รำวงมาตรฐาน
10 เพลง
ท่ารำประกอบเพลง
คำนำ
จุดประสงค์ที่จัดทำขึ้น เพื่ อ
อธิบายเกี่ยวกับท่ารำของเพลง
รำวงมาตรฐาน10เพลง ผู้จัด
ทำได้ศึกษาและสรุปเรียงเนื้ อหา
ต่างๆในการทำสมุดเล่มนี้ หาก
มีข้อผิดพลาดประการใด
ขออภัยมา ณที่นี้ด้วย
สารบัญ
ประวัติและความเป็นมา
เพลงงามแสงเดือน
เพลงชาวไทย
เพลงรำมาซิมารำ
เพลงคืนดวงหาย
เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
เพลงดอกไม้ของชาติ
เพลงหญิงไทยใจงาม
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
เพลงยอดชายใจหาญ
เพลงบูชานักรบ
ประวัติความเป็นมา
ของรำวงมาตรฐาน
รำวงมาตรฐาน
เป็นการแสดงที่มีวิวัฒนาการมาจาก “รำโทน”
เป็นการรำและร้องของชาวบ้าน ซึ่งจะมีผู้ชายและผู้
หญิง รำกันเป็นคู่ๆ รอบๆ ครกตำข้าว ที่วางคว่ำไว้
หรือไม่ก็รำกันเป็นวงกลม โดยมีโทนเป็นเครื่อง
ดนตรีประกอบจังหวะ ลักษณะการรำและการร้อง
เป็นไปตามความถนัดไม่มีแบบแผนกำหนดไว้
จอมพล ป พิบูล ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2484 – 2488 เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
สงคราม ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นที่ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่
8 ธันวาคม 2484 เพื่อเจรจาขอตั้งกองทัพในประเทศไทย โดยใช้เส้น
ทางต่างๆ ในแผ่นดินไทย ลำเรียงเสบียงอาหาร อาวุธและกำลังพล
เพื่อใช้ในการต่อสู้กับประเทศสัมพันธมิตร ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยมี
จอมพล ป (แปลก) พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจ
ยอมให้ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย เพราะเกรงว่า
หากปฏิเสธคงจะถูกปราบปรามแน่ ด้วยเหตุนี้เองประเทศไทยจึงได้
รับผลกระทบจากการรุกรานของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่ส่งกองทัพเข้ามา
โจมตีฐานทัพญี่ปุ่นทางอากาศโดยเฉพาะในยามที่เป็นคืนเดือนหงาย
จะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ได้ง่าย ข้าศึกมักจะเข้ามาโจมตีอย่างหนัก
ด้วยการทิ้งระเบิด ซึ่งสร้างความเสียหายทำลายชีวิตและทรัพย์สิน
บ้านเรือนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่ใกล้กับฐานทัพ
ญี่ปุ่น
เมื่อช่วงคืนเดือนหงายผ่านไป คืนเดือนมืดเข้ามา ข้าศึกจะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ไม่
ชัดเจนจึงพักการรุกราน ประชาชนชาวไทย ได้รับความเดือนร้อน ต่างอยู่ในสถานการณ์
ที่หวาดกลัวเป็นอย่างมาก จึงได้หาวิธีการผ่อนคลายความตึงเครียด ความหวาดผวา
ด้วยการนำศิลปะพื้นบ้านที่ซบเซาไป กลับมาร้องรำทำเพลง นั้นก็คือ “การเล่นรำโทน”
คำร้อง ทำนองและการแต่งกาย ก็ยังคงเรียบง่ายเน้นความสะดวกสบาย สนุกสนาน
เช่นเดิม เพลงที่นิยมได้แก่ เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ช่อมาลี ตามองตา ยวนยาเหล เป็นต้น
เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด เพลงช่อมาลี
ใกล้เข้าไปอีกนิด โอ้ช่อมาลี คนดีของพี่ก็มาสวยจริง
ชิดชิดเข้าไปอีกหน่อย หนาเวลาค่ำคืน สวยจริงหนาเวลา
สวรรค์น้อยน้อยอยู่ในวงฟ้อนรำ ค่ำคืนโอ้จันทร์ไปไหน ทำไมจึงไม่
รูปหล่อขอเชิญมาเล่น ส่องแสงเดือนมาแฝงแสงสว่าง
เนื้อเย็นขอเชิญมารำ เมฆน้อยลอยมาบัง เมฆน้อยลอย
มองมานัยน์ตาหวานฉ่ำ
มองมานัยน์ตาหวานฉ่ำ มาบัง
มะมารำกับพี่นี่เอย เพลงยวนยาเหล่
เพลงตามองตา ยวนยาเหล่
หัวใจว้าเหว่ไม่รู้จะเหไปหาใคร
ตามองตาสายตาก็จ้องมองกันรู้สึกเสียว จะซื้อเปลญวนที่ด้ายหย่อนๆ
ซ่านหัวใจ จะซื้อเปลญวนที่ด้ายหย่อนๆ
จะว่ารักฉันก็ไม่รัก จะเอาน้องนอนไกวเช้าไกวเย็น
จะว่าหลงฉันก็ไม่หลง
ฉันยังอดโค้งเธอไม่ได้
เธอช่างงามวิไล (ซ้ำ)
เหมือนดอกไม้ที่เธอถือมา (ซ้ำ)
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2487 รัฐบาลได้เล็งเห็นศิลปะพื้นบ้านอันสวยงามของไทยที่มีอยู่อย่างแพร่
หลายควรที่จะเชิดชูให้มีระเบียบแบบแผนตามแบบนาฏศิลป์ไทย เพราะหากชาวต่างชาติมา
พบเห็นจะตำหนิได้ว่าศิลปะการฟ้อนรำของไทยนี้มิได้มีความสวยงาม ประณีตแต่อย่างใด รวม
ถึงไม่มีศิลปะที่แสดงออกว่าเป็นชาติ ที่มีวัฒนธรรม จึงได้มอบให้ กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิด
ชอบในการปรับปรุงและพัฒนาการรำ (รำโทน) ขึ้นใหม่ให้มีระเบียบ แบบแผน มีความงดงาม
มากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านเนื้อร้อง ทำนองเพลง และนำท่ารำจากแม่บทกำหนดเป็นท่ารำเฉพาะ
แต่ละเพลงอย่างเป็นแบบแผน
รำวงมาตรฐาน ประกอบด้วยเพลงทั้งหมด 10 เพลง
กรมศิลปากรแต่งเนื้อร้องจำนวน 4 เพลงคือ
1.เพลงงามแสงเดือน (เพลงที่ 1)
2.เพลงชาวไทย (เพลงที่ 2)
3.เพลงรำมาซิมารำ (เพลงที่ 3)
4.เพลงคืนเดือนหงาย (เพลงที่ 4)
ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
แต่งเนื้อร้องเพิ่มอีก 6 เพลงคือ
ท่านผู้หญิงละเอียด 1. เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ (เพลงที่ 5)
พิบูลสงคราม 2.เพลงดอกไม้ขอ
งชาติ (เพลงที่ 6)
3. เพลงหญิงไทยใ
จงาม (เพลงที่ 7)
4. เพลงดวงจันทร์ข
วัญฟ้า (เพลงที่ 8)
5.เพลงยอดชายใจหาญ (เพลงที่ 9)
6.เพลงบูชานักรบ (เพลงที่ 10)
ต่อมาได้มีการนำรำวงนี้ไปสลับกับวงลีลาศ ทำให้ชาวต่าง
ประเทศรู้จักรำวง เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้เล่นกันแพร่
หลาย และมีแบบแผนอันเดียวกัน กรมศิลปากรจึงเรียกว่า
“ รำวงมาตรฐาน ” การแสดงรำวงมาตรฐาน
ผู้แสดงครั้งแรก ดังนี้
นายอาคม สายาคม นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์
น1างนสุาวยรอราณคี มชลสาานยุเาคครม
าะห์
2
3 นายจำนง พรพิสุทธิ์
4 นางศิริวัฒน์ ดิษยนันทน์
5 นายธีรยุทธ ยวงศรี
6 นางสาวสุนันทา บุณยเกตุ
ผู้คิดประดิษฐ์ท่ารำ
เพลงรำวงมาตรฐานทั้ง 10 เพลงนั้นคือคณะอาจารย์ด้าน
นาฏศิลป์ของกรมศิลปากรได้ช่วยกันคิดประดิษฐ์ท่ารำให้งดงามถูก
ต้องตามหลักนาฏศิลป์กำหนดให้เป็นแบบมาตรฐาน ผู้คิดประดิษฐ์ท่า
รำของรำวงมาตรฐาน คือ
หม่อมต่วน (นางศุภ ครูลมุล ยมะคุปต์
ลักษณ์ ภัทรนาวิก)
ครูมัลลี คงประภัศร์ ครูผัน โมรากุล
รำวงมาตรฐาน” อันมีลักษณะการแสดงที่เป็นการรำร่วมกัน
ระหว่างชาย-หญิง เป็นคู่ๆ เคลื่อนย้ายเวียนเป็นวงกลม (ทวน
เข็มนาฬิกา) มีเนื้อร้องที่แต่งทำนองขึ้นใหม่ มีการใช้ทั้งวงปี่
พาทย์บรรเลงประกอบ และบางเพลงก็ใช้ วงดนตรีสากลบรรเลง
ประกอบ ซึ่งเนื้อร้องที่แต่งขึ้นใหม่ทั้ง 10 เพลง มีท่ารำที่กำหนด
ไว้เป็นแบบแผน ดังนี้
เพลงรำวงมาตรฐาน
10 เพลง
1.เพลงงามแสงเดือน (Ngam Sang Duan)
เนื้อเพลง
งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามใบหน้ าเมื่ออยู่วงรำ (ซ้ำ)
เราเล่นเพื่อสนุก
เปลื้องทุกข์วายระกำ
คำร้องขอให้เล่นฟ้ อนรำ เพื่อสามัคคีเอย
จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ ากอง การสังคีต
กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร)
ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ความหม
ายเพลง
ยามที่แสงจันทร์ส่องมายังโลกทำให้โลกนี้ ดูสวยงาม ผู้คนที่มาเล่น
รำวงยามที่แสงจันทร์ส่อง
ก็มีความงดงามด้วย การรำวงนี้เพื่อให้มีความสนุกสนาน มีความสามัคคี
กัน และละทิ้งความทุกข์ให้หมดสิ้นไป
ท่ารำ ม่าสอดสอยมาลา
2 เพลงชาวไทย (Chaw Thai)
เนื้อเพลง
ชาวไทยเจ้าเอ๋ย
ขออย่าละเลยในการทำหน้ าที่
การที่เราได้เล่นสนุก เปลื้องทุกข์สบายอย่างนี้
เพราะชาติเราได้เสรี มีเอกราชสมบูรณ์
เราจึงควรช่วยชูชาติ ให้เก่งกาจเจิดจำรูญ
เพื่อความสุขเพิ่มพูน ของชาวไทยเราเอย
คำ
ร้อง
จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ ากอง การสังคีต
กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร)
ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ความหมาย
หน้ าที่ที่ชาวไทยพึงมีต่อประเทศชาตินั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทำ อย่าได้
ละเลยไปเสีย ในการที่เราได้มาเล่นรำวงกันอย่างสนุกสนาน ปราศจากทุกข์โศก
ทั้งปวงนี้ก็เพราะว่าประเทศไทยเรามีเอกราช ประชาชนมีเสรีในการคิดจะทำสิ่ง
ใดๆ ดังนั้นเราจึงควรช่วยกันเชิดชูชาติไทยให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เพื่อความสุข
ยิ่งๆ ขึ้นของไทยเราตลอดไป
ท่ารำ ท่าชักแป้งผัดหน้า
3.เพลงรำซิมารำ (Ram ma si ma ram)
เนื้อเพลง
รำมาซิมารำ เริงระบำกันให้สนุก
ยามงานเราทำงานจริงจริง ไม่ละไม่ทิ้งจะเกิดเข็ญขุก
ถึงยามว่างเราจึงรำเล่น ตามเชิงเช่นเพื่อให้สร่างทุกข์
ตามเยี่ยงอย่างตามยุค เล่นสนุกอย่างวัฒนธรรม
เล่นอะไรให้มีระเบียบ ให้งามให้เรียบจึงจะคมขำ
มาซิมาเจ้าเอ๋ยมาฟ้ อนรำ มาเล่นระบำของไทยเราเอย
คำร
้อง
จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ ากองการสังคีต กรมศิลปากร
(ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ความห
มาย
ขอพวกเรามาเล่นรำวงกันให้สนุกสนานเถิดในยามว่างเช่นนี้จะได้
คลายทุกข์ ถึงเวลางานเราก็จะทำงานกันจริงๆ เพื่อจะได้ ไม่
ลำบาก และการรำก็จะรำอย่างมีระเบียบแบบแผน ตามวัฒนธรรม
ไทยของเราแล้วจะดูงดงามยิ่ง
ท่ารำ ท่ารำส่าย
4.เพลงคืนเดือนหงาย (Ken Dern Ngai)
เนื้อเพลง
ยามกลางคืนเดือนหงาย เย็นพระพายโบกพลิ้วปลิวมา
เย็นอะไรก็ไม่เย็นจิต เท่าเย็นผูกมิตรไม่เบื่อระอา
เย็นร่มธงไทยปกไทยทั่วหล้า เย็นยิ่งน้ำฟ้ ามาประพรมเอย
คำร้
อง
จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ ากองการสังคีต กรม
ศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโม
ความหมาย
เวลากลางคืน เป็นคืนเดือนหงาย มีลมพัดมาเย็นสบายใจ แต่
ก็ยังไม่สบายใจเท่ากับการ ที่ได้ผูกมิตรกับผู้อื่น และที่
ร่มเย็นไปทั่ว ทุกแห่งยิ่งกว่าน้ำฝนที่โปรยลงมา ก็คือการที่
ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นเอกราช มีธงชาติไทยเป็น
เอกลักษณ์ ทำให้ร่มเย็นทั่วไป
ท่ารำ ใช้ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง
5.เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ (Dong jan wan pen)
เนื้อเพลง
ดวงจันทร์วันเพ็ญ ลอยเด่นอยู่ในนภา
ทรงกลดสดสี รัศมีทอแสงงามตา
แสงจันทร์อร่าม ฉายงามส่องฟ้ า
ไม่งามเท่าหน้ า นวลน้ องยองใย
งามเอยแสนงาม งามจริงยอดหญิงชาติไทย
งามวงพักตร์ยิ่งดวงจันทรา จริตกิริยานิ่มนวลละไม
วาจากังวาน อ่อนหวานจับใจ
รูปทรงสมส่วน ยั่วยวนหทัย
สมเป็ นดอกไม้ ขวัญใจชาติเอย
คำร้
อง
ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ความหมาย
พระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ านั้นช่างดูสวยงาม เพราะเป็น
พระจันทร์ทรงกลด คือมีแสงเลื่อมกระจายออกรอบดวงจันทร์ทั้ง
ดวง แต่ถึงจะงามอย่างไรก็ยังไม่เท่าความงามของดวงหน้ าหญิง
สาว ที่ดูผุดผ่องมีน้ำมีนวล อีกทั้งรูปร่างก็ดูสมส่วน กิริยาวาจาก็
อ่อนหวานไพเราะ สมแล้วกับที่เปรียบว่าหญิงไทยนี้คือดอกไม้
ท่ารำ ใช้ท่าแขกเต้าเข้ารัง และท่าผาลาเพียงไหล่
6.เพลงดอกไม้ของชาติ (Dok mai kong chat)
เนื้อเพลง
ขวัญใจดอกไม้ของชาติ งามวิลาสนวยนาดร่ายรำ (ซ้ำ)
เอวองค์อ่อนงาม ตามแบบนาฏศิลป์
ชี้ชาติไทยเนาว์ถิ่น เจริญวัฒนธรรม
งานทุกสิ่งสามารถ สร้างชาติช่วยชาย
สู้ทนเหนื่ อยยากตรากตรำ
คำร้องดำเนินตามนโยบาย
ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท
ความหมาย
ผู้หญิงไทยเปรียบเสมือนดอกไม้อันเป็ นเอกลักษณ์ของ
ประเทศไทย การร่ายรำด้วยการแสดงออกอย่างอ่อนช้อย งดงาม
ตามรูปแบบความเป็ นไทยแสดงให้เห็นถึงความเจริญทางด้าน
วัฒนธรรมของคนไทย นอกจากผูหญิงจะดีเด่นทางด้านความงาม
แล้วยังมีความอดทน สามารถทำงานบ้าน ช่วยเหลืองานผู้ชาย
หรือแม้งานสำคัญ ๆ ระดับประเทศก็สามารถช่วยเหลือได้เป็น
อย่างดีไม่แพ้ผู้ชาย
ท่ารำ ใช้ท่ารำยั่ว
7.เพลงหญิงไทยใจงาม ( Ying Thai Jai Ngam)
เนื้อเพลง
เดือนพราวดาวแวววาวระยับ แสงดาวประดับส่องให้เดือนงามเด่น
ดวงหน้ าโสภาเพียงเดือนเพ็ญ คุณความดีที่เห็นเสริมให้เด่นเลิศงาม
ขวัญใจหญิงไทยส่งศรีชาติ รูปงามวิลาสใจกล้ากาจเรืองนาม
เกียรติยศก้องปรากฏทั่วคาม หญิงไทยใจงามยิ่งเดือนดาวพราวแพรว
คำร้อ
ง
คำร้อง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ทำนอง ครูเอื้อ สุนทรสนาน
ความหมาย
ดวงจันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้ ามีความงดงามมาก และยิ่งได้แสงอัน
ระยิบระยับของดวงดาวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ดวงจันทร์นั้นงามเด่นยิ่งขึ้น
เปรียบเหมือนกับดวงหน้ าของหญิงสาวที่มีความงดงามอยู่แล้ว ถ้ามีคุณความ
ดีด้วย ก็จะทำให้หญิงนั้นงามเป็นเลิศ ผู้หญิงไทยนี้เป็นขวัญใจของชาติ เป็น
ที่เชิดหน้ าชูตาของชาติ รูปร่างก็งดงาม จิตใจก็กล้าหาญ ดังที่มีชื่อเสียง
ปรากฏอยู่ทั่วไป
ท่ารำ ใช้ท่าพรหมสี่หน้าและท่ายูงฟ้อนหาง
8.เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า (Dong Jan Kwan Fa)
เนื้อเพลง
ดวงจันทร์ขวัญฟ้ า ชื่นชีวาขวัญพี่
จันทร์ประจำราตรี แต่ขวัญพี่ประจำใจ
ที่เทิดทูนคือชาติ เอกราชอธิปไตย
ถนอมแนบสนิทใน คือขวัญใจพี่เอย
คำ
ร้อง
คำร้อง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง ครูเอื้อ สุนทรสนาน
ความหมาย
ในเวลาค่ำคืนท้องฟ้ ามีดวงจันทร์ประจำอยู่ ในใจของชายก็มีหญิงอัน
เป็นสุดที่รักประจำอยู่เช่นกัน สิ่งที่เทิดทูนยกย่องไว้ก็คือชาติไทยที่
เป็นเอกราช มีอิสระแก่ตนไม่ขึ้นกับใคร และสิ่งที่แนบสนิทอยู่ในใจ
ของชายก็คือหญิงอันเป็น สุดที่รัก
ท่ารำ ใช้ท่าช้างประสานงา และท่าจันทร์ทรงกลดแปลง
9.เพลงยอดชายใจหาญ (Yod Shy Jai Han)
เนื้อเพลง
โอ้ยอดชายใจหาญ ขอสมานไมตรี
น้ องขอร่วมชีวี กอบกรณีย์กิจชาติ
แม้สุดยากลำเค็ญ ไม่ขอเว้นเดินตาม
น้ องจักสู้พยายาม ทำเต็มความสามารถ
คำร้อง
ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง ครูเอื้อ สุนทรสนาน
ความหมาย
ขอผูกมิตรไมตรีกับชายผู้กล้าหาญ และจะขอมีส่วนในการ
ทำประโยชน์ทำหน้ าที่ของ ชาวไทย แม้จะลำบากยากแค้น
ก็จะขอช่วยเหลือจนเต็มความสามารถ
ท่ารำ ใช้ท่าชะนีร่ายไม้ ชายท่าจ่อเพลิงกาฬ
10.เพลงบูชานักรบ (Boo Cha Nak Rop)
เนื้อเพลง
น้ องรักรักบูชาพี่ ที่มั่นคงที่มั่นคงกล้าหาญ
เป็ นนักสู้เชี่ยวชาญ สมศักดิ์ชาตินักรบ
น้ องรักรักบูชาพี่ ที่มานะที่มานะอดทน
หนักแสนหนักพี่ผจญ เกียรติพี่ขจรจบ
น้ องรักรักบูชาพี่ ที่ขยันที่ขยันกิจการ
บากบั่นสร้างหลักฐาน ทำทุกด้านทำทุกด้านครันครบ
น้ องรักรักบูชาพี่ ที่รักชาติที่รักชาติยิ่งชีวิต
เลือดเนื้ อพี่พลีอุทิศ ชาติยงอยู่ยงอยู่คู่พิภพ
คำร
้อง
ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง ครูเอื้อ สุนทรสนาน
ความหมาย
น้ องรักและบูชาพี่ เพราะมีความกล้าหาญ เป็นนักสู้ที่เก่งกล้าสามารถสม
กับเป็นชายชาตินักรบที่มีความมานะอดทน แม้ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญ พี่
ก็ต่อสู้จนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว นอกจากนี้ยังขยันขันแข็งในงานทุก
อย่าง อุตส่าห์สร้างหลักฐานให้มั่นคง และพี่ยังมีความรักในชาติบ้าน
เมืองยิ่งกว่าชีวิต ยอมสละได้แม้ชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อให้ชาติไทยคงอยู่
คู่โลกต่อไป
ท่ารำ ใช้ท่าขัดจางนาง และท่าล่อแก้ว ชายท่าจันทร์ทรงกลด และ
ท่าขอแก้ว
รายชื่อสมาชิก
เตชินท์ รอดแก้ว เลขที่ 8 ห้อง 205
ธิติกร บัวทองแก้ว เลขที่ 12 ห้อง 205
นิติธร จันทร์จำปา เลขที่ 13 ห้อง 205
พิชญะ ศรีลา เลขที่ 15 ห้อง 205
วีรภัทร สำเภาทอง เลขที่ 18 ห้อง 205
ศิรสิทธิ์ ชื่นชม เลขที่ 19 ห้อง 205
ธนิสรา กังเซ่ง เลขที่ 26 ห้อง 205
นลินทิพย์ ต่างสีเลขที่ 27 ห้อง 205
วชิรญาณ์ อนุสุวรรณเลขที่ 34 ห้อง 205
สุประวีณ์ เกิดขำเลขที่ 38 ห้อง 205