “อย่างไร” ทุกครั้งที่ผู้เรียน เสนอแนวคำตอบแนะนำให้เสนอความรู้แบบ ต่างๆ เช่น การ เชื่อมโยงโมเดลอุปมาอุปมัยแผนผังความคิดเรื่องที่ค้นพบได้ASJ PSU 233 จากไหน ได้ข้อสรุป อะไรบ้าง ใครได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้และได้อะไรการประเมินปฏิบัติการโดยประเมินการใช้ข้อมูล ร่วมกัน การค้นหาและนิยามปัญหา การได้มาซึ่งความรู้ การนำ ตนเองทักษะการเรียนแบบร่วมมือและการแก้ปัญหาใช้ การ ประเมินตามสภาพจริง สร้างเกณฑ์การประเมิน เพื่อประเมิน การอภิปรายการเขียนอนุทินบันทึกการ ทดลองการให้คะแนน ตนเองและการสัมภาษณ์ 2. การจัดการเรียนรู้แบบการใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based learning) การเรียนรู้แบบการใช้โครงงานเป็นฐาน (Projectbased learning) เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอด ชีวิต สอดคล้องกับปรัชญาการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (constructivism) และทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (cooperative learning) ซึ่งครูเป็นผู้จัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนเหมือนกับ ชีวิตจริงอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วย ตนเองพัฒนาการคิดสร้างสรรค์ การคิดแก้ปัญหา และการคิด ขั้นสูง (higher order thinking) การทำงานร่วมกัน ฝึกภาวะ ผู้นำและผู้ตาม การจัดการเรียนรู้แบบการใช้โครงงานเป็นฐาน แบ่งตามกิจกรรม 4 ประเภท ได้แก่ โครงงานเชิงสำรวจ (survey project) โครงงานเชิงค้นคว้าทดลอง (experimental project) โครงงานเชิงพัฒนาหรือสร้างสิ่งประดิษฐ์ (development project) และโครงงาน เชิงแนวคิดทฤษฎี (theoretical project) มูลนิธิ Autodesk, California ได้กำหนดลักษณะของ การจัดการ เรียนรู้แบบการใช้โครงงานเป็นฐานดังนี้ (Thomas, 2000) 1) การมีส่วนร่วมและสร้างความสนใจให้ผู้เรียน 2) ให้มีความหมายและบริบทที่แท้จริงสำหรับการเรียนรู้ 3) ผู้เรียน ดื่มด่ำในความซับซ้อนของปัญหาในโลกแห่ง ความเป็นจริง 4) อนุญาตให้ผู้เรียนเลือกและการตัดสินใจในสิ่งที่สำคัญ 5) มีการเชื่อมต่อระหว่างผู้เรียนกับ ทรัพยากรของชุมชนและ ผู้เชี่ยวชาญ 6) ต้องการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้และทักษะ ที่สำคัญ 7) สามารถ จัดการเรียนรู้ในหลายสาขาวิชาเพื่อแก้ปัญหาและสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง 8) สามารถสร้างโอกาสใน การ สะท้อนและการประเมินตนเอง 9) ส่งผลให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ และ 10) มีการจัดนิทรรศการที่ดีเพื่อ นำเสนอต่อสาธารณะ
16 ขั้นตอนการทำโครงงาน การทำโครงงานมีขั้นตอนในการดำเนินงานดังนี้(คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 2558) 1) ผู้เรียน คิดและเลือกหัวเรื่องด้วยตนเอง 2) วางแผนเขียนเค้าโครงและนำ เสนอต่อครู 3) ดำเนินงาน ตามแผนงานที่วางไว้ 4) เขียนรายงาน 5) นำเสนอผลงาน และ 6) การประเมินผลโครงงาน เพื่อสะท้อน ความสำเร็จของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยครูและผู้เรียน บทบาทของครู ครูต้องเป็นผู้ให้ความรู้ด้านทฤษฎี หลักการ กระบวนการ วิธีการคิดและยุทธศาสตร์การคิดกระตุ้นให้ ผู้เรียนคิดหัวข้อโครงงานและวิธีการเขียนโครงงานให้คำแนะนำ ชี้แนะแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ และวิธีการำ เนินงานให้ความรู้ทักษะและเทคนิคในการทำโครงงานจัดงบประมาณ อุปกรณ์สนับสนุนแต่ละโครงงานและ เป็นที่ปรึกษาโครงงานประสานงาน กับอาจารย์และผู้ที่เกี่ยวข้องติดตามความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน เป็น กรรมการตรวจสอบโครงงาน ประเมินโครงงานของ นักเรียนและการจัดนิทรรศการ 3. การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-based learning) วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ (2557ก) พบว่า การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานเป็นการวิจัยต่อยอดมา จากการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานที่ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่างๆ แต่ยัง ขาดทักษะด้านความคิด สร้างสรรค์ จากการวิจัยพบว่า ผู้เรียนที่ เรียนรู้แบบโดยใช้ปัญหาเป็นฐานมีความคิดสร้างสรรค์ก่อนเรียน และ หลังเรียนแตกต่างกันน้อยมาก จึงนำเอาทฤษฎีความคิด สร้างสรรค์มาใช้ร่วมกับการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐาน พบว่า ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์สูงขึ้นสนุกกับ การเรียนได้รับความรู้ สามารถนำ ความรู้ไปอธิบายปรากฏการณ์หรือแก้ปัญหาได้ และยังส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อีกด้วย บทบาทของครู ครูเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการ จัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ประกอบด้วย กระบวนการ 8 ประการ และบรรยากาศ 9 ประการ ดังนี้(วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์, 2557ข) กระบวนการ 8 ประการ ประกอบด้วย 1) สร้างแรง บันดาลใจ กระตุ้นความอยากรู้ 2) เปิดโอกาสให้ผู้เรียน ค้นหา รวบรวมข้อมูล แยกแยะ และนำมาสร้างเป็นความรู้ 3) การสอน จะสอนเมื่อมีคำถาม 4) ผู้เรียนมีโอกาส หาทางแก้ปัญหา ด้วยตนเอง 5) ใช้เกมเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ 6) แบ่งกลุ่ม ทำโครงงาน 7) ให้ผู้เรียน นำเสนอผลงานแบบสร้างสรรค์ และ 8) ใช้การวัดผลด้านต่างๆ ตามเป้าหมายที่ได้ออกแบบไว้บรรยากาศ 9 ประการ ประกอบด้วย 1) ให้ผู้เรียนมีเวลาศึกษาค้นคว้า อภิปราย และนำเสนอมากที่สุด 2) หลีกเลี่ยง การ อธิบายอย่างละเอียด แต่จะตั้งคำถามเพื่อให้ผู้เรียน สนใจต่อ 3) ครูต้องหลีกเลี่ยงการตัดสินแบบเด็ดขาด เช่น ถูก-ผิด 4) ครูสนับสนุนให้ผู้เรียนคิด 5) ใช้เรื่องที่ผู้เรียนสนใจเป็น เนื้อหาสำหรับการศึกษาค้นคว้าและตามด้วย เนื้อหาตามตำรา 6) ควรใช้เวลาเรียนมากกว่า 90 นาทีบูรณาการรายวิชาที่ เกี่ยวโยงกับปัญหาโดยมีกลุ่มครู 2- 3 คน จัดการเรียนรู้ร่วมกัน 7) เน้นให้ผู้เรียนสนใจพัฒนาการตนเอง และครูวัดผลเพื่อ รายงานให้ผู้เรียนทราบ การพัฒนาในแต่ละด้าน 8) ผู้เรียนต้อง เรียนรู้ด้วยความสมัครใจความสนใจและให้ความร่วมมือ ครูควร
17 หลีกเลี่ยงการลงโทษ และ 9) ครูเป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่นักเรียน คิดนำเสนอ และเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ครูควร ให้กำลังใจและ แสดงความคิดเห็นในโอกาสที่เหมาะสม 4. การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEM education) (สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี, 2558) สะเต็มศึกษา เป็นการจัดการเรียนรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์ ที่บูรณาการความรู้ 4 วิชาเข้าด้วยกัน คือ วิทยาศาสตร์– เทคโนโลยี–วิศวกรรมศาสตร์–และคณิตศาสตร์ (Science– Technology-Engineering– Mathematics: STEM) เน้น การนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงรวมไปถึงการพัฒนา “กระบวนการ” หรือ “นวัตกรรม” ที่สังคมโลกในศตวรรษที่ 21 ต้องการกำลังคนที่มีความคิดสร้างสรรค์สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ (แกมมาโค ประเทศไทย, 2557) ร่วมมือกันนำสะเต็มศึกษามาใช้เป็นนวัตกรรมการ จัดการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างเยาวชนไทยให้มีทักษะในการสร้างนวัตกรรม ซึ่งจะช่วย ส่งเสริมความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศนอกจากนี้ยังสามารถนำสะเต็ม ศึกษามาประยุกต์ใช้ในการ สอนสังคมศึกษาในสาระภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ (วศิณีส์ อิศรเสนา ณ อยุธยา, 2557) และ เศรษฐศาสตร์ได้ เป็นอย่างดี เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการทำงานเป็นทีมทักษะการสื่อสาร/การนำเสนอทักษะ การ ใช้เครื่องมือ/เทคโนโลยีความคิดสร้างสรรค์และนำไปสู่การ สร้างนวัตกรรมในการดำรงชีวิต โครงงานเป็นส่วน หนึ่งของการเรียนรู้แบบสะเต็ม ศึกษา จึงต้องมีครูที่มีคุณภาพและเข้าใจการจัดการเรียนรู้แบบ สะเต็มศึกษา อย่างแท้จริง ส่วนผู้บริหารมีหน้าที่ในการประสาน งานสนับสนุนครูให้เข้าฝึกอบรมและวางแผนการเรียนการ เรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีพื้นฐานทางด้านวิธีหาเหตุผล (Inquiry-based) การทดลอง (experiment) และ ประเมินผลตามมาตรฐานของ หลักสูตร เนื้อหาสังคมศึกษาที่เหมาะกับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ผู้เขียนบูรณาการศาสตร์การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาในวิชาสังคมศึกษาขึ้นมาใหม่เป็น S-STEM (Social Studies-STEM) หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชา สังคมศึกษาโดยการบูรณาการแบบสะเต็ม ศึกษา ในตารางที่ 3 ผู้เขียนวิเคราะห์สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม และเสนอแนะชื่อ โครงงานและกระบวนการเรียนรู้เป็นตัวอย่างเพื่อฝึกผู้เรียนให้เกิดทักษะทักษะ 3R และ 7C ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ S-STEM การจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาแบบ S-STEM สาระภูมิศาสตร์ เรื่อง โครงงานเครื่องเทียบเวลาโลกมี ขั้น ตอนดังนี้ 1) S-(สังคมศึกษา) การเทียบเวลามาตรฐาน GMT 2) S-(วิทยาศาสตร์) ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การหมุน ของโลก ละติจูด ลองจิจูด โซนเวลา เป็นต้น 3) T-(เทคโนโลยี) ใช้ความรู้และทักษะด้านการ สืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต การนำเสนอผลงาน 4) E-(วิศวกรรมศาสตร์) ใช้ความรู้ทาง ด้านกระบวนการ ออกแบบเชิงวิศวกรรม เช่น การออกแบบ และการสร้างเครื่องมือสำหรับเทียบเวลาที่สามารถใช้ได้จริง 5) M-( คณิตศาสตร์) ใช้ในเรื่องของการคำนวณ การวัด เรขาคณิต การคำนวณต้นทุนการผลิต S-STEM สามารถ พัฒนาต่อเป็น S-STEAM โดยการเพิ่ม Art เข้าไป เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนออกแบบผลิตภัณฑ์และผลิตชิ้นงานที่ สวยงาม น่าสนใจ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและ ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่อไปได้
18 5. การศึกษาบทเรียน (Lesson study) และวิธีการ แบบเปิด (Open approach) (นภาพร วรเนตรสุดาทิพย์และคณะ, 2552) การศึกษาบทเรียน การศึกษาบทเรียน เป็นแนวคิดที่ครูในประเทศ ญี่ปุ่นใช้เพื่อพัฒนาวิชาชีพมา มากกว่า 100 ปี ช่วยให้ครูพัฒนาตนเองไปพร้อมๆ กับการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน สติกเลอร์ และ ฮีเบิร์ต (Stickler & Hebert, อ้างถึงใน สุลัดดา ลอยฟ้า และ ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์, 2547) ได้สะท้อน ผลสาเร็จในการ พัฒนาการศึกษาบทเรียนของครูญี่ปุ่นที่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนให้เป็นตาม เป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาของญี่ปุ่นได้เป็นอย่างมาก เป็นรูปแบบการพัฒนาอย่างต่อเนื่องรักษา เป้าหมายเพื่อการ เรียนรู้ของผู้เรียน เน้นการจัดการเรียนรู้ในบริบทที่มีครูอยู่ใน ชั้นเรียนและเน้นกระบวนการ เรียนรู้ร่วมกันของกลุ่มครู ครูที่ เข้าร่วมโครงการพัฒนาการศึกษาบทเรียนได้เห็นบทบาทตัวเองที่มีส่วน สนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการสอนและ พัฒนาวิชาชีพของตนเองด้วยการศึกษาบทเรียน มีขั้นตอน ดังนี้(วิจารณ์ พานิช, 2557) 1) การกำหนดเป้าหมายและการวางแผนการจัดการ เรียนรู้ โดยกลุ่มครูร่วมกันกำหนดเป้าหมายและ สร้างแผน การจัดการเรียนรู้ในเรื่องที่ต้องการพัฒนาผู้เรียน 2. การนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้และการสังเกต การสอน โดยมอบให้ครูคนหนึ่งเป็นผู้สอน ในขณะที่ครูคนอื่นๆ และผู้บริหารโรงเรียนทำหน้าที่สังเกตการสอน บันทึกการสังเกต การสอนข้อมูลเกี่ยวกับ การคิดกระบวนการเรียนรู้พฤติกรรม และเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน 3. การสะท้อนผล เป็นการอภิปรายเกี่ยวกับการสอน การแลกเปลี่ยนและวิเคราะห์เกี่ยวกับการเรียนรู้ ของผู้เรียน ร่วมกัน และบันทึกการเรียนรู้ของครูเพื่อสะท้อนผลว่าครูได้เรียนรู้อะไร เพื่อนำไปปรับแผนการ จัดการเรียนรู้สำหรับการสอน ในปีการศึกษาถัดไป ในระยะแรกการศึกษาบทเรียนได้ำมาบูรณาการกับ นวัตกรรมวิธีการแบบเปิดในรายวิชาคณิตศาสตร์ แต่ต่อมามีการนำไปประยุกต์ใช้กับรายวิชาอื่นๆ ตามความ เหมาะสม สรุปการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม แนวทางการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณ สำหรับครูในศตวรรษที่ 21ครูผู้สอนต้องมีส่วนร่วมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ทุกขั้นตอนและ เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดการออกแบบ การเรียนรู้ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการ แก้ปัญหาของผู้เรียนที่หลากหลาย เน้นเป้าหมายสำคัญ เช่น 1. ให้ผู้เรียนสามารถใช้เหตุผล คิดได้อย่างเป็นเหตุ เป็นผลหลาก หลายแบบ ได้แก่ คิดแบบอุปนัย (Inductive) คิดแบบอนุมาน (Deductive) เป็นต้น 2. ผู้เรียน สามารถใช้การคิดกระบวนระบบ (Systems Thinking) เช่น การวิเคราะห์ได้ว่า ปัจจัยย่อยมีปฏิสัมพันธ์กัน อย่างไร จนเกิดผลในภาพรวม 3. ผู้เรียนสามารถใช้วิจารณญาณ และตัดสินใจ เช่น วิเคราะห์และประเมิน ข้อมูลหลักฐาน การโต้แย้ง การกล่าวอ้างและ ความเชื่อ จากการเปรียบเทียบและประเมินความเห็นหลัก ๆ อีก ทั้งการสังเคราะห์และ เชื่อมโยงระหว่างสารสนเทศกับข้อโต้แย้งที่ได้แล้วนำมาแปลความหมายของสารสนเทศ และสรุปบนฐานของการวิเคราะห์ แล้วนำผลมาตีความและทบทวนอย่างจริงจัง (Critical Reflection) โดย กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ได้กล่าวมาข้างต้น สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียน แก้ปัญหาได้ ซึ่งเป็นการฝึกแก้ปัญหา
19 และ 4. การตั้งคำถามสำคัญที่ช่วยทำความกระจ่าง ให้แก่มุมมองต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าการเรียน ทักษะเหล่านี้ทำโดย PBL (Project-Based Learning) และต้องเรียนเป็นทีม ไม่ใช่เรียนจากครูสอนในชั้นเรียน การสอนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมในศตวรรษที่ 21 เป็นความตั้งใจของ สำหรับครูสังคม ศึกษาให้ตระหนักในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (student-centered learning) และสามารถ เลือกวิธีการ จัดการเรียนรู้โดยยึดปรัชญาการสร้างความรู้ด้วยตนเองและ วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ active learning ซึ่งในบทความได้นำเสนอวิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อเป็นตัวอย่างแนวคิดและ แนวทางสำหรับครู เพื่อ พัฒนาผู้เรียนในวิชาสังคมศึกษาตาม หลัก 3R และ 7C เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการดำรงชีวิตใน ศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 5 วิธี คือ 1) การจัดการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problembased learning) 2) การจัดการเรียนรู้แบบการใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based learning) 3) การ จัดการเรียนรู้แบบการใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-based learning model) 4) การจัดการ เรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEM education) และ 5) การศึกษาบทเรียนและวิธีการแบบเปิด (lesson study & open approach) ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็น ประโยชน์ในการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยให้ดี ยิ่งขึ้น โดยครูและผู้เรียนเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงบทบาทของตนเอง เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้บรรลุ เป้าหมายของหลักสูตร เพื่อสนองตอบต่อยุทธศาสตร์ชาติต่อไป วิธีดำเนินการพัฒนาตนเอง 1. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1.1 เอกสารการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 1.2 เอกสารการสอนสังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21 1.3 YouTube เรื่อง การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 1.4 YouTube เรื่อง เทคนิคการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 1.5 แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 1.6 แบบทดสอบออนไลน์หลังเรียน เรื่อง การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 2. ขั้นตอนการพัฒนาตนเอง 2.1 ศึกษาความรู้ผ่าน YouTube การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณ 2.2 ศึกษาความรู้ผ่าน YouTube เทคนิคการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 กลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2.3 ศึกษาความรู้ผ่านบทความการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และ การสอนสังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21 2.4 แบบทดสอบหลังเรียน การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 2.5 แบบทดสอบออนไลน์หลังเรียน เรื่อง การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล รวบรวมคะแนนจากแบบทดสอบหลังเรียน การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 รวบรวมคะแนนจากแบบทดสอบออนไลน์หลังเรียน การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
20 4. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ทำแบบทดสอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ (Percentage) ตารางที่ 1 การเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สัปดาห์ที่ วัน เดือน ปี เรื่อง เวลา(ชั่วโมง) 1 29 มกราคม 2566 - ศึกษาความรู้ผ่าน YouTube การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนา ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ - ศึกษาความรู้ผ่าน YouTube เทคนิคการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษ ที่ 21 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5 2 4 กุมภาพันธ์ 2566 - ศึกษาความรู้ผ่านบทความการ จัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และการสอนสังคม ศึกษาในศตวรรษที่ 21 5 3 11 กุมภาพันธ์ 2566 - แบบทดสอบหลังเรียน การ จัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 - แบบทดสอบออนไลน์หลังเรียน เรื่อง การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 5
21 ผลการดำเนินการ ผลของการพัฒนาตนเองการพัฒนาตนเองด้านการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีดังนี้ 1. ศึกษาความรู้ผ่าน Youtube การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณ จากการศึกษาความรู้ผ่าน Youtube การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2566
22 2. ศึกษาความรู้ผ่าน Youtube การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณ จากการศึกษาความรู้ผ่าน Youtube เทคนิคการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2566
23 3. แบบทดสอบหลังเรียน การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 แบบทดสอบหลังเรียน การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้คะแนน 10 เต็ม 10
24 4. แบบทดสอบออนไลน์หลังเรียน เรื่อง การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 แบบทดสอบออนไลน์หลังเรียน การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้คะแนน 20 เต็ม 20
25 การอภิปรายผลการพัฒนาตนเอง ผลการพัฒนาตนเองหลังเรียนโดยการใช้คลิปวีดิโอบน YouTube ในการศึกษาหาความรู้เรื่องการ จัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เเละการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับครูในศตวรรษที่ 21 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15 พบว่าคะแนนหลังเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ทั้งนี้อาจ เป็นเพราะ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนต้องหาวิธีการจัดการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสม และสนับสนุนให้ เกิดทักษะการคิดขั้นสูงอย่างมีทิศทาง ตลอดจนสอดคล้องกับวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นที่ผู้เรียน อาศัยอยู่ เพื่อให้เกิดความสมดุลของรูปแบบทางการคิด โดยต้องประกอบไปด้วยการจัดการเรียนรู้ที่ หลากหลายรูปแบบ มากกว่าการใช้เพียงรูปแบบเดียวในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งการจัดการเรียนรู้ที่ให้เกิดความ สมดุลทางความคิด ซึ่งครูผู้สอนจำเป็นต้องเลือกใช้ให้สอดคล้องกับสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดความคิดที่ต้องการใน เชิงทฤษฎีนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง หรือการพัฒนาไปตามกระแสสู่แนวคิดหลักการแบบสมัยใหม่ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง การส่งเสริมพัฒนาคิดอย่างมีวิจารณญาณสามารถนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงในการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพได้ จากการศึกษาความหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ของ นักวิชาการและนักจิตวิทยาการหลายคนได้ให้คำนิยามความหมายไว้ เช่น Dewey กล่าวว่าการคิดอย่างมี วิจารณญาณ เป็นการคิดอย่างใคร่ครวญไตร่ตรอง เริ่มต้นจากการคิด ภายใต้สถานการณ์ที่มีความยุ่งยาก และ สิ้นสุดลงด้วยสถานการณ์ที่มีความชัดเจน Hilgard กล่าวว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นความสามารถใน การตัดสินข้อความหรือ ปัญหาว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นเหตุเป็นผลกัน ตลอดจน Good กล่าวว่าการคิด อย่างมีวิจารณญาณ เป็นการคิดอย่างรอบคอบตามหลักของการประเมินและมีหลักฐาน อ้างอิง เพื่อหาข้อสรุป ที่น่าจะเป็นไปได้ ตลอดจนพิจารณาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและใช้กระบวนการทางตรรกวิทยาได้อย่าง ถูกต้อง สมเหตุสมผล และ Ennis กล่าวว่า การคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นการคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างมี เหตุผล ที่มุ่งเพื่อการ ตัดสินใจว่าสิ่งใดควรเชื่อหรือสิ่งใดควรทำ สรุปผลการพัฒนาตนเอง โดยการใช้คลิปวีดิโอบน YouTube ในการศึกษาหาความรู้การพัฒนาตนเองด้านการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เเละการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับครูใน ศตวรรษที่ 21 พบว่าหลังเรียนมีคะแนนเท่ากับ 10 คะแนน และ 20 คะแนน ตามลำดับจากแบบทดสอบหลัง เรียนแบบทดสอบหลังเรียนการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 แบบทดสอบออนไลน์หลังเรียน การจัดการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 พบว่าคะแนนทดสอบหลังเรียนมากกว่าหลังเรียนและผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป ข้อเสนอแนะจากผลการพัฒนาตนเอง 1. อยากให้รายวิชาครุนิพนธ์จัดอาจารย์มาสอนที่วิทยาเขตสตูลโดยตรง เนื่องจากเมื่อถ่ายทอดสดมา จากสงขลา สัญญาณภาพหรือเสียงอาจขาดหายทำให้นักศึกษาเรียนในวิชานี้ได้อย่างไม่เต็มที่ 2. การจัดการเรียนวิชาครุนิพนธ์ให้มีความพร้อม เพราะรายวิชาครุนิพนธ์เป็นส่วนสำคัญในการที่ให้ นักศึกษาวิชาชีพครูได้ตระหนักถึงการพัฒนาตนเองและพัฒนาวิชาชีพของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
26 เอกสารอ้างอิง ทิศนา แขมมณี และคณะ. (2544). นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้สำหรับครูยุคปฏิรูป การศึกษา. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรีสฤษดิ์วงศ์. คณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในศตวรรษที่ 21. (2551). การเรียนรู้: ขุมทรัพย์ในตน (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ. ฉัตรแก้ว เภาวิเศษ. (2556). IS-Independent Study. เส้นทางการพัฒนาคุณภาพ เด็กไทยสู่สากล. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานิชสำราญ. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2551). แนวทางการนำมาตรฐานการศึกษา ขั้นพื้นฐานสู่การ ปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จำกัด. ภูษิต บุญทองเถิง. (2552). “การเปลี่ยนแปลงหลักการด้าน “หลักสูตรการการสอน” ทั้งในเชิง ทฤษฎีและปรากฏการณ์จากอดีตสู่ปัจจุบัน”, วารสารครุศาสตร์. 5(1),