มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
ผ้าไหม
สู่วิถีชีวิตของชุมชน
หมู่บ้านต้อน ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ
สมาชิกกลุ่ม
นำ เ ส น อ นำ เ ส น อ โ ด ย
อาจารย์ประเสริฐศักดิ์ มีหมู่ นายจิรัฏฐ์ บุญสงค์
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิค ( E-Books ) เรื่อง ผ้าไหม สู่วิถีชีวิตของชุมชนบ้าน
ต้อน หมู่บ้านต้อน ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ เล่มนี้ เป็น
ส่วนหนึ่งของรายวิชา สิ่งแวดล้อมและประชากรศึกษา รหัสวิชา ๕๐๘๒๘๑๒
สาขาวิชาสังคมศึกษา โดยจัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อให้ความรู้ทางด้านการเลี้ยงไหม
การทอผ้าไหม ศูนย์การเรียนรู้ และวิถีชีวิตของประชาชนในชุมชนบ้านต้อน
อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ โดยศูนย์การเรียนรู้หม่อนไหม ภูมิปั ญญาไทย
บ้านต้อน ได้อาศัยหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอ
เพียง มาเป็นต้นแบบในการดำรงชีวิต การบริหารจัดการสร้างรายได้ให้แก่
ชุมชนและสมาชิก โดยมีการสร้างศูนย์การเรียนรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจและมีความ
ประสงค์เข้ามาศึกษาดูงาน ได้เรียนรู้ สามารถนำแนวคิดและหลักปฏิบัติ ไป
ปรับใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมได้
คณะผู้จัดทำจึงได้เล็งเห็นความสำคัญของผ้าไหม การทอผ้าไหม และวิถี
ชีวิตของคนในชุมชนบ้านต้อน อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ โดยมี อาจารย์
ประเสริฐศักดิ์ มีหมู่ กำกับดูแล และควบคุมการสำรวจการลงพื้นที่ เพื่อจัดทำ
หนังสืออิเล็กทรอนิค ( E - Books ) เรื่อง ผ้าไหม สู่วิถีชีวิตของชุมชนบ้าน
ต้อน หมู่บ้านต้อน ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ เล่มนี้ หวังว่า
ผลงานฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกๆท่าน
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ
หน้า ( ๑ ) ประวัติหมู่บ้าน
หมู่บ้านต้อน ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัด
ชัยภูมิ
หน้า ( ๒ ) ประวัติลายผ้าและ
ลักษณะเด่น
ลายผ้าเอกลักษณ์ จังหวัดชัยภูมิ ( หมี่คั่นขอนารี ) และ
เอกลักษณ์ของลายหมี่บ้านต้อน ตำบลบ้านเขว้า อำเภอ
บ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ
หน้า ( ๕ ) ประวัติศูนย์การเรียนรู้
ประวัติของศูนย์เรียนรู้หม่อนไหม ภูมิปั ญญาไทยบ้าน
ต้อน
หน้า ( ๖ ) ปราชญ์ชาวบ้าน
โดยนางกองงัน จำนงค์บุญ เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ
สาขาอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ประจำปี ๒๕๕๑
บ้านต้อน
จุดเริ่มต้นลายเอกลักษณ์ประจำจังหวัดชัยภูมิ "ลายหมี่คั่นขอนารี"
มีประวัติความเป็นมา ซึ่งเรียบเรียงและสืบค้นโดย นาย คมกฤช ฤทธิ์ขจร
ศิลปินแห่งชาติด้านเรซศิลป์ จังหวัดชัยภูมิ และนักอนุรักษ์ผ้าโบราณ
บ้านต้อน หมู่ที่ ๖ ตำบล บ้านเขว้า จึงจับจองที่ดินเป็นที่อยู่
จังหวัดชัยภูมิ อาศัย และที่ทำการเกษตร เลี้ยง
เมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๒๓๒๐ โค กระบือ ดำเนินชีวิตแบบเรียบ
มีนายยอด นายหล่า นายหม่อ กุม ง่ายโดยอาศัยธรรมชาติและคิด
ภาว์ อพยพมาจากบ้านช้างใต้ ประดิษฐ์อุปกรณ์สำหรับดักปลา
อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เรียกว่า "ต้อน" ซึ่งใช้สำหรับดัก
พบว่าพื้นที่แถบนี้มีความอุดม ปลาตามห้วยต่างๆ มาเป็นอาหาร
สมบูรณ์ มีที่ดอนสำหรับเป็นที่อยู่ ต่อมาก็มีผู้คนอพยพมาอยู่เพิ่ม
อาศัย มีราบลุ่มเหมาะสำหรับทำนา มากขึ้น ต้อนตักปลาก็มีจำนวน
มีห้วยหนองคลองบึงซึ่งเป็นแหล่ง มากขึ้นด้วยจึงเรียกพื้นที่แถบนี้
อาหารโปรตีนจำนวนมาก ว่า "ที่ต้อนปลา" และเมื่อมีการ
ตั้งชื่อหมู่บ้าน จึงตั้งชื่อหมู่บ้านนี้
ว่า "บ้านต้อน" จนถึงปั จจุบัน มี
พื้นที่ ๑,๗๓๐ ไร่
ตัวอย่าง ต้อนดักปลา
อาณาเขต ทิศเหนือติดต่อกับบ้านบูรพา หมู่
๑๔
บ้านต้อน หมู่ที่ ๖ ตำบล ทิศใต้ติดต่อกับบ้านกุดไข่นุ่น หมู่
บ้านเขว้า ตั้งอยู่ในอำเภอบ้านเขว้า ที่ ๙
จังหวัดชัยภูมิ ห่างจากอำเภอ ทิศตะวันออกติดต่อกับบ้านต้อน
บ้านเขว้า ไปทางทิศตะวันออก ๒ อุดม หมู่ที่ ๑๗
กิโลเมตร ห่างจากจังหวัด ชัยภูมิ ทิศตะวันตกติดต่อกับบ้านม่วง
ไปทางทิศตะวันตก ๑๑ กิโลเมตร หมู่ที่ ๑๑
มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
ผ้าไหม สู่วิถีชีวิตของชุมชน ๑
ประวัติ ลายผ้าเอกลักษณ์
จังหวัดชัยภูมิ (หมี่คั่นขอนารี)
ชัยภูมิ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ทับมากันหลายยุคหลายสมัย สมัยก่อน
ประวัติศาสตร์ ช่วงประมาณ ๕,๐๐๐-๒,๐๐๐ ปี มีหลักฐานเช่น ภาพเขียน
ผนังถ้ำเงิ่บ บนภูเขาชำผักหนาม บ้านวังอุ่น ตำบลทุ่งพระ อำเภอคอนสาร
การพบเครื่องใช้ของมนุษย์ โครงกระดูกมนุษย์ ภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง
เคลือบน้ำโคลนสีแดง ที่บ้านโนนเสลา อำเภอภูเขียว และที่บ้านบัว อำเภอ
เกษตรสมบูรณ์ เป็นต้น
ช่วงสมัยประวัติศาสตร์ คือสมัย ช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัย โดยเฉพาะการทำลายผ้ามีหลายวิธี
ทวารวดี พบหลักฐานเช่น ใบเสมา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า เช่นการมัดย้อม (มัดหมี่) การเก็บ
หินที่บ้านกุดโง้ง ตำบลหนองนา นภาลัย ( จ.ศ.๑๑๗๔ ) พ.ศ.๒๓๖๐ ขิด ยกลาย เป็นต้น ลายต่างๆ ที่ได้
แซง อำเภอเมือง พระยืน และใบ พระยาภักดีชุมพล(แล) เจ้าเมือง มานั้น เกิดจากทั้งความคิดและ
เสมาหิน ที่อำเภอคอนสวรรค์ ชัยภูมิคนแรก และ ท่านท้าวบุญมี ความเชื่อ ที่มีมาแต่โบราณสืบต่อ
พระธาตุหนองสามหมื่น ภรรยา ซึ่งเป็นชาวเมืองเวียงจันทร์ กันมา
บ้านแจ้ง อำเภอภูเขียว เป็นต้น เป็นข้าราชการ ในสำนักเจ้าอนุวงศ์
เมืองเวียงจันทร์ ได้อพยพย้าย
ถิ่นฐานมาตั้งเมือง ที่เมืองชัยภูมิ
ซึ่งเป็นเมืองเก่า สมัยสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช แต่ร้างไป
สมัยขอมเมืองพระนคร (พุทธ จากหลักฐานการอยู่อาศัยของชน ท่านท้าวบุญมี ท่านเป็นผู้
ศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ ) พบหลักฐาน เผ่า ในบริเวณเมืองชัยภูมิแห่งนี้ เชี่ยวชาญด้านการถักทอผ้า ท่านได้
เช่น ปรางค์กู่ อำเภอเมืองชัยภูมิ กู่ จึงมีวัฒนธรรมที่ทับซ้อนกันมา สอนให้สตรีชัยภูมิ รู้จักการปลูก
แดง กู่บ้านกุดยาง อำเภอบ้านเขว้า รวมไปถึง วัฒนธรรมการแต่งกาย หม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้า ไม่ว่าจะเป็น
ปรางค์กู่บ้านแท่น พระแท่นศิลา การประดิษฐ์เครื่องนุ่งห่ม การ ผ้าบกขิด ผ้าไหมมัดหมี่ การทำซิ่น
อำเภอบ้านแท่น สันนิษฐานจากรูป ออกแบบลวดลายบนผืนผ้า ขั้น การทอผ้าฝ้าย เป็นต้น ชาว
แบบก่อสร้าง เพื่อประกอบพิธี ชัยภูมิเป็นผู้มีที่มีศิลปะในตัวเอง
ทางการรักษาโรค เรียกว่าอโรคยา จึงได้คิดลายมัดหมี่จากสิ่งต่างๆที่
ศาล อยู่รอบตัวออกมาเป็นลายผ้าจนถึง
ปั จจุบัน
ผ้าไหม สู่วิถีชีวิตของชุมชน ๒
จังหวัดชัยภูมิ มีลายผ้าโบราณ ผ้ามัดหมี่ ลายขอนารี นั้นเป็นลายที่
อายุ ตั้งแต่ ๕๐ ปีขึ้นไป มีมากกว่า
๕๓๙ ลาย มีการประยุกต์มาจาก "ลายขอ" ซึ่ง
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ มีข้าราชการชั้น เป็นลายดั้งเดิมแต่สันนิษฐานว่าน่า
ผู้ใหญ่ของจังหวัดชัยภูมิ ได้นำผ้า
ไหมมัดหมี่จาก บ้านต้อน ซึ่งเป็น จะเกิดหลัง ผ้าลายหมี่คั่น ซึ่งเป็น
หมู่บ้านหนึ่งในอำเภอบ้านเขว้า
จังหวัดชัยภูมิ ขึ้นทูลถวาย ลายพื้นฐาน ดังนั้น เมื่อมีการสืบค้น
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม
ราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปี เพื่อหาลายมัดหมี่ ที่เป็นเอกลักษณ์
หลวง เป็นผ้ามัดหมี่ชื่อลาย ขอนารี
( ชื่อเดิมคือ ขอกระหรี่ ) เมื่อ ของจังหวัดชัยภูมิ จึงได้เชิญ ผู้รู้ ผู้
พระองค์ท่านได้ทรงทอดพระเนตร
เห็นท่านได้มีพระราชดำริให้อนุรักษ์ เชี่ยวชาญด้านลายผ้า และนัก
ลายดังกล่าวไว้
อนุรักษ์ผ้าโบราณ มาทำประชา
พิจารณ์ และรวมกันคิดค้นว่า ควร
จะนำผ้ามัดหมี่ลายใด ขึ้นเป็นลาย
เอกลักษณ์ของจังหวัดชัยภูมิ เมื่อ
หาข้อสรุปได้แล้ว จึงมีความเห็น
จากข้อมูลในอดีตและปั จจุบัน ว่า
จังหวัดชัยภูมิมีลายผ้าโบราณ
จำนวนมาก แต่มีลายดั้งเดิม อายุ
กว่า ๒๐๐ ปี ที่ท้าวบุญมี ภรรยา
พระยาภักดีชุมพล(แล) เจ้าเมือง
คนแรก ได้สอนให้สตรีชาวเมือง
ชัยภูมิทอผ้า ทำขึ้นเพื่อใช้เป็น
เครื่องนุ่งห่มนั้น คือผ้านุ่งหรือผ้า
ซิ่น ลายหมี่คั่น(ลายพื้นฐาน)เย็บต่อ
กับผ้าขิดที่เป็นหัวซิ่นและตีนซิ่นจึง
ได้นำ หมี่คั่น ลายโบราณ มารวม
กับ ลายมัดหมี่ขอนารี ซึ่งสมเด็จ
พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม
ราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปี
หลวง ได้มีพระราชดำริให้อนุรักษ์
ไว้ จึงได้เกิดเป็นลายผ้าเอกลักษณ์
ของจังหวัดชัยภูมิขึ้น โดยได้มีข้อ
สรุปจากผู้ประชุมซึ่งเป็น ผู้รู้ด้านผ้า
ไหม ของจังหวัดชัยภูมิ ผู้เชี่ยวว
ชาญด้านลายผ้า นักอนุรักษ์ผ้า
โบราณ ได้ลายเอกลักษณ์ชื่อว่า
"หมี่คั่นขอนารี"
ผ้าไหม สู่วิถีชีวิตของชุมชน ๓
ลักษณะเด่นของลาย
หมี่บ้านต้อน
ภูมิปั ญญาท้องถิ่นบ้านต้อน คือ การทอผ้าไหมมัดหมี่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์
ชุมชนและท้องถิ่น และยังเป็นสินค้า OTOP ระดับห้าดาว เป็นผลิตภัณฑ์
หลักของชุมชน มีการอนุรักษ์และสืบทอดกันมานาน และมีการขยายรวม
ถึงการพัฒนาออกแบบลายใหม่ๆออกมา
เนื่องจากการทอผ้าไหมมัดหมี่ ลายหมี่ของบ้านต้อน มีหลากหลาย
ลวดลาย ทั้งลายดั้งเดิม เช่น
เป็นภูมิปั ญญาท้องถิ่นที่มีการ กระจับ ต้นสน โคมห้า ลายขอ
ต่างๆ ลายฟองน้ำ และลายใหม่ที่
สืบทอดมานานแล้ว ทอเพื่อใช้สอย ได้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา เช่น ลาย
สายการบิน ลายไมโคร ซึ่งได้มีการ
ในครัวเรือนและเป็นของฝากในหมู่ จัดทำสมุดรวบรวมลายหมี่ เพื่อ
เป็นการอนุรักษ์และสืบทอดต่อไป
เครือญาติ แล้วขยายไปในทางแลก อีกทั้งยังสามารถเพิ่มรายได้จาก
การจำหน่ายลายหมี่ด้วย ผลิตจาก
เปลี่ยนในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เส้นไหมพื้นบ้านย้อมสีธรรมชาติ
และจังหวัดอื่นๆ จากการแลก
เปลี่ยนนำมาสู่การซื้อขายด้วยเงิน
ตราและมีความต้องการมากขึ้น มี
ลายหมี่หลากหลายลาย จึงเกิด
แนวคิดที่จะรวมกลุ่มกันเพื่อที่จะได้
บุคคลในชุมชนที่มีความรู้ความ
สามารถร่วมกันผลิตเพื่อให้
ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ มีความ
ประณีต มีความสวยงาม และ
เพียงพอต่อความต้องการของ
ลูกค้า
ผ้าไหม สู่วิถีชีวิตของชุมชน ๔
ศูนย์การเรียนรู้
หม่อนไหม บ้านต้อน
ศูนย์การเรียนรู้หม่อนไหม ภูมิปั ญญาไทยบ้านต้อน ดำเนินการโดยกลุ่ม
วิสาหกิจชุมชนหม่อนไหมภูมิปั ญญาไทยบ้านต้อน ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่
๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ซึ่งเป็นวันจัดตั้งและจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชน
นับจากวันจัดตั้งจนถึง ณ ปั จจุบัน
ศูนย์เรียนรู้หม่อนไหม ภูมิปั ญญา นอกจากทางศูนย์จะสร้างราย
ไทยบ้านต้อน ได้ดำเนินการโดยยึด ได้จากการดำเนินงานแล้ว
มั่นหลักการทำงานแบบเศรษฐกิจ นอกเหนือจากรายได้ สิ่งที่
พอเพียง โดยให้สมาชิก ลดราย สำคัญที่สุดคือการได้อนุรักษ์
จ่าย เพิ่มรายได้ หาพึ่งตนเองได้ วิธีการผลิตผ้าไหมพื้นบ้านและ
ทำให้สมาชิกและชุมชนได้รับ ถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆให้
ประโยชน์จากการดำเนินงานดังนี้ แก่ลูกหลาน ผู้ที่สนใจ ได้มา
ศึกษาเรียนรู้ ทำให้เกิดการ
ลดต้นทุนในการซื้อเส้นไหม หวงแหน เรียนรู้รากเหง้า
โดยให้สมาชิกเพาะขยายพันธุ์ ภูมิปั ญญาบรรพบุรุษ และ
ตัวหนอนไหมเองรุ่นต่อรุ่น สร้างชื่อเสียงให้แก่ชุมชน
เป็นการอนุรักษ์พันธ์ไหมพื้น
บ้านและผลิตเส้นไหมให้เพียง
พอต่อการผลิตผ้าไหมในครัว
เรือนและพอต่อการจำหน่าย
เส้นไหมให้แก่ผู้ที่สนใจ
ทางศูนย์ได้รับความ
อนุเคราะห์จากทางหมู่บ้านและ
ทางโรงเรียนบ้านต้อนได้ร่วม
กันมีมติ ให้พื้นที่สาธารณะของ
โรงเรียนบ้านต้อนที่ยังไม่ถูกใช้
ประโยชน์ มาให้สมาชิกใช้เป็น
แปลงปลูกต้นหม่อน เพื่อนำมา
เลี้ยงตัวหนอนไหม บนพื้นที่
กว่า 10 ไร่
ผ้าไหม สู่วิถีชีวิตของชุมชน ๕
ปราชญ์ชาวบ้าน
( นางกองงัน จำนงค์บุญ )
นางกองงัน จำนงค์บุญ เกิดใน สมรสมีบุตร ๒ คน ประกอบอาชีพ ปั จจุบันมีสมาชิกกลุ่มอาชีพปลูก
ครอบครัวที่มีพื้นเพมาจาก ทำนาและเลี้ยงไหม ทอผ้าไหมไว้ใช้
ครอบครัวปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทอ เอง จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๒๖ ได้ หม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้าไหม ๒๐ คน
ผ้าไหม หลังจากจบชั้นประถม รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มแม่บ้าน
ศึกษาปีที่๔ จาก โรงเรียนบ้านต้อน เกษตรกร ดำเนินการเลี้ยงไหม นางกองงัน จำนงค์บุญเป็น
ได้มาช่วยมารดาเก็บหม่อนเลี้ยง สาวไหม มัดหมี่ ทอผ้าไหม จน
ไหม เก็บไหมสุกเข้าจ่อ จนเกิด กระทั่งปี พ.ศ.๒๕๖๓ กรมส่งเสริม ผู้นำกลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหม
ความชำนาญ พออายุได้ ๑๘ ปี ได้ การสหกรณ์เห็นความสำเร็จของ
เลี้ยงไหม สาวไหมเองและเรียนรู้ กลุ่ม จึงจัดตั้งเป็นกลุ่มสตรี บ้านต้อน ม.๖ - ๑๗ ซึ่งกลุ่ม
วิธีทอผ้าไหมจากมารดา สามารถ สหกรณ์บ้านต้อน สนับสนุนเงิน
ทำลายมัดหมี่ดั้งเดิมได้ เช่นลายหมี่ ทุนหมุนเวียน ๔๐,๐๐๐ บาท มีการ จะเลี้ยงพันธุ์ไหมพื้นบ้านเป็น
ขอ ลายหมี่คั่น ลายฟองน้ำ เป็นต้น ตั้งประธานกลุ่ม โดยมีนางกองงัน
ปี พ.ศ.๒๕๑๙ อายุได้ ๒๑ ปี ได้ จำนงค์บุญ เป็นประธานกลุ่ม หลัก รุ่นที่เลี้ยงระหว่าง ๖ -
๒๔ รุ่นต่อปี โดยไม่ใช้สารเคมี
แต่จะคัดพันธ์ไหมแข็งแรงไว้
ทำพันธุ์
ด้านการผลิตต้นหม่อน ขยาย
แปลงหม่อนของสมาชิก โดย
ได้รับการสนับสนุนให้ใช้
ประโยชน์บนที่ดินของโรงเรียน
และที่สาธารณะของหมู่บ้าน
พร้อมดำเนินการขอรับการ
สนับสนุนจากกรมหม่อนไหม
ติดตั้งระบบน้ำมีมินิสปริงเกอร์
ในแปลงหม่อน จำนวน ๕ ไร่
ในฤดูแล้งจะมีการคลุมฟางใน
แปลงหม่อน
ด้านการผลิตไหม บริหาร
จัดการเลี้ยงไหมให้มีผลผลิต
ทั้งปี มีเส้นไหมคุณภาพ และ
ผ้าไหมมัดหมี่ โดยอนุรักษ์ลาย
ผ้าโบราณ ตลอดจนคิดค้นลาย
ผ้าไหมมัดหมี่ลายผี้เสื้อน้อย
ได้รับรางวัลที่๓ จากกรม
ทรัพย์สินทางปั ญญา
กระทรวงพาณิชย์ ปี ๒๕๔๙
ผ้าไหม สู่วิถีชีวิตของชุมชน ๖
ภาคผนวก
"'ต้อน ปลาช่อนใหญ่
งานไม้ไผ่จักสาน
เชี่ยวชาญบายศรี
โอทอป ผ้าไหมมัดหมี่
ขอนารีไหมงาม
ลือนามเจ้าพ่อโลตึง''