สิง สิโต นอกคอก
นิกสันวิ่งไปตามถนนเขาจะเอาเเต่วิ่งไปข้างหน้าไม่ได้เเล้ว หากวิ่งต่อไปพวกนั้นคงตามทัน ชายหนุ่ม ร่างสูงกำ ยำ เลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนริมถนนซึ่งมีเเต่บ้านร้าง สภาพของบ้านถูกทิ้งร้าง เป็นเวลานานหลายปีมีหยากไย่กับฝุ่นเต็มไปหมด เขาเดินไปทางประตูหลังที่เปิดอ้าอยู่มีลมหนาวพัด โกรก นิกสันงับประตูให้ปิดลง เเต่ก็ทำ ให้ลมหนาวพัดเข้ามาไม่ต่างจากเดิม เขาไม่คิดจะขึ้นไปซ่อนบน ชั้นสองหรือใต้บันได เพราะมันไม่มีทางหนีเเละทำ ให้จนมุม เเต่พวกมันก็ไม่มีทางรู้ว่าเขาอยู่ในบ้าน หลังไหน บนถนนที่เต็มไปด้วยบ้านร้างสายนี้ นิกสันเฝ้ารอหลายๆวันจนกว่ามันจะเลิกค้นหาเเล้วค่อยออกไป หากออกไปก็คงถูกจับได้หรือหนาวตาย จนฟ้ามืด เขารู้สึกหิวจึงเดินไปที่ครัวเจออาหารกระป๋องถูกทิ้งไว้เเต่ไม่เจอที่เปิดกระป๋อง เหลือเเต่บิสกิต ห่อหนึ่งถูกหนูกินไปครึ่งหนึ่ง นิกสันกินอีกครึ่งด้วยความหิวโหย ชายหนุ่มมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นชั้น หนังสือที่วางนอนอยู่ นิกสันเดินไปดูหนังสือที่กองอยู่บนพื้นเพราะหล่นลงมาจากชั้นเขาตัดสินใจว่ามัน จะเป็นเชื้อเพลิงสำ หรับคืนนี้ เขาคิดพลางหยิบหนังสือเล่มบางที่สุดขึ้นมา ก่อนจะเผามันเขาลองพลิก อ่านหน้าเเรกเพื่อดูว่ามันไม่ใช่ของล้ำ ค่าอะไร
"นี่แน่ะ ยายตาขาว พวกเราจะช่วยทำ ให้ผมของเธอกลายเป็นสีขาวเหมือนตาไงล่ะ ดีไหม" เด็กผู้ชายสามสี่คนรุม ล้อมแซนดี้ พวกเทรย์เริ่มแกล้งเธอระหว่างที่เธอกำ ลังนั่งเขียนการบ้านอยู่ที่โต๊ะเรียน จนแซนดี้ต้องถอยมาที่มุมห้อง ดินสอกดสีชมพูยังคงติดมือมาด้วย เพื่อนพยายามห้ามให้เทรย์หยุดแกล้งแซนดี้แต่เทรย์ไม่สนใจ เด็กคนนั้นถอยออก ไปด้วยความกลัว แซนดี้มองหน้าเขารู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ ดวงตาของเธอสบดวงตาของเขาดวงตาทั้งสองคู่มีพื้นสีดำ วงตรงกลางเป็นสีขาว นั่นคือสาเหตุที่เทรย์เรียกพวกเธอว่า"ตาขาว" มนุษย์เผ่าตาขาวมีสถานะด้อยกว่าเผ่าตาดำ ที่มี อยู่มาก่อน คนตาขาวจะถูกกดขี่ โดนรังแก โดนริดรอนสิทธิ สำ หรับทุกคนบนโลกใบนี้สิ่งที่เป็นอยู่ คือเรื่องธรรมดา แซนดี้ไม่เคยเข้าใจว่าแบบนั้นมันยุติธรรมตรงไหน แต่ดูเหมือนมันเป็นธรรมชาติที่คนตาดำ จะต้องแข็งแกร่งกว่า เทรย์ เอาแปรงลบกระดานตบหน้าเธอ เด็กหญิงตัวน้อยไอไม่หยุดรู้สึกหวาดกลัว เธออยากให้ครูเข้ามาเสียทีไม่อยากทน ถูกกระทำ ไปจนกว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดอีกแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมองเทรย์ตัดสินใจลุกยืนขึ้น เทรย์ถามกลับ ด้วยน้ำ เสียง ยียวน "อะไร จะสู้หรือ หือ คนตาขาวไม่มีสิทธิ์สู้ "แซนดี้จ้องหน้าเทรย์ เธอรู้สึกเหมือนความกลัวถูกสูบหายไปในช่อง ท้อง ความโกรธรุ่นขึ้นมาแทน ในแต่ละวันเพื่อนๆของเธอถูกกลั่นแกล้ง เมื่อไหร่เรื่องพวกนี้มันจะสิ้นสุดลงสักที เธอ อยากให้พวกตาดำ หยุดทำ แบบนี้ เธอไม่ต้องได้สิทธิอะไรเท่ากับพวกนั้นก็ได้ขอแค่หยุดทำ ร้ายพวกเธอ ต้องทำ ให้ พวกนั้นกลัวและไม่กล้าทำ อีก พวกเราจะได้อยู่กันอย่างสงบ เด็กสาวคิด เธอสูดลมหายใจเงื้อมือขึ้นปลายดินสอ สีชมพูปักเข้าใต้ตาของเทรย์ห่างจากลูกตาไปเพียงเซนติเมตรเดียว เด็กชายร้องลั่น
ครูเปิดประเข้ามาในห้องอีกครั้ง “วันนี้ครูจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้พวกเธอฟัง” กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสิงโตตัวหนึ่งออกมาเดินเล่นที่ทุ่งหญ้า เฝ้ามองฝูงแกะอยู่ไกลๆมีลูกแกะตัวหนึ่งเดินไกลออกมาจากฝูง เจ้าแกะน้อยรำ พึงกับตัวเองว่ามันเห็นเมฆเปลี่ยนแปลงรูปร่าง สิงโตเฝ้ามองด้วยความสนใจ ตั้งใจว่าจะต้อง ทำ ความรู้จักเจ้าแกะให้ได้จึงค่อยๆก้าวออกไป ก่อนกล่าวว่า“สวัสดี ท่านแกะ” เจ้าแกะลุกขึ้นและตั้งท่าวิ่ง แต่สิงโตร้องห้ามว่า “ท่านแกะอย่าตกใจกลัวฉันเลย ฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำ ร้ายท่าน ฉันเพียงแต่อยากเป็น เพื่อนกับท่านเท่านั้นเอง” เจ้าแกะไม่เชื่อและถอยหลังหนีร้องขอด้วยเสียงสั่นว่า “ท่านเจ้าป่าผู้ประเสริฐ ได้โปรดไว้ชีวิตฉันเถอะนะ” “ฉันไม่ได้ต้องการทำ ร้ายท่าน” “เข้ามาใกล้ๆฉัน มาสนทนากันเถอะ” แกะมองหน้าสิงโตแล้วกล่าวว่า“ฉันจะไปคุยกับท่านได้อย่างไร ท่านเป็นสัตว์นักล่า ถ้าฉันคุยกับท่าน ฉันก็เป็นอันตรายสิ” แกะหันหลังและวิ่งออกไปสุดฝีเท้า
อยู่มาวันหนึ่ง ฝูงสิงโตประชุมกันว่าถึงเวลาที่สิงโตหนุ่มแต่ละตัวในฝูงจะผ่านวิธีเพื่อเข้าสู่ความเป็น ผู้ใหญ่ พิธีที่ว่าคือให้ออกไปล่าสัตว์กลับมาคนละหนึ่งตัว ต้องเป็นสัตว์สี่ขาขนาดกลางถึงใหญ่ สิงโต หนุ่มออกเดินทางไปกับเพื่อนหนุ่มตัวอื่นๆ ‘เราล่าแกะกลับไปในฝูงกันเถอะ’ สิงโตหนุ่มพยายามเอ่ยห้าม แต่เพื่อน ๆ เอ่ยว่า ‘ทำ ไมท่านจึงไม่อยากล่าแกะ แกะเป็นอาหารของเราท่านคงเป็นสิงโตขี้ขลาดตาขาวกระมัง’ ‘ฉันไม่ได้ขี้ขลาดตาขาว’ สิงโตหนุ่มยืนยัน ‘ถ้าอย่างนั้นท่านจงล่าแกะให้เราดูเป็นขวัญตาเถิด’ สิงโตหนุ่มเข้าไปใกล้แกะตัวหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากแกะตัวอื่นๆ และกระโดดผลุงเดียวเข้าตะครุบมัน เจ้า แกะพยายามดิ้นหนีแต่สิงโตเอี้ยวตัวไปกัดเข้าที่คอหอยถึงแก่ตาย ก่อนที่เจ้าแกะจะขาดใจ มันได้เอ่ยออกมาเบาๆว่า”เห็นไหมท่านสิงโต เพราะอย่างนี้ไง วันนั้นฉันถึงไม่ ยอมเป็นเพื่อนกับท่าน” เจ้าสิงโตจึงได้รู้ว่าเเกะตัวนั้นคือแกะตัวเดียวกับมันอยากเป็นเพื่อนด้วย
ครูก็ถามเด็กๆ ว่าคิดอย่างไรกับนิทานเรื่องนี้ เด็กๆ บอกสิงโตโง่มากที่คิดอยากเป็นเพื่อนกับลูก แกะ เพราะมันรู้ว่าคบกับสิงโตไปก็มีแต่จะถูกฆ่า “แกะก็ควรอยู่ส่วนแกะ พยายามรักษาชีวิตไป ส่วนสิงโตมันเลิกล่าแกะได้ยังไง มันเกิดมา เพื่อล่าแกะ”เด็กตาดำ คนหนึ่งพูด “ครูให้การบ้านทุกคนไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานะ วันนี้เลิกเรียนได้” ครูกล่าว
เด็ก ๆ ทุกคน หยิบกระเป๋ากลับบ้าน เพื่อน ๆ ตาขาวต่างมาแสดงความยินดีที่แซนดี้ไม่ถูกลงโทษส่วนพวกเด็ก ตาดำ มองเธอด้วยความเกลียดชัง แซนดี้มองเทรย์ด้วยความสงสัยว่าเขาจะมองเธอด้วยสายตาแบบไหน แซนดี้ กลับบ้านตามลำ พังแต่ยังมีความกังวลใจอยู่เพราะไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียง ดัง แซนดี้หลุดออกมาจากภวังค์และเงยหน้าขึ้น มีชายตาดำ 3 คนลากชายตาขาวผ่านไป แซนดี้ไปหลบหลัง เสาไฟฟ้า ชายตาขาวคนนั้นขอความช่วยเหลือจากแซนดี้ “ช่วยฉันด้วยหนู ช่วยฉันที” แซนดี้ไม่ออกจากที่ซ่อนเพราะว่าเด็กผู้หญิงคนเดียวจะไปต่อสู้อะไรกับผู้ใหญ่ 3 คนได้ ย่านนี้มีบ้านคนตาขาว หลายหลังแต่ไม่มีใครกล้าออกมาช่วยเหลือเพราะกลัวจะโดนคนตาดำ ทำ ร้าย เหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติใน สมัยก่อน เมื่อนิกสันย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ คนตาขาวไม่อาจทนการกดขี่ข่มเหงได้อีกต่อไปจึงลุกขึ้นมาต่อต้าน ทำ ให้เกิดการปราบปรามครั้งใหญ่ คนตาขาวถูกฆ่าตายจำ นวนมากจนคนตาขาวเริ่มพูดกันว่า การก้มหัว ยินยอมแบบในอดีตอาจจะดีกว่าถึงจะมีคนถูกฆ่าไปบ้างแต่ก็ยังน้อยกว่าคำ สั่ง “ล่าสังหารเมื่อถูกพบตัว” ถูกอนุมัติใช้ เรื่องของเหยื่อคล้ายคลึงกับวัยเด็กของนิกสันทำ ให้เขาพลิกหน้ากระดาษต่อไปแล้วนิ้วกดไฟแช็ก สว่างค้างไว้โดยลืมว่ามันสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากแค่ไหน
คิดอะไรเกี่ยวกับนิทานเรื่อรื่ง สิงโตกับแกะได้บ้าง? วันรุ่งขึ้น ครูถามเด็กๆว่าคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องสิงโตและลูกแกะได้บ้าง เด็กๆตอบตามเดิม คือ "นิทานเรื่องนี้ สอนว่า อย่างไรเสียสิงโตก็เป็นสิงโต มันต้องล่าลูกแกะอยู่วันยังค่ำ "ไม่สามารถเป็นเพื่อนกับแกะได้ ครูกล่าว ต่อไปว่า"ความจริงแล้วนักเขียนให้นิทานเรื่องนี้มีตอนจบแบบอื่น แต่เมื่อจะนำ ไปตีพิมพ์ก็ถูกบรรณาธิการ แก้ไขตอนจบให้โดยพลการ จนกลายเป็นแบบที่ครูเล่าไปเมื่อวาน ส่วนตอนจบที่แท้จริงนั้นมีอยู่ว่า" สิงโตหนุ่มจึงย่องเข้าไปใกล้แกะตัวหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากแกะตัวอื่นๆและกระโดด ผลุงเดียวเข้าตะครุบมัน เจ้าแกะพยายามดิ้นหนี และเอ่ยว่า"เห็นไหมท่านสิงโต เพราะอย่างนี้ไง วันนั้นฉันถึงไม่ ยอมเป็นเพื่อนกับท่าน"เจ้าสิงโตจึงได้รู้ว่าแกะตัวนี้คือแกะตัวเดียวกับที่มันอยากเป็นเพื่อนด้วยนั่นเอง รู้ดังนั้น มันจึงปล่อยเจ้าแกะ แต่แกะน้อยนั้นบาดเจ็บไม่อาจลุกวิ่งหนีไปได้ สิงโตตัวอื่นๆก้าวเข้ามาหมายจะร่วมกันชิม เนื้อของแกะ แต่สิงโตหนุ่มตัวนั้นกลับยืนขวางทางเพื่อนๆไว้"ฉันไม่ให้ท่านทำ ร้ายลูกแกะตัวนี้"เพื่อนๆสิงโตเห็น ดังนั้นจึงส่ายหน้าให้ความไม่ได้เรื่องของเจ้าสิงโตแล้วพากันเดินกลับเข้าไปในป่า สิงโตขอโทษลูกแกะและลูก แกะก็ให้อภัยมันเพราะได้รู้แล้วว่ามันต้องการจะผูกมิตรด้วยจริงๆสิงโตคาบลูกแกะกลับไปอยู่ร่วมกันกับแกะ ตัวอื่นๆในฝูง เพื่อรอให้คนเลี้ยงแกะมาพบและพาไปรักษามันสัญญาว่าจะมาพบลูกแกะอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับเข้าป่าไป นิทานเรื่อรื่งนี้สอนว่าว่"สิงโตก็เป็นป็สิงโต มันต้องล่าลูกแกะอยู่วันยันค่ำ ไม่ สามารถเป็นป็เพื่อนกับแกะได้
พอครูเล่าจบครูก็ถามนักเรียนทุกคนว่าตอนจบที่แท้จริงนี้ทำ ให้พวกเขาคิดอะไรได้บ้าง เด็ก ๆ ต่างประหลาดใจว่าทำ ไมสิงโตถึงไม่กินลูกแกะเพราะปกติสิงโตต้องกินแกะ “ไม่ มันไม่ต้อง กินลูกแกะก็ได้” เทรย์เอ่ยขึ้น ปลาสเตอร์ปิดแผลยังคงอยู่ใต้ตาเขา พูดจบเด็กทุกคนหันมา มองหน้าเทรย์ เขานิ่งอย่างประหลาด ครูมองเทรย์แล้วยิ้มอย่างภูมิใจ จากนั้นครูก็มองไปที่ เด็กตาดำ ทุกคนในห้อง และเอ่ยว่า “เราไม่ต้องทำ ร้ายคนที่ตาขาวก็ได้นะ”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นถูกเล่าให้ครูผู้หญิงฟังและเด็กจำ นวนหนึ่งก็นำ ไปเล่าให้ผู้ปกครอง ของตนฟัง ผู้ปกครองจำ นวนมากบุกมาที่โรงเรียน เกิดการถกเถียงจากหลายฝ่ายว่าสิ่งที่ครู ทำ ผิดจริงหรือไม่ แต่พ่อแม่เทรย์งัดข้อว่า หากครูต่อต้านการทำ ร้ายร่างกาย การปกปิดเรื่องที่ แซนดี้ทำ ร้ายเทรย์ก็ย่อมขัดแย้งกับความตั้งใจของครูเอง เป็นครั้งแรกที่แซนดี้เห็นคนตาดำ ถูกลากไปฆ่า เด็กตาขาวร้องไห้กระซิกๆ แต่เด็กตาดำ กลับดูร่าเริง มีเพียงเทรย์ที่กรีดร้อง เรียกชื่อครูตอนที่พ่อของเขาลากครูออกไป จากนั้นเทรย์ก็ไม่แสดงสีหน้าอะไรอีกเลย
นิกสันอ่านนิทานจบด้วยความรู้สึกประหลาด ในแวบแรกเขาไม่เชื่อว่าจะมีคนตาดำ ที่มีความคิดแบบนี้แต่ เขากลับคิดถึงเรื่องในวัยเด็กขึ้นมา วันหนึ่งเขาถูกพวกเด็กตาดำ แกล้งจนตกลงมาจากบันไดและพบว่าคาง ตัวเองถูกของแข็งปักเข้าไป เขาพยายามดึงมันออกและกรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด พวกเด็กตาดำ ต่างกระวนกระวายพากันหนี เพราะคิดว่ายังไงตัวเองก็ไม่ผิด แต่มีเด็กคนหนึ่งแหวกฝูงคนที่บันไดลงมาดู เหตุการณ์ เขาเป็นเด็กชายตาดำ เขาเดินมาดูแผลของนิกสันพร้อมบอกว่าจะพาไปล้างแผล แซคคารีดึงมือ นิกสันและพาไปห้องพยาบาลระหว่างทางเด็กตาดำ ถามแซคคารีว่า “ทำ ไมถึงช่วยเด็กตาขาวล่ะ แซคคารี” “พวกนายมันบ้าไปแล้วหรือไง” แซคคารีตอบ หลังจากนั้นนิกสันจำ ไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขานอนอยู่ห้องพยาบาลจนหมดวันและหลังจากนั้นก็ไม่มี ใครพูดถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเขาอีก นิกสันนึกถึงคำ พูดของแซคคารี “พวกนายบ้าไปแล้วแน่ ๆ” “ใช่พวก นั้นมันบ้าหรือแซคคารีกันแน่นะที่บ้ายอมมาช่วยเด็กตาขาวอย่างเขา ในสังคมที่คนไล่ฆ่ากันคนที่ถามหา สันติภาพก็คือคนบ้านั่นแหละ นิกสันสงสัยว่าตอนนี้แซคคารีทำ อะไรอยู่ที่ไหนเพราะหลังจากวันนั้นนิกสัน ไม่ได้คุยกับแซคคารีอีกเพราะเขาไม่กล้าเข้าหาคนตาดำ บางทีถ้าเขากล้าเข้าหาแซคคารีบางสิ่งที่ทุกคนคิด ว่าเป็นไปไม่ได้อาจจะเกิดขึ้นก็ได้นั่นก็คือการที่คนตาขาวเป็นเพื่อนกับคนตาดำ นิกสันส่ายหน้าให้กับ ความเพ้อเจ้อของตัวเอง เขากลับมาอ่านหนังสือต่อและลืมความหนาวเหน็บไปจนสิ้นเขาจดจ่ออยู่กับ การอ่านราวกับว่ามีบางอย่างตรึงเขาไว้กับหนังสือเล่มนั้น
เรื่องราวของครูเงียบหายไปในเวลาไม่นาน ผู้ใหญ่ตาขาวหลายคนบอกว่า เเซนดี้โชคดีมาก ที่สังคมเทความโกรธเเค้นไปที่ครู ทำ ให้ผู้คนลืมไปว่าความผิดที่เธอทำ นั้นหนักหนา เมื่อครูตาย ไป คนก็ลืมง่าย เรื่องราวจึงจบ ผู้คนลืมลงทัณฑ์เเซนดี้ “โชคดีเพียงไหนเเล้วลูก” เเม่บอกเเล้ว ลูบหัวเธอ กอดเธออย่างเเน่นเหมือนกลัวใครจะมาพรากเอาไป เเม่ไม่ให้เเซนดี้ ไปโรงเรียนอีก เท่าที่เธอรู้ การรังแกกันของเด็กๆยังมีต่อไป เเต่เทรย์ไม่เคยลุกขึ้นทำ ร้ายใคร
เด็กหญิงเติบโตเป็นเด็กสาว เรื่องราวของครูยังฝังอยู่ในใจเธอ หลังครูตายไป โลกใบนี้ยิ่งทวีความ โหดร้าย เราถูกลงทัณฑ์ถึงตายเพียงเพราะความผิดเล็กน้อย การข่มเหง การลิดรอนสิทธิ จนกระทั่งวัน หนึ่งคนตาขาวกลุ่มหนึ่งลุกฮือขึ้นเพื่อหวังปฏิวัติ… รัฐบาลตัดสินใจตอบโต้โดยการล้างบางพวกตาขาวให้สิ้นซาก ทหารถูกส่งออกมาไล่ยิงคนตาขาว ประชาชนตาดำ ทั้งหมดมีสิทธิ์เข่นฆ่าคนตาขาวได้ โดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆมาอ้าง ทุกคนกระจัดกระจายหนี บ้างก็ออกนอกประเทศ บ้างก็ขึ้นภูเขาไป ส่วนที่ไปไหนไม่ได้ก็ถูกฆ่า สภาพ บ้านเมืองกลายเป็นสงครามกลางเมืองในพริบตาเดียว
หลายเดือนผ่านไปแซนดี้และครอบครัวหลบลงจากภูเขาที่ไม่เหลือแม้แต่อาหารอีกต่อไป พวกเขาเริ่มคิดถึง เมืองบ้านเกิดที่ถูกทิ้งร้างเพราะสงคราม คนตาขาวที่อาศัยอยู่ถูกปราบปรามจนพื้นถนนนองเลือดก่อนจะ กลายเป็นสถานะ “เขตที่เคลยีร์เรียบร้อย” คือไม่มีใครมาลาดตระเวนอีก จึงกลายเป็นที่ซ่อนอย่างดีสำ หรับ เหล่าคนตาขาวที่หวนกลับมา พอพวกเขากลับมาอยู่ในเมือง รัฐบาลก็ได้ปล่อยข่าวลวงว่าจะหยุดสงครามกับ คนตาขาว เหตุนี้จึงทำ ให้แม่ของแซนดี้ถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา แซนดี้ได้วิ่งหนีเข้าไปในบ้านที่ถูกทิ้งร้างหลัง หนึ่ง เธอเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อหาที่ซ่อน แล้วเธอก็เห็นรูปที่ติดอยู่บนฝาผนัง นั่นทำ ให้เธอรู้ว่านี่คือบ้านของเทรย์ ทหารเริ่มใกล้เข้ามา แซนดี้จึงวิ่งเข้าไปในห้องนอนหวังจะซ่อนในตู้เสื้อผ้า มองเข้าไปในห้องเธอเจอเทรย์กำ ลัง เก็บข้าวของในลิ้นชัก เทรย์เห็นแซนดี้จึงโถมตัวเข้าหาเธอ แซนดี้วิ่งหนีแต่เทรย์คว้าแขนเธอไว้แล้วลากไปซ่อน ในตู้เสื้อผ้าแถมยังเอาไม้ยาว ๆ มาขัดหน้าตู้ไว้ไม่ให้เปิดได้ แซนดี้ทุบประตูเสียงดังตึงตัง ขณะนั้นทหารก็ขึ้น มาถึงห้องเห็นเพียงเทรย์ที่เป็นเด็กผู้ชายตาดำ ทหารได้ถามไถ่เทรย์ว่าทำ ไมยังอยู่ที่นี่แล้วเห็นเด็กผู้หญิงวิ่งมา ทางนี้บ้างรึเปล่า เทรย์ตอบว่ามาเก็บของ พร้อมโกหกว่าไม่เห็นเด็กผู้หญิงเลย ทหารจัดการรายงานเจ้าหน้าที่ แล้วออกจากตัวบ้านไป ประตูตู้เสื้อผ้า ก็เปิดออกจากด้านนอก
นิกสันอ่านหน้านี้แล้วรู้สึกประหลาดใจ จนต้องพลิกหนังสือเพื่อหาวันเดือนปีที่พิมพ์ มันจะต้องถูก ตีพิมพ์ก่อนเกิดสงครามขึ้น หรือ ว่าผู้เขียนคนนี้จะมองการณ์ไกลเกินกว่าใครๆ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ได้จึงอ่านต่อ “พวกเขาไปแล้วล่ะ” เทรย์บอก “ทำ ไมถึงช่วยฉัน” “เธอจำ นิทานเรื่องสิงโตกับลูกแกะได้มั้ย” แซนดี้พยักหน้า วันนั้นที่ห้องพยาบาลครูคุยกับเทรย์และบอกให้เขาเข้าใจว่าไม่มีใครสามารถเลือกเกิดได้ ถ้าหากเขาเกิดมามีตาสีขาวก็ต้องยอม พวกตาดำ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ครูก็บอกอีกว่าไม่มีคนตาขาวคนไหน อยากเกิดมาตาขาวหรอก พอได้ยินอย่างนั้น ฉันอึ้งไปเลย เพราะ ไม่มีใครเคยพูดกับฉันแบบนั้นมาก่อน ไม่เคยมีใครสอนให้ฉันคิดว่าคนตาขาวรู้สึกอย่างไร ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ครุ่นคิดเรื่องสิงโตกับลูก แกะ ถ้าพวกมันคิดจะเป็นเพื่อนกัน ลูกแกะไม่ต้องทำ อะไร แต่สิงโตต้องหยุดความต้องการล่าของมันให้ได้ เพราะลูกแกะทำ อะไร ไม่ได้เหมือนพวกเธอ ถ้าหากอยากหยุดสงครามก็มีแค่พวกเราเท่านั้นที่หยุดได้ “แม้ทุกคนจะลืมเรื่องของครูไปแล้ว แต่ฉันไม่เคยลืมครูและคำ สอนของครู” เทรย์บอกพร้อมกับหยิบไดอารี่ตอนเด็กให้แซนดี้ “ฉันเขียนตอนต่อไปของสิงโตกับลูกแกะด้วยดูสิ” เมื่อกลับเข้าป่าสิงโตโดนดูถูกว่า ขนาดลูกแกะตัวเล็กๆยังล่าไม่ได้เลย แต่มันก็ ไม่สนใจและอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทุกๆวันสิงโตจะไปหาลูกแกะที่ทุ่งหญ้า แรกๆคนเลี้ยงแกะก็กลัวว่าสิงโตจะกินลูกแกะ แต่พอนาน เข้าเขาก็เห็นว่าสิงโตไม่กินลูกแกะและสิงโตตัวนั้นก็ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ฝูงแกะ “ฉันรู้นะว่าการคิดแบบนี้มันอาจทำ ให้ฉันถูกฆ่าเหมือนครู แต่ฉันฝันที่จะทำ อะไรบางอย่างเพื่อหยุดสงคราม ฝันที่จะเป็นสิงโตตัวนี้” “ฉันไม่เคยลืมแววตาเธอวันนั้นเลย” ทหารกลุ่มเดิมเปิดประตูเข้ามาในห้อง “ไอ้หนู ยังไม่ไปอีกหรอ นี่พี่ยังไม่เจอยายหนูผีเลย ต้องค้นใหม่ทุกบ้าน”
พวกเขามัวแต่คุยกันจนไม่ได้ยินเสียงรองเท้าบู๊ตที่เดินขึ้นมาบนบ้าน เธอมองนายทหารเหล่านั้น พร้อมกระบอกปืนกลของเขา เทรย์เดินมายืนขวางหน้า แววตาสีดำ ของเขาสบกับแววตาสีดำ าของทหาร “ไอ้หนู นี่แก” ไม่มีการพูดต่อ เสียงปืนดังขึ้น เสียงปืนดังขึ้นสองนัด นัดแรกเทรย์ล้มลง นัดต่อไป เธอล้มตาม
ชายหนุ่มมือสั่นริกเมื่ออ่านประโยคสุดท้ายจบลง เทรย์ทำ ให้เขานึกถึงแซคคารี… นิกสันหลับตาลงช้าๆ เขานึกถึงวัยเด็ก ซึ่งแม้จะดีกว่าตอนนี้แต่ก็ยังเป็นวัยเด็กที่โหดร้าย ชีวิตที่ลำ บาก ในป่า เพื่อนหลายคนตายไปต่อหน้า เด็กสาวที่ตายเพราะพิษไข้ ผู้หญิงบางคนคลอดลูก พ่อจำ ใจอุ้ม ทารกไปฆ่าทิ้งขณะที่แม่หลับ ชีวิตที่นั่นลำ บากเกินไปสำ หรับสิ่งมีชีวิตที่โตยังไม่เต็มคน น้ำ ตาร้อนๆทำ ให้ลูกตาของเขาอุ่น นิกสันปล่อยมันให้ไหล จากนั้นก็เผลอหลับไปโดยลืมคิดไปว่าถ้าหาก เขาหลับไปตอนนี้ เขาจะต้องตายเพราะความหนาวอย่างแน่นอน
“มันตื่นเเล้ว ยิงมันซะ” ทหารคนหนึ่งในกลุ่มอยู่ด้านหลังพูดขึ้น “ไว้ให้เช้าก่อนเถอะ พวกเเกเพิ่งบ่นว่าฆ่าไป จนจะอ้วกไม่ใช่หรือไง ฉันก็เหมือนกัน เเกเข้าไปนั่งข้างกองไฟอย่างนั้นเเหละ” ทหารคนเเรกสั่งนิกสัน ชายหนุ่ม จึงรีบขยับไปนั่งใกล้กองไฟอย่างค่อนข้างเต็มใจ “เเกจะให้มันมาผิงไฟกับเราทำ ไมวะ” ทหารคนหนึ่งในกลุ่ม ถาม จากนั้นลุกขึ้นหยิบปืนที่วางพิงไว้ขึ้นมาเเละเอ่ยว่า “ฆ่ามันซะเเล้วจะได้ไม่ต้องมาคอยดูมัน ถ้าเเกไม่อยาก เดี๋ยวฉันยิงให้เอง” ทหารคนเเรกได้ยินดังนั้นก็วางหนังสือบนพื้นเเละบอกว่า”ไม่ต้องหรอก ฉันยิงเองก็ได้ เเต่ขอ พามันไปยิงข้างนอก ฉันไม่อยากนอนข้างศพว่ะ” “เออ งั้นรีบพามันออกไปยิงทิ้งซะ” ทหารคนเเรกคว้าปืนของ ตน นิกสันไม่กล้าลุกวิ่ง เพราะทหารที่ลุกไปหยิบปืนมาก่อน ทหารคนเเรกกลับมาถึงเเละมองเขาผ่านลำ กล้อง ปืน “ลุกขึ้นสิ” เขาทำ ตาม “เดินไป เดินไป” นายทหารพูดพลางยกปืนจี้ที่หลัง ปากกระบอกโลหะรุนหลังทำ ให้ เขารุดหน้า เขาออกเดินเเละนายทหารก็ตามเขามาเเบบก้าวต่อก้าว จ่อปืนค้างเช่นนั้น ถ้าเขาต่อต้านคงมีใคร อารมณ์เสีย ชายหนุ่มก้าวเดินไปถึงประตูหลัง เขาคิดว่าเมื่อออกไปข้างนอกเเล้วอาจจะพอมีจังหวะให้วิ่ง ก่อนถูกยิง เเต่จะถูกยิงตามหลังมารึเปล่านั้นไม่ต้องถาม
ทหารคนนั้นสั่งให้เขาเปิดประตูครัว เมื่อทั้งสองออกมายืนข้างนอกบ้าน นายทหารก็ลดมือลง เขา ล้วงมือหยิบไฟฉายให้นิกสันและกล่าวว่า “เอานี่ไปแล้วหนีไปซะ ฉันจะบอกคนอื่นว่าแกวิ่งหนี และมันมืด เกินกว่าจะยิงตาม” “แกชื่อนิกสันใช่มั้ยฉันจ าแกได้จากแผลเป็นที่คางนั่น เราเคยเป็นเพื่อนกันตอนเด็กๆไง” นิกสันงง เพื่อนงั้นหรือ นายทหารจึงเปิดไฟฉายส่องหน้าตัวเอง “แซคคารี” “ใช่ฉันเอง คนที่เคยช่วยนาย แล้วฉันก็มาอยู่ตรงนี้มาเป็นทหาร ฉันไม่ได้อยากบ้าไปกับพวกนั้นหรอก แต่ถ้าฉันไม่ร่วมด้วยฉันคงถูกฆ่าเหมือนครูในนิทานนั่น เพราะงั้นฉันเลยต้องท าตามคนอื่นๆในสังคม” “ทุกครั้งที่ออกล่าคนตาขาว ฉันอยากทิ้งปืนเหลือเกินนิกสัน” “บางคืน ฉันนอนครุ่นคิด ในสังคมของคนตาด า มีเพียงฉันคนเดียวหรือที่เป็นแบบนี้ มีอีกกี่คนที่คิด เหมือนฉัน อยากหยุดสงครามและความบ้าคลั่งนี้” “ฉันไม่ได้อยากอยู่ฝ่ายโน้นหรอก ไม่ใช่แค่ย้ายฝ่าย ฉันไม่อยากให้มีฝ่ายใดอีกต่อไป” “สักวัน ฉันจะทิ้งปืนและปฏิเสธค าสั่ง ฉันหวังว่าวันนั้นจะมีคนลุกขึ้นปฏิเสธพร้อมฉันบ้างนะ” นิกสันรับไฟฉายมา เขาตะกุกตะกักเอ่ยขอบคุณ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก วิ่งไปเถอะ วิ่ง” นิกสันวิ่ง เขาได้ยินเสียงปืน2นัด แซคคารียิงพื้นเพื่อหลอกเพื่อนว่ายิงตามนิกสัน นายทหารโบกมือให้ นิกสันวิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ เมื่อเขาหันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็ไม่เห็นบ้านและแซคคารีอีกแล้ว