Art of my life
นางสาวปิยธิดา โอชารส
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่4ี /2 เลขที่15
รายงานเล่มน้เี ป็นส่วนหนงึ่ ของการศกึ ษา
วิชาห้องสมุดและการเรยี นรสู้ ารสนเทศ
ภาคเรยี นที่2 ปีการศกึ ษา2564
โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบรุ ี
Art of my life
นางสาวปิยธิดา โอชารส
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่4ี /2 เลขที่15
รายงานเล่มน้เี ป็นส่วนหนงึ่ ของการศกึ ษา
วิชาห้องสมุดและการเรยี นรสู้ ารสนเทศ
ภาคเรยี นที่2 ปีการศกึ ษา2564
โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบรุ ี
คำนำ
รายงานเล่มน้ีจักทำขนึ้ เพอื่ เปน็ ส่วนหนงึ่ ของวชิ าสารสนเทศช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี4่ เพื่อนมห้ได้หาศึกษา
ความรเู้ กย่ี วกับเร่อื งศลิ ปะ โดยได้ศกึ ษาผ่านแหล่งความรู้ตา่ งๆอาที เชน่ ตำรา หนังสอื หนังสอื พมิ พ์
วารสาร ห้องสมุด และแหลง่ ความรจู้ ากเวบ็ ไซตต์ ่างๆโดยรายงานเลม่ นตี้ อ้ งมีเนื้อหาทีเ่ ก่ยี วกบั ศลิ ปะ
ความหมายของศลิ ปะ ประเภทของศิลปะ และประโยชน์ของศิลปะ
ผู้จดั ทำคาดหวังเปน็ อย่างยง่ิ วา่ การจัดทำเอกสารฉบับน้ีจะมขี ้อมูลที่เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้ทส่ี นใจศกึ ษา
เกี่ยวกับศิลปะเปน็ อย่างดี
ปยิ ธิดา โอชารส
28 กุมภาพันธ์ 2565
สารบญั
คำนำ (1)
สารบญั (2)
บทนำ 1
ความหมายของศิลปะ 2
จดุ เร่ิมต้นของศิลปะ 4
การแบ่งประเภทและสาขาของศิลปะ 6
ประโยชนข์ องศลิ ปะ 7
บทสรปุ 13
บรรณานุกรม 14
บทนำ
ศิลปะ เป็นผลผลิตจากกิจกรรมของมนุษย์ ซงึ่ เปน็ การใหค้ วามคิดเพอ่ื สรา้ งสรรค์ผลงานออกมา แนวคดิ
ตอ่ ศลิ ปะมกี ารเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา ธรรมชาตขิ องศลิ ปะและแนวคดิ ที่เกย่ี วขอ้ ง เช่นความคิด
สรา้ งสรรค์และการตคี วามศิลปะ โดยทัศนศลิ ป์ประกอบดว้ ยสามสาขาดงั้ เดิมไดแ้ ก่ จิตรกรรม ประตมิ ากรรม
และสถาปตั ยกรรม ศิลปะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความคิด และความร้สู ึกผ่านการสร้างสรรค์งานศิลปะได้อีก
ดว้ ย
ความหมายของศิลปะ
ศลิ ปะ เป็นคำที่มคี วามหมายท้งั กว้างและจำเพาะเจาะจง ท้งั นีย้ ่อมแลว้ แต่ ทศั นะของนัก ปราชญแ์ ต่ละ
คน รวมท้ังความเชอ่ื แนวคิด ในแตล่ ะยุค แต่ละสมัย มคี วามแตกตา่ งกนั หรอื แลว้ แต่ว่า จะนำศลิ ปะไปใช้
ในแวดวงทก่ี ว้างขวาง หรอื จำกัดอยา่ งไร แต่จากทศั นะของนักปราชญ์ ท้งั หลายจะ เห็นวา่ ศลิ ปะมี
คุณลกั ษณะ ที่เป็นตวั ร่วม สำคญั ท่สี ดุ
ประการหนึ่ง คือ การแสดงออก ไมว่ ่าจะเปน็ อารมณ์ ความรู้สกึ ความคิด ประสบการณ์ ความงามการ
เหน็ แจ้ง สัญลกั ษณ์ ความเปน็ เรื่องราวหรือ เหตกุ ารณ์ กล็ ้วนแตเ่ ปน็ การแสดงออกโดยมนุษยเ์ ปน็ ผู้
เลอื กสรร หรือสร้างสรรค์ ขึน้ ทัง้ ส้นิ ดังนั้น จงึ พอจะใหค้ วามหมายของศลิ ปะในแนวกว้าง ๆ ได้ดังนี้
ศิลปะ คอื ส่ิงท่ีมนุษย์สรา้ งข้ึนเพ่อื แสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรสู้ ึก ปัญญา ความคิดและหรือ ความงาม
ทง้ั น้จี ะกล่าว โดยรวม ก็คอื ศิลปะ จะประกอบไปด้วย ส่วนประกอบ 3 ประการ คอื
1. มคี วามงาม
2. มจี ุดมงุ่ หมายท่แี น่นอน
3. มีความคิดสร้างสรรค์
เหตุทจี่ ำกดั วงอยู่เฉพาะผลติ ผลของมนษุ ย์ อาจเป็นเพราะวา่ ในบรรดา สัตวโ์ ลกดว้ ยกัน มนษุ ยเ์ ปน็
สตั ว์ประเภทเดยี วทสี่ ามารถ สร้างสอื่ ในการ ทำความเขา้ ใจรว่ มกนั ดีทีส่ ุด และการดำเนนิ ชีวติ กม็ กี าร
พัฒนา ไปเปน็ ระบบ ส่งิ เหล่านี้ นบั เป็นสาเหตุหนึ่งท่ีมนษุ ย์ ยกย่องความเป็นสัตว์โลกของตน วา่ เป็น
ประเภทท่ีเหนอื กว่า สัตว์โลกประเภทใด
ดังนัน้ รปู ร่างลักษณะหรือ ผลงาน สรา้ งสรรค์ จากสิ่งต่าง ๆ ทมี่ ใิ ช่ผลงานของมนษุ ย์ รวมทั้ง
ปรากฏการณธ์ รรมชาติ ทม่ี ี ความ สลับซับซ้อน มคี วามสวยงาม มีรปู ทรงแปลกตา แม้ มนุษย์ จะมีความ
ชืน่ ชม แตก่ ไ็ ม่ ยอมรบั วา่ เป็นผลงานศิลปะ แตห่ ากมนุษย์ ใชค้ วามบันดาลใจ จากสง่ิ เหล่านน้ั มา
สร้างสรรคข์ ้นึ มาใหม่ ถอื วา่ เปน็ ศลิ ปะ แตจ่ ะเปน็ ศิลปะบริสุทธิ์ (Fine Art) หรือศลิ ปประยุกต์ (Applied
Art) หรอื ไมน่ ั้น กข็ ้นึ อยกู่ ับจุดมงุ่ หมาย ในการสรา้ ง
คำนิยามของศลิ ปะ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525 ให้นิยามของศิลปะวา่ ศิลปะ คอื ฝมี ือ ฝมี ือ
ทางการช่าง การแสดงซ่ึงอารมณ์ สะเทอื นใจ ให้ประจกั ษ์เห็น
พจนานกุ รมศพั ท์ศิลปะ ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พุทธศักราช 2530 นยิ ามความหมายของศลิ ปะวา่
ศลิ ปะ คอื ผลแห่งพลงั ความคิดสรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย์ ทแ่ี สดงออก ในรปู ลกั ษณ์ ตา่ งๆให้ปรากฏซงึ่
สุนทรยี ภาพความประทับใจ หรือ ความสะเทือนอารมณ์ ตามอัจฉรยิ ภาพ พทุ ธิปญั ญา ประสบการณ์
รสนิยม และทกั ษะของแต่ละคน เพอ่ื ความพอใจ ความร่นื รมย์ ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี หรอื ความ
เช่อื ในลัทธศิ าสนา และกลา่ ววา่ ศิลปะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื วจิ ิตรศลิ ป์ (Fine Art) กับ
ประยุกตศ์ ิลป์ (Applied Art)
ที่มา: https://sites.google.com
อรสิ โตเตลิ (Aristotle) ปราชญ์ในยคุ กรกี โบราณ
นยิ ามความหมาย ของศิลปะวา่ ศลิ ปะคือการเลียนแบบธรรมชาติ
จุดเร่มิ ต้นของศลิ ปะ
จุดเร่ิมตน้ ของศิลปะ คอื การทม่ี นษุ ย์ตอ้ งประดษิ ฐ์และสรา้ งสรรค์สง่ิ อำนวยความสะดวกและเพ่อื
ความเป็นอย่ทู ป่ี ลอดภัย สำหรบั การดำรงชีพและความอย่รู อด ไดแ้ ก่ ทพี่ กั อาศัยอยา่ งงา่ ยๆ อาวธุ ท่ีสรา้ ง
ขน้ึ อยา่ งหยาบๆสรา้ งภาชนะที่ทำจากเครอื่ งปัน้ ดนิ เผาอย่างงา่ ยๆ ลว้ นเปน็ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพอ่ื
แก้ปัญหา และตอบสนองความตอ้ งการของมนุษย์ในการดำรงชีวิตซึ่งเปน็ ไปในลักษณะที่แตกต่างจาก
ธรรมชาติในระยะต่อมา เมอื่ มนษุ ยไ์ ด้สัมผสั กับปรากฏการณ์ธรรมชาติซึง่ บางเหตกุ ารณเ์ ป็นสิ่งที่ เหนอื
คำอธบิ ายได้ในยุคน้ัน ดว้ ยความเกรงกลัวในอิทธิฤทธิ์อำนาจของส่ิงที่อยู่เหนือธรรมชาติ จงึ ได้เกิดพธิ ีกรรม
ตา่ งๆ พฒั นามาเปน็ ลทั ธิ ความเชื่อ จนกลายเป็นศาสนาในปัจจุบัน ศิลปะจงึ ได้ถูกสรา้ งสรรคข์ น้ึ เพือ่
ประกอบในพิธกี รรมต่างๆเหล่าน้ดี ้วยการสร้างสรรคส์ ง่ิ ต่างๆเหล่านี้ เป็นรากฐานและแรงบนั ดาลใจให้
มนุษย์ในสมยั ต่อๆมา สร้างงานที่มีลกั ษณะแปลก แตกตา่ งและพัฒนาให้เกิดผลงานทดี่ ีขน้ึ ตอ่ ไป
1.การสร้างสรรค์ เปน็ สง่ิ ท่ีเกิดจากความคดิ สร้างสรรค์ เป็นการดำเนินการในลักษณะตา่ งๆเพอ่ื ให้เกิดสิง่
แปลกใหม่ท่ีไมเ่ คยปรากฏมากอ่ น สิ่งทมี่ ีชวี ติ เท่าน้นั ท่จี ะมคี วามคิดอย่างสร้างสรรคไ์ ด้ ความคดิ สรา้ งสรรค์
เปน็ ความคดิ ระดับสูง เป็นความสามารถทางสตปิ ญั ญาแบบหน่ึงท่ีจะคิดได้หลายทิศทางหลากหลาย
รูปแบบโดยไม่มีขอบเขต นำไปสกู่ ระบวนการคิดเพอื่ สร้างส่งิ แปลกใหม่ หรอื เพือ่ การพฒั นาของเดมิ ให้ดขี ึ้น
ทำใหเ้ กดิ ผลงานท่มี ลี ักษณะเฉพาะตน เป็นตัวของตัวเอง อาจกลา่ วได้วา่ มนษุ ย์เป็นส่งิ มชี ีวิตเพยี งชนดิ
เดียวในโลกที่มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ เนอ่ื งจากตั้งแตใ่ นอดีตท่ีผ่านมา มีแตม่ นษุ ย์เทา่ นนั้ ทสี่ ามารถสร้างสิง่
ใหมๆ่ ขนึ้ มาเพือ่ ใช้ประกอบในการดำรงชวี ติ และสามารถพัฒนาสิ่งต่างๆใหด้ ีข้ึนกวา่ เดมิ รวมถงึ มี
ความสามารถในการพฒั นาตน พฒั นาสงั คม พัฒนาประเทศ และรวมถงึ พัฒนาโลกท่เี ราอย่ใู หม้ ลี ักษณะท่ี
เหมาะสมกับมนุษยม์ ากที่สดุ ในขณะท่สี ตั ว์ชนดิ ต่างๆทม่ี วี วิ ฒั นาการมาเชน่ เดยี วกับเรายังคงมีชีวิตความ
เปน็ อยู่แบบเดมิ อยา่ งไมม่ ีการเปลย่ี นแปลง มากกวา่ ครง่ึ หน่ึงของการพบท่ียง่ิ ใหญข่ องโลกได้ถูกกระทำ
ขน้ึ มาโดยผา่ น "การค้นพบโดยบงั เอิญ"หรือการคน้ พบบางสงิ่ ขณะทกี่ ำลงั ค้นหาบางสง่ิ อยู่ การพฒั นา
ความคดิ สรา้ งสรรค์ของมนุษย์จะทำให้เกดิ การการเปลีย่ นแปลง การสรา้ งสรรคอ์ าจไม่จำเป็นตอ้ งยง่ิ ใหญ่
ถงึ ขนาดการพฒั นาบางสิ่งข้ึนมาให้กบั โลก แต่มอี าจเกี่ยวข้องกับพฒั นาการบางอย่างใหใ้ หมข่ ึน้ มาอาจเป็น
ส่ิงเลก็ ๆน้อยๆเพอื่ ตัวของเราเองเมอื่ เราเปลยี่ นแปลงตัวเราเอง เราจะพบว่าโลกก็จะเปล่ียนแปลงไปพรอ้ ม
กับเราและในวถิ แี หง่ การเปล่ียนแปลงทเี่ ราไดม้ ปี ระสบการณก์ บั โลก ความคิดสร้างสรรค์จึงมคี วามหมายท่ี
ค่อนข้างกวา้ งและสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับการผลติ การสรา้ งสรรค์สิง่ ประดิษฐ์ใหมๆ่ กระบวนการ
วธิ ีการทคี่ ิดคน้ ขน้ึ มาใหม่เราคาดหวังว่า ความคิดสร้างสรรคจ์ ะชว่ ยให้การดำเนินชีวติ และสังคมของเราดี
ขึ้น เราจะมคี วามสุขมากขึ้น โดยผ่านกระบวนการทีไ่ ด้ปรบั ปรงุ ข้ึนมาใหม่นที้ ้งั ในดา้ นปริมาณและคุณภาพ
2.จดุ มง่ หมายของการสร้างสรรค์ งานศิลปะโดยเฉพาะงานศิลปะสมัยปจั จบุ ัน ศลิ ปจะสรา้ งสรรค์งานศิลปะ
ในรูปแบบทีห่ ลากหลายมากข้นึ ทำให้มีขอบขา่ ยกวา้ งขวางมาก แต่ไมว่ า่ จะเปน็ ไปในลกั ษณะใดก็ตาม งาน
ศิลปทุกประเภทจะให้คณุ ค่าที่ตอบสนองต่อมนษุ ย์ ในดา้ นท่เี ปน็ ผลงานการแสดงออกของอารมณ์
ความรู้สกึ และความคิด เปน็ การสอ่ื ถงึ เร่ืองราวทส่ี ำคัญ หรอื เหตุการณ์ท่ปี ระทบั ใจ เป็นการตอบสนองต่อ
ความพงึ พอใจ ท้ังทางด้านจติ ใจและความสะดวกสบายด้านประโยชน์ใชส้ อยของศลิ ปวตั ถุ
3.องค์ประกอบของการสร้างสรรคง์ านศิลปะ การสร้างสรรคจ์ ะประสบความสำเร็จเป็นผลงานได้ นอกจาก
ต้องอาศัยความคดิ สร้างสรรคเ์ ป็นตัวกำหนดแนวทางและรปู แบบแล้ว ยงั ต้องอาศยั สามารถท่ียอดเย่ียม
ของศลิ ปิน ซ่ึงเป็นความสามารถเฉพาะตน เป็นความชำนาญทเ่ี กดิ จากการฝกึ ฝนและความพยายามอนั นา่
ทึง่ เพราะฝีมืออันเยย่ี มยอดจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานทมี่ ีความงามอนั เย่ียมยอดได้ นอกจากนย้ี งั ต้อง
อาศยั วัสดอุ ุปกรณ์ต่าง ๆ มาใชใ้ นการสรา้ งสรรค์ดว้ ยเชน่ กนั วสั ดอุ ุปกรณใ์ นการสรา้ งสรรค์ แบง่ ออกเป็น
วตั ถุดิบทใี่ ช้เป็นส่ือในการแสดงออก และเครื่องมอื ทใ่ี ชส้ รา้ งสรรคใ์ ห้เกดิ ผลงานตามความชำนาญของ
ศลิ ปนิ แตล่ ะคน แนวทางในการสร้างสรรคง์ านศลิ ปะของศิลปินแตล่ ะคนอาจมีทีม่ าจากแนวทางที่ตา่ งกนั
บางคนได้รับแรงบันดาลใจจากความงาม ความคิด ความรู้สึก ความประทับใจ แต่บางคนอาจสรา้ งสรรค์
งานศิลปเพ่ือแสดงออกถึงฝีมอื อนั เย่ียมยอดของตนเอง เพ่อื ประกาศความเปน็ เลิศอย่างไมม่ ีทเ่ี ปรยี บปาน
โดยไม่เนน้ ทีเ่ นอื้ หาของงานและบางคนอาจสร้างสรรค์งานศิลปจากการใชว้ ัสดุท่สี นใจ โดยไมเ่ น้นรปู แบบ
และแนวคิดใดๆเลยกไ็ ด้
การแบ่งประเภทและสาขาของศลิ ปะ
1.แบง่ ตามจุดม่งุ หมายของการกอ่ สรา้ ง
1.1)วิจิตรศิลป์ เปน็ ศลิ ปะท่สี รา้ งข้นึ เพือ่ ใหค้ วามรู้สกึ ทางสนุ ทรยี ภาพ ใหอ้ ารมณ์สะเทอื นใจ ปลุก
ความเห็นแจ้ง ใหป้ ระสบการณใ์ หม่ หรอื ให้ความประเทอื งปัญญาแก่ผู้ดู
1.2)ประยกุ ต์ศิลป์ เป็นศิลปะที่สร้างขน้ึ เพ่ือใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งอื่นนอกเหนือจากความชืน่ ชมในคุณคา่
ของศลิ ปะโดยตรง เช่น ภาพหรือลวดลายทีใ่ ช้ตกแตง่ อาคาร หรือเครอ่ื งเรือน รปู ร่าง รปู ทรง สสี ันของ
ผลติ ภณั ฑอ์ ุตสาหกรรมทอ่ี อกแบบให้เปน็ ทพ่ี อใจของผู้บรโิ ภคหรอื เครื่องใชส้ อยที่ทำขนึ้ ดว้ ยฝมี ือประณีต
ศลิ ปะท่ีประยกุ ต์เขา้ ไปในส่ิงทใี่ ช้ประโยชน์เหล่าน้ี จะใหค้ วามพอใจอนั เกดิ จากความประณตี สวยงาม ความ
กลมกลนื แกป่ ระสาทสัมผสั ควบคู่ไปกับประโยชนใ์ ช้สอย
2.ศลิ ปะแบง่ ตามลักษณะของสอื่ ในการแสดง
ส่อื ในการแสดงออก หรือเรียกอกี นยั หน่ึงวา่ ส่ือสุนทรยี ภาพ (ซงึ่ ได้แก่ เสน้ สี ปรมิ าตร เสยี ง ภาษา
ฯลฯ) ของงานศิลปะแตล่ ะสาขา ยอ่ มแตกตา่ งกนั ไปตามธรรมชาตขิ องการแสดงออก ซง่ึ อาจแบง่ ออกได้
เปน็ 5 สาขา คือ
1.1)จติ รกรรม(Painting) เป็นศลิ ปะที่แสดงออกดว้ ยการใช้สี แสง เงา และแผน่ ภาพทีแ่ บนราบเปน็ 2
มติ ิ
1.2)ประตมิ ากรรม(Sculpture) เปน็ ศลิ ปะทแี่ สดงออกด้วยการใชว้ ัสดุ และปรมิ าตรของรูปทรง
1.3)สถาปัตยกรรม(Architecture) เป็นศลิ ปะท่ีแสดงออกด้วยการใชว้ ัสดุ โครงสรา้ ง และปริมาตรของ
ทว่ี ่างกบั รปู ทรง
1.4)วรรณกรรม(Literature) เปน็ ศิลปะทแี่ สดงออกด้วยการใช้ภาษา
1.5)ดนตรแี ละนาฎกรรม(Music and Drama) เป็นศลิ ปะท่แี สดงออกดว้ ยการใช้เสยี ง(หรอื ภาษา)
และความเคลอ่ื นไหวของร่างกาย
3.ศิลปะแบ่งตามลกั ษณะของการรับสมั ผสั
ประสาทรับสัมผัสของมนุษย์น้ปี ระกอบด้วยประสาททาง ตา หู จมกู ลนิ้ และกาย แตก่ ารรับสัมผสั ท่ี
ใหค้ วามพอใจในสุนทรยี ภาพระดบั สงู มี 2 ทาง คอื ทางตา และทางหู ส่วนทางจมกู ลนิ้ และกาย เปน็ ทาง
รบั ที่ใหค้ วามพอใจในสุนทรยี ภาพระดับรองลงไป ศลิ ปินอาจใช้กลิ่น รส และการสมั ผัสเปน็ ส่ือของการ
แสดงออกทางศลิ ปะได้ แต่คงเป็นเพยี งส่วนประกอบ เราจึงแบง่ ศลิ ปะตามลักษณะของการรับสมั ผัสออกได้
เป็น 3 สาขา คอื
1.1)ทศั นศลิ ป์ (Visual Arts) เปน็ ศิลปะทร่ี บั สัมผสั ด้วยการเหน็ ได้แก่ จติ รกรรม ประติมากรรม ภาพ
พมิ พ์ และสถาปตั ยกรรม
1.2)โสตศิลป์ (Aural Arts) เปน็ ศิลปะท่รี บั สมั ผสั ด้วยการฟัง ได้แก่ ดนตรี และวรรณกรรม (ผ่านการ
อา่ นหรอื ร้อง)
1.3)โสตทัศนศิลป์ (Audio Visual Arts) เป็นศิลปะทรี่ บั สมั ผัสดว้ ยการฟงั และการเหน็ พรอ้ มกัน ไดแ้ ก่
นาฎกรรม การแสดง ภาพยนตร์ ซึง่ เปน็ การผสมกนั ของวรรณกรรม ดนตรี และทศั นศลิ ป์ บางแหง่ เรยี ก
ศิลปะสาขานว้ี ่าศิลปะผสม (Mixed Art)
ประโยชน์ของศิลปะ
1.ศลิ ปะพฒั นาสมอง ทำให้สมองดี เพราะมีจนิ ตนาการ เดก็ ทท่ี ำงานศลิ ปะบ่อยๆ จะเป็นผู้มคี วามคิด
ริเร่ิม ช่างสังเกต ช่างจดจำ รจู้ ักคิด วางแผนการทำงาน มีความละเอียดรอบคอบ ประณีตบรรจง พิถีพิถนั
มองเหน็ ในส่ิงท่ีคนอื่นอาจมองไม่เห็นได้ ชว่ ยใหม้ ีความคิดแปลกใหม่ และคดิ ไดห้ ลากหลาย
2.ศลิ ปะพัฒนาร่างกาย ดว้ ยการใช้ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ อยา่ งมสี ติ ดูเปน็ ฟังเปน็ รู้จกั เลือกเฟน้ ให้
ได้ความรู้และคณุ คา่ ทดี่ ีงาม พฒั นาการเคลือ่ นไหวทางด้านกลา้ มเน้อื ใหญ่ กล้ามเนอ้ื เล็ก และพฒั นา
ประสาทสมั พนั ธ์ระหวา่ งตากับมือ ใหม้ คี วามคล่องแคล่ว และมีความสามารถในการทำงาน
3.ศลิ ปะพฒั นาอารมณ์ ความม่ันคงของจิตใจ ช่วยฝกึ ให้เด็กสงบ น่งิ มสี มาธิ จดจ่อกับการทำงาน ไม่
วอกแวกหวน่ั ไหว มพี ลงั น่มุ นวลควรแกง่ าน มีสติ ไม่เล่ือนลอย ไม่ทงิ้ โอกาสท่ีจะสร้างสรรค์ มคี วามเพยี ร
พยายาม อดทน รับผดิ ชอบ มีกำลงั ใจ ร่าเริง เบกิ บาน สดชืน่ แจ่มใส ผอ่ นคลาย มีความรู้สกึ ทีด่ ีตอ่ ตนเอง
มีสุนทรยี ภาพ มคี วามมน่ั ใจ กลา้ แสดงออก รวมทั้งสามารถควบคมุ ตัวเองไดเ้ หมาะสมกับวยั
4.ศลิ ปะพฒั นาสงั คม สามารถอยูร่ ่วมกบั ผอู้ ่นื ได้ด้วยดี ไมเ่ บียดเบยี น ไม่ก่อความเดอื ดรอ้ นตอ่ ผ้อู นื่
รู้จักใชว้ ินยั ในการดำรงชวี ิต เคารพกติกา รกั ษากฎเกณฑ์ เช่ือฟงั พ่อแมแ่ ละครู รู้จักชว่ ยเหลือเกื้อกูล
แบง่ ปนั เอาใจใส่ คดิ ดีและชน่ื ชมในผลงานของผ้อู น่ื มีพฤติกรรมดงี ามในความสมั พนั ธก์ ับเพอื่ นมนุษย์
กอ่ ใหเ้ กดิ ไมตรีและความสามคั คี
5.ศลิ ปะพัฒนาปัญญา ทำใหเ้ ด็กมีความสามารถทางดา้ นความรู้ ความคดิ ความเขา้ ใจ คดิ วิเคราะห์
คิดหาเหตผุ ล คิดอย่างเป็นระบบ ช่วยพฒั นาความจำ ร้จู กั สรปุ ความ รู้จักแสวงหาความรูเ้ พ่มิ เตมิ และ
สามารถนำความรู้นน้ั มาใช้ได้ ด้วยการคดิ เปน็ แกป้ ญั หาเป็น และดับทุกขเ์ ป็นในท่ีสดุ
6.ศิลปะพฒั นาภาษา ช่วยใหเ้ ด็กมีพัฒนาการทางภาษาเพิม่ ข้ึน รูจ้ กั คำศัพทใ์ หมๆ่ สามารถลำดบั
เหตุการณ์ เรียบเรยี ง คำพดู ในการบอกเลา่ ถงึ ผลงาน เลอื กใชถ้ ้อยคำที่เหมาะสมในการแบ่งปัน
ประสบการณ์ต่างๆในการทำงาน และสามารถใช้วาจาในทางทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อการพฒั นาตนเอง
ชว่ ยเหลอื เกอื้ กูล สร้างสรรคส์ งั คมและสงิ่ แวดลอ้ ม
ศิลปะบำบดั (Art therapy)
ศลิ ปะบำบัด (art therapy) คือ การบำบดั รักษาทางจิตเวชรปู แบบหนง่ึ ที่ประยกุ ตใ์ ช้กิจกรรมทาง
ศลิ ปะเพือ่ ค้นหาขอ้ บกพรอ่ ง ความผดิ ปกติบางประการของกระบวนการทางจิตใจ โดยใช้ความรู้เก่ยี วกบั
การประเมนิ ทางจิตวิทยา เพ่ือเปิดประตูเข้าสู่จติ ใจในระดับจิตไรส้ ำนกึ และเลอื กใชก้ จิ กรรมทางศลิ ปะที่
เหมาะสมชว่ ยในการบำบัดรักษา และฟืน้ ฟสู มรรถภาพให้ดขี น้ึ
จากแนวคดิ ทวี่ า่ ศิลปะ คือ หนทางแห่งการปลดปลอ่ ย อารมณ์ ความรสู้ กึ ความคดิ ตามความ
ตอ้ งการของแตล่ ะคน เดก็ ก็เช่นกนั พวกเขาตอ้ งการ สทิ ธิ เสรภี าพ ทจี่ ะแสดงออกซึง่ ความตอ้ งการของ
เขาอยา่ งมีความสขุ พวกเขาตอ้ งการโอกาสท่ีจะพัฒนา ศักยภาพของตัวเขาเองในดา้ น การเรียน การเลน่
และการแสดงออกต่างๆมีประโยชนใ์ นดา้ นการพฒั นาอารมณ์ สติปัญญา สมาธิ ความคิดสร้างสรรค์
รวมถงึ การชว่ ยพัฒนากลา้ มเน้ือมดั เล็ก และการประสานงานการเคล่ือนไหวของร่างกาย นอกจากน้ียงั เปน็
เคร่ืองมอื สำคัญท่ชี ่วย กระตุน้ การสอื่ สาร และเสริมสรา้ งทกั ษะสังคมอกี ด้วย
ศลิ ปะบำบัด ยังนบั เปน็ รูปแบบหนงึ่ ของการทำจติ บำบัด (psychotherapy) ท่ีใชศ้ ลิ ปะเป็นเครื่องมือ
สำคัญ เพือ่ ช่วยเหลอื บคุ คลทม่ี ปี ัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ ซง่ึ หลักการของศิลปะบำบดั คอื ใช้ศิลปะเป็น
ส่ือในการแสดงออกถงึ อารมณ์ ความรสู้ ึก ความขดั แย้ง และความตอ้ งการ ทีซ่ ้อนเรน้ อยู่ภายในสว่ นลกึ ของ
จิตใจ การแสดงออกทางผลงานศลิ ปะ ไม่วา่ จะเปน็ ลายเส้น สี รปู ทรง สัญลักษณ์ อารมณ์ ความหมาย ที่
สอ่ื ออกมาทงั้ หมดสามารถนำมาวิเคราะห์ใหเ้ ห็นถึงความรสู้ กึ นึกคิดวา่ เป็นอย่างไร หรอื สภาพจิตมีปัญหา
อยา่ งไร
การประเมนิ ผลการบำบัดรกั ษาดว้ ยศลิ ปะบำบดั เน้นที่ กระบวนการ และกิจกรรมทางศลิ ปะ ไมไ่ ด้
เนน้ ทผ่ี ลงานหรอื คณุ คา่ ทางศิลปะ ศิลปะบำบดั ประกอบด้วยรูปแบบกจิ กรรมทางศิลปะที่มคี วาม
หลากหลาย
1.ทศั นศิลป์ (visual arts) ไดแ้ ก่ การวาด, ระบายสี, การป้นั , การแกะสลัก, การถกั , การทอ, การประดษิ ฐ์
ฯลฯ
ทีม่ า: https://www.happyhomeclinic.com
2.ดนตรี (music) ได้แก่ การเล่นดนตรี รอ้ งเพลง และกจิ กรรมทางดนตรี
3.การแสดง (drama) ไดแ้ ก่ การแสดง การละคร และการเคลอ่ื นไหวร่างกาย
ทม่ี า: https://www.happyhomeclinic.com
4.วรรณกรรม (literature) ได้แก่ บทกวี นยิ าย เร่อื งสั้น ฯลฯ
ทม่ี า: https://www.happyhomeclinic.com
ศิลปะบำบัดมีรูปแบบแตกตา่ งกนั ไปในผูร้ ับการบำบดั แต่ละคนท่มี สี ภาพปัญหาแตกตา่ งกนั เทคนิคที่
ใช้ เชน่ ปน้ั ดนิ วาดภาพ ระบายสี ถกั ทอ กจิ กรรมทางดนตรี เล่นละคร หรือบทบาทสมมติ โดยนกั ศลิ ปะ
บำบัดจะพิจารณาเลือกใช้เทคนิคทเ่ี หมาะสมกบั แตล่ ะบคุ คลการเลือกใชส้ ือ่ วสั ดุ อุปกรณ์ และรูปแบบที่
หลากหลายเหลา่ น้ี เพ่ือเป็นทางเลือกท่จี ะระบายความรสู้ กึ นึกคิด ความเข้าใจตนเอง และจัดการกับ
ความรสู้ ึกไดต้ ามความเหมาะสมของผู้เข้ารบั การบำบดั แต่ละคน
สอื่ ที่มีโครงสรา้ ง (structure media) เชน่ ดนิ สอ สไี ม้ สเี ทยี น ใช้สำหรบั การสร้างสมั พันธภาพ
ระหวา่ งผูบ้ ำบัดกบั ผู้รบั การบำบดั ใช้แทนการสื่อสารด้วยถ้อยคำ
ทม่ี า: https://www.happyhomeclinic.com
สือ่ ท่ียืดหย่นุ ได้ (loose media) เชน่ สนี ้ำ ดนิ นำ้ มัน ใชล้ ดความตึงเครียด ผ่อนคลายอารมณ์ และ
ระบายความรสู้ ึกนึกคดิ ออกมาอยา่ งอสิ ระ
ที่มา: https://www.happyhomeclinic.com
ขั้นตอนหลกั ในการทำศลิ ปะบำบดั มกี ารแบง่ อยู่หลายแบบ ผู้เขยี นได้รวบรวมสรุป และเทียบเคยี ง
กับขั้นตอนการทำจิตบำบดั แบ่งเปน็ ขั้นตอนหลัก “4 E” ดงั น้ี
1. Established rapport (สรา้ งสมั พนั ธภาพ) เปน็ ขนั้ แรกของการบำบดั สร้างสมั พันธภาพระหวา่ งผู้
บำบดั กับผ้รู ับการบำบดั ซ่งึ รวมถงึ การประเมนิ สภาพปัญหา และวางแผนการบำบดั รักษาดว้ ย
2. Exploration (คน้ หาปญั หา) เปน็ ขั้นของการสำรวจ ค้นหา วเิ คราะห์ปมปัญหา ความขัดแยง้ ภายใน
สว่ นลึกของจิตใจ
3. Experiencing (ทบทวนประสบการณ์) เป็นขั้นการบำบัด โดยดงึ ประสบการณแ์ หง่ ปัญหาข้นึ มาจัดเรยี ง
ปรบั เปลย่ี น แกไ้ ขใหม่ ในมุมมองและสภาวะใหม่
4. Empowerment (เสรมิ สร้างพลังใจ) เป็นข้นั สุดท้ายของการบำบดั โดยเสริมสรา้ งความภาคภูมิใจใน
ตนเอง และใหโ้ อกาสแห่งการเปลีย่ นแปลง
เทคนคิ สำคญั ท่ีนำมาใชใ้ นกระบวนการทางศลิ ปะบำบัด คอื การสนบั สนนุ เสริมสร้างกำลงั ใจ
(supportive) และการตีความหมายทีซ่ อ้ นเร้นภายในจิตใจ (interpretation)
การสนับสนุน เสริมสร้างกำลังใจ ทำไดโ้ ดยให้ความสนใจ ใหก้ ำลงั ใจ และการชมเชยเมือ่ ทำได้
สำเรจ็ หรือมีความพยายามเพิม่ ขึ้น ภายใต้ส่ิงแวดลอ้ มทสี่ งบ ปลอดภัย และทา่ ทเี ป็นมิตร
การตีความหมายทซ่ี ้อนเรน้ ภายในจิตใจ ทำได้โดยการตีความสญั ลกั ษณ์ต่างๆ ที่เหน็ สีทีใ่ ช้ ภาพท่ี
วาด เพอ่ื ให้เกดิ ความเขา้ ใจในตัวเองมากยิง่ ข้นึ
นักศิลปะบำบดั จะทำงานรว่ มกับจิตแพทย์ และนักจติ วิทยาเปน็ ทีมงานเดียวกัน เพ่อื วเิ คราะห์
ปญั หาท่ีซอ่ นเร้นอยใู่ นตัวผู้รบั การบำบัด ซึ่งส่วนใหญไ่ ม่สามารถเล่าถึงความคับข้องใจของตน หรอื อาจไม่
รู้ตัววา่ มปี ัญหาเกดิ ขึ้น โดยเฉพาะในเดก็
ในการทำศลิ ปะบำบดั ทุกครง้ั ควรมีการบันทกึ ใหเ้ หน็ ถงึ กระบวนการและผลลพั ธ์ที่เกดิ ขน้ึ รวมถงึ
บนั ทึกการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม อารมณ์ และขอ้ สังเกตต่างๆ ลงในแฟ้มประวตั ิผูป้ ว่ ย เพอ่ื วางแผน
รว่ มกับทีมงานท่ีใหก้ ารบำบัดรักษา และกำหนดแนวทางในคร้ังตอ่ ไป เมอ่ื ส้นิ สดุ การบำบัดแลว้ จะทำ
อย่างไรกบั ผลงานทางศิลปะทีเ่ กิดขน้ึ ระหวา่ งการบำบัด ซึง่ ผ้ทู ต่ี อบคำถามน้ไี ด้ดที ่สี ดุ คือผ้ทู ร่ี บั การบำบดั
นั่นเอง
บทสรุป
การศึกษาเรื่องศิลปะ ทำให้ผู้จัดและผู้อา่ นไดเ้ ข้าใจเกี่ยวกบั งานศิลปะ ท้งั ดา้ นความหมาย ประเภท
หรือประโยชน์ทไ่ี ดร้ บั ทำให้ไดเ้ รียนรู้การนำความคิดมาสรา้ งสรรค์งานศลิ ปะมาปรบั ใช้ในชีวติ ประจำวันให้
เกดิ ประโยชนแ์ ละสร้างความสขุ ให้กบั ชวี ติ ของเรา
ทม่ี า: https://sites.google.com
บรรณานุกรม
วริ ลั พชั ร บางโรย. (2562). ความหมายของศิลปะ, คน้ เมอื่ ธนั วาคม 25,2564,
จาก ทมี่ า: https://sites.google.com
ประโยชนข์ องศิลปะ, คน้ เม่อื ธันวาคม 25,2564,
จาก https://sites.google.com/site/mmilk8867/pra-yo-chn-khxng-sil
ปวนี า เนอื งนิตย.์ (2546). ศลิ ปะ, คน้ เม่อื ธันวาคม 25,2564,
จาก https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/arts
ทวศี ักด์ิ สริ ิรัตนเ์ รขา. (2564). ศลิ ปะบำบัด(art therapy), คน้ เมือ่ ธนั วาคม 25,2564,
จาก https://www.happyhomeclinic.com/alt02-arttherapy_artandscience.htm