The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ณัฐชนน เพชรแก้ว, 2022-09-13 01:46:48

งานนิทานพื้นบ้านใครก็ว่าหนุก

นิทาน

Keywords: นิทาน

นิทานพื้นบ้านภาคใต้ใครก็ว่าหนุก

สารบัญ

๐๑ ๐๒

บทนำ นิทานภาคใต้

๑๖ ๑๗

สรุป ผู้จัดทำ

๑๘

ปกหลัง

บทนำ

เนื่ องจากนิทานเป็ นผักที่อยู่กับเราตั้งแต่เด็กจะเห็นได้ว่าในปั จจุบันมีนิทานมากมาย
หลากหลายประเภทนอก ใช้นิทานพื้นบ้านต่างๆเดือนต่างจางหายไปจึงทำให้พวกเราเกิด
ความสนใจและอยากที่จะให้ทุกคนอนุรักษ์ นิทานพื้นบ้านที่ทานยา 1 พระนถึงปัจจุบัน
นิพพานในบ้านของพระภาคจะมีความโดดเด่นที่ แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเป็นอยู่ภาษาการ
กรรมในภูมิภาคภูมิอากาศชวนเราไม่ทานเป็นตัวแทนให้ทุกคนได้ อนุรักษ์ได้เห็นนิทานพื้น
บ้านที่มีความสวยงามคำพูดสนุกสนานและแปลกไปด้วยข้อคิดต่างๆ จึงนำมาสู่ความ สนใจที่
จะรวบรวมข้อมูลและศึกษาค้นคว้านิทานพื้นบ้านที่กลุ่มหมอว่าเรา

นิทานภาคใต้

ภาคใต้ ๑๔ จังหวัด

ได้แก่ จังหวัดกระบี่, จังหวัดชุมพร, จังหวัดตรัง, จังหวัดนราธิวาส, จังหวัดพัทลุง, จังหวัด
นครศรีธรรมราช, จังหวัดปัตตานี, จังหวัดพังงา,จังหวัดภูเก็ต,จังหวัดระนอง,จังหวัดสตูล,จังหวัด
สงขลา,จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ จังหวัดยะลา

๑.จังหวัดกระบี่ มี ๔ เรื่อง เช่น ตำนานอ่าวนาง, ม้าดีมีค่า, เขาขนาบนาบและ ปลาช่อนตัวใหญ่
๒.จังหวัดชุมพรมี ๓ เรื่อง เช่น ตำนานพระขวาง, เสือใหญ่เมืองชุมพร และตาดีกับนายด้น
๓.จังหวัดตรังมี ๓ เรื่อง เช่น ปู่เจ้าอัฒวงศ์, นางอุทัย และไอ้เกลอ
๔.จังหวัดนราธิวาสมี ๒ เรื่อง เช่น ตากใบ และปลาช่อนครึ่งตัว
๕.จังหวัดพัทลุงมี ๒ เรื่อง เช่น เขาจิงโจ้และเขาอกทะลุ
๖.จังหวัดนครศรีธรรมราชมี ๔ เรื่อง เช่น นายดั้น, ขี้ลืมปูทอง และกินเหล้าและอายุยืน
๗. จังหวัดปัตตานีมี ๓ เรื่อง เช่น ปู่ทอง, หมากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และอำนาจเจ้าลิ้มกอเหนี่ยว
๘.จังหวัดพังงามี ๒ เรื่อง เช่น ตำนานเขาช้างและถ้ าน้ าผุด
๙.จังหวัดภูเก็ตมี ๓ เรื่อง เช่น ผีหัวล้าน, ตาหม่องลาย และเหตุที่หัวฟันหัก
๑๐.จังหวัดระนองมี ๓ เรื่อง เช่น ตำนานทับหลีสุรีย์วงศ์, ตำนานถ้าพระขยางค์และตำนานปากจั่น
๑๑.จังหวัดสตูลมี ๑๐ เรื่อง เช่น อาหวังดักนก, แม่ไก่กับมูสัง, ลูกเศรษฐีกับนายอ าเภอ, อย่า
โกหกสายกับชีขาว, หวังขี้คร้าน, พระยาหมก, ผีหลังกลวง, ไอ้บอดไอ้หนวก และอาหวังกุหลาบ
๑๒.จังหวัดสงขลามี ๕ เรื่อง เช่น เก้าเส้ง, ท่านโคะ, นางมโนราห์. แม่กับเมียและความพิลึกของ
เกาะ
๑๓.จังหวัดสุราษฎร์ธานีมี๓ เรื่อง เช่น จำปีสี่ต้น, ตำนานหินหาย และเขาหน้ าราหู
๑๔.จังหวัดยะลามี ๓ เรื่อง เช่น แม่เศรษฐี, หนูกัดเหล็ก และตำนานทวดกุหล่า สรุปได้ว่า จังหวัด
สตูลเป็นจังหวัดที่มีนิทานพื้นบ้านมากที่สุด พัทลุงนราธิวาสและพังงาเป็นจังหวัดที่มีนิทาน พื้น
บ้านน้ อยที่สุด

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดสุราษฐานี

ตำนานเขาพระราหูหรือเขาหน้ าราหู

นิยายพื้นบ้านของอำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฏร์ธานี มีเรื่องของ "เขาหน้ าราหู" ซึ่งได้เล่าติดต่อ
กัน มานมนานทีเดียว เขาหน้ าราหู ตั้งอยู่ในท้องที่ต าบลย่านยาว อำเภอคีรีรัฐนิคม ก็เพราะภูเขา
ลูกนี้มีรูปราง เหมือนยักษ์ แต่บางรายเรียกกันว่าระจันทร์ก็มี เขาหน้ าราหูเป็นหินงอกขึ้นตาม
ธรรมชาติ ตรงยอดเขาส่วนที่ สูงที่สุดมีลักษณะเป็นรูปหน้ า ตา จมูก ปาก ซึ่งชาวบ้านลงความเห็น
ว่า มีลักษณะเหมือราหูในเทพนิยาย ปรัมปรา และรูปพรรณสันฐานของพระราหูนี้สามารถมองเห็น
ได้เป็นรูปร่างในระยะไกล ชาวบ้านในย่านนั้น เล่าประวัติความเป็นมาของเขาหน้ าราหูนี้ กันว่า แต่
เดิมทีมีอภินิการรุนแรงเป็นที่ หวาดกลัวของคนโดยทั่วไป และมักสร้างความเดือดร้อนนานา
ประการให้แก่ผู้ที่เข้าไปอยู่ในท้องถิ่นนั้น รวมทั้งผู้ว่าการเมือง หรือนายอ าเภอที่ไปประจ าอยู่ก็มัก
จะเดือดร้อน และเจ็บไข้ได้ป่วย อยู่เสมอจนไม่มีใคร อยากไปอยู่ ต่อมาได้มีการ้องเรียนชี้แจงถึง
พฤติการณ์ หรืออภินิหารของเขาหน้ าราหูลูกนี้มายังกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทยจึงได้
กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ให้ทรงทราบ พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีสารตราพระราชสีห์ใหญ่ ให้เปลี่ยนชื่อจาก หน้ า
พระราหู เป็น หน้ าพระจันทร์ เพื่อให้เป็นชื่อที่นิ่มนวล ไพเราะ และเป็นการเรียกเพื่อให้ฟังดูไม่มี
ความดุ ร้าย และเป็นการบ ารุงขวัญของนายอำเภอให้ดีขึ้นอีกด้วย นายอำเภอคีรีรัฐนิคมสมัยนั้น
จึงได้นิมนต์ พระสงฆ์ และได้ชักชวนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านกับราษฏรสะเดาะความดุร้ายและรับเอาชื่อ
ใหม่ เพื่อให้เกิดความ เป็นสิริมงคล จึงจัดพิธีลอยเรือกลางล าน้ำพุมดวงตรงหน้ าเขาพระราหู แล้ว
อ่านสารตราราชสีห์ใหญ่ ประกาศมิ ให้เรียกเขาหน้ าราหูอีกต่อไป แต่บัดนั้นมา โดยให้เรียกเขาหน้ า
พระจันทร์แทน ถึงอย่างไรก็ตาม ประชา ชนดดยทั่วไป ยังเรียกว่าเขาหน้ าราหูอยู่จนกระทั่ง
ปั จจุบันนี

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดสตูล

แม่ไก่กับงูสัง

นานมาแล้วมีชาวบ้านสองคนผัวเมียเลี้ยงแม่ไก่เอาไว้ตัวหนึ่ง บ้านสองคนนี้ตั้งอยู่ในป่าซึ่งมีมูสัง
(ชะมด) ชุกชุม อยู่มาไม่นานแม่ไก่ก็ออกไข่และฟักออกเป็นลูกเจ็ดตัว แม่ไก่เป็นห่วงว่างูสังจะมาลัก
(ขโมย) กินลูกของตน จึงบออกกับลูกๆว่า เวลากลางคืนเราจะนอนในตะกร้าใต้ถุนบ้านไม่ได้ เพราะ
ต่อเดี๋ยว (ประเดี๋ยว) มูสังจะมากินพวกมึง หมด แม่จะพาพวกลูกๆ ไปแอบซ่อนที่ผลา(ชั้นที่วางของ)
บนบ้าน งูสังมาก็ไม่เห็นกินเราไม่ได้ พอกลางคืนแม่ไก่ก็พาลูกไก่ขึ้นไปซ่อนที่ผลา บนผลานั้นเต็มไป
ด้วยลูกขี้ พร้า (ลูกฟักเขียว) ชำ (สุกเละ) เจ้าของไก่เก็บไว้กิน แม่ไก่บอกว่าอย่าเมหู (หนวกหู)
เดี๋ยวมูสังได้ยิน แล้ว จะมากินพวกเรา ลูกไก่ตัวหนึ่งบอกแม่ว่า “แม่ แม่ เราเจ็บตด” ขณะนั้นมูสัง
มาซ่อนตัวอยู่ใต้งูนคอยจับลูกไก่ ลูกไก่บอ อกแม่อีก “แม่ แม่ เราเจ็บตด” แม่ไก่ก็บอกเหมือนเดิมว่า
อย่าเมหู เดี๋ยวมูสังได้ยิน หน(ครั้ง)ที่สามลูกไก่บอกแม่ว่า “แม่ แม่ เราจะ ตดแล้วเด” แม่ไก่ว่า
ตามใจมึงถ้าไม่กลัวงูสัง ลูกไก่ทนกดอยู่ไม่ได้ ตดออกมาตามแรงดัง “ปู้ด ปู้ด”ลูกขี้พร้า อยู่ใต้ตัวอยู่
แตกกระจาย งูสังได้ยินเสียงตดผสมกับลูกขี้พร้าแตก ก็ตกใจวิ่งหายไปในป่า และไม่มาที่บ้านนี้อีก
เลย

อาหวังดักนก

ในกาลครงั้หนึ่งนานมาแล้ว มชีายหนุ่มบ้านป่าคนหนึ่งช่อื อาหวงั มอีาชีพดกันกในป่าเพ่อืหา
เล้ยีงชพี วนัหนึ่งเขาไปดกันกในป่าตามปกต ิ โดยใชย้างทาไวท้ปี่ลายไมเ้รยีวอนัเลก็ๆ และไปวางไว
บ้น กิ่งไม้ เม่อืนกมาเกาะก็จะติดยางบินไม่ได้ ตกลงมาอาหวงัก็จะเก็บนกนัน้ มาช าแหละเพ่อืน าไป
เป็น อาหาร ปฏิบตัิตามอย่างน้ ทีุกๆวนั ต่อมาวนัหนึ่งอาหวงัไปดกันกตามปกติ วนันัน้ มนีกมาก อาหวงั
ว่า ถ้าหากนกมากเกนิไปและช าแหละไปหมดกจ็ะเสยีหายหรอืกนิไม่ได ้ เพราะเขาเป็นมุสลมิ เขาจงึ
เอานก ทงั้หมดใส่ในกระสอบจนเตม็แลว้ปิดฝากระสอบ แลว้เอามดีมาเชอืดทกี่ระสอบท าทีว่าไดช้ า
แหละนกแล้ว และน านกเหล่านนั้กลบัไปท าอาหารทบ่ี้าน อยู่มาวนัหนึ่งอาหวงัไปดกันกตามปกต ิ ใน
วนันนั้ปรากฏว่า มนีกมาตดิยางดกันกและพาไม้เรียวยางขน้ึไปบนฟ้ าทุกตวั อาหวงัโมโห จงึเอาธนูยงิ
นกเหล่านนั้แต่ไม่ ถูก ธนูลอยบนฟ้ าไปตกที่หน้ าบ้านพญา ปักบนดิน พญามาดูและพยายามถอนธนูแต่
ไม่หลุด จึง ประกาศว่า ใครถอนลูกธนูออกจากดนิไดจ้ะใหร้างวลั อาหวังซ่งึเป็นเจ้าของลูกธนู ได้
ติดตามลูกธนูของตนเองไปถึงหน้ าบ้านพญาเห็นคนมุงดูอะไร คนเหล่านนั้บอกว่า พญาเจา้เมอืงจะให
ร้างวลัหากถอนธนูและน าไปให้เจ้าเมอืงแลกรางวลั อาหวงัถอน ธนูถอนลูกธนูออกมาได ้ และทหาร
ไดไ้ปแจง้เจ้าเมอืง เจา้เมอืงบอกว่า ใหม้นัขุดเอาดนิตรงดินที่ลูกศร ตก อาหวงัไม่พูดอะไร เอาจอบขุด
ดนิตรงนนั้ ใส่กระสอบ มคีนถามว่า มงึหาอะไรละอาหวงั อาหวงั บอกว่าหาเมอืง ชาวบ้านถามว่าเมอื
งอะไร อาหวงับอกว่า เมอืงดอน ดงันัน้ ที่อาหวงัมาพกักไ็ดช้่อืว่า เมอืงดอนจนถงึทุกวนัน้ี

ปลาช่อนตัวใหญ่




ครั้งหนึ่ง ยังมีเจ้าเมืองเมืองหนึ่ง มีบุตรชายโทนอยู่เพียงคนเดียว เป็นคนมีความ
ประพฤติ และอัธยาศัยไม่มีที่ติ ท่านเจ้าเมืองและภรรยาจึงปรึกษากันว่า
"อันลูกชายของเรานี้ หากได้ภรรยาดีเขาก็จะก้าวหน้ าต่อไปในอนาคต ฉะนั้นเราเป็นพ่อแม่ ก็น่าจะ
ต้องช่วยเขาเลือกเฟ้ นหญิงสาว มิให้พลาดพลั้งได้"
ครั้นถึงเวลาที่พ่อแม่เห็นว่าลูกชาย น่าจะต้องแต่งงานเสียที จึงเรียกลูกเข้ามาไต่ถาม เพื่อจะ
ปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้ เมื่อลูกชายเข้ามานั่งอยู่เฉพาะหน้ า เจ้าเมืองผู้เป็นพ่อจึงพูดกับลูกว่า
"บัดนี้เจ้าก็โตเป็นหนุ่มใหญ่ อายุสมควรที่จะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่คนดีอย่างเจ้า ควรจะได้
แต่งงานกับผู้หญิงฉลาด เจ้าพอหมายตาใครไว้บ้างหรือเหล่า"
เมื่อลูกชายก้มหน้ าไม่ตอบ พ่อจึงบอกลูกชายต่อไปว่า
แต่ผู้หญิงที่เจ้าจะแต่งงานด้วยนั้น ก็จะเลือกด้วยความระมัดระวัง พ่อจะให้เวลาเจ้า 7 วัน ไม่ต้อง
ทำอะไรมาก เจ้าไปตามบ้านที่เขามีลูกสาวที่เจ้าถูกตา
"แล้วให้ถามหญิงสาวแต่ละบ้าน ด้วยคำถามเดียวกัน คือ หากจับปลาช่อนตัวใหญ่มากมาได้ตัวหนี่ง
จะทำอย่างไรกับปลาช่อนตัวนั้น จึงจะกินได้นาน"
ขณะที่ลูกชายฟังคำสั่งของพ่อ แล้วยังงงเข้าใจไม่แจ่มแจ้งอยู่นั้น ก่อนที่จะเอ่ยปากซักถาม เจ้า
เมืองก็สั่งต่อไปว่า
"ออกเดินทางได้แล้ว อย่าลืมว่าเจ้ามีเวลาเพียง 7 วัน ไม่ต้องซักถามอะไรดอก เพียงแต่ว่าเห็น
ลูกสาวบ้านไหนต้องตา เจ้าก็ถามตามที่พ่อสั่งเท่านั้น อย่าทำอะไรมากไปกว่านั้น"
ฝ่ายภรรยาเจ้าเมืองก็กำชับลูกชายว่า "อย่าลืมล่ะ พอครบ 7 วัน รีบกลับบ้าน ตามคำสั่งของพ่อ"
เนื่องจากลูกชายเจ้าเมือง เป็นหนุ่มรูปงามมารยาทดี แล้วยังเป็นลูกชายโทนของเจ้าเมืองเสียอีก
ฉะนั้นสาวๆ จึงทอดสะพานให้เขา พ่อแม่ผู้หญิงก็เต็มใจต้อนรับ อยากจะยกลูกสาวให้ เป็นการ
สะดวกแก่เขายิ่งนัก
เมื่อพบหญิงสาวบ้านใด เขาก็จะถามเพียงประโยคเดียวเหมือนกันว่า
"ถ้าแม่นางได้ปลาช่อนตัวโตๆ มาตัวหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะกินได้นานๆ"
หญิงเหล่านั้นก็มักจะตอบคล้ายๆ กันว่า
"จะยากอะไร เอาไปทำปลาร้าเสียซิ จะได้เก็บไว้กินค้างปี ได้อย่างสบาย"
บ้างก็อธิบายต่อเติมว่า "ปลาร้าน่ะยิ่งเก็บค้างปียิ่งอร่อยนะจ๊ะ" บางบ้านก็ตอบผิดแผกไปนิดหนึ่ง
คือตอบว่า "เอาปลาไปย่างไฟให้แห้ง แล้วตากแดดไว้ ค่อยๆ บิเอาออกมากิน ตัวหนึ่งก็จะกินไปได้
หลายหน"

เจ้าหนุ่มก็รับโดยพยักหน้ า เพราะคำตอบเหล่านั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร อีกบ้านหนึ่ง ตอบ
แตกต่างออกไปเล็กน้ อย คือตอบว่า" ก็เอาไปถอดเกล็ดแร่เป็นริ้ว ตัวโตอย่างนั้นจะทำ 6 ริ้ว 8 ริ้ว
คงจะได้ เคล้าเกลือหมักไว้สักคืน รุ่งขึ้นแดดดีๆ ตากไว้ 2 แดด ก็จะเป็นปลาแห้ง ตัดทีละริ้ว ครึ่ง
ริ้ว ก็จะกินได้เป็น 10 วัน" หญิงสาวเหล่านั้นก็ตอบถูกอีก
ในที่สุด เขาก็มาถึงบ้านๆ หนึ่ง แม้แต่ไม่ใช่บ้านเศรษฐี แต่ก็สะอาดเรียบร้อย บริเวณบ้านรื่นตา มี
สวนครัวอยู่หลังบ้าน มองลอดใต้ถุนไปเห็นได้รอบบ้าน มีผลไม้ยืนต้นให้ลูก บ้างก็กำลังตกลูกน่า
สบายยิ่งนัก
ณ ที่นั้นเขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังเก็บดอกไม้อยู่ เขาก็เดินเข้าไปแล้วถามประโยคเดิม เรื่อง
จะทำอย่างไรกับปลาช่อนตัวใหญ่ เพื่อให้กินได้นานที่สุด
เมื่อหญิงสาวเงยหน้ าขึ้นตอบเขา เขาก็ตะลึงอยู่กับที่ นางนั้นยิ้มแย้มพองาม หน้ าตาหมดจด แล้ว
นางก็ตอบด้วยน้ำเสีย ที่น่าฟังมีจังหวะจะโคนว่า
"ฉันจะเอาปลาตัวนั้นไปแกง แล้วแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งจะเอาไว้กินกันเองในครอบครัว
ฉัน อีกส่วนหนึ่งจะเลือกแต่ของดีๆ เก็บไว้ถวายพระสักถ้วยหนึ่ง ส่วนที่เหลือฉันจะเอาไปแจก
เพื่อนบ้าน"
"อ้าว! แม่นาง อย่างนั้นแม่นางก็จะกินแกงวันเดียวหมดนะซี แล้วจะเก็บไว้กินนานๆ ได้อย่างไร"
"อย่างนี้อย่างไรล่ะจ๊ะ ส่วนที่บ้านฉันจะกินนั้น ก็จะหมดในวันนั้น หมดแล้วเราได้ปลามาในวันอื่น
ก็คงจะมีกินกันได้อีก คนในบ้านก็สำคัญนะจ๊ะ"
"แล้วที่เอาไปวัดล่ะ" ชายหนุ่มถาม
"ก็สบายใจ แล้วเผื่อจะมีกินในชาติหน้ า" สาวตอบ
"เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้วละ ที่ไปแจกเพื่อนบ้านล่ะแจกทำไม"
สาวจึงตอบด้วยเสียงหนักแน่น และแสดงความมั่นใจว่า
"นั่นแหละ! ทำให้กินปลาได้นานไม่รู้จบละ เราเอื้อเฟื้ อคิดถึงเขา เขาก็จะคิดถึงเรา มิตรจิตก็มิตร
ใจยังไงล่ะจ๊ะ ปลาตัวนี้จะกินไม่รู้จักหมด เพราะอย่างนี้แหละจ๊ะ"
ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้ง ในคำตอบของหญิงสาวยิ่งนัก เขานั่งคุยต่ออย่างอ้อยอิ่ง ผิดกับเมื่อขี้นไป
บ้านอื่น จนเกือบจะพลบ หญิงสาวจึงเชิญชวนเขารับประทานอาหาร ซึ่งเขาก็ตอบว่า
"จริงซี นี่ก็จะค่ำแล้ว ฉันต้องรีบกลับไปหาพ่อตาที่นัดกันไว้ ฉันออกจากบ้านมาจะครบ 7 วันอยู่
ค่ำนี้ เดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง ฉันลาก่อน" ชายหนุ่มกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์
เมื่อเขากลับมาถึงจวนก็มืดค่ำเข้าไปแล้ว แต่เขาก็ไม่รอกินอาหารเย็นเสียก่อน รีบเล่าเรื่องต่างๆ
ให้พ่อแม่ฟังว่าใน 7 วันนั้น เขาไปพบหญิงสาวกี่คน และคนไหนตอบเรื่องปลาช่อนตัวโตว่า
อย่างไร
เมื่อเขาเล่าถึงสาวคนที่เขาพบล่าที่สุดจบ เจ้าเมืองและภรรยาก็ตกลงใจทันที ที่จะเลือกหญิงสาว
ผู้แบ่งแกงออกเป็น 3 ส่วน เป็นลูกสะใภ้
พิธีแต่งงานทำกันในจวนอย่างสมเกีรยติ ต่อมาชายหนุ่มและภรรยา ก็ได้รับความสุขความเจริญ
ด้วยคุณธรรมความดี ประกอบศรัทธาในศาสนา และเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่คนใกล้เคียง จึงเป็นที่นิยม
ชมชอบของคนทั่วไปชั่วกาลนาน

ลูกเศรษฐกับนายอำเภอ

ลูกเศรษฐีกับลูกนายอ าเภอเป็นเพ่อืนเกลอกันสองคนตกยากล าบากแล้วมาท ามาหากิน
อยู่ ด้วยกนั ปลูกผกัเล้ยีงชพีลูกเศรษฐ ี และลูกนายอ าเภอมสีญัญาต่อกนัว่าต้องประหยดั คือ
ถ้าวนัไหนมี แกงกไ็ม่มผีดั วนัไหนมผีดัไม่มแีกง (คอืมกีบัขา้วเพยีงอย่างเดยีว) วนัหนึ่งลูกนา
ยอ าเภอเอาผักไปขายในตลาดที่อุดมสมบูรณ์ความเคยชินที่เคยอยู่สบายมาก่อนก็ เลยน าเงนิที่
ขายผกัได้มาซ้อืข้าวของมากมาย และซ้อือาหารหลายอย่างที่ชอบ พอกลบัไปถึงที่พกั ลูก ชาย
เศรษฐจีงึบอกว่า ท่านผดิสญัญาต่อเราแลว้ ท่านจะต้องไปจากทนี่ี่ลูกชายเศรษฐีและลูกนายอ
าเภอ จึงแบ่งสมบัติกันคนละเร่ือง แล้วลูกนายอ าเภอก็ออกเดินทางจากไปนานจนกระทัง่จ่าย
เงินหมด ทรพัย์สนิที่รบัไปกห็มด แล้วลูกนายอ าเภอก็กลบัไปหาลูกเศรษฐอีีก แล้วสญัญากนัเห
มอืนเดิมและลูก นายอ าเภอต้องท าตามทลีู่กเศรษฐสีงั่ทุกอย่างลูกนายอ าเภอกต็กลง วนัต่
อมาลูกเศรษฐีก็ให้ลูกนายอ าเภอไปเก็บยอดมะขามไปขาย เก็บจากต้นเล็กสุด แล้ววัน ต่อ
ไปกใ็หเ้กบ็ต้นใหญ่ขน้ึกว่าเดมิ และเกบ็ต้นใหญ่ขน้ึไปเร่อืยๆ จนกระทงั่ต้นใหญ่มากทเี่กบ็วนัเด
ยีวไม่ หมดลูกเศรษฐใีหเ้กบ็เพยีงกงิ่เดยีว เกบ็ไปทลีะกงิ่ๆ พอเกบ็รอบต้น กง่ิทเี่กบ็ก่อนก้ออก
ยอดใหเ้กบ็ใหม่ อกีหมุนเวยีนกนัไปไม่รูจ้กัหมดสน้ิ ลูกเศรษฐจีงึบอกลูกนายอ าเภอว่า นี่แหละ
ทเี่ราต้องสญัญากบัท่านก็ เพราะทรพัยส์นิทหี่ามาไดเ้พยีงเลก็น้ อย ถ้าจะจ่ายใหเ้ป็นกไ็ม่รูจ้กัห
มดสน้ิเหมอืนกบัต้นมะขามน้ นีะ

อย่าโกหก/สตูล

มีชายอยู่คนหนึ่ง ออกจากบ้านไปในป่า และหลงป่าไปพบคนธรรพ์ คนที่บ้านก็ออกตามหา
แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ชายคนนั้นไปอยู่กับพับแพว (คนแคระ) แล้วนึกชอบรักกับนางพับแพว แต่
ชายคนนั้นสัญญาว่า จะต้องไม่โกหก เพราะมนุษย์ชอบโกหก

อยู่ด้วยกันมาประมาณ 10 ปี มีลูก 2 คน และวันหนึ่งนางพับแพวต้องออกไปทำงาน ไปนาน
จนลูกร้องไห้ ชายผู้นั้นไม่ทราบจะทำอย่างไรให้หายร้องได้ หาของเล่นหลายๆ อย่างแล้วแต่ลูกก็
ยังไม่หยุดร้อง
ก็บอกลูกว่าอย่าร้องลูกอย่าร้อง โน้ นมะกลับมาแล้ว พอบอกอย่างนั้นลูกหายร้องทันที

แต่พอนางพับแพวกลับมาตอนเย็นก็รู้ว่าชายผู้นั้นได้พูดโกหกแล้วบอกว่าผิดสัญญาเราอยู่
ด้วยกันไม่ได้แล้ว ชายผู้นั้นก็ว่าไม่ได้โกหก นางพับแพวบอกว่า พี่หลอกลูกว่าแม่กลับมาแล้วนั้น
แหละ เราอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ชายผู้นั้นก็ถูกขับออกจากหมู่บ้านของนางพับแพว เมื่อเดินทางออก
จากหมู่บ้านก็ถึงบ้านของตัว

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดระนอง

ตำนานพระขยางค์

มีตำนานเล่าว่า นายแก้วชาวเมืองนครศรีธรรมราช เป็นนายบ้านอยู่ที่ต าบลปากจั่นในปัจจุบัน จาก
การจับเต่ากระสีทองไปถวายเจ้าเมืองชุมพรซึ่งนำไปถวายพระเจ้าอยู่หัวอีกต่อหนึ่ง ทำให้นายแก้วได้
รับความดี ความชอบพระทานบรรดาศักดิ์เป็นพระแก้วโกรพ เจ้าเมืองตระหรือเมืองกระ พระแก้ว
โกรพได้ส่งบุตรชายไป ศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองนครศรีธรรมราช ด้วยหวังจะให้มาเป็นเจ้าเมืองสืบ
แทนตน ระหว่างนั้นนายแก้วได้ นางจันเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง เมื่อนายทองบุตรชายกลับมา ได้ผูก
สมัครรักใคร่ได้เสียกับนางจัน ความเกรงว่า บิดาจะทราบเรื่องจึงคิดทำปิตุฆาต แต่พระแก้วโกรพ
ทราบก่อน จึงโกรธมาก สั่งจับบุตรชายใส่ขื่อคาไปฆ่าทิ้ง แต่นายทองสำเร็จวิชาอยู่ยงคงกะพันมา
การเฆี่ยนตีหรือใช้อาวุธจึงไม่เป็นผล บิดาจึงสั่งจับบุตรชาย ขึ้นขาหยั่ง โดยใช้ไม้ ๓ ต้นปักโคนทะ
แยงเป็นรูป ๓ มุม ปลายไม้ผูกติดกันไว้ แล้วให้เอาไปไว้ในถ้ำเขาแหลม เนียง ทรมานจนตายด้วย
การอดอาหาร นางน้ อยผู้เป็นมารดาได้พยายามหาช่องทางส่งอาหารไปให้แต่ก็ไม่เป็นผล อาจารย์ผู้
ถ่ายทอดวิชาก็นำ ว่านจำนวนมากมาเพื่อช่วยเหลือ ก็ไม่ทันนายทองตายก่อนแล้ว

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดยะลา

ตำนานทวดกุหล่ำ

ทวดกุหล่ำได้ น าคณะมโนราห์มาจากเมืองไทรบุรี โดยทางเรือเมื่อมาถึงบริเวณนี้เรือเกิดอัปปาง
คณะ มโนราห์และผู้อาศัย ในเรือตายหมด ต่อมาบริเวณนี้ค่อย ๆ กลายสภาพเป็นเพียงสายน้ำแห่ง
หนึ่ง และตรงที่ บริเวณที่เรือของ ทวดกุหล่ำได้อัปปางลงนั้นมีลักษณะเป็นวังน้ำ วนและลึกมาก และ
มีความเชื่อว่าวังน้ าวนแห่งนี้เป็นที่ทวดกุหล่ า สถิตอยู่ บริเวณวังน้ำวนซึ่งมีความลึกดังกล่าว ยังมี
ปลาอาศัยอยู่ชุกชุม แต่ไม่มีใครกล้ากินปลา เหล่านี้ เนื่องจากมีผู้เล่าว่า เคยมีคนป่าเผ่าซาไกคนหนึ่ง
มาตกปลา นั่งตกปลาอยู่นานปลาก็ไม่ติดเบ็ดแม้แต่ ตัว เดียว ทั้ง ๆ ที่ลักษณะของน้ าที่ปลาบ้วนผุด
อยู่มากมาย จึงพูดท านองบนบานว่า ตกไม่ได้สักตัวได้สักท่อนก็ ยังดี ผลปรากฏว่า มีปลาติดเบ็ดขึ้น
มาทันที แต่ติดขึ้นมาท่อนเดียว คือเฉพาะท่อนหัว ท่อนหางหายไป ชาวซา ไกผู้นั้นน าปลาท่อนเดียว
ไปกินถึง ๑๕ คน จึงท าให้ชาวซาไกกลุ่มนี้เสียชีวิตไป ๑๓ คน รอดชีวิตมา เพียง ๒ คน เชื่อกันว่า ๒
คนดังกล่าวไม่ได้มีส่วนร่วมในการกินปลา และหลังจากนั้น มีคนไปตกปลาที่วังน้ำนั้น อีก แต่ไม่ได้
ปลา ได้แต่หน้ ากากพรานมโนราห์ ที่ทำด้วยอัญมณีขึ้นมาแทน เมื่อผู้ตกจะเอื้อมมือปลดออกจาก เบ็ด
หน้ ากากพรานมโนราห์ก็หลุดจากเบ็ดหล่นลงวังน้ำวนเช่นเดิม นับแต่นั้นมาไม่มีใครกล้าไปตกเบ็ด
หรือหา วิธีการจับปลาจากสถานที่นั้นอีกเลย เพราะเชื่อกันว่าทวดกุหล่ำไม่พอใจ จึงสำแดงอภินิหาร
และลงโทษให้เป็นที่ ประจักษ์ ต่อ มามีการขุดถนน สร้างทางผ่านบริเวณแอ่งน้ำวนแห่งนี้ โดยทำพิธี
อัญเชิญทวดกุหล่ำย้ายที่อยู่ใหม่ในที่สูง ห่างไกลจากถนน และสิ่งรบกวน บริเวณแอ่งนั้น เมื่อขุดเป็น
ถนนก็ไม่พบอะไรให้เห็นเลย นอกจากก้อนหินใหญ่ ก้อนหนึ่ง และขอนไม้ซึ่งเหลือเพียงแก่นท่อน
หนึ่ งเท่านั้น

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดชุมพร

ตำนานพระขวาง

พระขวางเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ประดิษฐานอยู่ในวัดพระขวาง ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ ณ
ต.ขุน กระทิง อ.เมือง จ.ชุมพร ตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า พระพุทธรูปองค์นี้ลอยตามน้ำมาจาก
พม่าจนมาติดขวางอยู่ หน้ าวัดร้างแห่งนี้ ชาวบ้านจึงใช้เชือกลากเพื่อนำไปไว้ในวัดแต่ลากไม่ขึ้น
ตกกลางคืนพระองค์นี้ได้เข้าฝัน ชาวบ้านว่าให้สร้างที่อยู่ให้เรียบร้อยและเอาสายสิญจน์เจ็ดเส้น
พันรอบองค์พระแล้วจะขึ้นเอง
วันรุ่งขึ้นจึงมีการปฏิบัติตามและสามารถนำพระขึ้นมาประดิษฐานได้ จึงมีการขนานนามพระพุทธ
รูป องค์นี้ว่า "พระขวาง" และเป็นที่มาของชื่อไว้ด้วยเมื่อพระขวางเป็นพระพุทธรูปประจำวัดแล้ว
ปรากฏเหตุการณ์ ประหลาดกล่าวคือ พระและสามเณรในวัดค่อย ๆ หายไปเรื่อย ๆ ซึ่งสร้างความ
ประหลาดใจให้แก่ชาวบ้านและ พระภิกษุในวัดเป็นอย่างยิ่ง จนตกกลางคืนวันหนึ่งมีชาวบ้านแอบ
ดูพระพุทธรูปองค์นี้และพบเห็นพระกินเด็ก และสามเณร จึงนำความไปแจ้งต่อเจ้าอาวาสวัด เจ้า
อาวาสจึงใช้ยันต์ปิดไว้และได้นำ "ปรอท" ซึ่งบรรจุอยู่ใน องค์พระออก นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่
ปรากฏว่ามีใครหายไปอีกเลย

เสือใหญ่เมืองชุมพร

ตาดีกับยายดัน สองสามีภรรยาทุกข์ยากที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่หนุ่มสาว ตาดีเป็นคนโอบ
อ้อมอารี ก็ดีสมชื่อ ส่วนยายดันก็ดันทุรังสมชื่อ ชอบทำอะไรตรงข้าม เช่น ตาดีบอกให้หุงข้าว
เยอะๆ ยายดันก็ดันหุงข้าวน้ อยๆ ตาดีเลยต้องพูดอะไรตรงข้ามไว้ก่อน วันหนึ่งทั้งสองได้เข้าไป
เก็บของในควน ก็เจอเสือเข้า ตาดีก็ตกใจเผลอหลุดพูดเป็นปกติกับยายดี "ยาย! นั่นเสือ มาอยู่
หลังข้า" ยายดันไม่ยอมฟัง "ไม่ใช่เสือหรอก นั่นแมว" "อย่าไปทางนั้นนะยาย! นั่นมันปากเหว"
"ข้าจะไปทางนั้น" แล้วยายดันก็ตกเหว ด้วยเหตุนี่ ยายดันเลยเสียชีวิตเพราะความดันทุรังของ
ตนเอง

อุทัยเทวี

ณ เมืองบาดาล ธิดาพญานาคหนีมาเที่ยวเมืองมนุษย์และพบรักกับรุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ใน
ต้นไม้ริมสระน้ำ ธิดาพญานาคตั้งครรภ์รอจนคลอดเป็นไข่ฟองหนึ่ง จึงใช้สไบห่อไข่และพ่นพิษ
คุ้มครองไว้ก่อน แล้วลงกลับไปเมืองบาดาล บังเอิญมีนางคางคกผ่านมาเห็นจึง กินไข่และตายด้วย
พิษพญานาค พอดีกับไข่ฟักเป็นเด็กหญิงซึ่งคิดว่านางคางคกเป็นแม่ของตน จึงอาศัยอยู่ในซาก
คางคกเน่าๆตายายสองผัวเมียมาตกปลาพายเรือผ่านมาเห็นเข้าก็ช่วยเลี้ยงดูจนโต ตั้งชื่อให้ว่าอุทัย
เทวี และอุทัยเทวีได้แต่งงานกับเจ้าชายสุทธราช ซึ่งก่อนแต่งตากับยาก็ได้มีข้อกำหนดว่า ต้องสร้าง
สะพานทอง ตั้งแต่วังจนถึงบ้านตายยายแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี อุทัยเทวีจึงเป็นสะใภ้แห่งเมืองหลวง
มารดาของเจ้าชาย ไม่ค่อยชอบอุทัยเทวีนัก จึงหาทางให้ลูกของตนเป็นของคนอื่นไป ซึ่งนั่นคือ เจ้า
ชายต้องไปแต่งงานกับ เจ้าหญิงฉันทนา ซึ่งอุทัยเทวีก็ตามไปด้วยตามสัญญา เจ้าหญิงฉันทนาคิด
กำจัดอุทัยเทวีโดยฆ่านางอุทัยเทวี แต่พ่อของอุทัยเทวี ช่วยไว้จึงบอกว่าให้รอแก้แค้นนางฉันทนาอยู่
นอกวัง ต่อมาไม่นานนางฉันทนากลุ้มใจเรื่องผีนางอุทัยเทวีจะมาหลอก หัวจึงหงอก ผมที่เคยดำ
กลับขาวไปทุกเส้น จึงเอาผ้าพันศีรษะไว้ตลอดเวลา ต่อมานางอุทัยเทวีแปลงกายเป็นแม่ค้าขายขนม
แก่ๆผ่านมา ซึ่งผมดำยาวสลวยผิดกับนางฉันทนา นางฉันทนาเห็นเข้าจึง คิดว่ายายแก่คนนี้ก็มีเคล็็
ดลับในการบำรุง รักษาผมอย่างแน่นอน จึงให้ยายแก่เข้าไปในวัง และให้รักษาผมของตนเองให้ แต่
นางอุทัยเทวีก็จะรักษาให้ แต่ต้องยอมให้ทำทุกอย่างห้ามถามอะไรทั้งสิ้น นางฉันทนาตกลงจึงนอน
ลงแล้วนางอุทัยเทวี ก็เอามีดโกนโกนผมนางฉันทนา ออกจนหมดแล้วกรีดศีรษะนางฉันทนาแล้วเอา
ปลาร้า ให้หม้อครอบหัว นางฉันทนาไว้ และห้ามเอาหม้อออกก่อนวันที่ 7 แต่ไม่ถึงคืนนางฉันทนา
ทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสิ้นใจตาย เจ้าชายสิทธิราช รู้ดังนั้นจึงกลับไปเมืองของตน ซึ่งก็ยังเห็น
อุทัยเทวีอยู่ที่เมืองอยู่ก็ทรงโล่งใจ อุทัยเทวี ได้ครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดพัทลุง

เขาอกทะลุ

หากเราขับรถมุ่งหน้ าจะไปจังหวัดพัทลุง เชื่อว่าชาวหาดใหญ่คงมองเห็นเขาลูกนี้กันอย่างละลานตา
มองเห็นในระยะที่ทั้งใกล้และไกล ซึ่งจะเรียกกันในชื่อของ เขาอกทะลุ เป็นภูเขาหินปูนวางตัวอยู่
ในแนวเหนือ- ใต้ ยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 245 เมตร ยาวประมาณ 2
กิโลเมตร ส่วนกว้างที่สุด ประมาณ 1 กิโลเมตรบนภูเขาอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้นานาชนิด พื้นที่
เชิงเขามีประชาชนอยู่อาศัยและใช้เป็น พื้นที่เกษตรกรรมด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือมีลำคลอง
ไหลผ่าน เรียกว่า คลองโรงตรวน ไหลไปทางทิศ ตะวันออกผ่านบ้านม่วง บ้านควนสมาไปรวมกับ
คลองอื่นๆ ที่บ้านห้วยควน เรียกว่า คลองลำปำ ไหลออก ทะเลสาบสงขลาที่บ้านลำปำ อำเภอเมือง
พัทลุง ด้านใต้ของภูเขา มีคลองตำนานไหลผ่านเขาอกทะลุ บ้านทุ่ง ไหม้ บ้านควนมะพร้าว บ้าน
ควนแร่ ไปรวมกับคลองที่บ้านหัวควน เส้นทางเหล่านี้อดีตเชื่อว่าเป็นทางคมนาคม ของชุมชน
โบราณหลายแหล่ง เช่น ชุมชนบ้านม่วง ชุมชนบ้านควนมะพร้าวหรือชุมชนบ้านพญาขัน ชุมชน
บ้าน ควนแร่ ชุมชนบ้านควนสารและชุมชนบ้านลำปำ เป็นต้น เขาอกทะลุ เป็นเขาที่มีความสำคัญ
ของจังหวัดพัทลุง ในฐานะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิต ของเจ้าแม่ดุดี เจ้าแห่งเขาอก
ทะลุ ชาวเมืองพัทลุงเชื่อถือเปรียบเสมือนเสาหลักเมืองพัทลุง ด้วยเหตุนี้ทาง ราชการจึงเอาภาพ
เขาอกทะลุและเจดีย์บนยอดเขาท าเป็นตราสัญลักษณ์ของจังหวัดพัทลุง เขาอกทะลุยังเป็น แหล่ง
โบราณคดีที่สำคัญของจังหวัด ภายในถ้ำต่างๆ ทั้งนี้ยังมี ตำนานของภูเขาลูกนี้มีอเรื่องเล่าว่า นาน
มาแล้วมีครอบครัวหนึ่งสามีชื่อนายเมืองเป็นพ่อค้าช้าง มี ภรรยาสองคนภรรยาหลวงชื่อนางสินลาลุ
ดี หรือนางดุดี ภรรยาน้ อยชื่อนางบุปผาแต่มักทะเลาะตบตีกันเสมอ นายเมืองมีลูกสาวเกิดจาก
ภรรยาหลวงคนหนึ่งชื่อนางยี่สุ่นชื่นชอบการค้าขาย ส่วนภรรยาน้ อยมีลูกชายชื่อนาย ซังกั้ง มีนิสัย
เกเร วันหนึ่งนายเมืองเดินทางไปค้าขายช้างต่างถิ่น ลูกสาวออกเรือส าเภาไปเมืองจีน ส่วนลูกชาย
ท่องเที่ยวสนุกกับเพื่อน ทั้งสามไม่ได้กลับบ้าน มีเพียงภรรยาหลวงนั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน และ
ภรรยาน้ อยกำลัง ตำข้าว ไม่นานทั้งสองเกิดมีปากเสียง ภรรยาหลวงใช้กระสวยทอผ้าพาดไปที่
ศีรษะของภรรยาน้ อย ทำให้แผล

แตกเลือดไหลโกรก ภรรยาน้ อยไม่ปราณีใช้สากต าข้าวแทงและกระทุ้งตรงทรวงอกของ
ภรรยาหลวงจนทะลุ ใน ที่สุดทั้งสองก็ถึงแก่ความตาย กลายสภาพเป็นภูเขา ภรรยาน้ อยกลาย
เป็นเขาหัวแตก ส่วนภรรยาหลวง กลายเป็นเขาอกทะลุนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาเมื่อนาย
เมืองเดินทางกลับมาทราบข่าวการตายของภรรยาทั้งสอง ก็ตรอมใจตายกลายเป็นเขาเมือง
(เขา ชัยบุรี) ซึ่งมีลักษณะคล้ายช้างหมอบ จากนั้นไม่นายนางยี่สุ่นก็เดินทางกลับมาถึงได้ทราบ
ข่าวการตายของบิดา มารดาก็ตรอมใจตายเช่นกันแล้วได้กลายเป็น เขาชัยสน ซึ่งมีลักษณะ
คล้ายเรือสำเภา ในท้องที่อำเภอเขาชัยสน ส่วนนายซังกั้งเดินทางกลับมาช้าทีสุดก็ได้ทราบข่าว
การตายของคนในครอบครัวก็ตรอมใจตายกลายเป็นเขากัง และมีต านานที่เกี่ยวกับเขาลูกนี้
อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า ในอดีตนานมาแล้วทางฟากฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ สงขลาไม่มีภูเขา
ชาวท้องถิ่นในละแวกนั้นต้องการให้มีภูเขาเพื่อเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด จึงพร้อมกัน
ว่าจ้างนายแรงผู้มีพลังมหาศาลให้หาบเขาจำนวน ๑๐๐ ลูก มาเรียงติดต่อกันเป็นลูกเดียวโดย
ไปหาบมาจาก ทวีปอุดร นายแรงรับตกลง ไปหาบเขาจากทวีปอุดรครั้งละ 2 ลูกมาวางต่อเรียง
กันเข้า หาบได้ 49 หาบ ได้เขา 98 ลูก เผอิญหาบสุดท้ายคือหาบที่ 50คานหาบหักสะบั้นลง
ทำเอานายแรงเสียหลัก คุกเข่าลงบนพื้นดินอย่าง แรงทำให้พื้นดินตรงนั้น กลายเป็นหนองลึก
ชาวบ้านเรียกว่า "หนองนายแรง” มีกุ้งปลาชุกชุม เขา 2 ลูกที่หาบ มานั้นก็กระเด็นไปไกลลูก
แรกที่ไปตกทางทิศตะวันออก เรียกว่า เขารัดปูน ลูกที่สองไปตกทางทิศตะวันตก เรียกว่าเขา
ใน ส่วนเขา 98 ลูก ที่วางเรียงติดกันไว้แล้วนั้นคือเกาะใหญ่นั่นเอง (เขารัดปูน เขาในเกาะใหญ่
อยู่ ในเขตอำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา)และการที่คานหาบหักสะบั้นในเที่ยวสุดท้ายทำให้
นายแรงเกิดโมโหสุด ขีด จับไม้คานข้างหนึ่ง พุ่งไปทางทิศตะวันออกโดยแรงไปตกที่ตำบล
สนามไชย ปลายคานหาบยังดันดินไปเป็น เป็นทางยาว จนกลายเป็นล าคลอง เรียกว่าคลองรี
(ตำบลสนามไชย คลองรี อยู่ในเขตอ าเภอสทิงพระ จังหวัด สงขลา) ส่วนไม้คานอีกข้างหนึ่ง
นายแรงจับพุ่งไปทางทิศตะวันตกข้ามทะเลสาบสงขลา ผ่านบ้านลำปำบ้าน ควนมะพร้าว ปลาย
คานหาบไปชนยอดเขาลูกหนึ่งเข้าอย่างจังจนยอดเขาทะลุจึงมีชื่อเรียกว่า "เขาอกทะลุ” อยู่ ใน
เขตเทศบาลเมืองพัทลุงเป็ นตราสัญลักษณ์ของเมืองพัทลุงมาจนทุกวันนี้

ตำนานนิทาน ภูเขาอกทะลุ

นานมาแล้วมีครอบครัวหนึ่งสามีชื่อนายเมืองเป็นพ่อค้าช้าง มีภรรยาสองคนภรรยา
หลวงชื่อนางสินลาลุดี หรือนางดุดี ภรรยาน้ อยชื่อนางบุปผาแต่มักทะเลาะตบตีกันเสมอ นายเมือง
มีลูกสาวเกิดจากภรรยาหลวงคนหนึ่งชื่อนางยี่สุ่นชื่นชอบการค้าขาย ส่วนภรรยาน้ อยมีลูกชายชื่อ
นายซังกั้ง มีนิสัยเกเร วันหนึ่งนายเมืองเดินทางไปค้าขายช้างต่างถิ่น ลูกสาวออกเรือสำเภาไป
เมืองจีน ส่วนลูกชายท่องเที่ยวสนุกกับเพื่อน ทั้งสามไม่ได้กลับบ้าน มีเพียงภรรยาหลวงนั่งทอผ้า
อยู่ใต้ถุนบ้าน และภรรยาน้ อยกำลังตำข้าว ไม่นานทั้งสองเกิดมีปากเสียง ภรรยาหลวงใช้กระสวย
ทอผ้าพาดไปที่ศีรษะของภรรยาน้ อย ทำให้แผลแตกเลือดไหลโกรก ภรรยาน้ อยไม่ปราณีใช้สาก
ตำข้าวแทงและกระทุ้งตรงทรวงอกของภรรยาหลวงจนทะลุ ในที่สุดทั้งสองก็ถึงแก่ความตาย
กลายสภาพเป็นภูเขา ภรรยาน้ อยกลายเป็นเขาหัวแตก ส่วนภรรยาหลวงกลายเป็นเขาอกทะลุนับ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาเมื่อนายเมืองเดินทางกลับมาทราบข่าวการตายของภรรยาทั้งสอง ก็
ตรอมใจตายกลายเป็นเขาเมือง (เขาชัยบุรี) ซึ่งมีลักษณะคล้ายช้างหมอบ จากนั้นไม่นายนางยี่สุ่น
ก็เดินทางกลับมาถึงได้ทราบข่าวการตายของบิดามารดาก็ตรอมใจตายเช่นกันแล้วได้กลายเป็ น
เขาชัยสน ซึ่งมีลักษณะคล้ายเรือสำเภา ในท้องที่อำเภอเขาชัยสน ส่วนนายซังกั้งเดินทางกลับมา
ช้าทีสุดก็ได้ทราบข่าวการตายของคนในครอบครัวก็ตรอมใจตายกลายเป็ นเขากัง

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดพังงา

ถ้ำน้ำผุด

นานมาแล้วมีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ได้เดินทางมาถึงตำบลถ้ำน้ำผุด เห็นมีป่าเขาเป็นที่ร่มรื่น และเงียบ
สงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงปักกรดจำศีลภาวนาอยู่ ณ ที่นั้น ในขณะที่นั่งวิปัสสนาอยู่นั้นได้ยิน
เสียงดัง จน แผ่นดินสั่นสะเทือน เป็นเสียงที่ดังจากโพรงหินในป่า ภูเขา พร้อมกับน้ำไหลออกมา
มากมาย แต่พระภิกษุรูปนั้น ยังคงนั่งบำเพ็ญเพียรต่อไป จนถึงกลางดึกสงัด มีร่างของชายแก่คน
หนึ่งนุ่งขาวห่มขาวถือไม้เท้า มี ผมยาว หนวดเครายาว เดินออกมาจากถ้ำ ตรงมาหาพระภิกษุนั้น
แล้วบอกพระภิกษุว่าอย่ามาบำเพ็ญเพียรที่นี้ เลย ด้วยจะหาความสงบไม่ได้ เพราะต่อจากนี้ไป ณ
ที่นี้ จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ คือ จะมีเสียงดังจากใต้ดิน แล้วมีน้ าผุดออกมาเป็นระยะ ๆ ขอให้ไปหาที่
ที่สงบกว่านี้ พระภิกษุนั้นรับคำ ชายชรานั้น ขอร้องให้พระภิกษุ ช่วยบอกชาวบ้านในละแวกนั้น ให้
ช่วยกันสร้างศาลเจ้าขึ้นบูชา แล้วร่างนั้นก็หายไป ต่อมาพระภิกษุได้ เล่าเรื่อง นั้นให้ชาวบ้านฟัง
ชาวบ้านบางคนก็เคยเห็นชายชราตรงกับที่พระภิกษุเล่าให้ฟัง เดินหายไปทางถ้ำนั้นอยู่บ่อย ๆ จึง
พากันเชื่อถือ แล้วได้ช่วยกันสร้างศาลเจ้าขึ้น บนเนินเขาเพื่อบูชา ในปัจจุบันผุพังไปหมดแล้ว แต่
ได้มีผู้มี จิตศรัทธาสร้างขึ้นมาใหม่ คลุมบริเวณที่มีน้ำผุด ชาวบ้านเรียกว่า "ศาลเจ้าบุญเท่าก้อง"
และมีพิธีไหว้เจ้ากันใน เดือน ๓ ของทุกปี ปัจจุบันถ้ าน้ำผุด เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของ
จังหวัดพังงา มีลักษณะแปลกกว่าที่อื่น ตรงที่ น้ำจะผุดออกมาไม่เป็นเวลา วันละ ๑ - ๓ ครั้ง ก่อนที่
น้ าจะผุดมีเสียงดังสะเทือน ชาวพังงาเชื่อว่าผู้ที่เห็น น้ าผุดเท่านั้นจะมีบุญ ถ้าใครไม่มีบุญน้ าจะไม่
ผุดให้เห็น

ตำนานเขาช้าง

เดิมมีพี่น้ อง 2 คน พี่ชื่อยมดึง เป็นชาย น้ องชื่อยมโดย เป็นหญิง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่
ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมานางยมโดยเสียชีวิต ตายมเศร้าโศกมากจึงละทิ้งถิ่นเดิมไปตามยถากรรม
จนมาถึงปลายคลองแสง ในเขตอำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฏร์ธานี และอาศัยอยู่กับตาโจงโดง
ในละแวกบ้านไกรสร ซึ่งมีอาชีพหาน้ำมันชันจากต้นยาง เนื่องจากตายมดึงเป็นคนขยันจนตาโจง
โดงพอใจมาก ถึงกับยกนางทองตึงให้แก่ตายมดึง
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีโขลงช้างป่าเข้ามาทำลายไร่ข้าวและผักผลไม้ของตายมดึง ไล่ไปแล้วก็กลับมา
กินอีกเป็นหลายคราวจนนายยมดึงโกรธแค้น จะฆ่าช้างทั้งโขลงนั้นให้ได้ ยังมีตางุ้ม เป็นชาวบ้าน
พุมเรียง อำเภอไชยามีอาชีพค้าขายเดินทางไปต่างเมืองอยู่เสมอ ตางุ้มมีช้างอยู่ 2 เชือก เป็นช้าง
พังและช้างพลายเพื่อเป็นพาหนะในการบรรทุกสินค้า คราวนั้นตางุ้มเดินทางจากไชยาไปค้าขายถึง
เขาพนมและจะต่อไปยังตะกั่วป่า ขณะตางุ้มพักช้างอยู่นั้น โขลงช้างที่ตายมดึงไล่วิ่งผ่านมา ช้าง
พลายของตางุ้มเห็นช้างพังงามเข้าก็กระชากปลอกขาดออกวิ่งติดตามนางช้างพังป่านั้นไป ได้
อาละวาดต่อสู้กับช้างพลายป่าจนฝูงช้างแตกกระจัดกระจายหนีไปคนละทิศละทาง จนเป็นเหตุให้
ตายมดึงสำคัญผิดติดตามล่าช้างของตางุ้มเชือกหนึ่ งด้วย
ตายมดึงสะกดรอยล่าช้างกับหมาตัวหนึ่ง ตามมาจนถึงคลองสก ซึ่งน้ำเชี่ยวมาก ช้างพังเชือกหนึ่ง
กำลังท้องแก่ตกใจวิ่งหนี จนพลาดตกลงไปในคลองนั้น แรงกระแทกทำให้ตกลูกออกมา ลูกช้าง
ตัวนั้นกลายเป็นหินอยู่กลางคลองสก จึงเรียกว่า “หินลูกช้าง” มาจนบัดนั้นตายมดึงยังคงติดตาม
รอยช้างต่อไป โดยลากหอกตามไปเรื่อย ๆ ทางที่ลากหอกไปนั้น ทำให้ดินและหินแยกเป็นทางน้ำ
อยู่ในเขตอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียกหมู่บ้านแถบนั้นว่า “บางลากหอก” หรือบางตาม
จนมาถึงทุกวันนี้

ตำนาน ถ้ำน้ำผุด



นานมาแล้วมีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ได้เดินทางมาถึงตำบลถ้ำน้ำผุด เห็นมีป่าเขาเป็นที่ร่มรื่น และ
เงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงปักกรดจำศีลภาวนาอยู่ ณ ที่นั้น ในขณะที่นั่งวิปัสสนาอยู่
นั้นได้ยินเสียงดัง จนแผ่นดินสั่นสะเทือน เป็นเสียงที่ดังจากโพรงหินในป่า ภูเขา พร้อมกับน้ำไหล
ออกมามากมาย แต่พระ
ภิกษุรูปนั้น ยังคงนั่งบำเพ็ญเพียรต่อไป จนถึงกลางดึกสงัด มีร่างของชายแก่คนหนึ่งนุ่งขาวห่ม
ขาวถือไม้เท้า มีผมยาว หนวดเครายาว เดินออกมาจากถ้ำ ตรงมาหาพระภิกษุนั้นแล้วบอกพระ
ภิกษุว่าอย่ามาบำเพ็ญเพียรที่นี้เลย ด้วยจะหาความสงบไม่ได้ เพราะต่อจากนี้ไป ณ ที่นี้ จะเกิดสิ่ง
มหัศจรรย์ คือ จะมีเสียงดังจากใต้ดิน
แล้วมีน้ำผุดออกมาเป็นระยะ ๆ ขอให้ไปหาที่ที่สงบกว่านี้ พระภิกษุนั้นรับคำ ชายชรานั้น ขอร้องให้
พระภิกษุช่วยบอกชาวบ้านในละแวกนั้น ให้ช่วยกันสร้างศาลเจ้าขึ้นบูชา แล้วร่างนั้นก็หายไป ต่อ
มาพระภิกษุได้ เล่าเรื่องนั้นให้ชาวบ้านฟัง ชาวบ้านบางคนก็เคยเห็นชายชราตรงกับที่พระภิกษุเล่า
ให้ฟัง เดินหายไปทางถ้ำนั้นอยู่บ่อย ๆ จึงพากันเชื่อถือ แล้วได้ช่วยกันสร้างศาลเจ้าขึ้น บนเนินเขา
เพื่อบูชา ในปัจจุบันผุพังไปหมดแล้ว แต่ได้มีผู้มีจิตศรัทธาสร้างขึ้นมาใหม่ คลุมบริเวณที่มีน้ำผุด
ชาวบ้านเรียกว่า "ศาลเจ้าบุญเท่าก้อง" และมีพิธีไหว้เจ้ากันในเดือน ๓ ของทุกปี ปัจจุบันถ้ำน้ำผุด
เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดพังงา มีลักษณะแปลกกว่าที่อื่นตรงที่ น้ำจะผุดออกมาไม่
เป็นเวลา วันละ ๑ - ๓ ครั้ง ก่อนที่น้ำจะผุดมีเสียงดังสะเทือน ชาวพังงาเชื่อว่าผู้ที่เห็นน้ำผุดเท่านั้น
จะมีบุญ ถ้าใครไม่มีบุญน้ำจะไม่ผุดให้เห็น

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดภูเก็ต

เหตุที่วัวฟั นหัก

ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเสด็จไปบนสวรรค์เพื่อโปรดพุทธมารดา โดยมีเต่าตามไปด้วย
โดยพระพุทธเจ้าให้เต่าคาบจีวรแล้วเหาะไป ในขณะที่เต่าอยู่กลางอากาศวัวก็เห็นเต่าก็ตะโกนดังๆว่า
"แลโด้เต่า เหาะได้" เมื่อเต่าได้ยินก็พูดอวดตัวเอง ว่าเก่งที่เหาะได้เลยได้พูดว่า "ตอเดียวเราจะเหาะ
ให้สูงกว่านี้อีก" แต่พออ้าปากพูดเต่าลงหล่นลงมา วัวก็หัวเราะด้วยความสมน้ำหน้ า และเต่าได้หล่น
ตรงปากวัวพอดีทำให้ หน้ า ฟันบนหักหมด แล้วกระดองเต่าก็ร้าวเหมือนที่เห็นกันในปัจจุบัน

ตาหม่องล่าย

ตาม่องล่าย มีบุตรสาวแสนสวยโสภาน่ารักอยู่คนหนึ่ง เธอชื่อยมโดย
ความสวยของยมโดยนั้นไม่ธรรมดา เธอสวยเหลือเกิน จนยากจะหา หญิงใดเทียบเท่าได้ ภาค
ใต้ทั้งภาคจะหาหญิงที่สวยไปกว่ายมโดยเป็นไม่มี ธรรมดาว่าคนสวย ย่อมมีชายหมายปองไว้
ครองคู่ เมื่อยมโดยสวยเยี่ยมไร้เทียมทานขนาดนั้น จึงมีหนุ่มๆ มากหน้ าหลายตา ทั้งเมืองใกล้
เมือง ไกล มารุมรักรุมจีบรุมขอแต่งงานด้วยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สร้างความรำคาญให้ แก่ตาม่อง
ล่ายและบุตรสาวเป็นอย่างยิ่ง แม้จะหาทางแก้ไขอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เรื่องยุ่งยากลำบากกายและ
ใจยังเกิดขึ้ นต่อเนื่ องกันมาไม่ขาดสาย
วันหนึ่ง ตาม่องล่ายจึงเรียกลูกสาวมาแล้วตัดสินใจฉีกแขน ขา ฉีก อวัยวะต่างๆ ออกเป็นชิ้นๆ
แล้วขว้างไปในทิศต่างๆ
อวัยวะของยมโดยไปตกที่ไหนที่นั้นก็กลายเป็นเกาะต่างๆ ดังที่ปรากฏอยู่ในภาคใต้ในปัจจุบัน

ผีหัวล้าน

ยังมีชายคนหนึ่งมีอาชีพทำน้ำตาลขาย วันหนึ่งเขาไปขึ้นต้นตาลในที่แห่งหนึ่งเพื่อจะรอง
น้ำตาล ครั้นขึ้นไปถึงยอดแล้ว พะองที่ใช้ขึ้นต้นตาลเกิดหลุดไปจากต้น ทำให้เขาลงไม่ได้ ต้องนั่ง
คอยว่าจะมีใครผ่านมาผ่านไป แล้วจะได้ขอความ ช่วยเหลือ เขานั่งรอคอยอยู่พักใหญ่ๆ ก็มีชาย
หัวล้าน 4 คนเดินผ่านมา หน้ า ตาคล้ายคลึงกันมาก จนดูไม่ออกว่าเป็นคนละคนกัน แล้วก็ตะโกน
ลงมาว่า “ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย ช่วยให้ผมลงไปทีเถอะครับ”
ชายหัวล้านทั้ง 4 คน ได้ยินเสียงคนร้องไห้ช่วยดังมาแต่ยอดตาล จึง มองขึ้นไปเห็นชายทำ
น้ำตาลนั่งหน้ าเศร้าอยู่ ก็เดินเข้าไปใกล้ๆ ต้น คนหนึ่ง ตะโกนขึ้นไปว่า “รอเดี๋ยว รอเดี๋ยว” แล้ว
คนทั้ง 4 ก็หาผ้าผืนใหญ่มาดึงคนละมุม พอเตรียมการเรียบร้อยแล้ว คนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นไปบอก
ว่า“เอาละ! แกโดดลงมาให้ตกลงบนผ้านี้นะ รับรองว่าจะไม่เป็นอันตรายแม้แต่น้ อย” ชายบน
ต้นตาลตั้งท่าแล้วนับหนึ่ง...สอง...สามแลล้วกระโดดลงมาบนผ้าที่ขึงพอดี แต่แรงกระโดดนั้นได้
ดึงผ้ามา ทำให้หัวของชายทั้ง 4 คนชนกันอย่างแรง จนหัวแตกเลือดไหล แล้วถึงแก่ความตาย
ทันที ส่วนคนกระโดดลงมาไม่เป็นอะไรเลย ชายทำน้ำตาลมองหน้ าตาชายทั้ง 4 คนเหมือนกัน ก็
นึกฉงน
"คนอะไร ช่างเหมือนกันเหลือเกิน” ด้วยความกลัวว่าตนจะมีความผิดฐานทำให้คนตาย (ซึ่งที่จริง
แล้วเขาไม่มีความผิดอะไรเลย) จึงลากศพชายหัวล้าน 3 คน ไปซ่อนไว้ที่ข้างจอม ปลวกใหญ่
แล้วก็กลับมาเฝ้ าศพที่เหลืออยู่อีก 1 ศพ นั่งคอยคนผ่านมาผ่าน ไปเพื่อจะจ้างให้เอาศพไปฝังที่
ป่ าช้า
ขณะที่นั่งใจจดใจจ่ออยู่ ก็มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา จึงทักทายว่า
“คุณ! คุณ! คุณจะรีบไปไหนหรือเปล่าครับ?”
ชายคนนั้นถามกลับว่า
“ทําไมหรือครับ?”
“ผมมีงานแบกศพไปฝังที่ป่าช้าโน่น ให้คุณทำ ผมให้ค่าจ้าง
๕๐๐ บาท คุณจะเอาไหม"
ชายคนนั้นตอบว่า “เอาครับ”
ชายทําน้ำตาลบอกว่า“ฝังเสร็จแล้วคุณมารับเงินที่นี่ผมจะรออยู่ แต่คุณต้องฝังลึกๆ นะ มิฉะนั้น
ศพมันจะลุกขึ้นเดินกลับมาที่นี่อีก” ชายคนนั้นรับปากมันเหมาะว่า “ผมจะจัดการฝังอย่างดีที
เดียว รับรองจะไม่ให้ลุกเดินกลับมาได้อีก ว่าแล้วเขาก็แบกศพคนหัวล้านไปฝังที่ป่าช้า ซึ่งอยู่ใน
บริเวณใกล้ๆนั้นแหละ พอชายแบกศพเดินกับตาไปแล้ว ชายท่าน้ำตาลก็ลากศพที่ 2 มา ครั้นชาย
แบกศพกลับมาจะรับเงิน ก็พบศพชายหัวล้านอีกศพหนึ่ง
“ว่าไง ผมบอกแล้วว่าศพมันจะเดินกลับมาได้อีก ฝังให้ดีๆ ชายแบกศพไม่พูดว่ากระไร เขาแบก
ศพชายหัวล้านไปอีกเป็นศพที่ 2 เมื่อฝังเสร็จแล้วก็รีบกลับมารับเงิน แต่พอมาถึงก็เห็นศพหัวล้าน
อีก ศพหนึ่ง ชายแบกศพจึงแบกศพชายหัวล้านไปเป็นศพที่ 3 ฝังเสร็จก็รีบกลับมาจะรับเงินอีก
แต่แล้วก็กลับมาพบศพชายหัวล้านอีก
เขาร้องขึ้นด้วยความโมโหว่า
“อุวะ! มันเดินกลับมาได้อย่างไรกัน แล้วก็แบกศพชายหัวล้านคนที่ 4 ไปฝังอีก
พอฝังศพชายหัวล้านคนที่ 4 เสร็จ ก็เป็นเวลามืดคํ่าพอดี ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียง “โกรกกราก
โกรกกราก โกรกกราก อยู่ในบริเวณป่าช้านั่นแหละ มองไปทางต้นเสียง และเห็นร่างดำๆ สกปรก
เดินมาอย่างทุลักทุเล เพราะแบกถ่านมาด้วย ซึ่งที่แท้ก็คือคนเผาถ่านแบกถ่านนานั่นเอง เวลานั้น
มืดมากแล้ว ชายแบกศพมองไม่รู้เลยว่าเป็นคนเผาถ่าน นึกในใจแต่ว่า “ศพชายหัวล้านกำลังจะ
เดินกลับไปนอนที่เดิมอีก เราต้องรีบจับมันไปฝัง โดยดีกว่า” คิดดังนั้นแล้ว เขาก็กระโดดกอดรัด
ร่างคนเผาถ่าน ชายเผาถ่านตกใจไม่รู้อะไรเป็นอะไร ทั้งสองปล้ำกันไปปล้ำกันมา จนเหนื่อยแรง
แล้วพลัดตกลงไปใน หลุมถ่าน ที่มีไฟร้อนแรงจนถึงแก่ความตายทั้งสองคน

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดนราธิวาศ

ตากใบ

เมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ในราวสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีพ่อค้าจีนคนหนึ่งล่องเรือสำเภามา
จาก ประเทศจีน เพื่อไปขายสินค้ายังแหลมมลายู ในเรือสำเภานั้นได้บรรทุกสินค้า เครื่องปั้นดินเผา
มาเต็มลำเรือ เช่น เครื่องลายคราม ชามเบญจรงค์ โอ่ง ไห ลายมังกร เป็นต้น สินค้าเหล่านี้มี
ลวดลายสีสันงดงามมาก วันหนึ่งขณะที่เรือสำเภาแล่นอยู่กลางทะเลใกล้ปากอ่าวทางตอนใต้ของไทย
ได้บังเกิดลมพายุ คลื่นลม แรงจัดมาก จนในที่สุดเรือก าลังจะจม พ่อค้าจีนจึงได้สั่งให้ปลดใบเรือลง
จากนั้นเรือค่อย ๆ จมลงในท้องทะเล
พ่อค้าจีน ไต้ก๋ง พร้อมลูกเรือทุกคนได้พยายามช่วยเหลือตัวเอง จนสามารถขึ้นเกาะที่อุดมสมบูรณ์
แห่ง หนึ่งได้ทุกคน เมื่อคลื่นลมสงบทุกคนจึงพากันไปกู้เรือและน าสินค้าขึ้นฝั่งได้สำเร็จ จากนั้นจึง
เอาใบเรือเสื้อผ้า ขึ้นไปตากตามต้นไม้และกิ่งไม้ มีแขกมลายูคนหนึ่งมีอาชีพตัดไม้ไปขาย ได้มาตัด
ไม้ใกล้บริเวณที่พ่อค้าจีนตากใบเรือและเสื้อผ้า เมื่อ เห็นสิ่งเหล่านั้น แขกมลายูจึงคิดที่จะขโมย จึง

ไปตัดต้นไม้ที่มีเสื้อผ้าตากอยู่ แต่พ่อค้าจีนและลูกเรือกลับมาเห็น เสียก่อนจึงร้องตะโกนขึ้นว่า
เจ๊ะ….เฮ้ ๆ ๆ ๆ เอาเสื้อผ้าอั้วคืนมา แขกมลายูตกใจมาก จึงกล่าวขอโทษและรัก ปากว่าจะไม่ทำ
อย่างนี้อีก พ่อค้าจีนและลูกเรือทั้งหมดจึงยกโทษให้ และได้อาศัยทำมาหากินบนเกาะนี้อย่างมี
ความสุข ต่อมาได้มีพ่อค้าส าเภาจีนลำอื่นล่องเรือมาค้าขายบนเกาะนี้มากขึ้น สินค้าส่วนใหญ่ที่นำ
มาขายมีชาม เบญจรงคฺ์ โอ่ง ไหลายมังกร เครื่องลายคราม จนท าให้ชาวเกาะแห่งนี้มีเครื่องใช้
เหล่านี้ทุกครัวเรือน นับเป็น การน าศิลปะ ประติมากรรมมาเผยแพร่ในประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้

ซึ่งสามารถไปชมได้ที่วัดชลธาราสิงเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส

ปลาครึ่งตัว

กาลครงั้หนึ่งนานมาแล้ว ยงัมตีากบัยายอาศยัอยู่กลางทุ่งนา วนัหนึ่งตาเกินทางไปหาปลาใน
หนอง ขณะเดินก็ซุ่มจบัปลาไปด้วย ซุ่มไปซุ่มมาก็ไดป้ ลาช่อนท่อนเดยีว เม่อืกลบัมาบ้านกเ็ล่าให
ย้าย ฟัง พอตกกลางคนืตาไดย้นิเสยีงดงัขน้ึจากทใี่ส่ปลา ตาไดย้นิเสยีงเข้าหูว่า “ตาเอ๋ยตา ขอลูก
ท่านพระ ยาไปสกัคนตาเอ๋ย” ฝ่ายตากส็งสยัว่าเสยีงมาจากไหน เลยลุกไปดูตามเสยีงนนั้ บงัเอญิ
หนัไปเห็นที่ใส่ ปลากเ็ลยนึกขน้ึไดว้่าปลานนั้พูด ตาเลยไม่ใส่ใจ อกีคนืหนึ่งกไ็ดย้นิอกีจนตาอ่อนใจ
กเ็ลยพูดขน้ึว่า “ปลา ช่อนท่อนเดียวจะขอลูกพระยาได้อย่างไร” ฝ่ายปลาช่อนท่อนเดียวก็บอกไป
ว่า “ไปบอกเถิดตาเอ๋ย” ฝ่ายตาบอกว่าไม่มอีะไรจะไปสู่ขอ” ปลาช่อนบอกว่า “พรุ่งน้ ใีหต้าต่นืข้ึ
นมาเอาพานเงนิพานทองแล้วใส่ ตัวฉันไปด้วย” รุ่งเช้าตาก็เอาปลาช่อนท่อนเดียวใส่พานเงิน
พานทองไปบ้านเจ้าพระยา ฝ่ายท่าน เจ้าพระยาเม่อืเห็นเช่นนัน้ ก็ตกใจและบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่
ลูกเจ้าพระยาจะได้กบัปลาช่อนท่อนเดียว ท่านเจ้าพระยาไม่ยอมยกลูกสาวให้ และดุด่าตากบัยาย
ต่างๆ นานา ฝ่ายลูกสาวของเจ้าพระยาได้ยนิ เช่นนัน้ ก็ออกมาพูดว่า “อย่าฆ่าปลาช่อนท่อนเดียว
เลย” แม้แต่ไม้กวาดข้าก็จะเอา ถ้าข้ารัก” เม่อื เจา้พระยาไดย้นิเช่นนนั้ กไ็ล่ลูกสาวออกจากบา้น
ไปอยู่กบัสองตายาย ฝ่ายปลาช่อนท่อนเดยีวนนั้กก็ลบั กลายเป็นลูกเจา้เมอืง เพราะเม่อืแต่งงานก
นักพ็น้ จากค าสาป

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดปัตตานี

หมาป่ ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์

นานมาแล้ว มีหมาป่าผอมโซตัวหนึ่ง… ไปบนบานกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ว่า ขอเป็นวัวบ้านตัวอ้วนพี เมื่อ
กลายร่างเป็นวัวถูกชาวบ้านใช้ไถนา เกิดความเหนื่อยเมื่อยล้า จึงไปบนบานกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ว่า ขอ
เป็นม้า แต่กลับถูกพระราชาผู้ครองนครสั่งให้ทหารจับตัวไปเป็น พาหนะ เกิดความเบื่อหน่ายอีก จึง
ไปบนบานกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ว่า ขอเป็นพระราชาเสียเอง เมื่อได้เป็นพระราชาสมใจแล้ว เขายังมี
ความต้องการเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ จึงสั่งทหารให้ไปตัดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อเรือ …ต้นไม้
ศักดิ์สิทธิ์โกรธ มากที่ท าคุณไม่ขึ้น จึงบอกให้ทหารไปตามพระราชามาตัดเอง เมื่อพระราชามาถึง…
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวต าหนิในความไม่รู้จักพอ และสาปให้กลายร่างกลับเป็น หมาป่าผอมโซเช่น
เดิม

ตำนานเขาขนาบน้ำ

เขาขนาบน้ำจังหวัดกระบี่นั้นเป็ นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่อง
เที่ยวเป็ นอย่างมากเนื่ องจากว่าเป็ นแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำที่มีความสวยงามและมีความ
เป็นธรรมชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่จะได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยอยู่
ริมแม่น้ำและมีการเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของชาติไทย โดยเขาขนาบน้ำนั้นได้มีตำนาน
เล่าขานบอกเล่าเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนานว่า เขาขนาบน้ำแห่งนี้ที่จริงแล้วจุด
กำเนิดนั้นเกิดจากการที่มนุษย์กับยักษ์ นั้นได้มีทำการต่อสู้กัน โดยเหตุผลที่ยักษ์กับมนุษย์
คนหนึ่งสู้กันนั้น เพราะพวกเขาต้องการแย่งชิง เจ้าหญิงองค์หนึ่งซึ่งมีสิริโฉมงดงามมาก ซึ่ง
ไม่ว่าจะต่อสู้กันแค่ไหนก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายที่แพ้หรือชนะกันเลย เพราะทั้งยักษ์ และมนุษย์
นั้น พวกเขาต่างก็มีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถด้วยกันทั้งคู่ จนในที่สุดทั้งยักษ์และมนุษย์ก็
ต่อสู้กันจนตาย และหลังจากที่ทั้งคู่ตายแล้วไม่ว่าจะเป็นศพของยักษ์หรือศพของมนุษย์นั้น
ก็นอนอยู่ตรงบริเวณเขาขนาดน้ำ โดยมีลักษณะของการหันหลังชนกันและจากศพของคน
ทั้งคู่นี้เองก็กลายเป็นหินขนาดใหญ่ ส่วนกระบี่ของมนุษย์ที่ต่อสู้กับยักษ์นั้นได้ปลิวกระเด็น
ตกไปอยู่ อีกจุดหนึ่งซึ่งต่อมาจุดที่กระบี่ตกนั้นเรียกว่า บ้านกระบี่น้ อย ส่วนดาบของยักษ์นั้น
ก็ปลิวไปตกอีกที่หนึ่งซึ่งก็มีการตั้งชื่อว่าบ้านกระบี่ใหญ่ ซึ่งต่อมาเขาขนาบน้ำนี้มีเรื่องเล่ากัน
ว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเคยถูกนำมาเป็นสถานที่ตั้งของฐานทัพของกองกำลัง
ทหารญี่ปุ่นดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเปรียบได้เหมือนกับสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมา
อย่างมากมาย โดยนักวรรณคดีนั้นได้เข้ามาขุดค้นหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์และพวก
เขาก็พบโครงกระดูกมากมายอยู่ภายในถ้ำของเขาขนาดน้ำแห่งนี้ ทำให้มีการสันนิษฐานกัน
ว่าโครงกระดูกทั้งหลายเหล่านั้นอาจจะเป็ นกลุ่มชาวบ้านที่พากันอพยพหลบหนีช่วงสงคราม
และมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นี่ ซึ่งอาจจะพากันล้มจากการเกิดอุทกภัยอย่างเฉียบพลันหรือไม่ก็
อาจจะล้มตายจากการเกิดโรคระบาด และนี่คือตำนานที่มีการเล่าขานกันเรื่อยมาถึงความ
เป็นมาของเขาขนาบน้ำว่ามีที่มาอย่างไร ซึ่งที่นี่นักท่องเที่ยวมักจะพากันมานั่งเรือเที่ยวชม
ความงามของแม่น้ำและชมวิถีชีวิตของชาวบ้าน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
ของจังหวัดกระบี่เลยก็ว่าได้ หากใครที่มาเที่ยวกระบี่ก็อย่าพลาดที่จะมีชมความงดงามของ
ภูเขาลูกนี้พร้อมทั้งอย่าลืมแวะไปเที่ยวถ้ำที่ครั้งหนึ่ งเคยมีประวัติศาสตร์ยาวนานนะคะ

ปูทอง

กาลครั้งหนึ่ง มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกสาวชื่อินุ วันหนึ่งสองคนผัวเมียได้ไปหาปลา และ
เมื่อสามีได้ปลาแต่ละครั้ง ภรรยาก็จะพูดว่า “ให้อินุตัวหนึ่ง ให้อินุตัวหนึ่ง” หล่อนพูดอย่างนี้ทุกครั้ง
จนในที่สุดสามีเกิดโมโหเอาด้ามสวิงตีภรรยาจนถึงแก่ความตาย ภรรยาจึงกลายเป็นปูทองอยู่ใน
แม่น้ำนั้น ต่อมาชายผู้สามีและลูกสาวของเขาก็ได้ทำไร่เป็นอาชีพ วันหนึ่งอินุได้เอาฟักทองในไร่ไป
ขายที่บ้านแม่ของอิเนา แม่ของอิเนาก็ซื้อฟักทองไว้ และเอาข้าวเปลือกให้เป็นค่าฟักทอง แต่แทนที่
นางจะเอาข้าวเปลือกใส่ลงในกระจาดเพียงอย่างเดียว นางกลับเอาก้อนหินใส่ลงไปด้วยแล้วเอาข้าว
เปลือกกองไว้ข้างบน เมื่ออินุจะยกกระจาดขึ้นทูนบนศีรษะจึงยกไม่ขึ้นเพราะหนักก้อนหิน แม่ขอ
งอิเนาก็ไม่ยอมช่วย และบอกให้อินุร้องเรียกพ่อของหล่อนมาอินุก็ร้องเรียกพ่อ เมื่อพ่อของอินุมา
ถึง แม่ของอิเนาก็จัดแจงหาอาหารแล้วเชิญให้พ่อของอินุกิน พอกินอิ่มแล้วอินุก็ชวนพ่อกลับ แต่แม่
ของอิเนาพูดว่า “ไม่ได้ละ เขากินข้าวกับฉันแล้วทีนี้เขาก็เป็นสามีของฉัน แกจะกลับก็กลับไปคน
เดียวซิ พ่อแกไปไม่ได้” “ฉันก็จะไม่อยู่เหมือนกัน” พ่อของอินุพูดขึ้น “ถ้าไม่มีลูกสาวของฉันอยู่
ด้วย” “งั้นก็ตกลง” แม่ของอิเนาพูดขึ้น “ให้อินุอยู่ด้วย” ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดก็อยู่ด้วยกัน อินุและอิ
เนาได้ไปเลี้ยงควายด้วยกันทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของอิเนาได้ให้อิเนาอยู่บ้านเพื่อทอผ้า ให้อินุ
ไปเลี้ยงควายเพียงคนเดียว ตอนนี้แม่ของอินุซึ่งตายไปแล้ว และได้ตายไปแล้ว ได้แลเห็นลูกสาว
เศร้าโศกไม่มีความสุข จึงมาปลอบและเอาก้ามหวีผมให้ลูกสาวทุก ๆ วัน ฝ่ายแม่ของอิเนาสังเกต
เห็นผมของอินุเรียบร้อยผิดธรรมดาก็เฆี่ยนตีซักถาม “นี่แกไปสำราญองค์อยู่ที่ไหน หนอยแน่ให้ไป
เลี้ยงควายกลับไปนั่งแต่งตัวเสียนี่” แต่อินุก็ไม่ยอมปริปากเล่าเรื่องให้ฟัง วันหนึ่งแม่ของอิเนาก็ตา
มอินุเข้าไปในป่าเฝ้ าคอยดูอยู่ในขณะที่อินุกำลังเลี้ยงควาย นางแม่เลี้ยงได้แลเห็นปูทองมาหวีผมให้
อินุ นางก็คิดพยาบาทจะหาทางฆ่าปูทองเสียให้จงได้ นางจึงกลับมาบ้านและแกล้งทำเป็นป่วย เอา
ข้าวเกรียบวางไว้ใต้เสื่อที่นอน ทุกครั้งที่พลิกตัวไปมาข้าวเกรียบก็หักเสียงดังกรอบแกรบและ
หล่อนก็จะร้องโอดครวญขึ้นว่า “โอย พ่อเอ๋ย กระดูกของฉันหักหมดแล้ว มันลั่นกรอบแกรบไป
หมด” พ่อของอินุเชื่อว่าหล่อนป่วยจริงจึงเข้าไปเฝ้ าดูอาการ หล่อนจึงพูดขึ้นว่า “ไปตามหมอให้ที
เถอะ” แท้ที่จริงนั้นหล่อนได้นัดแนะกับหมอไว้แล้ว โดยสั่งว่าถ้าสามีของหล่อนมาหาละก็ให้บอกว่า
อาการของโรคจะหายได้ก็จะต้องกินมันของปูทองเท่านั้น เมื่อพ่อของอินุไปหาหมอ

หมอจึงแกล้งทำเป็นตรวจอาการของแม่เลี้ยงแล้วบอกตามที่แม่เลี้ยงสั่งไว้ พ่อของอินุเชื่อก็จะไป
จับปูทองมาให้ อินุ ได้ยินว่าเขาจะเอาปูทองมาฆ่ากินก็รีบไปบอกแม่ของหล่อน “ระวังตัวไว้หน่อย
นะแม่ เขาจะมาจับแม่ไป ถ้าเขามาที่ริมฝั่งก็หนีไปอยู่เสียกลางแม่น้ำ ถ้าเขาออกมากลางแม่น้ำก็
หลบเข้าไปอยู่เสียริมฝั่ง”ปูได้หลบเลี่ยงตามคำบอกของอินุุุอยู่เช่นนี้หลายวัน พ่อของอินุุก็ยังจับปู
ไม่ได้ แม่เลี้ยงของอินุุุจึงพาลหาเรื่องกับอินุ และใช้ให้อินุไปจับปูทองมาให้หล่อน แต่ถึงแม้ว่าอินุจะ
ไปจับปูทุก ๆ วัน อินุก็ไม่ได้ปูกลับมาบ้าน ในที่สุดปูได้แลเห็นลูกสาวโศกเศร้าจึงพูดว่า “จับแม่ไป
เถอะ ลูกจะได้หมดทุกข์ทรมาน และแม่จะได้หมดกรรมที่จะเป็นปูต่อไป ปล่อยให้เขาทำตามแต่
เขาจะปรารถนาเถิด” เมื่อปูพูดเช่นนั้นหลายครั้งหลายหน อินุก็จำใจจับปูกลับไปบ้าน แม่เลี้ยงจึง
ให้อินุต้มน้ำเอาปูลงต้ม อินุจำใจทำตามคำสั่ง และเมื่อน้ำเริ่มร้อน ปูก็พูดขึ้นว่า “ลูกเอ๋ย ขาของแม่
ร้อนเหลือเกิน” อินุุได้ยินเช่นนั้นจึงราไฟเพื่อไม่ให้น้ำร้อนมากขึ้นแต่แม่เลี้ยงแลเห็นเข้า จึงตีและ
ให้ใส่ไฟเข้าไปอีก พอน้ำร้อนมากขึ้นปูก็พูดว่า “ลูกเอ๋ย อกของแม่ร้อนเหลือเกิน” อินุก็ราไฟอีก
แม่เลี้ยงเห็นเข้าก็เฆี่ยนตีให้ใส่ไฟเข้าไปอีก ปูแลเห็นลูกถูกตีเช่นนั้นก็สงสาร จึงพูดขึ้นว่า “ลูกเอ๋ย
เมื่อแม่ตาย จงรวบรวมกระดูกของแม่ไปฝังไว้ใกล้พระเจดีย์” เมื่อพูดแล้วก็ขาดใจตาย แม่เลี้ยง
เมื่อเห็นปูสุกแล้วก็แบ่งปูให้อินุุเอาไปให้เพื่อนบ้านรวมเจ็ดบ้านด้วยกัน เมื่ออินุเอาไปให้บ้านไหน
อินุก็บอกบ้านนั้นว่า “อย่าทิ้งกระดูก โปรดเก็บเอาไว้ให้ฉันด้วย” แม่เลี้ยงกินเนื้อปูแล้วก็เอา
กระดองทิ้งใต้ถุน อินุจึงแอบเข้าไปเก็บมารวมไว้ในโกศ และไปเก็บจากที่อื่น ๆ มารวมไว้ด้วยกัน
เมื่อได้ครบแล้วก็เอาไปฝังไว้ใกล้ ๆ พระเจดีย์ตามที่ปูได้สั่งไว้ ไม่นานเท่าไรนัก ตรงที่ได้ฝังโกศ
กระดูกปูนั้นก็มีต้นไทรทองขึ้นมาต้นหนึ่ง และพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบ จึงมีรับสั่งให้เสนาบดี
นำทหารไปขุด แต่แม้ว่าทหารจะพยายามขุดถอนอย่างไร ๆ ก็ไม่สามารถจะขยับเขยื้อนต้นไทร
ทองออกมาได้ พระเจ้าแผ่นดินจึงมีรับสั่งให้ไปตีฆ้องร้องป่าวประกาศว่า “ใครก็ตามที่สามารถขุด
ต้นไทรขึ้นมาได้จะได้รางวัล และถ้าเป็นผู้หญิงพระเจ้าแผ่นดินจะทรงสถาปนาให้เป็นพระมเหสี”
เมื่ออินุ ได้ฟังประกาศเช่นนั้นจึงเข้าไปเฝ้ าพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อขอรับอาสาและเมื่ออินุไปถึงต้นไทร
หล่อนก็ใช้นิ้วเพียงสองนิ้วเท่านั้น ก็สามารถถอนต้นไทรขึ้นมาได้ อินุจึงนำต้นไทรเข้าไปเมือง
หลวง และได้นำไปปลูกไว้ที่หน้ าพระราชวัง ส่วนอินุได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระมเหสี วันหนึ่ง แม่
เลี้ยงของอินุได้ให้คนมาส่งข่าวหลอกลวงว่าบิดาของอินุป่วย ดังนั้นอินุจึงแต่งกายไปที่บ้านของแม่
เลี้ยง เมื่อไปถึงแม่เลี้ยงก็ออกมารับหน้ าและพูดว่า “อย่าเพิ่งเข้าไปข้างในเลย แม่เกรงว่าพ่อจะถูก
ผีงำ ไปอาบน้ำเสียก่อนเถิด”

ตำนานเจ้าลิ้มกอเหนี่ยว

ลิ้มกอเหนี่ยว หรือกอเหนี่ยวแซ่ลิ้ม เดินทางจากเมืองจีน โดยคุมเรือสำเภามา ๙ ลำ เพื่อ
ติดตามพี่ชายชื่อลิ้มเตาเคียน (หรือลิ้มโต๊ะเคี่ยม) ซึ่งเดินทางมาค้าขายที่ปัตตานี และหายไปจาก
บ้านมานานหลายปี บิดามารดาและญาติพี่น้ องพากันเป็นห่วง น้ องสาวจึงอาสาติดตามพี่ชาย และตั้ง
สัจจะวาจาไว้ว่าหากทำการไม่สำเร็จ นางจะขอยอมตาย ในที่สุดลิ้มกอเหนี่ยวเดินทางถึงปัตตานี
และพบพี่ชาย ขณะนั้นเป็นนายช่างกำลังสร้างมัสยิดที่บริเวณบ้านกรือเซะ และกำลังหล่อปืนใหญ่
เพื่อถวายรายอฮีเยา สตรีเจ้าเมืองปัตตานี ลิ้มกอเหนี่ยวพยายามอ้อนวอนพี่ชายกลับสู่เมืองจีน แต่
ลิ้มเตาเคียนปฏิเสธบอกว่าตนเป็นมุสลิมและมีครอบครัวแล้ว น้ องสาวจึงผิดหวังและเสียใจอย่างยิ่ง
จึงตัดสินใจผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ใกล้มัสยิดนั่นเอง เล่ากันว่าลิ้มเตาเคียนสร้างมัสยิดไม่
สำเร็จ คือก่อหลังคาครั้งใดก็ถูกฟ้ าผ่าครั้งนั้น จนถึงสามครั้งสามครา มัสยิดที่กรือเซะจึงสร้างค้างคา
มาจนทุกวันนี้ ผู้คนพากันเชื่อว่าเพราะคำสาปแช่งของลิ้มกอเหนี่ยวนั่นเอง นอกจากนี้ยังเล่าถึงลิ้ม
เตาเคียนจบชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากการทดลองยิงปืนใหญ่ และปืนใหญ่กระบอกนั้นชื่อนางพญาตานี
เมื่อสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ชนะศึกปัตตานี จึง
นำปืนนางพญาตานีไปไว้ที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันอยู่หน้ ากระทรวงกลาโหม ส่วนต้นมะม่วงหิมพานต์ต้น
นั้น มีผู้นำมาแกะสลักเป็นรูปเจ้าแม่ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว นอกจากนี้
ตำนานยังเล่าถึงสำเภา ๙ ลำที่นำลิ้มกอเหนี่ยว และบริวารมาสู่ปัตตานี ปรากฏว่าต่อมาสำเภา ๙ ลำ
กลายเป็นสน ๙ ต้น เรียกตามภาษามลายูว่า “รูสะมิแล” (รู = ต้นสน, สะมิแล = ๙) ด้วยความเป็น
ผู้มีใจเด็ด กล้าหาญ มีวาจาสัตย์ และวาจาสิทธิ์ ทำให้ชาวปัตตานี และชาวจังหวัดใกล้ไกล ทั้งไทย-
จีน และมุสลิมเชื้อสายจีนพากันยกย่องและศรัทธาลิ้มกอเหนี่ยวเป็นเจ้าแม่ศักดิ์สิทธิ์มาจนทุกวันนี้
วิถีชีวิตชาวไทยจีน และมุสลิมเชื้อสายจีน รวมทั้งชาวจีนในมาเลเซียและสิงคโปร์ ยังนับถือและ
ศรัทธาเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ศาลเจ้าแม่ในตลาดปัตตานี ทุกวันนี้จึงมีผู้คนทั้งใกล้ไกลไปนมัสการ
และบนบานขอความช่วยเหลือ เช่นขอให้หายจากเจ็บไข้ได้ป่วย หรือขอให้ของหายได้กลับคืน

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดตรัง

นางอุทัยเทวี

ณ เมืองบาดาล ธิดาพญานาคหนีมาเที่ยวเมืองมนุษย์และพบรักกับรุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ใน
ต้นไม้ริม สระน้ำ ธิดาพญานาคตั้งครรภ์รอจนคลอดเป็นไข่ฟองหนึ่ง จึงใช้สไบห่อไข่และพ่นพิษ
คุ้มครองไว้ก่อน แล้วลง กลับไปเมืองบาดาล บังเอิญมีนางคางคกผ่านมาเห็นจึง กินไข่และตาย
ด้วยพิษพญานาค พอดีกับไข่ฟักเป็น เด็กหญิงซึ่งคิดว่านางคางคกเป็นแม่ของตน จึงอาศัยอยู่ใน
ซากคางคกเน่าๆ ตายายสองผัวเมียมาตกปลาพายเรือผ่านมาเห็นเข้าก็ช่วยเลี้ยงดูจนโต ตั้งชื่อให้
ว่าอุทัยเทวี และอุทัย เทวีได้แต่งงานกับเจ้าชายสุทธราช ซึ่งก่อนแต่งตากับยาก็ได้มีข้อกำหนดว่า
ต้องสร้างสะพานทอง ตั้งแต่วังจนถึง บ้านตายยายแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี อุทัยเทวีจึงเป็นสะใภ้แห่ง
เมืองหลวง มารดาของเจ้าชาย ไม่ค่อยชอบอุทัยเทวี นัก จึงหาทางให้ลูกของตนเป็นของคนอื่นไป
ซึ่งนั่นคือ เจ้าชายต้องไปแต่งงานกับ เจ้าหญิงฉันทนา ซึ่งอุทัยเทวี ก็ตามไปด้วยตามสัญญา เจ้า
หญิงฉันทนาคิดกำจัดอุทัยเทวีโดยฆ่านางอุทัยเทวี แต่พ่อของอุทัยเทวี ช่วยไว้จึง บอกว่าให้รอแก้
แค้นนางฉันทนาอยู่นอกวัง ต่อมาไม่นานนางฉันทนากลุ้มใจเรื่องผีนางอุทัยเทวีจะมาหลอก หัวจึง
หงอก ผมที่เคยด ากลับขาวไปทุก เส้น จึงเอาผ้าพันศีรษะไว้ตลอดเวลา ต่อมานางอุทัยเทวีแปลง
กายเป็นแม่ค้าขายขนมแก่ๆผ่านมา ซึ่งผมด ายาว สลวยผิดกับนางฉันทนา นางฉันทนาเห็นเข้า
จึง คิดว่ายายแก่คนนี้ก็มีเคล็็ดลับในการบำรุง รักษาผมอย่าง แน่นอน จึงให้ยายแก่เข้าไปในวัง
และให้รักษาผมของตนเองให้ แต่นางอุทัยเทวีก็จะรักษาให้ แต่ต้องยอมให้ทำ ทุกอย่างห้ามถาม
อะไรทั้งสิ้น นางฉันทนาตกลงจึงนอนลงแล้วนางอุทัยเทวี ก็เอามีดโกนโกนผมนางฉันทนา ออก
จนหมดแล้วกรีดศีรษะนางฉันทนาแล้วเอาปลาร้า ให้หม้อครอบหัว นางฉันทนาไว้ และห้ามเอา
หม้อออก ก่อนวันที่ 7 แต่ไม่ถึงคืนนางฉันทนาทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสิ้นใจตาย เจ้าชายสิทธิ
ราช รู้ดังนั้นจึงกลับไปเมืองของตน ซึ่งก็ยังเห็นอุทัยเทวีอยู่ที่เมืองอยู่ก็ทรงโล่งใจ อุทัยเทวี ได้
ครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน

ปู่เจ้าอัฒาวงศ์

ที่เขาปินะในเขตคลองที่ตำบลนาวง อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เป็นบริเวณที่มีทิวทัศงดงาม
มากภายในภูเขามีถ้าสลับซับซ้อนเรียงราวกันไปเล่ากันมาว่าแต่เดิมมา บริเวณเขาปินะเป็นที่ราบ
ไปถึงทะเลและมีภูเขาอีกลูกหนึ่ งอยู่ถัดไปอยู่ต่อมาได้มีแขกอิสลามเดินทางมาค้าขายบริเวณนี้เรือ
ถูกพายุพัดกระหน่ำถูกคลื่นและลมกระแทกกระทั้นจนอับปางลงกลางทะเล ผู้คนว่ายน้ำหนีตาย
กันมาขึ้นฟั งบริเวณนั้นแล้วได้อาศัยทำมาหากินปลูกบ้านเรือนจนเป็ นหลักเป็ นฐานเรื่ อยมา
กระทั่งเกิดลูกเกิดหลานเป็ นชุมนุมขึ้นและได้มีการขยับขยายการออกไปบางส่วนได้เข้าไปอาศัย
อยู่ในถ้ำ เพื่อป้ องกันสัตว์ร้าย แล้วเรียกภูเขาลูกนั้นว่าปินะ เป็นภาษามลายูแปลว่าการโยกย้าย
กาลเวลาผ่านไปเมื่อมีคนมากขึ้นหมู่บ้านจึงขยับขยายใหญ่โตขึ้นตามลำดับ อยู่ต่อมาได้มีพระ
ธุดงค์รูปหนึ่ง จาริกมาที่เขาปินะตรวจดูสภาพถ้ำแล้วเห็นว่าเหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนาจึงเข้า
อาศัยบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมชาวบ้านแถบนั้นก็ได้มีโอกาสทำบุญและตั้งตนอยู่ในศีลธรรมตอน
แรกๆที่พระธุดงค์มาบำเพ็ญเพียรนั่งวิปัสสนาได้มีสัตว์ 4 เท้าตัวหนึ่ง คลานเข้ามาหมอบกราบพระ
ธุดงค์อยู่เป็นประจำ พระธุดงค์ก็ให้อาหารทุกครั้งจนสัตว์และพระคุ้นเคยกันคืนหนึ่งพระธุดงค์ได้
เกิดนิมิตรฝันไปว่าสัตว์ตัวนั้นคือสมภารจันทร์ ผู้มาพบท่านก่อนใครพระอาจารย์จันทร์ได้สร้าง
พระนอนขึ้นแต่ยังไม่ทันสำเร็จก็มรณภาพเสียก่อนพระธุดงค์รูปนี้ได้ทำการสร้างพระนอนต่อจน
สำเร็จพอพระนอนสำเร็จเป็นองค์เรียบร้อยสัตว์ตัวนั้นก็หายสาบสูญไปพระธุดงค์ยังได้เป็นหัวหน้ า
ในการก่อสร้างและบูรณะต่อเติมอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ในคืนหนึ่งท่านได้นิมิตฝันไปว่ามีชายแก่
คนหนึ่ง รูปร่างใหญ่โตหัวล้านผิวดำซ้ายมีผ้าผืนใหญ่ภาพอยู่มือถือกระบองขนาดใหญ่ได้มาบอก
ว่าตนคือปู่เจ้าผู้เฝ้ าเขาปินะ มีความพอใจที่ท่านตกแต่งบูรณะสถานที่เหล่านั้นให้สวยงามมาบอก
แค่นั้น แล้วก็หายไปต่อมาท่านจึงได้ทำรูปปั้นขึ้นตามนิมิตฝันเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึง ปู่เจ้าผู้เฝ้ า
เขาปินะ เรียกว่ารูปปั้นปู่เจ้าอัฒาวงศ์ เป็นรูปปั้นอยู่ในท่านั่งบนแท่นหินอยู่ในถ้ำนั้นเดี๋ยวนี้มีผู้คน
ให้ความเลื่ อมใสศรัทธาและเคารพกราบไหว้บูชาเป็ นอันมาก

ไอ้เกลอเล

เมื่อไอ้เกลอไป วังเกลอ หรือเยี่ยมเยือนไอ้เกลอเขา ก็ได้ของฝากเป็น มูสัง หรือ
ชะมด ติดมือกลับบ้านไปหนึ่งตัว โดยไอ้เกลอเขาบอกไอ้เกลอเลเชิงหยอกกันตามประสาเกลอ
ว่า มูสัง เป็นสัตว์เลี้ยงง่าย มันกินเพียงขี้ไก่ก็อยู่ได้แล้ว ด้วยวิถีชีวิตคนอยู่ทะเลที่ไม่เคยรู้จัก
มูสังจึงนำไปขังไว้ในคอกไก่ตามคำของไอ้เกลอ แต่แล้วก็ต้องสูญเสียไก่ไปทั้งเล้าเพราะถูกมูสัง
กิน ต่อมาเมื่อไอ้เกลอเขามา วังเกลอ บ้าง ควายเล หรือปูทะเลขนาดใหญ่ก็เป็นของแปลกใหม่ที่
ไอ้เกลอเลฝากให้เพื่อนหอบหิ้วกลับบ้าน พร้อมทั้งคำแนะนำเชิงหยอกจากอีกเช่นกันว่า เจ้า
ควายเลตัวนี้กินน้ำเยี่ยวเป็นอาหาร และถ้าถูกมันฟัน (ปูหนีบ) ก็ให้รีบกัดเขา (ก้าม) อีกข้างของ
มันทันที เมื่อกลับถึงบ้านไอ้เกลอเขาก็จับเจ้าควายเลใส่กะลังเอาไว้ บอกให้ภรรยาไปเยี่ยวใส่
กะละมังเพื่อเลี้ยงเจ้าควายเลตามคำของไอ้เกลอเล ครั้นเวลาค่ำนางก็ไปให้อาหารสัตว์เลี้ยงตาม
ที่สามีบอกปูหรือความเลของไอ้เกลอ เมื่อมีอะไรเข้าใกล้ตัวมันก็จะหนีบเอาโดยสัญชาตญาณ
ป้ องกันตัว นางจึงต้องเรียกสามีให้มาช่วย ไอ้เกลอเขาก็รีบก้มหน้ าลง เพื่อจะกัดเขาอีกข้างของ
มันทันที ตามคำแนะนำของไอ้เกลอ ก็เลยถูกก้ามอีกข้างหนึ่งของเจ้าควายเลหนีบแก้มเข้าให้
ในขณะที่ก้ามอีกข้างหนึ่งก็ยังไม่ปล่อย สุดท้ายของเรื่องเมื่อไอ้เกลอทั้งสองมาพบกันอีกประโยค
ที่สัพยอกกันว่า มึงเสียไก่แค่ตัวสองตัวจะเป็นไรไป...กูทั้งเจ็บทั้งเหม็น ในบางแห่งจึงให้ชื่อ
นิทานเรื่องนี้ว่า ทั้งเจ็บทั้งเหม็น

ตากใบ

เมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ในราวสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีพ่อค้าจีนคนหนึ่งล่อง
เรือสำเภามาจากประเทศจีน เพื่อไปขายสินค้ายังแหลมมลายู ในเรือสำเภานั้นได้บรรทุกสินค้า
เครื่องปั้นดินเผามาเต็มลำเรือ เช่น เครื่องลายคราม ชามเบญจรงค์ โอ่ง ไห ลายมังกร เป็นต้น
สินค้าเหล่านี้มีลวดลายสีสันงดงามมาก วันหนึ่งขณะที่เรือสำเภาแล่นอยู่กลางทะเลใกล้ปากอ่าว
ทางตอนใต้ของไทยได้บังเกิดลมพายุ คลื่นลมแรงจัดมาก จนในที่สุดเรือกำลังจะจม พ่อค้าจีนจึง
ได้สั่งให้ปลดใบเรือลง จากนั้นเรือค่อย ๆ จมลงในท้องทะเล พ่อค้าจีน ไต้ก๋ง พร้อมลูกเรือทุกคน
ได้พยายามช่วยเหลือตัวเอง จนสามารถขึ้นเกาะที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งได้ทุกคน เมื่อคลื่นลมสงบ
ทุกคนจึงพากันไปกู้เรือและนำสินค้าขึ้นฝั่งได้สำเร็จ จากนั้นจึงเอาใบเรือเสื้อผ้า ขึ้นไปตากตาม
ต้นไม้และกิ่งไม้ มีแขกมลายูคนหนึ่งมีอาชีพตัดไม้ไปขาย ได้มาตัดไม้ใกล้บริเวณที่พ่อค้าจีน
ตากใบเรือและเสื้อผ้า เมื่อเห็นสิ่งเหล่านั้น แขกมลายูจึงคิดที่จะขโมย จึงไปตัดต้นไม้ที่มีเสื้อผ้า
ตากอยู่ แต่พ่อค้าจีนและลูกเรือกลับมาเห็นเสียก่อนจึงร้องตะโกนขึ้นว่า เจ๊ะ….เฮ้ ๆ ๆ ๆ เอาเสื้อผ้า
อั้วคืนมา แขกมลายูตกใจมาก จึงกล่าวขอโทษและรักปากว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก พ่อค้าจีนและลูก
เรือทั้งหมดจึงยกโทษให้ และได้อาศัยทำมาหากินบนเกาะนี้อย่างมีความสุข ต่อมาได้มีพ่อค้า
สำเภาจีนลำอื่นล่องเรือมาค้าขายบนเกาะนี้มากขึ้น สินค้าส่วนใหญ่ที่นำมาขายมีชามเบญจรงคฺ์
โอ่ง ไหลายมังกร เครื่องลายคราม จนทำให้ชาวเกาะแห่งนี้มีเครื่องใช้เหล่านี้ทุกครัวเรือน นับ
เป็นการนำศิลปะ ประติมากรรมมาเผยแพร่ในประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งสามารถไปชมได้ที่
วัดชลธาราสิงเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดนครศรีธรมราช

นายดั้น

นายดั้น เป็นคนตาบอดใส อยากได้นางริ้งไรเป็นภรรยา จึงส่งคนไปสู่ขอและนัดวันแต่ง โดยฝ่าย
นางริ้ง ไรไม่รู้ว่าตาบอด เมื่อถึงวันแต่งงานนายดั้นพยายามกลบเกลื่อนความพิการของตนโดยใช้
สติปัญญาและไหว พริบต่าง ๆ แก้ปัญหา เมื่อขบวนขันหมากมาถึงบ้านเจ้าสาว เจ้าภาพขึ้นบนบ้าน
นายดั้นกลับนั่งตรงนอกชาน เมื่อคนทักนายดั้นจึงแก้ตัวว่า "ขอน้ำสักน้ อย ล้างตีนเรียบร้อย จึง
ค่อยคลาไคล ทำดมท าเช็ด เสร็จแล้วด้วยไว แล้วจึงขึ้นไป ยอไหว้ซ้ายขวา" ขณะอยู่กินกับนางริ้ง
ไร วันหนึ่งนางริ้งไรจัดสำรับไว้ให้แล้วลงไปทอผ้าใต้ถุนบ้าน นายดั้นเข้าครัวหา ข้าวกินเองทำข้าว
หกเรี่ยราดลงใต้ถุนครัว นางริ้งไรร้องทักว่าเทข้าวทำไม นายดั้นจึงแก้ตัวว่า "เป็ดไก่เล็กน้ อย บ้าง
ง่อยบ้างเพลีย ตัวผู้ตัวเมีย ผอมไปสิ้นที่ อกเหมือนคมพร้า แต่เพียงเรามา มีขึ้นดิบดี หว่านลงทุก
วัน ชิงกัน อึ่งมี่ กลับว่าเรานี้ ขึ้งโกรธโกรธา" วันหนึ่งนางริ้งไรให้นายดั้นไปไถนา นายดั้นบังคับวัว
ไม่ได้ วัวหักแอกหักไถหนีเตลิดไป นายดั้นจึงเที่ยว ตามวัว ได้ยินเสียงลมพัดใบไม้แห้งชายป่า
เข้าใจว่าเป็นวัว จึงวิดน้ำเข้าใส่เพื่อให้วัวเชื่อง นางริ้งไรมาเห็นเข้าจึง ถามว่าทำอะไร นายดั้นได้
แก้ตัวว่า "พี่เดินไปตามวัว ปะรังแตนแล่นไม่ทัน จะเอาไฟหาไม่ไฟ วิดน้ำใส่ตาย เหมือนกัน ครั้น
แม่บินออกพลัน เอารังมันจมน้ำเสีย" อยู่มาวันหนึ่งนายดั้นจะกินหมาก แต่ในเชี่ยนหมากไม่มีปูน
จึงร้องถามนางริ้งไร นางบอกที่วางปูนให้ แต่นายดั้นหาไม่พบ ได้ร้องถามอีกหลายครั้งแต่ก็ยัง
หาไม่พบ นายดั้นจึงร้องท้าให้นางริ้งไรขึ้นบ้านมาดู หากปูน มีตามที่บอก จะยอมให้นางริ้งไรเอา
ปูนมาทาขยี้ตา นางริ้งไรจึงเอาปูนมาทาขยี้ตานายดั้น นายดั้นถือโอกาสจึง ร้องบอกว่าตาบอด
เพราะปูนทา นางริ้งไรจึงต้องหายามารักษาจนตาหายบอดได้บวชเรียน

กินเหล้าแล้วอายุยืน

นานมาแล้วมีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งชอบกินเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ งานการก็ไม่เคยนำพา
เรื่องบุญกุศลก็ไม่เคยทำ แต่การทำบาปแกก็ไม่เคยทำเช่นกัน ครอบครัวของแก มีอยู่ด้วยกันสาม
คน คือ ตัวแกเองพร้อมด้วยเมียและลูกอีกคนหนึ่ง ชายคนชอบกินเหล้าผู้นี้คิดอยู่เสมอว่าก่อนที่
แกจะตายลงนั้นก็ขอให้ลูกชายได้บวชเสียก่อน เพราะแกอยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูก แต่ชาย
คนนั้นก็ได้ตายลงเสียก่อนที่จะได้บวชลูก เมื่ออายุของแกได้ห้าสิบปีพอดี ก่อนที่จะตายนั้น แกได้
สั่งให้ลูกเมียของแก เอาเหล้าใส่โลงไปด้วยสักสองสามขวดเผื่อหิวเหล้าขึ้นมาก็จะได้กินในปรโลก
เมื่อชายคนนั้นได้ลงไปอยู่ในเมืองนรกแล้ว ยมบาลก็ถามว่า "ทำไมถึงได้ชอบกินเหล้านักล่ะ เหล้า
นั้นมันเอร็ดอร่อยมากหรือไรกัน" แกก็ตอบออกไปว่า "อันเหล้านั้น ถ้าได้กินมันเข้าไปแล้ว
ก็จะ…….รู้รสชาติทันทีว่า ไม่มีอะไรแล้วในโลกมนุษย์จะอร่อยเท่า บอกไม่ถูกอธิบายไม่ได้ว่ามันมี
รสชาติอย่างไร ต้องกินดูเองถึงจะ……รู้" ยมบาลจึงพูดว่า "ในเมืองนรกของเรานี้ไม่มี ไม่งั้นแล้วเรา
จะลองชิมดูว่ามันจะเอร็ดอร่อยเหมือนดังคำกล่าวของท่านจริงหรือไม่" ชายผู้ชอบกินเหล้าคนนั้น
จึงบอกกับยมบาลว่า แกได้นำมันมาด้วย ถ้ายมบาลจะลองชิมดูก็มีให้ลอง ยมบาลจึงได้ชิมเหล้า
ของชายคนนั้นเข้าไป ชิมไป ๆ ยมบาลก็ชักติดใจในรสชาติของมัน จึงได้ขอเหล้าชายคนนั้นกินจน
หมดขวด ยมบาลจึงได้เมาขึ้นมาทันที เพราะไม่เคยกินเหล้ามาก่อนหรือเพราะคอยังอ่อนอยู่
นั่นเอง ในเวลาต่อมา ยมบาลก็ได้ชอบพอกันกับชายคนนั้น จนกระทั่งสัญญาเป็นเพื่อนเกลอกัน
แล้วบอกชายคนนั้นว่า "ถ้าแกต้องการอะไรที่พอผ่อนปรนกันแล้วก็ขอให้บอกมาเถิดเราจะช่วย
เหลือ" ชายคนนั้นจึงบอกยมบาลว่า "ในชีวิตของแกไม่เคยได้ทำบุญอะไรเลย แกจึงอยากเห็นชาย
ผ้าเหลืองของลูกชายสักครั้ง" แล้วแกจึงขอร้องต่อยมบาลว่า "ขอมีอายุต่อไปอีกแค่ปีเดียวเท่านั้น
เพื่อบวชลูกชายได้หรือไม่" ด้วยความรักใคร่สงสารต่อชายผู้นั้นเป็นพิเศษ ยมบาลก็อนุญาตด้วย
การต่ออายุให้ แล้วลงไว้ในบัญชีของยมโลก โดยยมบาลเพิ่มอายุให้อีกหนึ่งปี จึงได้เขียนเลข 1
ต่อจากเลข 50 ซึ่งเป็นอายุขัยของชายผู้นั้นลงในบัญชีทันที แต่ด้วยความเมาของยมบาลเอง จึง
เลยลืมลบเลข 0 ออกเสียก่อน จึงกลายเป็นว่าชายคนนั้นมีอายุไปจนถึง 501 ปี เมื่อยมบาลต่อ
อายุให้แล้ว ชายผู้ชอบกินเหล้าคนนั้นก็ได้ฟื้ นกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง แกก็ได้จัดการบวชลูกชาย จน
ได้เห็นชายผ้าเหลืองสมความตั้งใจแล้ว แกก็รอวันตายของแกเรื่อยมาแต่ก็ไม่ตายสักที จนกระทั่ง
เมีย ลูก หลาน เหลน ได้พากันตายไปแล้วเกือบทุกคนแต่แกก็ยังไม่ตายอยู่นั่นเอง ทำให้ชายผู้นั้น
มีชีวิตอยู่อย่างทรมานใจเป็นอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องอยู่ และเห็นคนที่แกรักตายจากไปทีละคนสอง
คนอยู่เสมอ

นิทานพื้นบ้าน



จังหวัดกระบี่

ตำนานอ่าวพระนาง

ตำนานเล่าว่า มีหมู่บ้านใหญ่ 2 หมู่บ้าน ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล หมู่บ้านแรก มีหัวหน้ าชื่อ "ตา
ยมดึง" เมียชื่อ "ยายรำพึง" ส่วนอีกหมู่บ้านหนึ่ง มีหัวหน้ าชื่อ "ตาวาปราบ" เมียชื่อ "บามัย" มี
ลูกชายชื่อ "บุญ" ทั้งสองหมู่บ้านนี้เป็นอริต่อกันมาช้านาน ยายรำพึงนั้นอยากจะได้ลูกสาวไว้เชยชม
สักคนหนึ่ง จึงไปบนบานศาลกล่าวกับ พญานาค ผู้เป็นเจ้ารักษาท้องทะเล ให้ดลบันดาลให้ตนมี
ลูกสาว แต่กลับมีข้อแม้ว่า เมื่อนางเป็นสาวแล้วจะต้องให้แต่งงานกับลูกชายของพยานาค ซึ่งมัก
แปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นมาท่องเที่ยวอยู่เสมอ สองตายายก็รับสัญญา หลังจากนั้นไม่นานยายรำพึง
ก็ท้อง และได้ลูกสาวสมใจ ให้ชื่อว่า "นาง" เรื่องราวผ่านไปเมื่อ "นาง" โตเป็นสาว ก็เป็นที่หมาย
ปองของ "บุญ" ซึ่งเป็นลูกชายของ "ตาวาปราบ" "บุญ" ได้ไปอ้อนวอนให้ "ตาวาปราบ" ไปขอคืนดี
กับ "ตายมดึง" และขอให้ "นาง" ได้แต่งงานกับตน ด้วยความรักลูก "ตาวาปราบ" ยอมลดทิฐิไป
สู่ขอ "นาง" ลูกสาว "ตายมดึง" ส่วนฝ่าย "ตายมดึง" ก็อยากจะให้ลูกสาวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา จึง
ยอมตกลงยกลูกสาวให้ โดยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับ พญานาค เมื่อวันแต่งงานมาถึง ฝ่ายเจ้าบ่าวก็จัด
กระบวนขันหมากยาวเหยียดมาทางชายทะเล นำโดย "ตาวาปราบ" สะพายดาบไว้บนบ่าทั้งซ้าย
ขวา เล่มหนึ่งใหญ่ เล่มหนึ่งเล็ก ในขณะที่งานกำลังดำเนินไปด้วยความสนุกสนานนั้น เหตุการณ์ที่
ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น พญานาคที่แปลงกายมาเป็นมนุษย์ ก็เข้าแย่งชิงเจ้าสาว เกิดวิวาทฆ่าฟัน
กันขึ้น แต่ พญานาค ยังไม่สามารถแย่งชิงได้ "ตายมดึง" เห็นท่าไม่ดีก็พา "นาง" หนีไป ส่วน "ตา
วาปราบ" เห็นเข้าก็เข้าขัดขวางไม่ยอมให้เอาตัว "นาง" ไป จึงดึงดาบเล่มใหญ่ขว้างไปหมายจะฆ่า
"ตายมดึง" แต่ไม่ถูก หลังจากนั้นก็ดึงดาบเล่มเล็กขว้างไปอีก แต่ปรากฏว่าพลาดเป้ าอีกเช่นเคย
หลังจากที่มีการฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดนั้น ร้อนถึงพระฤาษีซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำออกมาห้ามปราม
แต่ไม่มีใครเชื่อฟังพระฤาษีโกรธมาก จึงสาปให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นหิน ไม่ว่าจะเป็นผู้คน
เครื่องใช้ บ้านเรือนก็กลายเป็นภูเขา เป็นถ้ำ เป็นเกาะแก่งในทะเลทั้งสิ้น เช่น บ้านเจ้าสาวกลาย
เป็น ภูเขา ที่ อ่าวพระนาง เรือนหอกลายเป็นถ้ำ เรียกว่า "ถ้ำพระนาง" ข้าวเหนียวกวนที่นำมา
เลี้ยงกันหกเรี่ยราดกลายเป็นเปลือกหอยทับถมในทะเลต่อมากลายเป็น "สุสานหอย" ฝ่ายพญานาค
พยายามกระเสือกกระสนลงทะเลแต่ไปไม่ถึงกลายเป็นหินทางด้านเหนือชาวบ้านเรียกว่า "หงอน
นาค" บริเวณที่พญานาคกลิ้งเกลือกกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่า "หนองทะเล"

ม้าดีมีค่า

ชายคนหนึ่ งเลี้ยงม้าไว้ตัวหนึ่ งมันเป็ นม้าดีที่สวยงามมากงามทั้งสีคนและบุคลิกลักษณะ
เขาชอบมันมากไม่เคยคิดอยากจะขาย แต่อยู่มาไม่นานเขาก็คิดที่จะขายม้า วัตถุประสงค์ก็เพื่อ
จะเอาเงินไว้ใช้จ่ายนั่นเอง ในยามไม่มีเกิดกรณีจำเป็น บางทีของหวงของรักเราก็จำต้องขายออก
ไปเพื่อความอยู่รอด ในวันที่เขาจะขายม้าเขาได้จูงม้าออกจากบ้านเดินไปตามถนนหนทางโดย
ลำดับเมื่ อไปถึงคลองแห่งหนึ่ งเขาได้จูงมาบุกน้ำลุยโคลนข้ามฟากไปจนเนื้ อตัวมาเลอะเทอะไป
ด้วยโคลน เขามองดูห่างมาซึ่งยาวเฟื้ อยสวยงามมากถูกโคลนเปื้ อนเปรอะเกรงว่าจะทำให้เสีย
ราคา มีดตัดหางม้าเสียสั้นแล้วจูงไปขายที่ตลาด ก็ร้องขายม้าไปเรื่อยว่า“ ม้าสวยงามสง่าหาตัวจับ
ได้ยากใครอยากได้จะขายให้ในราคา 1,000 บาท” ราคานี้เขามิได้บอกผ่านหากแต่เป็นราคาที่เขา
ตั้งไว้อย่างเหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่แพงเกินไปและไม่ถูกเกินไปในความคิดของเขา เดินไปทุกตัว
ทุกซอยแต่ก็ไม่มีใครสู้ราคาแต่ละคนขอต่อราคาเหลือแค่ 500 บาทเขาไม่ขายต้องการขายใน
ราคา 1,000 บาทเท่านั้นต่ำกว่านี้ไม่ขายจึงต้องเดินขายต่อไปอีก ปรากฏว่าไม่มีใครยอมซื้อม้าเขา
เลย เขาเริ่มวิตกกังวลว่าจะขายม้าไม่ได้ พอเดินไปอีกหน่อยพบชายแก่คนหนึ่ง ชายแกงมองม้า
เขาแล้วก็ขอซื้อทันทีแต่ขอซื้อในราคา 500 บาทพร้อมกับควักเงินให้ด้วย เขาจำเป็นต้องรีบขาย
ให้ชายแก่ขืนชักช้าอยู่อาจจะขายไม่ได้แล้วครั้นขายมาให้ชายแก่ไปแล้วเขาก็นึกสงสัยว่าชายแก่
จะนำม้าไปขายต่อได้อย่างไรในเมื่อตนเดินขายมาแล้วไม่มีใครซื้อจึงเดินตามไปข้างหลังห่างๆ
ฝ่ายชายแก่จูงม้าร้องขายในตลาดนั้นนั่นแหละ “ม้าดีมีค่าเอามาขายจ้าม้าดีมีค่าเอามาขายจ้า” ที่
จริงม้านี้เป็นม้าสวยงามมีสง่าแต่เจ้าของดูแลไม่เป็นไปตัดหางมันออกเสีย แต่ก็คงความสง่าเอาไว้
เพราะหุ่นดีร่างกายกำยำใหญ่โตและขนสวย ที่สำคัญก็คือมันกำลังมีท้องได้สัก 5-6 เดือนแล้วละ
ผู้ที่ซื้อไว้ก็จะได้พันธุ์มาที่สวยงามหรือแม่แต่แถมลูกให้ด้วย ผมขายถูกๆครับแค่ 1,000 บาท
เท่านั้นเอง ชายแก่ร้องขายอธิบายสินค้าอย่างละเอียดจนกระทั่งพ่อค้าคนหนึ่งรีบรับซื้อไว้ทันที
โดยมิได้ต่อราคาแม้แต่น้ อย เป็นอันว่าด้วยวิธีการขายอัญชันฉลาดของชายแก่ผู้รู้จักสินค้าดูสินค้า
เป็ นก็ทำให้ได้กำไรอย่างงามๆส่วนชายคนนั้นก็เดินตามหลังไปเพื่ อดูวิธีการขายของชายแก่เห็น
ชายแก่ขายได้กำไรมากถึงครึ่งต่อครึ่งก็รู้สึกเสียใจเป็ นหนักหนาจึงจดจำกลเม็ดของชายแก่ไว้เป็ น
บทเรียนแล้วกลับบ้านไป อยู่ต่อมาได้ซัก 2 เดือนกว่าก็มีผู้มาขอลูกสาวของชายคนนั้นชายคนนั้น
บอกกับภรรยาว่า“ ฉันจะคุยกับเขาเองเพราะฉันรู้ดีว่าจะพูดอย่างไรจึงจะได้ค่าสินสอดทองหมั้น
สูงขึ้น” ภรรยาทัดท้านว่า“ เรื่องอย่างนี้เขาไม่ให้ผู้ชายพูดหรอกเขาให้ผู้หญิงจัดการทั้งนั้นแหละ
ที่ไหนที่ไหนเขาก็ให้แม่เป็นคนเจรจา ชายคนนั้นกระซิบข้างหูภรรยาว่า“ เชื่อสิฉันนี่แหละจะเป็น
ผู้นำโชคลาภมาสู่ครอบครัวของเราเพราะเมื่อตอนที่ฉันจูงม้ามาขายฉันได้จดจำกลเม็ดกันค้าขาย
ที่ทำให้ได้กำไรงามจากชายแก่ผู้เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง เดี๋ยวเธอคอยฟังฉันฉันจะเจรจากับเขาชนิด
ที่เรียกว่าเขาคิดไม่ถึงเลยทีเดียว” “ แต่ว่ามันไม่ใช่หน้ าที่ของแกนะเรื่องพรรค์นี้มันเป็นหน้ าที่
ของฉันโดยตรง”ภรรยาคัดค้านตัวเขา “ทำไมจะไม่ใช่ล่ะฉันก็มีสิทธิ์จะพูดเหมือนกัน”เขายืนยัน
ไม่ลดละทั้งสองเถียงกันไปเถียงกันมาอยู่ในห้อง แรกๆก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแต่พอตกลงกัน
ไม่ได้เสียงจึงเริ่มดังขึ้นจนได้ยินถึงเฒ่าแก่ที่มาสู่ขอ แล้วชายคนนั้นก็ก้าวเท้าออกมาจากห้อง
พร้อมกับเอื้อนเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า“ เป็นการถูกต้องแล้วก็คุณมาขอมาทาบทามลูกสาวของฉัน
เพราะเดี๋ยวนี้ลูกสาวของฉันกำลังมีท้องได้ 5-6 เดือนแล้วฉันเลี้ยงดูปกครองดูแลอย่างเรียบร้อย
มิได้รักชอบพอกับใครเลย” เฒ่าแก่ผู้มาสู่ขอได้ยินแล้วก็เบะปาก แสดงอาการรังเกียจและรู้สึกผิด
หวังอย่างรุนแรงจนพูดอะไรไม่ออกรีบก้าวเท้าลงจากเรือนไปโดยไม่ลามไม่ไหว้ และไม่หันกลับ
มามองแม้แต่นิดเดียวรีบเดินจ้ำอ้าวไป ให้ผลบริเวณบ้านนั้นโดยเร็วเมื่อพ้นเขตบ้านแล้วยังเคาะ
ฝุ่นธุลีดินที่ติดมากับรองเท้าออกเสียด้วยเพราะ ไม่อยากให้เสนียดจัญไรติดไปถึงบ้านตน

สรุป

นิทานในแต่ละพื้นที่ย่อมมีเอกลักษณ์ของมันขึ้นอยู่กับ
ความเชื่อ สภาพแวดล้อม สังคม และ อื่นๆ ดังการอ่านนิทานแต่ละ
เรื่องจะให้อัถรสในการอ่านต่างกันไปขึ้นอยู่กับเรื่องต่างๆ เช่นคน
เขียน ประเภทนิทาน ความเก่าแก่ของนิทาน เป็นต้น เราจึงอยากจะ
สนับสนุนทุกท่านที่ได้รับชมนิทานที่พวกเรายกมานี้และมีความสุขกับ
มัน และจงรักษาวัฒนธรรมนี้สืบต่อไป

ผู้จัดทำ

เด็กชายวีรากร มิ่งเมือง โรงเรียนสภาราชินี จ.ตรัง
เด็กชายณัฐชนน เพรชแก้ว โรงเรียนสภาราชินี จ.ตรัง

เด็กหญิงชนาภา ทองขำดี โรงเรียนสภาราชินี จ.ตรัง
เด็กหญิงพัชรธิดา รักแก้ว โรงเรียนสภาราชินี จ.ตรัง

เด็กหญิงสายน้ำ ชุติภาณุ โรงเรียนสภาราชินี จ.ตรัง

ขอบคุณ


Click to View FlipBook Version