The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dearjirada, 2022-10-12 23:08:50

วิจัยชั้นเรียน คำไทยป.6 ปีการศึกษา 2565

วิจัยชั้นเรียน คำไทยป.6

ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา
ภาษามีบทบาทหน้าที่สาคัญย่ิงในสังคม โดยเฉพาะเป็นเคร่ืองมือในการส่ือสารช่วยถ่ายทอด

ความรู้ ความคิด และวัฒนธรรม นอกจากนี้ภาษายังเป็นเคร่ืองผูกพันมนุษย์ต่อมนุษย์อย่างแน่นแฟ้น ซึ่ง
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กาหนดให้นักเรียนได้เรียนภาษาทั้ง
การอ่าน การเขียน การฟัง การดูและการพูด หลักภาษาและวรรณคดี ที่เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เพ่ือที่
นักเรียนสามารถทาให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวัน ในด้านการติดต่อส่ือสาร การเรียนรู้ ในกลุ่ม
ประสบการณ์อื่น ๆ การแสวงหาความรู้ ความเพลิดเพลินและการประกอบอาชีพ เป็นการศึกษาเล่าเรียน
เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง และชว่ ยอนุรักษ์ภาษาไทยไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมต่อไป นอกจากภาษาจะ
เป็นเครือ่ งมือในการสือ่ สารแล้ว การท่ีเราจะใช้เครอื่ งมืออย่างใดอย่างหนึ่งได้อยา่ งมีประสิทธิภาพนนั้ จาเป็น
จะต้องรู้จักเคร่ืองมือนั้น เช่นเดียวกับการใช้ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสารไม่ว่าการฟัง การพูด การอ่าน การ
เขียน จาเป็นต้องมีความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับการใช้ภาษาเป็นอย่างดี

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดเป้าหมายเพ่ือมุ่งพัฒนา
ให้ผเู้ รยี นทุกคนให้เป็นมนุษยท์ ี่มีความสมดุลท้ังร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มจี ิตสานึกในความเป็นพลเมอื งไทยและ
เป็นพลโลกยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความรู้
และทักษะพื้นฐานรวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาต่อตลอดชีวิต
โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม
ศักยภาพ เกิดสมรรถนะและเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังนั้น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 จึงกาหนดจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ เป็นคนดีมีปัญญา มี
ความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เพ่ือให้เกิดกับผู้เรียนเม่ือจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จึงกาหนดให้ผู้เรียนทุกระดับชั้นการศึกษาขึ้นพื้นฐานจาเป็นต้องเรียนรู้ใน 8 กลุ่มสาระเพื่อให้เขต
พื้นที่การศึกษา หน่วยงานท้องถิ่นและสถานศึกษาได้ดาเนินจัดการเรียนการสอน และจาก
ความสาคัญของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้นากรอบและทิศทางการ
พัฒนากลุ่มสาระภาษาไทยมาใช้ให้สอดคล้องกับหลักสูตรของสถานศึกษา คือ มีความเป็นไทย มี
ศักยภาพในการใช้ภาษา เพราะภาษาเป็นสื่อของความคิดผู้เรียนท่ีมีภาษาใช้กว้างขวางมีการ
ประมวลคาเพื่อนามาใช้ในการพูด ฟัง อ่าน เขียน ผู้เรียนจะคิดได้กว้างขวางลึกซึ้ง และสามารถคิด
สร้างสรรค์คิดวิพากษ์วิจารณ์ คิดตัดสินใจแก้ปัญหาและวินิจฉัยอย่างมีเหตุผล ดังนั้นกลุ่มสาระการ
จดั การเรยี นรู้ภาษาไทยกาหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สาระภาษาไทย5 สาระ คือ สาระท่ี 1 การอา่ น สาระที่
2 การเขยี น สาระที่ 3 การฟัง การดู การพูด สาระท่ี 4 หลักการใช้ภาษาสาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
โดยเฉพาะสาระท่ี 1 และสาระท่ี 2 จะเปน็ พนื้ ฐานทน่ี าไปสู่การพฒั นาทกั ษะการอ่าน การเขยี นในกิจกรรม
การเรียนการสอนให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาติดต่อทั้งด้านรับและการถ่ายทอด
ความรู้สึกนึกคิด โดยอาศัยความรู้และสาระท้ัง 5 สาระที่ได้รับการฝึกฝนมาใช้ การสอนภาษาไทยให้บรรลุ
ตามจุดประสงค์ของหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพนั้นจาเป็นต้องฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ให้เกิดความชานาญและมี

ความสัมพันธก์ ันได้แก่ ทักษะการรับเข้าคือการอ่านและการฟงั เป็นทักษะของการรับรูเ้ รือ่ งราว ความรแู้ ละ
ประสบการณ์ส่วนทักษะการถ่ายทอดออกไป คือ การพูดและการเขียน เป็นทักษะของการแสดงออก
ด้วยการแสดงความคิดเห็น ผู้เรียนจึงต้องฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชานาญสามารถใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ

การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้
ผู้เรียนมีส่วนร่วมในช้ันเรียน สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ
โดยมีครูเป็นผู้อานวยความสะดวก สร้างแรงบันดาลใจ ให้คาปรึกษา ดูแล แนะนา จัดวิธีการ
เรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย สร้างองค์ความรู้ได้ มี
ความเข้าใจในตนเอง ใช้สติปัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ผลงาน มีสมรรถนะสาคัญ มีทักษะ
วชิ าการ ทักษะชีวิต บรรลุเป้าหมายการเรียนรูต้ ามระดับช่วงวัย (สานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขน้ั พน้ื ฐาน. 2562 : 4)

ลกั ษณะของการจัดการเรยี นรู้แบบ Active Learning มีดงั น้ี
1. เป็นการพัฒนาศักยภาพการคดิ การแกป้ ญั หา และการนาความรไู้ ปประยุกต์ใช้
2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดระบบการเรียนรู้ และสร้างองค์ความรู้โดยมีปฏิสัมพันธ์
รว่ มกนั ในรูปแบบของความรว่ มมอื
3. เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนมสี ่วนรว่ มในกระบวนการเรียนรู้สงู สดุ
4. เปน็ กจิ กรรมท่ใี หผ้ ้เู รียนบรู ณาการข้อมลู ขา่ วสาร สารสนเทศ สทู่ ักษะการคดิ
วิเคราะห์
5. ผเู้ รียนได้เรยี นรคู้ วามมีวนิ ยั ในการทางานร่วมกบั ผ้อู น่ื
6. ความรูเ้ กิดจากประสบการณ์ และการสรุปของผเู้ รียน
7. ผู้สอนเป็นผ้อู านวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรยี นเปน็ ผปู้ ฏบิ ัตดิ ว้ ย
ตนเอง
(สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน. 2562 : 5)

ตวั อย่างเทคนิคการจัดการเรยี นร้แู บบ Active Learning
การจดั การเรยี นรู้แบบ Active Learning สามารถสร้างให้เกดิ ข้ึนไดท้ ้ังในห้องเรยี นและนอก
ห้องเรียน รวมทงั้ สามารถใช้ไดก้ ับนกั เรียนทุกระดบั ทง้ั การเรยี นร้เู ปน็ รายบุคคล การเรียนรู้แบบกลุ่ม
เล็ก และการเรยี นรู้แบบกล่มุ ใหญ่ ตัวอย่างรูปแบบหรือเทคนิค การจดั กิจกรรมการเรยี นร้ทู ่จี ะช่วยให้
ผ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรแู้ บบ Active Learning ไดด้ ี ได้แก่
1. การเรียนรูแ้ บบแลกเปลี่ยนความคดิ (Think-Pair-Share) คอื การจดั กิจกรรมการ

เรียนรู้ทใ่ี ห้ผู้เรยี นคิดเกยี่ วกบั ประเดน็ ท่ีกาหนดแต่ละคน ประมาณ 2-3 นาที (Think) จากนั้นให้
แลกเปล่ียนความคิดกับเพ่อื นอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนาเสนอความคิดเหน็ ต่อผูเ้ รยี นทง้ั หมด
(Share)

2. การเรยี นรู้แบบรว่ มมือ (Collaborative learning group) คือการจดั กจิ กรรม
การเรยี นรทู้ ีใ่ ห้ผู้เรยี นไดท้ างานรว่ มกบั ผู้อื่น โดยจัดเปน็ กลุ่มๆ ละ 3-6 คน

3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sessions) คือการจัด
กิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ีเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นไดท้ บทวนความรู้และพิจารณาข้อสงสยั ตา่ ง ๆ ในการปฏบิ ัติ
กิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูจะคอยช่วยเหลือกรณที ี่มีปัญหา

4. การเรียนรแู้ บบใช้เกม (Games) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผสู้ อนนาเกมเข้า
บรู ณาการในการเรยี นการสอน ซง่ึ ใชไ้ ดท้ ั้งในข้นั การนาเขา้ สบู่ ทเรยี น การสอน การมอบหมายงาน
และหรอื ข้นั การประเมินผล

5. การเรยี นรู้แบบวเิ คราะห์วิดโี อ (Analysis or reactions to videos) คือการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้ทใี่ หผ้ ้เู รียนได้ดูวีดโี อ 5-20 นาที แลว้ ให้ผู้เรยี นแสดงความคดิ เห็น หรือสะท้อน
ความคดิ เก่ียวกบั ส่งิ ท่ีไดด้ ู อาจโดยวธิ กี ารพูดโตต้ อบกนั การเขียน หรอื การรว่ มกนั สรปุ เป็นรายกลมุ่

6. การเรียนรูแ้ บบโต้วาที (Student debates) คือการจดั กิจกรรมการเรยี นร้ทู จ่ี ดั ให้
ผเู้ รียนได้นาเสนอข้อมูลที่ไดจ้ ากประสบการณ์และการเรียนรู้ เพอ่ื ยืนยนั แนวคิดของตนเองหรือกลุ่ม

7. การเรยี นรู้แบบผเู้ รยี นสรา้ งแบบทดสอบ (Student generated exam
questions) คือ การจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ ี่ใหผ้ เู้ รยี นสรา้ งแบบทดสอบจากส่งิ ทไ่ี ดเ้ รียนรูม้ าแล้ว

8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวจิ ยั (Mini-research proposals or project)
คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทอ่ี งิ กระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกาหนดหวั ข้อที่ต้องการเรียนรู้ วาง
แผนการเรยี น เรียนรู้ตามแผน สรุปความรูห้ รือสร้างผลงาน และสะท้อนความคิดในสง่ิ ทไ่ี ดเ้ รยี นรู้ หรอื
อาจเรยี กว่าการสอนแบบโครงงาน(project-based learning) หรือ การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
(problem-based learning)

9. การเรยี นรแู้ บบกรณีศึกษา (Analyze case studies) คือการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
ท่ีให้ผู้เรยี นได้อา่ นกรณตี วั อยา่ งท่ตี อ้ งการศึกษา จากน้นั ให้ผู้เรียนวิเคราะหแ์ ละแลกเปลีย่ นความ
คิดเห็นหรือแนวทางแกป้ ัญหาภายในกลุ่ม แล้วนาเสนอความคิดเห็นต่อผเู้ รียนท้งั หมด

10. การเรียนรู้แบบการเขยี นบนั ทกึ (Keeping journals or logs) คือการจัดกิจกรรม
การเรียนรทู้ ่ผี ู้เรียนจดบันทึกเรื่องราวตา่ งๆ ที่ได้พบเหน็ หรือเหตุการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ในแตล่ ะวนั รวมทั้ง
เสนอความคิดเพิ่มเติมเก่ียวกับบันทกึ ท่ีเขียน

10. การเรยี นรู้แบบการเขยี นจดหมายขา่ ว (Write and produce a newsletter) คือ
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ีใหผ้ ู้เรียนรว่ มกนั ผลติ จดหมายข่าว อนั ประกอบด้วย บทความ ข้อมลู
สารสนเทศ ขา่ วสาร และเหตุการณ์ทเ่ี กิดข้นึ แลว้ แจกจา่ ยไปยังบคุ คลอื่นๆ

11. การเรียนรู้แบบแผนผังความคดิ (Concept mapping) คือการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
ท่ีให้ผู้เรยี นออกแบบแผนผงั ความคดิ เพ่ือนาเสนอความคิดรวบยอด และความเช่อื มโยงกันของกรอบ
ความคดิ โดยการใช้เส้นเป็นตัวเชื่อมโยง อาจจัดทาเปน็ รายบุคคลหรอื งานกล่มุ แล้วนาเสนอผลงานตอ่
ผูเ้ รยี นอน่ื ๆ จากนั้นเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนคนอนื่ ไดซ้ ักถามและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
(สถาพร พฤฑฒิกุล, 2558)

บทบาทของครูในการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้ตู ามแนวทางของ Active Learning ดงั นี้
1. จัดให้ผเู้ รียนเป็นศูนย์กลางของการเรยี นการสอน นาไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ จรงิ ของ
ผเู้ รยี น
2. สร้างบรรยากาศของการมสี ่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบทสี่ ่งเสริมให้ผูเ้ รียนมี
ปฏสิ ัมพนั ธท์ ่ดี กี บั ผู้สอนและเพ่ือนในชนั้ เรยี น
3. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนส่งเสริมให้ผูเ้ รียนมสี ว่ นรว่ มในทุกกจิ กรรม รวมท้งั กระตุน้
ใหผ้ เู้ รียนความสาเรจ็ ในการเรยี นรู้
4. จัดกิจกรรมการเรยี นการสอนแบบรว่ มมอื สง่ เสริมให้เกดิ การร่วมมือในกลุม่ ผู้เรียน
5. จดั กิจกรรมการเรียนการสอนใหท้ ้าทาย และใหโ้ อกาสผเู้ รยี นไดร้ บั วธิ กี ารสอนท่ี
หลากหลาย
6. วางแผนเก่ยี วกบั เวลาในการจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของเนื้อหา
และกิจกรรม
7. ครผู ้สู อนต้องใจกวา้ ง ยอมรับความสามารถในการแสดงออก และความคิดของผเู้ รียน
(ณชั นัน แก้วชยั เจรญิ กจิ , 2550)

ความหมายของแบบฝึกทักษะ
อนงค์ศิริ วิชาลัย (2556 : 80) ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะว่า เป็นสื่อการเรียนการ
สอนอย่างหน่ึงที่สร้างขึ้น ประกอบด้วยกิจกรรมท่ีหลากหลายน่าสนใจท่ีมุ่งให้นักเรียนได้นามาใช้ฝึกฝน
ปฏิบัติ เพือ่ ทบทวนเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ท่ีได้เรียนไปแลว้ ดว้ ยตนเอง ทาใหเ้ ปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมการ
เรียนรู้ให้คลอ่ งแคลว่ เกดิ ความชานาญและความแม่นยา ซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติ รวมท้งั เกิดทักษะในเรื่อง
ใดเร่อื งหน่ึง จนสามารถนาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้
ราชบัณฑิตยสถาน (2556 : 687) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะหรือแบบฝกึ หัด ว่าแบบ
ตัวอยา่ งปัญหาหรือคาส่ังทีต่ ั้งขึน้ เพ่ือให้นักเรียนฝกึ ตอบ
จากความเห็นของนักการศึกษาดังกล่าวสรุปได้ว่า แบบฝึกหมายถึง เครื่องมือทางการเรียนท่ี
สรา้ งขนึ้ สาหรับให้นักเรยี นฝึกปฏบิ ตั ิ ใหม้ ีความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ มที ักษะเพม่ิ ขน้ึ

ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี
ชัยวฒั น์ สทุ ธิรัตน์ (2558 : 467 - 468) ได้สรปุ ลักษณะของแบบฝกึ ทส่ี าคัญไว้ดังนี้
1. ต้องมีการฝึกนักเรียนมากพอสมควรในเร่ืองหน่ึง ๆ ก่อนท่ีจะมีการฝึกเร่ืองอื่น ๆ ต่อไป
ท้งั นที้ าขึ้นเพ่อื การสอนไมใ่ ช่เพ่ือการสอบ
2. แตล่ ะบทควรฝกึ โดยใช้แบบประโยคเพียงหน่ึงแบบเทา่ นนั้
3. ฝกึ โครงสรา้ งใหม่กบั ส่ิงทเ่ี รยี นรู้แลว้
4. ประโยคทฝี่ กึ ควรเป็นประโยคสั้น ๆ
5. ประโยคและคาศัพท์ควรเป็นแบบท่ีใชพ้ ูดกันในชวี ิตประจาวันที่นักเรียนรจู้ ักดีแล้ว
6. เป็นแบบฝึกท่นี กั เรียนใช้ความคิดดว้ ย
7. แบบฝึกควรมหี ลาย ๆ แบบ เพ่อื ไมใ่ ห้นักเรียนเกดิ ความเบ่อื หนา่ ย
8. ควรฝกึ ให้นักเรยี นสามารถนาส่ิงท่ีเรยี นไปแล้ว ไปใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้

ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ
วรนชุ บฟุ ผา (2552 : 8) ได้กล่าวประโยชน์ของแบบฝกึ ไว้ ดงั นี้
1. เปน็ สว่ นเพ่ิมเติมหรือเสรมิ หนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เปน็ อปุ กรณ์การสอนท่ีชว่ ยลด
ภาระครูได้มาก เพราะแบบฝึกเป็นสง่ิ ทีจ่ ดั ทาขึ้นอยา่ งเป็นระบบและมีระเบียบ
2. ช่วยเสริมทักษะ แบบฝึกหัดเป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยเด็กในการฝึกทักษะ แต่ท้ังน้ีจะต้องอาศัย
การสง่ เสริมและความเอาใจใสจ่ ากครูผู้สอนด้วย
3. ช่วยเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เน่ืองจากเด็กมีความสามารถทางภาษาแตกต่างกัน
การให้เด็กทาแบบฝึกหัดท่ีเหมาะสมกับความสามารถของเขา จะช่วยให้เด็กประสบผลสาเร็จในด้าน
จิตใจมากขึ้น ดังนั้นแบบฝึกหัดจึงไม่ใช่สมุดฝึกที่ครูจะให้เด็กลงมือทาหน้าต่อหน้า แต่เป็นแหล่ ง
ประสบการณ์เฉพาะสาหรับเด็กท่ีต้องการความช่วยเหลือพิเศษ และเป็นเครื่องมือช่วยท่ีมีค่าของครูที่
สนองความตอ้ งการเป็นรายบคุ คลในชั้นเรยี น
4. แบบฝึก ช่วยเสริมทักษะให้คงทน ลักษณะการฝึกเพ่ือช่วยให้เกิดผลดังกล่าวน้ัน ได้แก่
ฝกึ ทนั ทหี ลงั จากทเ่ี ด็กได้เรยี นรใู้ นเร่อื งนัน้ ๆ ฝึกซ้าหลาย ๆ ครั้ง เน้นเฉพาะในเร่อื งทผ่ี ิด
5. แบบฝึกหัดท่ีใช้จะเป็นเครื่องมอื วดั ผลการเรียนหลังจากจบบทเรยี นในแต่ละคร้งั
6. แบบฝึกหัดท่ีจัดทาขึ้นเป็นรูปเล่ม เด็กสามารถเก็บรักษาไว้ใช้เป็นแนวทางเพ่ือทบทวน
ดว้ ยตนเองได้ต่อไป
7. การให้เด็กทาแบบฝึกหัด ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจน
ซงึ่ จะชว่ ยให้ครูดาเนินการปรบั ปรงุ แกไ้ ขปัญหานั้น ๆ ไดท้ นั ท่วงที
8. แบบฝกึ ท่ีจดั ข้นึ นอกเหนือจากที่มีอยู่ในหนงั สือเรียนจะช่วยใหเ้ ด็กไดฝ้ ึกฝนอย่างเต็มที่

9. แบบฝึกที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้ว จะช่วยทาให้ครูประหยัดท้ังแรงงานและเวลาในการท่ี
จะต้องเตรียมสร้างแบบฝึกอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนก็ไม่ต้องเสียเวลาในการลอกแบบฝึกหัดจากตาราเรียน
หรอื กระดานดา ทาให้มเี วลาและโอกาสไดฝ้ กึ ฝนทักษะตา่ ง ๆ มากขน้ึ

10. แบบฝึกช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะการจัดพิมพ์ข้ึนเป็นรูปเล่มท่ีแน่นอน ย่อมลงทุน
ต่ากว่าการที่จะใช้วิธีพิมพ์ลงในกระดาษไขทุกครั้ง นอกจากน้ียังมีประโยชน์ในการท่ีผู้เรียนสามารถ
บนั ทกึ และมองเห็นความก้าวหนา้ ของตนเองได้อยา่ งมรี ะบบและเป็นระเบียบ

การสร้างแบบฝึกทักษะ
ชยั วัฒน์ สุทธริ ัตน์ (2558 : 467 - 468) ไดใ้ หข้ อ้ คดิ เกยี่ วกับการสรา้ งแบบฝึกทีด่ ีไว้ดงั น้ี
1. ต้องสร้างแบบฝึกใหส้ อดคลอ้ งกับหลักจิตวิทยา และพัฒนาการของเด็กตามลาดับข้ันการ
เรียนรู้ แบบฝึกเสริมทักษะนั้นต้องอาศัยรูปภาพจูงใจนักเรียน และควรจัดเรียงเนื้อหาตามลาดับจาก
งา่ ยไปยากเพือ่ ใหน้ กั เรยี นมกี าลงั ใจทาแบบฝึก
2. มีจุดมุ่งหมายท่ีแน่นอนว่าจะฝึกทักษะในด้านใด แล้วจัดเนื้อหาให้ตรงกับจุดมุ่งหมายที่
กาหนดไว้
3. ต้องคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน ถ้าสามารถแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม
ยอ่ ยตามความสามารถ แล้วจึงจดั ทาแบบฝกึ เพื่อส่งเสริมนกั เรียนแต่ละกลุ่ม
4. แบบฝกึ ทีด่ ตี ้องมคี าช้แี จงง่าย สนั้ ๆ ทีน่ ักเรียนอา่ นเข้าใจแบบฝึกไดด้ ้วยตนเอง
5. แบบฝึกต้องมีความถูกต้อง ครูต้องพิจารณาให้รอบคอบ โดยการทดลองทาด้วยตนเอง
เสียก่อน เพ่อื ไมใ่ หม้ ีข้อผดิ พลาด
6. การให้นักเรยี นทาแบบฝึกทุกคร้งั เวลาต้องเหมาะสมกบั ช่วงความสนใจของนกั เรียน
7. แบบฝึกควรมีหลายรูปแบบ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์
และเมอ่ื ฝกึ เรื่องเดียวซา้ ๆ กนั หลายครงั้ เดก็ ไม่เบือ่ แต่พอใจท่จี ะทาแบบฝกึ น้ันดว้ ยความเพลิดเพลิน
แม้ว่าภาษาไทยและหลักภาษาไทยจะมีความสาคัญดังท่ีได้กล่าวมาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ใน
การจัดการศึกษาได้ตระหนักถึงความสาคัญและพยายามจัดการเรียนการสอนภาษาไทยให้มีคุณภาพ แต่
ปรากฏว่าปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยซ่ึงอยู่ในเกณฑ์ต่าไม่ถึงเป้าหมายที่คาดหวัง ก็ยังคงมีอยู่ต้ังแต่
อดีตจนถึงปัจจุบัน ท้ังในระดับประเทศ ระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษา จนถึงระดับโรงเรียน การพัฒนา การเรียน
การสอนมีปัจจัยสาคัญคือ ครูจะต้องพัฒนาความรู้ ความสามารถและ มีความกระตือรือร้นที่จะจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ สอดคล้องกับสภาพความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
และความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ มีสมรรถนะด้านการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้
ทกั ษะชีวิต และความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยตี ามทหี่ ลักสตู รกาหนด และการจะมคี ณุ สมบตั ิดังกล่าวนั้น
ครูจะต้องมีการคิดวิเคราะห์เพื่อวางแผนคิดกิจกรรมและวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งทาให้เกิดการ
เปล่ียนแปลงการใช้หลักสูตร และจาก สภาพการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของ

โรงเรียนบ้านไดปลาดุกราษฎร์ศรัทธาทรงธรรมที่ผา่ นมายังไม่ประสบผลสาเร็จเท่าท่ีควร จะเห็นได้จากผล
การจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านไดปลาดุก
ราษฎร์ศรัทธาทรงธรรม สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จากการ
รายงานผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยในปีการศึกษา 2564 และ ปี
การศกึ ษา 2565 ดังน้ี

ตารางท1่ี แสดงผลการประเมินผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นบ้านไดปลาดกุ ราษฎร์ศรัทธาทรงธรรม

ปีการศึกษา คะแนนเฉลย่ี เกณฑ์ที่ สรปุ ผล
สถานศกึ ษากาหนดไว้
2564 67.25 ไม่ผา่ นเกณฑ์
2565 81.50 80 ผา่ นเกณฑ์
80

จากตารางท่ี 1 แสดงผลการประเมินผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านไดปลาดุกราษฎร์ศรัทธาทรงธรรม พบว่า มีค่าเฉล่ียคิด
เป็นร้อยละ 67.25 ซ่งึ ตา่ กว่าเป้าหมายทท่ี างโรงเรียนกาหนดไวร้ ้อยละ 80 สาเหตสุ าคัญที่ทาให้ ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยต่ากวา่ เกณฑ์ เนื่องมาจาก ประสบการณ์ของนักเรียนในด้าน
การเรียนรู้ทางด้านการพูด การฟัง การอ่านการเขยี นและหลักการใช้ภาษาไทยยังอยู่ในระดับพื้นฐาน เม่ือ
พิจารณารายละเอียดเน้ือหาวิชาภาษาไทย ในสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา พบว่า นักเรียนมีปัญหาการ
เรียนรู้คาและชนิดของคา นักเรียนไม่สามารถจาแนกชนิดของคาได้ว่า คาใดเป็นคานามคาใดเป็นคา
สรรพนาม คากริยา คาบุพบท คาวิเศษณ์ คาสันธาน คาอุทาน พร้อมทั้งบอกเหตุผลไม่ได้ว่าทาไมจึงเป็น
คานามหรือคากริยา รวมถึงบอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้คาเชื่อมคาบุพบท คาสันธาน นักเรียนไม่
สามารถบอกหน้าที่ของคาแต่ละชนิดได้ ใช้คาไม่ตรงความหมาย ใช้คาไม่ถูกต้องตามชนิดและหน้าที่ของ
คา ทาให้การสื่อสารเกิดการผิดพลาดไป ประกอบกับนักเรียนไม่ชอบการอ่านและการเขียนภาษาไทย
คิดว่าภาษาไทยมีเนื้อหามาก ยาก และซับซ้อน ส่งผลให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายกับการเรียน ขาด
แรงจูงใจในการเรียนรู้ ไม่กระตือรือร้น ขาดความสนใจในการเรียน นอกจากนี้ปัญหาการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ก็มีส่วนให้นักเรียนไม่สนใจการเรียน เพราะครูผู้สอนใช้การสอนแบบเดิม ๆการสอนใชก้ ารบรรยาย
เน้ือหาให้นักเรียนฟังเป็นส่วนใหญ่ และจดตามบนกระดานดา ทาให้นักเรียนไม่สนุกกับการเรียน
บรรยากาศไม่น่าเรียน การปรับทัศนคติเก่ียวกับการเรียนหลักภาษาไทย โดยให้นักเรียนตระหนักถึง
ความสาคัญของการเรียนภาษาไทย ในเรื่องคาและชนิดของคาไม่ใช่เรื่องยากแต่ครูผู้สอนควรปรับ

กลวิธีในการสอนของครูเสียก่อน ซ่ึงครูภาษาไทยบางคนยังใช้วิธีสอนแบบเดิมโดยยึดแบบเรียนเป็นแหล่ง
ความรู้ สอนเพียงเนื้อหาที่ปรากฏในบทเรียนเท่าน้ัน หรือมุ่งสอนให้จบเนื้อหาตามที่ปรากฏอยู่ใน
แบบเรียนอย่างเดียว ทาให้นักเรียนขาดประสบการณ์ที่ควรจะได้รับ ขาดทักษะความรู้และแนวทาง
ปฏิบัติท่ีชัดเจนในการสอน ท้ังนี้การเลือกเทคนิค วิธีการที่เหมาะสม ท่ีจะทาให้นักเรียนสนุกสนานใน
การเรียน ชอบและรักท่ีจะเรียนเพ่ือถ่ายทอดความรู้สึกและจินตนาการ มาเป็นส่ิงเร้าให้ผู้เรียนแสดง
พฤติกรรมต่าง ๆ นับเป็นส่ิงท่ีสาคัญท่ีต้องคานึงถึงอย่างยิ่ง และอีกปัญหาหน่ึงที่สาคัญคือ ครูขาด
เทคนิค และวิธีการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม กิจกรรมการเรียนการสอนไม่หลากหลาย ไม่
เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ กิจกรรมไม่สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้และความต้องการของนักเรียน ซึ่งการ
จัดการเรียนการสอน ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้สอนจาเป็นต้องจัดกิจกรรมการเรียนให้ต่อเนื่อง
และสอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระภาษาไทยให้ดี
ย่งิ ข้ึน

การแก้ปัญหาการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยที่สาคัญ คือการพัฒนาการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เราควรหาวิธีการช่วยเหลือนักเรียนทั้งผู้สอนและผู้เรียน โดยใช้วิธีการสอนที่
หลากหลาย เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถตามศักยภาพของตน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคนิคการสอนและการใช้สื่อที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทของจริง เกม
บทบาทสมมุติ การกาหนดสถานการณ์ กรณีศึกษา สื่อเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ สื่อจะต้องเหมาะสมกับ
ผู้เรียน สามารถกระตุ้นให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจตามมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาไทยท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตร สมรรถนะหลัก ให้มีความสามารถด้านการคิด ท้ังนี้เพ่ือให้
ผู้เรียนได้บรรลุตามสมรรถนะท่ีกาหนดไว้ดังกล่าว จึงต้องมีกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมีคุณค่าน่าสนใจ
ชวนคิด ชวนติดตาม เข้าใจได้ง่ายและรวดเร็วข้ึน รวมท้ังเสริมสร้างให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้ด้วย
ตนเอง คิดวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง การใช้คาสื่อสาร ใน
ชีวิตประจาวันของคนเรานั้น ต้องรู้จักวิเคราะห์และเลือกใช้คาให้ถูกต้อง หากเลือกใช้คาได้ถูกต้องก็จะ
ส่งผลให้การส่ือสารนั้น ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และเกิดสัมพันธภาพท่ีดีระหว่างกันของผู้รับสาร
และผู้ส่งสาร การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ เป็นวิธีการหน่ึงท่ีสามารถนามาใช้ในการ
พัฒนาการเรียนรู้หลักภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทยให้แก่นักเรยี นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท้ังน้ีเพราะ
แบบฝกึ ทักษะช่วยเสริมสร้างให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนเรียนรู้ จนเกิดความรคู้ วามเข้าใจและความชานาญในเรือ่ งน้ัน
ได้เร็วขึ้น ทาให้การเรียนประสบผลสาเร็จ แบบฝึกเป็นเคร่ืองมือช่วยบ่งช้ีให้ครูทราบว่าผู้เรียนหรือผู้ใช้
แบบฝึกมีความรู้ ความเข้าใจในบทเรียน และสามารถนาความรู้ไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด ผู้เรียนมี
จุดเด่นท่ีควรส่งเสริมหรือมีจุดด้อยที่ต้องปรบั ปรุงแก้ไขตรงไหนอย่างไร แบบฝกึ จึงเป็นเครื่องมือสาคัญท่ี
ครทู กุ คนใชใ้ นการตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจ และพัฒนาทักษะของนกั เรยี นในวชิ าตา่ ง ๆ จากหลักการ
และเหตุผลดังกล่าว ผู้ศึกษาจึงได้ดาเนินการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้านหลักการใช้ภาษา เรื่องชนิด
และหน้าท่ีของคา โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้

ภาษาไทย เร่อื ง ชนิดของคาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5 มาเป็น
แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือให้นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ในการใช้คา
รจู้ กั คาชนดิ ต่าง ๆ และหนา้ ท่ีของคาไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ จะทาใหบ้ รรลตุ ามจดุ ประสงค์การเรียนทวี่ างไว้
และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามมาตรฐานรายวิชาพร้อมทั้งเสริมสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย
ใหเ้ ป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพต่อไป

วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย
1. เพ่ือพัฒนาทักษะหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง รอบรู้...เรื่องคาไทย ของนักเรียนช้ัน

ประถมศกึ ษาปีที่ 6
2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง รอบรู้...เร่ืองคาไทย สาหรับนักเรียนชั้น

ประถมศึกษาปีท่ี 6

ความสาคัญของการศกึ ษา
ผลของการศึกษาคร้ังนี้ทาให้ได้วิธีการสอนเร่ือง คาไทย โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active

Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เร่ือง ชนิดของคาไทย สาหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 6 อันจะเป็นแนวทางสาหรับครูผู้สอนได้นาไปใช้พัฒนากระบวนการเรียนการสอน
ภาษาไทยใหม้ ปี ระสิทธิภาพมากขึน้

ขอบเขตของการศกึ ษา
1.ขอบเขตด้านประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้าน

ไดปลาดุกราษฎร์ศรัทธาทรงธรรม สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ปี
การศึกษา 2565 จานวนท้งั ส้ิน 18 คน

2.ขอบเขตดา้ นเนอื้ หา
เน้ือหาท่ีใช้ในการศึกษาครัง้ นี้ได้แก่ เร่ือง ชนิดของคาไทย สาหรับช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 ตาม
หลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนบ้านไดปลาดุกราษฎร์ศรัทธาทรงธรรม พุทธศักราช 2551 กลุ่ม
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ซึ่งเป็นไปตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ของ
กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีเน้ือหารายละเอียดเก่ียวกับหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทย
นามาการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิด
ของคาไทย สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านไดปลาดุกราษฎร์ศรัทธาทรงธรรม
สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาพจิ ิตร เขต 2 มเี นื้อหา 7 เรอ่ื ง ดงั น้ี

เรอ่ื งที่ 1 คานาม

เรอ่ื งที่ 2 คาสรรพนาม
เรอ่ื งที่ 3 คากรยิ า
เร่อื งที่ 4 คาวเิ ศษณ์
เรอ่ื งท่ี 5 คาบพุ บท
เร่ืองที่ 6 คาสันธาน
เร่ืองท่ี 7 คาอุทาน

3. ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาค้นคว้า
ระยะเวลาท่ใี ช้ในการศกึ ษา ดาเนินการทดลองในภาคเรียนท่ี 1 ภาค ปกี ารศึกษา 2565

4.ตัวแปรทศี่ กึ ษา
ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนา
หลักการใช้ภาษาไทย เร่ือง ชนดิ ของคาไทย สาหรับนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6
ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรียน

สมมตฐิ านของการศกึ ษา
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วย

แบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เร่ือง ชนิดของคาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น
ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียน

กรอบแนวคดิ ของการศึกษา
ผู้ศึกษาได้วางกรอบแนวคิดในการเรียนการสอนภาษาไทย โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active

Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ประกอบการสอน ดังน้ี

การจัดการเรียนรู้ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เร่ือง คาไทย
แบบ Active Learning โดยการจัดการเรยี นรู้แบบ Active Learning
ดว้ ยแบบฝึกทักษะพฒั นาหลกั การ ดว้ ยแบบฝกึ ทักษะพัฒนาหลกั การใชภ้ าษาไทย

ใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทย
เร่อื ง ชนิดของคาไทย

ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ ับ
1. นกั เรยี นมีความรู้ความเข้าใจหลักการใชภ้ าษาไทยเรอื่ ง คาไทย ได้อย่างถูกต้อง
2.เปน็ แนวทางสาหรบั ครูผ้สู อนภาษาไทยในการเลือกกจิ กรรมการเรยี นการสอน
3.เป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง

ชนดิ ของคาไทย ในสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6

นิยามศัพท์เฉพาะ
1. การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning หมายถึง กระบวนการเรียนการสอนท่ี

ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในช้ันเรียน สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนลง
มอื ปฏิบัติ โดยมีครูเป็นผู้อานวยความสะดวก สร้างแรงบันดาลใจ ให้คาปรึกษา ดูแล แนะนา จัด
วิธีการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย สร้างองค์ความรู้
ได้ มีความเข้าใจในตนเอง ใช้สติปัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ผลงาน มีสมรรถนะสาคัญ มี
ทกั ษะวชิ าการ ทักษะชวี ิต บรรลุเป้าหมายการเรียนรตู้ ามระดับช่วงวัย

2. การสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทย
หมายถึง การนาแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่องชนิดของคาไทย มาใช้เป็นกิจกรรม
ประกอบการเรยี นการสอนในเนอื้ หาวชิ าหลักภาษาไทย ระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6

3. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง คาไทย โดยการจัดการ
เรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทย กลุ่ม
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งประกอบไปด้วยจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้
กระบวนการจดั การเรียนรู้ ส่ือและแหล่ง การเรยี นรู้ การวดั ผลประเมนิ ผล

4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถของนักเรียนท่ีแสดงพฤติกรรม
ตามตัวช้ีวัดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560
หลังจากสิ้นสุดการเรียนการสอนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนา
หลักการใช้ภาษาไทย เร่ือง ชนิดของคาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ซึ่ง
สามารถวัดได้จากคะแนนของนักเรียนในการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 30 ขอ้

5. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เร่ือง คาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีผู้ศึกษาสร้างข้ึน จานวน 30 ข้อ
เพ่ือใช้ทดสอบนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบ
ฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เร่ือง ชนิดของคาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 6

วธิ ดี าเนินการวิจัย
1. ประชากร
ประชากรเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านไดปลาดุกราษฎร์

ศรัทธาทรงธรรม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 สานักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน

2. เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั
2.1 แบบประเมนิ ผลหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทย
2.2 แบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่องชนิดของคาไทย สาหรับ

นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6
3. ข้ันตอนการสรา้ งเครือ่ งมอื
3.1 ศกึ ษาเอกสารหลักสูตรสถานศกึ ษา แนวคิดทฤษฎีการเรียนการสอน
3.2 ศกึ ษาปัญหาของนกั เรยี น วิเคราะหข์ ้อมลู ที่พบในการจัดการเรียนการสอน
3.3 ศกึ ษาเทคนิควิธีการจดั การเรยี นรแู้ บบ Active Learning
3.4 ศกึ ษาเทคนคิ การสรา้ งแบบฝึกทักษะ เพือ่ ให้เหมาะสมกับเน้อื หาและผู้เรยี น
3.5 สร้างแบบประเมินผลก่อนเรียน - หลังเรียน

3.6 ประเมนิ ผลก่อนใช้แบบฝึกทักษะ สาหรับนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6
3.7 ดาเนนิ การจดั กิจกรรมตามแผนการจดั การเรยี นรู้
3.8 ประเมนิ ผลหลงั ใช้แบบฝึกทักษะ สาหรับนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6

การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลในสถานการณ์จริงในช้ันเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบ

Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทย สาหรับนักเรียน
ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 และสงั เกตพฤติกรรมของผูเ้ รยี นระหวา่ งจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน

การวิเคราะห์ข้อมูล
ข้อมลู ที่รวบรวมได้จากแบบทดสอบอา่ นคาพน้ื ฐานกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน นามาวิเคราะห์

หาค่าเฉล่ีย (  ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วเปรียบเทียบคะแนนความก้าวหน้าของ
นักเรียนแตล่ ะคน

ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล

ข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มท่ีศึกษา คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านไดปลาดุก
ราษฎร์ศรัทธาทรงธรรม ท้ังหมดรวม 18 คน มีการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน แล้วจึง
ดาเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึก
ทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรือ่ ง ชนิดของคาไทย สาหรับนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 หลงั จาก
น้ันจึงทาการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิหลังเรียน แล้วจึงนาผลมาเก็บรวบรวม ข้อมูลก่อนเรียนและหลัง
เรยี นท่รี วบรวมได้จากเครอ่ื งมอื ทผี่ ูว้ ิจยั สร้างขึ้นมาจาแนกผลการเรยี นรู้ ดงั น้ี

สรุปได้ว่านักเรียนท้ัง 18 คน มีความก้าวหน้าในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เร่ือง ชนิดของคาไทย สาหรบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี
6 ประกอบการเรยี นรเู้ รือ่ ง ชนิดของคาไทย

ค่าเฉล่ียและค่าเบีย่ งเบนมาตรฐานของนักเรยี นในการการจดั การเรียนรู้แบบ Active Learning

ดว้ ยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรอ่ื ง ชนดิ ของคาไทย

สาหรับนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6

การฝึก จานวน ผลรวม คา่ เฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบน

นกั เรยี น X X รอ้ ยละ มาตรฐาน

ค่า S.D

ก่อนเรียน 18 คน 266 14.78 55.42 4.71

หลังเรียน 18 คน 425 25.11 94.17 3.41

จากตารางสรุปได้ว่าการการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนา
หลักการใช้ภาษาไทย เร่ือง ชนิดของคาไทย สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย
เท่ากับ 14.78 หลังเรียนมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 25.11 จะเห็นได้ว่าคะแนนของค่าเฉล่ียหลังเรียนมี
ค่ามากกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ 4.71 ส่วน
ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานหลงั เรยี นมคี ่าเท่ากับ 3.41 แสดงว่าขอ้ มูลมีคา่ คะแนนใกล้เคียงกัน

สรุปผลการวจิ ยั
การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ชนิดของคาไทย โดย

การจัดการเรยี นรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคา
ไทย สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพ่ือแก้ปัญหาการใช้ภาษาไทยเร่ือง คาไทย สาหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านไดปลาดุกราษฎร์ศรัทธาทรงธรรม พบว่า นักเรียนมี
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เรอื่ ง ชนดิ ของคาไทย ดีขน้ึ

อภิปรายผล
ผลการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนหลังการจัดการ

เรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทย
สาหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 มคี ณุ ภาพและประสทิ ธิภาพอย่างดยี ่งิ ดว้ ยเหตุผลดังตอ่ ไปน้ี

1. แบบฝึกทกั ษะพฒั นาหลักการใช้ภาษาไทย รอบร.ู้ ..เรอ่ื งคาไทย สาหรบั นกั เรียนช้นั
ประถมศึกษาปีที่ 6 เปน็ สื่อท่มี ีคณุ ภาพและประสทิ ธิภาพตามผลของการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดังกลา่ ว

2. แบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย รอบรู้...เรื่องคาไทย สาหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 6 ชุดนี้สร้างขึ้นอย่างถูกวิธี ได้ผ่านขั้นตอนการสร้างและพัฒนาอย่างเป็นระบบ
เร่ิมต้ังแต่เอกสารหลักสูตรและเอกสารท่ีเก่ียวข้องในการใช้หลักสูตร และยังได้รับการแนะนา
ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านเนื้อหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ความ
เหมาะสมของเนือ้ หา

3. การจัดการเรียนรแู้ บบ Active Learning ดว้ ยแบบฝกึ ทกั ษะพฒั นาหลกั การใชภ้ าษาไทย
เร่ือง ชนิดของคาไทย สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการ
เรียนรู้

4. การการจัดการเรยี นรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย
เร่อื ง ชนิดของคาไทย สาหรับนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6ไดเ้ รียงลาดับความยากง่ายสอดคล้องตาม
ธรรมชาติการเรยี นรู้ ทาให้เรยี นรู้สึกว่าตนเองประสบความสาเร็จในการเรยี นรู้ จงึ สรปุ ไดว้ ่าการจดั การ
เรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เร่ือง ชนิดของคาไทย
สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง สามารถนาไปใช้ในการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ ส่งผลให้ผเู้ รยี นมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนสงู ขนึ้

ขอ้ เสนอแนะ
จากผลการศกึ ษาค้นควา้ ครง้ั นม้ี ีข้อเสนอแนะเพอื่ ประโยชนต์ อ่ วงการศกึ ษาดงั น้ี
1. ก่อนนาแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคาไทย สาหรับ

นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 ไปใชป้ ระกอบการสอน ผูส้ อนควรศึกษารายละเอียดของทกุ กิจกรรม
กอ่ นนาไปใช้

2. การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยแบบฝึกทักษะพัฒนาหลักการใช้ภาษาไทย
เรอื่ ง ชนิดของคาไทย สาหรับนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 นี้ จะเกิดความสมบูรณ์ครูผสู้ อนต้องใช้
ควบคู่ไปกับแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยจัดทาขึ้น จัดกิจกรรมให้ครบทุกขั้นตอน ต้องตรวจแบบฝึก
อย่างเป็นปัจจบุ นั ใหผ้ ู้เรยี นรู้ผลทันที พร้อมกบั เฉลยคาตอบทถี่ ูกตอ้ งใหผ้ เู้ รียนไดร้ ้ทู ุกครง้ั

ภาคผนวก

แบบบนั ทกึ คะแนนทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนก่อนเรียน – หลงั เรยี น
เรอื่ ง ชนดิ ของคาไทย

นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรียนบา้ นไดปลาดกุ ราษฎรศ์ รทั ธาทรงธรรม

เลขท่ี ช่อื - สกลุ ก่อนเรยี น หลังเรียน
30 คะแนน 30 คะแนน
1 เดก็ ชายกฤษณะ นากรณ์
2 เด็กชายณัฐพงศ์ เวยี งสมิ า 9 20
3 เด็กชายณฏั ฐกติ ต์ วัตทัน 11 21
4 เด็กชายภานุพงศ์ วรรณศรี 6 19
5 เด็กชายคุณานนท์ อินทร์เถื่อน 14 25
6 เดก็ ชายนนธวัช หริ ัญชาติ 15 26
7 เด็กชายณฐกฤต ทบั แสง 14 26
8 เดก็ ชายณฐกร ทับแสง 7 20
9 เดก็ ชายเดชตะวนั จนั ทวี 10 22
10 เด็กชายรชั พงษ์ ผงคามี 14 27
11 เด็กหญงิ รติรส คงดา 15 25
12 เด็กหญงิ ณชิ ารยี ์ สิทธิกอน 18 28
13 เด็กหญงิ กญั ญาวรี ์ มากร่ืน 19 24
141 เดก็ หญิงวิจติ รา บญุ ทองดี 19 29
5 เดก็ หญิงรัชพร สนุ ทรวารี 24 30
16 เด็กหญงิ ดารกิ า เพ็งทรพั ย์ 18 28
17 เดก็ หญิงพันธติ รา น่มิ มณี 18 27
18 เด็กหญงิ ปิยธดิ า รวบรวม 18 26
17 29
เฉล่ยี 14.78 25.11
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 55.42 94.17
4.71 3.41
ร้อยละ

แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น

แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น

กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เรอ่ื ง ชนิดของคาไทย

คาช้แี จง จงวงกลมลอ้ มรอบคาตอบทถ่ี ูกต้องท่ีสดุ เพยี งคาตอบเดียว (๓๐ คะแนน)

๑. คาไทยมกี ี่ชนิด ก. ฉนั หิวข้าว
ข. แม่ของฉนั เปน็ คนใจดี
ก. ๔ ชนิด ค. พระฉนั ภตั ตาหาร
ง. แมใ่ หฉ้ นั ล้างจาน
ข. ๕ ชนดิ ๗. คาชนิดใดเปล่งออกมาเพ่ือ
แสดงความรสู้ ึกของผู้พดู
ค. ๖ ชนดิ ก. คากริยา
ข. คาอุทาน
ง. ๗ ชนิด ค. คาสันธาน
ง. คานาม
๒. คาชนดิ ใดใช้เรียกชือ่ คน,สัตว์,สงิ่ ของ ๘. “เธอชอบกรงุ เทพหรอื เชียงราย”
คาที่ขีดเสน้ ใตเ้ ปน็ คาชนิดใด
ก. คานาม ก. คานาม
ข. คาอทุ าน
ข. คาสรรพนาม ค. คาสนั ธาน
ง. คาบพุ บท
ค. คาสันธาน ๙. “แม่ของฉันชอบกินองนุ่ ”
คาใดเป็นคาบพุ บท
ง. คาวิเศษณ์ ก. ของ
ข. ชอบ
๓. คาในขอ้ ใดเป็นคานามทกุ คา ค. กิน
ง. องนุ่
ก. เกบ็ เกีย่ ว อา่ นเขียน

ข. เชยี งราย ดนิ สอ

ค. หวั เราะ ทหาร

ง. พระคุณท่าน นมสั การ

๔. “สามกก๊ เป็นหนงั สอื ทรงคณุ ค่า”

คาใดเป็นคาวสิ ามานยนาม

ก. สามก๊ก

ข. เป็น

ค. หนงั สอื

ง. คณุ คา่

๕. คาชนิดใดใชแ้ ทนคานามท่กี ล่าวมาแลว้

ก. คาอุทาน

ข. คาบพุ บท

ค. คากรยิ า

ง. คาสรรพนาม

๖. “ฉนั ” ในข้อใดเปน็ คากริยา

๑๐. ข้อใดมคี าสรรพนามบรุ ุษท่ี ๒ ไดแ้ กค่ าชนิดใด
ก. ดฉิ นั มกี ระเป๋า ๒ ใบ ก. คาอุทาน
ข. พวกมันมี ๔ ขา ข. คาสนั ธาน
ค. อาตมากาลังจาวดั อยู่ ค. คาบพุ บท
ง. คณุ จะซื้ออะไรคะ ง. คาสรรพนาม
๑๗. ขอ้ ใดใชค้ าบุพบทถูกต้อง
๑๑. คาในข้อใดเปน็ คากริยาทุกคา ก. ทนายย่ืนคาให้การกับศาล
ก. แกไ้ ข มะม่วงเปรีย้ ว ข. ทนายย่นื คาให้การแด่ศาล
ข. อ่อนแอ วงรี ค. ทนายยื่นคาใหก้ ารแก่ศาล
ค. สีรุ้ง นอนหลับ ง. ทนายยนื่ คาใหก้ ารต่อศาล
ง. กนิ ขา้ ว วิง่ ราว ๑๘. สรรพนามบุรษุ ท่ี ๑ เมือ่ คนทั่วไปพูดกับ
พระเจา้ แผน่ ดินคือขอ้ ใด
๑๒. คาชนดิ ใดใชข้ ยายความใหช้ ดั เจน ก. หม่อมฉนั
ก. คาสนั ธาน ข. เกล้ากระหม่อม
ข. คาวิเศษณ์ ค. ข้าพระพทุ ธเจ้า
ค. คากริยา ง. กระหมอ่ ม
ง. คาสรรพนาม ๑๙. คาวา่ “กัน” ในข้อใดเป็นคากรยิ า
ก. เด็ก ๆ อย่าทะเลาะกันเลย
๑๓. “แกงปา่ น้ีมีรสเผ็ด” คาใดเป็นคาวิเศษณ์ ข. กนั ไปดว้ ยคนนะ
ก. แกงป่า ค. เอามือกันเดก็ คนน้นั ไว้
ข. มี ง. ฉนั ไม่อยากฟังขา่ วทเี่ ขาลอื กัน
ค. รส ๒๐. “..................เสร็จเสยี ที”
ง. เผ็ด ควรเตมิ คาใด
ก. เฮ้อ!
๑๔. “อาจารย์ใหร้ างวลั แก่นักอ่านรุน่ เยาว์” ข. โอ้โห!
คาที่ขีดเส้นใต้เปน็ คาชนิดใด ค. โอย๊ !
ก. คาสนั ธาน ง. วา้ ย!
ข. คาวิเศษณ์
ค. คาบพุ บท
ง. คาสรรพนาม

๑๕. ข้อใดไม่มคี าสรรพนาม
ก. อะไรอยู่ในกอไผ่
ข. นั้นคือโรงเรียนของฉัน
ค. ครูสอนนกั เรยี น
ง. เขารักสุนขั มาก

๑๖. คาทเี่ ปล่งออกมาเพ่ือแสดงอารมณ์

๒๑. “ถึงพ่ีจะปากรา้ ย............กใ็ จดี” ๒๖. “............ เขาจะตกงานฉันกร็ กั เขา”
ควรเตมิ คาใด ก. แม้แต่
ก. และ ข. ถงึ
ข. เพราะ ค. หาก
ค. แต่ ง. กว่า
ง. จึง
๒๗. “สาธติ และดวงแก้ว ไปซื้อกบั ข้าวท่ีตลาด
๒๒. ข้อใดมคี าบุพบทในประโยค บางลาพ”ู มวี ิสามานยนามกี่คา
ก. นกบินอยู่บนทอ้ งฟ้า
ข. แมอ่ ยู่ข้างใน ก. ๑ คา
ค. พี่และนอ้ งไปโรงเรียน ข. ๒ คา
ง. โอย๊ ! เจบ็ จังเลย ค. ๓ คา
ง. ๔ คา
๒๓. “ครพู รอ้ มท่จี ะช่วยเหลอื .........ศิษย์เสมอ” ๒๘. คาชนดิ ใดใชเ้ ช่ือมถ้อยคาใหส้ ละสลวย
ก. กบั มคี วามหมายชัดเจนข้ึน
ข. แก่ ก. คาบุพบท
ค. สาหรับ ข. คาสนั ธาน
ง. ต่อ ค. คาอทุ าน
ง. คาวิเศษณ์
๒๔. ขอ้ ใดเป็นคาวิเศษณท์ ้ังหมด ๒๙. “เขาโดนโกง.............เขาไมร่ ้หู นงั สอื ”
ก. เรว็ ใหญ่ เขียว
ข. เขียว แต่ เย็น ควรเตมิ คาใด
ค. หอม สนกุ ที่ ก. จึง
ง. สวย กว้าง ไก่ ข. ต่อ
ค. เพราะ
๒๕. “อารวี งิ่ เร็วเหมอื นมา้ ” ง. แก่
คาใดเปน็ คากรยิ า ๓๐. “บ้านของฉนั อยู่............กบั โรงเรียน”
ก. เรว็ ก. ใน
ข. เหมอื น ข. ใกล้
ค. ว่งิ ค. โดย
ง. มา้ ง. ติด

เฉลยแบบทดสอบ

๑. ง
๒. ก
๓. ข
๔. ก
๕. ง
๖. ค
๗. ข
๘. ค
๙. ก
๑๐. ง
๑๑. ง
๑๒. ข
๑๓. ง
๑๔. ค
๑๕. ค
๑๖. ก
๑๗. ง
๑๘. ก
๑๙. ค
๒๐. ก
๒๑. ค
๒๒. ก
๒๓. ข
๒๔. ก
๒๕. ค
๒๖. ข
๒๗. ค
๒๘. ข
๒๙. ค
๓๐. ข

ตวั อยา่ งแบบฝกึ ทกั ษะ

แบบฝึ กทกั ษะที่ ๔

คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนบอกชนิดของคำนำมที่กำหนดใหถ้ ูกตอ้ ง (๑๐ คะแนน)
สำมำนยนำม วิสำมำนยนำม สมุหนำม ลกั ษณะนำม อำกำรนำม

ตวั อย่ำง ฉนั ทำกำรบำ้ น ชนิดของคำนำม
๑. ยำยจบั ปลำได้ ๗ ตวั อำกำรนำม
๒. แม่คำ้ ขำยกลว้ ยได้ ๓ หวี
๓. แม่สอนลูกใหท้ ำควำมดี
๔. เธอเป็นนอ้ งของสุนำรี
๕. ดินสออยใู่ นกระเป๋ ำ
๖. คุณครูใหค้ วำมรู้แก่นกั เรียน
๗. ฝงู แกะกินหญำ้ อยใู่ นนำ
๘. คณะครูไปศึกษำแหล่งเรียนรู้
๙. เดก็ ๆไปเท่ียวจงั หวดั เชียงใหม่
๑๐. ฉนั เห็นปลำวำ่ ยอยใู่ นน้ำ

แบบฝึ กทกั ษะท่ี ๑๑

คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนขีดเสน้ ใตค้ ำสรรพนำมแลว้ นำไปเขียนในช่องวำ่ งใหถ้ ูกตอ้ ง
(๑๐ คะแนน)

ตวั อย่ำง ฉนั ชอบเรียนวิชำภำษำไทย ฉัน

๑. กรุณำอ่ำนตำมขำ้ พเจำ้

๒. นนั่ คือกระเป๋ ำของปรำณี

๓. อำตมำกำลงั นง่ั สมำธิ

๔. ฉนั ช่วยยำยขำยของ

๕. ขอใหพ้ ระองคท์ รงพระเจริญ

๖. ชำตรีเกบ็ ส่ิงใดไวใ้ นกระเป๋ ำ

๗. แม่อยำกใหเ้ ขำเป็นเด็กดี

๘. ตวั อะไรอยใู่ นกอไม้

๙. ใครเป็นนกั กีฬำฟุตบอล

๑๐. พวกเรำอยำกเป็นคุณครู

แบบฝึ กทกั ษะท่ี ๑๙

คำชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนยกตวั อยำ่ งประโยคตำมชนิดของคำกริยำท่ีกำหนดใหถ้ ูกตอ้ ง
(๑๐ คะแนน)

๑. อกรรมกริยำ ตวั อย่ำง คุณตำนง่ั บนเกำ้ อ้ีมำ้ โยก

๒. สกรรมกริยำ ตวั อย่ำง ป้ำแดงขำยผลไมใ้ นตลำด

๓. วกิ ตรรถกริยำ ตวั อย่ำง แกว้ เป็นคุณครูสอนภำษำไทย

๔. กริยำนุเครำะห์ ตวั อย่ำง พวกเรำตอ้ งไปโรงเรียน

๕. กริยำสภำวมำลำ ตวั อย่ำง อ่ำนหนงั สือมำกจะสอบผำ่ น

แบบฝึ กทกั ษะท่ี ๒๒

คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนวงกลมลอ้ มรอบคำวิเศษณ์แลว้ นำไปเขียนในช่องวำ่ ง

ใหถ้ ูกตอ้ ง (๑๐ คะแนน)

ตวั อย่ำง แขง็ ของ ขำ้ ว แขง็

๑. เรียก ร้อน เรื่อง

๒. เตำรีด ไพเรำะ ตะโกน

๓. โกรธ หวั ใจ นอ้ ยกวำ่

๔. เดิน หวำน ทหำร

๕. แกว้ เกลียด ไกล

๖. หมำย หมุน เหมน็

๗. เหลือง กวำด นกั เรียน

๘. หน่ึง หนุน หนำม

๙. ทุเรียน ธนำคำร วอ่ งไว

๑๐. เปร้ียว ทุ่งนำ กล่อง

แบบฝึ กทกั ษะท่ี ๒๘

คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนเขียนคำบุพบทลงในช่องวำ่ งใหถ้ ูกตอ้ ง (๑๐ คะแนน)

ตวั อย่ำง ของ
โรงเรียนอย.ู่ ........ใกล.้ ..........ตลำด ใน
ดว้ ย
๑. สุนขั ....................ฉนั ชื่อถุงทอง โดย
๒. พอ่ แม่ทำงำนหนกั ...................ลูก จน
๓. พวกเรำจะไปเท่ียว....................กนั ใกล้
๔. พอ่ ไปทำงำน..................ตอนเชำ้ เพรำะ
๕. ชำวบำ้ นถวำยพวงมำลยั ....................พระรำชำ กบั
๖. ปวีณำนงั่ ดูทีวี...................สวำ่ ง ต้งั แต่
๗. ปลำวำฬอำศยั อย.ู่ ..................ทะเล แก่
๘. คุณยำ่ ใหร้ ำงวลั ................หลำนสำว เพื่อ
๙. นกั เรียนตอ้ งซ่ือสตั ย.์ ....................ตนเอง ต่อ
๑๐. สุดำ..............มำนีเป็นเพ่ือนรักกนั แด่

แบบฝึ กทกั ษะที่ ๓๔

คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนขีดเสน้ ใตค้ ำสนั ธำนในประโยคแลว้ นำไปเขียนลงใน
ช่องวำ่ งใหถ้ ูกตอ้ ง (๑๐ คะแนน)

ตวั อย่ำง คุณครูรักนกั เรียนเหมือนลูกคนหน่ึง เหมือน

๑. เธอจะซ้ือขนมปังหรือลูกอม

๒. ท้งั พอ่ และแม่ตอ้ งช่วยกนั ทำงำน

๓. เพรำะเธอกินจุจึงทำให้อว้ น

๔. เธอตอ้ งเรียนหนงั สือมิฉะน้นั เธอจะไม่มีควำมรู้

๕. ถำ้ เขำมีควำมสุขฉนั กย็ นิ ดีดว้ ย

๖. ฉนั และเธอตอ้ งไปพบคุณครู

๗. ฝนตกหนกั น้ำจึงท่วม

๘. ถึงฉนั จะเรียนไม่เก่งแต่ฉนั กเ็ ป็นคนดี

๙. พรุ่งน้ีฉนั อำจจะไม่ไปทำงำน

๑๐. กวำ่ ถวั่ จะสุกงำกไ็ หม้

แบบฝึ กทกั ษะที่ ๔๑

คำชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนเติมคำอุทำนลงในประโยคใหถ้ ูกตอ้ ง (๑๐ คะแนน)

ตวั อย่ำง ..........อ๋อ!..........เขำ้ ใจแลว้ วำ้ ! อ๋อ!

๑. ..................มนั น่ำเจบ็ ใจจริงๆ อ๋อ! ฮืม!

๒. ....................น่ำสงสำรจงั เลย ชิชะ! โธ่!

๓. ...................วนั น้ีเธอสวยจงั เลย เฮอ้ ! โอโ้ ห!

๔. .....................บงั อำจมำลอ้ เลียนฉนั หนอย! เย!้

๕. ..................เจบ็ จงั เลย ไชโย! โอย๊ !

๖. ....................รองเทำ้ หำยไปไหน เฮ!้ เอะ๊ !

๗. ................... หำยใจไม่ออก ช่วยดว้ ย! ย้!ี

๘. ....................ไม่อยำกกลบั บำ้ นเลย เฮอ้ ! อ๋ี!

๙. ....................พวกเรำชนะแลว้ โธ่! ไชโย!

๑๐. .....................ตกใจหมดเลย วำ้ ย! เชอะ!

ตวั อยา่ งแผนการจดั การเรยี นรู้แผนท่ี 1

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๒

กล่มุ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ ภาคเรียนท่ี 1/2565
เวลาเรียน ๒๐ ชั่วโมง
เรอื่ ง ชนดิ ของคาไทย เวลาเรียน ๑ ชั่วโมง
วันท่.ี ............................
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๒ เรื่อง ความหมายของคานาม

ครูผสู้ อน นางสาวจิรดา วนุ่ กรดั

มาตรฐาน ท. ๔.๑ : เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษา
และพลังของภาษา ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัติของชาติ

สาระสาคัญ
คานาม เปน็ คาท่ีใชเ้ รียกช่อื คน พชื สัตว์ สิ่งของ และสถานท่ี คานามมี ๕ ชนดิ คอื สามา

นยนาม วิสามานยนาม สมหุ นาม ลกั ษณะนาม และอาการนาม ซง่ึ ควรเลือกใช้ใหเ้ หมาะสมตามลักษณะ
และหนา้ ทข่ี องคานามแต่ละชนิด จึงจะสามารถนาไปใช้ได้อยา่ งถูกต้อง

ตวั ชวี้ ดั
ท ๔.๑ ป.๖/๑ วเิ คราะห์ชนดิ และหนา้ ท่ขี องคาในประโยค

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
๑. บอกความหมายของคานามไดถ้ กู ต้อง
๒. ยกตัวอยา่ งคานามในชวี ติ ประจาวนั ไดถ้ กู ต้อง

คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
๑. นกั เรยี นใฝ่เรยี นรู้

สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
๑. ความสามารถในการส่ือสาร

สาระการเรียนรู้
๑. ความหมายของคานาม

ชิน้ งาน / ภาระงาน
-

การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

ขนั้ นาเข้าส่บู ทเรยี น
๑. นักเรียนทกุ คนยนื เปน็ วงกลมแลว้ ร่วมกนั เลน่ เกม “แขง่ กนั พูด” โดยหมุนเวียนกันบอก

ช่อื สัตว์ทีละคน ถา้ หากใครตอบผิดหรอื ตอบซา้ กันจะต้องออกมาน่งั กลางวง จากนัน้ หมุนเวียนกนั บอกช่ือ

สิ่งของ , ชอ่ื คน , ชอ่ื พชื และชื่อสถานท่ี นกั เรียนท่ียนื เหลอื อยู่เปน็ ผู้ชนะ
ข้นั สอน
๒. แบง่ นกั เรยี นออกเป็น ๔ กลุ่ม รว่ มกนั เขยี นความหมายของคานามตามความเข้าใจ

ของนักเรียน ลงในกระดาษด้วยปากกาเคมี
๓. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มนาความหมายของคานามตดิ เรยี งกนั บนกระดาน
๔. นกั เรยี นร่วมกนั อา่ นแถบประโยคความหมายของคานามทถ่ี ูกตอ้ งพร้อมๆกนั จากนั้น

ร่วมกันตรวจสอบความหมายของแต่ละกลุ่ม มอบรางวัลเปน็ เสยี งปรบมือสาหรบั กลุ่มทีเ่ ขยี นความหมาย
ของคานามไดถ้ ูกต้อง

๕. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกันอา่ นคาแนะนาการใช้แบบฝึกทักษะ (สาหรบั นกั เรยี น)
ให้เขา้ ใจ และปฏบิ ัติตามขน้ั ตอนอยา่ งเคร่งครดั

๖. นักเรียนร่วมกันศึกษาใบความรู้ “ความหมายของคานาม”
๗. นกั เรียนร่วมกันยกตัวอย่างคานามในหอ้ งเรยี นเช่น โตะ๊ เกา้ อ้ี นกั เรยี น ไม้บรรทัด
ยางลบ ดินสอ เปน็ ตน้
๘. นกั เรยี นทาแบบฝึกท่ี ๑ โดยเขียนความหมายของคานาม และยกตัวอยา่ งคานามทร่ี ู้จัก
ในชวี ติ ประจาวัน
ขน้ั สรปุ
๙. นักเรยี นร่วมกันอภิปราย สรุปความหมายของคานาม และยกตวั อย่างคานามที่รจู้ กั
ในชวี ติ ประจาวนั โดยรว่ มกนั เขียนความหมายของคานามบนกระดาน พร้อมกบั ยกตวั อย่างประกอบ

ส่ือและแหล่งการเรยี นรู้
๑. เกม “แขง่ กนั พดู ”
๒. ใบความรู้ “ความหมายของคานาม”

การวัดผลและประเมนิ ผล

จดุ ประสงค์ วธิ ีการวัด เครอื่ งมอื วัด เกณฑก์ ารประเมินผล
ตรวจแบบฝกึ แบบฝกึ
๑.บอกความหมายของ ผ่านเกณฑ์การทาแบบฝกึ
คานามไดถ้ ูกต้อง รอ้ ยละ ๘๐

๒.ยกตวั อยา่ งคานามใน ตรวจแบบฝกึ แบบฝึก ผ่านเกณฑ์การทาแบบฝึก
ชวี ติ ประจาวนั ได้ถูกตอ้ ง ร้อยละ ๘๐

๓.คณุ ลกั ษณะ สังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมินคณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ
อนั พึงประสงค์ การรว่ มกิจกรรม อันพงึ ประสงค์ คณุ ลกั ษณะ
- ใฝเ่ รยี นรู้ ของนักเรียน ของนักเรียน อนั พงึ ประสงค์ ได้ระดบั
คณุ ภาพ ๒ ขน้ึ ไป
๔.สมรรถนะสาคญั ของ สังเกตสมรรถนะสาคัญ แบบประเมนิ สมรรถนะ
ผูเ้ รียน ด้านความ สาคัญ ดา้ นความ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ
- ความสามารถใน สามารถในการสอ่ื สาร สามารถในการสื่อสาร สมรรถนะสาคัญ
การส่อื สาร ของนักเรียน ของนักเรียน ดา้ นความสามารถใน
การส่ือสาร ระดบั
คณุ ภาพ ๒ ขึ้นไป

ความคดิ เห็นของผบู้ รหิ าร

ไดต้ รวจแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๒ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่อื ง ชนดิ ของ

คาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๖ มคี วามเห็นดงั น้ี

๑. องค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นรูค้ รบถว้ น

( ) ดีมาก ( ) ดี

( ) พอใช้ ( ) ควรปรับปรุง

๒. สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ช้ีวดั

( ) สอดคลอ้ งครอบคุลม ( ) ไมส่ อดคล้องไมค่ รอบคลุม

๓. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ไดเ้ หมาะสม เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญ

( ) ดีมาก ( ) ดี

( ) พอใช้ ( ) ควรปรับปรงุ

๔. การใชส้ ือ่ และนวัตกรรมที่หลากหลายและเหมาะสม

( ) ดีมาก ( ) ดี

( ) พอใช้ ( ) ควรปรับปรงุ

๕. การวัดผลประเมินผลเหมาะสม

( ) ดมี าก ( ) ดี

( ) พอใช้ ( ) ควรปรบั ปรงุ

ข้อเสนอแนะอน่ื ๆ
............................................................................................................................. .................................
..........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................
............................................................................................................................. .............................................
..................................................................................................................................................

ลงช่ือ............................................
(นายสมบูรณ์ อนิ ทนิล)

ผู้อานวยการโรงเรยี นบ้านไดปลาดุกราษฎรศ์ รัทธาทรงธรรม

บันทกึ ผลหลงั การสอน
จดุ ประสงคข์ ้อ ๑ บอกความหมายของคานามไดถ้ ูกต้อง
จานวนนกั เรยี นทผ่ี ่านเกณฑก์ ารประเมิน จานวน.............คน คิดเปน็ ร้อยละ............
จุดประสงค์ข้อ ๒ ยกตัวอย่างคานามในชวี ติ ประจาวนั ได้ถกู ต้อง
จานวนนกั เรียนทผ่ี า่ นเกณฑก์ ารประเมิน จานวน.............คน คดิ เป็นร้อยละ............

คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ นักเรยี นใฝ่เรียนรู้
จานวนนกั เรยี นทีไ่ ด้ระดบั คุณภาพดมี าก จานวน.............คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ............
จานวนนกั เรยี นทไ่ี ด้ระดับคุณภาพดี จานวน.............คน คิดเป็นรอ้ ยละ............
จานวนนกั เรียนทไ่ี ดร้ ะดับคุณภาพพอใช้ จานวน.............คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ............
จานวนนักเรียนที่ได้ระดบั คุณภาพปรบั ปรุง จานวน..........คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ............

สมรรถสาคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสือ่ สาร
จานวนนกั เรียนทไี่ ดร้ ะดบั คุณภาพดีมาก จานวน.............คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ............
จานวนนกั เรยี นท่ีได้ระดับคุณภาพดี จานวน.............คน คดิ เปน็ ร้อยละ............
จานวนนักเรยี นที่ไดร้ ะดับคณุ ภาพพอใช้ จานวน.............คน คดิ เป็นร้อยละ............
จานวนนักเรียนทไี่ ด้ระดบั คณุ ภาพปรับปรุง จานวน..........คน คดิ เปน็ ร้อยละ............

ปัญหาและอปุ สรรค
............................................................................................................................. .................................
............................................................................................................................... ...............................
ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................

ลงชื่อ .............................................
(นางสาวจิรดา วุ่นกรัด)

แบบประเมนิ การตรวจแบบฝึก

เลขที่ ชอื่ – สกุล แบบ ึฝก ่ีท ๑รวม สรุป
๑๐
1 ๑๐ ผา่ น ไม่ผ่าน
2
3 ไดค้ ะแนนรวม ๘ คะแนนข้ึนไป ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18

เกณฑก์ ารประเมนิ (ผ่าน ๘๐%)

รายละเอยี ดเกณฑ์การให้คะแนนการตรวจแบบฝกึ

แบบฝึกท่ี ๑ “คานาม...น่ารู้” รวม ๑๐ คะแนน

ประเด็นการประเมิน ๒ เกณฑ์การให้คะแนน ๐


การเขียนอธิบาย เขยี นอธบิ ายความหมาย เขยี นอธบิ ายความหมาย เขยี นอธบิ ายความหมาย

ความหมายของคานาม ของคานามได้ถูกต้อง ของคานามไดไ้ ม่ครบถว้ น ของคานามไม่ถูกต้อง

(คะแนนเต็ม ๒ คะแนน) ครบถ้วน ใชภ้ าษาเขา้ ใจ ใชภ้ าษาวกวนเลก็ นอ้ ย ใช้ภาษาวกไปวนมา

ง่ายไม่วกวน

เกณฑ์การใหค้ ะแนน

การยกตวั อย่างคานาม

(คะแนนเต็ม ๘ คะแนน) ยกตวั อยา่ งคานามได้ถูกต้องจานวน ๘ ข้อ ให้คะแนนข้อละ ๑ คะแนน

แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์

เลขท่ี ช่อื – สกลุ รายการประเมิน ระดบั ผลการ
ใฝ่เรยี นรู้ คุณภาพ ตัดสิน
1
2 เกณฑก์ ารประเมิน
3 ๓๒๑
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18

เกณฑ์การประเมินคุณภาพ หมายถึง ดีเยีย่ ม
ระดบั คุณภาพ ๓ หมายถงึ ดี
ระดบั คุณภาพ ๒ ๑ หมายถงึ พอใช้
ระดบั คุณภาพ

เกณฑก์ ารตดั สิน ได้ระดับคณุ ภาพ ๒ ขึ้นไปถือว่าผ่าน

รายละเอียดเกณฑก์ ารประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของนักเรยี นใฝ่เรียนรู้

ประเด็นการประเมนิ ๓ ระดับคุณภาพ ๑
ใฝ่เรียนรู้
นักเรียนตง้ั ใจเรยี น ๒ นักเรียนไมต่ ้ังใจเรยี น
มีสมาธใิ นการเรียน คยุ หรอื เล่นใน
กระตือรือรน้ นกั เรยี นต้ังใจเรยี น เวลาเรียน
สนใจรว่ มกจิ กรรม มีสมาธิในการเรียน และไม่สนใจ
อยู่เสมอ กระตือรือร้น ร่วมกิจกรรม
สนใจร่วมกจิ กรรม
เป็นบางเวลา

แบบประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน

เลขที่ ชอ่ื - สกุล รายการที่สงั เกต ระ ัดบ
ดา้ นความสามารถ คุณภาพ
1 สรุปผลการ
2 ในการสื่อสาร ประเมิน
3
4 เต็ม ๓ คะแนน
5
6 ๓๒๑๐
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18

เกณฑ์การใหค้ ะแนน หมายถึง ดีเยยี่ ม
ระดับคุณภาพ ๓ หมายถึง ดี
ระดับคุณภาพ ๒ ๑ หมายถึง พอใช้
๐ หมายถึง ปรบั ปรงุ
ระดบั คุณภาพ
ระดบั คุณภาพ

เกณฑก์ ารตัดสิน ไดร้ ะดับคุณภาพ ๒ ขึน้ ไปถอื ว่าผ่าน

รายละเอียดเกณฑก์ ารประเมินสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน

รายการสังเกต เกณฑก์ ารให้คะแนน
๓๒๑๐
ดา้ นความสามารถใน
การสอ่ื สาร พฤติกรรมที่ พฤติกรรมที่ พฤติกรรมที่ พฤติกรรมที่
๑. มคี วามสามารถในการ ปฏบิ ัตชิ ัดเจน ปฏบิ ตั ชิ ดั เจน ปฏิบัตบิ างครงั้ ไมเ่ คยปฏิบัติ
รบั - สง่ สาร และสม่าเสมอ และบอ่ ยครั้ง
๒. มีความสามารถในการ
ถ่ายทอดความรู้ ความคิด
ความเขา้ ใจของตนเอง
โดยใชภ้ าษาอยา่ งเหมาะสม

ภาพกิจกรรม







บรรณานุกรม

จงชัย เจนหตั ถการกิจ. หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ : บริษัท ธนาเพรส จากดั , ๒๕๕๑.
ไชยยศ เรอื งสุวรรณ. Active Learning. ขา่ วสารวิชาการ คณะเภสัชศาสตร์

มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ประจาเดือนพฤศจิกายน, ๒๕๕๓.
ชยั วัฒน์ สทุ ธริ ตั น.์ 80 นวตั กรรมการจดั การเรยี นรู้ทีเ่ น้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ. กรงุ เทพฯ :
แดเนก็ อินเตอร์คอปอเรช่ัน, 2553.
ณชั นนั แกว้ ชยั เจรญิ กิจ. บทบาทของครูผสู้ อนในการจดั กิจกรรมและวธิ กี ารปฏิบัติตาม

แนวทางของ Active Learning. สืบค้นจาก http//www.kroobannok.com เม่ือ
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔.
ดวงมน ปรปิ ุณณะ. เทคนคิ และวิธีสอนในระดบั ประถมศึกษา. กรุงเทพมหานคร
: ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๔๗.
ปิตินันธ์ สุทธสาร. กิจกรรมการสอนภาษาไทยด้วยเพลง. พิมพ์คร้ังที่ ๘.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔.
พรวิไล เลศิ วชิ า. สอนภาษาไทยต้องเข้าใจสมองเดก็ . กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ศาลาแดง,
๒๕๕๐.
ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ
:
นานมีบคุ๊ สพ์ ับลเิ คชนั่ , 2556.
วรนชุ บปุ ผา. แนวคดิ ในการสรา้ งแบบฝึกทักษะ. กรุงเทพฯ : ธีรฟิล์ม และไซเท็กซ,์ 2552.
วรรณี โสมประยรู . การสอนภาษาไทยระดับประถมศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร :
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๔๗.
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน. คู่มือหลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้
ภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร : สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน,
๒๕๔๖.

. หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐานพุทธศกั ราช ๒๕๕๑.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั ,
๒๕๕๑.
อนงค์ศิริ วิชาลัย. ภาษาไทยสาหรับครูประถมศึกษา. เชียงใหม่ : คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งใหม่, 2556.
อัจฉรา ชวี พันธ์. ศิลปะการจดั การเรียนร้ภู าษาไทย ระดับประถมศึกษา. กรุงเทพมหานคร :
เบ็นพบั ลิซชิ่ง, ๒๕๔๖.


Click to View FlipBook Version