เรื่อง ขัตติยพันธกรณี
บทพระราชนิพนธ์ กับ บทพระนิพนธ์
รายงาน
เรื่อง ขัตติยพันธกรณี
จัดทำโดย
นางสาว จีรภัทร์ สะอาดดี เลขที่5
นางสาว ชุติมา อรุณศรี เลขที่8
นางสาว ทิสานาฏ ปึงตระกูล เลขที่11
นางสาว ธมนวรรณ น้อยแก้ว เลขที่13
นางสาว ธัญวลัย จันทภา เลขที่15
นางสาว น้ำมนต์ จันทเสน เลขที่17
นางสาว ปภัสรา จิตหงส์ทอง เลขที่ 18
นางสาว ภาณุมาส สาระยิง เลขที่ 25
นางสาว ภารดี สมุทรดนตรี เลขที่26
นางสาว วิรัญชนา นาคประเสริฐกุล เลขที่29
นาสาว ภัทรสุดา เกตุแก้ว เลขที่ 33
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
เสนอ
ครู ชมัยพร แก้วปานกัน
วารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน 5 รหัสวิชา ท33101
ภาคเรื่องที่ 1 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี
ก
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย ในระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเรื่องขัตติย
พันธกรณี ทั้งนี้ในรายงานฉบับนี้ประกอบไปด้วย ประวัติผู้แต่ง
ผลงาน ลักษณะคำประพันธ์ การวิเคราะห์เนื้อหาคุณค่าทาง
วรรณคดี
ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำรายงานเล่มฉบับนี้
จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้คนที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์
วรรณคดีไทย
คณะผู้จัดทำ
วันที่ 1 สิงหาคม 2564
สารบัญ ข
หน้า
ก
เรื่อง ข
1
คำนำ 2
3-4
สารบัญ 1-28
ความเป็นมา 29
ประวัติผู้แต่ง
ลักษณะคำประพันธ์
เรื่องย่อและสรุปขัตติยพันธกรณี
บรรณานุกรม
1
ความเป็นมา
หลังจากเสด็จพระราชดำเนินไปตรวจป้อมที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า และ
พระราชทานเงินส่วนพระองค์ในการสร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าให้
สำเร็จอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งติดตั้งอาวุธปืนใหญ่ที่ทันสมัย เพื่อ
ป้องกันประเทศจากการรุกรานของปัจจามิตร หลังจากการเสด็จ
พระราชดำเนินไม่ถึง ๔ เดือน ป้อมพระจุลจอมเกล้าและศัสตราวุธ
จากเงินพระราชทานในครั้งนั้นก็ได้ใช้ในการต่อสู้กับเรือรบของ
ฝรั่งเศสในวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญที่สั่นคลอนเอกราชและอธิปไตย
ของชาติวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ นอกจากจะก่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงหลายประการในประเทศในเวลาต่อมาแล้ว ยังเป็นที่มา
ของบทกวีนิพนธ์เรื่องขัตติยพันธกรณีด้วย
2
ประวัติผู้แต่ง
พระราชนิพนธ์โคลงและฉันท์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวและพระราชนิพนธ์ฉันถวายตอบของสมเด็จพระเจ้าบรม
วงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นบทกวีที่ไม่มีชื่อ
เนื่องจากกวีทั้งสองพระองค์มิได้ตั้งใจจะแต่งขึ้นเพื่อที่จะเผยแพร่
ให้อ่านกันทั่วไป กวีทั้งสองบทนับได้ว่าเป็นวรรณคดีที่มีคุณค่าสูง
และเป็นที่ประทับใจผู้ที่ได้อ่านได้ฟังเป็นอย่างยิ่ง คณะกรรมการ
จัดทำหนังสือเรียนภาษาไทยชุดวรรณรักษ์วิจารณ์ตามหลักสูตร
มัธยมศึกษาตอนปลายพุทธศักราช ๒๕๓๓ จึงได้คัดเลือกมาให้
นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ศึกษา พร้อมทั้งได้ตั้งชื่อ
บทกวีนิพนธ์นี้ว่า ขัตติยพัธกรณี
ในบทพระราชนิพนธ์และพระนิพนธ์ส่วนที่แต่งเป็นคำฉันท์ ทั้ง
สองพระองค์ทรงเลือกใช้อินทรวิเชียรฉันท์ โดยมิได้ทรง
เคร่งครัดเรื่องการใช้คำคลุ-ลหุ ให้ตรงตามตำแหน่งวางไว้ใน
คณะฉันท์ แต่จงใช้การออกเสียงหนักเบาตามธรรมชาติของภาษา
พูดภาษาไทยเช่นเดียวกับกวีโบราณ
3
ลักษณะคำประพันธ์
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
พระราชนิพนธ์เป็นคำประพันธ์ประเภท
๑.โคลงสี่สุภาพ ๗ บท
๒.อิทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ จำนวน ๔ บท
พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุ
ภาพทรงพระนิพนธ์เป็นคำประพันธ์ประเภท
๑.อินทรวิเชียนฉันท์ ๑๑ จำนวน ๒๖ บท
ขัตติยพันธกรณีมีการใช้ฉันทลักษณ์ที่หลากหลายรูปแบบ เช่น บท
พระราชนิพนธ์ที่ทรงใช้โคลงสี่สุภาพนำและตามด้วยอินทรวิเชียร
ฉันท์อีกทั้งมีการเล่นสัมผัสนอก-ใน รวมถึงการเล่นสัมผัสสระและ
อักษร อีกทั้งยังมีการเล่นคำซ้ำ เหตุผลที่ใช้โคลงสี่สุภาพและ
อินทรวิเชียรฉันท์ เพราะเวลาอ่านทำให้รู้สึกว่าคำสละสลวย การ
สัมผัสคำที่มีลูกเล่นเหมาะกับพวกที่จะบรรยายอารมณ์หรือพรรณา
4
โคลงสี่สุภาพ
อินทรวิเชียรฉันท์
5
·เรื่องย่อและสรุปขัตติยพันธกรณี✨
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง
ขัตติยพันธกรณี ด้วยโคลงสี่สุภาพจำนวน ๗ บทด้วยกัน โดย
บรรยายความกังวลใจ ที่ทรงประชวรอย่างหนักเป็นเวลานาน
ด้วยโรคฝีสามยอด และไข้ส่า ทำให้เป็นที่หนักใจของผู้ที่ดูแลรักษา
อีกทั้งยังบรรยายถึงความเจ็บปวดพระวรกายจากพระอาการ
ประชวร จึงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จสวรรคตแต่พระองค์ไม่
สามารถทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากเป็นกษัตริย์ที่มีภาระหน้าที่อันยิ่ง
ใหญ่ คือการปกป้องรักษาบ้านเมืองจากประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง
หลังจากนั้น รัชกาลที่๕ ทรงบรรยายความรู้สึกด้วยอินทรวิเชียร
ฉันท์ โดยบรรยายถึงความรู้สึกเบื่อหน่าย หมดกำลังพระทัย
เนื่องจากพระอาการประชวรที่ยาวนาน และยังมีความเจ็บทางใจที่
เกิดจากการต้องป้องกันรักษาบ้านเมืองเอาไว้ อีกทั้งยังมีความ
กังวลใหญ่หลวงในพระทัย และทรงหวั่นเกรงว่าจะทรงกลายเป็น
พระมหากษัตริย์ที่ราษฎรจะกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุทำให้เสียบ้านเสีย
เมืองแก่ต่างชาติเช่นเดียวกับสมเด็จพระมหินทราธิราช และสมเด็จ
พระเจ้าเอกทัศ (คำประพันธ์ใช่ว่า “ทวิราช” แปลว่า กษัตริย์
สองพระองค์) ในช่วงที่เสียกรุงศรีอยุธยาทั้ง ๒ ครั้ง รัชกาลที่๕
ไม่ต้องการจะเป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ทำให้เราต้องสูญเสีย
เอกราชไป
6
ในส่วนของพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
ดำรงราชานุภาพ แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทอินทรวิเชียรฉันท์
โดยแต่งเพื่อถวายกำลังพระทัยรัชกาลที่๕ และถวายข้อคิดให้
ตระหนักถึงสัจธรรม โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
ดำรงราชานุภาพเปรียบประเทศไทยเป็นเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง อันมี
รัชกาลที่๕ เป็นกัปตัน ซึ่งเป็นผู้ที่เป็นใหญ่ในเรือ มีอำนาจสั่งลูก
เรือ ซึ่งหมายถึงชาวสยาม โดยรัชกาลที่๕ ในฐานกัปตันมีหน้าที่
นำพาลูกเรือให้รอดพ้นจากพายุคลื่นลมมรสุมต่าง ๆ
ส่วนสัจธรรมที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชา
นุภาพทรงกล่าวถึงคือเรื่องของการทำงานทุกอย่างย่อมมีปัญหา
และอุปสรรคเกิดขึ้นทั้งนั้น อีกทั้งยังทรงอาสาที่จะถวายชีวิตรับใช้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรงกับสุภาษิตโบราณที่
ว่า “อาสาเจ้าจนตัวตาย” นอกจากนั้น ยังได้ถวายพระพรให้
รัชกาลที่๕ ทรงฟื้นจากอาการประชวรโดยเร็ว
7
ขัตติยพันธกรณี
พระราชนิพนธ์
เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย
คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง
ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง
ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม
เป็นฝีสามยอดแล้ว ยังราย ส่านอ
ปวดเจ็บใครจักหมาย เชื่อได้
ใช่เป็นแต่ส่วนกาย เศียรกลัด กลุ้มแฮ
ใครต่อเป็นจึ่งผู้ นั่นนั้นเห็นจริง
ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทา อยู่เฮย
จึงบอาจลีลา คล่องได้
เชิญผู้ที่เมตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ
ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอัญขยม
ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ
ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง
โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา
ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี
เป็นเด็กมีสุขคล้าย ดีรฉาน
รู้สุขรู้ทุกข์หาญ ขลาดด้วย
ละอย่างละอย่างพาล หย่อนเพราะ เผลอแฮ
คล้ายกับผู้จวนม้วย ชีพสิ้นสติสูญ
8
ฉันไปปะเด็กห้า หกคน
โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม
ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง
ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ
กล้วยเผาเหลืิองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา
แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้ำ
นานวันยิ่งเครอะคระ กลืนยาก
ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ แดกสิ้นสุดใบ
เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย
ส่วนจิตบมีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง
แม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึง
ตริแต่จะถูกรึง อุระรัดและอัตรา
กลัวเป็นทวิราช บตริป้องอยุธยา
เสียเมืองจึงนินทา บละเว้น ฤ ว่างวาย
คิดใดจะเกี่ยงแก้ ก็บพบซึ่งเงื่อนสาย
สบหน้ามนุษย์อาย จึงจะอุดแลเลยสูญ
9
พระนิพนธ์
ขอเดชะเบื้องบาท วรราชะปกศรี
โรตม์ข้าผู้มั่นมี มานะตั้งกตัญญู
ได้รับพระราชทาน อ่านราชนิพันธ์ดู
ทั้งโคลงและฉันท์ตู ข้าจึงตริดำริตาม
อันพระประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม
เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปมา
ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา
เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย
ทุกหน้าทุกตาดู บพบผู้จะพึงสบาย
ปรับทุกข์ทุรนทุราย กันมิเว้นทิวาวัน
ดุจเหล่าข้าพละนา วะเหว่ว้ากะปิตัน
นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง
นายกลประจำจักร จะใช้หนักก็นึกแหนง
จะรอก็ระแวง จะไม่ทันธุระการ
อึดอัดทุกหน้าที่ ทุกทวีทุกวันวาร
เหตุห่างบดียาน อันเคยไว้น้ำใจชน
ถ้าจะว่าบรรดากิจ ก็ไม่ผิด ณ นิยม
เรือแล่นทะเลลม ลมะเปรียบต่อก็พอกัน
ธรรมดามหาสมุทร มีคราวหยุดพายุผัน
มีคราวสลาตัน ตั้งระลอกกระฉอกฉาน
10
ผิวพอกำลังเรือ ก็แล่นรอดไม่ร้าวราน
หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลำไป
ชาวเรือก็ยาอมรู้ ฉนี้อยู่ทุกจิตต์ใจ
แต่ลอยอยู่ตราบใด ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม
แก้รอดตลอดฝั่ง จะรอดทั้งจะชื่นชม
เหลือแก้ก็จำจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม
ผิวทอดธุระนิ่ง บ วุ่นวิ่งเยียวยาทำ
ที่สุดก็สูญลำ เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว
ผิดกันแต่ถ้าแก้ ให้เต็มแย่จึงจมไป
ใครห่อนประมาทใจ ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน
เสียทีก็มีชื่อ ด้เลื่องลือสรรเสริญ
สงสารว่ากรรมเกิน กำลังดอกจึงจมสูญ
นี้ในน้ำใจข้า อุปมาบังคมทูล
ทุกวันนี้อาดูร แต่ที่พระประชวรนาน
เปรียบตัวเหมือนอย่างม้า นี้เป็นพาหนะยาน
ผูกเครื่องบังเหียนอาน ประจำหน้าพลับพลาชัย
คอยพระประทับอาสน์ กระหยับบาทจะพาไคล
ตามแต่พระทัยไท ธ จะชักไปซ้ายขวา
ไกลใกล้บได้เลือก จะกระเดือกเต็มประดา
ตราบเท่าจะถึงวา ระชีวิตมลายปราณ
ขอตายให้ตาหลับ ด้วยชื่อนับว่าชายชาญ
เกิดมาประสบภาร ธุระได้บำเพ็ญทำ
ขอจงวราพาธ 11
พระจิตต์พระวรกาย บรมนาถเร่งเคลื่อนคลาย
จะผ่องพ้นที่หม่นหมอง
ขอจงสำเร็จรา ชะประสงค์ที่ทรงปอง
ปกข้าฝ่าละออง พระบาทให้สามัคคี
จะวิบัติพระขันตี
ขอเหตุที่ขุ่นขัด จะลืมเลิกละลายสูญ
จงคลายเหมือนหลายปี สถาวรพูน
สยามรัฐพิพัฒน์ผลฯ
ขอจงพระชนมายุ
เพิ่มเกียรติอนุกูล
วิเคราะห์บทประพันธ์
12
ขัตติยพันธกรณี
พระราชนิพนธ์
เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย
คิดใครลาลาญหัก ปลดเปลื้อง
ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง
ตูจักสู่พบเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์
เอกโททำให้เป็นภาษาที่ลงตัวและไพเราะ ใช้คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : มีสัมผัสนอก คือ สัมผัสบังคับ บังคับสระบังคับอักษรหรือเรียก
ง่ายๆว่าบังคับตามฉันทลักษณ์ เห็นได้จากคำว่า รักษ์-หัก-จัก เปลื้อง-เบื้อง สัมผัสใน คือ
สัมผัสที่ไม่บังคับสระหรืออักษณจะสัมผัสตรงไหนก็ได้เช่นตรงคำว่า คิด-ใคร่ หน้า-นั้น ตู-
สู่ จัก-พลัน ลา-ลาญ มีโวหารภาพพจน์ แสดงสื่อถึงความการตายท้อจากอาการป่วยของ
ตนเอง มีการใช้หลากคำเหฌนได้จาก บริรักษ์มีความหมายว่าดูแลรักษา ลาญมีความหมาย
ว่าทำลายแตก เขษมที่แปลว่าความสบายใจ นามนัยเห็นได้จากคำว่า ตู มีการเล่นคำเห็นได้
จาก พลัน-พลันที่ซ้ำกันในบทแต่ความหมายที่สื่อถึงต่างกัน เป็นจิตภาะด้านภาพ สัลลาปังค
พิสัยเห็นได้จากวรรคที่ว่า "ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง"
วิเคราะห์ด้านสังคม : ชีวิตคนเรามีความเจ็บปวดทรมานทำให้รู้สึกว่าโลกไม่น่าอยู่ ความ
เหนื่อยจากปัญหาตัวเอง, ปัญหาบ้านเมือง เลยจะหนีปัญหาโดยการตายไปดีกว่า
และหวังว่าจะไปเกิดโลกใหม่ที่ดี
เป็นฝีสามยอดแล้ว ยังราย ส่านอ
ปวดเจ็บใครจักหมาย ช่วยได้
ใช่เป็นแต่ส่วนกลาย เศียรกลัด กลุ้มแฮ
ใครต่อเป็นจึ่งผู้ นั่นนั้นเห็นจริง
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์
เอกโททำให้เป็นภาษาที่ลงตัวและไพเราะ
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นโวหารภาพพจน์ที่บรรยายถึงความเจ็บปวดจากโรคร้าย สัมผัส
นอกเห็นได้จาก ราย-หมาย-กาย มีสัมผัสในเห็นได้จาก สาม-ราย เจ็บ-จัก กาย-กลัด
เป็น-เห็น มีการเล่นคำ เป็น-เป็นคำที่ซ้ำกันแต่สื่อออกมาคนละความหมาย เป็นจิตภาพด้าน
ภาพเห็นได้จาก เป็นฝีสามยอดแล้ว สัลลาปังคพิสัยเห็นได้จาก " ใช่เป็นแต่ส่วนกลาย เศียร
กลัด กลุ้มแฮ"
วิเคราะห์ด้านสังคม : เป็นโรคที่ไม่สามารถมีใครรับรู้ได้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนไม่มีใครช่วยได้
ไม่มีใครช่วยทั้งอาการป่วยได้ เครียดจนปวดหัว ไปทั้งตัว
13
ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทาอยู่เฮย
จึง บ อาจลีลา คล่องได้
เชิญผู้ที่เมตตา แก้สัตว์ ปวงแฮ
ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอัญขยม
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์
เอกโททำให้เป็นภาษาที่ลงตัวและไพเราะ
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นโวหารภาพพจน์ มีอุปลักษณ์เห็นได้จากวรรค "ตะปูดอกใหญ่
ตรึ้ง บาทาอยู่เฮย" สัมผัสนอกเห็นได้จาก ทา-ลา-ตา ได้-ให้ มีสัมผัสในเห็นได้จาก บา-
ทา ลี-ลา มีหลากคำเห็นได้จาก อัญขยมหมายความว่าข้าพเจ้าหรือข้า เป็นจิตภาะด้าน
อารมณ์ สัญลักษณ์เห็นได้จาก ตะปูดอกใหญ่แทนถึงเรื่องทุกข์ใจของผู้แต่ง
วิเคราะห์ด้านสังคม : เปรียบตะปูเหมือนภาระหน้าที่ที่ตำอยู่ที่เท้าของท่าน เดินไปไหนก็
ลำบาก ปัญหาบ้านเมือง ปัญหาสุขภาพที่พร้อมใจกันมาทิ่มแทงที่เท้าไม่ให้เดินหน้าไปแก้
ปัญหาต่อได้ ใครใจดี หรือมีความสามารถจะมาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ก้ยินดี
ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ
ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง
โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา
ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์
เอกโททำให้เป็นภาษาที่ลงตัวและไพเราะ
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นเทศนาโวหารสอนถึงชีวิตคนเราจากวรรคที่ว่า " ชีวิตมนุษย์นี้
เปลี่ยนแปลง จริงนอ" และวักที่ว่า "ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี" สัมผัสนอกเหฌนได้จาก
แปลง-แพลง-แสดง ครั้ง-ทั้ง สัมผัสในเหฌนได้จาก เปลี่ยน-แปลง ทุกข์-สุข พลิก-
แพลง ที-ทั้ง อุปมานิทัศน์เห็นได้จากวักที่ว่า "ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี"
วิเคราะห์ด้านสังคม : ชีวิตของคนจะเปลี่ยนแปลงเสมอ มีทั้งความสุขและไม่มีความสุขสลับ
กันไป พื้นฐานของการใช้ชีวิต อย่างที่คนโบราณบอกไว้ว่า ชั่วเจ็ดครั้งก็ดีเจ็ดครั้ง ทำให้
เห็นความเชื่อสมัยก่อน
14
เป็นเด็กมีสุขคล้าย ดีรฉาน
รู้สุกรู้ทุกข์หาญ ขลาดด้วย
ละอย่างละอย่างพาล หย่อนเพราะ เผลอแฮ
คล้ายกับผู้จวนม้วย ชีพสิ้นสติสูญ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์เอกโท
ทำให้เป็นภาษาที่ลงตัวและไพเราะ
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นโวหารภาพพจน์มีอุปมาเสริมเห็นได้จากวรรคที่ว่า "เป็นเด็กมีสุขคล้าย
ดีรฉาน" และ " คล้ายกับผู้จวนม้วย ชีพสิ้นสติสูญ" สัมผัสนอกเห็นได้จาก ฉาน-หาญ-พาล ด้วย-
ม้วย สัมผัสในเห็นได้จาก หาญ-ขลาด จวน-ม้วย สิ้น-สติ สิ้น-สูญ มีการใช้คำซ้ำจากคำว่า ละ
อย่าง-ละอย่าง มีหลากคำ ดีรฉานที่มีความหมายเดียวกับคำว่าเดรฉานและคำว่าม้วยที่มึความ
หมายเดียวกับคำว่าตาย
วิเคราะห์ด้านสังคม : การใช้ชีวิตของเด็กก็คล้ายๆ กับพวกสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นใช้ชีวิตไปวันๆ
แบบไม่ต้องมารับรู้ปัญหาต่างๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างไม่รู้จะตายไปตอนไหน
ฉันไปปะเด็กห้า หกคน
โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม
ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง
ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์เอกโท
ทำให้เป็นภาษาที่ลงตัวและไพเราะ ใช้คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นโวหารภาพพจน์และจิตภาพด้านอารมณ์ สัมผัสนอกเห็นได้จาก คน-
ยล-คน เคลิ้ม-เริ้ม สัมผัสในเห็นได้จาก โกน-เกศ เคลิบ-เคลิ้ม ริก-เร้า เริ้ม-ริก มีหลากคำ เกศ
มีความหมายตรงเดียวกับคำว่าเกศา และคำว่าเริ้มมีความหมายเดียวกับคำว่าเริ่ม มีนาฏการแสดง
ถึงการเคลื่อนที่จากคำว่า ไป จิตภาพด้านภาพเห็นได้จาก โกนเกศนุ่งขาวยล สัลลาปังคพิสัยเห็นได้
จากวรรคที่ว่า "ริกเร้าเหงาใจ" นามนัยเห็นได้จาก ฉัน
วิเคราะห์ด้านสังคม : ด้านความคิด ความตาย
ตอนที่เจอเด็กๆ พวกนั้น เขาโกนผม ใส่เสื้อผ้านุ่งขาวห่มขาว
เป็นคนที่อัญเชิญเครื่องต่างๆ ไปที่หอศพ พอเจอแบบนั้นทำให้นึกถึงความตาย ถ้าตายไปแล้วจะทำ
ยังไง บ้านเมืองจะเป็นยังไง
15
กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา
แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้ำ
นานวันยิ่งเครอะคระ กลืนยาก
ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ แดกสิ้นสุดใบ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์เอกโททำให้
เป็นภาษาที่ลงตัวและไพเราะ
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นโวหารภาพพจน์ มีอุปลักษณ์เห็นได้จากวรรคที่ว่า " กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ
เกินพระ ลักษณ์นา" สัมผัสนอกเห็นได้จาก พระ-จะ-คระ กล้ำ-จ้ำ สัมผัสในเห็นได้จาก แก่-ก้ำ ออก-
อร่อย เครอะ-คระ จิ้ม-จ้ำ สิ้น-สุด มีหลากคำ ใคร่มีความหมายเดียวกับคำว่าหลง แดกมีความหมาย
เดียวกับคำว่ากิน จิตภาพด้านภาพเห็นได้จาก จิตภาพด้านสีเห็นได้จาก กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ อติพจน์
เห็นได้จากวรรคที่ว่า " กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา" ใช้การชื่อส่วนประกอบที่เด่นของสิ่ง
หนึ่งแทนสิ่งหนึ่ง การเล่นเสียงวรรณยุกต์เห็นได้จาก ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ เล่นเสียงวรรณยุกต์โท
วิเคราะห์ด้านสังคม : เปรียบกล้วยเผาเป็นสีผิวของคน หรือการใช้ชีวิต ตอนที่กล้วยสุกกำลังดีก็ดูน่ากิน
เหมือนตอนที่บ้านเมืองยังรุ่งเรืองไม่มีปัญหา ดูน่าอยู่ไปหมด แต่พอทิ้งไว้นานๆ กล้วยเผากลับแข็งจนจิ้ม
ไม่ทะลุ เหมือนกับการใช้ชีวิตแบบไม่มีความสุข เต็มไปด้วยความกังวลมากมายหลายอย่างจนบ้านเมือง
ล่มสลายพังไม่เป็นท่า
เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย
ส่วนจิต บ มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง
แม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึง
ตริแต่จะถูกรึง อุระรัดและอัตรา
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า เพชร
พระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความที่เป็นบทชมหรือ
บทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหารที่บรรยายสื่อถึงอารมณ์เบื่อหน่ายที่จะต้องรักษาตัวและ
ความกังวลใจ เป็นจิตภาพด้านอารมณ์ สัมผัสนอกเห็นได้จาก กาย-สบาย ยาก-บาก พึง-รึง สัมผัส
ในเห็นได้จาก นาน-นึก หน่าย-นิตย์ เรื่อง-รุง ตริ-แต่ มีคำไวพจน์ นิตย์มีความหมายว่าเสมอ ศิระี
ความหมายว่าหัว ตริมีความหมายว่าคิด รึงมีความหมายว่าร้อน มีหลากคำ คำว่าฤทัย คำว่าอุราและ
อุระมีความหมายเดียวกัน สัลลาปังคพิสัยเห็นได้จากทั้งบท อัพภาลเห็นได้จาก ระรัด คือคำซ้ำจากคำว่า
รัด
วิเคราะห์ด้านสังคม : ความกังวลนอกจากจะเหนื่อยกายแล้วยังเหนื่อยใจ คิดไม่ตกกับปัญหาเลยสักนิด
หยุดกังวลไม่ได้ และไม่รู้จะหายตอนไหน
16
กลัวเป็นทวิราช บ ตริป้องอยุธยา
เสียเมืองจึงนินทา บ ละเว้น ฤ วางวาย
คิดใดจะเกี่ยงแก้ก็ บ พบซึ่งเงื่อนสาย
สบหน้ามนุษย์อาย จึงจะอุดแลเลยสูญฯ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป
อินทรวิเชียร แปลว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่าง
เพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญ
นอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นโวหารภาพพจน์ที่บรรยายสื่อถึงอารมณ์กังวล
ใจกลุ้มใจ เป็นจิตภาพด้านอารมณ์ สัมผัสนอกเห็นได้จาก ยา-ทา สาย-อาย
สัมผัสในเห็นได้จาก ยุ-ยา วาง-วาย เกี่ยง-แก้ จึง-จะ แล-เละ มีคำ
ไวพจน์ ตริมัความหมายว่าคิด วางวายมีความหมายว่าสิ้นชีวิต สูญมีความ
หมายว่าสิ้น,หมด อธินามนัยเห็นได้จาก ทวิราชใช้แทนกษัตริย์ทั้ง2องค์
จิตภาพด้านภาพเห็นได้จาก "บ ตริป้องอยุธยา" อุปลักษณ์ เห็นได้จากเงื่อน
สาย ที่เปรียบปัญหาเป็นเชือก
วิเคราะห์ด้านสังคม : วิตกกังวลในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ภาระหน้าที่ของท่าน
เจอแต่ปัญหาที่ไม่สามารถปล่อยวางอยู่ คิดจะแก้ปัญหาแต่ก็มีเงื่อนงำเยอะไป
หมด กลัวว่าจะเจอปัญหาแบบคนอื่น กลัวจะแก้ปัญหาไม่ได้ ต่อให้คิดหนักแค่
ไหนก็ยังหาคำตอบไม่ได้
ไม่กล้าพบหน้าประชาชน
17
พระนิพนธ์
ขอเดชะเบื้องบาท วรราชะปกศี-
โรตม์ข้าผู้มั่นมี มะนะตั้งกตัญญู
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้
คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นโวหารภาพพจน์ สัมผัสนอกเห็นได้จาก บาท-ราช ศี-มี สัมผัส
ในเห็นได้จาก เบื้อง-บาท มั่น-มี ตั้ง-ตัญ มีหลากคำ บาทมีความหมายเดียวกับคำว่าเท้า ว
รมีความหมายว่าพรหรือของขวัญ ศิโรตม์มีความหมายเดียวกับคำว่าศีรษะ มะนะมีความหมาย
ว่าที่ปรึกษา นามนัยเห็นได้จาก ข้า
วิเคราห์ด้านสังคม : ด้านความเคารพและกตัญญู ในบทความกล่าวประมาณว่า
ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีใจกตัญญู
ได้รับพระราชทาน อ่านราชนิพันธ์ดู
ทั้งโคลงและฉันท์ตู ข้าจึงตริดำริตาม
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้
คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ทาน-ราช ดู-ตู สัมผัส
ในเห็นได้จาก รับ-ราช ราช-ทาน ตริ-ตาม อ่าน-ราช มีหลากคำจากคำว่า ตริที่มีความ
หมายตรงกับคำว่าคิด มีการซ้ำคำจากคำว่า ราช นามนัยเห็นได้จากคำว่า ข้า ตู
วิเคราะห์ด้านสังคม : ด้านหน้าที่ เพราะ ได้รับมอบหมายให้อ่านพระราชนิพนธ์ทั้งโคลงและ
ฉันท์
18
อันพระประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม
เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปมา
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้
คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ครั้ง-ทั้ง ยาม-ความ
สัมผัสในเห็นได้จาก พระ-ประ แท้-ทั้ง บาท-ความ มีหลากคำจากคำว่า ประชวรมีความ
หมายตรงกับคำว่าป่วยไผทมีความหมายตรงกับคำว่าประชาชาน สยามมีความหมายว่าประ
เมศไทย มีการซ้ำคำจากคำว่า พระ นามนัยเห็นได้จากคำว่า ข้า จิตภาพด้านอารมณ์
วิเคราะห์ด้านสังคม : ด้านการใช้ชีวิต, สุขภาพ, ความเจ็บป่วย
เหมือนการเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้เหล่าประชาชนรู้สึกเป็นห่วงและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา
เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้
คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ใกล้-ใช่ หนา-ยา
สัมผัสในเห็นได้จาก หนัก-หนา เลือด-เนื้อ ให้-ได้ ให้-หาย หาย-ถวาย มีหลากคำจาก
คำว่า ประสามีความหมายว่าวิสัยหรือนิสัย เจือมีความหมายตรงกับคำว่าปน อติพจน์เห็นได้
จาก "เลือดเนื้อผิเจือยา "
วิเคราะห์ด้านสังคม : ด้านการใช้ชีวิต, ช่วยเหลือกัน ตามคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นอาการป่วยก็รู้
ว่าหนักแค่ไหน ถ้าถวายเลือดเนื้อแล้วหาย ก็จะยอมถวายให้
19
ทุกหน้าทุกตาดู บ พบผู้จะพึงสบายใจ
ปรับทุกข์ทุรนทุราย กันมิเว้นทิวาวัน
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า
เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความ
ที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ดู-ผู้ บาย-ราย สัมผัส
ในเห็นได้จาก ทุก-ทุก ผู้-ผึง ทุกข์-ทุ รน-ราย เว้น-วา วา-วัน มีหลากคำจากคำว่า
ทุรนทุรายมีความหมายตรงกับคำว่ากระเสือกกระสน ทิวามีความหมายว่ากางวัน เว้นมีความ
หมายตรงกับคำว่างด มีการซ้ำคำจากคำว่า ทุก จิตภาพด้านภาพเห็นได้จาก " บ พบผู้จะพึง
สบายใจ"
วิเคราะห์สังคม : ด้านอารมณ์, สีหน้าท่าทาง เพราะทุกคนหน้าตาไม่สดใส ไม่เจอใครที่ทำสีหน้า
พอใจเลย
ได้แต่คุยปรับทุกข์กันไปมาไม่เว้นแต่ละวัน
ดุจเหล่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน
นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า
เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความ
ที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็ได้จาก พละ-วะ ตัน-งัน สัมผัส
ในเหฌนได้จาก วะ-กะ นาย-ท้าย งน-งัน ทิศ-ทาง คลาง-แคลง มีหลากคำจากคำว่า ฉงน
มีความหมายตรงกับคนว่าสงสัย ดุจมีความหมายตรงกับคำว่าเหมือน ทิศมีความหมายเดียว
กับคำว่าทาง มีอุปมาเห็นได้จากวรรคที่ว่า "ดุจเหล่าพละนา"
วิเคราะห์ด้านสังคม : การใช้ชีวิตในสังคมที่มีผู้นำ ผู้นำเปรียบเสมือน กัปตันเรือ ถ้าไม่มีกัปตัน
เรือ ลูกเรือจะอยู่ในเรือได้อย่างปลอดภัยได้ยังไง บุคคลท้ายเรือหลังเรือ เปรียบเสมือนผู้
ติดตาม ผู้คอยอยู่ข้างๆ ผู้นำ เมื่อไม่มีผู้นำหัวเรือท้ายเรือก็ไม่รู้จะไปทางไหนเหมือนกัน หรือไม่
ร้จะแก้ปัญหาได้ยังไง
20
นายกลประจำจักร จะใช้หนักก็นึกแหนง
จะรอก็ระแวง จะไม่ทันธุรการ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก จักร-หนัก แหนง-แวง
สัมผัสในเห็นได้จาก จำ-จักร หนัก-นึก นึก-แหนง รอ-ระ มีการซ้ำคำจากคำว่า จะ มีหลาก
คำจากคำว่า ระแวง แหนง
วิเคราะห์ด้านสังคม : ด้านการทำงาน นายกลประจำเรือ หรือเป็นมือซ้ายมือขวาของท่านไม่รู้
จะทำยังไง ใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะแก้ปัญหายังไง จะไปทางไหน ถ้าจะให้รอก็กลัวว่าจะ
ไม่ทัน กลัวปัญหาจะมีมามากขึ้นอีก
อึดอัดทุกหน้าที่ ทุกข์ทวีทุกวันวาร
เหตุห่าง บดียาน อันเคยไว้น้ำใจชน
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ที่-วี วาร-ยาน สัมผัส
ในเห็นได้จาก อึด-อัด ทุก-ที่ ทุกข์-ทุก วัน-วาร เหตุ-ห่าง มีหลากคำจากคำว่า ทวีมีความ
หมายตรงกับคำว่ามากขึ้น คำว่าวันและวารมีความหมาย มีการซ้ำคำจากคำว่าทุก
วิเคราะห์ด้านสังคม : ทุกคนอึดอัดกันหมด ปัญหาบ้านเมืองมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าขาดผู้นำ
ขาดคนแก้ปัญหาที่เคยไว้ใจ
21
ถ้าจะว่าบรรดากิจ ก็ไม่ผิด ณ นิยม
เรือแล่นทะเลลม ดุจเหล่าพละนา
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก กิจ-ผิด ยม-ลม สัมผัส
ในเห็นได้จาก แล่น-เล เล-ลม ทะ-จะ มีการซ้ำคำจากคำว่า จะ นาฏการเห็นได้จากคำว่า แล่น
แสดงถึงเรือที่กำลังเคลื่อนที่ มีหลากคำจากคำว่า กิจที่แปลว่าธุระ มีอุปมาเห็นได้จากวรรคที่ว่า
"ดุจเหล่าพละนา"
วิเคราะห์ด้านสังคม : เปรียบปัญหาบ้านเมือง และปัญหาสังคมของบ้านเมืองได้เหมือนคลื่น
บ้านเมืองเปรียบได้เหมือนเรือ เหมือนเรือที่กำลังแล่นไปเจอคลื่นพายุ
ธรรมดาเป็นมหาสมุทร มีคราวหยุดพายุผัน
มีคราวสลาตัน ตั้งระรอกกระฉอกฉัน
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก มุทร-หยุด พัน-ตัน
สัมผัสในเห็นได้จาก ดา-หา คราว-พา หยุด-ยุ พา-พัน ตัน-ตั้ง ระ-กระ รอก-ฉอก
ฉอก-ฉัน จิตภาพด้านภาพเห็นได้จาก " มีคราวหยุดพายุผัน" " ตั้งระรอกกระฉอกฉัน" มีหลาก
คำจากคำว่า สลาตันมีความหมายเดียวกับคำว่าลม นามนัยเห็นได้จากคำว่า ฉัน
วิเคราะห์ด้านสังคม : การทำงานต่าง ๆ ก็เหมือนกับการเดินเรือ โดยตามธรรมชาติแล้ว
มหาสมุทรมีทั้งความเงียบสงบ และมีพายุคลื่นสูง เปรียบได้กับปัญหาในการทำงานนของบ้าน
เมือง
ถึงครั้งที่ต้องเจอกับปัญหา ก็ต้องตั้งมือรับมันให้ดี
22
ผิวพอกำลังเรือ ก็แล่นรอดไม่ร้าวฉาน
หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลำไป
ชาวเรือก็ย่อมรู้ ฉะนี้อยู่ทุกจิตใจ
แต่ลอยอยู่ตราบใด ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม
แก้รอดตลอดฝั่ง จะรอดทั้งจะชื่นชม
เหลือแก้ก็จำจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร
แปลว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้
แต่งข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ฉาน-ดาล รู้-ยู่ ใจ-
ใด ฝั่ง-ทั้ง ชม-จม สัมผัสในเห็นได้จาก รอด-ร้าว ล่ม-ลำ เรือ-รู้ แก้-แรง ด้วย-ดม
แรง-ระ รอด-ตลอด ชื่น-ชม จำ-จม แก้-ก็ กฎ-กรรม มีนาฏการจากคำว่า แล่น ลอย
มีการซ้ำคำจากคำว่า จะ แก้ เรือ จิตภาพด้านภาพเห็นได้จาก "ก็แล่นรอดไม่ร้าวฉาน" "ต้อง
จำแก้ด้วยแรงระดม" อุปลักษณ์ เห็นได้จากการที่เขากล่าวได้ว่าประชาชานรับรู้และเข้าใจ
สถานการณ์กรมพระยาดำรงราชนุภาพต้องการเตือนใจว่ายังมีหนทางแก้ไขปัญหาและพร้อม
จะฝ่าฟันอุปสรรค นาฏการเห็นได้จาก แล่น มีการเล่นคำซ้ำจากคำว่า รอด สัญลักษณ์เห็น
ได้จากคำว่า เรือและชาวเรือซึ่งแทนความหมายว่าประเทศและประชาชน
วิเคราะห์ด้านสังคม : เรือที่กำลังแล่นไปก็เหมือนกับการทำงานที่ทำงานได้อย่างดีไม่มีปัญหา
อะไร แต่ถ้าเป็นกรรมที่ต้องเจอกับปัญหาก็อาจจะทำให้เรือล่ม พ่ายแพ้ หรือตายไปนั่นเอง
ประชาชนและทุกคนต่างรู้ดีว่าต้องมีบ้านเมืองจะมีปัญหา ไม่สงบสุข แต่ลงเรือลำเดียวกันก็
ใช้ความสามัคคีช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมืองนี้ให้ได้ ช่วยกันแก้ปัญหาบ้านเมือง และความ
วุ่นวายไปให้ถึงที่สุด ถ้ารอดพ้นผ่านมันมาได้ก็จะได้รับคำชื่นชม และก็รอดชีวิต
แต่ถ้าเรือล่ม เปรียบเสมือนปัญหาไม่หายไป ยังแย่ก็ถือซะว่าเป็นกรรม
23
ผิวทอดธุระนิ่ง บ วุ่นวิ่งเยียวยาทำ
ที่สุดก็สูญลำ เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ
เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มี
ลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความที่เป็นบทชมหรือบท
คร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก
นิ่ง-วิ่ง ทำ-ลำ สมผัสในเห็นได้จาก วุ่น-วิ่ง เยียว-ยา สุด-สูญ
หวาด-ไหว มีหลากคำจากคำว่า สูญมีความหมายเดียวกับคำว่าหมด
สิ้น ลำที่หมายถึงลำเรือ ไม่หวาดไหวหมายถึงการไม่หนีปัญหา มีนาฏ
การเห็นได้จากคำว่า วิ่ง
วิเคราะห์ด้านสังคม : ถ้ายังนิ่งเฉยกับปัญหาบ้านเมืองที่ไม่สงบสุขไม่ทำ
อะไรเลยแบบนี้ แน่นอนว่าที่สุดแล้วเรืออาจจะล่ม เปรียบกับปัญหาที่จะ
เกิดขึ้นมากกว่าเดิมจนทำให้แก้ไม่ไหวอีกแล้ว
24
ผิดกันแต่ถ้าแก้ ให้เต็มแย่จึงจมไป
ใครห่อนประมาทใจ ว่าขาดเขาและเมินเมา
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชม
หรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก แก้-แย่ ไป-ใจ
สัมผัสในเห็นได้จาก กัน-แก้ แต่-เต็ม จึง-จม แก้-แย่ ใคร-ใจ ขาด-เขา เมิน-เมา มีหลาก
คำจากคำว่า ห่อนมีความหมายตรงกับคำว่าเคย ประมาทมีความหมายเดียวกับคำว่าไม่ระวัง
วิเคราะห์ด้านสังคม : แต่ถ้าช่วยกันแก้ปัญหาบ้านเมืองที่กำลังแย่อย่างเต็มที่ทุกคนทุกวิถีทาง
แล้ว
ยังไงก็ไม่มีใครมาว่าเราหรือนินทาเราได้
เสียทีก็มีชื่อ ได้เลื่องลือสรรเสริญ
สงสารว่ากรรมเกิน กำลังดอกจึงจมสูญ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้
คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ชื่อ-ลือ เสริญ-เกิน
สัมผัสในเห็นได้จาก เลื่อง-ลือ สรร-เสริญ สง-สาร กรรม-เกิน จึง-จม มีหลากคำจาก
คำว่า สูญมีความหมายเดียวกับคำว่าหมดสิ้น สรรเสริญที่มีความหมายเดียวกับคำว่าเชิดชู
สัญลักษณ์เห็นได้จากคำว่า ชื่อซึ่งแทนความหมายว่ามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก
วิเคราะห์ด้านสังคม : ถึงว่าจะพลาดไปแม้จะตั้งใจทำให้บ้านเมืองดีขึ้น ก็ยังมีชื่อเสียงที่เลื่อง
ลือสรรเสริญอยู่ว่าได้ทำอย่างดีและเต็มที่แล้ว
แต่ปัญหาทั้งหมดมันเกิดขึ้นและแก้ไม่ได้มันเป็นเพราะกรรม
25
นี้ในน้ำใจข้า อุปมาบังคมทูล
ทุกวันนี้อาดูร แต่ที่พระประชวนนาน
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้
คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ข้า-มา ทูล-ดูร
สัมผัสในเห็นได้จาก ใน-น้ำ ใน-ใจ พระ-ประ มีหลากคำจากคำว่า อุปมามีความหมายเดียว
กับคำว่าเปรียบเทียบ ประชวนมีความหมายเดียวกับคำว่าป่วย อาดูรมีความหมายเดียวกับคำ
ว่าเดือดร้อน นามนัยเห็นได้จากคำว่า ข้า สัลลาปังคพิสัยเห็นได้จากวรรคที่ว่า " แต่ที่พระประ
ชวนนาน"
วิเคราะห์ด้านสังคม : ข้าในใจข้าพระพุทธเจ้า ที่เปรียบกับการบังคมทูล
ประชาชนรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก ที่ท่านป่วยนาน
เทียบตัวเหมือนอย่างม้า ที่เป็นพาหนยาน
ผูกเครื่องบังเหียนอาน ประจำหน้าพลับพาชัย
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ยาน-อาน สัมผัสใน
เห็นได้จาก เหมือน-ม้า พา-ยาน พลับ-พา บัง-พลับ มีนาฏการจากคำว่า ยาน มีอุปมา
จากคำวรรคที่ว่า "เทียบตัวเหมือนอย่างม้า" มีหลากคำจากคำว่า ชัยที่แปลว่าชนะ พาหนมี
ความหมายเดียวกับคำว่าพาหนะ
วิเคราะห์ด้านสังคม : ประชาชนเปรียบตัวเองเหมือนม้า ที่เป็นพาหนะของกษัตริย์
ผูกเครื่องนั่งม้าอย่างดี และให้กษัตริย์ได้นั่งไปที่หน้าทับเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมืองที่กำลังจะเกิด
ขึ้น หรือเกิดขึ้นอยู่แล้ว
26
คอยพระประทับอาสน์ กระหยับบาทจะพาไคล
ตามแต่พระทัยไท ธ จะชักไปว้ายขวา
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้คำ
ราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก อาสน์-บาท ไคล-ไท
สัมผัสในเห็นได้จาก พระ-ประ กระ-จะ บาท-พา ตาม-แต่ ทัย-ไท ว้าย-ขวา มีหลากคำ
จากคำว่า ไคลที่แปลว่าไป พระทัยที่แปลว่าใจ ประทับมที่แปลว่าอยู่ที่ กระหยับที่แปลว่าขยับ
นาฏการเห็นได้จากคำว่า ไคล
วิเคราะห์ด้านสังคม : เป็นที่ให้ท่านได้นั่งไปแก้ปัญหาบ้านเมืองทุกที่ไป
ขยับไปทุกที่ ไม่ว่าจะไปทางซ้าย ทางขวา ตามใจของท่าน
ไกลใกล้ บ ได้เลือก จะกระเดือกเต็มประดา
ตราบเท่าจะถึงวา- ระชีวิตมลายปราณ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก เลือก-เดือก สัมผัสใน
เห็นได้จาก ไกล-ใกล้ ไกล-ได้ กระ-ประ เดือก-ดา ลาย-ปราณ มีหลากคำจากคำว่า
ประดาที่แปลว่าทั้งหมด วาระที่แปลว่าครั้งหรือหน มลายที่แปลว่าตาย ปราณที่แปลว่าลม
หายใจ กระเดือกที่แปลว่ากลืนลำบาก
วิเคราะห์ด้านสังคม : เปรียบระยะทางบ้านเหมือนเป็นระยะทาง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ปัญหา
ใหญ่หรือเล็ก
ก็พร้อมจะแก้ปัญหาไปด้วยกันไม่เลือก ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็พร้อมจะสู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่
26
ขอตายให้ตาหลับ ด้วยชื่อนับว่าชายชาญ
เกิดมาประสบการ- ธุระได้บำเพ็ญทำ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก หลับ-นับ ชาญ-การ
สัมผัสในเห็นได้จาก ตาย-ตา ชื่อ-ชาย ชาย-ชาญ บำ-ทำ มีหลากคำจากคำว่า บำเพ็ญที่
แปลว่าปฏิบัติ อุปมาริทัศน์เห็นได้จาก "ด้วยชื่อนับว่าชายชาญ"
วิเคราะห์ด้านสังคม : ถึงจะสู้เพื่อบ้านเมืองมากแค่ไหนแล้วตายไปก็ขอตายให้ตาหลับแบบลูก
ผู้ชาย
เกิดมาทั้งที ขอทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ด้วยเดชะบุญญา- ภินิหาระแห่งคำ
สัตย์ข้าจงได้สัม- ฤทธิดังมโนหมาย
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้
คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ญา-หา สัมผัสในเห็น
ได้จาก ด้วย-เด กิ-นิ หา-แห่ง มีหลากคำจากทำว่า สัตย์ที่แปลว่าความจริง มโนที่แปลว่า
ใจ หมายที่แปลว่าสิ่งที่มุ่งหวัง นามนัยเห็นได้จากคำว่า ข้า กรุณารสเห็นได้จากวรรคที่ว่า
"ด้วยเดชะบุญญา- "
วิเคราะห์ด้านสังคม : ด้วยบุญที่ทำสะสมเพื่อบ้านเมือง เสียสละและซื่อสัตย์ต่อบ้านเมืองและ
เพื่อประชาชนมา ทำให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คิด
27
ขอจงวราพาธ บรมนาถเร่งเคลื่อนคลาย
พระจิตพระวรกาย จงผ่องพ้นที่หม่นหมอง
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า
เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความ
ที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้คำ
ราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก พาธ-นาก คลาย-กาย
สัมผัสในเห็นได้จาก เคลื่อน-คลาย จิต-จง หม่น-หมอง มีการซ้ำคพจากคำว่า พระ มีหลาก
คำจากคำว่า วรพาธที่แปลว่าอาการป่วย พระวรกายที่แปลว่าร่างกาย มีนาฏการจากคำว่า
เคลื่อน
วิเคราะห์ด้านสังคม : ถ้าท่านหายป่วย บ้านเมืองกลับมาสงบสุขอีกครั้ง จิตใจและสีหน้าของ
ท่านและประชาชนคงดีกว่านี้ จิตใจจะสงบลงตามสถานการณ์
ขอจงสำเร็จรา- ชะประสงค์ที่ทรงปอง
ปกข้าฝ่าละออง พระบาทให้สามัคคี
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า
เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความ
ที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้คำ
ราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ชะ-ประ ปอง-ออง
สัมผัสในเห็นได้จาก สำ-สงค์ ปอง-ปก ละ-พระ มีหลากคำจากคำว่า ปองที่แปลว่าปราถนา
ประสงค์ที่แปลว่าหวังไว้ นามนัยเห็นได้จาก ข้า
วิเคราะห์ด้านสังคม : ขอให้ท่านทำให้สังคมบ้านเมืองกลับมาเป็นเหมือนเดิมตามที่คิดไว้
พวกเราและประชาชนจะสามัคคีกันเพื่อความสงบสุขของเรา
28
ขอเหตุที่ขุ่นขัด จะวิบัติพระขันตี
จงคลายเหมือนหลายปี ละลืมเลิกละลายสูญ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้
คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก ขัด-บัติ ตี-ปี สัมผัส
ในเห็นได้จาก ขอ-ขุ่น -ขุ่น-ขัด จะ-พระ บัติ-ขัน คลาย-หลาย ลืม-เลิก ลืม-ลาย มีหลา
กำจากคำว่า วิบัติที่แปลว่าหายนะ คลายที่แปลว่าลดลง สูญที่แปลว่าสิ้น มีการเล่นเสียงสัมผัส
พยัญชนะเห็นได้จากวรรคที่ว่า "ละลืมเลิกละลายสูญ"
วิเคราะห์ด้านสังคม : อะไรที่ทำแล้วไม่สบายใจ ทำให้ขุ่นเคืองกัน ให้ทำให้หายเหมือนมันนาน
มาแล้วนานมาเป็นปี ให้ลืมให้หมด เพื่อปกป้องบ้านเมืองของเรา
ขอจงพระชนมา- ยุสถาวรพูน
เพิ่มเกียรติอนุกูล สยามรัฐพิพัฒน์ผลฯ
วิเคราะห์ด้านเนื้อหา : สัมผัสคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปล
ว่า เพชรพระอินทร์ ซึ่งมีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง
ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ใช้
คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับบุคคล
วิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ : เป็นภาพพจน์โวหาร สัมผัสนอกเห็นได้จาก พูน-กูล สัมผัสในเห็น
ได้จาก เกียรติ-กูล พ-พัฒน์ มีหลากคำจากคำว่า เกียรติที่แปลว่าชื่อเสียง พระชนมายุที่แปล
ว่าอายุไข สยามที่แปลว่าประเทศไทย รัฐที่แปลว่าชุมชนทางการเมือง พิพัฒน์พลที่แปลว่า
กำลังจะเจริญ อนุกูลที่แปลว่าเกื้อกูล
วิเคราะห์ด้านสังคม : ขอให้ท่านมีอายุยืน เพื่อช่วยและเพิ่มเกียรติ ความรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมือง
สยามของเรา
29
บรรณานุกรม
หนังสือทั่วไป
อดุลย์ บุสสา. ๒๕๕๑. หนังสือเรียนภาษาไทยวรรณคดีวิจักษ์ ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ ๖. พิมพ์ครั้งที่ ๑๓. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
สกสค.ลาดพร้าว
แหล่งข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
Jutalak Cherdharun. //(๒๕๖๔). // ขัตติยพันธกรณี ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ ๖.// สืบค้นเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม๒๕๖๔ / จาก
https://blog.startdee.com