รายงาน เรื่อง หลักปรัชญาของ จอห์น ดิวอี้ จัดทำโดย นางสาวนิตติยา จันทาคีรี รหัสนักศึกษา 6622610507 เสนอ อาจารย์ ดร.รอง ปัญสังกา รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา จิตวิทยาสำหรับครู (EA 105 ) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยสันตพล
ก คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา จิตวิทยาสำหรับครู รหัสวิชา EA 105 จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบในการ เรียนการสอนในรายวิชาจิตวิทยา ซึ่งผู้จัดทำได้ไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากเอกสาร วารสาร อินเทอร์เน็ต และ แหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับนักจิตวิทยาคนสำคัญ ซึ่งรายงานเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎี ของจอนดิวอี้ ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา นักปรัชญา และนักการศึกษา คนสำคัญของสหรัฐอเมริกา มีประวัติส่วนตัว แนวความคิดที่สำคัญ การเรียนรู้โดยการลงมือทำ ผู้จัดทำได้เลือก หัวข้อนี้ในการทำรายงาน เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าสนใน และหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจและผู้ที่นำไปใช้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามความคาดหวัง นางสาวนิตติยา จันทาคีรี
ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ชีวประวัติจอห์น ดิวอี้ 1 แนวความคิดที่สำคัญของจอห์น ดิวอี้ 4 Learning by Doing 6 การเรียนรู้โดยการลงมือทำมีลักษณะอย่างไร? 6 การเรียนแบบลงมือทำมีประโยชน์ต่อเด็กอย่างไร? 7 พ่อแม่จะนำการสอนแบบลงมือทำนำไปปรับใช้ได้อย่างไร ? 8 ทำไมการเรียนแบบ เรียนรู้ผ่านการลงมือทำจึงได้ผล 9 เรียนรู้ผ่านการลงมือทำเหมาะกับเด็กอายุเท่าไหร่ 9 ข้อควรระวังในการเรียนแบบเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ มีอะไรบ้าง 9 บรรณานุกรม 11
1 John Dewey 1.ชีวประวัติ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เป็นนักปรัชญา และนักการศึกษาคนสำคัญคนหนึ่ง ของสหรัฐอเมริกา ทฤษฎี ทางการศึกษาของจอห์น ดิวอี้ นอกจากมีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมากแล้ว ยัง แพร่หลายไปสู่ประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลก จนกระทั่งได้รับสมญาว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาแผนใหม่ หรือเรียกกันว่า บิดาแห่งการศึกษาลัทธิพิพัฒนานิยม จอห์น ดิวอี้ เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.1859 ณ เมืองเบอร์ลิงตัน (Burlington) รัฐเวอร์มอนด์ (Vermont) การศึกษา จอห์น ดิวอี้ เข้าเรียนโรงเรียนประถมศึกษา และมัธยมศึกษาในนเมืองเบอร์ลิงตัน ต่อมาเมื่อ ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเวอร์มอนด์ (University of Vermont) ได้มีโอกาสศึกษาเรื่องปรัญญาของนักปรัชญา หลายๆ ท่าน ทำให้หันมาสนใจปรัชญาอย่างจริงจังมากขึ้น จนกระทั่งได้คะแนนยอดเยี่ยมในรายวิชาปรัญญา จอห์น ดิวอี้ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเวอร์มอนด์ เมื่อ พ.ศ. 2422 มีอายุเพียง 20 ปี ต่อมาได้เข้า ศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอพดินส์ (Johns Hopkins University) ในเมืองบัลติมอร์ (Baltimor) ได้ศึกษา ทางด้านปรัชญาอย่างมาก จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต (Ph.D.) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗
2 ชีวิตการทำงาน เมื่อ จอห์น ดิวอี้ สำเร็จปริญญาตรี ได้ไปเป็นครูสอนในชนบท และหลังจากศึกษาต่อจนได้ ปริญญาเอกแล้วได้เข้าเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๒๘ - ๒๔๓๑ มหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) พ.ศ. ๒๔๓๑ - ๒๔๓๒ ย้ายไปสอนที่มหาวิทยาลัยมินเนโซดา (University of Minnesota) พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๓๗ กลับไปประจำมหาวิทยาลัยมิชิแกนอีกครั้ง พ.ศ. ๒๔๓๗ - ๒๔๔๗ ย้ายไปประจำ ณ มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) พ.ศ. ๒๔๔๗ - ๒๔๗๓ ไปประจำ ณ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (University of Columbia) จอห์น ดิวอี้ เกษียณอายุใน พ.ศ. ๒๔๗๓ เมื่ออายุ ๗๐ ปี ณ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และได้รับแต่งตั้งให้ เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ (Professor emeritus) ในระหว่างที่ปฏิบัติงานอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น จอห์น ดิวอี้ เคยเดินทางไปบรรยาย ณ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน ๒ ครั้ง เมื่อ พ.ศ.2445 และ พ.ศ. 2474 ในปี พ.ศ. 2467 ได้เขียนรายงานเกี่ยวกับการปรับปรุงโรงเรียน ในประเทศตุรกี https://shorturl.asia/iVJ74
3 แนวความคิดทางปรัชญาการศึกษาของจอห์น ดิวอี้ เริ่มปรากฏและเป็นที่สนใจของสาธารณชนในระหว่าง ที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนทดลอง (Experimental School) ณ มหาวิทยาลัยซิคาโก ทฤษฎีทางการ ศึกษาที่สำคัญของจอห์นดิวอี้ มักกล่าวถึงในนามวลีที่ว่าเรียนโดยการกระทำ (Learning by doing) ในขณะที่สมัย นั้นนักการศึกษาส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อในทฤษฎีทางการศึกษาที่ยึดถือกันมาอย่างเข้มงวดตามแบบอย่างการจัด การศึกษาซึ่งใช้อยู่ในทวีปยุโรปที่เรียกกันว่า ลัทธิอัตตาธิปไตย (Authoritarianism) บทเรียนส่วนใหญ่เรียนด้วย การท่องจำ วิชาการส่วนใหญ่ที่สอนให้แก่นักเรียนนั้น นักเรียนมักจะไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตจริงและนักเรียนมีความ สนใจน้อย จอห์น ดิวอี้ จึงค้นหาวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการเหล่านี้ จอห์น ดิวอี้ กล่าวว่า “การศึกษาคือกระบวนการ ของชีวิต ปัจเจกบุคคลจะต้องเรียนรู้เพื่อการเจริญงอกงามขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ขณะที่โลกกำลัง เปลี่ยนแปลง” จอห์น ดิวอี้ มีความเห็นว่าการศึกษาจะต้องช่วยฝึกอบรมเด็กๆ ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมที่เขา อาศัยอยู่ ซึ่งต่อไปข้างหน้าเขาจะต้องโตเป็นผู้ใหญ่อยู่ในสังคมนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกๆ ทฤษฎีทางการ ศึกษา และวิธีการใหม่ๆ ของจอห์น ดิวอี้ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่กลับเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในกาลต่อมา ในด้านปรัชญา จอห์น ดิวอี้ เป็นนักปรัชญาลักธิปฏิบัตินิยม (Pragmatism) หรือที่ทางปรัชญาการศึกษา เรียกว่า ปรัชญาการศึกษาลัทธิพิพัฒนานิยม (Progressivism) ซึ่ง มุ้งเน้นความสำคัญของประสบการณ์การเรียนรู้ และพยายามอย่างยิ่งที่จะเชื่อมโยงความคิดทางปรัชญา และความคิดเรื่องการศึกษาเข้าด้วยกัน จอห์น ดิวอี้ พยายามเผยแพร่ความคิดเรื่องการศึกษาแบบพิพัฒนาการ จนกระทั้งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก อนึ่ง จอห์น ดิวอี้ เป็น ผู้ที่เลื่อมใสในระบบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง โดยถือว่า ประชาธิปไตยนั้นเป็นคุณค่าพื้นฐานของจริบธรรม (Primary ethical Value) จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะวางหลักการปฏิบัติงานต่างๆ แบบประชาธิปไตยพร้อมๆไปกับ การส่งเสริมให้มีเสรีภาพทางวิชาการ และพยายามให้มีผลต่อการปฏิรูปทางด้านการเมืองด้วย https://shorturl.asia/STqUV
4 2. แนวความคิดที่สำคัญของ จอห์น ดิวอี้ จอห์น ดิวอี้ เป็นผู้นำนักปราชญ์กลุ่มประสบการณ์นิยม (Experimentalism) มีความเชื่อว่าความอยู่รอด ของสรรพสัตว์ (ซึ่งหมายถึงมนุษย์ด้วยนั้น) ย่อมขึ้นอยู่กับการปรับตัวของสิ่งนั้นๆ ความเชื่อนี้ได้มาจากชาร์ลส์ ดาวิน (Charles Darwin) เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการซึ่งให้หลักไว้ว่าผู้ที่เหมาะสมที่สุดจะอยู่รอด (The Survival of the Fittest) ส่วนผู้ที่ไม่เหมาะสม ย่อมจะล้มหายตายจากไป จากความเป็นจริงข้อนี้ จอห์น ดิวอี้ จึงได้ยึดเอาเรื่อง “การ ปรับตัว” ให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมเป็นสรณะสำคัญ หรือเป็นแก่นแห่งการศึกษา จากแนวคิดเรื่องการปรับตัวนี้ เอง จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) จึงเห็นค่ามนุษย์ย่อมมีปัญหาอยู่ตลอด ปัญหานั้นก็คือ การเผชิญต่อความ เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เป็นอยู่ทุกขณะนั่นเอง เมื่อมนุษย์ต้องพบปัญหาอยู่ตลอด การฝึกมนุษย์ให้ แก้ปัญหาได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะจะช่วยให้ขจัดปัญหาที่มาขัดขวางการดำเนินชีวิตได้ และชีวิตนั้นก็จะอยู่รอด ตลอดไปต้องอาศัยประสบการณ์ ซึ่ง “ประสบการณ์” ตามความคิดของจอห์น ดิวอี้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประสบการณ์ปฐมภูมิ (Primary experience) และ ประสบการณ์ทุติยภูมิ (Secondary experience) 1. ประสบการณ์ปฐมภูมิ คือ ประสบการณ์ที่ยังไม่เป็นความรู้ หรือยังไม่ได้มีการคิดไตร่ตรอง เป็นเพียง กระบวนการของการกระทำและการประสบความเปลี่ยนแปลงระหว่างอินทรีย์ และสภาพแวดล้อม 2. ประสบการณ์ทุติยภูมิ เป็นประสบการณ์ประเภทที่เป็นความรู้ คือได้ผ่านกระบวนการคิดไตร่ตรอง มาแล้ว ประสบการณ์ปฐมภูมิจะเป็นเนื้อหาของประสบการณ์ทุติยภูมิ เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับคิดไตร่ตรอง ตัวอย่างเช่น เด็กเล่นซน ไปเหยียบถ่านไฟร้อน ๆ ผลปรากฏว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ คือ เท้าถูก ไฟลวก เป็นประสบการณ์ปฐมภูมิ เมื่อเด็กเกิดการเรียนรู้จากผลของการเหยียบถ่านไฟร้อน ทำให้เกิดความเจ็บปวด และไม่อยากเล่นบริเวณที่มีถ่านไฟร้อนอีก หรือระแวงที่จะเล่นไฟ เป็นประสบการณ์ทุติยภูมิ ประสบการณ์ที่เกิด จากการคิดไตร่ตรอง (Reflective thought เรียกอีกอย่างว่าประสบการณ์การรู้ (Cognitive experience) ปรัชญาของจอห์น ดิวอี้เป็นปรัชญาที่สะท้อนออกมาเด่นชัดในเรื่องการศึกษาที่ยกย่อง ประสบการณ์ทั้ง ปวงที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน เน้นให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้สถานการณ์ที่เป็นจริง เพราะ การ ศึกษาตามความคิดของ จอห์น ดิวอี้ คือ ความเจริญงอกงามทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา และคุณธรรม ดังนั้นกระบวนการสร้างสรรค์ ประสบการณ์ใหม่ที่ต่อเนื่องกับประสบการณ์เก่าไป เรื่อย ต้องส่งเสริมให้เกิดประสบการณ์ใหม่เพื่อเป็นวิถีนำไปสู่ ความรู้ความเข้าใจใน ปัจจุบันและอนาคตได้การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติ จริงเป็นการจัดกิจกรรมใน ลักษณะกลุ่มปฏิบัติการที่เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรง จากการเผชิญสถานการณ์จริงและการแก้ปัญหา เพื่อให้เกิด การเรียนรู้จากการกระทำ ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง ฝึกคิด ฝึกลงมือทำ ฝึกทักษะกระบวนการต่าง ๆ ฝึกการแก้ปัญหา ด้วยตนเองและฝึกทักษะการเสาะแสวงหาความรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม ผู้เรียนได้เรียนรู้ทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติตาม แนวประชาธิปไตย กระบวนการเรียนรู้แบบแก้ปัญหา เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วย
5 ตนเองเพื่อให้ผู้ เรียนคิดเป็นและแก้ปัญหาเป็น โดยการนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ บางครั้งก็เรียนวิธีสอนนี้ว่า การสอนแบบวิทยาศาสตร์ จอห์น ดิวอี้ได้กำหนดวิธีการแก้ปัญหาแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนิยาม/ขั้นกำหนดปัญหา - เป็นขั้นที่ครู นักเรียน หรือครูกับนักเรียน กำหนดปัญหาขึ้นมา เพื่อ นำเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 2 ขั้นหรือ ( either-or stage) / ขั้นตั้งสมมุติฐาน - ใช้เหตุผลในการคิดวิเคราะห์ปัญหา คาดเดาว่าปัญหาๆ มีสาเหตุมาจากอะไร ขั้นที่ 3 ขั้นถ้า....ก็ (if-then stage) / ทดลองและรวบรวมข้อมูล - ศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพื่อแก้ปัญหา ด้วยการทำกิจกรรมต่างๆ ขั้นที่ 4 ขั้นประเมินค่า / วิเคราะห์ข้อมูล - นำข้อมูลที่ได้มาพิสูจน์ว่าสมมุติฐานที่ตั้งไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ ขั้นที่ 5 ขั้นสรุปผล - สรุปผลการเรียนรู้ หลักการที่จำนำไปอธิบายเป็นคำตอบ วิธีแก้ปัญหาและวิธีการนำความรู้ไปใช้ ปัจจุบันการ จัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนรู้ในแบบ Learning by doing ผู้เรียนจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ แนวคิดนี้จะจัดการสอนแบบโครงการ (Project-based learning) เป็นการ สอนที่ให้ผู้เรียนได้เรียนจากการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนจากประสบการณ์ตรง ผู้เรียนได้ทดลองทำปฏิบัติ เสาะหา ข้อมูล จัดระเบียบข้อมูล พิจารณาหาข้อสรุป ค้นคว้าหาวิธีการ กระบวนการด้วยตนเอง หรือร่วมกันเป็นกลุ่ม เน้น ให้ผู้เรียนมีอิสระในการศึกษาหาความรู้ตามหลักประชาธิปไตยให้ผู้เรียน ได้รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น ให้ได้ ค้นคว้าหาข้อมูลความรู้จากแหล่งต่าง ๆ มิใช่เฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น ทำให้ผู้เรียนเกิดนิสัยการศึกษาค้นคว้าหา ความรู้ด้วยตนเองได้ด้วยความมั่นใจ ผลการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีประสบการณ์ของจอห์น ดิวอี้ ดังนี้ 1. ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานโดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย และสื่อที่เร้า ความสนใจ 2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจ ตามความถนัดและศักยภาพด้วยการศึกษา ค้นคว้า ฝึกปฏิบัติฝึกทักษะ จนถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองทำให้เกิดความเชื่อมั่นเป็นแรง จูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน 3. กิจกรรมกลุ่มช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ เกิดกระบวนการทำงาน เช่น มีการวางแผนการ ทำงาน มีความรับผิดชอบ เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีวินัยในตนเอง มีพฤติกรรมที่เป็นประชาธิปไตย เป็นผู้นำและผู้ ตามที่ดี รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ผู้เรียนที่เรียนรู้ช้าจะเรียนรู้อย่างมีความสุข มีชีวิตชีวา ได้รับกำลังใจและ ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ทำให้เกิดความมั่นใจ ผู้เรียนที่เรียนดีจะได้แสดงความสามารถของตนเอง มีความ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และแบ่งปันสิ่งที่ดีให้แก่กัน
6 4. ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดจากการร่วมกิจกรรมและการค้นหาคำตอบจากประเด็นคำถาม ของผู้สอน และเพื่อน ๆ สามารถค้นหาคำตอบและวิธีการได้ด้วยตนเอง สามารถแสดงออกได้ชัดเจนมีเหตุผล 5. ทุกขั้นตอนการจัดกิจกรรม จะสอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อให้ผู้เรียนได้ซึมซับสิ่งที่ดีงามไว้ใน ตนเองอยู่ตลอดเวลา 6. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนรู้และการปฏิบัติงาน โดยให้แต่ละคนเรียนรู้เต็มตาม ศักยภาพของตน ไม่นำผลงานของผู้เรียนมาเปรียบเทียบกัน มุ่งให้ผู้เรียนแข่งขันกับตนเองและไม่เล็งผลเลิศ จนเกินไป 7. ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน คือ ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข เกิดการพัฒนารอบด้าน มีอิสระที่จะเลือกวิธีการ เรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง และนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม 3. Learning by Doing การเรียนรู้โดยการลงมือทำ การเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยการเรียนรู้ด้วยตนเองนี้คือการที่ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติ เกิดความสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ โดยผู้เรียนจะเกิดความรู้ขึ้นได้เมื่อได้ลงมือทำ และทั้งหมด นี้เป็นหลักการปรัชญาแบบ John Dewey ซึ่ง สรุปได้ว่าคนเราจะสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการที่ได้ลงมือทำสิ่ง ต่างๆ ด้วยตนเอง 4. การเรียนรู้โดยการลงมือทำมีลักษณะอย่างไร? 1. การจัดการเรียนรู้โดยลงมือกระทำมีลักษณะสำคัญดังนี้มีจุดมุ่งหมาย มุ่งให้ผู้เรียนนำประสบการณ์ที่ ได้รับจากการแก้ปัญหาไปใช้ในการตัดสินใจ 2. จัดการเรียนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นความถนัดและความสนใจ 3. ครูมีลักษณะของการเป็นผู้รอบรู้และมีประสบการณ์ ยอมรับความแตกต่างของผู้เรียน 4. ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางรับประสบการณ์จากการกระทำของตนเอง ผู้เรียนได้ทดลอง ทำปฏิบัติ สืบเสาะหา ข้อมูล จัดระเบียบข้อมูล หาข้อสรุป และหาวิธีการกระบวนการด้วยตนเอง 5. จัดหลักสูตรจะเน้นประสบการณ์ของผู้เรียน เป็นหลักสูตรกิจกรรม
7 5. การเรียนแบบลงมือทำมีประโยชน์ต่อเด็กอย่างไร? สำหรับประโยชน์ที่เด็กๆ จะได้รับจากการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง คือการที่เด็กๆ จะ ได้เรียนรู้จากการกระทำของตนเอง ได้ลองผิดลองถูกเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่มีแต่ตัวเด็กๆ เองท่านั้นที่จะสามารถ เข้าใจได้ เป็นการสร้างเสริมประสบการณ์แบบที่ผู้ใหญ่ไม่สามารถหยิบยื่นให้ได้ อีกหนึ่งประโยชน์ที่สำคัญคือ เมื่อ เด็กๆได้เรียนรู้ด้วยตนเอง อีกสิ่งหนึ่งที่ได้เพิ่มมาคือการได้สร้างความมั่นใจจากการลงมือทำสิ่งต่างๆ โดยความมั่นใจ นี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ในระยะยาวของตัวเด็กเอง https://shorturl.asia/KFMG2
8 6. พ่อแม่จะนำการสอนแบบลงมือทำนำไปปรับใช้ได้อย่างไร ? การเรียนรู้ด้วยตนเองนั้นเป็นสิ่งที่พ่อแม่สามารถนำไปใช้ได้ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งเด็ก ๆ เข้าโรงเรียน ใช้ดูแลเด็ก ๆ ระหว่างอยู่บ้านเรียนออนไลน์ หรือคุณพ่อคุณแม่ที่ให้เด็กเรียนแบบ Home School โดยอาจเริ่มต้น จากการทำสิ่งต่างๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นการล้างจาน พ่อแม่อาจจะเริ่มจากการให้ลูกยืนดู เพื่อให้เขา ได้สำรวจ จากนั้นให้เขาช่วยล้างจานเพื่อให้เขาได้ทดลอง หลังจากนั้นเราก็ปล่อยให้เขาได้ทำเอง ได้ลองเก็บจากโต๊ะ กินข้าว เริ่มทำขั้นตอนทุกอย่างด้วยตนเอง ให้เขาได้ค้นหาว่านอกจากวิธีการล้างจานแบบที่พ่อแม่ทำให้เขาดูนั้น เขา สามารถล้างจานด้วยวิธีอื่นอีกได้หรือไม่ ถ้าล้างจานโดยไม่ล้างน้ำเปล่าเลยจานจะสะอาดหรือเปล่า ถ้าล้างจานโดย ไม่เขี่ยเศษอาหารทิ้งก่อนอ่างล้างจานจะสกปรกหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวสามารถเป็นองค์ประกอบของการ เรียนรู้ด้วยตนเองได้ทั้งหมด โดยที่พ่อแม่แค่คอยแนะนำแนวทางให้เด็กๆ เท่านั้นเอง https://shorturl.asia/iz5ro
9 7. ทำไมการเรียนแบบ เรียนรู้ผ่านการลงมือทำจึงได้ผล เพราะผู้เรียนได้ลงมือกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองในสิ่งที่สนใจและตัวเองชอบ จึงมีแรงจูงใจในการเรียน และมีความสุขในการเรียนมากกว่า นอกจากนี้การฝึกลงมือทำยังช่วยก่อให้เกิดประสบการณ์ ความรู้ใหม่ และ มั่นใจซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ในระยะยาว 8. เรียนรู้ผ่านการลงมือทำเหมาะกับเด็กอายุเท่าไหร่ สำหรับรูปแบบการเรียนการสอนแบบลงมือทำคุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มนำไปหรับใช้ได้ดีที่สุดในช่วงวัยที่ เด็ก ๆ เริ่มเข้าโรงเรียนแรียนแล้วซึ่งก็คืออายุราว ๆ 3 – 4 ปี เพราะถึงตอนนั้นเด็ก ๆ จะเริ่มเข้าใจคอนเซปต์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น 9. ข้อควรระวังในการเรียนแบบเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ มีอะไรบ้าง การจัดการเรียนรู้โดยให้เด็กได้ลงมือกระทำนั้น นั้นเป็นสิ่งสำคัญผู้สอนจะต้องสนใจธรรมชาติการเรียนรู้ ของเด็ก และลักษณะของกิจกรรมซึ่งควรสอดคล้องกัน พร้อมที่จะส่งเสริมให้เด็กได้ลงมือกระทำผ่านสิ่งที่เด็กถนัด หรือสนใจ https://shorturl.asia/JZjNV
10 การจัดการเรียนรู้โดยให้เด็กได้ลงมือกระทำนั้น สิ่งที่เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่บังเกิดผลได้ตามความ คาดหวังของหลัก สูตรการศึกษาปฐมวัยคือ เด็กเป็นผู้มีการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญานั้น ครูจะต้องสนใจธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก และลักษณะของกิจกรรมซึ่งควรสอดคล้องกัน และพร้อมที่จะส่งเสริมให้เด็กได้ลงมือกระทำ เช่น การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจะเรียนรู้จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม ดังนั้น ครูควรจัดกิจกรรมที่มีสื่อวัตถุให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสหลายๆส่วน ได้เล่น ทดลอง บทบาทสมมติ เพลง เกม งานศิลปะ เป็นต้น https://shorturl.asia/8Ec2J
11 บรรณานุกรม อบรม สินภิบาล และจรูญ สนเลม็ด ชีวประวัตินักการศึกษา นักจิตวิทยาและนักปรัชญา โอเดียนสโตร์ 2518 Bridgwater, Willam and Kurtz Seymour. “John Dewey”, The Columbia Encyclopedia. 3 rd ed. New York, Columbia University Press, 1963 Grolier. “John Dewey”, The New Book of Knowledge.Volume 4. New York, Grolier Inc., 1966 Krupatom. (2018). Retieved July 25, 2023 formhttps://www.krupatom.com/education_1637/ 1637-2/#google_vignette TH LingoAce Team. (2023) July 25, 2023 form https://www.lingoace.com/th/blog/learning-bydoing/