PARALLEL WORLD
BY KRITSAKORN TIPPARSERT
คำนำ
E-BOOK เล่มนี้ถูกสร้างสรรค์เรื่องราว
เรื่องราวของโลกคู่ขนานผู้แต่งมุ่งหวังว่าผู้
อ่านจะได้รับความสนุกสนานความบันเทิง
น่าตื่นใจละมีสาระสอดแทรกเกี่ยวกับโลกคู่
ขนาด
กฤษกร ทิพย์ประสริฐ
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ความหมายของทฤษฎี...............1-2
ทฤษฎี String Theory............... 3
ค.ศ.1921 ธีโอดอร์ คาลูซา...............4
แอลเอชซี............... 5
ดร.ฮิวจ์ เอเวอร์เรต............... 6-8
ทฤษฎีสตริง............... 9-12
New scientist.............. 13-16
1
โลกคู่ขนาน โลกอีกด้านที่ดำเนินควบคู่
ไปกับโลกของเราในทิศทางที่ตรงกันข้าม
เราสามารถไปอยู่หรือมองเห็นมันได้หรือ
ไม่ วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายเรื่องนี้
ได้หรือไม่ หรือมันเป็นแค่เรื่องเหนือ
จินตนาการและความรู้ของมนุษย์เรา
2
โลกคู่ขนาน คือแนวคิดตามสมมติฐานว่า
มีเอกภพ จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เกิด
ขึ้นและสลายไปอยู่ ตลอดเวลา (รวมถึง
เอกภพของเราเป็นหนึ่งในนั้น) ซึ่งประกอบ
ด้วยทุ กสิ่งทุ กอย่างที่เป็นจริงทาง
กายภาพ เช่น กาล อวกาศ รูปแบบทุก
ชนิดของสสาร พลังงาน โมเมนตัม และ
กฎทางฟิสิกส์รวมถึงค่าคงที่ต่างๆ ยืนอยู่
บนทฤษฏีทางฟิสิกส์ 3 ทฤษฎีคือ
3
ทฤษฎี String Theory ทฤษฎีเอกภพขยาย
ตัว และทฤษฎีสสารมืด (Dark matters)
มิติในทางฟิสิกส์ไม่ได้หมายถึงมิติลี้ลับ แต่
หมายถึง Dimension ในภาษาอังกฤษซึ่งมี
ความหมายทางคณิตศาสตร์ อย่างเช่น จุด มีมิติ
เป็นศูนย์ เส้นตรงก็มี 1 มิติ ส่วนพื้นที่เป็น 2 มิติ
และปริมาตร 3 มิติก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยมีกว้าง
ยาว สูง อวกาศหรือที่ว่างที่เราเห็นนั้นเป็น 3 มิติ
ก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยมีกว้าง ยาว สูง อวกาศหรือ
ที่ว่างที่เราเห็นนั้นเป็น 3 มิติ การเคลื่อนที่ของ
วัตถุ นั้นนอกจากขึ้นกับพื้นที่แล้วยังขึ้นอยู่กับ
เวลาด้วยซึ่งในทางคณิ ตศาสตร์นับเป็นอี กมิติ
หนึ่งได้กลายเป็น 4 มิติที่เรียกว่า “สเปซ-ไทม์”
(space time) หรือ กาล-อวกาศ
4
ค.ศ.1921 ธีโอดอร์ คาลูซา
(Theodor Kaluza) สันนิษฐานว่า
กาล-อวกาศมี 5 มิติ ซึ่งมิติที่เกินมานั้น
เรียกว่ามิติพิเศษ (extra-
dimension) ซึ่งคาลูซาต้องตอบให้ได้
ว่ามิติดังกล่าวหายไปไหน และเขาก็มี
กลวิธีในการอธิบายว่ามิติดังกล่าวขด
ตัวอยู่ (Compactify) กลายเป็นมิติ
ที่เล็กมากจนมองไม่เห็น เปรียบเทียบ
การขดดังกล่าวเหมือนการขดกระดาษ
เป็นทรงกระบอก
5
ความหยากาวรั
คศลมืี่นขอของกงแาสรขงจดะสไั้มน่สกาวม่าารถ
สะท้อนเป็นภาพออกมาให้มองเห็นได้ ซึ่ง
นักฟิสิกส์ก็พยายามจะพิ สู จน์ว่ามิติ ดัง
กล่าวมีจริงหรือไม่ มีการทดลองยิง
อนุภาคด้วยเครื่องเร่งอนุภาค “แอลเอช
ซี” (LHC: LARGE-HADRON
COLLINDER) ของห้องปฏิบัติการเซิร์น
(CERN) อันเป็นองค์กรการวิจัยด้าน
นิวเคลียร์ ตั้งอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ โดย
ตามหลักกลศาสตร์ควอนตัมต้องใช้
พลังงานจำนวนมหาศาลเพื่อทำให้อนุภาค
ที่สามารถเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคนั้นมี
ความยาวคลื่นสั้นลง จนเล็กพอที่จะเห็น
มิติที่ขดซ่อนอยู่ได้
6
โลกคู่ขนานแบบควอนตัม (quantum
parallel universe) ซึ่งพัฒนามาเมื่อ
ประมาณ ค.ศ.1957 โดยนักฟิสิกส์ชื่อ ดร.ฮิวจ์
เอเวอร์เรต (Dr.Hugh Everett) เพื่อแก้
ปัญหาทางเทคนิคในทฤษฎีควอนตัมด้วยการ
สมมติว่ามีโลกคู่ขนานอยู่ การวัดสำหรับควอน
ตัมเป็นเรื่องของโอกาสและความเป็นไปได้ของ
ความจริงต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน โดยทุก ๆ
เหตุการณ์ใดที่มีทางเลือกมากกว่าหนึ่ง จะเกิด
เหตุการณ์ในทิศทางตรงการข้ามขึ้นมาเสมอและ
แตกตัวออกไปไม่รู้จบ เช่น เมื่อถึงทางแยกซ้าย
และขวา แล้วคุณจะต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง
7
เมื่อในโลกของคุณ คุณเลือกที่จะไปทาง
ซ้าย ในอีกโลกคู่ขนานจะเลือกในทิศทาง
ตรงกันข้ามโดยเป็นความจริงที่เกิดขึ้นทั้ง
สองโลก แล้วถ้าหากเป็นแบบนั้น จะทำให้
เกิดคำถามขึ้นอีกว่า หากเราย้อนกลับไป
ในอดีตเพื่อแก้ไขบางสิ่งบางอย่างที่เคยทำ
ผิดพลาด อนาคตของเราจะเปลี่ยนไป
หรือไม่ คำตอบคือไม่เปลี่ยน เพราะถึงเรา
จะย้อนกลับไปเพื่อบอกให้ตัวเองเลือกอีก
อย่างหนึ่ง อนาคตของเราก็จะไม่
เปลี่ยนแปลง เพราะทุก ๆ เหตุการณ์ จะ
เกิดเหตุการณ์ในทิศทางตรงกัน
8
คือ หากคุณย้อนกลับไปบอก
ตัวคุณในอดีต ให้เลือกอีกทาง
คนที่เลือกในทิศทางตรงกันข้าม
ในวันนั้นไม่ใช่ตัวคุ ณในวันนี้ใน
มิติปัจจุบันที่คุณอยู่ หากแต่เป็น
ตัวคุ ณที่จะเลือกในทิ ศตรงกัน
ข้ามอยู่แล้วในเหตุการณ์วันนั้น
ซึ่งเกิดผ่านมาแล้ว ฉะนั้น
อนาคตของคุ ณก็จะไม่
เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นโลกคู่
ขนานกับที่คุ ณอยู่นั้นเอง
9
โลกคู่ขนานในทฤษฎีสตริง อนุภาคถูกอธิบาย
ว่ามีลักษณะเป็นเส้นเชือกหนึ่งมิติ โดยการสั่น
ของเส้นเชือกนี้ทำให้เกิดเป็นตัวโน้ตต่างๆ ตัว
โน้ตหนึ่งตัวสามารถแทนอนุภาคได้หนึ่งตัว ตัว
โน้ตที่ต่างคีย์กันก็จะให้อนุภาคที่ต่างชนิดกัน ใน
การที่จะให้ทฤษฎีสตริงมีคุ ณสมบัติ ทาง
คณิตศาสตร์ที่เหมาะสม นักฟิสิกส์พบว่า
จำนวนมิติของเอกภพจะต้องมีถึง 10 มิติคือ
เวลาหนึ่งมิติและอวกาศอีก 9 มิติ ยิ่งไปกว่านั้น
ในในทฤษฎีเอ็ม (M-theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่
พัฒนาต่อมาจากทฤษฎีเส้นเชือก กาล-อวกาศ
อาจจะมีได้ถึง 11 มิติ คือเวลา 1 มิติและอวกาศ
อีก 10 มิติ
10
แต่ในเอกภพของเรานั้น เราสังเกตจำนวนมิติได้
เพียงแค่ 4 มิติ ทฤษฎีสตริงจึงอธิบายว่ามิติที่เกิน
มาหรือมิติพิเศษ (Extra dimension) นั้นขด
ตัวอยู่โดยที่ขนาดของมันเล็กมากจนเราไม่
สามารถสังเกตได้
โลกคู่ขนานที่พัฒนามาจากการศึกษาจักรวาล
วิทยา (cosmology) หรือการศึกษาเกี่ยวกับ
การกำเนิดและวิวัฒนาการของเอกภพ ได้อธิบาย
ว่าจุดกำเนิดของเอกภพเริ่มมาจาก “บิ๊กแบง”
แต่เนื่องจากความรู้ที่เรามีอยู่จำกัดในปัจจุบัน
ทำให้เราไม่สามารถเข้าใจการกำเนิดของเอกภพ
ได้ดีนัก อังเดร ลินเด (Andre Linde) นัก
ฟิสิกส์จึงได้เสนอทฤษฎีโลกคู่ขนานแบบ
“บับเบิล” (bubble universe theory)
แนวคิดของทฤษฎีดังกล่าวว่าภายหลังเหตุการณ์
บิ๊กแบง
11
เอกภพมีพลังงานและความหนาแน่นสู งมาก
และกาล-อวกาศมีความผันผวนสู งมากคือมี
ความไม่ต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะมีการ
สั่นอย่างรุนแรง คล้ายกับระลอกคลื่นแล้วมี
ฟองผุ ดขึ้นมา หากการสั่นดังกล่าวรุนแรง
มากอาจทำให้กาล-อวกาศบางส่วนหลุดออก
มา จากการศึกษา กาล-อวกาศมีลักษณะเป็น
แผ่นเรียบคล้ายผิวน้ำ เมื่อเกิดเหตุการณ์บิ๊ก
แบง การระเบิดครั้งใหญ่ ส่งผลให้กาล-
อวกาศ เกิดการบิดเบี้ยวหรือกระเพื่อมอย่าง
รุนแรง ทำให้กาลอวกาศบางส่วน กระเด็ด
หลุดออกจากแผ่นกาลอวกาศโดยร่วมเรียก
ว่า “ควอนตัมโฟม” (quantum foam)
หรือ
12
ควอนตัมบับเบิล” (quantum bubble)
บับเบิลพวกนี้มีโอกาสเกิดได้หลายฟอง
เหมือนฟองอากาศหลาย ๆ ฟองที่เกิดจะคลื่น
โดยแต่ละฟองก็เจริญเติบโตไปเป็นจักรวาลที่
ต่างกัน เป็นอีกจักรวาล อีกเอกภพที่ต่างกัน
ทุ กวันนี้จักรวาลของเราก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นๆ
ถ้าตามทฤษฎีนี้ก็อาจจะมีจักรวาลอื่น แต่ว่า
จักรวาลอื่นอาจจะมีค่าคงที่ทางฟิสิกส์ซึ่งไม่
เหมือนกับเราเลย เช่น ประจุอิเล็กตรอนอาจ
จะไม่เท่านี้ ค่าคงที่แรงโน้มถ่วงของนิวตันอาจ
จะเปลี่ยนไป หรือว่าจำนวนมิติของเอกภพอาจ
จะไม่เท่ากับ 3+1 แต่เป็น 1+1 อะไรอย่างนี้ มัน
มีโอกาสจะเกิดได้ต่าง ๆ กัน
13
ล่าสุด ล่าสุด นิตยสารวิทยาศาสตร์ New
scientist เปิดเผยว่ากลุ่มนักวิทยาศาสตร์
ของนาซ่า เคยพบปรากฏการณ์ ที่ชี้ว่าอาจมี
โลกคู่ขนาน ที่เวลาสามารถเดินย้อนหลัง
ได้การค้นพบดังกล่าวมีขึ้นเมื่อทีมนักวิจัย
ของนาซ่าในแอนตาร์กติก หรือขั้วโลกใต้ได้
วิจัยในปฏิบัติการ Antarctic
Impulsive Transient Antenna
ของนาซ่าในแอนตาร์กติก หรือขั้วโลกใต้ได้
วิจัยในปฏิบัติการ Antarctic
Impulsive Transient Antenna
14
โดยทีมนักวิจัยได้ใช้บอลลู นติ ดเสา
อากาศเพื่อสแกนหาอนุ ภาคพลังงานสู ง
ที่เป็นคุ ณลักษณะของเทหวัตถุ นอกโลก
ที่อาจปรากฏในผิวน้ำแข็งในขั้วโลกใต้ ที
กนักวิจัยเคยทำการทดสอบนี้มาแล้ว 2
ครั้ง แต่ไม่เคยพบอะไรในช่วง 2 ปีที่ผ่าน
มา ทั้งยังเจอสัญญาณที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่
หลังได้ตรวจสอบข้อมู ลในพื้นที่เพิ่มเติ ม
และสัญญาณที่ถูกมองข้ามไป ทีมนัก
วิจัยก็พบว่าสัญญาณที่รบกวนเหล่านั้น
เป็นสัญญาณของอนุ ภาคพลังงานที่สู ง
กว่าปกติ
15
ที่จะเกิดจากการตกหรือแผ่มายังอวกาศสู่พื้นโลก
แต่สิ่งที่ประหลาดคือลักษณะของสัญญาณกลับไม่
เหมือนอนุภาคพลังงานสูงทั่วไป แต่คล้ายกับการ
พุ่งจากโลกไปสู่อวกาศ การค้
นพบของอนุภาคแบบ
นี้เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2016 หลังจากที่ทีมนักวิจัยได้
เผยแพร่งานวิจัยดังกล่าว พร้อมกับนำหลักฟิสิกส์
และทฤษฎีต่างๆมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ แต่ก็ไม่มี
ทฤษฎีใดที่สมเหตุสมผลเลย เพราะเหตุผลเดียวที่
อธิบายได้คือต้องมีการยอมรับว่ามีจักรวาลคู่
ขนาน ที่เกิดร่วมกับการระเบิดครั้งใหญ่ หรือบิ๊ก
แบง
16
ซึ่งทำให้เกิดจักรวาลที่เรารู้จัก โดย
จักรวาลคู่ขนานนี้มีลักษณะตรงข้ามกับ
จักรวาลที่เราอยู่ทุกอย่าง คือบวกเป็นลบ
ลบเป็นบวก ซ้ายเป็นขวา ขวาเป็นซ้าย และ
เวลาก็เดินย้อนกลับหลังด้วย อย่างไร
ก็ตามทุ กอย่างเป็นเพี ยงแนวคิ ดและทฤษฏี
ที่ยังไม่สามารถพิ สู จน์ให้เห็นได้อย่าง
แน่นอนแท้จริง คงต้องรอเวลาให้การ
ทดลองและการพิ สู จน์นั้นเห็นผลได้อย่าง
แท้จริง
บรรณานุกรม
https://www.blockdit.com