แผนการจัดการเรยี นรู้
แบบฐานสมรรถนะอาชีพและบรู ณาการตามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
รหัส 30000-1303 รายวิชา วิทยาศาสตร์งานไฟฟ้า อเิ ลก็ ทรอนิกส์ และการสือ่ สาร
หลักสตู รประกาศนยี บตั รวิชาชพี ชน้ั สงู
ประเภทวชิ า อตุ สาหกรรม
จดั ทำโดย
นางสาวศรวี ไิ ล มีวงษ์
แผนกวชิ าสามัญสัมพนั ธ์
วิทยาลัยการอาชพี ขุนหาญ
สำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษากระทรวงศกึ ษาธิการ
คำนำ
แผนการจัดการเรียนรู้ มุ่งเน้นฐานสมรรถนะและบูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
วิชาวิทยาศาสตร์เพ่ืองานไฟฟ้าและการส่ือสาร รหัสวิชา 30000–1303 เล่มนี้ได้จัดทำข้ึนเพ่ือใช้เป็นคู่มือ
ประกอบการสอน หรือเป็นแนวทางการสอนในรายวิชาเพ่ือพัฒนาผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามห ลักสูตร
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
กระทรวงศึกษาธกิ าร
การจัดทำได้มีการพัฒนาเพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 6 หน่วย การจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการบูรณาการปรัชญาข องเศรษฐกิจพอเพียง
และคุณธรรมจริยธรรม ไว้ในหน่วยการเรียนรู้ตามความเหมาะสม สอดคล้องกับเน้ือหา มีแบบฝึกหัด
แบบทดสอบหลังเรียน พร้อมเฉลย มีใบกิจกรรมการทดลอง และส่ือการเรียนการสอนต่าง ๆ เพ่ือให้เกิด
ประสทิ ธผิ ลแก่ผู้เรียนมากยง่ิ ขน้ึ
ผู้จัดทำหวังว่าแผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้คงจะเป็นแนวทางและเป็นประโยชน์ต่อครู–อาจารย์
และผู้เรียน หากมีข้อเสนอแนะประการใด ผู้จัดทำยนิ ดีนอ้ มรบั ไวเ้ พื่อปรับปรุงแกไ้ ขในครง้ั ต่อไป
นางสาวศรวี ไิ ล มีวงษ์
พนักงานราชการ (คร)ู
วิทยาลัยการอาชพี ขนุ หาญ
สารบญั
ลักษณะรายวิชา หนา้
ตารางวิเคราะหห์ ลกั สตู ร ก
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 ข
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 1
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 3 6
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 4 11
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 5 17
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6 23
28
ลักษณะรายวชิ า
ท-ป-น 2 -2 -3
รหสั วิชา 30000-1303 ชอ่ื วชิ า วิทยาศาสตร์งานไฟฟา้ อิเลก็ ทรอนกิ ส์
และการสือ่ สาร
หลกั สูตร ประกาศนียบัตรวิชาชพี ชั้นสงู ประเภทวิชา อตุ สาหกรรม
สาขาวชิ า อเิ ลก็ ทรอนิกส์
สาขางาน อิเล็กทรอนกิ ส์อตุ สาหกรรม
จุดประสงคร์ ายวิชา
1. เขา้ ใจหลกั การและการประยุกต์ใช้วทิ ยาศาสตรใ์ นงานไฟฟา้ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ และการส่อื สาร
2. สามารถคำนวณ ทดลอง แก้ปัญหา วางแผน ตรวจสอบ และประยุกต์ใช้กระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ในงานไฟฟา้ อเิ ล็กทรอนิกส์ และการสือ่ สาร
3. มเี จตคตทิ ดี่ ตี ่อวิทยาศาสตร์งานไฟฟา้ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และการส่อื สารกจิ นสิ ัยท่ีดีในงานอาชพี
สมรรถนะรายวิชา
1. แสดงความรเู้ ก่ียวกับเวกเตอร์ แรงและสมดุลของแรง คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ สนามแมเ่ หล็กไฟฟ้า
สารละลาย ปฏกิ ิรยิ าเคมี และไฟฟา้ เคมี
2. คำนวณข้อมูลเก่ียวกับเวกเตอร์ แรง คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า สนามแมเ่ หล็กไฟฟ้า สารละลาย ตาม
หลกั และทฤษฎี
3. ทดลอง ตรวจสอบ และแก้ปัญหา เก่ียวกับแรงและสมดุลของแรง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สารละลาย ปฏิกริ ิยาเคมี และไฟฟ้าเคมี ตามกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
4. ประยุกต์ใช้ความรู้จากการศึกษาวิทยาศาสตร์งานไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และการส่ือสารในงาน
อาชพี
คำอธบิ ายรายวิชา
ศึกษาและปฏิบัติวิทยาศาสตร์งานไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และการส่ือสาร เก่ียวกับเวกเตอร์ แรง
และสมดุลของแรง คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า สนามแม่เหล็กไฟฟ้า สารละลาย ปฏิกิริยาเคมี และไฟฟ้าเคมีใช้ใน
งานอาชีพทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
ตารางวิเคราะหห์ ลักสตู ร
รหัส 30000-1303 วิชา วทิ ยาศาสตร์งานไฟฟ้า อเิ ล็กทรอนิกส์ และการส่ือสาร จำนวน 3 หนว่ ยกติ
ระดบั ประกาศนยี บัตรวิชาชีพช้ันสงู ชั้นปีที่ 1
สาขาวิชา อเิ ลก็ ทรอนิกส์
สาขางาน อเิ ล็กทรอนิกสอ์ ุตสาหกรรม
พทุ ธพิ ิสยั
พฤตกิ รรม
ความรู้ความจำ
ชือ่ หนว่ ย ความเข้าใจ
1. การวดั และปรมิ าณเวกเตอร์ ประ ุยก ์ต-นำไปใ ้ช
2. แรงและสมดุลของแรง ิวเคราะห์
3. คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ สูงก ่วา
4. แม่เหลก็ ไฟฟา้ ทักษะพิสัย
5. สารละลาย จิตพิสัย
6. ปฏกิ ริ ยิ าเคมี รวม
ลำ ัดบความสำ ัคญ
รวม
222 7 3 16 4
ลำดับความสำคัญ 332 6 3 17 3
332 7 4 19 2
333 8 4 21 1
221 6 3 14 5
121 6 3 13 6
14 15 11 40 20
40 12
1
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 1 หนว่ ยที่ 1
ชือ่ วิชา วิทยาศาสตร์งานไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และการสอื่ สาร เวลาเรียนรวม 72 ชม.
30000–1303
ชือ่ หน่วย ปฐมนิเทศ การวดั และปริมาณเวกเตอร์ สอนครัง้ ที่ /18
ชือ่ เรอ่ื ง ปฐมนเิ ทศ การวัดและปริมาณเวกเตอร์ จำนวน 16 ชม.
1. สาระสำคญั
1. การวัด เป็นวิธีการหาขนาดและปริมาณ เป็นกระบวนการหนึ่งในการหาความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ เพ่ือนำผลจากการวัดจากการทดลองไปวิเคราะห์ตัดสินใจสรุปผลการทดลอง การวัดจึงมี
ความสำคัญ เราจะต้องใชเ้ คร่อื งมือและวิธกี ารให้เหมาะสมกบั สง่ิ ทีเ่ ราจะวัด
2. หน่วยของการวัด การวัดปริมาณต่างๆ จะมีลักษณะของสิ่งท่ีจะวัดแตกต่างกันออกไป เช่น
การวัดความยาว การวัดมวล การวัดเวลา ฯลฯ ดังน้ัน หน่วยของการวัดจึงมีความแตกต่างกันออกไป
หนว่ ยของการวัดทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษาด้านวทิ ยาศาสตร์ เรยี กว่า ระบบเอสไอ
3. ปริมาณเวกเตอร์เป็นหัวใจของการเรียนทางด้านกลศาสตร์เพราะเป็นปริมาณท่ีมีท้ังขนาดและ
ทิศทาง ตัวอย่างของปริมาณเหล่าน้ี ได้แก่ แรง ความเร็ว ความเร่ง ฯลฯ ดังนั้นการศึกษาถึงเรื่องของการ
บวกเวกเตอร์ การลบเวกเตอร์ การคูณเวกเตอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญท่จี ะทำให้เราทราบพื้นฐานในการเรียน
กลศาสตรไ์ ดด้ ยี ่ิงข้นึ
2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ (มาตรฐานการเรียนร)ู้
2.1 จุดประสงคท์ ั่วไป
1. เพ่อื ให้มีความรคู้ วามเข้าใจในเรอื่ งการวดั และหนว่ ยของปริมาณเวกเตอร์
2. เพอ่ื ให้ผเู้ รียนสามารถนำความรทู้ ไ่ี ด้ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ในชวี ิตประจำวัน
2.2 จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
1. บอกลักษณะของการวดั และหนว่ ยของปริมาณต่างๆ ได้
2. แยกองค์ประกอบของเวกเตอรแ์ บบต่างๆ ได้
3. หาผลลพั ธข์ องการบวกเวกเตอรแ์ บบต่างๆ ได้
4. หาผลลพั ธ์ของการคณู เวกเตอร์แบบต่างๆ ได้
5. มีการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ท่ีผู้สอน
สามารถสังเกตได้ในด้านความมีมนุษยสัมพันธ์ ความมีวินัย ความรับผิดชอบ ความเช่ือม่ันในตนเอง
ความสนใจใฝร่ ู้ ความรักสามัคคี ความกตัญญกู ตเวที
ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ สุจริต ความมีน้ำใจและแบ่งปัน
ความร่วมมือ/ยอมรบั ความคิดเหน็ ส่วนใหญ่
3. เนอื้ หาสาระ
1. การวัด
2. หนว่ ยของการวดั
3. ปรมิ าณเวกเตอร์
4. องค์ประกอบของเวกเตอร์
5. การบวกเวกเตอร์
6. การคณู เวกเตอร์
4. สอ่ื การเรยี นรู้
1. สื่อการเรียนรู้ ใบกิจกรรม, PowerPoint ประกอบการสอน และแบบทดสอบก่อนเรียน
และหลงั เรียน
2. แหล่งการเรยี นรู้ หนังสือ วารสารวิทยาศาสตร์ไฟฟา้ อิเลก็ ทรอนิกส์ และการสื่อสาร,
www.google.com
5. กระบวนการจดั การเรียนรู้
ขนั้ นำเข้าสู่บทเรยี น
1. ตรวจสอบรายชื่อนกั เรียนที่เข้าเรยี น
2. รว่ มสนทนาทบทวนความรู้เดมิ ของนักเรยี นเกี่ยวกบั เวกเตอร์
3. บอกจดุ ประสงค์ของหน่วยการเรียน
- ใหค้ วามรว่ มมือกับครใู นการตรวจสอบ
- ร่วมสนทนาและแสดงความคดิ เหน็
ขั้นสอน
4. แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มๆ 5-7 กลุ่มให้แต่ละกลุ่มของการทดลองวัดปริมาณต่างๆ ของลูก
ฟุตบอล ลกู บาสเกตบอล ลกู วอลเลย์บอล
- วดั เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง
- วดั เสน้ รอบวง
- วดั มวล
5. ให้นกั ศกึ ษาแตล่ ะกลมุ่ นำเสนอผลการวดั วธิ กี ารวดั และเคร่อื งมือที่ใช้ในการวดั
6. อาจารย์และนักศึกษาร่วมกันอภิปรายถึงเรื่องของการวัดลงข้อสรุปส่ิงท่ีเป็นองค์ประกอบ
ของการวดั
7. อาจารย์ใหน้ ักศึกษาสังเกตตำแหนง่ ของปลายเข็มของอุปกรณท์ ี่อาจารย์นำมาสาธติ ใหด้ ู
Y
กระดาษแขง็ หรอื แผ่นกระดาษแข็งตีตาราง
แผน่ ไม,้โลหะบางๆ กระดาษแข็งหรอื แผน่ ไม้
หมนุ ไดอ้ สิ ระ
X โลหะบางๆ หมนุ ได้อยา่ ง
แผ่นกระดาษ อสิ ระ
แขง็ ตตี าราง
ใหน้ ักศึกษาสงั เกตตำแหนง่ ของปลายเข็มบนแกน x และ y ขณะทีอ่ าจารย์หมุนกระดาษไป
8. ใหน้ ักศึกษารว่ มกันอภปิ รายถึงคา่ ของเงาบนแกน x และ y ขณะทเ่ี ข็มหมนุ ไป
9. อาจารย์นำอภิปรายถงึ การหาองค์ประกอบของเวกเตอรบ์ นแกน x และแกน y โดยใช้
หลกั การหมนุ ของเขม็ ทเ่ี บนไปบนแกน x และ y
ขั้นสรปุ
10. นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายองค์ประกอบของเวกเตอร์บนแกน x และ y
- องคป์ ระกอบของเวกเตอรบ์ นแกน x มากทส่ี ดุ เมื่อใด
- องคป์ ระกอบของเวกเตอร์บนแกน x น้อยที่สดุ เม่ือใด
- องค์ประกอบของเวกเตอรบ์ นแกน y มากทีส่ ดุ เม่ือใด
- องค์ประกอบของเวกเตอร์บนแกน y นอ้ ยท่ีสุดเมอื่ ใด
- องคป์ ระกอบของเวกเตอรบ์ นแกน x และ y เท่ากนั เม่ือใด
- ค่าขององค์ประกอบของเวกเตอร์บนแกน x และ y มีความสมั พนั ธก์ ันอยา่ งไร
11. นกั ศึกษาสามารถลงข้อสรปุ ได้วา่ องค์ประกอบของเวกเตอร์บนแกน x และแกน y
จะสมั พันธก์ บั มุมของเวกเตอร์
12. อาจารย์อธิบายเกยี่ วกับวธิ กี ารคำนวณหาองคป์ ระกอบของเวกเตอร์ ใน 2 มติ ิและ 3 มิติ
13. อาจารย์อธิบายเกย่ี วกับการบวกเวกเตอร์
14. อาจารยอ์ ธบิ ายเกี่ยวกบั การคูณเวกเตอร์
15. อาจารย์ใหน้ กั ศึกษาคน้ คว้าเกี่ยวกบั การนำเรือ่ งเวกเตอร์ไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั
16. ใหน้ ักศึกษาเขยี นแผนท่คี วามคดิ เรื่องปรมิ าณเวกเตอร์
17. ให้นักศึกษาทำแบบประเมินผลการเรียนรู้
- ทำแบบฝกึ หดั หนว่ ยท่ี 1
- บนั ทึกงานที่ได้รับมอบหมาย
6. กระบวนการวดั และการประเมินผล
6.1 เครอ่ื งมือประเมิน
แบบประเมนิ พฤติกรรมการเรียน
สังเกต
ซกั ถาม
แบบฝกึ หดั
ทดสอบย่อย
ใบงาน
6.2 เกณฑก์ ารประเมนิ
1.แบบสงั เกตพฤติกรรมการพูดแสดงความคิดเห็น
2.แบบทดสอบกอ่ นเรียน/หลังเรยี น จำนวน 10 ขอ้
3.แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล เกณฑ์ผา่ น 15 คะแนน
4.แบบทดสอบกอ่ นเรียนไม่มีเกณฑ์ผา่ นเก็บคะแนนไวเ้ ปรียบเทยี บกบั คะแนนท่ีได้
จากการทดสอบหลงั เรยี น
7. แหลง่ การเรียนรู้
1. แหล่งการเรยี นรู้ หนงั สือ วารสารวิทยาศาสตร์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และการสอื่ สาร,
www.google.com
2. เวบ็ ไซตแ์ ละสื่อสงิ่ พมิ พ์ทเี่ ก่ียวข้องกบั เนื้อหาบทเรยี นตามบรรณานกุ รม
8. บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้
8.1 ข้อสรปุ หลงั การจดั การเรยี นรู้
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................... ........................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
8.2 ปัญหาท่พี บ
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
8.3 แนวทางแก้ปญั หา
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
................................................................................................................................. ......................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 หน่วยที่ 2
ชอ่ื วิชา วิทยาศาสตรง์ านไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และการสอ่ื สาร เวลาเรยี นรวม 72 ชม.
30000–1303
ชื่อหน่วย แรงและสมดุลของแรง สอนครัง้ ท่ี /18
ชือ่ เรอื่ ง แรงและสมดุลของแรง จำนวน 16 ชม.
1. สาระสำคญั
แรงเป็นสิ่งที่มากระทำต่อวัตถุทำให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะทางการเคลื่อนที่
กล่าวคือ ถา้ หยุดนิ่งก็จะเกิดการเคล่ือนที่ หรือเคล่ือนทอ่ี ยกู่ ็อาจจะทำใหเ้ คลื่อนทีช่ ้าลงหรอื เรว็ ขึน้ แรงเป็น
ปริมาณเวกเตอร์ และมีหลายชนิดแตกต่างกันออกไป การศึกษาเร่ืองของแรงจึงต้องศึกษาถึงชนิดของแรง
การรวมแรงแบบตา่ งๆ เพอื่ นำมาอธบิ ายหลกั การทางกลศาสตรเ์ บอ้ื งตน้
2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ (มาตรฐานการเรียนร้)ู
2.1 จุดประสงค์ทั่วไป
1.เพ่ือใหม้ ีความรู้ความเขา้ ใจเร่ืองชนดิ แรง การแยกแรงไปในแนวแกนสมมติ การหาคา่ ผลรวมของแรง
2.เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ในชีวิตประจำวนั
2.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
1. บอกชนดิ ของแรงทม่ี ากระทำต่อวตั ถใุ นสภาพตา่ งๆ ได้
2. เขยี น Free Body Diagram ของแรงชนิดตา่ งๆ ได้
3. แยกแรงไปในแนวแกน x, y ได้
4. แยกแรงไปในแนวแกน x, y และ z ได้
5. หาผลรวมของแรงบนระนาบใดระนาบหนึ่งได้
6. หาผลรวมของแรงใน 3 มติ ิได้
7. มีการพฒั นาคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ท่ผี ้สู อนสามารถ
สังเกตได้ในด้านความมมี นุษยสัมพันธ์ ความมวี ินยั ความรับผดิ ชอบ ความเชอ่ื ม่นั ในตนเอง
ความสนใจใฝ่รู้ ความรักสามคั คี ความกตัญญกู ตเวที
ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงตอ่ เวลา ความซื่อสตั ย์ สจุ ริต ความมนี ้ำใจและแบง่ ปัน
ความร่วมมือ/ยอมรับความคิดเหน็ สว่ นใหญ่
3. เนอื้ หาสาระ
1. ชนิดของแรง
2. การแยกแรงไปในแนวแกนสมมติ
3. การหาคา่ ผลรวมของแรง
4. สอ่ื การเรียนรู้
1. ส่ือการเรียนรู้ ใบกิจกรรม, PowerPoint ประกอบการสอน และแบบทดสอบก่อนเรียน และ
หลงั เรยี น
2. แหลง่ การเรยี นรู้ หนงั สือ วารสารวทิ ยาศาสตร์ไฟฟา้ อิเล็กทรอนิกส์ และการส่ือสาร,
www.google.com
5. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นนำเข้าสูบ่ ทเรียน
ข้ันนำเข้าสบู่ ทเรียน
1. ตรวจสอบรายชือ่ นักเรียนทเี่ ข้าเรยี น
2. ร่วมสนทนาทบทวนความรู้เดิมของนักเรยี นเกีย่ วกับปฏิกิรยิ าเคมี และสมการเคมี
3. บอกจดุ ประสงคข์ องหน่วยการเรยี น
- ให้ความร่วมมอื กับครใู นการตรวจสอบ
- รว่ มสนทนาและแสดงความคิดเห็น
ขั้นสอน
1. อาจารยใ์ ห้นกั ศกึ ษาทำกิจกรรมต่อไปน้กี ลางสนามแบ่งนักศึกษาออกเปน็ 3 กลมุ่ จำนวนเทา่ ๆ
กันให้ทงั้ 3 กลุ่มชักเยอ่ กันโดยใช้เชือก 3 เสน้ ผูกตดิ กนั แยกจากกนั ทำมุม 120 องศา และให้
ทงั้ 3 กลุ่มออกแรงดึงพรอ้ มๆ กนั ลองเปล่ยี นมุมไม่เท่ากนั บา้ ง เชน่ 90 องศา กับ 135 องศา,
60 องศากบั 150 องศา สงั เกตผลการทดลอง
2. อาจารย์และนักศึกษาร่วมกนั อภปิ รายผลการทำกิจกรรม
ขน้ั สำรวจและคน้ หา
3. ให้นักศึกษารว่ มกันอภปิ รายถึงลกั ษณะของแรงทเี่ กิดจากการทำกจิ กรรมกลางสนาม
4. อาจารย์และนักศึกษาร่วมกันอภปิ รายถึงเรื่องของการรวมแรงจากการทำกิจกรรมทท่ี ำมุม
แตกต่างกนั ออกไป
ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ
5. นกั ศึกษารว่ มกันอธบิ ายถงึ ผลของการกระทำของแรงเมื่อทำมมุ
120 องศาเทา่ กัน
90 องศากบั 135 องศา
60 องศากับ 150 องศา
6. นักศกึ ษาควรจะสรปุ ได้ว่า
มมุ มีผลต่อการรวมแรง
ถ้าแรง 2 แรงทท่ี ำมุมกันน้อยจะมผี ลรวมของแรงมากกวา่ แรงท่ีทำมุมกันมาก
ข้นั ขยายความรู้
7. อาจารยอ์ ธบิ ายถงึ วธิ ีการแยกแรงไปในแนวแกนสมมติ 2 มิติและ 3 มติ ิ
8. อาจารยอ์ ธบิ ายวิธีการหาผลรวมของแรง ในแนวแกนสมมติแต่ละแกน
9. อาจารย์อธบิ ายถึงวิธกี ารหาผลรวมของแรงโดยใชผ้ ลรวมของแรงในแต่ละแกน
ขนั้ สรปุ
10. นกั ศกึ ษาสามารถอธบิ ายองค์ประกอบของเวกเตอรบ์ นแกน x และ y
องค์ประกอบของเวกเตอร์บนแกน x มากทส่ี ุดเมื่อใด
องคป์ ระกอบของเวกเตอรบ์ นแกน x น้อยท่ีสดุ เม่ือใด
องค์ประกอบของเวกเตอร์บนแกน y มากที่สดุ เม่ือใด
องคป์ ระกอบของเวกเตอรบ์ นแกน y น้อยทสี่ ดุ เมอ่ื ใด
องค์ประกอบของเวกเตอร์บนแกน x และ y เท่ากนั เม่ือใด
ค่าขององคป์ ระกอบของเวกเตอร์บนแกน x และ y มีความสัมพนั ธก์ นั อย่างไร
11. นกั ศึกษาสามารถลงข้อสรปุ ได้วา่ องคป์ ระกอบของเวกเตอรบ์ นแกน x และแกน y จะ
สมั พันธก์ บั มุมของเวกเตอร์
12. อาจารย์อธบิ ายเก่ียวกบั วธิ ีการคำนวณหาองค์ประกอบของเวกเตอร์ ใน 2 มติ ิและ 3 มติ ิ
13. อาจารย์อธบิ ายเกี่ยวกับการบวกเวกเตอร์
14. อาจารย์อธิบายเกีย่ วกบั การคูณเวกเตอร์
15. อาจารย์ให้นักศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกับการนำเร่ืองเวกเตอร์ไปใช้ในชีวติ ประจำวนั
16. ใหน้ กั ศึกษาเขียนแผนท่ีความคดิ เรื่องปรมิ าณเวกเตอร์
17. ใหน้ ักศึกษาทำแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
- ทำแบบฝกึ หัดหนว่ ยท่ี 2
- บันทกึ งานท่ีได้รบั มอบหมาย
6. กระบวนการวัดและการประเมนิ ผล
6.1 เครอื่ งมือประเมิน
แบบประเมนิ พฤติกรรมการเรียน
สังเกต
ซักถาม
แบบฝึกหัด
ทดสอบย่อย
ใบงาน
6.2 เกณฑก์ ารประเมนิ
1.แบบสังเกตพฤติกรรมการพูดแสดงความคิดเห็น
2.แบบทดสอบกอ่ นเรยี น/หลงั เรียน จำนวน 10 ข้อ
3.แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล เกณฑผ์ ่าน 15 คะแนน
4.แบบทดสอบกอ่ นเรยี นไม่มเี กณฑ์ผา่ นเก็บคะแนนไวเ้ ปรยี บเทยี บกบั คะแนนทไี่ ด้
จากการทดสอบหลังเรียน
7. แหลง่ การเรยี นรู้
1. แหลง่ การเรียนรู้ หนงั สือ วารสารวิทยาศาสตร์ไฟฟา้ อิเลก็ ทรอนิกส์ และการส่อื สาร,
www.google.com
2. เวบ็ ไซต์และสอ่ื สิง่ พมิ พ์ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั เน้ือหาบทเรียนตามบรรณานุกรม
8. บันทึกผลหลังการจัดการเรยี นรู้
8.1 ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
8.2 ปัญหาท่พี บ
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
8.3 แนวทางแก้ปญั หา
........................................................................................... ............................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
...................................................................................................... .................................................................
.......................................................................................... .............................................................................
................................................................................................................................................................ .......
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 3 หน่วยท่ี 3
ชอื่ วิชา วิทยาศาสตร์งานไฟฟ้า อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และการส่ือสาร
30000–1303 เวลาเรยี นรวม 72 ชม.
ช่อื หน่วย คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ช่อื เรื่อง คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า สอนคร้ังท่ี /18
จำนวน 8 ชม.
1. สาระสำคัญ
คล่ืนเกิดจากการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance) โดยการทำให้
สนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กมีการเปล่ียนแปลง เม่ือสนามไฟฟ้ามีการเปล่ียนแปลงจะเหน่ียวนำให้เกิด
สนามแม่เหล็ก หรือถ้าสนามแม่เหล็กเกิดการเปลี่ยนแปลงก็จะเหน่ียวนำให้เกิดสนามไฟฟ้า เราเรียกว่า
คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้
2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ (มาตรฐานการเรียนรู้)
2.1 จดุ ประสงคท์ ่ัวไป
เพ่ือให้ผูเ้ รียน มีความรู้ ความเขา้ ใจในเร่ือง คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้
2.2 จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
1. อธิบายความหมายของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ ได้
2. อธบิ ายการเกิดคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าได้
3. อธิบายสเปกตรมั ของคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ได้
4. อธบิ ายความสัมพันธ์ของสเปกตรัมกบั คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ ได้
ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงต่อเวลา ความซ่ือสัตย์ สุจริต ความมีน้ำใจและแบ่งปัน
ความรว่ มมือ/ยอมรับความคดิ เห็นสว่ นใหญ่
3. เน้ือหาสาระ
คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า
1. ความหมายของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า
2. การเกดิ คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
- การเปลี่ยนแปลงสนามแมเ่ หล็กก่อให้เกดิ สนามไฟฟา้
- การเปล่ียนแปลงสนามไฟฟ้าก่อให้เกดิ สนามแม่เหล็ก
3. สเปกตรัมของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้
4. สอ่ื การเรยี นรู้
1. สื่อการเรียนรู้ ใบกิจกรรม, PowerPoint ประกอบการสอน และแบบทดสอบก่อนเรียน และ
หลังเรียน
2. แหล่งการเรยี นรู้ หนงั สอื วารสารวทิ ยาศาสตร์ไฟฟ้า อิเลก็ ทรอนิกส์ และการสื่อสาร,
www.google.com
5. กระบวนการจดั การเรียนรู้
ขน้ั นำเขา้ สูบ่ ทเรยี น
ข้ันนำเขา้ ส่บู ทเรยี น
1. ครชู แ้ี จง้ วัตถุประสงคห์ วั ขอ้ เร่ือง คลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า
2. ครูนำสนทนาและตัง้ คำถามเพ่ือนำเข้าสู่บทเรยี น คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ เกดิ ข้นึ ได้อย่างไร
3. นกั เรียนชว่ ยกนั คดิ และตอบคำถาม
4. ครูสรุปสาระสำคญั ของคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้
5. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
ขน้ั สอน
6. ครูอธบิ ายเรื่อง คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า โดยใช้แผ่นใส
7. ใหน้ กั เรยี นดรู ายละเอยี ดและประเดน็ ทสี่ ำคัญในหนังสือพรอ้ มสงั เกต”สาระนา่ รู้”
8. ให้นกั เรยี นสรุปประเด็นสำคญั และตอบ “ปัญหาน่าคิด”
9. ครูแนะนำใหน้ ักเรียนไปศึกษาค้นควา้ เพิ่มเติมจาก web Guide ในหนงั สอื
10. ให้นักเรยี นทำกจิ กรรมการทดลองที่ เร่ือง สขี องวัตถโุ ปร่งใสสแี ละวตั ถุทึบแสง
11. ครูและนักเรยี นรว่ มกันสรปุ และ อภปิ รายผลการทดลอง พร้อมยกตัวอยา่ งในชวี ิตประจำวนั 12
12. ครูอธิบายชนดิ เกี่ยวกับสเปกตรมั ของคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้
13. ให้นกั เรยี นทำใบงาน
ขัน้ สรปุ
14. ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี น
15. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรุปเน้อื หาที่สำคัญอีกครั้ง
16. เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นซกั ถามข้อสงสยั
17. ให้นกั เรียนอ่านหนังสือเพอื่ เตรยี มตวั ในการทำกิจกรรมในคาบเรยี นต่อไป
6. กระบวนการวัดและการประเมนิ ผล
6.1 เคร่อื งมอื ประเมนิ
เครือ่ งมือวดั ผลตามพทุ ธิพิสัย (8 คะแนน)
1. อธบิ ายความหมายของคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าได้ (2 คะแนน)
2. อธิบายการเกดิ คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าได้ (3 คะแนน)
3. อธิบายสเปกตรัมของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าได้ (3 คะแนน)
เคร่ืองมอื วดั ผลตามทกั ษะพิสัย (6 คะแนน)
1. อธบิ ายความสัมพันธข์ องสเปกตรัมกบั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้ (3 คะแนน)
2. นำความรู้ไปอธบิ ายเหตกุ ารณ์ในชวี ติ ประจำวนั ได้ (3 คะแนน)
เครอ่ื งมอื วัดผลตามจติ พิสัย (6 คะแนน)
1. มคี วามตัง้ ใจและสนใจในการเรยี น
2. มคี วามรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย
3. มีปฏิสัมพนั ธ์ท่ีดตี ่อกลุ่ม
6.2 เกณฑ์การประเมิน
เกณฑก์ ารวัดผลตามพุทธพิ สิ ัย
การตอบคำถามข้อ 1
ความหมายของคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้
คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า (Electromagnetic wave) คือ คลื่นทเี่ กดิ จากการรบกวนทางแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
(Electromagnetic disturbance) โดยการทำให้สนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหลก็ มีการเปลี่ยนแปลง เม่อื
สนามไฟฟา้ มีการเปล่ยี นแปลงจะเหน่ยี วนำให้เกิดสนามแมเ่ หล็ก หรอื ถ้าสนามแมเ่ หลก็ มีการเปลยี่ นแปลงก็
จะเหนี่ยวนำใหเ้ กดิ สนามไฟฟ้า
ถ้าผู้เรยี นตอบได้ถูกตอ้ งให้ 2 คะแนน ถ้าตอบนอกเหนือจากนี้ให้พจิ ารณาตามความเหมาะสม
การตอบคำถามข้อที่ 2
การเกดิ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า
แมกซ์เวลล์ (James Clerk Maxwell) นักฟิสกิ ส์และนักคณติ ศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ ได้รวบรวม
ปรากฏการณแ์ ละผลการทดลองทเ่ี กีย่ วกบั สนามไฟฟา้ และสนามแม่เหลก็ ใชห้ าความสมั พันธข์ องปรมิ าณ
ท้ังสองในรปู ของสมการคณิตศาสตร์ (เวกเตอรแ์ คลคลู ัส) นำไปสู่การทำนายปรากฏการณ์ การเหนย่ี วนำ
แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในอวกาศ กลา่ วคือ การเปล่ยี นสนามแมเ่ หล็กในที่ว่างเปล่าก็จะสามารถเหนย่ี วนำให้เกดิ
สนามแมเ่ หลก็ บริเวณรอบๆ ได้ และการเปล่ยี นแปลงสนามแมเ่ หลก็ กเ็ หนยี่ วนำให้เกดิ สนามไฟฟ้าได้
เชน่ เดยี วกัน ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1. การเปล่ยี นแปลงสนามแม่เหลก็ ก่อให้เกดิ สนามไฟฟ้า
ในการทดลองหาทิศทางของสนามไฟฟ้าเหนยี่ วนำ เม่ือมกี ารเปล่ยี นแปลงสนามแมเ่ หลก็ โดยใช้
กฎมือซา้ ย ใช้หวั แม่มือชี้ทิศทางการเปล่ยี นแปลงสนามแมเ่ หล็ก และนว้ิ ที่กำรอบสนามแมเ่ หล็กจะชี้
สนามไฟฟ้าเหนีย่ วนำ
2. การเปล่ียนแปลงสนามไฟฟา้ กอ่ ใหเ้ กดิ สนามแมเ่ หล็ก
ในการทดลองเราสามารถหาทศิ ทางสนามแมเ่ หลก็ เหน่ียวนำเมอ่ื สนามไฟฟา้ เปล่ยี นแปลงจาก
กฎมอื ขวา ใช้หวั แม่มือขวาชี้ทิศทางการเปลย่ี นแปลงสนามไฟฟา้ น้ิวมือทกี่ ำรอบสนามไฟฟา้ บอกทิศทาง
สนามแมเ่ หล็กเหนี่ยวนำ
ถ้าผ้เู รยี นตอบคำถามตามแนวทางข้างต้นให้ 3 คะแนน ถา้ ตอบนอกเหนือจากน้ีใหพ้ ิจารณาตาม
ความเหมาะสม
การตอบคำถามข้อท่ี 3
สเปกตรัมของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้
สเปกตรัม (Spectrum) ของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า คือ คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าทีม่ ีความถต่ี ่อเนื่องกันตง้ั แต่
ความถีต่ ำ่ สุดไปถึงสูงสุด ซ่ึงจะทำให้มผี ลต่อประสาทสมั ผัสของคนแตกตา่ งกันออกไป
เกณฑ์การวดั ผลตามทักษะพิสัย
การตอบคำถามข้อที่ 1
ความสมั พนั ธข์ องสเปกตรัมกับคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้
สเปกตรมั (Spectrum) ของคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า คือ คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้าท่ีมีความถ่ตี ่อเนือ่ งกันตั้งแต่
ความถีต่ ่ำสุดไปถึงสงู สุด ซ่ึงจะทำให้มผี ลต่อประสาทสัมผัสของคนแตกต่างกนั ออกไป
สเปกตรัมของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้ามีช่ือแตกต่างกนั ออกไปตามแหล่งกำเนดิ ละวธิ กี ารตรวจวัดคลน่ื ใน
ความถีบ่ างชว่ งจะมชี ่อื เรยี กไม่เหมือนกนั ท้งั ท่ีมีความถเ่ี ดียวกัน ท้งั นเี้ นอ่ื งจากแหลง่ กำเนดิ ท่ีตา่ งกันนนั่ เอง
แมกซ์แพลงค์ นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวเยอรมนั ศึกษาเก่ยี วกับคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าสรปุ ว่า “พลงั งานของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแปรผันตรงกับความถี่” สามารถเขียนเป็นสมการได้ว่า E = hv
จากสมการจะพบวา่ พลังงานจะขึน้ อย่กู บั ความถี่ ถา้ ความถี่มากพลังงานก็มาก
ถา้ ผูเ้ รยี นตอบตรงประเด็นให้ 3 คะแนน ถ้าตอบนอกเหนอื จากนีใ้ ห้พจิ ารณาตามความเหมาะสม
การตอบคำถามข้อที่ 2
นำความรู้ไปอธิบายเหตกุ ารณ์ในชีวิตประจำวันได้
ให้ครูพจิ ารณาเรื่องการใช้ความคิด การเปรียบเทยี บ การนำเสนอและการใหเ้ หตผุ ล
ถา้ ผเู้ รียนตอบตรงประเด็นให้ 3 คะแนน ถ้าตอบนอกเหนือจากนีใ้ ห้พจิ ารณาตามความเหมาะสม
7. แหล่งการเรียนรู้
1. แหลง่ การเรียนรู้ หนังสือ วารสารวทิ ยาศาสตร์ไฟฟ้า อิเลก็ ทรอนิกส์ และการส่ือสาร,
www.google.com
2. เวบ็ ไซตแ์ ละสอ่ื สง่ิ พิมพท์ ่เี ก่ียวขอ้ งกบั เน้ือหาบทเรยี นตามบรรณานกุ รม
8. บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้
8.1 ข้อสรุปหลงั การจดั การเรียนรู้
................................................................................................................................ .......................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................... ............................
.......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................... ..............................................
8.2 ปัญหาทีพ่ บ
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
8.3 แนวทางแก้ปัญหา
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 4 หนว่ ยท่ี 3
ช่ือวิชา วิทยาศาสตรง์ านไฟฟ้า อเิ ลก็ ทรอนิกส์ และการสอื่ สาร
30000–1303 เวลาเรียนรวม 72 ชม.
ช่ือหน่วย คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ช่ือเรื่อง คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า (ต่อ) สอนคร้งั ท่ี /18
จำนวน 8 ชม.
1. สาระสำคญั
คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เป็นคล่ืนท่ีไมอ่ าศัยตัวกลางในการเคล่ือนท่ี มีความถ่ีต่อเนื่องกนั เรยี กว่า
สเปกตรมั ของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า โดยเนน้ ทค่ี ล่ืนวิทยุ ซงึ่ มีประโยชนม์ ากในชีวติ ประจำวัน
2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (มาตรฐานการเรียนรู้)
2.1 จุดประสงคท์ ่ัวไป
เพ่ือให้ผู้เรยี น มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าการจำแนก และบรรยาย
คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า
3.2 จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
1. จำแนก และบรรยาย คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ เป็นคลืน่ ชนดิ หน่ึงท่ีเคล่อื นทโ่ี ดยไม่อาศยั ตวั กลาง
2. อธิบาย ลกั ษณะ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า
3. สงั เกต ภาพ คล่ืน แม่เหล็กไฟฟ้า ประกอบดว้ ยสนามแม่เหลก็ และสนามไฟฟ้า
4. จำแนก และอธบิ ายสเปกตรัมคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้
5. สำรวจ ตรวจสอบ และอภิปราย
ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ สุจริต ความมีน้ำใจและแบ่งปัน
ความร่วมมือ/ยอมรับความคดิ เหน็ สว่ นใหญ่
3. เน้อื หาสาระ
คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นคลนื่ ชนิดหน่ึงท่ีเคลื่อนท่ีโดยไม่อาศัยตัวกลาง คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ มีสมบัติ
พื้นฐาน การสะท้อน การหักเห การแทรกสอด การเลี้ยวเบน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประกอบด้วย
สนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ซึ่งมีความสัมพันธ์กันและเปล่ียนแปลงตลอดเวลา ทิศของสนามทั้งสองต้ัง
ฉากกันและตั้งฉากกับทศิ การเคล่ือนท่ี
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีช่วงความถต่ี ่อเนื่องกันเป็นสเปกตรมั ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า โดยเรียงลำดับ
ความถ่ีตำ่ ไปความถส่ี ูง คือ คลน่ื วิทยุ ไมโครเวฟ รงั สีอินฟราเรด แสงท่ีตามองเห็น รงั สีอลั ตราไวโอเลต รงั สี
เอกซ์ และรงั สแี กมมา
คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าจัดเป็นคลื่นตามขวาง โดยพิจารณาจากการที่สนามแม่เหล็ก และสนามไฟฟ้ามี
ทิศต้ังฉากกันเสมอและตั้งฉากกับทิศของการเคล่ือนที่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าด้วย คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า
เคล่ือนทโ่ี ดยไม่อาศยั ตัวกลาง ตวั อย่างเชน่ การสื่อสารบนสถานีอวกาศท่ดี วงจันทรก์ ับโลก
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้ประโยชน์มาก ในชีวิตประจำวัน คือ คลื่นวิทยุ ในช่วงความถี่ ถึง เฮริตช์
โดยคล่ืนวิทยุ ซ่งึ ทำหน้าทีเ่ ปน็ คล่ืนพาหะนำขา่ วสารที่เปลยี่ นเป็นสัญญาณไฟฟา้ ผสมเป็นคล่นื แล้วส่งไปยัง
สายอากาศ การผสมสญั ญาณไฟฟา้ กบั คลน่ื วิทยมุ ี 2 ระบบ คือ เอเอ็ม AM และ เอฟเอม็ FM 510910
4. สอ่ื การเรียนรู้
1. ส่ือการเรียนรู้ ใบกิจกรรม, PowerPoint ประกอบการสอน และแบบทดสอบก่อนเรียน และ
หลงั เรยี น
2. แหลง่ การเรียนรู้ หนงั สือ วารสารวทิ ยาศาสตร์งานไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และการสือ่ สาร,
www.google.com
5. กระบวนการจดั การเรียนรู้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
ครูเตรียมไมคล์ อย แล้วพูดให้เกดิ เสียงดงั ทีว่ ทิ ยุหรือเครื่องรับ แลว้ ถามว่าสัญญาณจากเครอื่ งส่ง
มาถงึ เครอ่ื งรับได้อย่างไร จากนั้นถามต่อว่าโทรศัพทม์ ือถือท่ีนกั เรียนใช้ มกี ารส่งสญั ญาณอยา่ งไร
ขน้ั สอน
ครูและนักเรยี นรวมกันอภิปรายเพ่ือใหไ้ ด้ข้อสรุปวา่ เกิดจากคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้
3. ขั้นสรุป
นักเรียนทำใบงานที่ 1 เพ่ือศึกษาส่วนประกอบของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า และตอบคำถามได้ว่า
คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ มีสว่ นประกอบอย่างไร
นกั เรียนทำใบงานที่ 2 เพอ่ื ศึกษาว่า คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า ประกอบด้วยความถ่ีต่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง
เรียกว่า สเปกตรัมของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า ครูให้ความรู้ตามหนังสือเรียน ทำให้นักเรียนเข้าใจ และ
อภิปรายได้ว่า คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ เกยี่ วข้องกับชีวติ ประจำวนั อย่างไร
นักเรียนทำกิจกรรมที่ 3.3 สืบค้นข้อมูล เร่ืองคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ
แหล่งกำเนิดและการผลิตคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมไปถึงการใช้ประโยชน์และผลของการใช้ท้ังคุณและโทษ
แล้วนำเสนอขอ้ มูลตอ่ ชั้นเรยี น (กจิ กรรมท่ี 3.3 ในหนงั สือเรียน)
6. กระบวนการวัดและการประเมนิ ผล
6.1 เครือ่ งมือประเมิน
แบบประเมนิ พฤติกรรมการเรียน
สังเกต
ซักถาม
แบบฝกึ หัด
ทดสอบย่อย
ใบงาน
6.2 เกณฑ์การประเมนิ
1.แบบสงั เกตพฤติกรรมการพูดแสดงความคิดเหน็
2.แบบทดสอบก่อนเรยี น/หลงั เรยี น จำนวน 10 ขอ้
3.แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล เกณฑผ์ า่ น 15 คะแนน
4.แบบทดสอบกอ่ นเรียนไม่มเี กณฑผ์ ่านเกบ็ คะแนนไวเ้ ปรยี บเทยี บกับคะแนนท่ไี ด้
จากการทดสอบหลงั เรียน
7. แหล่งการเรยี นรู้
1. แหลง่ การเรยี นรู้ หนงั สือ วารสารวิทยาศาสตร์ไฟฟา้ อิเลก็ ทรอนิกส์ และการสื่อสาร,
www.google.com
2. เว็บไซตแ์ ละส่อื สิง่ พมิ พ์ที่เกี่ยวขอ้ งกบั เนื้อหาบทเรียนตามบรรณานุกรม
ใบงานท่ี 1
จดุ ประสงค์ เพือ่ ให้นักเรียนศึกษาส่วนประกอบคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า
• ตัดตามรอยประ เสยี บใหเ้ ป็นรูปคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ตามรูป
.
สนามไฟฟ้าและสนามแมเ่ หล็ก มที ิศต้ังฉากกันและตงั้ ฉากกับทิศของการเคลื่อนท่ี โดยทิศของ ช้ขี ้นึ ชเ้ี ข้า
หาตวั ทศิ การเคล่ือนท่ีไปทางขวามือ
หมายเหตุ : สามารถนำรูปดงั กลา่ วถา่ ยเอกสารลงบนแผ่นใส
8. บนั ทึกผลหลังการจัดการเรยี นรู้
8.1 ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้
........................................................................................................................................ ...............................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................... ....................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................... ........................................................
8.2 ปัญหาทีพ่ บ
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
8.3 แนวทางแก้ปญั หา
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 5 หนว่ ยที่ 5
ชือ่ วิชา วิทยาศาสตร์งานไฟฟ้า อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และการสอ่ื สาร
30000–1303 เวลาเรียนรวม 72 ชม.
ชอื่ หน่วย สารละลาย
ชือ่ เร่ือง สารละลาย สอนครง้ั ที่ /18
จำนวน 8 ชม.
1. สาระสำคัญ
สารละลาย หมายถึง การผสมสารตั้งแต่ 2 ชนิดข้ึนไปเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วยตัวทำ
ละลาย และตัวถูกละลาย ซึ่งมีได้ท้ัง 3 สถานะคือของแข็ง เช่น ทองแดง ของเหลว เช่น น้ำเชื่อมและก๊าซ
เช่นอากาศ สารละลายมี 3 ชนิดคือสารละลายเจือจาง สารละลายเข้มข้นและสารละลายอ่ิมตัว การ
ละลายของสารละลายยังมีปัจจัยท่ีมีผลต่อการคือ ธรรมชาติของตัวทำละลายและตัวถูกละลาย อุณหภูมิ
และความดัน การบอกความเข้มข้นของสารละลาย บอกเป็นร้อยละโดยมวล ร้อยละโดยปรมิ าตร ร้อยละ
โ ด ย ม ว ล ต่ อ ป ริ ม า ต ร โ ม ล า ริ ตี
และสว่ นในล้านส่วน
2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ (มาตรฐานการเรียนรู้)
2.1 จดุ ประสงคท์ ่ัวไป
1. แสดงความรูเ้ ก่ยี วกบั สารละลาย
2. ปฏิบัตกิ จิ กรรมเก่ยี วกับสารละลาย
2.2 จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
1. บอกความหมายของการละลายได้
2. บอกชนดิ ของสารละลายได้
3. บอกปจั จยั ท่มี ีผลตอ่ การละลายได้
4. บอกความเขม้ ขน้ ของสารละลายได้
ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม/บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝ่รู้ ไม่หยุดน่งิ ที่จะแกป้ ัญหา ความซอ่ื สัตย์
ความรว่ มมอื
3. เน้อื หาสาระ
7.1 ความหมายของสารละลาย
สารละลาย (Solution) หมายถึงการผสมสารต้ังแต่ 2 ชนิดข้ึนไปเป็นเน้ือเดียวกัน ซ่ึง
ประกอบ ด้วยตัวทำละลาย และตัวถูกละลาย ซ่ึงสารท่ีผสมแล้วมีได้ท้ัง 3 สถานะคือของแข็ง (เช่น
ทองแดง) ของเหลว (เช่นนำ้ เช่อื ม) และก๊าซ (เช่นอากาศ)
7.2 ชนิดของสารละลาย
7.2.1 สารละลายเจอื จาง (Diluted Solution)
7.2.2 สารละลายเข็มข้น (Concentrated Solution)
7.2.3 สารละลายอ่มิ ตัว (Saturated Solution)
7.3 ปัจจยั ที่มีผลต่อการละลาย
7.3.1 สมบตั ขิ องตวั ถูกละลายและสมบัติของตัวทำละลาย
7.3.2 อุณหภูมิ
7.3.3 ความดัน
7.4 ความเข้มขน้ ของสารละลาย
7.4.1 ร้อยละโดยมวล
7.4.2 ร้อยละโดยปริมาตร
7.4.3 ร้อยละโดยมวลต่อปรมิ าตร
7.4.4 โมลาริตีหรอื โมลาร์
7.4.5 ส่วนในลา้ นสว่ น
4. สอ่ื การเรียนรู้
1. ส่ือการเรียนรู้ ใบกิจกรรม, PowerPoint ประกอบการสอน และแบบ ทดสอบก่อนเรยี น และ
หลังเรียน
2. แหลง่ การเรียนรู้ หนงั สอื วารสาร เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์งานไฟฟ้าและการส่อื สาร อินเทอร์เน็ต
www.google.com
5. กระบวนการจดั การเรียนรู้
กจิ กรรมการเรียนรู้
ข้ันนำ
1. เตรียมความพร้อมในการเรียนโดยการเรียกช่ือสำรวจการแต่งกายพร้อมบันทึกลงในแบบ
สังเกต ความมวี ินัย และความรับผิดชอบ
2. นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรียน
3. แบ่งกลุ่มนกั ศกึ ษาเป็นกลุม่ ๆ ละ 5 คน
4. ครนู ำเขา้ สบู่ ทเรียน และครูแจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียน
ขน้ั สอน
5. ครูสอนเนื้อหาสาระ
6. นักศกึ ษาทำกิจกรรม ขณะนกั ศึกษาทำกจิ กรรมครูจะสงั เกตการทำงานกลุ่ม
ขนั้ สรุป
7. ครแู ละนกั ศึกษาร่วมกนั เฉลยกิจกรรม และร่วมอภปิ รายสรปุ บทเรียน
กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขน้ั นำ
1. เตรียมความพร้อมในการเรียนโดยการเรียกช่ือสำรวจการแต่งกายพร้อมบันทึกลงในแบบ
สังเกต ความมวี ินยั และความรบั ผดิ ชอบ
2. ข้ันนำเข้าส่บู ทเรยี น
2.1 ครูทบทวนเนือ้ หาทีเ่ รยี น
2.2 ครูแจง้ จุดประสงค์การเรียน
2.3 นักศึกษาจดั กลมุ่ ๆ ละ 5 คน
ขนั้ สอน
3. สอนเนือ้ หาสาระ
4. นักศกึ ษาทำกิจกรรม ขณะนกั ศึกษาทำกจิ กรรมครูจะสงั เกตการทำงานกลมุ่
ขนั้ สรุป
5. ครแู ละนักศึกษาร่วมกันเฉลยกจิ กรรม และร่วมอภิปรายร่วมกัน
6. นักศกึ ษาทำแบบทดสอบหลงั เรยี น
6. กระบวนการวดั และการประเมินผล
1. การวัดผลและการประเมินผล
1. แบบประเมินพฤติกรรม ความมีวนิ ยั และความรบั ผดิ ชอบ
2. แบบทดสอบหลังเรยี น/หลังเรยี น
3. สงั เกตการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ โดยใชแ้ บบประเมนิ ผล การปฏิบตั ิกจิ กรรมกลุ่ม
4. ตรวจกจิ กรรมการทดลอง
5. ตรวจแบบฝกึ หดั
2. เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล
1. แบบประเมินพฤติกรรม ความมีวนิ ัย และความรับผดิ ชอบ ต้องได้คะแนน ไม่น้อยกวา่ รอ้ ย
ละ 60 ผา่ นเกณฑ์
2. แบบทดสอบหลงั เรยี น ต้องไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 50 ผ่านเกณฑ์
3. สังเกตการปฏิบัตกิ ิจกรรมกลุ่มโดยใช้แบบประเมินผล การปฏิบัตกิ ิจกรรมกลุม่ ตอ้ งได้
คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
4. ตรวจกิจกรรมการทดลอง ไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
5. ตรวจแบบฝึกหดั ไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 50 ผ่านเกณฑ์
7. แหลง่ การเรยี นรู้
1. แหล่งการเรยี นรู้ หนงั สือ วารสารวิทยาศาสตร์งานไฟฟ้า อเิ ล็กทรอนกิ ส์ และการส่อื สาร,
www.google.com
2. เวบ็ ไซต์และส่อื สง่ิ พิมพท์ ่ีเก่ียวข้องกับเน้ือหาบทเรยี นตามบรรณานกุ รม
8. บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้
8.1 ข้อสรปุ หลังการจดั การเรยี นรู้
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.................................................................................................................... ...................................................
8.2 ปัญหาท่พี บ
................................................................................................................................................ .......................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................... ............
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
8.3 แนวทางแก้ปัญหา
................................................................................................................................................ .......................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................... ............
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 6 หน่วยที่ 6
ชื่อวิชา วทิ ยาศาสตรง์ านไฟฟ้า อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และการสือ่ สาร เวลาเรียนรวม 72 ชม.
30000–1303
ช่อื หน่วย ปฏิกิริยาเคมี สอนคร้ังที่ /18
ชือ่ เรือ่ ง ปฏิกริ ยิ าเคมี จำนวน 12 ชม.
1. สาระสำคญั
ปฏิกิริยาเคมีเกิดจากสารตั้งต้น ทำปฏิกิริยากันแล้วได้สารใหม่เรียกกว่าผลิตภัณฑ์ ซ่ึงมีปฏิกิริยา
หลายชนิดท่ีพบได้ในชีวิตประจำวัน บางปฏิกิริยาจะคายพลังงานความร้อนออกจากระบบให้กับ
ส่ิงแวดล้อมเรียกว่า ปฏิกิริยาคายความร้อน บางปฏิกิริยาจะดูดพลังงานความร้อนจากส่ิงแวดล้อมเข้าสู่
ระบบ เรียกว่าปฏิกิริยาดูดความร้อน ปฏิกิริยาเคมี มีหลายชนิด เช่นปฏิกิริยาการรวมตัว ปฏิกิริยาการ
แทนท่ี ปฏิกิริยาการแลกเปลี่ยนและปฏิกริ ิยาการเผาไหม้
ในการเกิดปฏิกิริยาจะเกิดเร็วหรือเกิดช้า ขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ชนิดของสารตั้งต้น ความเข้มข้น
ของสารต้ังต้น อุณหภูมิ พื้นที่ผิวของสารต้ังต้น ความดันและตัวเร่งปฏิกิริยา ซ่ึงการเกิดปฏิกิริยาเคมีเรา
สามารถพบได้ในชวี ติ ประจำเป็นประจำเชน่ การเผาไหม้ เหลก็ เกดิ สนมิ เปน็ ต้น
2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (มาตรฐานการเรยี นรู้)
2.1 จดุ ประสงค์ท่ัวไป
1. แสดงความรเู้ กยี่ วกับปฏิกิรยิ าเคมี
2. ปฏิบตั ิกจิ กรรมเกีย่ วกบั ปฏกิ ิริยาเคมี
2.2 จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
1. บอกความหมายของปฏกิ ริ ิยาเคมีได้
2. บอกชนิดของปฏิกริ ิยาเคมีได้
3. บอกความหมายอัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีได้
4. บอกปัจจยั ที่มผี ลตอ่ การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีได้
5. ยกตวั อย่างปฏกิ ิรยิ าเคมใี นชีวิตประจำวันได้
ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
แสดงออกด้านการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝร่ ู้ ไม่หยดนิง่ ทจี่ ะแก้ปัญหา ความซ่ือสัตย์ ความ
ร่วมมอื
3. เนอื้ หาสาระ
3.1 ความหมายปฏกิ ิริยาเคมี
ปฏิกิริยาเคมี (reaction) คือกระบวนการเปล่ยี นแปลงของสารตงั้ ต้น แล้วเกดิ สารใหม่ขึ้นมา
ซ่ึงสารใหม่ท่ีเรียกว่า "ผลิตภัณฑ์" (product) สารใหม่มีคุณสมบัติเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่เหมือนสารเดิมไม่
สามารถทำกลับเป็นสารเดิมได้หรือทำได้ยาก เช่น เหล็กเกิดสนิม สารต้ังต้น คือ เหล็ก กับแก๊สออกซิเจน
ได้สารผลิตภัณฑ์คอื เหล็กออกไซด์ ซ่ึงเปน็ สารใหมท่ ำกลบั เปน็ สารเดิมไมไ่ ด้
3.2 ชนิดของปฏกิ ิรยิ าเคมี
3.2.1 ปฏกิ ริ ิยาดดู พลังงานความรอ้ น (Endothermic Reaction)
3.2.2 ปฏิกริ ิยาคายพลังงานความร้อน (Exothermic Reaction)
3.3 อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี หมายถึง ปริมาณของสารตั้งต้นท่ีลดลงต่อหน่ึงหน่วยเวลาหรือ
ปริมาณของสารผลติ ภัณฑ์ทเ่ี กิดขึน้ ต่อหนงึ่ หน่วยเวลา
3.4 ปัจจัยทีม่ ีผลตอ่ การเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
3.4.1 ชนดิ ของสารต้ังตน้
3.4.2 ความเข้มข้นของสารต้ังต้น
3.4.3 อณุ หภมู ิ
3.4.4 พน้ื ที่ผิวของสารต้ังตน้
3.4.5 ความดัน
3.4.6. ตวั เร่งปฏิกิริยา
3.5 ปฏิกิริยาเคมใี นชวี ติ ประจำวัน
3.5.1 ปฏิกิริยาการเผาไหม
3.5.2 ปฏิกริ ยิ าการเกดิ สนมิ
3.5.3 ปฏิกิรยิ าการเกิดฝนกรด
8.5.4 ปฏกิ ิริยาโลหะกับกรด
3.5.5 ปฏกิ ิรยิ ากรดกบั สารคารบ์ อเนต
4. สอ่ื การเรียนรู้
1. ส่ือการเรียนรู้ ใบกิจกรรม, PowerPoint ประกอบการสอน และแบบ ทดสอบก่อนเรยี น และ
หลังเรยี น
2. แหล่งการเรียนรู้ หนังสือ วารสาร เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์งานไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และการ
สื่อสาร อนิ เทอร์เน็ต www.google.com
5. กระบวนการจดั การเรียนรู้
กิจกรรมการเรยี นรู้
ข้ันนำ
1. เตรียมความพร้อมในการเรียนโดยการเรียกช่ือสำรวจการแต่งกายพร้อมบันทึกลงในแบบ
สังเกต ความมีวนิ ัย และความรับผดิ ชอบ
2. นักศกึ ษาทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน
3. แบง่ กลมุ่ นกั ศึกษาเป็นกลุ่มๆ ละ 5 คน
4. ครนู ำเขา้ สูบ่ ทเรียน และครแู จง้ จุดประสงค์การเรยี น
ขน้ั สอน
5. ครูสอนเนอ้ื หาสาระ
6. นักศึกษาทำกิจกรรม ขณะนกั ศึกษาทำกจิ กรรมครจู ะสงั เกตการทำงานกลุ่ม
ขนั้ สรุป
7. ครแู ละนกั ศกึ ษารว่ มกันเฉลยกิจกรรม และรว่ มอภปิ รายสรปุ บทเรียน
กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขน้ั นำ
1. เตรียมความพร้อมในการเรียนโดยการเรียกช่ือสำรวจการแต่งกายพร้อมบันทึกลงในแบบ
สงั เกต ความมีวินัย และความรบั ผิดชอบ
2. ข้นั นำเข้าสบู่ ทเรยี น
2.1 ครทู บทวนเนอ้ื หาท่เี รยี น
2.2 ครแู จง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี น
2.3 นกั ศกึ ษาจดั กล่มุ ๆ ละ 5 คน
ขนั้ สอน
3. ขน้ั สอนเน้อื หา
4. นักศึกษาทำกิจกรรม ขณะนกั ศึกษาทำกจิ กรรมครจู ะสงั เกตการทำงานกลมุ่
ขน้ั สรปุ
5. ข้ันสรปุ ครแู ละนกั ศึกษาร่วมกนั เฉลยกจิ กรรม และรว่ มอภิปรายร่วมกนั
6. นักศกึ ษาทำแบบทดสอบหลงั เรยี น
6. กระบวนการวัดและการประเมนิ ผล
1. การวดั ผลและการประเมินผล
1. แบบประเมนิ พฤติกรรม ความมีวินัย และความรับผดิ ชอบ
2. แบบทดสอบหลงั เรยี น/หลังเรียน
3. สังเกตการปฏิบตั ิกิจกรรมกล่มุ โดยใชแ้ บบประเมนิ ผล การปฏิบัตกิ ิจกรรมกลุ่ม
4. ตรวจกจิ กรรมการทดลอง
5. ตรวจแบบฝกึ หดั
2. เกณฑ์การวัดและประเมินผล
1. แบบประเมนิ พฤติกรรม ความมีวนิ ัย และความรับผิดชอบ ต้องไดค้ ะแนน ไมน่ ้อยกว่าร้อย
ละ 60 ผ่านเกณฑ์
2. แบบทดสอบหลังเรียน ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกว่า ร้อยละ 50 ผ่านเกณฑ์
3. สังเกตการปฏบิ ตั ิกิจกรรมกลุม่ โดยใช้แบบประเมนิ ผล การปฏบิ ัติกิจกรรมกล่มุ ตอ้ งได้
คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
4. ตรวจกจิ กรรมการทดลอง ไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
5. ตรวจแบบฝกึ หดั ไมน่ อ้ ยกว่า ร้อยละ 50 ผ่านเกณฑ์
7. แหลง่ การเรียนรู้
1. สื่อการเรียนรู้ ใบกิจกรรม, PowerPoint ประกอบการสอน และแบบ ทดสอบก่อนเรยี น และ
หลงั เรยี น
2. แหล่งการเรียนรู้ หนังสือ วารสาร เก่ียวกับวิทยาศาสตร์งานไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และการ
สือ่ สาร อินเทอรเ์ นต็ www.google.com
8. บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้
8.1 ข้อสรปุ หลงั การจัดการเรยี นรู้
.......................................................................................................................................................................
...................................................................................................................... .................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
................................................................................................................................................................ .......
8.2 ปัญหาท่ีพบ
..................................................................................................................... ..................................................
.................................................................................. .....................................................................................
.......................................................................................................................................................................
................................................................................................................................ .......................................
............................................................................................. ..........................................................................
................................................. ................................................................................................. .....................
8.3 แนวทางแก้ปญั หา
...................................................................................................................... .................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................