The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นางสาวชนัญชิดา ไพศาล เลขที่7
นางสาวนวกชนณ บุญชัย เลขที่18
ม.6/10

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Chananchida Paisal, 2023-01-07 13:16:40

Plantae

นางสาวชนัญชิดา ไพศาล เลขที่7
นางสาวนวกชนณ บุญชัย เลขที่18
ม.6/10

PLANTAE

-KINGDOM PLANTAE-

น า ว ส า ว ช นั ญ ชิ ด า ไ พ ศ า ล ม . 6 / 1 0 เ ล ข ที่ 7
น า ง ส า ว น ว ก ช ม ณ บุ ญ ชั ย ม . 6 / 1 0 เ ล ข ที่ 1 8

สารบัญ 1

ความรู้เบื้อนต้นเกี่ยวกับพื ช 3

หลักในการพิ จารณาและจัดสิ่งมีชีวิตเข้าไว้ใน 4
อาณาจักรพื ช
5
ลักษณะสำคัญของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรพื ช
6
วงชีวิตพื ชแบบสลับ
8
การปฏิสนธิ
9
Dichotomous key of plant 10
Plantae 14
17
• Non-vascular plant
Phylum Hepatophyta 22
Phylum Anthocerophyta 23
Phylum Bryophyta 24
25
• Vascular plant 26
— Seedless Vascular Plant 27
Phylum Lycophyta 28
Phylum Psilophyta 29
Phylum Sphenophya 31
Phylum Pterophyta 33
— Seed Vascular Plant 35
Gymnosperm 37
Phylum Conniferophyta 39
Phylum Cycadophyta 41
Phylum Gingkophyta
Phylum Gnetophyta
Angiosperm
Phylum Anthophyta

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

พื ช(plantae)

ความรู้เบื้องต้น
เกี่ยวกับพื ช plantae

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

บทที่ 1

ความรู้เบื้องต้น
เกี่ยวกับ
พื ช Plant

พื ชมีความสําคัญเป็นอย่าง พื ชเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกำเนิด
มากเนื่องจากพื ชทําหน้าท่ี ขึ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 400
เป็นผู้ผลิตอาหารให้แก่ระบบ ล้านปี มีหลักฐานหลายอย่างที่
นิเวศจึง เรียกว่า ออโต ทำให้เชื่อว่าพื ชมีวิวัฒนาการ
ทรอป (autotroph) มาจากสาหร่ายสีเขียว กลุ่ม
พื ชเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ Charophytes โดยมีการ
ที่มีเนื้อเยื่อ มีวัฎจักรชีวิต ปรับตัวจากสภาพที่เคยอยู่ใน
แบบสลับ พบระยะเอ็มบริโอ น้ำขึ้นมาอยู่บนบก ด้วยการ
เซลล์มีผนังเซลล์ที่มี สร้างคุณสมบัติต่าง ๆ ที่
เซลลูโลสเป็นส่วนประกอบ เหมาะสมขึ้นมา เช่น มีการ
พื ชส่วนใหญ่สังเคราะห์ด้วย สร้างคิวติน (cutin) ขึ้น
แสงได้ มาปกคลุมผิวของลำต้นและใบ
เรียกว่า คิวทิเคิล (cuticle)
เพื่ อป้องกันการสูญเสียน้ำ
และการเกิด สโทมาตา
(stomata) เพื่ อทำหน้าที่
ระบายน้ำและแลกเปลี่ยนก๊าซ
เป็นต้น

หลักในการพิจารณาและ

จัดสิ่งมีชีวิตเข้าไว้ใน
อาณาจักรพืช

1. เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์เป็นยูคาริโอต
(eukaryotic cell) มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส มี
ไมโทคอนเด รีย มีไรโบโซมเป็นชนิด 80S

2. ประกอบไปด้วยเซลล์หลายๆ เซลล์
มา รวมกันเป็นกลุ่มเซลล์หรือเป็น
เนื้อเยื่อ (tissue)

3. ไม่เคลื่อนที่หรือเคลื่อนที่จากที่หนึ่ง
ไปยัง อีกหนึ่งด้วยตนเองไม่ได้

4. มีคลอโรฟิลล์บรรจุอยู่ในเม็ด
คลอโรพลาสต์ (chloroplast)
5. การเจริญต้องผ่านระยะเอม
บริโอ
6. ผนังเซลล์เป็นสารประกอบ
พวกเซลลูโลส (cellulose)
7.มีวงจรชีวิตแบบ
สลับ(alternation of
generation)

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

ลักษณะสำคัญ
ของสิ่งมีชีวิตใน
อาณาจักรพื ช

พื ชมีโครงสร้างที่ประกอบ
ขึ้นด้วยหลายเซลล์ที่มารวม
กลุ่มกันเป็นเนื้อเยื่อที่ทำ
หน้าที่เฉพาะอย่างเซลล์ของ
พื ชมีผนังเซลล์ที่มี
สารประกอบ เซลลูโลส
(cellulose) เป็นองค์
ประกอบที่พบเป็นส่วนใหญ่
พื ชทุกชนิดที่คุณสมบัติที่
สามารถสร้างอาหารได้เอง
จากระบวนการสังเคราะห์
ด้วยเสง โดยบทบาทของ
รงควัตถุคลอโรฟิลล์
(chlorophyll a & b) ที่
อยู่ในคลอโรพลาสต์เป็น
สำคัญ รงควัตถุหลักที่พบ
ได้ในเซลล์พื ชจะเหมือนกับ
พบในเซลล์ของสาหร่ายสี
เขียว ได้แก่ คลอโรฟิลล์ เอ
คลอโรฟิลล์ บี และแคโรที
นอยด์ นอกจากนี้พื ชยัง
สะสมอาหารในรูปของแป้ง

วงชีวิต (life cycle)
พืชเป็นวงชีวิตแบบสลับ (Alternation of Generation)

ประกอบด้วยช่วงชีวิตที่เป็นสปอโรไฟต์ (sporophyte
generation) ทำหน้าที่สร้างสปอร์ (spore) สลับกับช่วง
ชีวิตที่เป็นแกมีโทไฟต์ (gametophyte generation) ทำ
หน้าที่สร้างแกมีต (gamete) ได้แก่ เซลล์สืบพั นธุ์เพศผู้หรือ
สเปิร์ม (sperm) และเซลล์สืบพั นธุ์เพศเมียหรือไข่ (egg) ซึ่ง
จะมารวมกันเพื่ อให้ได้เป็นเซลล์ใหม่คือ ไซโกต (zygote)
อวัยวะสร้างเซลล์สืบพั นธุ์ของพื ช ประกอบขึ้นด้วยหลายเซลล์
โดยมีเซลล์โดยมีเซลล์ที่เป็นหมัน (sterile cell) ห่อหุ้มอยู่รอบ
นอก การเจริญของพื ชจากไซโกตไปเป็นสปอโรไฟต์จะต้อง
ผ่านจะต้องผ่านระยะที่เป็นเอ็มบริโอ (embryo) ก่อน
คุณสมบัติทั้ง 2 ประการ ดังกล่าวนี้จะไม่พบในพวกสาหร่าย
(algae)

(ALTERNATION OF GENERATION)

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

วงชีวิตแบบสลับ

พื ชส่วนใหญ่จะมีสปอโรไฟต์เด่น คือมีขนาดที่มองเห็นได้ชัดเจน
ทั่วไป ในขณะที่แกมีโทไฟต์มีขนาดเล็กแทบมองไม่เห็นด้วยตา
เปล่าในพื ชบางกลุ่ม แกมีโทไฟต์ประกอบขึ้นด้วยเซลล์ที่เป็นโมโน
พลอยด์ (n) จำนวนมากทำหน้าที่สร้างแกมีต
สปอโรไฟต์ของพื ชประกอบขึ้นด้วยเซลล์ที่เป็นดิพลอยด์ (2n)
ทำหน้าที่สร้างสปอร์จากการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสของสปอร์มา
เทอร์เซลล์ (spore mother cell) ที่อยู่ภายในอับสปอร์
(sporangium)สปอร์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่เป็นเฮพลอยด์ (n)จะแบ่ง
ตัวเจริญต่อไปเป็นแกมีโทไฟต์ (n) ที่ทำหน้าที่สร้างแกมีตคือ
สเปิร์ม และไข่

การปฏิสนธิ (fertilization)

การรวมตัวกันของสเปิร์ม (n) และไข่ (n) จะทำให้ได้เซลล์ใหม่ที่เป็นดิ
พลอยด์ (2n) คือ ไซโกตเกิดขึ้นมา และต่อจากนั้นไซโกตจะแบ่ง
เซลล์ได้เป็นเอ็มบริโอ ก่อนที่จะเจริญต่อไปเป็นสปอร์โรไฟต์
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไซโกตคือ เซลล์เริ่มต้นของช่วงสปอโรไฟต์
และสปอร์คือเซลล์เริ่มต้นของช่วงแกมีโทไฟต์
ในพื ชกลุ่มที่ไม่สร้างเมล็ดส่วนใหญ่จะมีการสร้างสปอร์เพี ยงชนิด
เดียว (homospore) ซึ่ง สปอร์ดังกล่าวจะแบ่งตัวและเจริญต่อไป
เป็นแกมีโทไฟต์ที่ทำหน้าที่สร้างทั้งสเปิร์มและไข่บนต้นเดียวกัน แต่
สำหรับพื ชที่มีการสร้างเมล็ดแล้วทุกชนิด จะสร้างสปอร์เป็น 2 ชนิด
(heterospore) ได้แก่ ไมโครสปอร์ (microspore) และ เมกะส
ปอร์ (megaspore)

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

ไมโครสปอร์จะแบ่งตัวเจริญต่อไปเป็น ไมโครแกมีโทไฟต์
(microgametophyte) หรือแกมีโทไฟต์เพศผู้ (male
gametophyte) ทำหน้าที่สร้างสเปิร์ม และเมกะสปอร์ จะแบ่ง
ตัวเจริญต่อไปเป็นเมกะแกมีโทไฟต์ (megagametophyte)
หรือแกมีโทไฟต์เพศเมีย (female gametophyte) ทำหน้าที่
สร้างไข่ ต่อไป

DICHOTOMOUS KEY
OF PLANT

PLANTAE

NON-VASCUL PLANT VASCUL PLANT

PHYLUM HEPATOPHYTA SEED SEEDLESS
PHYLUM ANTHOCEROPHYTA VASCULAR VASCULAR
PHYLUM BRYOPHYTA
PLANT PLANT
ANGIOSPERM GYMNOSPERM PHYLUM LYCOPHYTA
PHYLUM PSILOPHYTA
PHYLUM SPHENOPHYTA
PHYLUM PTEROPHTA

PHYLUM ANTHOPHTA PHYLUM CONIFEROPHYTA
PHYLUM CYCADOPHYTA
PHYLUM GINGKOPHYTA
PHYLUM GNETOPHYTA

PLANTAE

NON-VASCULAR PLANT

พืชไม่มีท่อลําเลียง

NON-VASCULAR
PLANT

พืชไม่มีท่อลําเลียง(Non-
vascularplant)จัดเป็นพืชที่
มีวิวัฒนาการต่ําที่สุดแบ่ง ได้ 3
Phylum คือ

Phylum Hepatophyta ลิเวอร์เวิร์ต
Phylum Anthocerophyta ฮอร์นเวิร์ต
Phylum Bryophyta
มอส

Phylum
Hepatophyta

ลิเวอร์เวิร์ต

NON-VASCULAR PLANT

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

Phylum Hepatophyta

พื ชในไฟลัมนี้นี้ รู้จักกันทั่วไปในชื่อของลิเวอร์เวิร์ต (liverwort)
ทั่วโลกมีประมาณ 9,000 ชนิด มักพบขึ้นตามพื้ นดิน ก้อนหิน
ลำต้นพื ชอื่น หรือแม้แต่ใบของพื ชอื่น ลิเวอร์เวิร์ตยังไม่มีราก
ลำต้นและใบ ต้นที่พบทั่วไปเป็นต้นในระยะ แกมีโทไฟต์ที่มีลักษณะ
เป็นแบบทัลลัส (thallus) คือ มีลักษณะเป็นแผ่นแบน หรือเป็นต้น
แบบลิฟฟี (leafy) คือ มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายใบเรียงรอบส่วน
คล้ายต้น โดยส่วนคล้ายใบมีการบิดตัวให้อยู่ในระนาบเดียวกัน
ลักษณะที่โดดเด่นประการหนึ่งของแกมีโทไฟต์ลิเวอร์เวิร์ต คือ มี
หยดน้ำมันภายในเซลล์ ซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกันไป แกมีโทไฟต์เป็น
ช่วงที่มีอายุยืนยาว เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จะสร้างอับเซลล์
สืบพั นธุ์ซึ่งจะสร้างเซลล์สืบพั นธุ์อยู่ภายใน

ต้นสปอโรไฟต์ เกิดขึ้นหลังจากการปฏิสนธิของเซลล์สืบพั นธุ์เพศ
ผู้กับเซลล์สืบพั นธุ์เพศเมีย และเจริญอยู่ภายในอับเซลล์สืบพั นธุ์
เพศเมียบนต้นแกมีโทไฟต์ โดยได้รับอาหารจากต้นแกมีโทไฟต์
ตลอดการพั ฒนา ต้นสปอโรไฟต์ ลิเวอร์เวิร์ตมีลักษณะคล้ายๆ
กัน สามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือส่วนโคนที่ฝังอยู่ในต้นแกมีโท
ไฟต์ ถัดมาเป็นส่วนก้านซึ่งอาจสั้นหรือยาวขึ้นกับชนิด ลิเวอร์เวิร์ต
และส่วนปลายสุดคือ แคปซูล (capsule) หรืออับสปอร์ที่สร้างส
ปอร์อยู่ภายใน เมื่อต้นสปอโรไฟต์เจริญเต็มที่แล้ว แคปซูลจะแตก
ออกตามยาวเป็น 4 แนว ทำให้เห็นมีลักษณะเป็นกากบาท เมื่อส
ปอร์ถูกปลดปล่อยออกจากแคปซูลแล้ว ต้นสปอโรไฟต์จะตายไป
ดังนั้น ต้นสปอโรไฟต์ลิเวอร์เวิร์ตจึงมีอายุสั้นมาก ส่วนสปอร์จะ
เจริญไปเป็นแกมีโทไฟต์ต่อไป

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

Phylum Hepatophyta

แกมีโทไฟต์ของลิเวอร์เวิร์ตแบบ
แผ่นหรือแบบทัลลัส

แกมีโทไฟต์ของลิเวอร์เวิร์ตแบบ
ลิฟฟี

Oil body ภายใน
เซลล์ของแกมีโทไฟต์
เม็ดสีเขียวคือ คลอโพ
ลาสต์

Liverwort life cycle

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

Phylum Hepatophyta

NON-VASCULAR PLANT

PHYLUM
ANTHOCEROPHYTA

ฮอร์นเวิร์ต

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

Phylum Anthocerophyta

พื ชในกลุ่มนี้ เรียกรวมว่า Hornworts เป็นกลุ่มที่เล็กที่สุดในไบร
โอไฟต์ มีประมาณ 6 สกุล 100 ชนิด ชนิดที่มักถูกใช้เป็นตัวอย่าง
ในการศึกษาในประเทศไทย คือ Anthoceros
Hornworts มีลักษณะที่แตกต่างจากไบรโอไฟต์อื่น ๆ คือ
1. สปอร์โรไฟต์รูปร่างเรียวยาวคล้ายเขาสัตว์สีเขียว และมี
intercalary meristem ซึ่งทำให้สปอร์โรไฟต์สามารถเจริญได้
อย่าง ไม่จำกัด
2.Archegonium ฝังตัวอยู่ในแกมมีโตไฟต์ มีโครงสร้างที่คล้าย
กับปากใบ (stomata like structure) ซึ่งจะไม่พบในกลุ่มอื่น
3.เซลล์ที่ทำหน้าที่ในการสังเคราะห์ด้วยแสงมีคลอโรพลาสต์ 1 เม็ด
และมีอาหารสะสมเป็น pyrenoidเหมือนกับสาหร่ายสีเขียวและ
Isoetes (vascular plant)
แกมมีโตไฟต์
แกมมีโตไฟต์รูปร่างกลมหรือค่อนข้างรี แบน สีเขียว เป็น
โครงสร้างที่ง่าย ๆ เมื่อเทียบกับแกมมีโตไฟต์ในกลุ่ม Bryophyte
ด้วยกัน Hornworts ส่วนใหญ่เป็น unisexual สร้างอวัยวะ
สืบพั นธุ์บริเวณด้านบนของทัลลัส การสืบพั นธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
เกิดขึ้นโดยการขาดเป็นท่อน (Fragmentation)
สปอร์โรไฟต์
สปอร์โรไฟต์ของฮอร์นเวิร์ทมีความแตกต่างจากสปอร์โรไฟต์ของ
ชนิดอื่นมาก มีลักษณะเฉพาะคือรูปร่างคล้ายกับเขาสัตว์ สีเขียว
ยาวประมาณ 1-4 cm ภายมีเนื้อเยื่อที่แบ่งตัวให้ spores

ระยะ Sporophyte ของ Hornworts Anthoceros sp.

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

Phylum Anthocerophyta

Hornwort life cycle

แกมีโทไฟต์

เซลล์แต่ละเซลล์ของแกมีโทไฟต์มีคลอโร
พลาสต์เพี ยง 1 อัน

สปอโรไฟต์และแกมีโทไฟต์ของฮอร์นเวิร์ต

Phylum
Bryophyta

NON-VASCULAR PLANT

มอส

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

Phylum Bryophyta

พื ชในกลุ่มนี้ได้แก่มอสมีสมาชิกมากที่สุดในกลุ่มพื ชไม่มีท่อลำเลียง
สามารถเจริญได้ทั่วไป เช่น ตามเปลือกไม้ พื้ นดิน ก้อนหิน
ต้นแกมมีโตไฟต์มีสีเขียว อัดตัวกันแน่นคล้ายพรหม ไม่มีใบ ลำต้น
และรากที่แท้จริง แต่มีส่วนที่คล้ายลำต้นและใบมาก มี Rhizoid ทำ
หน้าที่ยึดกับพื้ นดินหรือวัตถุที่เจริญ
สปอร์โรไฟต์อาศัยอยู่บนแกมมีโตไฟต์ตลอดชีวิต ประกอบด้วย
ส่วนสำคัญ คือ foot ใช้ยึดกับแกมมีโตไฟต์ stalk เป็นก้านชู ยาว
และ capsule ส่วน capsule มี operculum จะเปิดออกเมื่อ
แคปซูลแก่ เผยให้เห็น peristome teeth ลักษณะคล้ายซี่ฟัน มี
คุณสมบัติไวต่อความชื้น (hygroscopic) และกางออกเมื่ออากาศ
แห้ง ทำให้เกิดการดีดสปอร์

mosses Sphagnum

sporophyte และ Peristome
gametophyte ของมอส

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

Phylum Bryophyta

เป็นพวกที่นับว่าอยู่กึ่งกลางระหว่างสาหร่ายและพื ชมีท่อลําเลียง
(vascular plant) โดยเชื่อ กันว่า ไบรโอไฟต์ (bryophyte : เป็น
ชื่อเรียกพื ชในดิวิชันไบรโอไฟตา) มีวิวัฒนาการมาจากพวก
สาหร่ายสีเขียวที่มีลักษณะเป็นสาย (filamentous form) โดยมี
เหตุผลประกอบด้วย

1. ไพรโทนีมา (protonema) ซึ่งเป็นต้นอ่อนของระยะแกมีโท
ไฟต์มีลักษณะเป็นสายเช่นเดียวกับสาหร่าย

2. มีผนังเซลล์เป็นสารพวกเซลลูโลสเช่นเดียวกัน
3. มีอาหารสะสมเป็นแป้ง (starch) เช่นเดียวกัน
4. มีคลอโรพลาสต์ประกอบด้วยคลอโรฟีลล์เอ และคลอโรฟิลล์บี

เหมือนกัน
5. แกมีทหรือเซลล์สืบพั นธุ์มีแฟลเจลลาช่วยในการเคลื่อนที่เหมือน

กัน

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

Phylum Bryophyta

พื ชในไฟลัมนี้ รู้จักกันทั่วไปในชื่อของมอส (moss) ทั่วโลกมี
ประมาณ 10,000 ชนิด มอสยังไม่มีราก ลำต้น และใบเช่นกัน ต้น
ที่พบเป็นต้นในระยะแกมีโทไฟต์ ประกอบด้วยส่วนคล้ายต้น มีส่วน
คล้ายใบเรียงรอบส่วนคล้ายต้น บริเวณกลางแผ่นของส่วนคล้าย
ใบมีเซลล์ซ้อนกันหลายชั้นเซลล์ จึงดูคล้ายเส้นกลางใบ เรียก คอส
ตา (costa) ซึ่งอาจยาวตลอดแผ่นใบหรืออาจสั้นมากจนแทบ
สังเกตไม่เห็นเลยก็ได้ แกมีโทไฟต์เป็นช่วงที่มีอายุยืนเช่นเดียวกับลิ
เวอร์-เวิร์ตและฮอร์นเวิร์ต
ส่วนสปอโรไฟต์ของมอสเจริญอยู่บนต้นแกมีโทไฟต์ และได้รับ
อาหารจากต้นแกมีโทไฟต์ตลอดชีวิตเช่นเดียวกันกับสปอโรไฟต์
ของลิเวอร์เวิร์ตและฮอร์นเวิร์ต ต้นสปอโรไฟต์มอสแบ่งออกเป็น 3
ส่วน คือ ส่วนโคนที่ฝังอยู่ในต้นแกมีโทไฟต์ ส่วนก้านซึ่งอาจสั้น
หรือยาวขึ้นกับชนิดของมอสและส่วนแคปซูลหรืออับสปอร์ที่สร้างส
ปอร์อยู่ภายใน แคปซูลของมอสมีฝาปิด (operculum) ซึ่งจะหลุด
ออกเมื่อสปอโรไฟต์เจริญเต็มที่ เมื่อฝาปิดหลุดออกแล้วจะเห็นแผ่
นบางๆ เป็นซี่ๆ เรียกเพอริสโทมทีธ(peristome teeth) เรียงตัว
รอบช่องเปิด แผ่นเพอริสโทมทีธมีจานวน 4-16 แผ่นขึ้นกับชนิดขอ
งมอส เมื่อสปอร์ถูกปลดปล่อยออกจากแคปซูลแล้ว สปอร์จะ
เจริญเป็นแกมีโทไฟต์ ส่วนต้นสปอโรไฟต์จะตายไป ดังนั้น สปอโร
ไฟต์ของมอสจึงมีอายุสั้นมากเช่นกัน

แกมีโทไฟต์ ส่วนคล้ายใบที่มี costa

ความหลายหลายทางชีวภาพ Plantae

Phylum Bryophyta

สปอโรไฟต์ของมอสส์ที่เจริญบนแกมีโทไฟต์

ฝาปิดที่ปลายแคปซูล เมื่อฝาปิดหลุดออกเห็น
peristome teeth อยู่รอบ
ช่องเปิดของแคปซูล

งวงชีวิตแบบสลับของมอส

VASCULAR
PLANT
พื ช ที่ มี ท่ อ ลำ เ ลี ย ง

• Seedless Vascular Plant
Phylum Lycophyta
Phylum Psilophyta
Phylum Sphenophya
Phylum Pterophyta

• Seed Vascular Plant
Gymnosperm
Phylum Conniferophyta
Phylum Cycadophyta
Phylum Gingkophyta
Phylum Gnetophyta
Gymnosperm
Phylum Anthophyta

Seedless
Vascular

Plant

พืชที่มีเนื้อเยื่อลำเลียงแต่ไม่มีเมล็ด

Phylum Lycophyta
Phylum Psilophyta
Phylum Sphenophya
Phylum Pterophyta

PHYLU LYCOPHYTA (ไฟลัมไลโคไฟตา)

สปอโรไฟต์ของพืชไฟลัมนี้มีราก ลำต้น และใบครบทุกส่วน มีลักษณะ
เป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก พวกที่เจริญอยู่บนพื้นดิน อาจมีลำต้นตั้ง
ตรงหรือทอดนอน บางชนิดอาศัยเกาะบนต้นไม้อื่น ลำต้นแตกกิ่งเป็น 2 แฉก ใบมี
ขนาดเล็ก เป็นใบแบบไมโครฟิลล์ (microphyll) คือเป็นใบที่มีเส้นใบเพียงเส้น
เดียว สปอโรไฟต์ที่เจริญเต็มที่แล้ว จะสร้างอับสปอร์บนใบที่มักมีรูปร่างและขนาด
แตกต่างไปจากใบที่พบทั่วไป เรียกใบชนิดนี้ว่า สปอโรฟิลล์ (sporophyll) ซึ่งจะ
มาเรียงซ้อนกันแน่นอยู่ที่ปลายกิ่งเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า สโตรบิลัส (strobilus)
หรือโคน (cone) พืชในดิวิชันนี้มีทั้งที่สร้างสปอร์ชนิดเดียวและ 2 ชนิด ตัวอย่างที่
รู้จักกันดีได้แก่ Lycopldium และ Selaginella

Lycopldium รู้จักในชื่อไทยว่า ช้องนางคลี่ สร้อยสุกรม สามร้อยยอด
และหางสิงห์เป็นต้น ที่พบในปัจจุบันมีประมาณ 200 ชนิด ใบในขนาดเท่า ๆ กัน
เรียงตัวเป็นเกลียวโดยรอบลำต้นและกิ่ง เป็นพืชที่สร้างสปอร์ชนิดเดียว แกมีโท
ไฟต์มีขนาดเล็ก บางชนิดมีคลอโรฟิลล์เจริญอยู่บนพื้นดิน บางชนิดไม่มีคลอโร
ฟิลล์เจริญอยู่ใต้ดิน

ตัวอย่างไฟลัมชนิดนี้คือ
Phylum Lycophyta เป็นพืชที่มีลำต้นและใบที่ทแจริง มีใบขนาดเล็ก มีเส้น
ใบ 1 เส้นที่ไม่แตกแขนง ที่ปลายกิ่งจะมีกลุ่มของใบที่ทำหน้าที่สร้างอับสปอร์ พืช
กลุ่มนี้ได้แก่ ไลโคโปเดียม เช่น สามร้อยยอด หางสิงห์ ซีแลกจิเนลลา เช่น ตีน
ตุ๊กแก และกระเทียมน้ำ

ส า ว ร้ อ ย ย อ ด rockหtาaงssสิeงl สf์ern

Creeping Club Moss ตีนตุ๊กแก

Coatbuttons

PHYLUM PSILOPHYTA (ไฟลัมไซโลไฟตา)

พืชในไฟลัมนี้ที่พบได้ในประเทศไทย ได้แก่ Psilotum รู้จักกันใน

ชื่อไทยว่า หวายทะนอย สปอโรไฟต์ของพืชนี้ มีรูปร่างลักษณะง่ายๆ คือมี

แต่ลำต้นยังไม่มีรากและใบ ลำต้นมีลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อนขนาดสูง

ประมาณ 20 –30 เซนติเมตร ขึ้นอยู่ตามพื้นดิน (tcrrestrial) หรือเกาะ

ติดกับต้นไม้อื่น (epiphyte) ลำต้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่

ใต้ดินเป็นลำต้นชนิดไรโซม (rhizome) มีสีน้ำตาล และมีไรซอยด์ทำหน้าที่

ดูดน้ำและแร่ธาตุ ลำต้นส่วนที่อยู่เหนือพื้นดิน (acrial stem) มีสีเขียว มี

ลักษณะเป็นเหลี่ยม ลำต้นส่วนนี้ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง ทั้งลำต้นใต้ดิน

และลำต้นเหนือพื้นดิน แตกกิ่งเป็น 2 แฉก (dichotomous branching)

ที่ส่วนของลำต้นเหนือพื้นดินมีระยางค์เล็กๆ (appcndage) ยื่นออกมาเห็น

ได้ทั่วไป สปอโรไฟต์ที่เจริญต้นที่จะสร้างอับสปอร์ที่มีรูปร่างเป็น 3 พู ที่

ซอกของระยางค์บนลำต้นเหนือพื้นดิน อับสปอร์สร้างสปอร์ชนิดเดียว แก

มีโทไฟต์มีขนาดเล็ก สีน้ำตาลไม่มีคลอโรฟิลล์ รูปร่างเป็นแท่งทรงกระบอก

แตกแขนงได้

หวายทะนอยระยะสปอโรไฟต์ อับสปอร์ของหวายทะนอย

PHYLUM SPHENOPHYTA (ไฟลัมสฟีโนไฟตา)

พื ชที่มีท่อลำเลียงในไฟลัมนี้มีเพี ยง วงศ์เดียว คือ
EQUISETACEAE แกมีโตไฟต์มีขนาดเล็ก เจริญอยู่ใต้ดิน สปอโรไฟต์มี
ขนาดใหญ่ อายุยืน มีซิลิกา ลำต้นเป็นข้อปล้องชัดเจน ปล้องเป็นร่อง
และสั้น ข้อมีใบแบบ ไมโครฟิลล์อยู่รอบข้อ เรียงแบบ WHORL เป็น
HOMOSPOROUS PLANT โดยสปอแรงเจียมเจริญอยู่บนโครงสร้างที่
เรียกว่า สปอแรงจิโอฟอร์ (SPORANGIOPHORE)

ส่วนมากสูญพั นธ์ไปแล้วเหลือเพี ยงสกุลเดียวคือ EQUISETUM
( หญ้าถอดปล้อง หรือหญ้าหางม้า) ลักษณะเด่น ช่วงชีวิตที่เห็นคือระยะ
SPOROPHYTE มีรากที่ แท้จริงลำต้นมีทั้งที่อยู่บนดินและใต้ดิน
(RHIZOME) ที่รากจะมี MYCORRHIZA ซึ่งจะช่วยในการ สลายสารที่พื ช
จะนำไปใช้ประโยชน์ ลำต้นบนดินมี 2 แบบ คือลำต้นที่แตกกิ่งก้านเป็นข้อ
ๆ มีสีเขียว ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง ซึ่งจะเป็นหมัน เรียกว่า STERILE
STEM ส่วนอีกต้นหนึ่งจะ ไม่มีการแตกกิ่งก้าน ตอนปลายสุดจะสร้าง
CONE ซึ่งจะทำหน้าที่สร้าง CELL สืบพั นธุ์เรียกว่า FERTILE STEM แต่
บางชนิดอาจจะไม่แบ่งเป็น FERTILE หรือ STERILE

หญ้าถอดปล้อง สนหางม้า

หญ้าเงือก หญ้าหูหนวก

PHYLUM PTEROPHYTA (ไฟลัมเทอโรไฟตา)

พืชดิวิชันนี้มีชื่อทั่วไปว่า เฟิร์น (fern) มีจำนวนมากที่สุดใน
บรรดาเทอโรไฟต์ของเฟิร์นมีราก ลำต้นและใบเจริญดี เฟิร์นส่วนใหญ่
มีลำต้นใต้ดิน ใบของเฟิร์นเรียกว่า ฟรอนด์ (frond) เป็นส่วนที่เห็นเด่น
ชัด มีขนาดใหญ่เป็นใบแบบเมกะฟิลล์ (megaphyll) มีรูปร่างลักษณะ
เป็นหลายแบบ มีทั้งที่เป็นใบเดี่ยว (simple leaf) และใบประกอบ
(compound leaf) ใบอ่อนของเฟิร์นมีลักษณะพิเศษคือ จะม้วนเป็นวง
(circinate venantion) สปอโรไฟต์ที่เจริญเต็มที่จะสร้างอับสปอร์ ซึ่ง
มารวมกลุ่มอยู่ที่ด้านได้ใบ แต่ละกลุ่มของอับสปอร์เรียกว่า ซอรัส
(sorus) เฟิร์นส่วนใหญ่สร้างสปอร์ชนิดเดียว ยกเว้นเฟิร์นบางชนิดที่
อยู่ในน้ำ และที่ชื้นแฉะ ได้แก่ จอกหูหนู แหนแดง และผักแว่นมีการสร้าง
สปอร์ 2 ชนิด
เฟิร์น (fern)

เฟิร์นที่พบทั่วๆ ไปเป็นต้นสปอโรไฟต์
การดำรงชีวิตของเฟิร์นในสภาพธรรมชาติ
แตกต่างกันมาก เช่น แหนแดง จอกหูหนู
ลอยน้ำอยู่ ผักแว่น ผักกูด ขึ้นอยู่ในน้ำ ชาย
ผ้าสีดาเกาะอยู่ตามต้นไม้เป็น Epiphyte ใบ
เฟิน เรียกว่า Fornd ซึ่งแต่ละชนิดแตก
ต่างกันออกไปมากมาย เช่น ใบของ
ข้าหลวงหลังลาย เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่
เฟิร์นก้านดำเป็นใบประกอบ ปรงทะเลมีใบ
ขนาดใหญ่ แต่แหนแดงมีใบขนาดเล็กมาก

ใบเฟิร์นทุกชนิดในขณะที่ยังอ่อนอยู่จะมี
การม้วนเข้าด้านในแบบลานนาฬิ กา เรียกว่า
Circinate vernation เมื่อใบเฟิร์นเจริญ
ขึ้นและมีอายุมากขึ้น ส่วนที่ม้วนจะค่อยๆ
คลายออก ทางด้านหลังใบของเฟิร์นจะมี
ส่วนที่ทำหน้าที่ในการสร้างสปอร์ เรียกว่า
อับสปอร์ และอับสปอร์เหล่านี้จะมารวมกัน
เป็นกลุ่มเรียกว่า sorus

Seed vascular
Plant

พืชที่มีระบบท่อลำเลียง มีเมล็ด

Gymnosperm

Division coniferophyta
Division Cycadophyta
Division Gingkophyta
Division gnetophyta

Angiosperm

Division Anthophyta

GYMNOSPERM

พื ช เ ม ล็ ด เ ป ลื อ ย

พืชเมล็ดเปลือย เป็นพืชมีเมล็ดกลุ่มหนึ่งที่ประกอบ
ด้วยสน ปรง แปะก๊วย และเนโทไฟตาคำ gymnosperm มาจาก
การรวมคำภาษากรีกโบราณ 2 คำคือ γυμνός (gumnós,
“เปลือย”) และ σπέρμα (spérma, “เมล็ด” สาเหตุที่เรียกพืช
เมล็ดเปลือยเนื่ องจากเมล็ดไม่ได้ถูกห่อหุ้มด้วยรังไข่เพราะไม่มีด
อกโดยเมล็ดเจริญบนแผ่นใบ โคนหรือเจริญอยู่เดี่ยว ๆ ดังที่พบ
ในสกุล Taxus Torreya และ Ginkgoต่างจากพืชดอกที่เมล็ด
ห่ อ หุ้ ม ด้ ว ย รัง ไ ข่ ซึ่ ง ต่ อ ม า เ จ ริญ เ ป็ น ผ ล

พื ช เ ม ล็ ด เ ป ลื อ ย แ ล ะ พื ช ด อ ก เ ป็ น ส อ ง ก ลุ่ ม ที่ ร ว ม กั น เ ป็ น
พืชมีเมล็ด (spermatophytes) พืชเมล็ดเปลือยประกอบด้วย 6
ไฟลัม 4 ไฟลัมที่ยังหลงเหลือ ได้แก่ ไซแคโดไฟตา
(Cycadophyta) กิงโกไฟตา (Ginkgophyta) เนโทไฟตา
(Gnetophyta) และพิโนไฟตา (Pinophyta) ขณะที่อีก 2 ไฟลัม
คือ เทอริโดสเปอร์มาโตไฟตา (Pteridospermatophyta) และ
คอร์ไดทาเลส (Cordaitales) นั้นสูญพันธุ์แล้วในบรรดา 4 ไฟ
ลัมที่ยังหลงเหลือ สนเป็นไฟลัมที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด รองลง
มาคือปรง เนโทไฟต์ (สกุลมะเมื่ อย เอฟิดรา เวลวิชเซีย) และ
แ ป ะ ก๊ ว ย

GYMNOSPERM

พื ช เ ม ล็ ด เ ป ลื อ ย

บางสกุล (Pinus) มีไมคอร์ไรซาอยู่ร่วมกับรากพืช บาง
สกุล (Cycas) มีรากพิเศษที่เรียกว่าคอรัลลอยด์ (coralloid) ที่
มี แ บ ค ที เ รีย ต รึง ไ น โ ต ร เ จ น ม า อ า ศั ย อ ยู่
พื ช เ ม ล็ ด เ ป ลื อ ย มี ช่ ว ง ส ป อ โ ร ไ ฟ ต์ เ ป็ น ช่ ว ง เ ด่ น ใ น ว ง จ ร ชี วิ ต เ ช่ น
เดียวกับพืชมีท่อลำเลียง สปอร์สองชนิดคือไมโครสปอร์และเม
กะสปอร์จะถูกสร้างที่โคนเพศผู้และโคนเพศเมียตามลำดับ ใน
ช่วงแกมีโตไฟต์ จะมีการสร้างละอองเรณูจากไมโครสปอร์ ขณะ
ที่ เ ม ก ะ แ ก มี โ ต ไ ฟ ต์ ห รือ เ ซ ล ล์ ไ ข่ จ ะ ถู ก ส ร้า ง จ า ก เ ม ก ะ ส ป อ ร์แ ล ะ ถู ก
เก็บไว้ในออวุ ล ระหว่างการถ่ายเรณู ละอองเรณูจะถูกลมหรือ
แมลงพาไปยังออวุ ลของอีกต้น ละอองเรณูจะผ่านเข้าช่องเล็ก
ๆ ของเยื่ อหุ้มออวุ ลไปพบกับเซลล์ไข่และเกิดการปฏิสนธิ หลัง
จ า ก นั้น ไ ซ โ ก ต จ ะ พั ฒ น า เ ป็ น เ อ็ ม บ ริโ อ แ ล ะ เ ม ล็ ด

GYMNOSPERM

PHYLUM CONIFEROPHYTA

ไ ฟ ลั ม โ ค นิ เ ฟ อ โ ร ไ ฟ ต า

ได้เเก่ พืชพวกสน เช่น สนสองใบ สนสามใบ มักพบในบริเวณ
ที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น ดอยอินทนนท์ ขุนตาล ภูกระดึง

ลั ก ษ ณ ะ ต้ น ส ป อ โ ร ไ ฟ ต์ ข อ ง พ ว ก ส น
- เป็นพืชยืนต้นขนาดใหญ่ ต้นสูงชะลูด
- ใบมีลักษณะคล้ายรูเข็ม มีคิวติเคิลหนาปกคลุม เเละใบมักอยู่
ร ว ม กั น เ ป็ น ก ลุ่ ม
- มีอวัยวะสืบพันธุ์เรียกว่า โคน ( cone ) หรือ สโตรบิลัส (
strobilus ) ลักษณะเป็นเกล็ดหรือ เเผ่นเเข็งที่เรียงซ้อ
นกันเเน่น เปลี่ยนเเปลงมาจากใบที่เรียงซ้อนกัน( สปอโรฟีลล์ )
- โคนมี 2 ชนิด คือ โคนตัวผู้ ทำหน้าที่สร้างไมโครสปอร์ที่จะ
เปลี่ยนเเปลงต่อไปเป็นละอองเรณูหรือเเกมีโทไฟต์เพศผู้ เเละ
โคนตัวเมีย ทำหน้าที่สร้างเมกะสปอร์ที่เปลี่ยนเเปลงไปเป็น เเก
มีโทไฟต์เพศเมียที่สร้างไข่ภายในโอวู ล
- เม็ดไม่มีผนังรังไข่หรือผลห่อหุ้ม เรียกว่า เมล็ดเปลือย (
naked seed ) เกิดขึ้นติดอยู่กับเเต่ละเกล็ดของโคนตัวเมีย

สนสองใบ

สนสามใบ

GYMNOSPERM

PHYLUM CONIFEROPHYTA

ไ ฟ ลั ม โ ค นิ เ ฟ อ โ ร ไ ฟ ต า

การสืบพันธุ์
- มีการถ่ายละอองเกสรโดยลม เมื่ อละอองเรณูตกลงบนโคนตัว
เ มี ย จ ะ เ จ ริญ ขึ้ น เ เ ล ะ ส ร้า ง ส เ ปิ ร์ม กั บ ห ล อ ด ล ะ อ อ ง เ ร ณู ที่ จ ะ นำ
สเปิร์มไปปฏิสนธิกับไข่เกิดไซโกตขึ้นภายในโอวู ล
- หลังปฏิสนธิ โอวู ลเปลี่ยนเเปลงไปเป็นเมล็ด ไซโกตจะเจริญ
ขึ้นกลายเป็นเอมบริโอ ที่จะเจริญต่อไปเป็น ต้นอ่อนของสปอโร
ไฟต์( young sporphyte ) ภายในเมล็ด
- เมล็ดที่เเก่จัด ปลิวไปตกในที่เหมาะสม งอกเป็นสปอโรไฟต์ต้น
ใหม่
ต้นเเกมีโทไฟต์ของสน มีขนาดเล็กมากเหลือเพียงไม่กี่เซลล ์
เเละอาศัยอยู่บนต้นสปอโรไฟต์ ได้เเก่ เเกมีโทไฟต์เพศผู้ คือ
ละอองเรณูที่จะสร้างสเปิร์มเมื่ อตกลงบนโคนตัวเมีย เเกมีโท
ไฟต์เพศเมีย อยู่ภายในโอวู ลทำหน้าที่สร้างรังไข่ พืชพวกสน
เจริญเติบโตเร็ว เพราะมีราไมคอไรซาอยู่ร่วมกับเซลล์ราก เเบบ
ภ า ว ะ ที่ ต้ อ ง พึ่ ง พ า ร า เ ป ลี่ ย น เ เ ป ล ง ฟ อ ส ฟ อ รัส ใ น ดิ น ใ ห้ อ ยู่ ใ น รู ป
ของสารที่รากสนดูดไปใช้ได้ อวัยวะสืบพันธุ์ของสน คือ โคน
สองชนิด ได้เเก่โคนตัวผู้เเละโคนตัวเมีย ภายในเเต่ละเกล็ดของ
โคนตัวเมีย มีโอวู ลที่จะสร้างเมกะสปอร์ ( n ) --> เเกมีโทไฟต์
เพศเมียซึ่งมีอาร์คีโกเนียมหลายอัน เเต่ละอันจะสร้างเซลล์
สืบพันธุ์คือไข่ ภายใจนเเต่ละเกล็ดของโคนตัวผู้ มีอับสปอร์
เรียกว่า ไมโครสปอร์เเรงเจีย ซึ่งภายในมีการเปลี่ยนเเปลงดังนี้
เซลล์เเม่ของไมโครสปอร์ ( 2n ) --> ไมโครสปอร์ ( n ) -->
ละอองเรณู ( เเกมีโทไฟต์เพศผู้ที่ยังเจริญไม่เต็มที่ ) เมื่ อถ่าย
ละอองเกสร ละอองเรณูเจริญขึ้นงอกเป็นหลอดเข้าไปในในไข่
เเละสร้างสเปิร์ม เข้าไปปฏิสนธิกับไข่เกิดเอมบริโอภายในเมล็ด
ที่ จ ะ ง อ ก เ ป็ น ต้ น ส ป อ โ ร ไ ฟ ต์ ข น า ด ใ ห ญ่

GYMNOSPERM

PHYLUM CYCADOPHYTA

ไ ฟ ลั ม ไ ซ แ ค โ ด ไ ฟ ต า

เป็นพืชที่เรียกทั่วไปว่า Cycads หรือปรง พบได้ตั้งแต่
ยุค Permian และแพร่กระจายมากในยุค Jurassic ในปัจจุบัน
เหลือประมาณ 9 สกุล 100 ชนิด ชอบขึ้นในเขตร้อน พบทั่วไปใน
ป่าเต็งรัง ในประเทศไทยพบ 1 สกุลคือ Cycad เช่น C. rumpii
(ปรงทะเล) C. siamensis (มะพร้าวเต่า) C.
circinalis(มะพร้าวสีดา) C. micholitzii (ปรง)

พืชในกลุ่มนี้เป็นพืชบก มีลักษณะคล้ายพวกปาล์ม
ลำต้นตรง ไม่มีการแตกกิ่ง อาจมีลำต้นใต้ดิน หรือลำต้นอยู่
ใต้ดินทั้งหมด มีแต่ใบที่โผล่ขึ้นเหนือดินเป็นกอ มีการเติบโตช้า
มากโดยทั่วไปสูงประมาณ 1 เมตรแต่บางชนิดอาจสูงถึง 18
เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ติดกับลำต้นแบบวนเป็น
เกลียว ใบมักเป็นกระจุกอยู่ที่ยอดลำต้น ที่ลำต้นส่วนล่าง ๆ จะ
เห็นรอยแผลเป็นที่ก้านใบเก่าร่วงไป ใบจะมีอายุยืนติดทนนาน
ใบอ่อนมีลักษณะคล้ายใบเฟินคือ ม้วนงอ โดยปลายใบย่อยจะ
ม้ ว น ง อ เ ข้ า ห า แ ก น ก ล า ง ข อ ง ก้ า น ใ บ

ม ะ พ ร้า ว เ ต่ า ปรง

GYMNOSPERM

PHYLUM CYCADOPHYTA

ไ ฟ ลั ม ไ ซ แ ค โ ด ไ ฟ ต า

มีการสร้างสปอร์ 2 ชนิดคือ ไมโครสปอร์ จะเกิดอยู่ใน
ไมโครสปอแรนเจียม ซึ่งอยู่บนไมโครสปอโรฟิล และอยู่กันเป็นก
ลุ่มในสโตรบิลัสเพศผู้ (Male strobilus) ส่วนเมกะสปอร์จะอยู่
ใ น เ ม ก ะ ส ป อ แ ร น เ จี ย ม ซึ่ ง เ กิ ด อ ยู่ บ น เ ม ก ะ ส ป อ โ ร ฟิ ล แ ล ะ อ ยู่ ร ว ม
กันเป็นกลุ่มเรียกว่า สโตรบิลัสเพศเมีย (Female strobilus) จะ
ทำหน้าที่สร้างเมกะสปอร์ ซึ่งสโตรบิลัสเพศผู้และสโตรบิลัสเพศ
เมียจะแยกกันอยู่คนละต้น (Dioecious plant) โดยมักเกิดอยู่ที่
ยอดลำต้นเมื่ อไข่ในเมกะสปอแรนเจียมได้รับการผสมก็จะเจริญ
เป็นเมล็ด ปรงมีรากแก้วขนาดใหญ่ มีระบบรากแขนง และอาจ
พบ Nastoc หรือ Anabaena อาศัยอยู่ร่วมด้วย วงชีวิตเป็น
แบบสลับSporophyte มีขนาดใหญ่เป็นที่อยู่ของ
Gametophyte

GYMNOSPERM

PHYLUM GINGKOPHYTA

ไ ฟ ลั ม กิ ง โ ก ไ ฟ ต า

ไฟลัมกิงโกไฟตา พืชในไฟลัมนี้คือ แป็ะก๊วย (Ginko
biloba) และสนปรง เรียกรวมกันว่า พวกจิมโนสเปิร์ม
(Gymnosperm) ซึ่งหมายถึงพืชมีเมล็ดแต่ไม่มีอะไรมาห่อหุ้ม
เมล็ด ใบกว้าคล้ายรูปพัด ชอบขึ้นในเขตหนาว เช่น จีน ญี่ปุ่น
เกาหลี พืชชนิดนี้มีเมล็ดเปลือย (naked seed) ขนาดใหญ่ รับ
ป ร ะ ท า น ไ ด้ ใ น รู ป ข อ ง ห ว า น
ลั ก ษ ณ ะ โ ด ย ทั่ ว ไ ป

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูงประมาณ 30-40 เมตร แตก
กิ่งก้านสาขามากมาย ลำต้นสีน้ำตาล เมื่ ออายุมากขึ้นจะเกิดการ
เจริญขั้นที่สองใบคล้ายพัดจีน ใบเรียงตัวแบบสลับ (alternate)
ใบมีลักษณะเฉพาะ คือเป็นร่องลึกบริเวณกลางใบทำให้เห็นเป็น
สองพู อย่างชัดเจน จึงได้ชื่ อว่าGinkgo biloba (two lobes)
นั่นเองใบมีสีเขียวและจะเปลี่ยนเป็นสีทอง ในฤดูใบไม้ร่วง
สวยงามมาก แป๊ะก๊วยมีอายุยืนนานหลายปี อาจถึงพันปี ซึ่งเคย
พบอายุถึง 3,500 ปี

GYMNOSPERM

PHYLUM GINGKOPHYTA

ไ ฟ ลั ม กิ ง โ ก ไ ฟ ต า

ก า ร สื บ พั น ธุ์
ต้ น แ ป๊ ะ ก๊ ว ย ที่ พ บ ทั่ ว ไ ป เ ป็ น ต้ น ส ป อ ร์โ ร ไ ฟ ต์ ที่ แ ย ก เ พ ศ

(dioecious) เหมือนกับ Gymnosperm ชนิดอื่ นๆ ต้นตัวผู้
สร้าง microsporangia อยู่บนกิ่งสั้นๆ (spur shoots) เรียก
โครงสร้างนี้ว่า male cone ต้นตัวเมียสร้างสร้าง
megasporangia ภายในมี ovules ซึ่งจะเจริญต่อไปเป็นเมล็ด
การถ่ายละอองเรณูเกิดเมื่ อมีลมพัด pollen grain ตกลงบน
megasporangia และ ไข่ได้รับการผสมเมื่ อเจริญเต็มที่ ส่วน
ข อ ง เ ป ลื อ ก หุ้ ม เ ม ล็ ด ชั้น น อ ก สุ ด จ ะ นุ่ ม เ ล ะ แ ล ะ ส ล า ย ไ ป แ ล ะ มี ก ลิ่ น
เหม็นหืนเนื่ องจากมีจำพวกกรดบิวตาลิก

แป๊ะก๊วยมีประโยชน์ ส่วนเมล็ดนำมาสกัดหรือรับ
ประทานป้องกันโรคความจำเสื่ อม (Alzheimer) นอกจากนี้ยัง
นำมารักษาโรคอื่ นๆ โรคหืด โรคภูมิแพ้ และบรรเทาอาการไอ
ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น สารสกัดจากใบแป๊ะก๊วยช่วย
รักษาความสมบูรณ์ของ ผนังเส้นเลือดฝอย นำไปใช้ในผู้ป่วยที่
เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ในประเทศจีนถือว่าแป๊ะก๊วยเป็นไม้
ม ง ค ล ด้ ว ย

GYMNOSPERM

PHYLUM GNETOPHYTA

ไ ฟ ลั ม นี โ ท ไ ฟ ต า

เป็นพืชกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกเพียง 3 สกุลคือ
Gnetum Ephedra และ Welwitshia
มีลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกับพืชดอก จึงจัดเป็น
Gymnosperm ที่มีวิวัฒนาการสูงสุด ส่วนใหญ่พบในเขตแห้ง
แล้งหรือทะเลทราย บางชนิดพบในเขตร้อนพืชในกลุ่มนี้มีทั้งไม้
พุ่ม ไม้เลื้ อย ใบเป็นใบเดี่ยวติดกับลำต้นแบบตรงข้ามหรือเรียง
รอบข้อ เนื้ อไม้มีการเจริญขั้นที่สองและมี เวสเซล โดยทั่วไปจะ
แยกเป็นต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย มีการสร้างอวัยวะสร้างเซลล์
สืบพันธุ์เพศเมียบนช่องสโตรบิลัส เพศเมียซึ่งมีออวุ ลแต่ละออวุ
ลมีนูเซลลัส (Nucellus) ล้อมรอบเซลล์สีบพันธุ์เพศผู้สร้างบน
ช่อสโตรบิลัสเพศผู้ ผสมพันธุ์แล้วได้เมล็ดที่ต้นอ่อนภายในเมล็ด
มีใบเลี้ยง 2 ใบ

ตัวอย่างของพืชชนิด นีทัม (Gnetum) ที่พบใน
ประเทศไทย เช่น มะเมื่ อย (Gnetum gnemon L.) วงศ์นี้เป็น
วงศ์ที่พืชมีลักษณะเจริญที่สุด พืชมีลักษณะเป็นไม้เลื้ อยหรือไม้
ยืนต้น เนื้ อไม้มีการเจริญขั้นที่สอง ใบเดี่ยวแผ่กว้าง มีเส้นใบ
เรียงตัวเป็นร่างแห ใบติดกับลำต้นแบบตรงข้าม ต้นแยกเป็นตัว
เพศผู้และต้นเพศเมีย สโตรบิลัสมีลักษณะคล้ายช่อดอกแบบส
ไปค์ พืชวงศ์นี้มีลักษณะใกล้เคียงคล้ายใบเลี้ยงคู่มาก

GYMNOSPERM

PHYLUM GNETOPHYTA

ไ ฟ ลั ม นี โ ท ไ ฟ ต า

ส่วนอีเฟดรา (Ephedra) เป็นพืชที่มีลักษณะทั่วไปเป็น
ไม้พุ่ม ขึ้นอยู่ในที่แห้งแล้งดินทรายอาจสูงถึง 2 เมตร ลำต้นยืด
ยาวมีสีเขียวเห็นข้อและปล้องชัดเจน ใบเป็นใบเกล็ดที่ข้อลำต้น
ข้อละ 2 ใบ แบบตรงข้าม หรือแบบรอบข้อ มีการสร้างเซลล์
สืบพันธุ์อยู่คนละต้น โดยต้นเพศผู้จะสร้างสโตรบิลัสเพศผู้ ซึ่ง
ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย แ บ ร ค ซ้ อ น กั น แ ล ะ มี ไ ม โ ค ร ส ป อ ร โ ร ฟิ ล ที่ ส ร้า ง อั บ ส
ปอร์เพศผู้ ส่วนต้นเพศเมียจะสร้างสโตรบิลัสเพศเมียซึ่ง
ประกอบด้วยแบรคที่สร้างออวุ ลไว้ภายใน ซึ่งหลังจากการผสม
พันธุ์ แล้วก็เจริญเป็นเมล็ด Ephedra นี้มีความสำคัญทางการ
แพทย์เพราะเป็นแหล่งให้สารเอฟฟิดริน (Ephedrine) ซึ่งใช้
รัก ษ า โ ร ค ห อ บ หื ด เ พ ร า ะ มี ฤ ท ธิ์ ข ย า ย ห ล อ ด ล ม

พืชในสกุล เวลวิชเซีย (Welwitschia) มักขึ้นอยู่ตาม
ทะเลทรายแห้งแล้ง ลักษณะลำต้นเป็นทรงแท่งรูปกรวย มีราก
ยาว มีใบ 2 ใบ ใหญ่ยาวเป็นแถบติดกับลำต้นแบบตรงข้าม เส้น
ใบเรียงขนาน ใบคู่นี้จะติดกับลำต้นไปจนตลอดชีวิต ซึ่งอาจ
มากกว่า 100 ปี ใบที่ยาวประมาณ 2 เมตรนี้ จะม้วนงอเป็น
ริบบิ้น ปลายใบจะเหี่ยวแห้งขาดไปขณะที่ ฐานใบจะงอกออก มา
ใหม่ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ อาจแยกเป็นต้นเพศผู้ ซึ่งจะสร้าง
สโตรบิลัสเพศผู้ ซึ่งมีไมโครสปอร์ ส่วนต้นเพศเมียจะสร้างสโต
รบิลัสเพศเมียซึ่งมีออวุ ล เมื่ อผสมพันธุ์จะเจริญเป็นเมล็ด

ANGIOSPERM

พื ช ด อ ก

นักวิทยาศาสตร์คาดว่าพืชดอกหรือแองจิโอสเปิร์ม
(angiosperm) มีวิวัฒนาการแยกจากพืชเมล็ดเปลือยเมื่ อราว
350 ล้านปีมาแล้ว จากหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่
พบมีอายุ 130 ล้านปี ทำให้สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของพืชดอก
น่าจะเป็นพืชมีเนื้ อไม้ขนาดเล็ก ดอกเดี่ยว มีฐานรองดอกยื่ นยาว
และมีใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่เป็นกลีบรวม อับเรณูยังมี
ลักษณะยาวแบนคล้ายใบ ดอกในระยะแรกน่าจะกระจายเรณูโดย
ลม พืชดอกปัจจุบันที่มีลำดับพันธุกรรมดึกดำบรรพ์ที่สุด คือ
Amborella trichopoda ซึ่งพบในป่าฝนเขตร้อนชื้ นบนเกาะ
นิ ว ค า ลิ โ ด เ นี ย ใ น ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟิ ก ต อ น ใ ต้

ANGIOSPERM

พื ช ด อ ก

พืชดอกหรือแองจิโอสเปิร์ม มีลักษณะร่วมกันที่สำคัญ
ได้แก่ การมีเนื้ อเยื่ อห่อหุ้มเมล็ด ( ตรงตามชื่ อ angiosperm
ซึ่งมาจากคำว่า angios = vessel หมายถึงวัตถุที่มีสิ่งหุ้มห่อ
และสเปิร์มซึ่งในที่นี้หมายถึงเมล็ด) มีการปฏิสนธิซ้อน (double
fertilization) ซึ่งทำให้เกิดเอ็มบริโอและเอนโดสเปิร์ม

นักวิทยาศาสตร์คาดว่าพืชดอกประสบความสำเร็จในแง่
วิวัฒนาการเนื่ องจากการวิวัฒนาการร่วม (coevolution) กับ
แมลงซึ่งปรากฏขึ้นบนโลกในช่วงต้นของมหายุคซีโนโซอิก โดย
ก า ร ส ร้า ง ด อ ก แ ล ะ น้ำ ห ว า น ที่ ทำ ห น้ า ที่ เ ชิ ญ ช ว น แ ม ล ง เ ข้ า ม า ผ ส ม
เกสร โดยที่แมลงก็ได้รับประโยชน์เป็นอาหารจากน้ำหวานจาก
ดอกไม้ การวิวัฒนาการร่วมกันนี้ทำให้โอกาสของการถ่าย
ล ะ อ อ ง เ ร ณู ร ะ ห ว่ า ง ต้ น ข อ ง พื ช ด อ ก มี ม า ก ขึ้ น แ ล ะ ก ว้ า ง ไ ก ล ขึ้ น
ผิ ด กั บ ก า ร ถ่ า ย ล ะ อ อ ง เ ร ณู โ ด ย ก า ร ใ ช้ ล ม ข อ ง พื ช พ ว ก เ ม ล็ ด
เปลือย ซึ่งต้องผลิตละอองเรณูจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์
และไม่สามารถไปได้ไกล

ANGIOSPERM

PHYLUM ANTHOPHYTA

ไ ฟ ลั ม แ อ น โ ท ไ ฟ ต า

ได้เเก่ พืชมีดอกทั่วไป มีทั้งไม้พุ่ม ไม้เนื้ ออ่อน ไม้ยืนต้น
รวมทั้งพืชลักษณะเเปลกๆ เช่น กระบองเพชร พืชที่มีปรสิต พืช
น้ำ เช่น จอก เเหน สนทะเล สาหร่ายหางกระรอก ซึ่งมีดอก
ขนาดเล็กหรือไม่ค่อยจะออกดอกด้วย พืชมีดอก พบอยู่ใน
บริเวณนิเวศธรรมชาติเเทบทุกเเห่ง มีชนิดเเละจำนวนมากที่สุด
ในยุคปัจจุบัน ถึงประมาณ 230,000 สปีชีส์

มีประโยชน์ต่อมนุษย์เเละสัตว์ เป็นทั้งเเหล่งอาหาร ยา
รักษาโรค ที่อยู่อาศัย เเละเเหล่งวัตถุดิบจากธรรมชาติ พืชดอก
เชื่ อว่าวิวัฒนาการจาก จิมโนสเปิร์มกลุ่มหนึ่งที่มีโคนตัวผู้เเละ
โคนตัวเมียรวมเป็นโคนเดียวกัน เเละมีสัตว์ช่วยในการถ่าย
ละอองเรณู ซึ่งปัจจุบันสูญพันธุ์ไปเเล้ว เเละมีการพัฒนาให้โอวู ล
ถูกห่อหุ้มอยุ่ภายในรังไข่เพื่ อป้องกันไม่ให้สัตว์ถูกกิน เเละรักษา
ความชุ่มชื้ นไว้โดยโอวู ลมีขนาดเล็กลงเเละพัฒนาส่วนอื่ นๆ ของ
ดอกไม้เช่น กลีบดอก เพื่ อดึงดูดเเมลง เเละสัตว์อื่ นช่วยผสม
เกสร เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการผสมพันธุ์ ดังนั้นพืช
มีดอกมีวิวัฒาการอาศัยอยู่บนบกดีกว่าพืชในดิวิชันอื่ นๆ

- SUBDIVISION MONOCOTYLEDONAE
พืชใบเลี้ยงใบเดี่ยวเส้นของใบเรียงขนานกัน จำนวนกลีบดอกเป็น3 หรือ
ทวีคูณของ 3 การจัดเรียงท่อน้ำอาหารในลำต้น กระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบ
เช่น มะพร้าว อ้อย

ANGIOSPERM

PHYLUM ANTHOPHYTA

ไ ฟ ลั ม แ อ น โ ท ไ ฟ ต า

- SUBDIVISION DICOTYLDONAE
พืชใบเลี้ยงคู่มีใบเลี้ยงสองใบเส้นของใบสานกันเป็นร่างแห จำนวนกลีบดอก
เป็น 4 หรือ 5 หรือจำนวนที่เป็นทวีคูณของ 4 หรือ 5 การจัดเรียงท่อน้ำท่อ
อาหารเป็นระเบียบโดยมีท่ออาหารอยู่ภายนอก ท่อน้ำอยู่ภายใน เช่น ถั่ว
กุหลาบ

ก า ร ป ฏิ ส น ธิ ซ้ อ น

Sporophyte เป็นช่วงชีวิตเด่น ทำหน้าที่ในการสร้าง Spore
เป็น Heterospore
Megaspore เจริญเป็น Female gametophyte
Microspore เจริญเป็น Male gametophyte
Gametophyte มีขนาดเล็กมาก และต้องอาศัย Sporohyte
ตลอดชีวิต
Female gametophyte : Embryo sac (ถุงเอมบริโอ)
Male gametophyte : Pollen (ละอองเรณู)

อ้างอิง

TINYWORLD. (2560). อาณาจักรพืช (KINGDOM PLANTAE). สืบค้น
เมื่อ 2 มกราคม 2566, จาก
HTTP://WWW.TINYWORLD2013.COM/ARTICLE/11/%E0%B8%A
D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0
%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%
B7%E0%B8%8A-KINGDOM-PLANTAE

NGTHAI. (2565). อาณาจักรพืช (KINGDOM PLANTAE). สืบค้นเมื่อ 2
มกราคม 2566, จาก
HTTPS://NGTHAI.COM/SCIENCE/41278/PLANTAE-KINGDOM/

สถาบันนวัฒกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มหาลัยมหิดล. (2563).
วิวัฒนาการพืช. สืบค้นเมื่อ 2 มกราคม 2566, จาก
HTTPS://IL.MAHIDOL.AC.TH/E-MEDIA/150CHARLES-
DARWIN/LESS7_3_2_2_1.HTML

ครูนันทนา สำเภา โรงเรียนปทุมราชวงศา. (2559). ความหลากหลายของพืช.
สืบค้นเมื่อ 1 มกราคม 2566, จาก HTTP://WWW.NANA-BIO.COM/E-
LEARNING/BIODIVERSITY/BIODIVERSITYPLANT06/BIODIVERS
ITYPLANT06.HTML

POKAEW_B. (2559). PHYLUM ANTOCEROPHYTA. สืบค้นเมื่อ 1
มกราคม 2566, จาก
HTTPS://SITES.GOOGLE.COM/SITE/POKAEWB/BTH-THI-1-
XANACAKR-PHUCH/1-1-PHUCH-MIMI-THX-LALEIYNG/1-1-2-
DIVISION-ANTHOCEROPHYTA

คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. (2558). PHYLUM
HEPATOPHYTA. สืบค้นเมื่อ 1 มกราคม 2566, จาก
HTTP://WWW.SCI.NU.AC.TH/BIOLOGY/BIODIVERSITY/บท
ที่%204/CHAP4_3.HTM

PLANTAE

-KINGDOM PLANTAE-


Click to View FlipBook Version