The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุชาดา อํา่ปลอด, 2019-06-06 02:08:30

ใบความรู้ หน่วยที่ 5 เรื่องอาหารโคเนื้อและกระบือ

unit 5 feed

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 88

หนว่ ยที่ 5
อาหารโคเนอ้ื และกระบอื

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 89

หน่วยที่ 5 อาหารโคเนื้อและกระบือ

หัวข้อเร่ือง

1.ความหมายและประโยชนข์ องอาหารโคเน้ือและกระบือ
2.ปัจจยั ท่ีมผี ลต่อความตอ้ งการโภชนะและปริมาณอาหารท่ีกิน
3.ระบบยอ่ ยอาหารโคเน้ือและกระบือ
4.ประเภทของวตั ถดุ ิบในอาหารโคเน้ือและกระบือ
5.ชนิดของพืชตระกลู หญา้ ที่เป็นอาหารสตั วใ์ นเขตร้อน
6.ชนิดของพชื ตระกลู ถวั่ ที่เป็นอาหารสตั วใ์ นเขตร้อน

สาระสาคญั

1.อาหารสตั วห์ มายถึงส่ิงที่สตั วก์ ินเขา้ ไปแลว้ ไมก่ ่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อสตั ว์ โดยสามารถถูกยอ่ ย
( Digest ) และดูดซึมในร่างกายสตั ว์ โดยมปี ระโยชน์เพอ่ื ใหส้ ตั วส์ ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในการดารง
ชีพ การเจริญเติบโต การสืบพนั ธุแ์ ละสร้างผลิตผลต่างๆ

2.ปัจจยั ที่มผี ลต่อความตอ้ งการโภชนะและปริมาณอาหารที่กิน ความตอ้ งการโภชนะของสตั ว์
มคี วามสมั พนั ธก์ บั ปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวนั เพราะประสิทธิภาพของการยอ่ ย ปริมาณพลงั งานที่
ใชใ้ นการกิน การยอ่ ย การดูดซึมและการขบั ถา่ ย จะผนั แปรไปตามปริมาณอาหารและมอี ิทธิพลต่อความ
ตอ้ งการโภชนะเพ่อื การดารงชีพ การกินอาหารถูกควบคุมโดยกลไกภายในร่างกายโดยมีปัจจยั ที่เกี่ยว
ขอ้ ง ไดแ้ ก่ ปัจจยั ที่เกี่ยวกบั ตวั สตั ว์ ปัจจยั ท่ีเกี่ยวกบั อาหาร ปัจจยั ท่ีเก่ียวกบั สภาพแวดลอ้ มและปัจจยั ท่ี
เกี่ยวกบั การจดั การฟาร์ม

3.ระบบยอ่ ยอาหารโคเน้ือและกระบือ โคและกระบือ เป็ นสตั วส์ ัตวเ์ ค้ียวเอ้อื งเช่นที่กินพืชเป็ น
อาหารหลกั ระบบทางเดินอาหารจึงมีความซบั ซอ้ นกว่าสัตวก์ ระเพาะเด่ียว ภายในกระเพาะมีจุลินทรีย์
อาศยั อยู่มากมาย ระบบทางเดินอาหาร มีส่วนประกอบท่ีสาคัญ ได้แก่ ปาก ( Mouth ) คอหอย
( Pharynx ) และหลอดอาหาร ( Esophagus ), กระเพาะรวม ( Compound stomach ) ,ลาไสเ้ ล็ก ( Small
intestine ) ,ลาไสใ้ หญ่ ( Large intestine ),ทวารหนกั ( Anus ) และอวยั วะท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การยอ่ ยและการ
ดูดซึมโภชนะ เช่น ตบั ( Liver ) และตบั ออ่ น ( Pancreas )

4.ประเภทของวตั ถุดิบในอาหารโคเน้ือและกระบือ วตั ถุดิบอาหารสัตวจ์ าแนกตามคุณสมบตั ิ
ทางเคมี รูปร่าง ปริมาตรและการใชป้ ระโยชน์ออกเป็น 2 กลมุ่ คือ อาหารขน้ ( Concentrate ) และอาหาร
หยาบ ( Roughage ) อาหารขน้ หมายถึงวตั ถุดิบอาหารสัตวท์ ่ีมีเยอ่ื ใยนอ้ ยกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ มีโภชนะที่
ยอ่ ยไดส้ ูงไดแ้ ก่วตั ถดุ ิบอาหารสตั วท์ ่ีเป็นแหล่งพลงั งาน วตั ถุดิบอาหารสตั วท์ ี่เป็นแหลง่ โปรตีน วตั ถุดิบ
อาหารสัตว์ท่ีเป็ นแหล่งเสริมแร่ธาตุหรือวิตามิน และวตั ถุดิบอาหารเสริมต่างๆท่ีไม่ใช่อาหารสัตว์
หรือไม่ใหโ้ ภชนะแก่สตั วโ์ ดยตรง ส่วนอาหารหยาบ หมายถึงวตั ถดุ ิบอาหารสตั วห์ รืออาหารสตั วท์ ่ีมี

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 90

ลกั ษณะฟ่ าม ( bulky ) มีเยอ่ื ใย ( Crude fiber ) สูงกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ และมีโภชนะที่ยอ่ ยไดต้ ่า ไดแ้ ก่
หญา้ และถว่ั ชนิดต่างๆ ตน้ ขา้ วโพด ฟางขา้ ว หญา้ แหง้ หญา้ หมกั เศษเหลือจากการเกษตรและโรงงาน
อุตสาหกรรมเกษตรต่างๆ

5.ชนิดของพืชตระกูลหญา้ ที่เป็นอาหารสตั วใ์ นเขตร้อน หญา้ เป็นอาหารหยาบหลกั ท่ีสาคญั โค
เน้ือและกระบือตอ้ งกินอาหารหยาบทุกวนั จานวนอาหารหยาบที่ใชเ้ ล้ยี งไดม้ าจากพืช เช่นหญา้ เป็นส่วน
ใหญ่รองลงมาเป็นถวั่ อาหารสตั ว์ หญา้ มีมากมายหลายชนิดข้ึนอยใู่ นสภาพภูมอิ ากาศ หญา้ ที่เป็นอาหาร
สตั วใ์ นเขตร้อน ไดแ้ ก่ หญา้ ขน หญา้ รูซี่ หญา้ กินนี หญา้ เนเปี ยร์และหญา้ อะตราต้มั เป็นตน้

6.ชนิดของพืชตระกูลถว่ั ท่ีเป็ นอาหารสตั วใ์ นเขตร้อน ถวั่ อาหารสตั วเ์ ป็ นอาหารหยาบหลกั ที่
เป็นแหล่งโปรตีนสาคญั ของโคเน้ือและกระบือ พืชอาหารสตั วต์ ระกูลถวั่ ที่นิยมใชเ้ ล้ียงสัตวใ์ นเขตร้อน
ไดแ้ ก่ กระถิน ไมยรา ถวั่ มะแฮะ ถวั่ เซนโตร ถวั่ เซอราโตร ถวั่ เซนโตรซีมา ถว่ั ลิสงนา ถงั่ คาลวาเคดและ
ถว่ั ฮามาตา้ เป็นตน้

จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1.เพือ่ ใหส้ ามารถบอกความหมายและประโยชน์ของอาหารโคเน้ือและกระบือ
2.เพอ่ื ใหบ้ อกปัจจยั ที่มผี ลต่อความตอ้ งการโภชนะและปริมาณอาหารท่ีกิน
3.เพอ่ื ใหบ้ อกประเภทของวตั ถุดิบในอาหารโคเน้ือและกระบือ
4.เพอื่ ใหอ้ ธิบายระบบยอ่ ยอาหารของโคเน้ือและกระบือ
5.เพอ่ื ใหส้ ามารถบอกชนิดของพืชตระกูลถวั่ ที่เป็นอาหารสตั วใ์ นเขตร้อน
6.เพ่ือใหส้ ามารถบอกชนิดของพชื ตระกลู หญา้ ที่เป็นอาหารสตั วใ์ นเขตร้อน
1.อาหารโคเนื้อและกระบือ
อาหารสตั วเ์ ป็นปัจจยั สาคญั ในการเล้ยี งและผลิตสตั วโ์ ดยเป็นแหล่งโภชนะที่สตั วจ์ ะนาไปใช้
เพื่อเป็ นพลงั งาน การเจริญเติบโต การสืบพนั ธุ์และใหผ้ ลผลิต เช่น เน้ือ นม ไข่ และขนสัตว์ การเล้ียง
สตั วเ์ ศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรรม เพ่อื ใหส้ ตั วเ์ จริญเติบโตไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ไดผ้ ลผลิตที่ดีมปี ระสิทธิภาพ
และใหผ้ ลตอบแทนที่คุม้ ค่าทางเศรษฐกิจ ตน้ ทุนการผลิตประมาณ 60-70 เปอร์เซน็ ต์ จึงจาเป็นตอ้ งใช้
ใหเ้ กิดประโยชน์เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลผลติ สูงสุด การใชอ้ าหารของสตั วห์ มายถึงการที่สตั วน์ าอาหารเขา้ สู่ร่างกาย
เพอ่ื เพิ่มน้าหนักตวั ซ่ึงเกิดจากการท่ีอวยั วะส่วนต่าง ๆ มีการขยายขนาดของเซลลห์ รือเพิ่มปริมาณเซลล์
ใหม้ ากข้ึนและการท่ีจะขยายขนาดหรือเพิ่มปริมาณเซลลไ์ ดต้ อ้ งอาศยั สารอาหารต่าง ๆ มาสร้างข้ึนและ
สารอาหารเหล่าน้ีมีอยใู่ นส่ิงที่สตั วก์ ินเขา้ ไป ซ่ึงเรียกวา่ อาหาร ( Feeds ) ( ธาตรี,2549 )
1.1 ความหมายของอาหารสัตว์

อาหารสตั ว์ ( Feed ) หมายถึงส่ิงท่ีสตั วก์ ินเขา้ ไปแลว้ ไมก่ ่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อสตั ว์
โดยสามารถถกู ยอ่ ย ( Digest ) และดูดซึมในร่างกายสตั วเ์ พ่อื สตั วส์ ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ต่อการ
ดารงชีพ การเจริญเติบโต สืบพนั ธุแ์ ละสร้างผลิตผลต่างๆ ( ณัฐสิทธ์ ,2555 )

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 91

1.2 ประโยชน์ของอาหารสัตว์
เมอื่ สตั วก์ ินอาหารเขา้ สู่ร่างกายและเกิดกระบวนการเปล่ียนเป็นพลงั งานในเซลล์ พลงั งานท่ี
เซลลไ์ ดร้ ับมาจะทาปฏิกิริยาเพอื่ ทากิจกรรมต่าง ๆ ประกอบดว้ ย กิจกรรมทางเคมี กิจกรรมขนส่งและ
กิจกรรมการทางานดว้ ยกลไกโดยมเี อนไซมเ์ ร่งปฏิบตั ิและช่วยทางานของปฏิกริ ิยาเคมแี ละนาไปใชใ้ น
กระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย ดงั น้ี

1.2.1 เพอ่ื การดารงชีพ อาหารท่ีสตั วก์ ินเขา้ ไปจะทาใหเ้ กิดปฏิกิริยาเคมีในกระบวนการ
ต่าง ๆ ที่จาเป็นต่อการมีชีวติ ไดแ้ ก่ การใหพ้ ลงั งานในการทางานของอวยั วะต่าง ๆ เพอื่ การหายใจ การ
เคลื่อนไหว การขบั ถ่าย การสูบฉีดโลหิต การกินและการยอ่ ย นอกจากน้ีอาหารยงั ใหส้ ารอาหารเพ่อื
ซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอของร่างกายเพื่อใหก้ ารทางานของระบบต่างๆในร่างกายเป็นปกติ

1.2.2 เพ่อื การเจริญเติบโต อาหารถูกใชใ้ นการสร้างเน้ือเยอ่ื ของร่างกาย หนงั โครง
กระดกู และอวยั วะภายใน เมื่อสตั วอ์ ายยุ งั นอ้ ยจะมคี วามตอ้ งการอาหารเพอ่ื การสร้างเน้ือเยอ่ื ต่อมาเป็น
การเจริญเติบโตของกลา้ มเน้ือและเม่อื สตั วเ์ ติบโตเต็มที่จะมีแนวโนม้ สะสมไขมนั

1.2.3 เพือ่ การสืบพนั ธุ์ สตั วใ์ นวยั เจริญพนั ธุม์ ีตอ้ งการอาหารเพอื่ กระบวนการของอวยั วะ
สืบพนั ธุท์ างานเป็นปกติ เช่น การผสมพนั ธุเ์ ป็นปกติ การผสมติด การเป็นสดั ตามเวลา ความสามารถ
ในการอมุ้ ทอ้ งจนครบกาหนดคลอด การตกไข่หรือความสมบูรณ์พนั ธุ์ของสตั วเ์ พศผู้

1. 2.4 เพ่อื การใหผ้ ลผลติ ความตอ้ งการอาหารของสตั วน์ อกจากนาไปใชป้ ระโยชน์ใน
กระบวนการต่างๆ ของร่างกายแลว้ จะถกู นามาสร้างเป็นผลผลิต เช่น การสร้างเน้ือ การใหน้ ม การให้
ไข่ การสร้างขน การเพิ่มความอว้ นตลอดจนใหก้ าลงั งานเพ่ือการทางานของสตั ว์ ( ธาตรี,2549 )

1.3 ส่วนประกอบของอาหารสัตว์
อาหารสตั วป์ ระกอบดว้ ยโภชนะ 6 ชนิด คือ น้า โปรตีน คาร์โบไฮเดรท ไขมนั

วิตามนิ และแร่ธาตุ
1.3.1 น้า ( Water )
น้ามีความสาคญั ต่อการดารงชีพของสตั วม์ าก ร่างกายสัตวป์ ระกอบดว้ ยน้า

ประมาณ 71-73 เปอร์เซ็นต์ของน้าหนกั ตวั โดยน้าจะเขา้ ไปทาหน้าที่ที่สาคญั ในร่างกาย เช่น ช่วยใน
การย่อยและการดูดซึมอาหาร ช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ ช่วยในการกาจดั ของเสียออกจาก
ร่างกาย และเป็ นส่วนประกอบของส่วนต่าง ๆ ในร่างกายสัตว์ นอกจากน้ีวตั ถุดิบอาหารสัตวย์ งั
ประกอบดว้ ยน้าประมาณ 10 เปอร์เซ็นตจ์ นถงึ 80 เปอร์เซน็ ตใ์ นพืชอาหารสด

1.3.1.1 แหลง่ ที่มาของน้า น้าท่ีสตั วไ์ ดร้ ับมาจาก 3 แหลง่ คือ
1) น้าท่ีสตั วก์ ินโดยตรง
2) น้าท่ีเป็นองคป์ ระกอบในอาหารสตั ว์
3) น้าท่ีเกิดจากปฏกิ ิริยาเคมีในร่างกายสตั ว์

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 92

1.3.1.2 หนา้ ท่ีสาคญั ของน้าในการผลิตสตั ว์ มีดงั น้ี

1) เป็นส่วนประกอบของเซลลแ์ ละเน้ือเยอ่ื ต่างๆใหค้ งรูปอยไู่ ด้

2) เป็นตวั กลางและเป็นตวั พาโภขนะและสารต่างๆไปยงั ส่วนต่างๆ

ของร่างกายและช่วยในการขบั ของเสียออกจากร่างกายสตั ว์

3) เป็นตวั ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย

4) มคี วามจาเป็นต่อปฏิกริยาทางเคมใี นกระบวนการยอ่ ยอาหารและ

เมทาบอลซิ ึม

5) ช่วยในการหล่อล่ืนและป้องกนั การกระทบกระเทือนของอวยั วะ

ภายในร่างกายและช่วยทาใหก้ ระบวนการทางานต่างๆเป็นปกติ

6) เป็นตวั ละลายของสารเคมีหลายชนิดซ่ึงช่วยใหส้ ามารถรับรสชาติ

ของอาหารได้

7) ช่วยรกั ษาความชุ่มช้ืนของปอดและถุงลมช่วยใหเ้ กิดการแลกเปล่ีน

แกส็ ไดส้ ะดวกข้นึ ( ทวเี ดช,2555 )

1.3.1.3 ความตอ้ งการน้าของสตั ว์

ปกติสตั วจ์ ะกินน้าเมอื กระหายเพื่อนาน้าไปทดแทนส่วนท่สี ูญเสีย

สตั วเ์ ล้ยี งทว่ั ไปจะกินน้าระหว่างกินอาหารหรือหลงั จากน้นั เลก็ นอ้ ย อตั ราการกนิ น้าจะสมั พนั ธก์ บั วตั ถุ

แหง้ ที่กิน ดงั แสดงในตารางที่ 5.1

ตารางท่ี 5.1 ปริมาณความตอ้ งการน้าของสตั วโ์ ตเต็มที่

ชนดิ ของสัตว์ ลติ รต่อวนั ลติ รต่อกโิ ลกรัมของวตั ถแห้ง

โคเน้ือ 22-65 3.5-6

โคนม 38-110 3.5-6

แพะ แกะ 4-15 1.5-3

มา้ 30-45 2-3.5

สุกร 11-19 1.5-2.5

ไก่ 0.2-0.4 2-3

ไก่งวง 0.4-0.5 -

ท่ีมา: บุญลอ้ ม ( 2554 )

1.3.2 โปรตีน ( Protein )

โปรตีนเป็ นโภชนะที่มีองค์ประกอบทางเคมีท่ีซบั ซอ้ นประกอบดว้ ยธาตุคาร์บอน

ไฮโดรเจน ออกซิเจนและไนโตรเจน โปรตีนเป็ นโภชนะท่ีสาคญั ในการดารงชีวิตและการให้ผลผลิต

ของสตั ว์ โปรตีนเป็นส่วนประกอบของอวยั วะต่าง ๆ ในร่างกาย เม่ือสตั วก์ ินโปรตีนเขา้ สู่ร่างกาย

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 93

โปรตีนจะถูกยอ่ ยสลายจนเหลืออนุภาคเลก็ สุดเรียกวา่ กรดอะมิโน ( Amino acid ) ร่างกายจึงจะดูดซึม
ไปใชป้ ระโยชน์ได้ สตั วแ์ ต่ละชนิด แต่ละประเภท แต่ละขนาดอายุ มีความตอ้ งการโปรตีนไม่เท่ากนั
โปรตีนมีความสาคญั มากในโคเน้ือระยะรุ่นหรือกาลงั เจริญเติบโต ระยะต้งั ทอ้ งและระยะใหน้ มลูก สตั ว์
จะไดร้ ับโปรตีนจากอาหารหยาบและอาหารขน้ ซ่ึงอาหารขน้ จะเป็นอาหารท่ีมีโปรตีนสูง คุณภาพของ
โปรตีนข้ึนอยกู่ บั ปริมาณของกรดอะมโิ นท่ีเป็นองคป์ ระกอบของโปรตีน

1.3.2.1 การจาแนกประเภทของกรดอะมโิ น ( Amino acid ) กรดอะมิโน
จาแนกเป็น 2 ประเภท คือ

1) กรดอะมโิ นจาเป็น ( Essential amino acid หรือ Indispensable
amino acid) เป็นกรดอะมโิ นท่ีจาเป็นตอ้ งมีในอาหารสตั วเ์ นื่องจากสตั วไ์ ม่สามารถสงั เคราะหข์ ้ึนเองได้
หรือสงั เคราะหไ์ ดไ้ มเ่ พยี งพอกบั ความตอ้ งการ กรดอะมิโนจาเป็น มีประมาณ 10 ชนิด คือ Arginine,
Histidine, Isoleucine, Leucine, Lysine, Methionone, Phenylalanine, Threonine, Tryptophan และ
Valine

2) กรดอะมโิ นที่ไมจ่ าเป็น ( Non -Essential amino acid หรือ
Dispensable amino acid) เป็นกรดอะมโิ นท่ีเน้ือเยอื่ สตั วส์ ามารถสงั เคราะหไ์ ดโ้ ดยอาศยั โภชนะที่ไดจ้ าก
การท่ีสตั วกื ินอาหารเขา้ ไป กรดอะมโิ นไมจ่ าเป็น มีประมาณ 10 ชนิด คือ Alanine, Cystein, Serine,
Glycine, Tyrosin, Aspatic acid , Glutamic acid, proline, Thyrosine และ Cysteine ( ทรงศกั ด์ิ,2551 )

1.3.2.2 หนา้ ที่ของโปรตีน
โปรตีนมีบทบาทหนา้ ที่สาคญั คือ
1) เป็นองคป์ ระกอบที่สาคญั ในร่างกาย เช่น กลา้ มเน้ือ เลือดและขน
2) เป็นโครงสร้างของกลไกสาคญั ในการดารงชีพของสตั ว์ ฮอร์โมน

เอนไซม์ สารภูมิคุม้ กนั
3) ช่วยในการขนส่งสารอาหารบางชนิดโดยการรวมตวั กบั

สารอาหารน้นั ลว้ พาสารอาหารน้นั ไปยงั อวยั วะต่างๆ เช่น แร่ธาตุ
4) ช่วยรกั ษาสมดุลของเหลวภายในและภายนอกเซลล์ โดยรักา

แรงดยั ออสโมซิส เช่น อลั บูมนิ ในเลือด
5) เป็นแหลง่ สะสมสารอาหาร เช่นโปรตีนในน้านม
6) ช่วยในการเคลอื่ นไหวของกลา้ มเน้ือ

ร่างกายตอ้ งการโปรตีนเพ่อื นาไปซ่อมแซมเน้ือเยอ่ื ต่างๆท่ีสึกหรอ
7) ใหพ้ ลลั งงานในกรณีที่สตั วไ์ ดร้ ับพลงั งานในอาหารไม่เพยี งพอ

หรืออดอาหาร โปรตีนในร่างกายจะสลายใหพ้ ลงั งานได้
การขาดโปรตีนของสตั วท์ าใหผ้ ลผลติ ลดลง อตั ราการเจริญเติบโตไม่ดี ความสมบูรณ์พนั ธุต์ ่า

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 94

1.3.3 คาร์โบไฮเดรท ( Carbohydrate )

คาร์โบไฮเดรทเป็นสารประกอบอนิ ทรียป์ ระกอบดว้ ยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน

และออกซิเจน ใหพ้ ลงั งานต่อสตั ว์ ในอาหารสตั วส์ ่วนใหญ่มคี าร์โบไฮเดรทมากกว่า 70 เปอร์เซน็ ตข์ อง

อาหารท้งั หมด สตั วจ์ ะใชค้ าร์โบไฮเดรทเป็ นแหล่งพลงั งานได้ต่อเมอ่ื คาร์โบไฮเดรตถูกย่อยกลายเป็ น
น้าตาลเด่ียว ( monosaccharide ) สตั วจ์ ึงสามารถดูดซึมไปใชป้ ระโยชนซ์ ่ึงอาศยั เอนไซมท์ ี่สตั วส์ ร้างข้ึน
ในร่างกายหรือจากจุลินทรียท์ ่ีอาศยั อยู่ในทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่เอนไซม์ของสัตวส์ ามารถย่อย

คาร์โบไฮเดรตให้เป็ นน้าตาลเดี่ยวได้ ยกเวน้ พวกที่มีโมเลกุลต่อกนั ดว้ ยพนั ธะเบต้า เช่น เซลลูโลส
จุลนิ ทรียท์ ี่อยภู่ ายในกระเพาะรูเมนของสตั วเ์ ค้ียวเอ้อื งหรือในไสต้ ิ่งของสตั วก์ ระเพาะเด่ียวบางชนิด การ
หมกั ของคาร์โบไฮเดรตเกิดข้ึนในกระเพาะรูเมนหรือไสต้ ่ิงในสภาพไร้อากาศ เกิดเป็ นกรดไขมนั ที่
ระเหยได้ ( Volatile Fatty Acid ) ซ่ึงจะนาไปเขา้ กระบวนการใชเ้ ป็นพลงั งานได้

1.3.3.1 การจาแนกประเภทของคาร์โบไฮเดรต ( Carbohydrate )

คาร์โบไฮเดรตจาแนกตามโครงสร้างของโมเลกุล ดงั น้ี
1) น้าตาลเชิงเดี่ยว ( Simple carbohydrate )

เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างอยา่ งง่าย มรี สหวาน พบอยตู่ ามธรรมชาติ น้าตาลกลุ่ม
น้ีจะไมถ่ กู ยอ่ ยอกี ต่อไป น้าตาลเชิงเด่ียว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

ก .น้าตาลเพนโตส ( Pentose ) เป็นน้าตาลเชิงเด่ียวที่มี
คาร์บอน 5 อะตอมไดแ้ ก่ ไซโลส (Xylose) ไรโบส ( Ribose ) และอะราบิโนส ( Arabinose )

ข.น้าตาลเฮกโซส ( Hexoses ) เป็นน้าตาลท่ีมีคาร์บอน 6
อะตอม น้าตาลเฮกโซสท่ีสาคญั เช่น กลูโคส ฟรุกโตส และกาแลคโตส

2) น้าตาลเชิงซอ้ นท่ีมนี ้าตาลเชิงเด่ียว 2 โมเลกลุ ( Disaccharides )
เป็ นคาร์โบไฮเดรตท่ีมีโครงสร้างประกอบด้วยน้ าตาลโมเลกุล
เชิงเดี่ยว 2 โมเลกุลมารวมกนั น้าตาลเชิงเด่ียว 2 โมเลกุลสามารถละลายไดใ้ นน้า แต่การละลายไดจ้ ะ
มากหรือนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั ชนิดของน้าตาล 2 โมเลกุล เช่น ซูโครส มอลโตส แลคโตส และเซลโลไบโอส
3) น้าตาลเชิงซอ้ นที่มีน้าตาลเชิงเดี่ยว 3 โมเลกุล ( Trisaccharides )
ตวั อยา่ งของน้าตาลเชิงเด่ียว 3 โมเลกุล เช่น ราฟิ โนส ( Raffinose ) พบในหวั ผกั กาดหวาน เมลด็ นุ่น ราฟิ
โนสเมื่อถูกยอ่ ยจะใหก้ ลโู คส ฟรุกโตส และกาแลคโตส อยา่ งละ 1 โมเลกุล

4) น้าตาลเชิงซอ้ นหลายโมเลกุล ( Polysaccharides )
เป็ นคาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างสลบั ซบั ซ้อนและพบตามธรรมชาติมากที่สุดโครงสร้าง

ประกอบดว้ ยอณูของน้าตาลโมเลกุลเด่ียวเป็ นจานวนมาก ตัวอย่างน้าตาลเชิงซอ้ นหลายโมเลกุลท่ีมี
ความสาคญั ทางอาหารสตั ว์ ไดแ้ ก่ แป้งจากพชื ( Starch ) เด็กซต์ ริน ( Dextrin ) ไกลโคเจน ( Glycogen )

เซลลูโลส ( Cellulose ) และเฮมิเซลลโู ลส ( Hemicellulose )

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 95

1.3.2.2 หนา้ ที่ของคาร์โบไฮเดรต
คาร์โบไฮเดรตมีบทบาทหนา้ ท่ีสาคญั คือ
1) ใหพ้ ลงั งานและความร้อนแก่ร่างกาย
2) เป็นโครงสร้างหรือส่วนประกอบสาคญั ในการสร้างโภชนะอืน่
3) เกบ็ สะสมไวใ้ นร่างกายในรูปพลงั งานสารอง เช่น ไกลโคเจน
4) ช่วยทาใหร้ ะบบทางเดินอาหารทางานไดด้ ี เช่น เยอื่ ใยในอาหาร

1.3.4 ไขมนั ( Fat and lipid )
ไขมนั เป็ นโภชนะที่ประกอบดว้ ยคาร์บอน ไฮโดรเจนและออกซิเจนเหมือน

คาร์โบไฮเดรทแต่จะใหพ้ ลงั งานสูงกวา่ คาร์โบไฮเดรท 2.25 เท่า ไขมนั ไม่ละลายน้า แต่จะละลายในตวั
ทาละลายอินทรีย์ ไดแ้ ก่ อีเทอร์ ( Ether ) และคลอโรฟอร์ม ( Cholroform ) ไขมนั ในสตั วจ์ ะอยู่ในรูป
ของแข็งในอุณหภูมิหอ้ ง ไขมนั ประกอบดว้ ยกรดไขมนั ( Fatty Acid ) และกลีเซอรอล ( Glycerol )
ไขมนั จะมีอยทู่ วั่ ไปในอาหารสตั วม์ มี ากในเมลด็ พืชบางชนิด เช่น พืชตระกูลถว่ั และเน้ือมะพร้าว การ
จาแนกประเภทของไขมนั ( Fat and lipid )

1.3.4.1 การจาแนกประเภทของกรดไขมัน ( Fat and lipid ) กรด
ไขมนั จาแนกตามความตอ้ งการของสตั วไ์ ดเ้ ป็น 2 ชนิด

1) กรดไขมนั ที่จาเป็น ( Essential Fatty Acid ) เป็นกรดท่ี
สตั วไ์ มส่ ามารถสงั เคราะหไ์ ดห้ รือสงั เคราะหไ์ ดใ้ นปริมาณไมเ่ พียงพอต่อความตอ้ งการของสตั ว์ กรด
ไขมนั กลมุ่ น้ีมีความจาเป็นต่อการเจริญเติบโตและการทางานของระบบไดแ้ ก่ กรดลโิ นเลอกิ ( Linoleic
acid ) กรดลิโนเลนิก ( Linolenic acid ) และกรดอะราชิโดนิก ( Arachidonic acid ) พบมากในน้ามนั
ถวั่ เหลือง น้ามนั ขา้ วโพด น้ามนั ฝ้าย น้ามนั ถวั่ ลิสง

2) กรดไขมนั ที่ไมจ่ าเป็น ( Non essential fatty acid ) เป็น
กรดไขมนั ท่ีไม่จาเป็นตอ้ งมใี นอาหารสตั ว์ เพราะสตั วส์ ามารถสงั เคราะห์ข้ึนเองไดพ้ อเพยี งต่อการใช้
ประโยชน์ของร่างกายสตั ว์ ไดแ้ ก่ กรดโอลอิ ิค ( Oleic acid )

อวยั วะต่าง ๆ 1.3.4.2 หนา้ ที่ของไขมนั
เช่น วติ ามิน ไขมนั มบี ทบาทหนา้ ที่สาคญั คือ

1) ใหพ้ ลงั งานและความร้อนแก่ร่างกายสตั ว์
2) เป็นฉนวนห่อหุม้ ป้องกนั การกระทบกระเทือนของ

3) ช่วยในการขนถา่ ยและดูดซึมสารอาหารที่ละลายในไขมนั

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 96

4) เป็นพลงั งานสะสมท่ีสาคญั ของสตั วโ์ ดยสตั วท์ ี่ไดร่ ับ
อาหารเกินกวา่ ความตอ้ งการของร่างกาย สตั วจ์ ะเปลย่ี นอาหารใหอ้ ยใุ่ นรูปไขมนั

5) เป็ นโครงสร้างและองค์ประกอบของเย่ือเซล ผนังเซล
ผวิ หนงั และสมอง ( ทวีเดช,2555 )

1.3.5 วิตามนิ (Vitamin)
วิตามนิ เป็นสารประกอบอินทรียท์ ี่ซบั ซอ้ น พบในอาหารธรรมชาติทวั่ ไปสตั ว์

ตอ้ งการจานวนนอ้ ย แต่เป็นส่ิงท่ีจาเป็นท่ีสตั วข์ าดไมไ่ ด้ วติ ามนิ ทาใหเ้ น้ือเยอื่ ของร่างกายเจริญเติบโต
เป็นปกติและจาเป็นต่อการเมทาบอลิซึม โดยทว่ั ไปร่างกายสตั วไ์ มส่ ามารถสงั เคราะห์ได้ ยกเวน้ สตั ว์
เค้ียวเอ้ืองท่ีจุลนิ ทรียภ์ ายในทางเดินอาหารสามารถสงั เคราะหว์ ติ ามินบีรวม

1.3.5.1 การจาแนกประเภทของวิตามนิ ( Vitamin ) วิตามนิ จาแนก
ตามคุณสมบตั ิในการละลายได้ 2 กลุ่ม คือ

1) วติ ามินท่ีละลายไดใ้ นไขมนั ( Fat soluble vitamins )
ไดแ้ ก่ วติ ามนิ เอ,วิตามนิ ดี, วติ ามินอีและวติ ามินเค

2) วติ ามนิ ท่ีละลายในน้า ( Water soluble vitamins ) ไดแ้ ก่
วิตามนิ ซี ,วติ ามนิ บีรวม และสารวิตามินบีอืน่ ๆ เช่น กรดแพนโททินิค โคลีนและอโิ นซิทอล ( Inositol )

1.3.5.2 หนา้ ที่ของวติ ามิน
วิตามนิ มบี ทบาทหนา้ ท่ีสาคญั คือ

1) ช่วยเร่งใหเ้ กิดปฏกิ ริยาเคมขี องกระบวนการเมทาบอลิซึม
ต่างๆภายในร่างกาย

2) ช่วยในการสร้างกระดูก เชน่ วติ ามนิ เอและดี
3) ช่วยใหเ้ ลอื ดแขง็ ตวั เร็วข้ึน เช่น วิตามนิ เค
4) ช่วยใหร้ ะบบสืบพนั ธุเ์ ป็นปกติ เชน่ วิตามนิ อี
1.3.6 แร่ธาตุ ( Minerals )
แร่ธาตุเป็นส่วนของโภชนะท่ีไมเ่ ผาไหมต้ ่อไปหรือเรียกแร่ธาตุอีกอยา่ งวา่ เถา้
( Ash ) ในร่างกายสตั วม์ แี ร่ธาตุอยปู่ ระมาณ 40 ชนิดแต่ท่ีจาเป็นต่อร่างกายสตั วม์ ีอยปู่ ระมาณ 15 ชนิด
1.3.6.1 การจาแนกประเภทของแร่ธาตุ
โดยแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 กล่มุ ตามความจาเป็นต่อสตั ว์ ดงั น้ี

1) แร่ธาตุหลกั ( Major หรือ Macromineral ) เป็นแร่ธาตุท่ี
พบในซากสตั วใ์ นปริมาณมากกว่า 100 ส่วนในลา้ นส่วน ( Part per million ,ppm )ไดแ้ ก่ แคลเซี่ยม (Ca),
ฟอสฟอรัส (P), โซเดียม (Na), คลอรีน (Cl), โปแตสเซียม (K), กามะถนั (S), และแมกนีเซียม (Mg)

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 97

2) แร่ธาตุปลีกยอ่ ย ( Trace หรือ Micromineral ) เป็ นแร่ธาตุที่
พบในซากสัตวใ์ นปริมาณน้อยกว่า 100 ส่วนในลา้ นส่วน ( Part per million ,ppm ) ไดแ้ ก่ เหล็ก (Fe),
แมงกานีส (Mn), สงั กะสี (Zn), ทองแดง (Cu), ไอโอดีน ( I ), โมลิบดิน่มั (Mo), ซีลีเนียม (Se), และ
โคบอลล์ (Co) (ทว,ี 2527)

1.3.6.2 หนา้ ท่ีlสาคญั ของแร่ธาตุ มดี งั น้ี
1) เป็นส่วนประกอบและเสริมสร้างความแข็งแรงของโครง

กระดกู โครงร่างและฟัน
2) เป็นส่วนประกอบของสารประกอบอินทรีย์ เช่น โปรตีน

ไขมนั และเป็นส่วนประกอบท่ีสาคญั ของกลา้ มเน้ือ เมด็ เลอื ดและอวยั วะต่างๆ
3) ช่วยกระตุน้ การทางานของเอนไซน์
4) ช่วยควบคุมความสมดุลของของเหลว แรงดนั ออสโมซีส
5) ช่วยในการรักษาความเป็นกรด – ด่างของร่างกาย
6) ช่วยในการทางานของระบบประสาทและการยดื หดตวั

ของกลา้ มเน้ือ
7) เป็นส่วนประกอบของสารที่จาเป็นของร่างกาย เช่น

ไอโอดีนในฮอร์โมนไทรอกซิน สงั กะสีในฮอร์โมนอินซูลิน
8) เกี่ยวขอ้ งกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแร่ธาตุ วติ ามินใน

กระบวนการเมทาบอลิซึมในร่างกาย
9) ช่วยในการนาพาออกซิเจน เช่น ธาตุเหลก็ ในฮีโมโกลบิน

( วโิ รจน์,2546 )

1.4 ปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อความต้องการโภชนะและปริมาณอาหารทก่ี นิ
ความตอ้ งการโภชนะของสตั วม์ คี วามสมั พนั ธก์ บั ปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวนั

เพราะประสิทธิภาพของการยอ่ ย ปริมาณพลงั งานท่ีใชใ้ นการกิน การยอ่ ย การดูดซึมและการขบั ถา่ ย จะ
ผนั แปรไปตามปริมาณอาหารและมีอทิ ธิพลต่อความตอ้ งการโภชนะเพ่ือการดารงชีพ การกินอาหารถูก
ควบคุมโดยกลไกภายในร่างกาย โดยมปี ัจจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ไดแ้ ก่

1.4.1 ปัจจยั ที่เก่ียวกบั ตวั สตั ว์ ไดแ้ ก่
1.4.1.1 ชนิดของสตั ว์
1.4.1.2 อายุ สตั วท์ ่ีอายนุ อ้ ยจะมอี ตั ราการเจริญเติบโตสูงกวา่ สตั วท์ ี่มอี ายมุ าก

ความตอ้ งการอาหารและปริมาณที่กนิ จึงมากกวา่ สตั วท์ ่ีมีอายนุ อ้ ย
1.4.1.3 เพศ เพศผมู้ อี ตั ราการเจริญเติบโตมากกวา่ ตวั เมยี การใหอ้ าหารมกั จะ

ตอ้ งใหโ้ ภชนะและจานวนที่กนิ สูงกว่าเพศเมยี

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 98

1.4.1..4 สายพนั ธุ์ สตั วท์ ่ีเป็นสายพนั ธุท์ ี่มีการสะสมเน้ือแดงมาก ตอ้ งการ
ระดบั โภชนะต่างๆโดยเฉพาะกรดอะมิโนสูงกว่าปกติ

1.4.1.5 ประเภทและระดบั ของผลผลติ สตั วท์ ่กี าลงั ใหผ้ ลผลิตมคี วามตอ้ งการ
โภชนะและจานวนอาหารทกี่ ินมากกว่าสตั วท์ ่ีใหผ้ ลผลติ นอ้ ย

1.4.1.6 สุขภาพของสตั ว์ โรคและพยาธิมผี ลทาใหค้ วามตอ้ งการอาหารหรือ
โภชนะของสตั วเ์ ปลยี่ นแปลงไป

1.4.1.7 สภาพของสตั ว์ สตั วอ์ ว้ นหรือผอม มผี ลต่อปริมาณการกนิ อาหารและ
โภชนะท่ีใชใ้ นการดารงชีพเปลีย่ นแปลง

1.4.2 ปัจจยั ท่ีเกี่ยวกบั อาหาร ไดแ้ ก่
1.4.2.1 รสชาดของอาหารมอี ทิ ธิพลต่อปริมาณอาหารท่ีกิน ตลอดจนปริมาณ

และชนิดของน้ายอ่ ยท่ีขบั ออกมาในกระบวนการยอ่ ยอาหาร
1.4.2.2 สารพษิ ในอาหารมอี ิทธิพลต่อการใชป้ ระโยชนข์ องโภชนะหรือ การ

ยอ่ ยได้
1.4.2.3 ชนิดของอาหาร มอี ิทธิพลโดยลกั ษณะทางกายภาพ เช่น เน้ืออาหาร

( Texture) ตลอดจนมีอิทธิพลต่อการยอ่ ยไดข้ องอาหาร
1.4.2.4 ความเขม้ ขน้ ของโภชนะต่างๆในอาหารและวตั ถุดิบอาหารสตั ว์
1.4.2.5 ความสมดุลของอาหารมีผลต่อปริมาณการกินลดลงส่งผลต่อความ

ตอ้ งการโภชนะสาหรับการดารงชีพ
1.4.2 6 ปฏกิ ิริยาระหวา่ งสารอาหาร เช่น กรดอะมิโนกบั กรดอะมโิ น หรือแร่

ธาตุกบั วิตามนิ บางชนิด อาจทาลายซ่ึงกนั และกนั หรือจบั ตวั กนั เป็นโมเลกุลใหญ่จนดูดซึมไมไ่ ด้ มีผล
ใหค้ วามตอ้ งการโภชนะของสตั วเ์ ปลย่ี นแปลง

1.4.2.7 ลกั ษณะของเน้ืออาหารและส่วนประกอบทางเคมมี ผี ลต่อความจุของ
กระเพาะถา้ อาหารยอ่ ยไดง้ ่ายสตั วจ์ ะกินไดม้ าก แต่ถา้ ความเขม้ ขน้ ของโภชนะสูงปริมาณที่กนิ ไดจ้ ะ
ลดลง

1.4.3 ปัจจยั ท่ีเกี่ยวกบั สภาพแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่
1.4.3.1 อุณหภูมิ มีอิทธิพลต่อการกินอาหารของสตั วแ์ ละปริมาณโภชนะาร

เม่อื อุณหภูมิสูงข้ึนสตั วม์ กั กินอาหารนอ้ ยลง
1.4.3.2 ความช้ืนสมั พทั ธม์ ีผลต่อความอยากกนิ การยอ่ ยไดแ้ ละอ่นื ๆ
1.4.3.3 แบบและปริมาณของรางน้าและรางอาหาร มีส่วนทาใหส้ ตั วไ์ ดร้ ับ

อาหารเพียงพอ
1.4.3.4 ปฏกิ ิริยาระหว่างสตั วท์ ี่อยรู่ วมในคอกเดียวกนั เช่น สตั วต์ ่างขนาดที่

เล้ยี งรวมกนั สตั วท์ ี่มอี ตั ราการเจริญเติบโตต่าจะมกี ารใชโ้ ภชนะเพอ่ื การดารงชพี

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 99

1.4. 4 ปัจจยั เก่ียวกบั การจดั การฟาร์ม สัตวท์ ี่ไดร้ ับการจดั การเล้ียงดูเป็ นอยา่ งดีมกั มี
ความสมบูรณ์ แข็งแรง สามารถกินอาหารไดต้ ามปกติ ส่วนสตั วท์ ่ีไดร้ ับการจดั การเล้ียงดูไม่ดี ยอ่ มจะ
เกิดความเครียดทาให้ออ่ นแอ เจ็บป่ วยไดง้ ่าย จึงมคี วามตอ้ งการใชร้ ะดบั โภชนะในอาหารสูงข้ึน สตั วท์ ี่
ไดร้ ับน้าไม่เพียงพอจะทาให้สตั วก์ ินอาหารนอ้ ยลง ในขณะที่การใหอ้ าหารบ่อยคร้ังจะกระตุน้ ใหส้ ัตว์
กินอาหารไดม้ ากข้ึน ( ธาตรี,2549 )
2.ระบบย่อยอาหารในโคเนือ้ และกระบือ

การย่อยอาหารเป็ นการเตรียมอาหารที่สัตวก์ ินเขา้ ไปในระบบทางเดินอาหารใหอ้ ย่ใู นสภาพที่
เหมาะสมกบั การดูดซึมของโภชนะเพื่อใหร้ ่างกายไดน้ าโภชนะในอาหารไปใชป้ ระโยชน์ โดยทวั่ ไป
การย่อยอาหารหมายถึงการย่อยโดยวิธีกล เช่นการเค้ียวอาหารให้มีขนาดเล็กลงและการบีบตัวของ
กลา้ มเน้ือของระบบทางเดินอาหาร รวมท้งั การยอ่ ยโดยวิธีทางเคมี เช่นการใชเ้ อนไซมท์ ่ีผลติ จากเย่ือบุ
ทางเดินอาหารหรือเอนไซมจ์ ากจุลินทรียใ์ นระบบทางเดินอาหาร เพ่ือยอ่ ยอาหารใหม้ ีขนาดเล็กลง และ
มีการละลายไดด้ ีข้ึนจนสามารถดูดซึมผา่ นผนงั ลาไส้ หรือส่วนอ่ืนของระบบทางเดินอาหารไปยงั ส่วน
ต่างๆของร่างกายได้

โคและกระบือ เป็ นสัตวส์ ตั วเ์ ค้ียวเอ้ืองเช่นท่ีกินพืชเป็ นอาหารหลกั ระบบทางเดินอาหารจึงมี
ความซบั ซอ้ นกว่าสตั วก์ ระเพาะเดี่ยวโดยเฉพาะส่วนของกระเพาะอาหารที่มีการพฒั นาใหม้ ีขนาดใหญ่
แบ่งออกไดเ้ ป็ น 4 ส่วน ภายในกระเพาะมีจุลินทรียอ์ าศยั อยมู่ ากมาย ทาหนา้ ท่ียอ่ ยอาหาร เช่นพชื อาหาร
สตั วช์ นิดต่างๆ ที่ประกอบดว้ ยเซลลูโลส ( Cellulose ) และเฮมิเซลลโู ลส ( Hemicelluloses ) ซ่ึงเอนไซม์
ที่ผลิตจากระบบทางเดินอาหารไมส่ ามารถยอ่ ยเพ่ือนาโภชนะไปใชป้ ระโยชน์ได้

2.1 ระบบทางเดนิ อาหารของโคเนื้อและกระบือ มสี ่วนประกอบที่สาคญั คือ

2.1.1 ปาก (mouth)
โคเน้ือและกระบือมีปากท่ีแตกต่างจากสตั วเ์ ศรษฐกิจชนิดอ่ืน เน่ืองจากไม่มี

ฟันตดั ดา้ นบน ( Upper incisor ) แต่จะมสี ่วนของแผน่ แขง็ หรือเหงือกท่ีแข็งแรง ( Upper dental pad )
ทาหนา้ ท่ีตดั อาหารหรือหญา้ ให้ขาดจากกนั เม่ือลน้ิ ตวดั อาหารเขา้ สู่ภายในปาก การย่อยอาหารในปาก
สามารถแบ่งไดเ้ ป็ น 2 ลกั ษณะคือการยอ่ ยโดยวธิ ีกลและการยอ่ ยโดยวิธีทางเคมี การยอ่ ยโดยวธิ ีกลเป็ น
การใชส้ ่วนของฟันร่วมกบั แผน่ แข็งเพื่อทาให้อาหารมีขนาดเล็กลง การเค้ียวให้อาหารมีขนาดเลก็ ลง
การเค้ียวอาหารในแนวนอน (horizontal) จากดา้ นซา้ ยไปขวาหรือจากดา้ นขวาไปซา้ ย สลบั กนั ไปมา ใน
ระหว่างการเค้ียวจะมกี ารหลง่ั น้าลายออกมาคลุกเคลา้ อาหารเพื่อใหอ้ อ่ นนุ่ม ส่วนการยอ่ ยดว้ ยวิธีทางเคมี
จะเกิดข้ึนไดเ้ ฉพาะในลูกสตั วท์ ่ียงั ไม่หยา่ นมเท่าน้นั

2.1.2 คอหอย ( Pharynx ) และหลอดอาหาร ( Esophagus )
คอหอยเป็ นส่วนของระบบทางเดินอาหารประกอบดว้ ยท่อทางเดินอาหารมี

ลกั ษณะคลา้ ยรูปกรวย ทาหนา้ ที่เป็นทางผา่ นของอาหารจากปากเขา้ สู่หลอดอาหารและเป็นทางผา่ นของ
อากาศที่หายใจเพอ่ื เขา้ สู่ปอด หลอดอาหารเป็นส่วนของระบบทางเดินอาหารที่มลี กั ษณะเป็นท่อ

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 100

เชื่อมต่อระหว่างคอหอยและกระเพาะอาหาร ทาหน้าท่ีเป็ นทางผ่านของอาหารจากปากเขา้ สู่กระเพาะ
และเป็นช่องทางที่อาหารจากกระเพาะส่วนหนา้ ถูกขยอกออกมาเพ่ือนาไปเค้ียวเอ้อื งในปาก

2.1.3 กระเพาะรวม ( Compound stomach )
โคเน้ือและกระบือส่วนของกระเพาะจะถูกพฒั นาข้ึนมาเพื่อใหเ้ หมาะสมกบั

อาหารท่ีกินคือพชื อาหารสตั วห์ รืออาหารหยาบชนิดต่างๆ ภายในมีจุลินทรียท์ าหน้าท่ีในการยอ่ ยอาหาร
กระเพาะมีขนาดใหญ่ คิดเป็ นเน้ือที่ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ของความจุช่องทอ้ งท้งั หมด พ้ืนท่ีส่วน
ใหญ่ของกระเพาะจะอยชู่ ิดกบั ลาตวั ดา้ นซา้ ย สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ส่วน คือ

2.1.3.1 กระเพาะผา้ ข้ีริ้ว ( Rumen) เป็ นกระเพาะส่วนแรกที่มีขนาดใหญ่สุด มี
ความจุประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ของความจุกระเพาะท้งั หมด ผนังมีตุ่มเลก็ ๆ อยทู่ ว่ั ไปจึงเรียกว่า ผา้ ข้ีร้ิว
ภายในมีจุลนิ ทรียท์ ่ีช่วยในการหมกั อาหารหยาบก่อนจะขยอกอาหารออกมาเค้ียว

2.1.3.2 กระเพาะรังผ้งึ ( Reticulum หรือ Honeycomb ) เป็นกระเพาะที่มขี นาด
เลก็ สุด จุประมาณ ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของกระเพาะท้งั หมด ผนงั มีลกั ษณะเป็ นรูปหกเหลี่ยมเลก็ ๆ
เรียงติดต่อกนั จึงเรียกวา่ รังผ้งึ ไม่มกี ารขบั น้ายอ่ ยออกมาช่วยยอ่ ยอาหาร ทาหนา้ ท่ีร่วมกบั กระเพาะรูเมน
ในการหมกั อาหาร

2.1.3.3 กระเพาะสามสิบกลีบ ( Omasum หรือ Manyplies ) มีความจุประมาณ
7-8 เปอร์เซ็นต์ ผนงั ดา้ นในมเี น้ือเยอื่ แผน่ บางๆ ( Omasal leaves หรือ Lamina ) จดั เรียงซอ้ นกนั เป็น
ช้นั ๆ ไม่มกี ารหลง่ั น้ายอ่ ยแต่ทาหนา้ ท่ีดูดซบั น้าทาใหอ้ าหารแหง้ ข้ึน

2.1.3.4 กระเพาะแท้ ( Abomasum หรือ True stomach ) ผนังด้านในมีต่อมมี
ท่อทาหนา้ ที่ผลติ ของเหลวท่ีเป็นน้ายอ่ ย ( Gastric juice ) หรือเอนไซมส์ าหรับยอ่ ยอาหาร

2.1.4 ลาไส้เล็ก ( Small intestine ) เป็ นส่วนของท่อทางเดินอาหารมีลกั ษณะเป็ นท่อ
ตรงยาวประมาณ 40-50 เมตร สามารถแบ่งออกได้เป็ น 3 ส่วนคือ ลาไส้เล็กส่วนตน้ ( Duodenum )
ลาไสเ้ ลก็ ส่วนกลาง ( Jejunum ) และลาไสเ้ ลก็ ส่วนปลาย ( Ileum )

2.1.5 ลาไส้ใหญ่ ( Large intestine ) ประกอบดว้ ยส่วนท่ีสาคัญคือไส้ติ่งหรือไส้ตัน
( Caecum )โคลอน ( Colon )และไสต้ รง ( Rectum ) ในสัตวเ์ ค้ียวเอ้ืองไส้ติ่งมีลกั ษณะเป็ นถุงตนั 2 ถุง
ภายในไส้ติ่งจากมีจุลินทรียอ์ าศยั อยู่เป็ นจุลินทรี ยท์ ี่ใช้อากาศและไม่ใช้อากาศเช่น Lactobacillus,
Streptococcus, Coliform, Clostidium และยสี ต์

2.1.6 ทวารหนัก ( Anus) เป็ นส่วนสุดท้ายของระบบทางเดินอาหารมีส่วนของ
กลา้ มเน้ือหูรูด ( Internal anal sphinter ) ทาหน้าท่ีเปิ ดปิ ดเพื่อการขบั ถ่ายมูลซ่ึงเป็ นของเสียออกจาก
ร่างกาย ( สมปอง,2557 )

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 101

ภาพที่ 5.1 ระบบยอ่ ยอาหารโคเน้ือและกระบือ
ท่ีมา: http://elearning.nsru.ac.th/web_elearning/animals/lesson7_3.php ( 2557 )

3.ประเภทและชนิดของอาหารสัตว์
อาหารสตั วจ์ าแนกตามองคป์ ระกอบทางเคมีและการนาไปใชป้ ระโยชน์เป็น 2 ประเภท คือ
3.1.อาหารข้น ( Concentrate )
อาหารข้นหมายถึงวัตถุดิบอาหารสัตว์หรื ออาหารสัตว์ที่มีเยื่อใยน้อยกว่า 18

เปอร์เซ็นต์ หรือไม่เกิน 18 เปอร์เซ็นต์ และมีโภชนะท่ียอ่ ยไดส้ ูง ไดแ้ ก่วตั ถุดิบอาหารสัตวท์ ี่เป็ นแหล่ง
พลงั งาน วตั ถุดิบอาหารสัตวท์ ี่เป็ นแหล่งโปรตีน วตั ถุดิบอาหารสัตวท์ ่ีเป็ นแหล่งเสริมแร่ธาตุหรือไว
ตามนิ และวตั ถดุ ิบอาหารเสริมต่างๆท่ีไม่ใช่อาหารสตั วห์ รือไมใ่ หโ้ ภชนะแก่สตั วโ์ ดยตรง

3.1.1 ประเภทของอาหารขน้
3.1.1.1 จาแนกตามชนิดและระดบั โภชนะหลกั ได้ 4 ประเภทคือ
1) อาหารพลงั งาน หมายถึงวตั ถุดิบอาหารสตั วท์ ่ีมคี าร์โบไฮเดรตหรือ

ไขมนั สูงมีระดบั โปรตีนในอาหารนอ้ ยกวา่ 20 เปอร์เซน็ ต์ และเยอื่ ใยนอ้ ยกว่า 18 เปอร์เซน็ ตเ์ ป็นอาหารที่
มคี ่าของพลงั งานที่ยอ่ ยไดส้ ูง เช่น เมลด็ ธญั พชื ขา้ ว มนั สาปะหลงั ไขมนั พชื ไขสตั ว์ กากน้าตาล

2) อาหารเสริ มโปรตีน หมายถึงวตั ถุดิบอาหารสัตว์ที่มีโปรตีน
มากกว่า 20 เปอร์เซ็นตแ์ ละเย่ือใยนอ้ ยกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ วตั ถุดิบอาหารสตั วโ์ ปรตีนแหลง่ ที่มาจากพืช
เช่น กากถวั่ ใบกระถิน และแหล่งท่ีมาจากสัตว์ เช่น ปลาป่ น เลือดป่ น ขนไก่ป่ น หรือมาจากโปรตีน
สงั เคราะห์ เช่น กรดอะมโิ นสงั เคราะห์ ยเู รีย

3) อาหารเสริมแร่ธาตุ หมายถึงวตั ถดุ ิบอาหารสตั วท์ ่ีเป็นแหล่งของแร่
ธาตุ ซ่ึงมาจากแหล่งธรรมชาติและผลพลอยไดจ้ ากโรงงาน เช่น เกลอื แกง กระดูกป่ น ไดแคลเซียม
ฟอสเฟต และหินปูน

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 102

4) อาหารเสริ มวิตามิน หมายถึงวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เป็ นแหล่ง
วิตามิน ไดม้ าจากอาหารสตั วโ์ ดยตรงหรือจากการสงั เคราะห์ เช่น วติ ามิน A, D, E น้ามนั ตบั ปลา แหลง่
ของสารแคโรทีน

3.1.1.2 จาแนกลกั ษณะการนาไปใชเ้ ล้ียงสตั ว์ ได้ 2 ประเภทคือ
1) อาหารสตั วผ์ สมสาเร็จรูป ( Formulated ration หรือ

Completedration ) หมายถึงอาหารสมดุลซ่ึงมีโภขนะครบถว้ นตามความตอ้ งการของสัตว์ อาหารสตั ว์
ผสมสาเร็จรูปมักใช้เล้ียงเสริมกับอาหารหยาบ อาจอยู่ในรูปอาหารผงหรืออดั เม็ดก็ได้ ส่วนใหญ่
ประกอบด้วย รา ปลายขา้ ว หรือขา้ วโพดบด กากถวั่ เหลือง กากถว่ั ลิสงหรือกากปาล์ม ปลาป่ น ใบ
กระถินป่ น ไวตามนิ และแร่ธาตุ

2) หัวอาหาร ( Concentrate Feed ) หมายถึงอาหารผสมท่ีมีโภชนะ
เขม้ ขน้ ประกอบดว้ ยอาหารโปรตีนสูงผสมกนั เช่น กากถวั่ เหลือง กากถวั่ ลิสง ปลาป่ น ใบกระถินป่ น
วติ ามนิ และเกลอื แร่ เม่อื จะใชผ้ เู้ ล้ียงจะตอ้ งนาวตั ถุดิบอยา่ งอ่นื ซ่ึงส่วนใหญ่เป็ นวตั ถดุ ิบอาหารสตั วท์ ่ีให้
พลงั งานสูง สามารถหาง่ายในทอ้ งถ่ินมาผสมตามสดั ส่วนท่ีผผู้ ลิตหัวอาหารกาหนดไวจ้ ึงจะไดค้ ุณค่า
ทางอาหารตามที่ตอ้ งการ วตั ถุดิบท่ีตอ้ งนามาผสม เช่น รา ปลายขา้ ว ขา้ วโพดบด

3.2 อาหารหยาบ ( Roughage )
อาหารหยาบ หมายถึงอาหารท่ีมีความเขม้ ขน้ ทางโภชนะต่ามีเยอื่ ใยสูงกวา่ 18

เปอร์เซน็ ตไ์ ดแ้ ก่พืชอาหารชนิดต่างๆ เช่น พชื ตระกลู หญา้ พืชตระกูลถว่ั ผลพลอยไดท้ างการเกษตรและ
อุตสาหกรรมและเศษเหลอื ทางการเกษตร

3.1.1 ประเภทของอาหารหยาบ
3.1.1.1 จาแนกตามชนิดและระดบั โภชนะโปรตนี ได้ 2 ประเภทคือ
1) อาหารหยาบโปรตีนต่า หมายถึงอาหารหยาบท่ีมโี ปรตีนรวมต่า

กว่า 12 เปอร์เซ็นตข์ องวตั ถุแหง้ ไดแ้ ก่ พชื ตระกูลหญา้ ชนิดต่างๆ
2) อาหารหยาบโปรตีนสูง หมายถึงอาหารหยาบที่มโี ปรตนี รวม

มากกวา่ 12 เปอร์เซน็ ตข์ องวตั ถแุ หง้ ไดแ้ ก่ พชื ตระกลู ถว่ั ชนิดต่างๆ
3.1.1.2 จาแนกลกั ษณะการนาไปใชเ้ ล้ียงสตั ว์ ได้ 3 ประเภทคือ
1) อาหารหยาบสด ( Pasture and green forage ) หมายถึง พืชตระกูล

หญา้ และพชื ตระกูลถวั่ ท่ีใหส้ ตั วแ์ ทะเลม็ กินสดหรือตดั สดมาใหก้ ิน เช่น หญา้ ขน หญา้ กินนี หญา้ เนเบียร์
หญา้ พ้ืนเมือง ตลอดจนวสั ดุพลอยไดท้ างการเกษตรและโรงงานเช่น ตน้ และเปลือกข้าวโพด เปลือก
สบั ปะรดยอดออ้ ยชานออ้ ย

2) อาหารหยาบแห้ง ( Dry forage หรื อ Hay ) หมายถึงพืชตระกูล
หญา้ และพืชตระกูลถวั่ ท่ีระเหยน้าออกไปใหเ้ หลืออยใู่ นระดบั 20 เปอร์เซ็นต์ซ่ึงยงั คงคุณค่าทางอาหาร
และเกบ็ รักษาไดใ้ นช่วงฤดูขาดแคลนไดแ้ ก่ หญา้ แหง้ ตน้ และใบถว่ั แหง้ ใบมนั สาปะหลงั แหง้

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 103

3) อาหารหยาบหมกั ( Silage ) หมายถึงพืชอาหารสัตวต์ ระกูลหญ้า
และพืชตระกูลถว่ั ท่ีมีสภาพลาตน้ อวบน้านามาอดั รวมกนั ในภาชนะท่ีไม่มีอากาศ ซ่ึงพืชหมกั จะยงั คง
สภาพอวบน้าและคุณค่าทางอาหารใกลเ้ คียงกบั หญา้ สด สามารถเก็บไวใ้ ชใ้ นฤดูขาดแคลน เช่น หญ้า
หมกั ตน้ ขา้ วโพดหมกั ( เสาวคนธ,์ 2554 )

4.ประเภทและชนิดของวตั ถุดิบอาหารสัตว์
การเลือกใช้วตั ถุดิบแต่ละชนิดในอาหารสัตว์จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบทางเคมีของ

วตั ถดุ ิบ ปริมาณสารพิษท่ีมีอยแู่ ละระดบั ท่ีแนะนาใหใ้ ชใ้ นโคเน้ือและกระบือแต่ละระยะ เพ่ือจะไดส้ ูตร
อาหารท่ีมโี ภชนะครบถว้ นและมีความน่ากินสูง

4.1 การจาแนกวตั ถุดบิ อาหารสัตว์
วตั ถุดิบอาหารสตั วจ์ าแนกตามพระราชบญั ญตั ิควบคุมอาหารสตั วค์ ุณภาพอาหารสตั ว์

แบ่งออกเป็น 2 แหลง่ ใหญ่ ๆ คือ
4.1.1 วตั ถดุ ิบอาหารสตั วท์ ี่เป็นแหลง่ พลงั งาน ไดแ้ ก่
4.1.2.1 ขา้ วโพด ( Corn หรือ Maize )

เมลด็ ขา้ วโพดเป็นวตั ถุดิบอาหารสตั วแ์ หล่งพลงั งานท่ีมคี ่าการยอ่ ยไดส้ ูง ใหพ้ ลงั งานที่ใช้
ประโยชนไ์ ดส้ ูง 3,332 กิโลแคลอรีต่กโิ ลกรัม มีโปรตีน 8- 9 เปอร์เซ็นต์ มีปริมาณ carotene สูง เป็น
แหลง่ วติ ามนิ เอ วติ ามินอี lysine thiamine niacin ปริมาณสูง มีฟอสฟอรัสปานกลางแต่แคลเซียมต่า

ภาพท่ี 5.2 ขา้ วโพดอาหารสตั ว์
ที่มา:อษุ า ( 2557 )

4.1.2.2 มนั สาปะหลงั , มนั เสน้ ( Cassava )
มนั สาปะหลงั ท่ีนามาใชเ้ ล้ียงสตั ว์ มีโปรตีนต่าประมาณ 2.0 เปอร์เซ็นต์ มนั สาปะหลงั สดมี
สารพษิ กรดไฮโดรไซยานิค ( Hydrocyanic acid ) ตอ้ งนาไปผา่ นขบวนการลดสารพษิ โดยการทาเป็นมนั

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 104

เสน้ หรือมนั หมกั หรือผ่งึ แดดใหแ้ ห้ง การใชม้ นั สาปะหลงั ในโคเน้ือและกระบือไม่จาเป็ นตอ้ งผ่านการ
บด สามารถใชใ้ นสูตรอาหารไดถ้ ึง 70 เปอร์เซ็นต์

ภาพที่ 5.3 มนั สาปะหลงั อาหารสตั ว์
ที่มา:อษุ า ( 2557 )

4.1.2.3 ราขา้ ว ( Rice bran หรือ Rice meal ) เป็นแหลง่ อาหารพลงั งานที่สาคญั
ราแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ชนิดคือ ราละเอียด มีโปรตีนประมาณ 12 เปอร์เซน็ ต์ ราหยาบ มโี ปรตีนประมาณ
7-8 เปอร์เซ็นต์และราสกดั น้ามนั มีโปรตีนสูงประมาณ 14- 15 เปอร์เซ็นต์ การสกดั น้ามนั จะมีผลให้
ค่าเฉลยี่ เปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนมคี ่าสูงข้ึน และสามารถเกบ็ รักษาไวไ้ ดน้ านไม่มปี ัญหาการเหมน็ หืน

ภาพที่ 5.4 ราละเอียด
ท่ีมา:อุษา ( 2557 )

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 105

4.1.2.4 กากน้าตาล
เป็นผลพลอยไดจ้ ากอตุ สาหกรรมการทาน้าตาลเป็นแหล่งพลงั งาน มีโปรตีน 3-7 เปอร์เซ็นต์
ไม่ควรใชเ้ กนิ 25 เปอร์เซน็ ต์ มีโพแทสเซียมสูง การใชก้ ากน้าตาลในสูตรอาหารโคเน้ือและกระบือ
ใชไ้ ดถ้ ึง 10-15 เปอร์เซน็ ต์ และช่วงปลายระยะขุนอาจใส่กากน้าตาลเปล่าในภาชนะใหเ้ ลียเพ่อื สะสม
ไขมนั ในซาก( พนั ทิพา,2539 )

ภาพที่ 5.5 กากน้าตาล
ท่ีมา:อุษา ( 2557 )
4.1.2 วตั ถุดิบอาหารสตั วท์ ี่เป็นแหลง่ โปรตีน ไดแ้ ก่

วตั ถุดิบท่ีเป็ นแหล่งโปรตีนจะให้โปรตีนค่อนขา้ งสูงท่ีใชเ้ ล้ียงสตั ว์ สามารถ
จาแนกออกเป็น 4 แหล่งใหญ่ ดงั น้ี

4.1.2.1โปรตีนจากสตั ว์ ไดแ้ ก่
1) ปลาป่ น ( Fish meal )

เป็นแหล่งโปรตีนท่ีดีรองจากผลติ ภณั ฑจ์ ากนม มีโปรตีนสูง 50-65 เปอร์เซ็นต์มกี รดอะมิโนท่ี
จาเป็ นสูงมากโดยเฉพาะไลซีน มีแร่ธาตุแคลเซียม 5-8 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส 3-4 เปอร์เซ็นต์ มี
วติ ามินบีสูง แต่มรี าคาแพงจึงใชเ้ ฉพาะอาหารลูกโคอ่อน

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 106

ภาพท่ี 5.6 ปลาป่ น
ที่มา:อุษา ( 2557 )

2) เน้ือป่ นและผลพลอยไดจ้ ากโรงฆ่าสตั ว์
โปรตีน 50-60 เปอร์เซ็นต์ มีแร่ธาตุสูงโดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวติ ามินบีสูง แต่
วติ ามนิ เอ ดีและกรดแพนโทธีนิกต่า มีไขมนั 8-12 เปอร์เซน็ ตแ์ ละมีพลงั งานที่ยอ่ ยไดส้ ูง

3) ผลติ ภณั ฑจ์ ากนม
มหี ลายรูปแบบเช่น หางนมผง มีโปรตีน 32-35 เปอร์เซ็นต์ เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีมากมีการ
ยอ่ ยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ มีกรดอะมิโนท่ีจาเป็ นครบทุกชนิดและสมดุลตามความตอ้ งการของสัตว์
ไขมนั ต่า 1.3 เปอร์เซ็นต์และขาดกรดไขมนั ท่ีจาเป็ นและวิตามินท่ีละลายในไขมนั มีราคาแพงจึงใช้
เฉพาะอาหารลกู โคอ่อน

ภาพที่ 5.7 หางนมผง
ที่มา:อุษา ( 2557 )

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 107

4.1.2.2โปรตีนจากพืชตระกูลถว่ั ไดแ้ ก่
1) กากถวั่ เหลอื ง

เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชท่ีคุณภาพดีท่ีสุดในกากถวั่ เหลอื งมีสารเจนนิสทีน ( Genistein )
คุณสมบตั ิคลา้ ยฮอรืโมนเอสโตรเจนท่ีชว่ ยกระตุน้ การเจริญเติบโต มโี ปรตีน 41- 44 เปอร์เซน็ ต์ เยอ่ื ใย

ต่านอ้ ยกวา่ 7 เปอร์เซ็นต์ แคลเซียมต่า ฟอสฟอรัสปานกลาง มกี รดอะมิโนมากเหมาะสาหรับใชร้ ่วมกบั

วตั ถดุ ิบพวกเมลด็ ธญั พชื นอกจากน้ียงั มีถวั่ เหลอื งชนิดไมส่ กดั ไขมนั ( Full fat soybean ) มีโปรตีน 36-
38 เปอร์เซ็นต์ ไขมนั 17-18 เปอร์เซน็ ต์ ถวั่ เหลืองดิบมสี ารยบั ยบ้ั ทริปซิน ( Trypsin inhibitor ) สามารถ
ใชค้ วามร้อนทาลายจึงจะชว่ ยเพมิ่ ประสิทธิภาพการใชอ้ าหาร

ภาพที่ 5.8 เมลด็ ถวั่ เหลืองน่ึง
ท่ีมา:อษุ า ( 2557 )

2) กากถวั่ ลิสง ( Peanut meal )
มีโปรตีนสูง 40-50 เปอร์เซ็นต์ เยอื่ ใย 13 เปอร์เซ็นต์ แคลเซียมต่า 0.2 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส
0.65 เปอร์เซ็นต์ สามารถใชใ้ นสูตรอาหารไดถ้ งึ 5-10 เปอร์เซ็นตห์ รือ 30-50 ของกากถว่ั เหลอื งแต่กาก
ถว่ั ลิสงมสี ารพิษ Aflatoxin ซ่ึงเกิดจากเช้ือรา Aspergillus flavus จึงไมค่ วรใชใ้ นสูตรอาหารสตั วเ์ ลก็

3) ใบกระถนิ
ใบกระถนิ แห้งมีโปรตีน 26 เปอร์เซ็นต์ มีโภชนะที่ย่อยได้ 66-70 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณโปรตีน
ผนั แปรตามส่วนกิ่งกา้ นที่ปะปนมากบั ใบกระถินถา้ หากเป็ นใบลว้ นๆจะมีโปรตีนสูงใบกระถินมีสาร
เบตา้ แคโรทีนท่ีเป็ นแหล่งวิตามินเอและสารแซนโธฟิ ลล์ ใบและเมล็ดกระถินสดมีสารพษิ Mimosine
ซ่ึงจุลนิ ทรียข์ องสัตวเ์ ค้ียวเอ้ืองสามารถเปลี่ยนไมโมซินไปเป็ นสารท่ีมีผลยบั ย้งั การผลิตฮอร์โมนไธรอก
ซินทาใหต้ ่อมไธรอยดข์ ยายโตเกิดคอหอยพอกได้ นอดจากน้ีไมโมซินมีผลต่อการทางานของจุลินทรีย์
ในกระเพาะหมกั ทาใหป้ ระสิทธิภาพการยอ่ ยเยอ่ื ใยลดลง สามารถลดพษิ โดยการตากใหแ้ หง้ หรือการแช่
น้าแลว้ ทาใหแ้ หง้ การใชใ้ บกระถนิ ในสูตรอาหารโคเน้ือและกระบือสามารถใชไ้ ดถ้ ึง 40 เปอร์เซ็นต์

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 108

ภาพท่ี 5.9 ใบกระถินแหง้
ที่มา:อษุ า ( 2557 )

4.1.2.3 โปรตีนจากพชื อน่ื ๆ ไดแ้ ก่
1) กากเมลด็ ฝ้าย ( Cottonseed Meal )

มที ้งั ชนิดกระเทาะเปลอื กและไม่กระเทาะเปลอื ก มีโปรตีน 36-48 เปอร์เซน็ ต์ และ 24-30
เปอร์เซน็ ต์ ตามลาดบั เยอ่ื ใย 10-14 เปอร์เซ็นต์ แคลเซียมต่าแต่ฟอสฟอรัสสูง ขาดกรดอะมโิ นพวก
lysine, cystine, methionine และมีสารพษิ Gossypol สามารถลดพษิ ไดด้ ว้ ยความร้อน หรือเสริม
ferrous sulfate ในอาหารขน้ 0.3 เปอร์เซน็ ต์ ในลกู โคเลก็ แนะนาใหใ้ ชไ้ มเ่ กิน 20 เปอร์เซน็ ต์

ภาพท่ี 5.10 กากเมลด็ ฝ้าย
ท่ีมา:อุษา ( 2557 )

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 109

2) กากปาลม์ น้ามนั ( Palm oil meal )
กากปาลม์ น้ ามนั มีโปรตีนย่อยได้ 14-19 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกากเน้ือในเมล็ดปาล์ม ( Palm
kernelcake) จะมีโปรตีน 16 เปอร์เซ็นต์ สามารถนามาเล้ียงโคเน้ือและกระบือได้ถึงระดับ 100
เปอร์เซ็นต์ หรือผสมในสูตรอาหารไดถ้ งึ 30 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีผลต่ออตั ราเจริญเติบโต แต่กากกาก

ปาลม์ น้ามนั มีลกั ษณะหยาบและฟ่ ามสตั วไ์ ม่ชอบกิน

ภาพท่ี 5.11 กากปาลม์ น้ามนั
ที่มา:อุษา ( 2557 )

3) กากเมลด็ ยางพารา ( Rubber seed meal )
เป็ นผลพลอยไดจ้ ากการทาสวนยางพารามีท้งั ชนิดกระเทาะเปลือกและไม่กระเทาะเปลือกมี
โปรตีนต่างกนั โดยกากเมลด็ ยางพาราชนิดกระเทาะเปลือก 26-30 เปอร์เซน็ ต์ มีไขมนั 12 เปอร์เซ็นต์ มี
เยอื่ ใย 9 เปอร์เซน็ ตแ์ ต่มสี ารพิษ Cyanogenic glucoside สามารถลดพษิ ดว้ ยการอบความร้อน 100 องสา
นาน 18 ชว่ั โมงจะลดสารพษิ ได้ 55 เปอร์เซน็ ต์

4) กากมะพร้าว ( Coconut or Copra meal )

ได้จากการสกดั น้ามนั มะพร้าวจากเน้ือมะพร้าวแหง้ ไม่มีส่วนของกะลาแต่มีส่วนของเปลือก
ช้นั ใน เน้ือในมะพร้าวเม่ือแยกเอาน้ามนั ออกแลว้ จะเหลอื ส่วนของกากประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ กาก
มะพร้าวจะมโี ปรตีนประมาณ 20-25 เปอร์เซน็ ต์ มีเยือ่ ใยสูงประมาณ 10-17 เปอร์เซ็นต์ กากมะพร้าวท่ีดี
ควรมีสีน้าตาลอ่อน มกี ลิ่นหอม

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 110

ภาพที่ 5.12 กากมะพร้าว
ท่ีมา:อุษา ( 2557 )

4.1.2.4 โปรตีนจากวตั ถุดิบชนิดอนื่ ๆและสารประกอบไนโตรเจนท่ีไมใ่ ช่โปรตีน
( Non Protein Nitrogen :NPN) ไดแ้ ก่

1) ส่าเหลา้ และกากเบียร์
ส่าเหลา้ เป็ นของเสียท่ีได้จากโรงงานกลนั่ สุรา มีโปรตีน20-29 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณภาพทาง
โปรตีนต่า มีวติ ามินหลายชนิด มีปริมาณซิลิเนียมสูงแต่มีแคลเซียม โซเดียมและโพแทสเซียมต่า
กากเบียร์เป็นส่วนท่ีเหลือจากการสกดั เอาแป้งและน้าตาลออกจากขา้ วมอลต์ มีโปรตีนยอ่ ยได้
20-30 เปอร์เซ็นต์ มีเยอื่ ใยสูง 14-16 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็ นแหลง่ ของวติ ามินบีทุกชนิด สามารถใชใ้ นสุตร
อาหารท่ีใชใ้ นการขนุ ไดถ้ งึ 15-20 เปอร์เซน็ ต์

ภาพที่ 5.13 กากเบียร์อบแหง้
ที่มา:อุษา ( 2557 )

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 111

2) ยเู รีย ( Urea )
เป็นสารประกอบไนโตรเจนที่ไมใ่ ช่โปรตีนท่ีนิยมใชใ้ นสูตรอาหารโคเน้ือและกระบือ มีท้งั ใน
รูป feed grade ซ่ึงมีไนโตรเจน 42 เปอร์เซ็นต์ หรื อโปรตีน 262 เปอร์เซ็นต์ และในรู ปป๋ ุยซ่ึงมี
ไนโตรเจน 46 เปอร์เซน็ ต์ หรือโปรตีน 287 เปอร์เซน็ ต์ สามารถใชใ้ นสูตรอาหารโคกระบือไดไ้ ม่เกิน
1 เปอร์เซน็ ตข์ องวตั ถแุ หง้ และไม่เกิน 3 เปอร์เซน็ ตข์ องน้าหนกั อาหารขน้ ( ภรณี,2554 )

ภาพท่ี 5.14 ยเู รีย
ท่ีมา:อุษา ( 2557 )

5.พืชอาหารสัตว์ทใ่ี ช้ในการเลยี้ งโคเนื้อและกระบือ
การเล้ยี งโคเน้ือและกระบือของประเทศไทยเกษตรกรใหค้ วามสาคญั ในดา้ นอาหารหยาบนอ้ ย

มากไม่ค่อยมีนิยมปลูกพืชอาหารสัตว์ แต่นิยมปล่อยเล้ียงในทุงหญา้ ธรรมชาติ ซ่ึงคุณค่าทางโภชนะจะ
ผนั แปรตามฤดูกาลและสภาพดินท่ีมพี ชื อาหารสตั ว์ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพของสตั ว์

5.1 ความหมาย
พชื อาหารสตั วห์ มายถึงพืชชนิดต่างๆท่ีสามารถใชเ้ ป็นอาหารสตั วเ์ ค้ียวโดยไม่เป็นพิษ

ต่อสตั วแ์ ละสามารถใหโ้ ภชนะท่ีเป็นประโยชน์ต่อร่างกายสตั วใื ชป้ ลกู เพ่ืปล่อยสตั วเ์ ขา้ แทะแลม็ หรือตดั
ใหก้ ินหรือแปรรูปเป็ นหญา้ แหง้ หญา้ หมกั เพื่อเก็บไวก้ ินในฤดูที่ขาดแคลน พืชอาหารสัตวน์ ิยมจาแนก
ได้ 2 ประเภท คือ พชื ตระกลู หญา้ และถวั่ อาหารสตั ว์ ( ชาญชยั ,2554 )

5.1.1 พชื อาหารสตั วต์ ระกูลหญา้
หญา้ เป็ นอาหารของโคเน้ือและกระบือ เพราะหญ้าเป็ นอาหารหยาบหลกั ท่ี

สาคญั โคเน้ือและกระบือตอ้ งกินอาหารหยาบทุกวนั จานวนอาหารหยาบที่ใชเ้ ล้ียงไดม้ าจากพืช เช่น
หญา้ เป็นส่วนใหญ่รองลงมาเป็นถวั่ อาหารสตั ว์ หญา้ มีมากมายหลายชนิดข้ึนอยใู่ นสภาพภูมิอากาศ หญา้
เป็นปัจจยั สาคญั ต่อตน้ ทุนการเล้ยี งโคเน้ือและกระบือของเกษตรกร หญา้ ที่มีคุณภาพดี ปริมาณเพียงพอ

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 112

ทาใหไ้ มจ่ าเป็นตอ้ งเสริมอาหารขน้ มากนกั แต่หากหญา้ มีคุณภาพต่าอาจตอ้ งเสริมอาหารขน้ มากเพื่อให้
เพียงพอกบั ความตอ้ งการของโคเน้ือและกระบือ พืชตระกูลหญ้าที่นิยมปลูกเป็ นอาหารโคเน้ือและ
กระบือ ไดแ้ ก่ ( สายญั ห์,2548 )

5.1.1.1 หญา้ รูซี่ ( Brachiaria ruziziensis )
เป็นหญา้ ที่มอี ายหุ ลายปี ตน้ ก่ึงเล้ือยก่ึงต้งั สามารถเจริญเติบโตในดินที่มคี วามอุดม
สมบูรณ์ต่าได้ ข้นึ ไดด้ ีในพ้นื ที่ดอน ดินมกี ารระบายน้าดี ทนแลง้ พอสมควร ทนต่อการเหยยี บยา่ ของ
สตั ว์ ไม่ทนน้าทว่ มขงั ผลผลิตน้าหนกั แหง้ 2.0- 2.5 ตนั ต่อไร่ปี มโี ปรตีน 7-10 เปอร์เซ็นต์
การปลกู ใชเ้ มลด็ พนั ธุห์ ญา้ รูซี่อตั รา 2 กิโลกรัมต่อไร่ หวา่ นแถวห่างกนั 50 เซนติเมตร
การใส่ป๋ ุย ก่อนปลกู ควรมกี ารใส่ป๋ ุยรองพ้ืนสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-8 อตั รา 50-100 กิโลกรัม
ต่อไร่ และใส่ป๋ ุยคอกร่วมดว้ ย ควรใส่ป๋ ุยยเู รีย ( 46-0-0 ) อตั รา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลงั การตดั ทกุ คร้ัง
การกาจดั วชั พชื ควรมกี ารกาจดั วชั พืชหลงั ปลูกหญา้ 2-4 สปั ดาห์
การใชป้ ระโยชน์ การตดั หญา้ รูซี่ไปใชเ้ ล้ียงสตั ว์ ควรตดั คร้งั แรก 60-70 วนั หลงั ปลูก โดยตดั สูง
จากพ้นื ดิน 10-15 เซนติเมตร สาหรับการปลอ่ ยสตั วเ์ ขา้ แทะเลม็ ในแปลงหญา้ ควรปล่อยเขา้ คร้ังแรกเม่ือ
หญา้ อายุ 70-90 วนั หลงั จากน้นั จึงทาการตดั หรือปลอ่ ยสตั วเ์ ขา้ แทะเลม็ หมนุ เวียนทกุ 30-45 วนั ในช่วง
ฤดูฝนหญา้ โตเร็ว อาจตดั ไดท้ ่ีอายนุ อ้ ยกว่า 30 วนั หญา้ รูซี่เหมาะสาหรับใชเ้ ล้ียงโค กระบือ ในรูปหญา้
สด หญา้ แหง้ หรือหญา้ หมกั

ภาพที่ 5.15 หญา้ รูซี่
ท่ีมา:อุษา ( 2557 )

5.1.1.2 หญา้ กินนีสีม่วง ( Panicum maximum )
เป็นหญา้ ท่ีมีอายหุ ลายปี ลกั ษณะเป็นกอต้งั ตรงแตกกอดีใบดกทนต่อสภาพร่มเงาไดด้ ี
เหมาะสาหรับปลูกบนพ้นื ท่ีดอนมีดินเหนียวจนถึงดินทรายและในพ้ืนที่เขตชลประทาน ปลกู ขยายพนั ธุ์

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 113

ดว้ ยเมลด็ และหน่อพนั ธุต์ อบสนองต่อการใหน้ ้าและป๋ ุยไดด้ ี ใหผ้ ลผลิตน้าหนกั แหง้ ประมาณ 2.5 - 3 ตนั
ต่อไร่ต่อปี มโี ปรตีนประมาณ 8 - 10 เปอร์เซ็นต์ ของน้าหนกั แหง้

การปลกู ปลกู โดยการหว่าน อตั รา 1-2 กิโลกรัมต่อไร่ หรือโรยเมลด็ เป็นแถวระยะหว่างแถว 50
เซนติเมตร ไม่ควรกลบเมลด็ ส่วนการเพาะกลา้ ใชเ้ มลด็ 1 กิโลกรัม เพาะในพ้ืนที่ 200 ตารางเมตรเมอื่
อายตุ น้ กลา้ 1 เดือนใหย้ า้ ยปลกู หลุมละ 3 ตน้ ระยะปลกู 50x50 เซนติเมตรจะปลกู ได้ 3 ไร่ หรือใชแ้ ยก
หน่อจากตน้ เก่ามาปลกู ใชร้ ะยะปลกู 50x50 เซนติเมตรเช่นกนั แต่ตน้ หญา้ จะโตชา้ กวา่ ปลกู ดว้ ยตน้ กลา้

การใส่ป๋ ุย ก่อนปลกู ควรมีการใส่ป๋ ุยรองพ้นื สูตร 15-15-15 ในอตั รา 50 กิโลกรัมต่อไร่
นอกจากน้ีอาจมกี ารใส่ป๋ ุยคอกร่วมดว้ ยเพ่อื เพมิ่ อนิ ทรียวตั ถุในดิน หลงั การตดั ทุกคร้ังควรใส่ป๋ ุยยเู รียใน
อตั รา 10 กิโลกรัมต่อไร่

การกาจดั วชั พืช กาจดั วชั พชื คร้ังแรก 3 - 4 สปั ดาหห์ ลงั ปลกู และหากมีวชั พืชข้ึนมากอาจกาจดั
วชั พืชคร้ังท่ี 2 หลงั จากคร้ังแรก 2 เดือน

การใชป้ ระโยชน์ การตดั หญา้ กินนีสีม่วงเพ่อื นาใหส้ ตั วก์ ินควรตดั คร้ังแรกเมื่อหญา้ มีอายุ 60 วนั
หลงั จากน้นั จึงจะทาการตดั ทกุ ๆ 30-40 วนั โดยตดั สูงจากพ้นื ดิน 10-15 เซนติเมตร เหมาะสาหรับใช้
เล้ียงโค กระบือในรูปหญา้ สด,ทาหญา้ หมกั หรือปลอ่ ยสตั วเ์ ขา้ แทะเลม็ ได้ (จีรวชั ร์และคณะ,2547)

ภาพท่ี 5.16 หญา้ กินนีสีมว่ ง
ท่ีมา:อษุ า ( 2557 )

5.1.1.3 หญา้ อะตราตมั ( Paspalum atratum )
เป็นหญา้ ท่ีมอี ายหุ ลายปี ตน้ ต้งั เป็นกอ กอใหญ่ ใบกวา้ ง ขอบใบคม ทนต่อสภาพดินที่
เป็นดินกรด ทนน้าท่วมขงั ทนแลง้ ผลผลิตน้าหนกั แหง้ 2.5–3.5 ตนั ต่อไร่ต่อปี โปรตีน 7–8 เปอร์เซน็ ต์
การปลูก ใชเ้ มลด็ พนั ธุอ์ ตั รา 1-2 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านหรือโรยเมลด็ เป็นแถว ๆ ห่างกนั 50
เซนติเมตร

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 114

การใส่ป๋ ุย ก่อนปลกู ควรใส่ป๋ ุยสูตร 15-15-15 อตั รา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นป๋ ุยรองพ้ืน และ
ควรใส่ป๋ ุยคอกร่วมดว้ ย ควรใส่ป๋ ุยยเู รีย (46-0-0) อตั รา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลงั การตดั ทุกคร้ัง

การกาจดั วชั พชื กาจดั วชั พืชคร้ังแรกหลงั จากปลกู หญา้ 3-4 สปั ดาห์ และหลงั จากน้ี 1-2 เดือน
กาจดั วชั พืชอีกคร้ังหน่ึง ถา้ มวี ชั พืชข้ึนหนาแน่น

การใชป้ ระโยชน์ หญา้ อะตราตมั มกี ารเจริญเติบโตรวดเร็ว ถา้ ปลอ่ ยไวใ้ หม้ ีอายมุ ากใบจะหยาบ
กระดา้ งและขอบใบคม ควรตดั คร้ังแรกประมาณ 60 วนั หลงั ปลูก และตดั คร้ังต่อไปทุก ๆ 30-40 วนั โดย
ตดั สูงจากพ้นื ดิน 5-10 เซนติเมตร ช่วงฤดูฝนโตเร็ว สามารถตดั ไดท้ ุก 25-30 วนั หญา้ อะตราตมั เหมาะ
สาหรับใชเ้ ล้ยี งโค กระบือ ในรูปหญา้ สด หรือทาหญา้ หมกั แต่ไม่เหมาะสาหรับทาหญา้ แหง้

ภาพที่ 5.17 หญา้ อะตราตมั
ที่มา:อุษา ( 2557 )

5.1.1.4 หญา้ เนเปี ยร์ (Pennisetum purpureum )
เป็นหญา้ ท่ีมอี ายหุ ลายปี สายพนั ธุท์ ่ีนิยมปลูก คือ หญา้ เนเปี ยร์แคระ (P. purpureum cv.
Mott) หญา้ เนเปี ยร์ (ธรรมดา) และหญา้ เนเปี ยร์ลูกผสม (P. Purpureum x P. americanum) ซ่ึงมี 2 สาย
พนั ธุ์ คือ หญา้ เนเปี ยร์ยกั ษ์ และหญา้ บาน่า หญา้ เนเปี ยร์แคระสูง 1-2 เมตร แตกกอดี ใบมาก ส่วนหญา้ เน
เปี ยร์ธรรมดา และเนเปี ยร์ลกู ผสมสูง 3-4 เมตร ทุกสายพนั ธุเ์ จริญเติบโตไดด้ ีในดินที่มคี วามอดุ ม
สมบูรณ์สูง เหมาะสาหรับปลกู ในเขตชลประทาน ผลผลิตน้าหนกั แหง้ 3.0-4.0 ตนั ต่อไร่ต่อปี โปรตีน
8–10 เปอร์เซน็ ต์
การปลกู ปลกู ไดด้ ว้ ยท่อนพนั ธุ์ ระยะปลูก 75x75 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 2 ท่อน ใหข้ อ้ อยใู่ ต้
ดินลึก 1-2 นิ้ว ในพ้ืนที่ 1 ไร่ ใชท้ ่อนพนั ธุ์ 300-500 กิโลกรัม
การใส่ป๋ ุย ก่อนปลกู ควรใส่ป๋ ุยสูตร 15-15-15 อตั รา 50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นป๋ ุยรองพ้นื และควร
ใส่ป๋ ุยคอกร่วมดว้ ย ควรใส่ป๋ ุยยเู รีย (46-0-0) อตั รา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลงั การตดั ทกุ คร้ัง

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 115

การกาจดั วชั พชื ควรกาจดั วชั พชื ภายหลงั จากปลกู หญา้ 2-4 สปั ดาห์
การใชป้ ระโยชน์ การตดั หญา้ เนเปี ยร์ไปเล้ียงสตั ว์ ควรตดั คร้ังแรก 60-70 วนั หลงั ปลกู และตดั หญา้ คร้ัง
ต่อไปทุก 30-45 วนั ช่วงฤดูฝนหญา้ โตเร็ว อาจตดั อายนุ อ้ ยกว่า 30 วนั โดยตดั ชิดดิน หญา้ เนเปี ยร์เหมาะ
สาหรับใชเ้ ล้ยี งโค กระบือ ในรูปหญา้ สด หรือหญา้ หมกั ไมเ่ หมาะสาหรับทาหญา้ แหง้

ภาพท่ี 5.18 หญา้ เนเปี ยร์

ท่ีมา:อษุ า (2557)

5.1.1.5 หญา้ แพงโกลา่ ( Digitaria eriantha )

เป็นหญา้ อายทุ ่ีมหี ลายปี ตน้ ก่ึงต้งั ก่ึงเล้ือย ลาตน้ เลก็ ไม่มีขน ใบเลก็ เรียวยาว ใบดก
ออ่ นนุ่ม เหมาะสาหรับทาหญา้ แหง้ ทนน้าท่วมขงั เจริญเติบโตดีในดินท่ีมคี วามอุดมสมบูรณ์สูง เหมาะ
สาหรับปลูกในเขตชลประทาน ผลผลิตน้าหนกั แหง้ 5.0-7.0 ตนั ต่อไร่ต่อปี โปรตีน 7-11 เปอร์เซน็ ต์

การปลกู ใชท้ ่อนพนั ธุ์ อตั รา 250-300 กิโลกรัมต่อไร่ พ้นื ท่ีล่มุ ทาเทือกแบบนาหว่านน้าตม ปรับ
ระดบั น้าใหส้ ูง 10-15 เซนติเมตร หวา่ นท่อนพนั ธุใ์ หท้ ว่ั แปลง แลว้ นาบกดท่อนพนั ธุใ์ หจ้ มน้า แช่ท้ิงไว้
ประมาณ 1 สปั ดาหแ์ ลว้ ระบายน้าออก พ้นื ท่ีดอน หลงั จากไถพรวนแลว้ ชกั ร่องห่างกนั 30 เซนติเมตร
ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร วางท่อนพนั ธุ์ 3-5 ท่อน เรียงต่อกนั เป็นแถว ใชด้ ินกลบเลก็ นอ้ ยและเหยยี บ

ใหแ้ น่น

การใส่ป๋ ุย ก่อนปลกู ควรใส่ป๋ ุยสูตร 15-15-15 อตั รา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นป๋ ุยรองพ้ืน และ
ควรใส่ป๋ ุยคอกร่วมดว้ ย ในแต่ละรอบของการตดั ควรใส่ป๋ ุยยเู รีย (46-0-0) 2 คร้ัง ๆ ละ 10 กิโลกรัมต่อไร่
คร้ังแรกหลงั ตดั 1 วนั และคร้ังท่ี 2 หลงั ตดั 10-15 วนั

การกาจดั วชั พชื ใชว้ ธิ ีการตดั ปรับทกุ ๆ 45-60 วนั 2-3 คร้ัง หรือใชส้ ารกาจดั วชั พชื 2, 4-D
การใชป้ ระโยชน์ การตดั หญา้ แพงโกลา่ ไปใชเ้ ล้ียงสตั ว์ ควรตดั หญา้ คร้ังแรก 60 วนั หลงั ปลกู
และตดั คร้ังต่อไปทกุ ๆ 40 วนั โดยตดั สูงจากพ้นื ดิน 5-10 เซนติเมตร การปล่อยสตั วเ์ ขา้ แทะเลม็ คร้ังแรก
ควรปล่อยเมอ่ื หญา้ อายุ 90 วนั หญา้ แพงโกล่าเหมาะสาหรับใชเ้ ล้ียงโค กระบือ ในรูปหญา้ สด หญา้ แหง้
หรือหญา้ หมกั (สายนั ต,์ 2548)

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 116

ภาพท่ี 5.19 หญา้ แพงโกลา่ ใบกวา้ ง

ที่มา:อษุ า (2557)
5.1.2 พชื อาหารสตั วต์ ระกูลถว่ั

ถว่ั อาหารสตั วเ์ ป็นอาหารหยาบหลกั ท่ีเป็นแหล่งโปรตีนสาคญั ของโคเน้ือและ
กระบือแบ่งตามลกั ษณะทรงตน้ เป็น 3 กลมุ่ คือ กลมุ่ เถาเล้อื ย เช่นถว่ั เซนโตร ถวั่ เซอราโตร กลุ่มประเภท
ทรงพมุ่ เช่น เวอราโน กล่มุ ประเภทยนื ตน้ เช่น กระถิน แคบา้ น ไมยรา ถวั่ มะแฮะ การจดั ทาแปลงพชื
อาหารสตั วเ์ พอื่ ใหม้ คี ุณภาพดีควรมกี ารปลกู หญา้ สลบั ถว่ั พชื อาหารสตั วต์ ระกลู ถวั่ ทีน่ ิยมใชเ้ ล้ียงสตั ว์
ในเขตร้อน ไดแ้ ก่

5.1.2.1 ถวั่ ฮามาตา้ ( Stylosanthes hamata cv. Verano )
เป็นถว่ั ท่ีมีอายุ 2-3 ปี พ่มุ เต้ียต้งั ตรง แตกก่ิงกา้ นแผค่ ลุมพ้ืนท่ีไดก้ วา้ ง ทนทานต่อสภาพ
แหง้ แลง้ ทนทานต่อการแทะเลม็ เหยยี บยา่ ของสตั วไ์ ดด้ ี ไมท่ นต่อสภาพพ้นื ที่ดินช้ืนแฉะ ไม่ทนน้าทว่ ม
ขงั ผลผลิตน้าหนกั แหง้ 1.5-2.0 ตนั ต่อไร่ต่อปี โปรตีน 16-18 เปอร์เซน็ ต์
การปลกู ใชเ้ มลด็ พนั ธุอ์ ตั รา 1.5-2.0 กิโลกรัมต่อไร่ หวา่ นหรือโรยเป็นแถวๆห่างกนั 30-50

เซนติเมตร ก่อนปลกู ตอ้ งแช่เมลด็ ในน้าร้อนอณุ หภูมปิ ระมาณ 80 องศาเซลเซียส นาน 5-10 นาที
การใส่ป๋ ุย ก่อนปลูกควรใส่ป๋ ุยสูตร 12-24-12 อตั รา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นป๋ ุยรองพ้ืน และ

ควรใส่ป๋ ุยคอกร่วมดว้ ย ในปี ต่อ ๆ ไปควรใส่ป๋ ุยทริปเปิ ลซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-46-0) อตั รา 20-30
กิโลกรัมต่อไร่ ช่วงตน้ ฤดูฝนของทุกปี

การกาจดั วชั พชื กาจดั วชั พืชคร้ังแรกหลงั จากปลกู ถวั่ 3-4 สปั ดาห์ และกาจดั วชั พืชคร้ังที่ 2
หลงั จากคร้ังแรกประมาณ 1-2 เดือน

การใชป้ ระโยชน์ การตดั ถว่ั ฮามาตา้ มาใชเ้ ล้ียงสตั ว์ ควรตดั คร้ังแรก 60-75 วนั หลงั ปลกู โดยตดั
สูงจากพ้ืนดนิ 10-15 เซนติเมตร หรือปลอ่ ยใหส้ ตั วเ์ ขา้ แทะเลม็ คร้ังแรกเม่ือถวั่ อายุ 70-80 วนั หลงั จาก

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 117

น้นั จึงทาการตดั หรือปลอ่ ยสตั วเ์ ขา้ แทะเลม็ เป็นช่วง ๆ ทกุ 30-45 วนั ถว่ั ฮามาตา้ เหมาะสาหรับใชเ้ ล้ยี ง
โค กระบือ ในรูปถวั่ สดหรือแหง้

ภาพที่ 5.20 ถวั่ ฮามาตา้
ที่มา:อุษา (2551)

5.1.2.2 ถวั่ ไมยรา ( Desmanthus virgatus )
เป็นถวั่ มีอายหุ ลายปี เป็นไมพ้ ุ่มค่อนขา้ งต้งั ตรง สูง 2.0–3.5 เมตร ใบและดอกคลา้ ย
กระถิน แต่มขี นาดเลก็ กว่า เจริญเติบโตไดด้ ีในดินที่มคี วามอดุ มสมบูรณ์ค่อนขา้ งสูง ไมท่ นต่อสภาพน้า
ท่วมขงั ไมท่ นดินกรดจดั ผลผลิตน้าหนกั แหง้ 2.0 – 3.0 ตนั ต่อไร่ต่อปี โปรตีน 17-18เปอร์เซน็ ต์
การปลกู ใชเ้ มลด็ พนั ธุอ์ ตั รา 2.0 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถว ๆ ห่างกนั 30-60 เซนติเมตร ก่อนปลกู

ตอ้ งแช่เมลด็ ในน้าร้อนอณุ หภูมิ 80 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที
การใส่ป๋ ุย ควรใส่ป๋ ุยผสมสูตร 12-24-12 อตั ราประมาณ 50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นป๋ ุยรองพ้ืน และ
ควรมกี ารใส่ป๋ ุยคอกร่วมดว้ ย ในปี ต่อ ๆ ไป ควรใส่ป๋ ุยเช่นเดียวกนั กบั ปี แรกในช่วงตน้ ฤดูฝน

การกาจดั วชั พืช ควรกาจดั วชั พชื หลงั จากปลกู 2-4 สปั ดาห์ และหากยงั มีวชั พชื ข้ึนหนาแน่น
ควรมกี ารกาจดั วชั พชื ตามความจาเป็น

การใชป้ ระโยชน์ การตดั ถว่ั ไมยราไปใชเ้ ล้ียงสตั ว์ ควรตดั คร้ังแรก 60-70 วนั หลงั ปลกู และตดั
คร้ังต่อไปทุก ๆ 30-45 วนั โดยตดั สูงจากพ้ืนดนิ ประมาณ 30 เซนติเมตร ถวั่ ไมยราเหมาะสาหรับใชเ้ ล้ียง
โค กระบือ ในรูปถวั่ สด หรือถวั่ แหง้

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 118

ภาพท่ี 5.21 ถวั่ ไมยรา
ที่มา: อษุ า ( 2557 )

5.1.2.3 ถวั่ ท่าพระสไตโล (Stylosanthes guianensis)
เป็นถวั่ ที่มอี ายุ 2–3 ปี พมุ่ ต้งั ขนาดตน้ และทรงพุม่ ใหญ่กว่าถว่ั ฮามาตา้ ตา้ นทานโรคแอนแทคโนส ไม่

ทนดินเค็มและดนิ ด่าง (pH มากกวา่ 8.5) ไมท่ นต่อการแทะเลม็ เหยยี บยา่ ของสตั ว์ หรือตดั บ่อย ๆ

ผลผลิตน้าหนกั แหง้ 1.5 – 2.5 ตนั ต่อไร่ต่อปี โปรตีน 14-18 เปอร์เซน็ ต์
การปลกู ใชเ้ มลด็ พนั ธุอ์ ตั รา 2.0 กิโลกรัมต่อไร่ หวา่ นหรือโรยเป็นแถว ๆ ห่างกนั ประมาณ 30

เซนติเมตร ก่อนปลูกตอ้ งแช่เมลด็ ในน้าร้อนอุณหภูมปิ ระมาณ 80 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที
การใส่ป๋ ุย ควรใส่ป๋ ุยผสมสูตร 12-24-12 อตั รา 50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นป๋ ุยรองพ้ืน และควรใส่

ป๋ ุยคอกร่วมดว้ ย ในปีต่อ ๆ ไป ควรใส่ป๋ ุยทริปเปิ ลซุปเปอร์ฟอสเฟต ( 0-46-0 ) อตั รา 20-30 กิโลกรัมต่อ

ไร่ ช่วงตน้ ฤดูฝนของทุกปี

การกาจดั วชั พชื กาจดั วชั พชื คร้ังแรกหลงั จากปลูกถวั่ 3-4 สปั ดาห์ และหลงั จากน้นั 1-2 เดือน
กาจดั วชั พชื อกี คร้ังหน่ึง ถา้ ยงั มวี ชั พืชข้ึนหนาแน่น

การใชป้ ระโยชน์ การตดั ถว่ั ท่าพระสไตโลไปใชเ้ ล้ียงสตั ว์ ควรตดั คร้ังแรก 80-90 วนั หลงั ปลกู
หลงั จากน้นั ตดั ทุก ๆ 60-75 วนั โดยตดั สูงจากพ้ืนดิน 15-20 เซนติเมตร ถว่ั ท่าพระสไตโลเหมาะสาหรับ
ใชเ้ ล้ียงโค กระบือ ในรูปถว่ั สด หรือถวั่ แหง้

5.1.2.4 ถว่ั คาวาเคด ( Centrosema pascuorum )
เป็นถวั่ ท่ีมอี ายฤุ ดูเดียว เถาเล้อื ย ใบดก มสี ดั ส่วนของใบมากกวา่ ลาตน้ ใบจะไมร่ ่วงหลน่ ง่ายเมื่อ
ทาแหง้ เหมาะสาหรับใชท้ าถวั่ แหง้ อดั ฟ่ อน ใหผ้ ลผลิตน้าหนกั แหง้ ประมาณ 1.0 ตนั ต่อไร่ปี โปรตีน 14-
18 เปอร์เซ็นต์

การปลกู ใชเ้ มลด็ พนั ธุอ์ ตั รา 4.0 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถว ๆ ห่างกนั 25-50 เซนติเมตร

การใส่ป๋ ุย ก่อนปลกู ควรมกี ารใส่ป๋ ุยสูตร 12-24-12 เป็นป๋ ุยรองพ้นื อตั ราประมาณ 50 กิโลกรัม

หน่วยที่ 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 119

ต่อไร่และอาจจะตอ้ งมกี ารใส่ป๋ ุยคอกร่วมดว้ ย

การกาจดั วชั พืช ควรกาจดั วชั พืชเมอื่ ถวั่ มอี ายุ 3-4 สปั ดาห์ และอาจมีการกาจดั วชั พืชอีกคร้ัง
หน่ึงถา้ ยงั มวี ชั พชื ข้ึนหนาแน่น

การใชป้ ระโยชน์ การตดั ถว่ั คาวาลเคดไปใชเ้ ล้ียงสตั ว์ ควรตดั เม่ือถวั่ มีอายุ 60-90 วนั และตดั สูง
จากพ้นื ดิน 10-20 เซนติเมตร สามารถตดั ถวั่ ได้ 2-3 คร้ัง ถว่ั คาวาลเคดเหมาะสาหรับใชเ้ ล้ยี งโค กระบือ
ในรูปถว่ั สด หรือถวั่ แหง้

5.1.2.5 ถว่ั ลิสงเถา ( Arachis glaberata )
เป็นถวั่ ท่ีมีอายหุ ลายปี เจริญเติบโตคลุมดินไดอ้ ยา่ งหนาแน่นข้ึนไดด้ ีในดินที่มคี วาม
อุดมสมบูรณ์ปานกลาง และมคี วามช้ืนสูง ทนต่อสภาพร่มเงาทนต่อการเแทะเลม็ และเหยยี บยา่ ของสตั ว์

ไดด้ ีมาก ขยายพนั ธุด์ ว้ ยเมลด็ และส่วน ของลาตน้ ใหผ้ ลผลติ น้าหนกั แหง้ ประมาณ 1-2 ตนั ต่อปี ต่อไร่
เหมาะสาหรับปล่อยสตั วแ์ ทะเลม็ มีโปรตีนประมาณ 15-21 เปอร์เซน็ ต์

การปลกู ปลูกโดยหยอดเมลด็ เป็นแถวอตั รา 2 กิโลกรัมต่อไร่ ระยะห่างระหว่างแถว 30-50

เซนติเมตร หรือใชท้ ่อน พนั ธุป์ ลูกระยะ ระหวา่ งตน้ และระหว่างแถวห่างกนั 50 เซนติเมตร

การใส่ป๋ ุย ก่อนปลูกควรมีการใส่ป๋ ุยรองพ้ืนสูตร 15-15-15 ในอตั รา 30 กิโลกรัมต่อไร่
นอกจากน้ีอาจมกี ารใส่ป๋ ุยคอก ร่วมดว้ ยเพ่อื เพิ่มอินทรียว์ ตั ถใุ นดิน ในการดูแลรักษาแปลงถว่ั ควรใส่
ป๋ ุยทริปเปิ้ ล ซุปเปอร์ฟอสเฟต ( 0-46-0 ) ในช่วงตน้ ฤดขู องทุกปี ในอตั รา 20 กิโลกรัมต่อไร่

การกาจดั วชั พืช กาจดั วชั พืชคร้ังแรกในระยะ 3-4 สปั ดาหแ์ รกหลงั ปลูก และกาจดั วชั พชื คร้ังที่
2 หลงั จากคร้ังแรกอกี 2 เดือน

การใชป้ ระโยชน์ ควรปลอ่ ยแทะเลม็ คร้ังแรกท่ีถวั่ อายุ 70-90 วนั หลงั จากน้นั จึงจะทาการปล่อย
สตั วแ์ ทะเลม็ ทุก ๆ 30-45 วนั (จีรวชั ร์และคณะ,2547)

ภาพท่ี 5.22 ถวั่ ลสิ งเถา
ท่ีมา: อุษา ( 2557 )

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบอื 120

สรุป
1.อาหารสตั วห์ มายถึงส่ิงท่ีสตั วก์ ินเขา้ ไปแลว้ ไมก่ ่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อสตั ว์ โดยสามารถถกู ยอ่ ย

( Digest ) และดูดซึมในร่างกายสตั ว์ โดยมีประโยชน์เพ่อื ใหส้ ตั วส์ ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในการดารง
ชีพ การเจริญเติบโต การสืบพนั ธุแ์ ละสร้างผลติ ผลต่างๆ

2.ปัจจยั ท่ีมีผลต่อความตอ้ งการโภชนะและปริมาณอาหารท่ีกิน ความตอ้ งการโภชนะของสตั ว์
มีความสมั พนั ธก์ บั ปริมาณอาหารท่ีกินในแต่ละวนั เพราะประสิทธิภาพของการยอ่ ย ปริมาณพลงั งานที่
ใชใ้ นการกิน การยอ่ ย การดูดซึมและการขบั ถา่ ย จะผนั แปรไปตามปริมาณอาหารและมีอทิ ธิพลต่อความ
ตอ้ งการโภชนะเพือ่ การดารงชีพ การกนิ อาหารถูกควบคุมโดยกลไกภายในร่างกายโดยมีปัจจยั ที่เกี่ยว
ขอ้ ง ไดแ้ ก่ ปัจจยั ท่ีเก่ียวกบั ตวั สตั ว์ ปัจจยั ที่เก่ียวกบั อาหาร ปัจจยั ท่ีเกี่ยวกบั สภาพแวดลอ้ มและปัจจยั ท่ี
เกี่ยวกบั การจดั การฟาร์ม

3.ระบบยอ่ ยอาหารโคเน้ือและกระบือ โคและกระบือ เป็ นสตั วส์ ัตวเ์ ค้ียวเอ้อื งเช่นที่กินพืชเป็ น
อาหารหลกั ระบบทางเดินอาหารจึงมีความซบั ซอ้ นกวา่ สตั วก์ ระเพาะเด่ียว ภายในกระเพาะมีจุลินทรีย์
อาศัยอยู่มากมาย ระบบทางเดินอาหาร มีส่วนประกอบที่สาคัญ ได้แก่ ปาก ( Mouth ) คอหอย
( Pharynx ) และหลอดอาหาร ( Esophagus ), กระเพาะรวม ( Compound stomach ) ,ลาไสเ้ ล็ก ( Small
intestine ) ,ลาไสใ้ หญ่ ( Large intestine ),ทวารหนัก ( Anus ) และอวยั วะท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การยอ่ ยและการ
ดูดซึมโภชนะ เช่น ตบั ( Liver ) และตบั ออ่ น ( Pancreas )

4.ประเภทของวตั ถุดิบในอาหารโคเน้ือและกระบือ วตั ถุดิบอาหารสัตวจ์ าแนกตามคุณสมบตั ิ
ทางเคมี รูปร่าง ปริมาตรและการใชป้ ระโยชน์ออกเป็น 2 กลุ่มคือ อาหารขน้ ( Concentrate ) และอาหาร
หยาบ ( Roughage ) อาหารขน้ หมายถึงวตั ถุดิบอาหารสตั วท์ ่ีมเี ย่ือใยนอ้ ยกวา่ 18 เปอร์เซน็ ต์ มีโภชนะที่
ยอ่ ยไดส้ ูงไดแ้ ก่วตั ถดุ ิบอาหารสตั วท์ ่ีเป็นแหล่งพลงั งาน วตั ถุดิบอาหารสตั วท์ ี่เป็นแหล่งโปรตีน วตั ถุดิบ
อาหารสัตว์ที่เป็ นแหล่งเสริมแร่ธาตุหรือวิตามิน และวตั ถุดิบอาหารเสริมต่างๆท่ีไม่ใช่อาหารสัตว์
หรือไม่ให้โภชนะแก่สตั วโ์ ดยตรง ส่วนอาหารหยาบ หมายถึงวตั ถุดิบอาหารสัตวห์ รืออาหารสตั วท์ ่ีมี
ลกั ษณะฟ่ าม ( bulky ) มีเย่อื ใย ( Crude fiber ) สูงกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ และมีโภชนะท่ียอ่ ยไดต้ ่า ไดแ้ ก่
หญา้ และถวั่ ชนิดต่างๆ ตน้ ขา้ วโพด ฟางขา้ ว หญา้ แห้ง หญา้ หมกั เศษเหลือจากการเกษตรและโรงงาน
อตุ สาหกรรมเกษตรต่างๆ

5.ชนิดของพชื ตระกูลหญา้ ท่ีเป็นอาหารสตั วใ์ นเขตร้อน หญา้ เป็นอาหารหยาบหลกั ที่สาคญั โค
เน้ือและกระบือตอ้ งกินอาหารหยาบทุกวนั จานวนอาหารหยาบท่ีใชเ้ ล้ียงไดม้ าจากพืช เช่นหญา้ เป็นส่วน
ใหญ่รองลงมาเป็นถว่ั อาหารสตั ว์ หญา้ มีมากมายหลายชนิดข้ึนอยใู่ นสภาพภูมอิ ากาศ หญา้ ที่เป็นอาหาร
สตั วใ์ นเขตร้อน ไดแ้ ก่ หญา้ ขน หญา้ รูซี่ หญา้ กินนี หญา้ เนเปี ยร์และหญา้ อะตราต้มั เป็นตน้

6.ชนิดของพืชตระกูลถวั่ ท่ีเป็ นอาหารสตั วใ์ นเขตร้อน ถว่ั อาหารสัตวเ์ ป็ นอาหารหยาบหลกั ท่ี
เป็นแหล่งโปรตีนสาคญั ของโคเน้ือและกระบือ พชื อาหารสตั วต์ ระกลู ถวั่ ที่นิยมใชเ้ ล้ยี งสตั วใ์ นเขตร้อน

หน่วยท่ี 5 อาหารโคเน้ือและกระบือ 121

ไดแ้ ก่ กระถิน ไมยรา ถวั่ มะแฮะ ถวั่ เซนโตร ถว่ั เซอราโตร ถวั่ เซนโตรซีมา ถวั่ ลิสงนา ถว่ั คาลวาเคดและ
ถวั่ ฮามาตา้ เป็นตน้


Click to View FlipBook Version