ประวัติญี่ปุ่นในยุคเมจิ
โดย ด.ช.ศรัณยพงศ์ ออสวัสดิ์
คำนำ
หนังสือเล่มนี้ทำมาเพื่อบอกเล่าประวัติของญี่ปุ่นในยุคสมัยเมจิ
ศึกษาเกี่ยวกับเมจิโดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ พระมหากษัตริย์ อาหาร
เริ่มต้นยุค ซามูไร
ผู้จัดทำหวังว่าหนังสือเล่นนี้จะเป็ นประโยชน์เพื่ อทำความเข้าใจ
เกี่ยวกับยุคเมจิให้แก่ผู้อ่านไม่มากก็น้ อย
เด็กชาย ศรัณยพงศ์ ออวัสดิ์
สารบัญ
การเริ่มต้นยุค หน้า 4
อาหาร หน้า 6
ประวัติจักรพรรดิ หน้า 12
ซามูไร หน้า 16
การเริ่มต้นของยุคเมจิ
ยุคเมจิเริ่มต้นหลังจากที่กลุ่มหัวก้าวหน้าในแคว้นศักดินาโชชู
และแคว้นศักดินาซัตสึมะ ผนึกกำลังกันล้มล้างระบอบโชกุน
และระบบซามูไร หลังจากล้มระบอบโชกุนได้แล้ว ก็สถาปนา
รัฐธรรมนูญและรัฐบาลใหม่ที่มีองค์จักรพรรดิเป็นศูนย์กลาง
แห่งอำนาจ จักรพรรดิทรงย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตไปยังเอ
โดะ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว คณะรัฐบาลในสมเด็จพระ
จักรพรรดิได้ร่วมมือกันปฏิรูปญี่ปุ่นในทุก ๆ ด้าน มีการทำ
สงครามกับจักรวรรดิรัสเซียและมีชัยเหนือรัสเซียซึ่งเป็นหนึ่ง
ในมหาอำนาจในขณะนั้น
รัฐบาลใหม่ได้ยกเลิกระบอบศักดินาสวามิภักดิ์และมีการรวม
ศูนย์อำนาจไว้ในกรุงโตเกียว มีการสถาปนาสภานิติบัญญัติใน
สมเด็จพระจักรพรรดิขึ้นมาตามแบบอย่างของรัฐสภาอังกฤษ
อันประกอบด้วยสภาขุนนาง (สภาสูง) และสภาผู้แทนราษฎร
(สภาล่าง) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่อาจ
เรียกได้ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยได้ เนื่องจากอำนาจและ
อิทธิพลทางการเมืองส่วนใหญ่อยู่ที่เหล่าขุนนางในสภาสูง โดย
เฉพาะอย่างยิ่งคณะเก็นโรเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดใน
ระบบการเมือง
ยุคเมจิเริ่มต้นหลังจากที่กลุ่มหัวก้าวหน้าในแคว้นศักดินาโช
ชูและแคว้นศักดินาซัตสึมะ ผนึกกำลังกันล้มล้างระบอบ
โชกุนและระบบซามูไร หลังจากล้มระบอบโชกุนได้แล้ว ก็
สถาปนารัฐธรรมนูญและรัฐบาลใหม่ที่มีองค์จักรพรรดิเป็น
ศูนย์กลางแห่งอำนาจ จักรพรรดิทรงย้ายเมืองหลวงจาก
เกียวโตไปยังเอโดะ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว คณะ
รัฐบาลในสมเด็จพระจักรพรรดิได้ร่วมมือกันปฏิรูปญี่ปุ่นใน
ทุก ๆ ด้าน มีการทำสงครามกับจักรวรรดิรัสเซียและมีชัย
เหนือรัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจในขณะนั้น
รัฐบาลใหม่ได้ยกเลิกระบอบศักดินาสวามิภักดิ์และมีการรวม
ศูนย์อำนาจไว้ในกรุงโตเกียว มีการสถาปนาสภานิติบัญญัติ
ในสมเด็จพระจักรพรรดิขึ้นมาตามแบบอย่างของรัฐสภา
อังกฤษ อันประกอบด้วยสภาขุนนาง (สภาสูง) และสภาผู้
แทนราษฎร (สภาล่าง) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเลือก
ตั้ง แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยได้
เนื่องจากอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองส่วนใหญ่อยู่ที่
เหล่าขุนนางในสภาสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะเก็นโรเป็นก
ลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในระบบการเมือง
การปฏิรูปสมัยเมจิใช้เวลาเพียง 20 ปี ก็สามารถพัฒนา
ประเทศญี่ปุ่นจาก ประเทศด้อยพัฒนา มาเป็น ประเทศที่
พัฒนาแล้ว ใน ภูมิภาคเอเชีย
อาหารการกิน
เมนูอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนั้น มีต้น
กำเนิดจากอาหารพื้ นเมืองในช่วงก่อนสิ้นสุดการปิ ด
ประเทศญี่ปุ่น ประมาณปี พ.ศ.2411 ซึ่งเรียกว่าช่วง
ยุคกลางหรือตั้งแต่สมัยเอโดะ ในสมัยนั้นคนญี่ปุ่น
นิยมกินอาหารประเภท ทอด ชาและอาหารจำพวกถั่ว
หมัก เป็นต้น หลังจากนั้นก็มีพัฒนาการทางอาหาร
เรื่อยมา จนกระทั่งเข้าสู่ยุคใหม่ คือช่วงหลังจากการ
เปิดประเทศ ทำให้อาหารญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลเรื่องส่วน
ผสม วิธีการปรุงจากประเทศตะวันตกบางส่วน และได้
นำมาประยุกต์ให้เข้ากับวิธีการกินอาหารของคนญี่ปุ่น
จึงส่งผลให้วิถีชีวิตด้านการกินอาหารของคนญี่ปุ่น
เปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบัน และจุดเด่นที่เห็นได้ชัด
ของเมนูอาหารญี่ปุ่นคือ วัตถุดิบที่คัดสรรตามฤดูกาล
ที่มีทั้งความสดใหม่และมีคุณภาพดี จึงทำให้แต่ละเมนู
นั้นล้วนมีประวัติเรื่องราวมาอย่างยาวนาน
ราเมน
ประวัติความเป็ นมาของราเมน
มีการค้นพบบันทึกโบราณว่า มีการกินราเมนในศตวรรษที่ 17 หรือ
ตั้งแต่ยุคเอโดะ และหลังจากนั้นประมาณ 100 ปี ได้มีร้านราเมน
ร้านแรกของญี่ปุ่นเปิดตัวขึ้นที่ย่านอาซากุสะ กรุงโตเกียว และรา
เมนก็ได้กลายเป็นอาหารยอดนิยม ในช่วงหลังจากสงครามโลกครั้ง
ที่ 2 เพราะเกิดปัญหาขาดแคลนข้าว จึงหันมากินเส้นราเมนที่ทำจาก
แป้ งสาลีแทน
ยากิโซบะ
ประวัติความเป็นมาของยากิโซบะ
ยากิโซบะมีที่มาจาก เฉ่าเมี่ยน หรือบะหมี่ผัดของจีน โดยมีเริ่มกินยา
กิโซบะในยุคเอโดะ หรือประมาณศตววรรษที่ 18-19 แต่ว่าในสมัยนั้นยา
กิโซบะเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางเท่านั้น และหลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19-
20 หรือยุคเมจิ ยากิโซบะก็เริ่มแพร่หลายในกลุ่มประชาชน เพราะ
ประเทศญี่ปุ่นได้ทำการเปิดท่าเรือ และชาวจีนก็เข้ามาค้าขายสินค้าต่าง
ๆ รวมถึงบะหมี่จีนด้วย จึงทำให้ร้านอาหารต่าง ๆ สามารถหาซื้อบะหมี่
จีนได้ง่าย และชาวญี่ปุ่นก็ได้ดัดแปลงจนเป็นยากิโซบะในทุกวันนี้
กิวด้ง(ข้าวหน้าเนื้อ)
ประวัติความเป็ นมาของกิวด้ง
ในศตวรรษที่ 7 การบริโภคเนื้อวัวในญี่ปุ่นยังไม่ได้รับความนิยม
และยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก จนกระทั่งได้มีการยกเลิกข้อห้าม
ที่ทำให้คนเริ่มหันกลับมากินเนื้อมากขึ้น โดยที่การปรุงข้าวหน้ าเนื้อ
เริ่มมาจากเอาเนื้อไปนึ่งกับมิโซะ (เต้าเจี้ยว) หรือไปปรุงกับซอสโชยุ
ผสมน้ำตาล หรือมิริน แล้วเอาเนื้อไปเคี่ยวในน้ำปรุง ก่อนจะนำมา
ราดข้าว
ซุปมิโซะ
ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง ซุ ป มิ โ ซ ะ
ในยุคสมัยมูโรมาจิ คนญี่ปุ่นนิยมทำซุปมิโซะกันอย่าง
แพร่หลาย แม้ในช่วงสงครามกลางเมือง โดยที่มิโซะ
ได้มาจากการเอาถั่วเหลืองไปนึ่ งแล้วบดละเอียด
จากนั้นนำข้าวและเกลือมาผสม และหมักทิ้งไว้
ประมาณครึ่งปี นอกจากนั้นในสมัยโบราณยังนิยมทำ
มิ โ ซ ะ ต า ก แ ห้ ง อี ก ด้ ว ย
ซูชิ
ประวัติความเป็ นมาของซูชิ
ซูชิเป็ นเมนูหนึ่ งที่เกิดจากความต้องการถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น
ในอดีต โดยเริ่มจากการนำเนื้อปลามาหมักกับข้าว คล้ายคลึงกันกับ
การทำปลาร้าและปลาส้มของทางฝั่งบ้านเรา ซึ่งในกระบวนการนี้
จะทำให้ข้าวเกิดเป็นกรดแลกติก ที่ช่วยป้ องกันการเน่าเปื่ อยของ
เนื้อปลาได้ และต่อมาได้มีวิวัฒนาการจนกลายมาเป็นซูชิแสนอร่อย
ที่เราคุ้นเคยกันในปั จจุบัน
ประวัติจัดรพรรดิ
จักรพรรดิเมจิเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ.
1852 ในตำหนักเล็ก ๆ นอกพระราชวังหลวงเกียวโต มีพระนามว่า
เจ้าชายมุตสึฮิโตะ และเมื่อแรกประสูติทรงราชทินนามเป็น เจ้าซาชิ
เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ในจักรพรรดิโคเม (องค์แรก
สิ้นพระชนม์ไปก่อน) ส่วนมารดาของพระองค์คือ โยชิโกะ จาก
ตระกูลนากายามะ ตระกูลข้าราชบริพารในวังหลวงตระกูลหนึ่ง โย
ชิโกะเป็ นนางสนมนางหนึ่ งในบรรดานางสนมหลายสิบคนของ
จักรพรรดิโคเม
สี่เดือนหลังประสูติ ญี่ปุ่นได้เผชิญหน้ ากับการมาถึงของ "กองเรือ
ดำ" ในบัญชาของพลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพร์รี จากสหรัฐอเมริกา
เข้ามายังอ่าวเอโดะและบังคับให้รัฐบาลโชกุนเปิดประเทศ การเปิด
ประเทศนี่เองทำให้รัฐบาลโชกุนเผชิญหน้ ากับฝ่ายกบฎ (ฝ่ายหัว
สมัยใหม่) ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยากได้จักรพรรดิมาเป็นพวก แต่พระ
ราชบิดาของพระองค์เลือกที่จะวางตัวเป็ นกลางขอแค่ให้พระ
ราชวงศ์ได้อยู่รอดปลอดภัย ชีวิตที่ลำบากยากแค้นในวัยเด็กทำให้
เจ้าชายมุตสึฮิโตะเป็นเด็กขี้ขลาด ในปี ค.ศ. 1864 ที่ฝ่ายกบฎ
แคว้นโชชูพยายามบุกวังหลวงจนเกิดเป็ นการต่อสู้กับฝ่ ายโชกุนจน
เสียงปืนใหญ่ดังสนั่นทั่วทั้งวังหลวง ในขณะนั้นเจ้าชายมุตสึฮิโตะ
ในวัย 11 ชันษาตกใจถึงกับเป็นลม การที่รัชทายาทอ่อนแอเช่นนี้
ได้สร้างความวิตกต่อตระกูลนากายามะอย่างมาก ทำให้พวกเขา
เริ่มตระหนักได้ว่าจำเป็นต้องฝึกฝนให้ว่าที่จักรพรรดินั้น "ร่างกาย
กำยำ จิตใจเหี้ยมหาญ" พวกเขาจึงให้ ไซโง ทากาโมริ ซามูไรเลื่อง
ชื่อหัวสมัยใหม่มารับหน้ าที่พระอาจารย์อบรมสั่งสอนเจ้าชายมุตสึฮิ
ภายหลังพระราชบิดาได้เสด็จสวรรคตในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.
1867 พระองค์ก็ขึ้นครองราชสมบัติในสี่วันให้หลัง หลังจากครอง
ราชย์ได้สองเดือน ในวันที่ 7 เมษายน พระองค์ก็ทรงประกาศพระ
ราชโองการบัญญัติห้าข้อที่ถูกร่างโดยคณะที่ปรึกษาหัวก้าวหน้ า ซึ่ง
ถือเป็นพระราชโองการแรกในสมัยเมจิ ส่วนหนึ่งของพระ
ราชโองการดังกล่าวมีดังความ: "จงค้นคว้าและรวบรวมวิทยาการ
ทั้งหลายทั่วโลกเพื่อเสริมสร้างรากฐานการปกครองแห่งจักรพรรดิ"
การที่สมเด็จพระจักรพรรดิไม่ได้เสด็จออกนอกนครหลวงเกียวโต
เลยตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1867 จนกระทั่งได้
เสด็จไปยังนครโอซะกะในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1868 ชี้ให้เห็นว่า
พระองค์ต้องใช้พระวิริยอุตสาหะยาวนานเพียงใด กว่าจะล่วงพ้น
วิสัยทัศน์อันคับแคบของเหล่าข้าราชการในช่วงต้นรัชสมัยไปได้
เดือนกุมภาพันธ์ สมเด็จพระจักรพรรดิทรงพระประชวร แต่ไม่นาน
พระอาการก็ดีขึ้น สามารถทรงงานตามหมายงานที่กำหนดได้ตาม
ปรกติเป็ นต้นว่า
วันที่ 30 พฤษภาคม เสด็จไปร่วมพิธีสำเร็จการศึกษาของ
โรงเรียนเตรียมทหารในสังกัดกองทัพบก ทรงตรวจแถว
นักเรียนที่เพิ่งจบ และพระราชทานปริญญาบัตร
วันที่ 28 มิถุนายน เสด็จออกต้อนรับนายชาร์ล วิลเลี่ยม เอล
เลียต อดีตอธิการบดีประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีแขกผู้มี
เกียรติทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างประเทศมาร่วมด้วย
แต่ในวันที่ 10 กรกฎาคม ขณะเสด็จไปยังมหาวิทยาลัยโตเกียว
อิมพีเรียลเพื่อพระราชทานปริญญาบัตรในพิธีสำเร็จการศึกษา
สมเด็จพระจักรพรรดิทรงรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง และทรงพระ
ดำเนินขึ้นบันไดได้อย่างยากเย็น ซึ่ง 5 วันต่อมาขณะกำลังจะ
ประทับในที่ประชุมสภาองคมนตรี พระวรกายเกิดอาการสั่น
อย่างแรง ระหว่างการประชุมก็ทรงเผลอหลับไปกับที่ประทับ สี
พระพักตร์บอกได้ว่าเพลียหนักอย่างชัดเจน
วันที่ 19 เดือนเดียวกัน ได้เสด็จไปประทับที่โต๊ะทรงพระอักษร แต่
ทรงเหนื่อยเกินกว่าจะทรงงานใด ๆ ได้ และขณะกำลังจะประทับยืน
ขึ้นนั่นเอง ทรงล้มลง บรรดาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย
โตเกียวแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิถูกเรียกตัวมาช่วยคณะแพทย์
หลวงถวายการรักษาอย่างเร่งด่วน ซึ่งรัฐบาลได้ตัดสินแถลงข่าวให้
สาธารณชนได้รับทราบในทันที
ระยะเวลาหลายวันต่อจากนั้น หนังสือพิมพ์ต่างพา
กันรายงานถึงพระอาการอย่างละเอียด ทั้งพระ
อัตราชีพจรที่อ่อนลงเรื่อย ๆ และการทำงานเสื่อม
ทรุดลงของอวัยวะต่าง ๆ ประชาชนต่างสวด
อธิษฐานให้สมเด็จพระจักรพรรดิหายประชวร
มหาชนมารวมตัวกันอยู่รายรอบพระราชวัง หลาย
คนคุกเข่าหรือหมอบกราบอยู่กับพื้น
ท้ายที่สุดสมเด็จพระจักรพรรดิเสด็จสวรรคตด้วย
อาการพระหทัยวาย เมื่อเวลา 0.43 นาฬิกา ของ
วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1912 (พ.ศ. 2455) พระ
ชนมายุได้ 60 พรรษา ณ พระราชวังโตเกียว
ซามูไร
侍ซามูไร ( ) คือนักรบโบราณของญี่ปุ่น ว่ากันว่าซามูไรมีมาตั้งแต่
สมัยเฮอัง (ประมาณ ค.ศ. 794 - ค.ศ. 1185) ในสมัยนั้นซามูไรเป็น
เพียงผู้ถูกว่าจ้างให้มาปราบชนกลุ่มน้ อยในแถบตะวันออกเฉียง
เหนือของญี่ปุ่นเท่านั้น โดยมักจะถูกจ้างจากเจ้าของที่ดินหรือ
ตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็มักจะถูกว่า
จ้างต่อเพื่อคอยปกป้ องตระกูลเหล่านั้นต่อไป ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า
คำว่า ‘ซามูไร’ มีรากศัพท์มาจากคำว่า ‘ซะบุระอุ’ ซึ่งแปลว่า ‘รับใช้’
武士นั่นเอง ดังนั้นหลักการที่ซามูไรยึดถือปฏิบัติ คือหลัก ‘บูชิโด’ (
道) หรือวิถีแห่งนักรบ โดยจะยึดคติภักดีต่อเจ้านายเป็นสำคัญ เน้ น
ความกตัญญู ยึดถือธรรมชาติ ตามหลักของพุทธนิกายเชนนั่นเอง
จากนักรบที่ถูกว่าจ้างธรรมดา ซามูไรเริ่มมีชนชั้นและบทบาททาง
สังคมมากขึ้น เนื่องจากในสมัยก่อนมีการแย่งชิงอำนาจระหว่าง 2
ตระกูลใหญ่ ได้แก่ตระกูลมินาโมโตะและตระกูลไทระ โดยตระกูล
ใหญ่ที่มีซามูไรในการควบคุมมากมาย ได้ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจจาก
จักพรรดิญี่ปุ่น และท้ายที่สุดแล้วตระกูลมินาโมโตะก็สามารถ
เอาชนะตระกูลไทระ และยึดอำนาจจากจักรพรรดิ และตั้งตนเป็น
โชกุนขึ้นมาได้สำเร็จ เกิดขึ้นเป็นรัฐบาลโชกุนยุคคามาคุระ โดยมีมิ
นาโมโตะ โยริโทโมะ เป็นโชกุนคนแรก ซามูไรจากตระกูลมินาโม
โตะก็เลยมียศฐาบรรดาศักดิ์มากขึ้นกว่าเดิม และบทบาทของซามูไร
โดยรวมก็มีมากขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน เช่นจากแต่ก่อนคอยเป็นเป็น
เหมือนนักรบรับจ้างเป็นหลักเท่านั้น ซามูไรก็มีหน้ าที่อื่นๆเช่น คอย
เก็บภาษี และทำหน้ าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมืองคล้ายๆ
กับตำรวจในปั จจุบัน
จนกระทั่งในยุคเอโดะที่เป็นเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นสงบสุข ไม่ค่อย
มีสงครามภายใน ความต้องการกองกำลังรบต่างๆก็น้ อยลง
ซามูไรจึงค่อยๆลดบทบาทและเริ่มหันมาประกอบอาชีพอื่น
เช่น เปลี่ยนเป็นข้าราชการทั่วไป เป็นครู หรือเป็นศิลปิน
ตามแบบที่ตนเองถนัด และในที่สุดในปี 1868 ซึ่งเป็นปีที่
ระบบศักดินาต่างๆ รวมถึงตำแหน่งอย่างเช่นโชกุนและได
เมียว(ผู้ปกครองหัวเมืองหรือเจ้าเมือง) ของญี่ปุ่นได้หมด
สิ้นลง บรรดาชนชั้นซามูไรก็หมดลงไปด้วยเช่นกัน
บรรณานุกรม
อ้างอิง
https://allabout-japan.com/th/article/5912/
https://www.thestreetratchada.com/Blogs/17/stories-behind-
popular-Japanese-dishes
https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%
E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0
%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B
8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4