ความงดงามของพระลอ
และมาตรฐานความงามในสมัยอยุธยา
จัดทำโดย
๑. นายอนันตญ โสดาจันทร์ เลขที่ ๘
๒. นายวิชิตพงษ์ กันยามา เลขที่ ๑๖
๓. นางสาวฐิติรัตน์ ยามประโคน เลขที่ ๒๙
๔. นางสาววรณัฎฐ์ ถึงประชา เลขที่ ๓๑
๕. กรกัญญา เหลาผา เลขที่ ๓๓
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔/๘
เสนอ
คุณครูกรรณิการ์ พลพวก
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนประกอบของ
รายวิชาภาษาไทย ( ท31102 )
โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช อำเภอเมืองอุบลราชธานี
จังหวัดอุบลราชธานี
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานรายวิชาภาษาไทย เรื่องลิลิตพระลอ ซึ่งศึกษาเรื่องความ
งดงามของพระลอและมาตรฐานความงามในสมัยอยุธยา เป็นอีกหนึ่ง
โครงการที่ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง เกิดความสามัคคี
และความรับผิดชอบในกลุ่ม และสามารถต่อยอดในการศึกษาในครั้งถัดๆไป
การจัดทำโครงงานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จากการศึกษาค้นคว้า และ
แหล่งอ้างอิงต่างๆ ขอขอบคุณนักเรียนในกลุ่มทุกคนที่ให้ความร่วมมือและ
ความช่วยเหลือให้โครงงานสำเร็จลุล่วงได้เป็นอย่างดี
คณะผู้จัดทำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
การศึกษาวิชาภาษาไทยมีประโยชน์ช่วยพัฒนาทักษะสื่อสารในชีวิตประจำ ภาษาไทย
เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตปรระจำวัน การศึกษา รวมถึงการทำงาน
หลักสูตรสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม
กำหนดมาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม
ไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ภาค
เรียนที่ ๒ กำหนดสาระการเรียนรู้เรื่อง วรรณคดีสมัยสุโขทัย ให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่ม
เติม เพื่อให้ได้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม สภาพสังคม และเหตุการณ์บ้านเมือง ควบคู่กันไป
กับวิวัฒนาการของวรรณคดีในสมัยสุโขทัย อีกทั้งช่วยเพิ่มความเข้าใจและความซาบซึ้งใน
คุณค่าของวรรณคดี
กลุ่มข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ศึกษาค้นคว้าเรื่อง ความงดงามของพระลอและ
มาตรฐานความงามในสมัยอยุธยา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกันแล้วเห็นว่าควรนำเสนอในรูปแบบ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e – book) เพราะสามารถอ่านได้ทุกที่ สามารถใช้โปรแกรม
คอมพิวเตอร์สร้างสรรค์หนังสือที่มีสีสัน ภาพ เสียง ที่น่าสนใจ ไม่น่าเบื่อหน่ายได้ และยังมี
ประโยชน์ ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการอ่านวรรณคดี ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งได้ฝึก
การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม รู้จักการประสานงานร่วมกันที่ดี ฝึกทักษะการใช้ภาษา หรือการใช้
คำในการแต่งเรื่อง รวมถึงฝึกทักษะการเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการได้
เป็นอย่างดี
ในการศึกษาวิจัยเรื่อง ได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
โดยนำเสนอตามรายละเอียดดังหัวข้อต่อไปนี้
๑. เนื้อเรื่องของลิลิตพระลอ
๒. ผู้แต่งและปีที่แต่ง
๓. บทชมความงามของพระลอ
๔. เปรียบเทียบกับความงามในสมัยอยุธยา
๕. การจำลองหน้าตาโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์
๑. เนื้อเรื่องของลิลิตพระลอ
ลิลิตพระลอ เป็นลิลิตโศกนาฏกรรมความรัก ที่แต่งขึ้นอย่างประณีตงดงาม มีความ
ไพเราะของถ้อยคำ และเต็มไปด้วยสุนทรียศาสตร์ พร
รณนาเรื่องด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ใช้กวี
โวหารอย่างยอดเยี่ยม ในการบรรยายเนื้อเรื่อง ที่มีฉากอย่างมากมาย หลากหลายอารมณ์ โดยมี
แก่นเรื่องแบบรักโศก หรือโศกนาฏกรรม และแฝงแง่คิดถึงสัจธรรมของชีวิต ลิลิตพระลอนี้เคยถูก
วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนจากนักวรรณคดีบางกลุ่ม เนื่องจากเชื่อว่าเป็นวรรณกรรมที่มอมเมาทางโลกีย์
ลิลิตพระลอที่ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้เป็นยอดแห่งลิลิต
ท้าวแมนสรวงเป็นกษัตริย์ของเมืองแมนสรวง พระองค์มีพระมเหสีทรง พระนามว่า “
นาฏบุญเหลือ ” ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสมีพระนามว่า “ พระลอดิลกราช ” หรือเรียกกันสั้น ๆ
ว่า “ พระลอ ” มีกิตติศัพท์เป็นที่ร่ำลือกันว่าพระองค์นั้นทรงเป็นชายหนุ่มรูปงามไปทั่วสารทิศจนไป
ถึงเมืองสรอง ( อ่านว่า เมืองสอง ) ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกปกครองโดยท้าวพิชัยวิษณุกร พระองค์มี
พระนามว่า “ พรดาราวดี ” และพระองค์ทรงมีพระธิดาผู้เลอโฉมถึงสองพระองค์พระนามว่า “
พระเพื่อน ” และ “ พระแพง ”
พระเพื่อนและพระแพงได้ยินมาว่า พระลอเป็นชายหนุ่มรูปงาม ก็ให้ความสนใจอยากจะ
ได้ยล พี่เลี้ยงของพระเพื่อนและพระแพงคือนางรื่น และนางโรยสังเกตเห็นความปรารถนาของ
นายหญิงของตนก็เข้าใจในพระประสงค์ สองพี่เลี้ยงจึงอาสาจะจัดการให้นายของตนนั้นได้พบกับ
พระลอ โดยการส่งคนไปขับซอในนครแมนสรวง และในขณะที่ขับซอนั้นจะไห้นักดนตรีพร่ำ
พรรณนาถึงความงามของเจ้าหญิงทั้งสอง ในขณะเดียวกันนั้นพี่เลี้ยงทั้งสองก็ได้ไปหา
ปู่เจ้าสมิงพราย เพื่อที่จะให้ช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอหลงใหลในเจ้าหญิงทั้งสอง
เมื่อพระลอต้องมนต์ก็ทำให้ใคร่อยากที่จะได้ยลพระเพื่อนและพระแพงเป็นยิ่งนัก
พระองค์เกิดความคลั่งไคล้ไหลหลงจนไม่เป็นอันทำอะไรแม้แต่กระทั่งเสวยพระกระยาหาร
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพระองค์ ได้ทำให้พระราชชนนีสงสัยว่าจะมีผีมาเข้ามาสิงสู่อยู่แต่ถึง
แม้ว่าจะหาหมอผีคนไหนมาทำพิธีขับไล่ก็ไม่มีผลอันใด พระลอก็ยังคงมีพฤติการณ์อย่างเดิมอยู่
เพื่อที่จะได้ยลเจ้าหญิงทั้งสอง พระลอจึงทูลลาพระราชชนนีออกประพาสป่า แต่จุด
ประสงค์ที่แท้จริงก็คือ เพื่อที่จะได้ไปยลเจ้าหญิงแห่งเมืองสรองนั่นเอง จากนั้นพระลอก็ออก
เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองสรองพร้อมคนสนิทอีก ๒ คน คือ นายแก้ว กับนายขวัญ พร้อมกับ
ไพร่พลอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดต้องเดินผ่านป่าผ่าดงจนกระทั่งมาพบแม่น้ำสายหนึ่งมีชื่อว่า “
แม่น้ำกาหลง ”
และที่แม่น้ำกาหลงนี้เอง ที่พระลอได้ตั้งอธิษฐานว่าหากตนเองได้รอดกลับมาน้ำจะใส
และไหลตามปรกติแต่หากต้องตายให้น้ำกลายเป็นสีเลือดและไหลผิดปรกติ หลังจากคำอธิษฐาน
นั้น แม่น้ำก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในทันทีและไหลเวียนวนผิดปกติ เมื่อพระลอเห็นดังนั้นก็รู้ได้ว่า
จะมีเรื่องร้ายรออยู่เบื้องหน้าของพระองค์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พระองค์เกิดความย่อท้อที่จะได้พบกับ
เจ้าหญิงที่พระทัยของพระองค์เรียกร้องแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าพระองค์นั้นจะไม่เคยพบนางเลย แต่
พระองค์คลั่งไคล้ไหลหลงในตัวนางทั้งสองเป็นยิ่งนัก
ส่วนเจ้าหญิงทั้งสองรอการเดินทางมาของเจ้าชายรูปงามไม่ได้ และเกรงว่ามนต์เสน่ห์ของ
ปู่เจ้าสมิงพรายจะไม่เห็นผล จึงได้ขอร้องให้ปู่เจ้าสมิงพรายช่วยเหลืออีกครั้ง โดยให้ช่วยเนรมิต
ไก่งามขึ้นตัวหนึ่งให้มีเสียงขันที่ไพเราะ ทั้งสองพระองค์คิดว่าไก่ตัวนั้นจะต้องทำให้พระลอสน
พระทัยและติดตามมาจนถึงเมืองสรองอย่างแน่นอน
และแล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่เจ้าหญิงสองคาดไว้ พระลอได้ตามไก่เนรมิตไป
จนถึงพระราชอุทยาน และได้พบกับเจ้าหญิงทั้งสองซึ่งกำลังทรงสำราญอยู่ ในทันทีที่ทั้ง
สามได้พบกันก็เกิดความรักใคร่กันในบัดดล และก็เป็นเวลาเดียวกับที่นายแก้วกับนายขวัญ
ได้ตกหลุมรักของนางรื่นและนางโรยผู้ซึ่งเปิดหัวใจต้อนรับชายหนุ่มทั้งสองโดยไม่รีรอเช่นกัน
ปรากฏว่าพระลอและบ่าวคนสนิทของพระองค์ลักลอบเข้าไปอยู่ในพระตำหนักชั้นในซึ่งเป็น
ที่ประทับของเจ้าหญิงทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม ความลับนี้ได้ถูกเปิดเผยเข้าจนได้ เมื่อข่าวได้ไปถึงพระกรรณของ
พระราชาจึงได้เสด็จมาไต่สวนในทันที และเมื่อพระลอกราบทูลให้ทรงทราบเรื่อง พระองค์
ก็ทรงกริ้วเป็นยิ่งนัก แต่ก็ทรงเข้าพระทัยในความรักของคนทั้งสาม และทรงจัดพิธีอภิเษก
สมรสให้ทั้งสามพระองค์ทันที
ด้วยการอ้างเอาพระราชโองการของพระราชโอรสของพระนางคือ ท้าวพระพิชัย
วิษณุกร พระเจ้าย่าจึงสั่งให้ทหารล้อมพระลอและไพร่พลเอาไว้ ในขณะที่พระลอกับ
ไพร่พลได้ต่อสู้เอาชีวิตรอด พระนางก็สั่งให้ทหารระดมยิงธนูเข้าใส่ ลูกธนูที่พุ่งเข้าหา
พระองค์และไพร่พลประดุจดังห่าฝนก็ไม่ปานจึงทำให้ไม่อาจจะต้านทานไว้ได้อีกต่อไป
และเพื่อที่ปกป้องชีวิตของชายคนรักพระเพื่อนกับพระแพงจึงเข้าขวางโดยใช้ตัวเอง
เป็นโล่กำบังให้พระลอ ทั้งสามจึงต้องมาสิ้นพระชนม์ในอ้อมกอดของกันและกันท่ามกลาง
ศพของบ่าวไพร่ ณ ที่ตรงนั้นเอง ทันใดนั้นทั้งสองเมืองก็ต้องตกอยู่ในความวิปโยคต่อการ
จากไปของทั้งสามพระองค์ผู้บูชาในรักแท้
๒. ผู้แต่งและปีที่แต่ง
ทั้งเรื่องผู้แต่งและปีที่แต่ง ไม่ปรากฏหลักการหรือข้อความระบุที่ชัดเจน แต่อาจอาศัยเนื้อ
เรื่องที่ระบุถึงสงครามระหว่างไทยและเชียงใหม่มาเป็นจุดอ้างอิง ซึ่งเดิมนั้นเชื่อว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน และเป็นที่ถกเถียงกันมา
จวบจนปัจจุบัน นักวิจารณ์วรรณคดีส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ลิลิตพระลอแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาแน่ และ
เชื่อว่าเป็นไปได้มากที่จะแต่งขึ้นก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เนื่องจากหนังสือสอนภาษาไทย
“จินดามณี” ที่แต่งโดยพระโหราธิบดีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ได้คัดเอาโคลงลิลิตพระลอบทที่ว่า
เสียงฦๅเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤๅพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือฯ
มาใช้เป็นแบบโคลง ๔ เพราะเอกโทตรงตามตำราหมดทุกแห่ง นอกจากหนังสือจินดามณี ยังมี
เค้าเงื่อนอย่างอื่นเป็นที่สังเกต คือ หนังสือบทกลอนแต่งครั้งกรุงศรีอยุธยา (ว่าตามตัวอย่างที่ยังมีอยู่)
ในช่วงตอนต้นนับแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมาชอบแต่งลิลิตกันเป็นพื้นมีลิลิตโองการแช่งนํ้า
พระพิพัฒนสัตยา ลิลิตเรื่องยวนพ่าย และลิลิตเรื่องพระลอเป็นตัวอย่างสำนวนทันเวลากันทั้ง ๓ เรื่อง
แต่การกวีนิพนธ์ตอนกลางและปลายกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏว่ามีการแต่งลิลิตเรื่องใดเลย ดังนั้นจึงมี
หลักฐานน่าเชื่อว่า ลิลิตพระลอ เป็นวรรณคดีที่แต่งใน กรุงศรีอยุธยาตอนต้น ราวในระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๑
จนถึง พ.ศ. ๒๐๒๖[1] แต่ยังมีบางท่านเสนอเวลาที่ใหม่กว่านั้น ว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัยต้นกรุง
รัตนโกสินทร์ แต่ยังมีผู้คล้อยตามไม่มากนัก เนื่องจากไม่มีหลักฐานสนับสนุน
นักวรรณคดีมักจะยกโคลงท้ายบทมาเป็นหลักฐานพิจารณาสมัยที่แต่ง ดังนี้
จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์
ยอยศพระลอคน หนึ่งแท้
พี่เลี้ยงอาจเอาตน ตายก่อน พระนา
ในโลกนี้สุดแล้ เลิศล้ำคุงสวรรค์ฯ
จบเสร็จเยาวราชเจ้า บรรจง
กลอนกล่าวพระลอยง ยิ่งผู้
ใครฟังย่อมใหลหลง ฤๅอิ่ม ฟังนา
ดิเรกแรกรักชู้ เหิ่มแท้รักจริงฯ
จากโคลงข้างบน มีผู้เสนอว่า “มหาราช” คือกษัตริย์ เป็นผู้แต่ง
และ “เยาวราช” เป็นผู้เขียน (บันทึก) และสันนิษฐานว่า ผู้แต่งน่าจะเป็น
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐา) และผู้เขียน คือ สมเด็จพระบรม
ราชาธิราชที่ 4 (พระอาทิตยวงศ์) และคาดว่าน่าจะแต่งเมื่อ พ.ศ.
๒๐๓๔-๒๐๗๒[2]อย่างไรก็ตาม นักวรรณคดีบางท่าน เสนอว่า น่าจะอยู่ใน
สมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ. ๒๐๗๗-๒๐๘๙) เนื่องจากเป็นสมัยที่มี
สงครามระหว่างไทยกับเชียงใหม่ และเป็นสมัยแรกที่มีการใช้ปืน (ปืนไฟ) ใน
การรบ[3]ภาษาสำนวนในลิลิตพระลอ อ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าวรรณกรรมเรื่อง
อื่น ๆ ในสมัยอยุธยา แต่ก็ยังมีศัพท์ยาก และศัพท์โบราณอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้
จึงเป็นเหตุให้นักวิจารณ์บางท่านเสนอว่า ลิลิตพระลอแต่งในสมัย
รัตนโกสินทร์
๓. บทชมความงามของพระลอ
ถ้าพูดถึง “ ความงาม ” แล้วเป็นเรื่องนามธรรม ไม่มีตัวตน เป็น
สิ่งที่เราจับต้องไม่ได้สัมผัสได้เพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว ดัง
นั้นความงามจึงเป็นเรื่องเฉพาะของบุคคลและการจะมองว่างามหรือไม่งามนั้นก็
เกี่ยวข้องกับรสนิยม เพราะรสนิยมถือเป็นสิ่งที่กวีต้องคำนึงถึง
รสนิยมในเรื่องการชมความงามที่มีอยู่ในศิลปะวรรณคดีไทย ได้มีผู้
แสดงทรรศนะไว้ดังนี้
ประสิทธิ์ กาพย์กลอน ( ๒๕๑๘, หน้า๑๙๔ ) กล่าวว่า อันความ
งามที่จะกล่าวถึงนี้ถ้าจะให้ใกล้กับตัวเราก็ต้องกล่าวถึงความงามของงมนุษย์ก่อน
แต่ความงามอย่าง “มนุษย์ ” ไม่ใช่ความงามตามแบบอย่างศิลปะไทย เพราะ
ศิลปะไทยไม่ถ่ายทอดเอาแบบอย่างตามธรรมชาติมาโดยตรงแต่กลับกลั่นกรอง
แก้ไขและประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เช่นความงามที่จิตรกรได้วาดขึ้น ก็ตรงกับความงามที่กวี
พรรณนา แต่บางทีกวีก็พรรณนาอย่างกว้างขวางเสียจนกระทั่งวาดภาพออกมาไม่
ได้ เพราะเป็นนามธรรมมากกว่าเป็นรูปธรรม บางทีกวีก็พรรณนาไว้ราวกับ
ภาพยนตร์ คือผ่านวูบเข้ามาแล้วคลี่คลายออกไปในทันทีทันใด ความงามอาจ
อยู่ตอนที่กำลังเปลี่ยน ซึ่งจิตรกรเองก็หมดปัญญา แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่า
มนุษย์จะงามเลิศเลอไปยิ่งกว่าสัตว์บางอย่าง เพราะปรากฏว่า เมื่อกวีจะกล่าว
ถึงความงามให้เป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจแล้ว ก็ยังเอาความงามของสัตว์มาเปรียบ
เทียบ[1]
จากการศึกษาบทชมความงามใน “ ลิลิตพระลอ” นั้นพบว่าได้รับ
อิทธิพลมาจากเรื่องไตรภูมิกถาเป็นส่วนใหญ่ซึ่งมีทั้งลักษณะของการนำไปเปรียบ
กับตัวละครในเรื่องไตรภูมิกถาบ้าง หรือมีลักษณะของการใช้ความเปรียบที่
ปรากฏส่วนเหมือนหรือคล้ายคลึงกันบ้าง ซึ่งการชมความงามในที่นี้มิได้กล่าว
เฉพาะแต่รูปร่างของตัวละครเท่านั้น แต่ผู้เขียนหมายรวมถึงองค์ประกอบความงาม
นั้นด้วย กล่าวคือ ท่าทางงาม กิริยางามดัง จะอธิบายรายละเอียดต่อไปนี้
ในการชมความงามของตัวละครเรื่อง ลิลิตพระลอ นั้น กวีมักยกคำมา
กล่าวเปรียบเทียบได้อย่างชนิดที่เรียกว่า งามครอบจักวาล เลยทีเดียวอันเนื่องมาจาก
อิทธิพลเรื่องไตรภูมิกถาที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาหรือโลกศาสตร์ ซึ่งกวีได้
นำความงามมาเปรียบเทียบถึงพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทวดา และนางอัปสร (ประทับ
อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ) ความงามที่เป็นเลิศในสามโลก( สวรรค์ มนุษย์ และ
บาดาล ) พระวรกายอันงดงามดังชายและผู้หญิงในอุตรกุรุทวีป ( เป็นหนึ่งในทวีปทั้ง ๔
อยู่ล้อมรอบ ๔ ทิศ เป็น ที่อยู่ของพวกมนุษย์ ) ความงามที่เปรียบเทียบกับ
พระอาทิตย์ และดวงจันทร์ ( ระบบสุริยจักรวาล) ความงามที่เปรียบกับไกรสร
และราชสีห์ ( เป็นสัตว์ในวรรณคดีที่งามทั้งรูปร่าง กิริยาอาการ เสียง และมีพละ
กำลังมาก ) จะยกตัวอย่างประกอบให้ปรากฏชัดในแต่ละส่วนดังนี้
พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทวดา และนางอัปสร ( ประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ )
กล่าวถึงโฉมของพระลอที่งดงามเปรียบดังพระอินทร์เสด็จลงมาจากฟ้า
เพื่อมาแสดงพระองค์ในแผ่นดินนี้ให้คนได้ชื่นชม ดังความว่า
รอยรูปอินทร์หยาดฟ้า มาอ่าองค์ในหล้า
แหล่งให้คนชม แลฤา
เป็นต้น
๒. เปรียบเทียบกับความงามในสมัยอยุธยา
รูปร่าง สาวชาวบ้านในผู้หญิงอยุธยา รูปร่างต้องท้วมใหญ่ ท้วมขนาดไหน ก็มีคติ
ว่า “ช้างงามอยู่ในป่า” หญิงชาวบ้านที่ต้องดูแลบ้านช่องและปกป้องตัวเอง แต่ไม่ใช่ว่าสาว
อยุธยาจะสวยบึกบึนเสียทั้งหมด บรรดาสตรีไฮโซและเซเลบล้วนแต่เอวบางร่างน้อยทั้งสิ้น
ขณะที่ผู้ชายอยุธยาไม่ได้ล่ำบึก ใหญ่โตไปทุกคนเช่นกัน บุคคลชั้นนำโดยเฉพาะพระเจ้าแผ่น
ดิน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีพระวรกายใหญ่โต และนั่นก็ไม่ใช่ลักษณะที่สง่างามในสังคม
อยุธยา ตามหลักฐานภาพวาดของชาวต่างชาติที่เข้ามาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
นั้น ลักษณะที่ถือว่าสง่างามคือ พระวรกายสมส่วนไม่เล็กไม่ใหญ่ สรุปว่าชนชั้นนำทั้งชาย
หญิงที่ว่างามดั่งเทพ จึงไม่มีรูปร่างใหญ่โต ทั้งขนบวัฒนธรรมในอดีต ร่างกายใหญ่โตเป็น
ร่างกายของอสูร
สีผิว แต่เดิมคนกรุงศรีผิวสีคล้ำเข้มนั้นถือว่าสวยว่าหล่อ ความนิยมนี้เป็นอิทธิพลที่ได้
มาจากเขมร พระพุทธสำคัญในขณะนั้นอย่างหลวงพ่อแก่วัดธรรมิกราชก็ยังทำให้ผิวองค์พระ
สีดำเข้ม แต่เมื่อมีชาวตะวันตกเดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา คนอยุธยาก็ได้รับรู้ค่านิยม
อื่นๆ เพิ่มเข้ามา เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ความนิยมผิวขาวเป็นความงามในอุดมคติก็
แพร่หลาย แต่สีผิวของชนชั้นที่แสดงถึงบุญญาธิการยังเป็นสีเหลืองทอง
ฟัน ไม่ใช่แค่มีฟันเรียงเป็นระเบียบแค่นั้นพอ มนุษย์อยุธยายังต้องมีฟันสีดำด้วยจะจึง
จัดว่า “ฟันสวย” สีของฟันยังบอกถึงวัยวุฒิอีกด้วย ฟันยิ่งดำ ก็ยิ่งถือว่าเป็นผู้ใหญ่ สำหรับ
มนุนย์อยุธยาถ้าใครฟันขาว เป็นไปได้ ๒ อย่าง คือ หนึ่งเป็นเด็ก หรือเป็นผี
ผม การติดต่อค้าขายกับจีน ทำให้ได้รับคติเรื่องความงามจากจีนมา
ด้วย สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ “การไว้ผมยาว” ทั้งในหญิงและชาย หากเป็นผู้ชาย
ผมที่ยาวจะม้วนขึ้นมัดไว้บนศีรษะ แต่เมื่ออารยธรรมอิสลามและคริสต์เข้ามา
ก็เริ่มมีความนิยมผมสั้นเกิดขึ้น การไว้ผมยาวกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟื่อยและยุ่งยาก
ในการดูแลรักษาสำหรับคนทั่วไป คงเหลือแต่ชนชั้นนำที่ยังคงนิยมไว้ผมยาว
ต่อมาผมยาวก็กลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บอกความแตกต่างระหว่างไพร่กับเจ้า
รอยสัก เป็นความนิยมเฉพาะผู้ชาย นอกจากการสักยันต์ลงเลขเพื่อ
ความอยู่ยงคงกระพัน เพราะต้องป้องกันภัยจากอาวุธต่างๆ ในการรบ หรือโจร
ปล้นทั้งหลาย การสักเพื่อแสดงถึงสังกัดของบุคคลนั้น ไม่ว่าจะเป็นสังกัดกรม
กองที่ทำงานอยู่, สังกัดมูลนาย เพราะฉะนั้นผิวกายของชายชนชั้นนำส่วนใหญ่
จึงไม่มีการสัก
อวัยวะเพศ ขนาดและรูปร่างของอวัยวะเพศชายเป็นความเชื่ออย่าง
หนึ่งในอุษาคเนย สำหรับมนุษย์อยุธยาในบันทึกของม้าฮวน-ราชทูตจีนสมัย
ราชวงศ์หยวน ที่เคยเดินทางเข้ามาสมัยอยุธยาตอนต้นกล่าวว่า ผู้ชายที่มีอายุ
๒๐ ปี ขึ้นไปจะมีการผ่าตัดและฝังดีบุก, เงิน, มุก, ทอง ฯลฯ (ตามสถานะทาง
สังคม) ลงในอวัยวะเพศของตน เพื่อกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเพศมากขึ้น
หน้าตาของชาวพระนครศรีอยุธยาสมัยก่อนเป็นอย่างไร?
อธิบายยาก แต่มีข้อหน้าสังเกตว่าควรคล้ายพระพักตร์พระพุทธเจ้ารูป
แบบ “อู่ทอง” คือหน้าเหลี่ยม ริมฝีปากหนา เป็นต้น ประเด็นนี้มีข้อยืนยันอยู่ใน
บันทึกของลาลูแบร์บอกว่า
“วงหน้าของชาวสยามทั้งชายและหญิง กระเดียดไปข้างรูปขนมเปียกปูน
(หรือข้าวหลามตัด) มากกว่าที่จะเป็นรูปไข่ ใบหน้ากว้าง ผายไปทางเหนือโหนกแก้ม
แล้วทันใดก็ถึงหน้าผากอันแคบ รวมเข้าเป็นรูปมนเหมือนปลายคาง อนึ่งนัยน์ตาซึ่ง
หางตาค่อนข้างจะยกสูงขึ้นไปข้างบนนั้นเล็ก และไม่สู้แจ่มใสไวแววนัก และตาขาว
ซึ่งควรจะขาวนั้นก็ออกเหลือง ๆ
แก้มของพวกเขานั้นตอบ ค่าที่โหนกแก้มสูงเกินไปนั่นเอง ปากนั้นกว้าง
ริมฝีปากซีด ๆ และฟันดำ ผิวนั้นหยาบ สีน้ำตาลปนแดง”
ที่ลาลูแบร์บอกว่าชาวบ้านยุคอยุธยาทั้งผู้หญิงและผู้ชายฟันดำทั้งนั้น ข้อนี้เป็น
รสนิยมของผู้คนยุคนั้นอย่างแท้จริงว่าเป็นสเน่ห์อย่างยิ่ง ดังมีกาพย์โคลงนิราศธาร
โสกของเจ้าฟ้ากุ้ง ยกย่องหญิงงามต้องมีฟันดำอย่างสีนิล
ที่ว่าฟันดำอย่างสีนิลนี้ไม่ใช่ย้อมสีดำ แต่เพราะกินหมากกินพลูเป็น
ประจำ นิยมเคี้ยวหมากพลูกันตั้งแต่รุ่นสาวรุ่นหนุ่มจนถึงแก่เฒ่า ประเพณีเคี้ยว
หมากเคี้ยวพลูจนฟันดำเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์ทีเดียว มีเอกสารจีน
โบราณบันทึกว่าราวสองพันปีมาแล้ว กลุ่มชนพวกหนึ่งในภูมิภาคอุษาคเนย์นิยมให้
ฟันดำ ชาวอยุธยายกย่องคนมีใบหูใหญ่ด้วยเชื่อว่าอายุยืน ลาลูแบร์รู้สึกประหลาดที่
ชาวสยามในอยุธยามีใบหูใหญ่ จึงเขียนบันทึกว่า
“ชาวสยามนั้นมีจมูกสั้นและปลายมน และใบหูนั้นใหญ่กว่าใบหูของพวกเรา คนมี
ใบหูใหญ่มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นที่ยกย่องกันมากขึ้นเท่านั้น ด้วยว่าเป็นรสนิยมของ
ชาวต่างชาติบ้างบูรพทิศ สังเกตได้จากตุ๊กตากระเบื้องหรือวัสดุอย่างอื่นที่ได้มา
จากภูมิภาคนั้นเถิด แต่การนิยมมีใบหูใหญ่นี้ยังมีทรรศนะแตกต่างกันอยู่ในหมู่ชาว
ตะวันออก ลางพวกก็นิยมดึงติ่งหูให้ยืดยาวลงมาโดยมิได้เจาะติ่งหูด้วยหมุดให้
กว้าง ๆ ขึ้น โดยเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นไปทีละน้อย ในประเทศลาวนั้นนิยมเบิกหูกัน
ให้กว้างจนแทบว่าจะเอากำปั้น (poing ) ยัดเข้าไปได้ และติ่งหูนั้นย้อยยืดลงมา
จรดบ่า ชาวสยามมีใบหูใหญ่กว่าของพวกเราเล็กน้อย แต่ก็เป็นไปโดยธรรมชาติ
หาได้มีการดัดแปลงไม่”
๒. การจำลองหน้าตาโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์
การจำลองหน้าตาผ่านปัญญาประดิษฐ์ผ่าน www.Artbreeder.com กำหนด
หัวหลักให้ประปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ ชาวเอเชีย , ผมยาว , ดั้งโด่ง , หน้าผากกว้าง ,
ตายกสูง , ริมฝีปากซีด ,ปากกว้าง , ผิวคล้ำหรือเหลือง ได้ผลลัพธ์ดังนี้