ก
คานา
หนังสือเลม่ นจ้ี ัดทาขนึ้ เพอื่ รวบรวมความรูต้ า่ งๆเกย่ี วกับประวัติศาสตร์ศิลปะไทย ใชเ้ ปน็
แหลง่ ศกึ ษาประกอบการเรยี นรู้ และไดศ้ กึ ษาอยา่ งเข้าใจเพือ่ เปน็ ประโยชนก์ บั การเรียน
ผจู้ ัดทาหวังว่า หนังสอื เลม่ นีจ้ ะเปน็ ประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนกั เรียน ท่กี าลังหาข้อมลู เร่ืองนอี้ ยู่
หากมีขอ้ แนะนาหรอื ผิดพลาดประการใด ผจู้ ดั ทาขอน้อมรบั ไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ดว้ ย
ผู้จดั ทา
นางสาวกญั ฐภา พันธมุ์ าดี
สารบญั ข
เรื่อง หน้า
คานา ก
สารบัญ ข
ความหมายของศิลปะ 1
จิตรกรรมไทย 2
ความสาคญั ของจติ รกรรมไทย 5
ประตมิ ากรรมไทย 6
สถาปตั ยกรรมไทย 7
ศิลปะยคุ กอ่ นประวัติศาสตร์ไทย 9
ศิลปะยุคประวตั ศิ าสตร์ไทย 17
บรรณานุกรม 40
1
ความหมายของศิลปะ
ศิลปะ หมายถงึ ผลแห่งความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนษุ ยท์ ี่แสดงออกมาในรปู ลกั ษณะต่างๆ
ให้ปรากฏซ่ึงสุนทรยี ภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทอื นอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนิยม
และทักษะของบุคคลแต่ละคน นอกจากนยี้ งั มนี กั ปราชญ์ นกั การศึกษา ทา่ นผู้รไู้ ดใ้ หน้ ยิ าม
ความหมายของศลิ ปะแตกต่างกนั ออกไป ศิลปะ คอื การเลียนแบบธรรมชาติ การแสดงออกของ
บุคลกิ ภาพทางอารมณ์ของมนษุ ย์ การสือ่ สารอย่างหนึ่งระหว่างมนุษย์ การระบายความปรารถนา
ในใจของศลิ ปินออกมา การแสดงออกของผลงานด้านต่างๆทส่ี ร้างสรรค์ จากความหมายและคา
นยิ ามทางศิลปะที่ไดน้ ามากล่าวอา้ งไว้ข้างต้น จะเหน็ ได้ว่าผลงานท่ีเรียกกนั ว่าเป็น “ศิลปะ”จะมี
ทศั นะท่ีแตกตา่ งกันออกไป ยากทีจ่ ะหาข้อสรปุ ที่แนน่ อนหรือกาหนดลกั ษณะของงานศลิ ปะได้โดย
ในแตล่ ะยุคสมัยท่านผู้รไู้ ดก้ าหนดความหมายของศิลปะไปตามบรบิ ทของตนเอง ซ่ึงย่อมจะมคี วาม
แตกต่างหรือเปลยี่ นแปลงไปตามสภาพสงั คม สิ่งแวดลอ้ ม และความเจริญกา้ วหน้าของเทคโนโลยี
อยา่ งไรก็ตาม ก็เป็นทยี่ อมรบั กนั ในประการหน่ึงว่า ผลงานทีถ่ ือว่าเป็นงานศิลปะจะตอ้ งเป็นงานท่มี ี
การสร้างสรรค์ ไมใ่ ช่เกิดขนึ้ มาเองกลา่ วคือ จะต้องมีมนุษยเ์ ป็นผ้สู ร้างสรรค์ผลงานน้ันๆ
ภาพท1่ี ศลิ ปะไทย ท่ีมา: https://www.fashionartmusic.org
2
จติ รกรรมไทย (Thai Painting)
จิตรกรรมไทย หมายถงึ ภาพเขียนทม่ี ีลกั ษณะเป็นแบบอยา่ งของไทยทแี่ ตกต่าง จากศลิ ปะ
ของชนชาตอิ ืน่ อยา่ งชดั เจน ถงึ แมจ้ ะมีอทิ ธพิ ลศิลปะของชาตอิ ื่นอยบู่ ้าง แต่ก็สามารถ ดดั แปลง
คล่คี ลาย ตดั ทอน หรอื เพ่ิมเตมิ จนเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะของตนเองไดอ้ ยา่ งสวยงาม ลงตวั นา่
ภาคภมู ิใจ และมวี วิ ฒั นาการทางด้านดา้ นรูปแบบวิธกี ารมาตลอดจนถึงปัจจบุ ัน ซงึ่ สามารถพฒั นา
ต่อไปอกี ในอนาคต
ลายไทย เป็นส่วนประกอบของภาพเขียนไทยใชต้ กแต่งอาคารสงิ่ ของเคร่ืองใช้ ต่าง ๆ
เคร่อื งประดบั ฯลฯ เปน็ ลวดลายท่มี ีชื่อเรียกต่าง ๆ กนั ซง่ึ นาเอารปู ร่างจาก ธรรมชาติมาประกอบ
เช่น ลายกนก ลายกระจงั ลายประจายาม ลายเครอื เถา เป็นต้นหรอื เป็นรปู ทม่ี าจากความเช่ือ
และคตินิยม เชน่ รปู คน รูปเทวดา รปู สตั ว์ รูปยักษ์ เปน็ ตน้
จิตรกรรมไทยเปน็ วิจติ รศิลป์อย่างหนึ่ง ซ่งึ ส่งผลสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดงี ามของชาติ
มีคุณคา่ ทางศลิ ปะ และเป็นประโยชนต์ อ่ การศกึ ษาคน้ คว้า เร่อื งท่ีเกย่ี วกบั ศาสนา ประวตั ศิ าสตร์
โบราณคดี ชีวิตความเป็นอยูว่ ฒั นธรรมการแต่งกาย ตลอดจนการแสดงการเล่มพื้นเมืองต่าง ๆ
ของแตล่ ะยคุ สมัยและสาระอื่น ๆ ที่ประกอบกนั เปน็ ภาพจติ รกรรมไทย งานจิตรกรรมให้
ความรูส้ ึกในความงามอนั บริสุทธิ์ นา่ ช่นื ชม เสรมิ สร้างสนุ ทรียภาพขึน้ ในจิตใจมวลมนษุ ยชาตไิ ด้
โดยท่วั ไป ววิ ัฒนาการของงานจติ รกรรมไทย แบง่ ออกตามลกั ษณะรปู แบบทางศลิ ปกรรม ที่
ปรากฏในปจั จุบันมอี ยู่ ๒ แบบ คือ จิตรกรรมไทยแบบประเพณี และ จติ รกรรมไทยแบบรว่ มสมยั
3
จิตรกรรมไทยแบบประเพณี (Thai Traditional Painting)
เปน็ ศิลปะท่ีมคี วามประณีตสวยงาม แสดงความรู้สกึ ชวี ติ จิ ติ ใจและความเปน็ ไทย ที่มคี วาม
ออ่ นโยนละมนุ ละไม สร้างสรรค์สบื ต่อกันมาตัง้ แตอ่ ดตี จนไดล้ กั ษณะประจาชาติ มลี กั ษณะประจา
ชาติท่ีมีลกั ษณะและรปู แบบเป็นพิเศษ นิยมเขยี นบนฝาผนังภายในอาคารที่เกี่ยวกบั พุทธศาสนา
และอาคารทเี่ กยี่ วกับบคุ คลชัน้ สงู เช่น โบสถ์ วหิ าร พระทน่ี งั่ วัง บนผืนผ้า บนกระดาษ และ
บนสิ่งของเคร่ืองใช้ต่างๆ โดยเขยี นดว้ ยสฝี ่นุ ตามกรรมวิธขี องชา่ งเขยี นไทยแตโ่ บราณ เนือ้ หาท่ี
เขียนมักเปน็ เรอื่ งราวเกย่ี วกับอดตี พุทธ พุทธประวตั ิ ทศชาติชาดก ไตรภมู ิ วรรณคดแี ละชวี ิตไทย
พงศาวดารตา่ ง ๆ ส่วนใหญน่ ยิ มเขียนประดับผนังพระอุโบสถวิหารอันเป็นสถานที่ ศักด์สิ ทิ ธ์ิ
ประกอบพิธที างศาสนา ลักษณะจติ รกรรมไทยแบบประเพณีเปน็ ศิลปะแบบอุดมคติ(Idealistic)
ผนวกเข้ากบั เรอื่ งราวที่กึง่ ลกึ ลบั มหศั จรรย์ ซงึ่ คล้ายกับงานจิตรกรรมในประเทศแถบตะวันออก
หลาย ๆ ประเทศ เชน่ อินเดยี ศรีลงั กา จีน และญป่ี ุ่น เปน็ ตน้ เปน็ ภาพที่ระบายสีแบนเรียบ ด้วย
สคี อ่ นข้างสดใส และมีการตดั เส้นเปน็ ภาพ ๒ มิติ ให้ความรู้สกึ เพียงดา้ นกวา้ งและยาว ไม่มีความ
ลึก ไมม่ กี ารใช้แสงและเงามาประกอบ จติ รกรรมไทยแบบประเพณมี ีลกั ษณะพเิ ศษในการจัดวาง
ภาพแบบเลา่ เร่ืองเปน็ ตอน ๆ ตามผนงั ช่องหน้าต่าง โดยรอบโบสถว์ ิหารและผนังด้านหน้าและ
หลงั พระประธาน ภาพจิตรกรรมไทยมีการใช้สแี ตกต่างกนั ออกไปตามยุคสมยั ท้งั เอกรงค์
และพหรุ งค์ โดยเฉพาะการใช้สีหลายๆ สีแบบพหรุ งคน์ ิยมมากในสมยั รตั นโกสินทร์ เพราะไดส้ ีจาก
ต่างประเทศทเี่ ข้ามาตดิ ต่อค้าขายดว้ ย ทาใหภ้ าพจิตรกรรมไทยมีความสวยงาม และสสี ันที่
หลากหลายมากขนึ้ รปู แบบลกั ษณะตัวภาพในจิตรกรรมไทยซึง่ จติ รกรไทยได้สรา้ งสรรค์ออกแบบ
ไว้ เปน็ รปู แบบอดุ มคตทิ แ่ี สดงออกทางความคิดใหส้ ัมพันธ์กับเน้อื เรื่องและความสาคัญของภาพ
เช่น รปู เทวดา นางฟ้า กษัตริย์ นางพญา นางรา จะมลี ักษณะเด่นงามสงา่ ด้วยลลี าอันชดช้อย
แสดงอารมณ์ความรสู้ ึกปิติยนิ ดี หรอื เศร้าโศกเสียใจด้วยอากปั กิริยาท่าทาง ถา้ เป็นรูปยักษ์ มาร ก็
แสดงออกดว้ ยทา่ ทางที่บึกบึน แข็งขนั ส่วนพวกวานรแสดงความลงิ โลด คล่องแคล่วว่องไวดว้ ยลลี า
ทว่ งท่าและหนา้ ตา สาหรับพวกชาวบ้านธรรมดาสามัญก็จะเน้นความตลกขบขันสนุกสนาน ร่า
เรงิ หรอื เศรา้ เสียใจออกทางใบหนา้ สว่ นช้างม้าเหล่าสัตวท์ ั้งหลายกม็ ีรปู แบบแสดงชีวิตเป็น
ธรรมชาติ
4
จติ รกรรมไทยแบบร่วมสมยั (Thai Contemporary Painting)
จติ รกรรมไทยรว่ มสมยั เปน็ ผลมาจากความเจรญิ กา้ วหน้าทางวิทยาการของโลก ความ
เจริญทางการศึกษา การคมนาคม การพาณชิ ย์ การปกครอง การรบั รขู้ ่าวสารความเป็นไปของโลก
ทอี่ ยู่หา่ งไกล ฯลฯ เหลา่ นี้ลว้ นมผี ลตอ่ ความร้สู ึกนกึ คิด และแนวทางการแสดงออกของศลิ ปินในยุค
ตอ่ ๆมา ซ่ึงได้พฒั นาไปตามสภาพแวดลอ้ ม ความเปล่ยี นแปลงของชวี ติ ความเปน็ อยู่ ความรู้สกึ
นกึ คดิ และความนยิ มในสังคม สะท้อนให้เหน็ ถงึ เอกลักษณใ์ หม่ของวฒั นธรรมไทยอีกรูปแบบหนึง่
อย่างมีคุณค่าเช่นเดียวกนั อนง่ึ สาหรับลักษณะเกี่ยวกบั จติ รกรรมไทยร่วมสมยั น้นั สว่ นใหญเ่ ปน็
แนวทางเดยี วกนั กับลกั ษณะศลิ ปะแบบตะวันตกในลทั ธติ า่ งๆ ตามความนิยมของศลิ ปินแตล่ ะคน
ภาพท่ี2 จติ รกรรมไทยแบบรว่ มสมัย ท่มี า: https://angiegroup.wordpress.com
5
ความสาคญั ของจิตรกรรมไทย
จติ รกรรมไทยเป็นแหลง่ รวบรวมขอ้ มูล แบบสหวิทยาการ ถอื ไดว้ า่ เป็นแหลง่ ขุมความรู้
โดยเฉพาะเร่ืองราวจากอดีตที่สาคัญยง่ิ แสดงให้เหน็ ถึงความเป็นชนชาติทม่ี ีอารยธรรมอนั เกา่ แก่
ยาวนาน ประโยชน์ของงานจติ รกรรมไทย นอกจากจะให้ความ สาคัญในเรื่องคุณค่าของงานศลิ ปะ
แล้ว ยังมีคณุ ค่าในดา้ นอน่ื ๆ อีกมาก ดงั น้ี
๑. คณุ ค่าในทางประวตั ศิ าสตร์
๒. คณุ ค่าในทางศิลปะ
๓. คุณค่าในเรอื่ งเชอื้ ชาติ
๔. คุณค่าในทางสถาปัตยกรรม
๕. คุณค่าในเชงิ สังคมวทิ ยา
๖. คณุ ค่าในดา้ นโบราณคดี
๗. คุณค่าในการศกึ ษาประเพณีและวัฒนธรรม
๘. คุณค่าในการศึกษาเร่อื งทศั นคตคิ ่านิยม
๙. คณุ ค่าในการศึกษานิเวศวิทยา
๑๐. คณุ ค่าในการศกึ ษาเร่ืองราวทางพุทธศาสนา
๑๑. คุณค่าในทางเศรษฐกจิ การท่องเทยี่ ว
6
ประติมากรรมไทย (Thai Sculpture)
หมายถึง ผลงานศิลปะที่แสดงออกโดยกรรมวิธกี ารป้ัน การแกะสลัก การหล่อ หรือการ
ประกอบเข้าเปน็ รปู ทรง ๓ มติ ิ ซึ่งมีแบบอยา่ งเป็นของไทยโดยเฉพาะ วสั ดุทใี่ ช้ในการสรา้ งมกั จะ
เปน็ ดนิ ปูน หนิ อิฐ โลหะ ไม้ งาช้าง เขาสตั ว์ กระดูก ฯลฯ ผลงานประติมากรรมไทย มีทั้ง
แบบนูนต่า นนู สูง และลอยตัว งานประตมิ ากรรมนนู ตา่ และนูนสงู มักทาเปน็ ลวดลายประกอบ
กับสถาปตั ยกรรม เชน่ ลวดลายปูนป้ัน ลวดลายแกะสลกั ประดับตามอาคารบา้ นเรอื นโบสถว์ หิ าร
พระราชวัง ฯลฯ นอกจากนีย้ ังอาจเปน็ ลวดลายตกแต่งงานประติมากรรม แบบลอยตวั ด้วย สาหรบั
งานประติมากรรมแบบลอยตัว มักทาเป็นพระพุทธรูป เทวรูป รูปเคารพตา่ งๆ ตุก๊ ตา ภาชนะดนิ
เผา ตลอดจนถึงเครือ่ งใช้ตา่ งๆ ซ่ึงมลี กั ษณะทแี่ ตกตา่ งกันออกไปตามสกลุ ช่างของแตล่ ะทอ้ งถ่นิ
หรือแตกต่างกนั ไปตามคตนิ ยิ มในแต่ละยคุ สมัย โดยทว่ั ไปแลว้ เรามกั ศกึ ษาลักษณะของสกลุ ช่างท่ี
เป็นรปู แบบของศลิ ปะสมยั ตา่ งๆ ในประเทศไทยจากลักษณะของพระพุทธรปู เนื่องจากเปน็ งานที่
มวี วิ ฒั นาการมาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งยาวนานจดั สร้างอย่างประณีตบรรจง ผ้สู ร้างมกั เป็นช่างฝีมอื ท่ี
เช่ยี วชาญท่ีสุดในทอ้ งถน่ิ หรอื ยคุ สมัยนน้ั และเปน็ ประติมากรรมท่ีมวี ธิ กี ารจดั สรา้ งอย่างศกั ดส์ิ ทิ ธิ์
7
สถาปตั ยกรรมไทย (Thai Architecture)
สถาปตั ยกรรมไทย หมายถึงศิลปะการก่อสร้างของไทย อันได้แก่ อาคาร บา้ นเรือน โบสถ์
วิหาร วงั สถูป และสิง่ ก่อสรา้ งอนื่ ๆ ทมี่ มี ูลเหตุท่มี าของการก่อสร้าง การกอ่ สรา้ งอาคารบ้านเรอื น
ในแตล่ ะทอ้ งถ่ิน จะมลี ักษณะผิดแผกแตกต่างกนั ไปบา้ ง ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ และคตนิ ยิ มของ
แตล่ ะทอ้ งถิน่ แต่ส่ิงกอ่ สรา้ งทางศาสนาพุทธมกั จะมีลักษณะทไี่ ม่แตกตา่ งกนั มากนัก เพราะมคี วาม
เช่ือความศรัทธาและแบบแผนพธิ กี รรมที่เหมือนๆกนั สถาปัตยกรรมทม่ี ักนยิ มนามาเป็นข้อศกึ ษา
มักเปน็ สถูป เจดยี ์ โบสถ์ วหิ าร หรือพระราชวัง เนื่องจากเปน็ สิง่ ก่อสร้างทคี่ งทน มกี ารพัฒนา
รูปแบบมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และได้รบั การสรรค์สร้างจากช่างฝีมือทีเ่ ชีย่ วชาญ พรอ้ มท้งั มี
ความเปน็ มาที่สาคัญควรแกก่ ารศึกษา อีกประการหน่ึงกค็ ือ สง่ิ กอ่ สร้างเหล่านี้ ลว้ นมคี วามทนทาน
มอี ายยุ าวนานปรากฏเปน็ อนุสรณใ์ ห้เราไดศ้ กึ ษาเปน็ อย่างดี สถาปัตยกรรมไทย สามารถจัด
หมวดหมู่ตามลกั ษณะการใชง้ านได้ ๒ ประเภท คือ สถาปัตยกรรมท่ีใชเ้ ป็นทอ่ี ยู่อาศัย และ
สถาปัตยกรรมท่ีเกย่ี วข้องศาสนา
สถาปัตยกรรมที่ใช้เปน็ ทอี่ ย่อู าศัย
ไดแ้ ก่ บ้านเรือน ตาหนัก วังและพระราชวงั เป็นตน้ บ้านหรือเรือนเปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของ
สามญั ชนธรรมดาท่ัวไป ซ่ึงมที ัง้ เรือนไมแ้ ละเรือนปูน เรอื นไม้มีอยู่ ๒ ชนิด คือ เรอื นเครื่องผกู เปน็
เรอื นไม้ไผ่ปดู ว้ ยฟากไมไ้ ผ่ หลังคามุงด้วยใบจาก หญ้าคาหรอื ใบไม้ อกี อยา่ งหนึ่งเรยี กว่า เรือน
เคร่อื งสับ เปน็ ไมจ้ รงิ ทั้ง เน้อื อ่อนและเนอ้ื แข็งตามแต่ละท้องถิ่น หลังคามุงด้วยกระเบอ้ื งดนิ เผา
พืน้ และฝาเป็นไมจ้ ริงทง้ั หมด ลักษณะเรอื นไมข้ องไทยในแตล่ ะท้องถนิ่ แตกตา่ งกนั และโดยทัว่ ไป
แลว้ จะมลี กั ษณะสาคญั รว่ มกนั คอื เป็นเรอื นไม้ชั้นเดียว ใตถ้ นุ สูง หลังคาทรงจัว่ เอยี งลาดชนั
ตาหนัก และวงั เปน็ เรือนท่ีอยขู่ องชนช้ันสูง พระราชวงศ์ หรอื ใช้เรียกทปี่ ระทบั ช้นั รองของ
พระมหากษตั รยิ ์ สาหรับระราชวงั เปน็ ที่ประทบั ของพระมหากษตั ริย์ พระทนี่ ่ัง เป็นอาคารทม่ี ี
ทอ้ งพระโรงซึ่งมีท่ปี ระทับสาหรบั ออกว่าราชการหรือกิจการอ่นื
8
สถาปตั ยกรรมท่ีเก่ยี วข้องศาสนา
ซง่ึ สว่ นใหญ่อยูใ่ นบริเวณสงฆ์ ที่เรยี กว่า วัด ซ่ึงประกอบไปดว้ ยสถาปตั ยกรรมหลายอย่าง
ไดแ้ ก่ โบสถ์ เป็นทก่ี ระทาสังฆกรรมของพระภกิ ษุ วิหารใช้ประดษิ ฐานพระพุทธรูปสาคญั และ
กระทาสงั ฆกรรมดว้ ยเหมือนกัน กุฎิ เปน็ ทอ่ี ยู่ของพระภกิ ษุสามเณร หอไตร เปน็ ที่เก็บรกั ษา
พระไตรปิฎกและคมั ภีร์สาคญั ทางศาสนา หอระฆังและหอกลอง เป็นทใี่ ชเ้ ก็บระฆงั หรอื กลองเพอื่ ตี
บอกโมงยามหรอื เรยี กชุมนมุ ชาวบ้าน สถูป เป็นทฝ่ี ังศพ เจดีย์ เปน็ ท่ีระลกึ อนั เก่ยี วเนือ่ งกับศาสนา
ซ่ึงแบ่งได้ ๔ ประเภท คือ
๑. ธาตเุ จดีย์ หมายถงึ พระบรมธาตุ และเจดียท์ ่ีบรรจุพระบรมสารรกิ ธาตุของพระพุทธเจ้า
๒. ธรรมเจดีย์ หมายถงึ พระธรรม พระวินัย คาสงั่ สอนทุกอยา่ งของพระพทุ ธเจ้า
๓. บริโภคเจดยี ์ หมายถึง สิง่ ของเครอ่ื งใช้ของพระพทุ ธเจ้า หรือของพระภิกษุสงฆไ์ ด้แก่ เครอื่ ง
อฐั บรขิ ารทงั้ หลาย
๔. อุเทสกิ เจดีย์ หมายถงึ ส่งิ ทสี่ ร้างขนึ้ เพ่ือเป็นทร่ี ะลึกถงึ องคพ์ ระพทุ ธเจา้ เช่น สถูปเจดีย์ ณ
สถานท่ีทรงประสตู ิ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา ปรนิ พิ พาน และรวมถึง
สัญลกั ษณอ์ ย่างอื่น เชน่ พระพทุ ธรปู ธรรมจกั ร ต้นโพธ์ิ เปน็ ต้น
ภาพท3่ี สถาปตั ยกรรมทีเ่ กยี่ วข้องศาสนา ที่มา: https://sites.google.com/
9
ศิลปะยคุ ก่อนประวัตศิ าสตรไ์ ทย
สมยั ทวาราวดี (ราว พ.ศ. ๕๐๐ – ๑๒๐๐)
“ศิลปะทวารวดี” จัดเปน็ ศิลปกรรมต้นอารยธรรมสมัยประวตั ศิ าสตรท์ ี่มีพัฒนาการอย่าง
ตอ่ เนอื่ ง ณ บริเวณลุ่มน้าเจ้าพระยา ระหวา่ งพุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๖ บรรดาโบราณวตั ถุ และ
โบราณสถาน ส่วนใหญล่ ้วนสร้างขนึ้ เนอ่ื งในพระพุทธศาสนาลัทธิหินยาน หากแต่ยงั ปรากฏ
หลกั ฐานการนับถือศาสนาพทุ ธลทั ธิมหายานและฮินดรู วมอยดู่ ว้ ย อิทธิพลของศิลปวัฒนธรรม
ทวารวดไี ด้แพร่ขยายไปยงั ภูมิภาคอนื่ ๆ ท้งั ภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ จงึ
อาจกลา่ วได้วา่ ศลิ ปะทวารวดี คือ “ต้นกาเนดิ พทุ ธศิลปใ์ นสยามประเทศ”แต่เดิมนั้นการศึกษา
เร่อื งราวเกยี่ วกบั วิวฒั นาการของศิลปะทวารวดีมักใหค้ วาม สาคญั ตอ่ กลุ่มพระพทุ ธรูปเป็นหลกั
เนอ่ื งจากมีการค้นพบเป็นจานวนมาก อกี ทัง้ ยังบ่งบอกถงึ การรบั นบั ถอื พทุ ธศาสนาลัทธิเถรวาทใน
วัฒนธรรมทวารวดไี ด้ เป็นอยา่ งดี แม้จะมกี ารคน้ พบหลักฐานที่เปน็ พุทธศาสนาลัทธิมหายาน และ
ศาสนาฮินดูปะปนอย่บู า้ งแต่มจี านวนไม่มากนกั โดยทัว่ ไปมักจะแบง่ กลมุ่ และยุคสมัย พระพุทธรปู
ศลิ ปะทวารวดีออกเป็น ๓ รนุ่ คือ
รุ่นท่ี ๑ (อายุราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ตน้ พุทธศตวรรษที่ ๑๓) จดั เปน็ พระพทุ ธรูป
ระยะแรกของทวารวดแี ละพทุ ธศลิ ปะทปี่ รากฏบนแผ่นดินไทย ซงึ่ ยงั คงลกั ษณะต้นแบบของ
พระพุทธรปู ของศลิ ปะอนิ เดียแบบอมราวดี คปุ ตะ – หลังคุปตะ
ร่นุ ที่ ๒ (อายุราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๕) พระพุทธรูปมลี ักษณะแบบพนื้ เมอื ง เปน็ แบบ
ทพ่ี บมากท่สี ุด
รุน่ ที่ ๓ อิทธพิ ลของศิลปะเขมร (พุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗) จดั เป็นร่นุ สุดท้ายของศิลปะ
ทวารวดี มีอิทธิพลของศิลปะเขมรสมยั บาปวนหรือ สมัยลพบรุ ีตอนต้นเขา้ มาปะปน
10
ประตมิ ากรรม
ภาพท่4ี ศิลปะทวาราวดี ที่มา: https://th.wikipedia.org
ลักษณะสาคัญของพระพุทธรปู สมยั ทวาราวดี แบง่ ออกเป็น ๓ ยุค คอื มลี ักษณะของอินเดยี
แบบคปุ ตะและหลังคปุ ตะ บางครัง้ กม็ ีอิทธพิ ลของศลิ ปะอนิ เดยี แบบอมราวดอี ยู่ ด้วย ลักษณะวง
พกั ตร์แบบอินเดยี ไมม่ รี ัศมจี ีวรเรียบเหมอื นจีวรเปียก ถา้ เปน็ พระพุทธรูปน่งั จะขัดสมาธิหลวม ๆ
แบบอมราวดมี ีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พัฒนาขนึ้ จากแบบแรก โดยมีอทิ ธิพลพนื้ เมืองผสม
มากขนึ้ พระขนงต่อกันเปน็ รูปปีกกา พระเกตุมาลา เป็นต่อมนูนใหญบ่ างทีมีรศั มีบัวตูมเหนอื เกตุ
มาลา และสน้ั พระพกั ตร์แบนกว้าง พระเนตรโปน พระหนุ (คาง ) ปา้ น พระนลาฏ (หน้าผาก)แคบ
พระนาสกิ ป้านใหญแ่ บน พระโอษฐห์ นา พระหัตถ์และพระบาทใหญ่ ยังคงขดั สมาธิหลวม ๆแบบ
อมราวดี มอี ายอุ ยใู่ นราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๕
พระพุทธรูปในชว่ งนี้ได้รบั อิทธิพลศิลปะเขมร เนอ่ื งจากเขมรเริ่มมีอทิ ธพิ ลมากข้ึนในสมัย
เมืองพระนครประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๕ ศิลปกรรมแบบทวารวดี ในระยะน้ีจึงมีอทิ ธพิ ลเขมร
แบบบาปวนหรอื อทิ ธพิ ลศิลปะเขมรในประเทศไทยทเ่ี รียกวา่ ศิลปะลพบุรปี ะปนเชน่ พระพักตร์
เป็นรปู สี่เหลยี่ ม มลี ักยิม้ น่ังขดั สมาธริ าบ เปน็ ต้นนอกจากพระพุทธรูปแล้วยงั พบสญั ลกั ษณ์ของ
พระพุทธเจ้าซ่ึงแสดงการสืบทอด แนวคดิ ทางศลิ ปะอินเดียโบราณก่อนหน้าท่ีจะทารูป
เคารพเปน็ รปู มนษุ ย์ภายใต้ อิทธิพลศิลปะกรกี
11
สมยั ศรีวิชยั (ราว พ.ศ. ๑๒๐๐ – ๑๗๐๐)
จากความเช่ือท่ีว่ามีอาณาจักรหนึ่งร่งุ เรืองข้ึนใน เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ในระหวา่ งราว
พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๘ อาจจะมรี าชธานีตัง้ อยใู่ กลก้ ันกบั เมอื งปาเล็มบังในเกาะสมุ าตราใน
ปัจจบุ นั นี้ บางครั้งอาณาจกั รนอ้ี าจจะได้ครอบครองแหลมมลายแู ละดินแดนบางสว่ นในภาคใต้
ของ ประเทศไทยด้วย นักปราชญ์ทางโบราณคดีเรยี กช่อื อาณาจักรนี้วา่ "ศรวี ิชัย" ตามจารึกที่
ค้นพบทีก่ ล่าวมา ไดส้ ง่ ผลใหม้ ีการเรียกชอื่ ศิลปกรรมทเี่ กดิ ขึ้นในภาคใต้ของประเทศไทยในชว่ ง
ระยะเวลานนั้ ว่า "ศิลปะแบบศรวี ชิ ยั " ศิลปกรรมสกุลชา่ งนี้สว่ นใหญส่ รา้ งขน้ึ เนอื่ งในพทุ ธศาสนา
ลัทธิมหายาน และมีรูปแบบทแี่ สดงให้เห็นถงึ อทิ ธพิ ลจากศิลปะอนิ เดยี สมัยคปุ ตะ หลังคุปตะ ปา
ละ-เสนะ และศลิ ปะชวาภาคกลาง ซ่งึ มีอายอุ ย่ใู นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ หรอื ๑๓-๑๔ ขณะเดยี วกนั
ก็ยังไดพ้ บงานสถาปตั ยกรรมและประติมากรรมทีไ่ ด้รับอทิ ธพิ ลจากศิลปะจามและเขมรโบราณ
รวมทง้ั งานประตมิ ากรรมและศิลาจารกึ ภาษาทมฬิ ที่แสดงใหเ้ หน็ ถึงความสมั พันธร์ ะหวา่ งชมุ ชน
โบราณในภาคใต้ของไทยกับ ชมุ ชนโบราณในประเทศอินเดยี ตอนใต้ด้วย
ภาพที่5 ศิลปะสมยั ศรวี ชิ ยั ท่ีมา: http://www.thaigoodview.com
12
สถาปตั ยกรรม
ในปัจจบุ ันนไ้ี ด้มีการคน้ พบสถาปัตยกรรมที่เนอื่ งในพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน ท่ไี ด้มกี าร
สรา้ งสรรคข์ ้ึนบนคาบสมุทรไทยสองประเภท คือ ประเภทแรก ไดแ้ ก่ สถูป (Stupa, or Tupa)
และประเภททส่ี อง ไดแ้ ก่ เจติยสถาน (Chaitya Hall)
สถูป
สถูปในศลิ ปะแบบศรวี ชิ ยั นน้ั ถงึ แม้ว่าจะปรากฏข้นึ อย่างกว้างขวางทั่วทั้งคาบสมทุ รไทยก็
ตาม แตท่ ห่ี ลงเหลอื อยใู่ นปจั จบุ ันนีล้ ว้ นแลว้ แต่อยู่ในสภาพท่ชี ารดุ ทรดุ โทรม สถูปในศลิ ปะแบบนี้
สว่ นใหญไ่ ดร้ บั อทิ ธิพลจากศลิ ปะแบบปาละทเี่ จริญรงุ่ เรือง ขึ้นในบรเิ วณภาคตะวนั ออกเแยงเหนือ
ของประเทศอนิ เดยี เป็นสถปู ที่มีฐานเป็นรูปสีเ่ หล่ียม เหนอื ส่วนฐานข้ึนไปเป็นรปู จาลองของ
อาคารทรงมณฑปรปู สี่เหลี่ยม มีซุ้มทั้งส่ีด้าน เหนอื ส่วนอาคารขึน้ ไปเปน็ ส่วนยอดของสถปู ซง่ึ ทา
เป็นสถูปรูปทรงกลมท่มี ียอดแหลมขึน้ ไป จากสถปู ที่มกี ารคน้ พบในขณะนี้ สามารถท่จี ะจดั แบ่ง
ออกได้เป็นสองรปู แบบ โดยสถูปรปู แบบแรกมกี ารสร้างสรรค์ขึน้ ในระหว่างราวพุทธศตวรรษท่ี
๑๔-๑๕ เปน็ สถปู ทไ่ี ดร้ บั อิทธิพลของศลิ ปะแบบปาละของอินเดีย ส่วนสถูปในรูปแบบทสี่ องมกี าร
สรา้ งสรรคข์ นึ้ ในระหวา่ งราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙ เปน็ สถูปที่ได้วิวฒั นาการออกไปจากสถูปใน
รปู แบบแรกไปส่รู ูปแบบทางศิลปะที่ เปน็ ของทอ้ งถิ่น สถปู รปู แบบแรก เปน็ สถูปทม่ี แี ผนผงั เป็นรูป
กากบาท ตัง้ อยูบ่ นส่วนฐานท่ีอาจจะมีเพยี งช้นั เดยี วหรอื ซ้อนกนั หลายชัน้ เหนือสว่ นฐานข้ึนไปเปน็
สว่ นองค์ของสถปู เป็นรูปมณฑปและมซี ุ้มทั้งสดี่ า้ น เหนอื สว่ นองค์ของสถูปนีข้ น้ึ ไปเป็นสว่ นยอด ซง่ึ
ทาเป็นสถปู ทรงกลม สถปู ที่สาคญั ในรูปแบบน้ียงั คงปรากฏอยหู่ ลายแห่ง อาทิ
๑. สถูปวดั พระมหาธาตวุ รมหาวหิ าร เป็นสถปู ท่ีตง้ั อยทู่ างทิศตะวันออกของพระบรมธาตุ
เจดยี น์ ครศรธี รรมราช ตรงบริเวณประตทู างเขา้ ของระเบียงของวัดพระมหาธาตุวรมหาวหิ าร ใน
เขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ตาบลในเมอื ง อาเภอเมือง จงั หวัดนครศรีธรรมราช เปน็ สถูปท่มี ี
ส่วนฐานเป็นรูปสี่เหลยี่ ม ฐานส่วนใหญฝ่ ังอยใู่ นพน้ื ดิน เหนือขึ้นมาเปน็ ส่วนมณฑปของสถูป มมี ุข
ยื่นออกมาท้งั สี่ด้าน เหนอื มขุ ขน้ึ ไปมสี ถูปทรงกลมขนาดเลก็ ประดบั อยมู่ ุขละองค์ ส่วนตรงกลาง
13
เป็นส่วนยอดทสี่ งู ขึ้นไปเป็นสถูปทรงลงั กาทม่ี ีฐานเป็นรูปบวั หงาย สถปู องค์น้มี ีรปู แบบทางศิลปะ
คลา้ ยคลึงกันกบั จนั ทกิ าละสนั (Kalasan) ในชวาภาคกลาง ประเทศอินโดนีเซีย ทไี่ ดร้ บั การ
สรา้ งสรรค์ขนึ้ ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ และสถูปมิเซนิ เอ ๑ (Mi Son AI) ทดี่ งเดอื ง ประเทศ
เวยี ดนาม ที่สร้างขนึ้ เม่ือราวปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕ จงึ สนั นษิ ฐานว่าสถูปในวัดพระมหาธาตุ
วรมหาวหิ ารองค์นีไ้ ดร้ บั การสร้างสรรค์ ข้ึนในระหวา่ งราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕
๒. สถปู วดั พระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ตาบลเวียง อาเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เป็นสถปู ทีม่ กั จะเรียกกนั โดยท่วั ไปวา่ " พระบรมธาตุไชยา" ในชน้ั เดมิ อาจจะมกี ารสร้างข้นึ ใน
ระยะเวลาเดียวกนั กบั สถปู ในวัดแก้ว (หรือวัดรตั นาราม) ที่ต้ังอย่ใู กลก้ นั กบั เมอื งโบราณไชยา แต่
ระยะหลงั อาจจะมกี ารบรู ณะหลายคร้ัง จนรูปแบบได้เปล่ียนแปลงไปมากกเ็ ป็นได้ โดยทั่วไป
รปู ทรงของสถูปองคน์ ้มี ีลักษณะใกล้เคียงกนั กบั สถาปัตยกรรมบางหลงั ท่ีชวาภาคกลางที่มรี ูปสลัก
ไว้บนระเบยี งที่สร้างขึน้ โดยรอบสถูปบุโรพุทโธ (Borobudur) ในชวาภาคกลาง ประเทศ
อนิ โดนเี ซยี แตจ่ ากการท่พี ระบรมธาตุไชยาไดร้ บั การซอ่ มแซมอยา่ งมากมาย ทาใหม้ รี ายละเอยี ด
เป็นจานวนมากทไ่ี ม่สามารถจะนาไปเปรยี บเทียบกันไดก้ บั สถาปัตยกรรมทช่ี วาภาคกลางและ
สถาปัตยกรรมของจามในประเทศเวียดนาม แตอ่ ย่างไรกด็ ี โครงสรา้ งทางสถาปัตยกรรมของ
โบราณสถานแหง่ นม้ี รี ปู แบบอยา่ งเดยี วกนั กบั ศาสนา สถานของจาม จากรายงานในปี พ.ศ. ๒๔๓๙
ไดก้ ลา่ วว่าฐานเดมิ ของโบราณสถานแห่งน้ีอยู่ลกึ ลงไปจากระดบั ผวิ ดนิ ๑.๐๐ เมตร รวมทั้งจากปี
ดังกลา่ วจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ไดม้ ีการซอ่ มแซมครง้ั ใหญ่ ในรายงานการซอ่ มแซมของปี พ.ศ.
๒๔๓๙ ไดก้ ลา่ ววา่ ไดค้ ้นพบหลกั ฐานของการซอ่ มแซมโบราณสถานแห่งนห้ี ลายครง้ั ในอดีต
ภาพท่ี6 เจดยี ์แบบศรวี ิชัย ทม่ี า: https://wordpress.com
14
สมัยลพบุรี (ราว พ.ศ. ๑๗๐๐ – ๑๘๐๐)
ศิลปะแบบลพบรุ ีหรือละโว้เกดิ ข้นึ ในพทุ ธศตวรรษที่๑๖-๑๙ มีอาณาเขตครอบคลมุ ภาค
กลาง ภาคตะวนั ออก และภาคตะวนั ออกเฉยี ง เหนือ ตลอดจนในประเทศกัมพูชา รูปแบบ
สมั พันธก์ ับสกุลชา่ งศิลปะเขมรในประเทศกมั พชู า ศลิ ปะดงั กลา่ วเรียกชือ่ ตา่ งกนั ตามทศั นะของ
นกั วิชาการแต่ละคนเช่น ศิลปะลพบรุ ี ศิลปะเขมร ศลิ ปะรว่ มแบบเขมรในประเทศไทย เป็นตน้
กลา่ วคือปลายสมัยรชั กาลที่ ๕ นกั วชิ าการชาวฝร่งั เศสแห่งสานักฝรง่ั เศสปลายบูรพาทศิ ไดเ้ รียกช่ือ
สกุลช่าง ศลิ ปะนีว้ ่า"ศิลปะ เขมร" ดว้ ยมีรูปแบบทีค่ ล้ายกบั โบราณสถานในประเทศกมั พชู าต่อมา
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์ เธอกรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงกาหนดช่อื เรียกใหมว่ า่ "ศลิ ปะลพบุร"ี
เพอ่ื แยกให้เห็นถงึ ความแตกต่างจากกลุ่มสกลุ ช่างศิลปะเขมร
ภาพท7่ี ศิลปะสมยั ลพบุรี ที่มา: http://www.thaigoodview.com
15
สถาปัตยกรรม
เมื่อครั้งขอมมอี านาจปกครองอยูใ่ นสวุ รรณภมู ิมศี นู ย์กลางอยู่ท่จี ังหวัดลพบุรแี ละบางส่วน
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แบบแผนของศิลปะแบบลพบุรนี นั้ ได้รับอทิ ธิพลจากเขมร เปน็ ศลิ ปะที่
เกยี่ วเนอ่ื งในศาสนาฮนิ ดู ผสมผสานกบั พระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน ลักษณะงาสถาปัตยกรรม
ส่วนใหญ่ใช้วัสดุจาพวกหิน ทราย อิฐ และศิลาแลงในการก่อสรา้ งในรูปของปรางค์และปราสาท
เช่น พระปรางค์ ๓ ยอด จังหวัดลพบรุ ี ปราสาทหนิ พิมาย จงั หวัดนครราชสีมา ปราสาทพนมรุ้ง
จังหวดั บุรรี ัมย์ ปราสาทเมืองต่า จังหวดั สรุ นิ ทร์ เปน็ ตน้ ส่วนงานด้านประตมิ ากรรมนยิ มสร้าง
ภาพสลัก พระพุทธรูป ซง่ึ ลกั ษณะเดน่ ของงานประตมิ ากรรมแบบลพบุรี คือ ไม่วา่ จะเปน็ รปู คน
หรอื รูปเคารพต่างๆ จะมหี น้าผากกวา้ ง ปากแบะหนา คางเหลีย่ ม และรูปร่างล่าเตยี้
ภาพท่ี8 สถาปัตยกรรมสมัยลพบุรี ที่มา: http://www.thaigoodview.com
16
แหล่งที่มาของโบราณวัตถหุ นิ ศลิ ปะสมยั ลพบรุ ี
โบราณ วตั ถุหนิ ศลิ ปะสมัยลพบุรี มีทม่ี าจากกลมุ่ โบราณสถานทใ่ี ชอ้ ิฐและหนิ ชนดิ ต่างๆ
เป็นวสั ดุในการกอ่ สรา้ ง ซึ่งเปน็ หลักฐานทางมรดกศิลปวัฒนธรรมของกลุม่ คนในภมู ิภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ และตอนกลางของประเทศไทยท่เี จริญรุ่งเรืองอย่ใู นราว พ.ศ. ๑๑๐๐-๑๘๐๐
และมสี ายสมั พันธท์ ่ีเก่ียวเน่ืองกบั อาณาจกั รเขมรโบราณในประเทศกมั พชู า ปัจจุบนั อันมีคุณคา่
ด้านประวตั ศิ าสตรข์ องมนุษยชาติ ชาตพิ นั ธุ์วิทยา และความงามในเชงิ ศิลปกรรมทเ่ี ปน็ เอกลักษณ์
โดดเด่นเฉพาะกลุม่
บรเิ วณภาคกลางของประเทศไทยเป็นบรเิ วณทีม่ ีการผสมผสานทางอารยธรรมมากทส่ี ดุ
แหง่ หนง่ึ ดงั จะเหน็ ได้จากศลิ ปะอู่ทอง ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ เป็นตน้ มาจนถึงพทุ ธศตวรรษที่
๒๐ศิลปะอู่ทองเปน็ ศิลปะทีไ่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะทวารวดแี ละศิลปะลพบรุ ีมาผสมผสานกัน
ภาพท9่ี ศิลปะสมยั ลพบุรี ท่มี า: https://www.pennpat.org
17
ศลิ ปะยุคประวตั ศิ าสตร์ไทย
แบบเชยี งแสน (พ.ศ. ๑๖๐๐ – ๒๐๘๙)
"เชียงแสน" ปัจจบุ นั เป็นช่ืออาเภอหนึง่ ในจงั หวดั เชยี งราย นักโบราณคดไี ด้กาหนดแบบ
ศิลปกรรมภาคเหนือข้ึน เรียกว่า ศลิ ปะเชยี งแสน
อาณาจักรเชยี งแสน หรอื ปัจจุบนั นยิ มเรยี กวา่ อาณาจกั รล้านนาไทย เพือ่ ให้มีความหมาย
กว้างขึน้ หมายถงึ เมอื งตา่ งๆ ทางภาคเหนอื หรอื เขตจังหวดั ตา่ งๆ ในปจั จุบนั เชน่ เชยี งราย
เชยี งใหม่ ลาปาง ลาพูน แพร่ และน่าน เปน็ ตน้ อาณาจกั รนีม้ ีความเจรญิ มีอารยธรรม และ
วัฒนธรรมเปน็ แบบหน่งึ โดยเฉพาะ
พงศาวดารเมอื งหริภญุ ไชย กลา่ วถึงความเจรญิ ของบริเวณภาคเหนือ โดยเฉพาะทีเ่ มอื งหริ
ภุญไชย ซึ่งคอื ลาพนู ในปัจจบุ นั วา่ เจริญมาแตร่ าวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พระนางจามเทวี พระ
ราชธิดากษัตริย์ละโวเ้ สด็จไปครองเมอื งหริภุญไชย เมอื งนี้เจรญิ สืบต่อมา จนถึงสมัยที่พระเจ้าเมง็
ราย เสดจ็ จากเชียงแสนมาสรา้ งเมืองเชยี งใหม่ ศูนย์กลางของภาคเหนอื จึงย้ายจากลาพูนมาอยู่ท่ี
เชยี งใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๓๙ เปน็ ต้นมา
อาณาจกั รล้านนามผี า้ ใชก้ ันแลว้ เชน่ เดียวกับอาณาจักรอนื่ ๆ ในยคุ เดยี วกัน หรือทเี่ จรญิ ใน
ระยะเวลารว่ มสมัยกนั ในการทาบญุ ทางศาสนา มกี ารถวายจตุปจั จัยไทยธรรม ซ่ึงมีผ้ารวมอยู่ด้วย
เชน่ ถวายจวี รห่มแก่พระ และผา้ อืน่ ๆ ให้เปน็ ทานแก่คนยากจน มผี ้าแพร ผา้ สักหลาด ผา้ สจี ันทน์
ขาว ผ้าสีจันทน์แดง ผา้ สดี อกจาปา และผ้าธรรมดา พวกชนชน้ั สงู มผี า้ กัมพลใช้พนั เอว ในทาง
ศาสนาผ้าทเ่ี ป็นเครือ่ งใชส้ าหรับพระสงฆ์ มรี ัดประคด ผ้าผลัดอาบน้า อาสนะปนู ง่ั ผ้าปูลาด และ
ผ้ากรองน้า นอกเหนอื ไปจากไตรจีวร
เราได้ความรจู้ ากพงศาวดารน้นั อีกว่า ทหารแต่งกายด้วยผา้ สีเขียว ชาวเมืองทเ่ี ดอื นรอ้ น
ได้รบั แจกผ้านงุ่ หม่ ผ้าเหล่าน้คี งจะทอข้ึนใช้เองภายในเมอื ง จติ รกรรมฝาผนงั ที่วัดภูมินทร์ จงั หวดั
น่าน แสดงใหเ้ หน็ การแต่กายของชาวเหนือ โดยเฉพาะผ้านงุ่ ของผหู้ ญิง แสดงลวดลายของผา้ ซ่ิน
ซ่งึ เรียกว่า ลายน้าไหล ยงั มใี ช้กนั อยูท่ างภาคเหนือในปัจจุบนั นอกจากนจ้ี ิตรกรรมทว่ี หิ ารลายคา
วดั พระสงิ ห์ และที่อุโบสถ วดั บวกครกหลวง จังหวัดเชียงใหม่ ท่วี ิหารพระเจา้ ล้านทอง รอบศาลา
18
การเปรียญ วดั พระธาตุลาปางหลวง จังหวัดลาปาง ลว้ นแสดงให้เหน็ ถงึ ลกั ษณะลวดลายผา้ ไหม
และผา้ ซนิ่ ทใ่ี ช้สบื ต่อกนั เรื่อยมา
ตานานเมืองเงนิ ยางเชยี งแสน ได้กลา่ วไว้ ตอนหนงึ่ ว่า "เม่ือขนุ เจอ๊ื ง (เจียง) รบั คาทา้ รบของ
พระยาแมนตาตอกครอบฟา้ ตาหยดื แล้ว เห็นวา่ ตน จะแพแ้ นแ่ ล้ว ก็เปล้อื งเสื้อและผ้าพันพระเศยี ร
ใส่ ผอบทองคา ใชอ้ ามาตย์คนหนึ่งเอากลับมาใหน้ างอัครมเหสี" ในตานานพระธาตุแช่แห้ง จังหวัด
แพร่ กม็ ขี อ้ ความว่า "เม่ือปี (พ.ศ.) ๒๓๖ พระโสณะและพระอตุ ตระ ได้นาเอาพระเกษามาบรรจุท่ี
เขานี้ เจ้าผู้ครองนครแพรใ่ นเวลานนั้ มี พระนามว่า เจ้าก้อม หรือสระอ้ายก้อม มีความเล่ือมใสมาก
จึงเปล้อื งเอาผ้าแพร (คนพ้ืนเมืองเรียก ผ้าแฮ) ซง่ึ โพกศรี ษะออกรองรบั พระเกษา" ตานานทั้งสองน้ี
แสดงว่า ในสมัยเชยี งแสน หรอื ล้านนาไทย คนไทยรู้จกั นาผ้ามาตัดเย็บเป็นเสอื้ สวมใส่ และนาผา้
แพรมาพันโพกศีรษะ ซงึ่ คงไวผ้ มยาวและมนุ่ มวยไว้
ประตมิ ากรรมไทยสมยั เชยี งแสน
ประตมิ ากรรมไทยสมัยเชียงแสน เป็นประตมิ ากรรมในดินแดนสุวรรณภมู ทิ ีน่ ับว่าสร้างขึ้น
โดยฝมี ือช่างไทยเป็นคร้ังแรก เกิดข้นึ ราว พทุ ธศตวรรษที่ ๑๖-๒๑ มปี รากฏแพรห่ ลายอยู่ตามหัว
เมอื งตา่ งๆ ทางภาคเหนอื ของไทย แหลง่ สาคญั อยู่ทเ่ี มืองเชียงแสน วสั ดุทน่ี ามาสร้างงาน
ประติมากรรมมีทง้ั ปูนป้ัน และโลหะตา่ งๆ ที่มีคา่ จนถึงทองคาบริสุทธิ์ ประติมากรรมเชียงแสน
แบ่งได้เปน็ ๒ ยคุ คือ
19
เชียงแสนยุคแรก
มีทั้งการสรา้ งพระพทุ ธรปู และภาพพระโพธสิ ตั ว์ หรือเทวดาประดบั ศิลปสถาน
พระพุทธรูปโดยส่วนรวม มพี ุทธลักษณะคล้ายพระพุทธรปู อินเดีย สมัยราชวงปาละ มีพระวรกาย
อวบอ้วน พระพักตร์กลมคลา้ ยผลมะตูม พระขนงโกง่ พระนาสิกโคง้ งุ้ม พระโอษฐแ์ คบเลก็ พระหนุ
เป็นปม พระรศั มีเหนือเกตุมาลาเปน็ ต่อมกลม ไม่นยิ มทาไรพระสก เสน้ พระสกขมวดเกศาใหญ่
พระอุระนนู ชายสงั ฆาฏสิ ั้น ตรงปลายมีลกั ษณะเปน็ ชายธงมว้ นเข้าหากัน เรียกว่า เข้ียวตะขาบ
ส่วนใหญ่น่ังขัดสมาธเิ พชร ปางมารวชิ ยั ฐานท่รี ององคพ์ ระทาเปน็ กลีบบัวประดับ มีทง้ั บัวคว่า บวั
หงาย และทาเปน็ ฐานเป็นเขียง ไม่มบี ัวรองรบั ส่วนงานปน้ั พระโพธสิ ัตว์ประดบั เจดียว์ ัดกเู่ ตา้ และ
ภาพเทวดาประดบั หอไตรวดั พระสงิ ห์ เชยี งใหม่ มสี ัดส่วนของรา่ งกายสะโอดสะอง ใบหน้ายาวรปู
ไข่ ทรงเครอื่ งอาภรณ์เช่นเดยี วกบั พระโพธสิ ัตวใ์ นศลิ ปะแบบปาละเสนะของอนิ เดีย หรือแบบศรี
วิชยั
เชยี งแสนยคุ หลงั
มกี ารสร้างพระพทุ ธรูปทมี่ ีแบบของลทั ธลิ งั กาวงศ์ จากสุโขทัย เขา้ มาปะปนรปู ลักษณะ
โดยสว่ นรวมสะโอดสะองขน้ึ ไมอ่ วบอว้ นบกึ บนึ พระพกั ตรย์ าวเปน็ รปู ไข่มากขน้ึ พระรศั มที าเป็น
รูปเปลว พระศกทาเปน็ เส้นละเอียด และมไี รพระศกเปน็ เสน้ บางๆ ชายสงั ฆาฏิยาวลงมาจรดพระ
นาภี พระพุทธรูปโดยส่วนรวมน่งั ขดั สมาธริ าบ พระพุทธรปู ที่นบั ว่าสวยท่ีสดุ และถือเปน็ แบบอย่าง
ของพระพุทธรปู ยุคน้ีคอื พระพุทธสิหงิ ค์ ในพระท่นี ัง่ พทุ ไธสวรรย์ พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ
กรงุ เทพฯ พระพทุ ธรูปเชียง แสนนม้ี ักหลอ่ ดว้ ยโลหะ
ทองคา และสาริด
ภาพท1ี่ 0 พระพุทธสหิ ิงค์ ท่ีมา: https://th.wikipedia.org
20
แบบสโุ ขทัย (พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๙๘๑)
สถาปัตยกรรม
ไทยเปน็ ชาติทมี่ วี ฒั นธรรมในการก่อสร้างอาคารที่เป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตัวมาช้านาน
หลักฐานเก่าแกท่ ี่สุดที่หลงเหลอื อยู่ คือสถาปตั ยกรรมในสมัยเชียงแสนและสมัยสโุ ขทัย อิทธิพลท่ี
ปรากฏอย่างเดน่ ชัด ของศลิ ปวัฒนธรรมไทย ส่วนใหญร่ ับมาจากอินเดยี และไดพ้ ัฒนาให้เหมาะกับ
ทอ้ งถน่ิ และเชื้อชาตติ ามยุคสมัย โดยผา่ นทางมอญศรีวิชัย และขอมกมั พชู า ส่วนทผ่ี ่านเขา้ มา
ทางตรงกค็ ือ อิทธพิ ลทางพทุ ธศาสนา ท้ังทีไ่ ดป้ รับปรุงจากทีอ่ ืน่ และที่คิดคน้ ขึน้ เป็นของตนเอง
รวมทง้ั เป็นตวั อย่างใหช้ าติอื่นนาไปปรบั ปรุงอกี มากมาย สถาปัตยกรรมของไทยทนี่ ับเนอื่ งเป็น
ประวัติศาสตรน์ ั้น ชนชาวไทยในสุวรรณภมู ิไดท้ ุ่มเทสรรพกาลัง ท้งั กายและใจ ใหก้ บั พทุ ธศาสนา
โดยสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้จากโบราณสถาน ท่พี บเหน็ ได้ทัว่ ไปในดินแดนน้ี เช่น พระสถปู เจดยี ์ พระ
ปรางค์ และวัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร เป็นตน้
พทุ ธเจดยี ส์ มัยสุโขทยั จาแนกไดต้ ามลักษณะรปู ทรงดงั นี้
๑. พระเจดีย์ทรงดอกบวั ตูม
๒. พระเจดยี ์ทรงระฆังหรือดอกบัวคว่า
๓. พระเจดีย์ทรงพระปรางค์
๔. เจดยี บ์ ษุ บก หรือ เจดีย์วิมาน
๕. เจดยี จ์ อมแห
๖. เจดีย์ทรงปราสาท
21
๑. พระเจดีย์ทรงดอกบัวตมู
พระเจดีย์แบบน้มี ยี อดเปน็ รูปดอกบัวตูม หรือเรียกกันว่า ทรงพมุ่ ข้าวบณิ ฑ์ หรือทรงทนาฬ
ตั้งอยูเ่ หนอื เรือนธาตุสเี่ หลี่ยมยอ่ ไมย้ ่ีสบิ ที่เรอื นธาตลุ างองค์มีการจัดซุ้มพระพุทธรูปยืนทงั้ ๔ ทศิ
เช่นทเี่ จดยี ์ วัดตระพังเงนิ เมอื งสโุ ขทัย พระเจดยี ์ทรงดอกบวั ตมู มีรปู ทรงสูงเดน่ สงา่ งาม ฐานชัน้
ล่างมีแผนผงั สเี่ หลี่ยมจัตุรัสซ้อนลดหล่ันกนั ๓ หรือ ๔ ชั้น ถดั ข้ึนไปเปน็ ฐานแวน่ ฟา้ ซ้อนกนั
ค่อนขา้ งสงู รองรับเรือนธาตุ โดยเฉพาะอย่างย่ิงพระเจดยี ์ประธานวดั มหาธาตุ อาเภอเมืองสโุ ขทัย
ท่สี าคญั รองลงไปไดแ้ ก่ เจดียป์ ระธานทรงดอกบวั ตมู วัดเจดยี ์เจด็ แถวอาเภอศรีสัชนาลยั นกั
โบราณคดแี ละนักประวตั ิศาสตร์ศลิ ปะพากันยกยอ่ งว่า พระเจดีย์ทรงบัวตูม เป็นสถาปัตยกรรม
แบบสโุ ขทยั แทท้ ่ีศิลปินสุโขทยั คดิ แบบอยา่ งของตนขน้ึ พระเจดยี แ์ บบนี้นิยมสร้างไว้ตามเมืองต่าง
ๆ ในสมัยสุโขทยั เท่านัน้ ไม่มีการสรา้ งตอ่ มาในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาเลย พระเจดียท์ รงดอกบัวตมู
เท่าท่มี หี ลักฐานปรากฏมอี ยู่ตามเมืองตา่ ง ๆ ในสมัยสุโขทัยหลายองค์ด้วยกัน เช่น วดั มหาธาตุ วัด
ตระพงั เงนิ วดั ซ่อนข้าว วัดทักษิณาราม วดั อ้อมรอบ วัดกอ้ นแล้ง วดั อโศการาม และทอ่ี าเภอ
ศรีสัชนาลัย มปี รากฏท่วี ดั เจดยี ์เจ็ดแถว วัดสวนแก้วอทุ ยายนอ้ ย วดั ราหู วดั น้อย เจดยี ์ทรงดอก
บวั ตูมเป็นข้อขบคิดกันมานานวา่ มีแรงบนั ดาลใจจากทใ่ี ด นกั โบราณคดแี ละนกั ประวัติศาสตร์
ศิลปะมีแนวคิดเห็นแตกตา่ งกนั หลายทฤษฎี ดังน้ี สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงรา
ชานุภาพ ทรงวินจิ ฉยั ว่า อาจไดแ้ บบอย่างมาจากเจดยี ์จีน (ถะ) แลว้ ดัดแปลงให้เหมาะสมกบั
กระบวนการชา่ งของไทย ด้วยทรงเหน็ ภาพพระเจดีย์จีนจากท่ฝี ังศพโบราณในหนังสือ "อนิ ลัสเตรท
เต็ด ลอนดอนนวิ ส์ " (ค.ศ. ๑๙๒๘) มลี ักษณะแบบอยา่ งคลา้ ยคลึงอย่บู ้าง ประกอบกับในสมยั
สุโขทัยได้มีการติดตอ่ กับจนี อยา่ งใกล้ชิด ศาสตราจารยศ์ ลิ ป พีระศรี มคี วามเห็นในแงข่ องศิลปว่า
อาจได้รบั แบบอย่างมาจากสถาปัตยกรรมแบบ ซาราเซน (Saracenic style) กไ็ ด้ เพราะมลี ักษณะ
รูปทรงคลา้ ยคลงึ กับยอดสุเหร่า หรอื มสั ยดิ (mosque)ของมุสลมิ หรอื ชาวอาหรับศาสตราจารย์
ยอรช์ เซเดส์ ใหค้ วามเห็นไวใ้ นบทความเร่ือง "อิทธพิ ลของอินเดียตอ่ ศลิ ปไทย " ในหนงั สือ Indian
Art & Letters (ค.ศ. ๑๙๕๐) ว่า โครงสร้างของเจดียแ์ บบนีด้ ูเหมอื นว่าจะมาจากรปู ทรงของโกศ
บรรจุพระบรมอัฐิ
22
นายกริสโวลด์ มคี วามเห็นไวใ้ นหนังสอื Towards a History of Sukhodaya Art วา่ พญาเลอไท
คงจะไดแ้ บบอย่างมาจากเจดยี ์จาลองทบี่ รรจพุ ระบรมสารีริกธาตุของลงั กา ซ่ึงมดี อกบวั ตมู
อาจารย์จติ ร(ประกิต) บวั บุศย์ มีความเหน็ ตามแนวทางพุทธปรัชญามหายานในหนงั สือ ประวัติยอ่
พระพมิ พใ์ นประเทศไทย ว่า การสร้างเจดียท์ รงดอกบัวตูม ไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากนิกายสขุ าวดี จาก
น่านเจ้า ซึง่ ไทยนา่ นเจา้ ลางกลุ่มนาลงมาเผยแพร่ไวร้ ะหวา่ ง พ.ศ. ๑๕๐๐-๑๖๐๐
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ม.ร.ว. สุริยวุฒิ สขุ สวสั ดิ์ มีความเหน็ ว่า คงมาจากทรงของยอดปราสาท
แบบขอม ฯลฯ
ภาพที1่ 1 พระเจดยี ท์ รงดอกบวั ตมู ทม่ี า: https://www.khaosod.co.th
23
๒. เจดียท์ รงระฆงั หรอื ดอกบวั คว่า
มักเรยี กกนั โดยทั่วไปวา่ แบบลงั กา ตามทฤษฎเี ดิมเชื่อว่าได้รบั อทิ ธพิ ลมาจากลังกาโดยตรง
แต่ถ้าพิจารณาในแงข่ องแบบอย่างศิลปะแลว้ จะเห็นวา่ อทิ ธิพลทางศิลปะของลังกามไี ม่มากนกั
เพราะในระยะที่อิทธิพลของพระพุทธสาสนาหินยานจากลงั กาทวีปหลัง่ ไหลเข้ามาสู้ศรีสชั นาลยั น้ัน
อิทธพิ ลศิลปะอนิ เดยี ได้เข้ามากอ่ นแลว้ เช่น สกลุ ช่างปาละ-เสนะ (Pala-Sena School) สกุลชา่ ง
โอรสิ สา(Orissan School) และสกุลช่างโจฬะ (Chola School) เจดยี ์ทรงระฆังแบบสโุ ขทัยมไิ ด้มี
ลักษณะทลี่ อกเลียนมาจากลังกาโดยตรง แต่เปน็ แบบทศ่ี ิลปินสุโขทยั ประดษิ ฐ์ขน้ึ จากการ
ผสมผสานแตง่ เตมิ จนมสี ัดส่นกลมกลืน และมรี ปู ทรงสูงสวยงาม อันเปน็ อทิ ธิพลทีไ่ ดม้ าจากคติ
มหายานแบบอย่างของเจดยี แ์ บบปาละ และโจฬะ เช่น การประดิษฐ์ฐานสูงซ้อนกันหลายช้นั การ
ประดิษฐบ์ ัวปากระฆงั การทารูปทรงระฆังใหพ้ องออกในตอนบนและคอดในส่วนทเ่ี ปน็ ปากระฆงั
เจดียบ์ างองค์มีการจัดซุ้มประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปท้ัง ๔ ทิศ เช่น เจดีย์วัดนางพญา เจดยี ์วดั เขา
สวุ รรณคีรี เจดยี ว์ ดั ชมชื่น อาเภอศรีสชั นาลยั เจดียว์ ัดสระศรี เจดียว์ ัดตน้ จนั ทน์ และเจดยี ์วัดเขา
พระบาทนอ้ ย อาเภอเมืองสโุ ขทยั เป็นต้น
ภาพท1่ี 2 วัดชา้ งลอ้ ม ที่มา: https://www.thai-tour.com
24
๓. เจดยี ์ทรงพระปรางค์
พระปรางค์ของไทยโดยทว่ั ไปมีลักษณะรปู ทรงคล่ีคลายมาจากอิทธพิ ลแบบอย่าง
สถาปัตยกรรมสิขร ของขอมและอินเดยี ผสมผสานกัน แต่มิไดล้ อกเลียนแบบมาโดยตรง พทุ ธ
ปรางค์ในสมัยสุโขทัยแม้จะมีอยูเ่ พยี งไมก่ ่อี งค์ก็ตาม แต่กม็ ปี ัญหาถกเถยี งกนั ในหมู่นกั โบราณคดี
นักประวตั ิศาสตรศ์ ิลปะ ส่วนใหญม่ ีความเหน็ ว่า ปรางค์ต่างๆ เปน็ ปรางค์ที่ขอมสร้างไว้เมอ่ื คร้ังยังมี
อานาจในลมุ่ น้าเจ้าพระยาและเลยข้นึ ไปถึงลานา้ ยม ตอ่ มาเมือ่ ไทยมีอานาจมากข้นึ ไดด้ ดั แปลง
แต่งเติมเพม่ิ ขึน้ ภายหลงั จึงปรากฏรปู แบบศลิ ปะของฝีมือช่างไทย คือรูปทรงสูงชลดู ความเห็น
สว่ นน้อยคือ ขอมไมเ่ คยมีอานาจปกครองดินแดนลุม่ แมน่ า้ เจ้าพระยาเลย ปรางคต์ า่ งๆ ล้วนเป็น
ฝมี อื ชา่ งไทยก่อสร้างข้ึนตามแบบอยา่ งขอม พุทธปรางค์เทา่ ท่ปี รากฏอยู่มี พระปรางคว์ ัดพระศรีรตั
นมหาธาตุ พระปรางคว์ ัดเจ้าจันทน์ ในอาเภอศรสี ชั นาลยั พระปรางค์วัดศรสี วาย (สามองค์) พระ
ปรางค์วัดพระพายหลวง (สามองค)์ และศาลผาตาแดง(ยอดพงั ลงหมดแลว้ )ในอาเภอเมอื งสโุ ขทยั
ภาพท1่ี 3 เจดยี ท์ รงปรางค์ ทม่ี า: https://www.thai-tour.com
25
๔. เจดยี บ์ ษุ บก หรือเจดียท์ รงวมิ าน
แผนผงั เปน็ รปู ส่ีเหลีย่ ม ยอ่ มุมไม้ยี่สิบ และย่อมมุ ไมส้ ิบสองเรือนธาตมุ ีซุ้มพระพทุ ธรูปทัง้ ๔
ทศิ ส่วนยอดทาเป็นช้ันๆ ซ้อนกันถึง ๙ ชนั้ ถัดขึน้ ไปเป็นรูป อามลกะ ตามแบบยอดสขิ รของ
อินเดีย และยอดบนสดุ เป็นยอดแหลม เจดยี แ์ บบน้พี บอยู่ สามส่อี งค์ เช่น ท่ีวดั ชนะสงคราม วัด
ตระพังเงิน ที่วัดเจดยี ์เจ็ดแถว อาเภอศรสี ัชนาลยั กอ่ ด้วยศิลาแลง ยอดทาเปน็ ชั้นลดหลน่ั กันถึง ๙
ชั้น อย่ใู นสภาพคอ่ นข้างสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่
ภาพท1่ี 4 วัดชนะสงคราม ทม่ี า: https://sites.google.com
26
๕. เจดยี จ์ อมแห
เจดียแ์ บบจอมแหน้ี ท่ีฐานทาเป็นกลีบดอกบวั ๓ ชนั้ ชน้ั ท่ี ๓ ทาเป็นซมุ้ คหู าสาหรบั
ประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปท้ังส่ดี ้านส่ีทิศ เรอื นพระเจดยี ์ทาเปน็ รปู ระฆงั ครอบปากผาย ออกเปน็ แบบ
ระฆัง ๘ เหล่ียม แต่ตอนที่เป็นตวั ระฆังไมก่ ลมอวบอ้วนเหมอื นอย่างเจดยี ์ทรงระฆงั ครอบ คือ ทา
เปน็ อยา่ งกระโจมมีกลบี ยาวเป็นลอนเรยี งกนั เป็นกลบี ๆ รอบองคพ์ ระเจดีย์ นับได้ ๒๘ กลีบ จาก
ลกั ษณะของรปู กระโจมเจดยี ์ท่คี ลา้ ยกบั ร่างแหท่ีแขวนตากแดดแขวนไวก้ ับเสากระโดง จึงเรยี กกัน
ว่า เจดยี ์จอมแห มีพบเพียงแห่งเดยี วบนเนนิ เขาวัดพระบาทน้อย อาเภอเมอื งสุโขทยั เท่านน้ั
ภาพท1ี่ 5 วดั พระบาทน้อย ที่มา: http://www.finearts.go.th
27
๖. เจดีย์ทรงปราสาท
เจดีย์แบบนนี้ กั โบราณคดเี ชื่อกนั วา่ ไดร้ บั อิทธพิ ลแบบอยา่ งจากเจดีย์วดั มหาธาตุเมืองไชยา
และเจดีย์วดั มหาธาตุ เมอื งนครศรีธรรมราช เปน็ เจดยี ์แบบหลายยอด เช่น เจดียว์ ัดมหาธาตุ เมือง
ไชยา ลักษณะโดยท่วั ไปมีฐานส่เี หลีย่ มสูง เรอื นธาตเุ ป็นรูปส่ีเหลี่ยมจตั รุ ัส ประกอบด้วยซุ้ม
ประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปปางประทับยนื ทั้ง ๔ ทิศ แตล่ ะซมุ้ นิยมจัดเสาแบนและหน้าบันซ้อนกนั
สองชน้ั ลวดลายประดับซุ้มประดษิ ฐเ์ ปน็ รปู ใบไม้ หรือขนนกยาว ๆ เรยี งลดหล่นั กันซุ้มละ ๗ อนั
เหนอื เรือนธาตุทาเป็นฐาน ๘ เหลยี่ ม ตรงส่วนท่ีเป็นบวั ปากระฆังนยิ มทาเปน็ "บัวกลุ่ม" องค์ระฆงั
ตอนบนพองออกมากกว่าส่วนทเี่ ปน็ ปากระฆงั มลี าย "รดั อก" หรือ "รดั เอว" คาดเป็นเคร่ืองประดับ
ไมม่ ีบลั ลังก์ เหนอื องค์ระฆงั ทาเปน็ บวั กลุ่มอกี สองชน้ั กอ่ นที่จะถงึ ปลียอด ตามมุมเจดีย์ทง้ั ส่ี
มีการประดิษฐเ์ จดียบ์ ริวารสเี่ หล่ียมขนาดเลก็ หรอื "สถปู ิกะ" เชน่ เจดยี บ์ รวิ ารท่ีวัดมหาธาตุ
อาเภอเมอื งสโุ ขทัย และเจดียร์ ายที่วัดเจดยี เ์ จ็ดแถว อาเภอศรสี ัชนาลยั
ภาพท่ี16 วดั เจดีย์เจด็ แถว ที่มา: http://www.qrcode.finearts.go.th
28
ประตมิ ากรรม
ประติมากรรมไทยส่วนใหญ่ มีจดุ ประสงค์ในการสร้างข้นึ ด้วยศรัทธาอันแน่นแฟ้นในพุทธ
ศาสนา ดังจะเห็นไดจ้ าก พระพุทธรปู ในสมยั ตา่ งๆ ไม่ว่าจะเป็นการปน้ั หล่อ หรอื แกะสลัก อกี
ส่วนหนึง่ สาหรับใช้เป็นเคร่ืองประกอบ ตกแตง่ ปราสาทราชวังและเครอ่ื งใชต้ า่ งๆ สาหรับ
พระมหากษัตริย์
ประตมิ ากรรมไทยแบง่ ไดเ้ ป็นสาม ลกั ษณะใหญๆ่ คือ
๑. ลกั ษณะนูนตา่ (Bas Relief) คอื ผลงานที่มองไดด้ า้ นเดียว แสดงความตื้นลึกของภาพ โดยมี
ความสูงตา่ เพียงเล็กนอ้ ย เชน่ ลวดลายปูนปั้นบนสถูป และลายแกะสลกั ต่างๆ เป็นต้น
๒. ลกั ษณะนนู สูง (High Relief) สามารถมองเห็นได้ ๓ ดา้ น คอื ดา้ นหน้า และดา้ นขา้ งอีก ๒ ด้าน
โดยมคี วามตน้ื ลึกท่แี ตกตา่ งกนั มาก จนเห็นได้ชดั เจน เชน่ ลายปนู ปน้ั บนหนา้ บัน
๓. ลักษณะลอยตวั (Round Relief) สามารถมองเห็นไดร้ อบดา้ น เชน่ พระพุทธรูป เทวรปู ต่างๆ
รวมถงึ เคร่ืองปนั้ ดนิ เผาดว้ ย
ประตมิ ากรรมสมัยสโุ ขทยั เร่ิมต้ังแตส่ มยั พอ่ ขุนศรีอนิ ทราทิตยป์ ระกาศต้ังกรุงสุโขทยั
เป็นราชธานปี ระมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐-๑๙๑๘ เมืองสาคัญทางศลิ ปสมัยสโุ ขทัยมีเมืองสุโขทัย เก่า
กาแพงเพชร และศรสี ชั นาลัยปรากฏโบราณสถานใหญ่โต มศี ิลปวตั ถุเป็นจานวนมาก ชาวสุโขทัย
นับถือพุทธศาสนายุคแรกตามแบบสมัยลพบรุ ี คือ พุทธศาสนาแบบมหายาน ภายหลังพุทธศาสนา
ลทั ธลิ งั กาวงศแ์ พร่ขยายเข้ามาในสมัยพ่อขุนรามคาแหง วัสดทุ ี่นามาสร้างประติมากรรมมี ปูนเพชร
ดนิ เผา ไม้ โลหะสาริด และทองคา
29
แบบอย่างของประติมากรรมสมัยสโุ ขทยั แบ่งเป็น ๔ ยุค คอื
ยุคท่ี ๑ ประติมากรรมยคุ นย้ี ังแสดงอิทธพิ ลของศลิ ปะลพบุรที ี่เหน็ ได้ชัด คอื ภาพปนู ปั้น
ลวดลายประดบั ประตรู ้ัวทางเขา้ องค์ปรางคว์ ัดพระศรีรัตนมหาธาตุ การสร้างพระพุทธรูปในยุคนม้ี ี
แบบเฉพาะเป็นของตนเองทเ่ี รียกกนั วา่ "แบบวัดตระกวน" เปน็ พระพุทธรูปแบบเชียงแสน ลังกา
และสุโขทยั ผสมผสานกนั พระพกั ตร์กลม พระรศั มีเป็นแบบลังกา พระวรกายและชายสงั ฆาฏิสั้น
แบบเชยี งแสน
ยคุ ท่ี ๒ ในยคุ น้ีฝีมือการสร้างประติมากรรมของช่างไทยเชย่ี วชาญข้ึน พฒั นารูปแบบการ
สรา้ งพระพทุ ธรูปจนกอ่ เกิดรูปพุทธลักษณะอนั งดงามของสกุลชา่ งสโุ ขทัยเอง ยงั เป็นศลิ ปะสุโขทัย
แบบบริสทุ ธ์ิ ในยคุ น้ีมกี ารสรา้ งพระพุทธรูปไวม้ ากมายตั้งแตพ่ ระพุทธรปู ขนาดใหญ่ เช่น พระอัฏฐา
รส พระอัจนะ จนถงึ พระบูชาขนาดเล็ก และพระพมิ พ์ นอกจากนย้ี ังมีพระพุทธรปู นูนต่านนู สูง
ประดบั ภายในซุ้มมณฑปหรอื พระเจดีย์เป็นจานวนมาก สมดงั ศิลาจารกึ หลักที่ ๑ กล่าวไว้ว่า "กลาง
เมืองสุโขทัยนีม้ ีพิหาร มีพระพุทธรปู ทอง มพี ระอฏั ฐารส มีพระพุทธรูปอนั ใหญ่ มพี ระพทุ ธรปู อัน
ราม " พระพุทธรูปสุโขทัยไมน่ ิยมสลกั หิน แม้จะเปน็ พระพทุ ธรปู ขนาดสลักหิน นิยมป้ันดว้ ยปนู
หรือหล่อด้วยโลหะมคี า่ ต่างๆ รวมท้ังทองคาบริสุทธิ์ ลักษณะพระพทุ ธรูปสโุ ขทัยยคุ น้ี คือ พระ
พกั ตรร์ ูปไข่ พระขนงโกง่ พระนาสกิ งุ้ม พระโอษฐ์อมย้มิ เลก็ น้อย พระเศยี รสมสว่ นกบั พระศอและ
พระองั สา หมวดพระเกศาเลก็ พระรัศมีเป็นเปลว พระอุระผายสง่า พระองั สาใหญก่ ว้าง พระถนั
โปน ป้ันพระองค์เล็ก ครองจวี รหม่ เฉียง ชายจีวรยาวจรดมาถึงพระนาภี ปลายเป็นลายเขี้ยว
ตะขาบ พระกรเรยี วดจุ งาช้าง นิ้วพระหตั ถ์และนวิ้ พระบาททาแบบธรรามชาติ ดุจมชี วี ิต ฐานเปน็
หน้ากระดานเกล้ียง ปางที่นยิ มคือ ปางมารวชิ ัย และปางลีลา องคพ์ ระพทุ ธรูปปางลีลาทงี่ ดงาม
ปจั จบุ นั ประดษิ ฐานที่ระเบียงคด วัดเบญจมบพิตร
ยคุ ท่ี ๓ การป้นั พระพุทธรูปยคุ นพ้ี ัฒนาไปจากศิลปะสโุ ขทัยแบบบริสทุ ธ์ิ มีความประณตี มี
ระเบยี บและกฎเกณฑม์ ากข้นึ พระรัศมีเป็นเปลวมขี นาดใหญข่ ึน้ พระพกั ตรร์ ปู ไขส่ น้ั พระอุณาโลม
เป็นตวั อุหงายระหว่างหัวพระขนง พระวรกายมีความอ่อนไหวนอ้ ยลง พระอาการสงบเสงยี่ มแลดู
นิง่ สงบขน้ึ พระกรยาว นิ้วพระหัตถท์ งั้ สเ่ี สมอกัน ฝ่าพระบาทเรยี บสัน้ พระบาทยาว พระพทุ ธรูปที่
สาคญั ๆ ในยุคนี้ คอื พระพทุ ธชินราช พระพุทธชนิ สีห์ พระศรีศาสดา และพระศรศี ากยมุนี เป็นต้น
30
ยุคที่ ๔ เปน็ ยคุ ท่ปี ระตมิ ากรรมสมยั สโุ ขทัยถกู กลืนไปกบั อทิ ธิพลของศลิ ปสมยั อยธุ ยาเม่อื
ราชวงศพ์ ระร่วงส้ินสดุ ลงในพ.ศ. ๑๙๘๑ นบั เปน็ ยุคสุโขทยั เส่ือม แมม้ กี ารสร้างศิลปะในชน้ั หลังก็
เป็นสกลุ ศลิ ปะเล็กๆ พระพทุ ธรปู มลี ักษณะกระดา้ งข้ึนทงั้ อิริยาบท และทรวดทรง มกั สร้าง
พระพุทธรูปยนื พระสาคัญในยคุ นี้เชน่ พระอัฎฐารส วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงแบ่งแบบอย่างพระพุทธรูปซ่งึ
สร้างในสมัยสุโขทัยเปน็ ๓ กล่มุ คือ กล่มุ ทหี่ นึ่ง มกั ทาดวงพระพักตรก์ ลมตามแบบพระพุทธรูป
ลังกา เชน่ พระอฏั ฐารสในวหิ ารวดั สระเกศ กลมุ่ ทีส่ อง เม่อื ฝีมือช่างเชีย่ วชาญขึ้นคดิ แบบใหม่ ทา
ดวงพระพกั ตร์ยาว พระหนุเส้ยี ม เชน่ พระรว่ งโรจนฤทธทิ์ ่พี ระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั
เชญิ ไปไว้ทพี่ ระปฐมเจดยี ์ และพระสรุ ภพี ทุ ธพิมพท์ ่เี ป็นพระประธานอยูใ่ นพระอโุ บสถวดั ปรนิ ายก
พระพทุ ธรูปทสี่ ร้างแบบน้ีมีมากกวา่ กลมุ่ แรก กลุ่มที่สามสนั นิษฐานว่าเหน็ จะเปน็ ในรชั กาลพระ
มหาธรรมราชาพญาลิไทย ซ่ึงในตานานกลา่ วว่า ทรงเปน็ พระราชธุระบารงุ กิจในพระศาสนายง่ิ กว่า
ในรัชกาลก่อนๆ โปรดให้เสาะหาช่างที่มฝี ีมอื ดที ้งั ในอาณาเขตลานนาและอาณาเขตข้างฝ่ายใต้มา
ประชุมปรึกษากนั และทรงสอบสวนหาหลักฐานพุทธลกั ษณะในคัมภรี พ์ ระไตรปิฎกประกอบ จงึ
เกดิ แบบพระพทุ ธรูปสมัยสโุ ขทยั ขนึ้ อกี อย่างหน่ึง เช่น พระพุทธชินราช พระพทุ ธชนิ สหี ์ ดวงพระ
พกั ตร์เป็นทานองผลมะตูมคลา้ ยแบบอนิ เดียเดิมแต่งามยิง่ นกั และแกพ้ ุทธลักษณะแห่งอื่น เชน่ ทา
ปลายน้ิวพระหตั ถ์ยาวเสมอกันทงั้ สนี่ ิ้ว เป็นตน้ แบบพระพทุ ธรูปเช่นนี้ทากันแพร่หลายขึ้นไปจนถงึ
เมอื งเหนือ และลงมาขา้ งใต้ แต่ท่ีทาได้งามเหมอื นองคพ์ ระพุทธรูปที่เปน็ ตน้ ตารามนี ้อย
พระพทุ ธรูปปางต่างๆ ท่ีทาในสมัยสโุ ขทยั ดเู หมือนจะไม่มที าพระปางอยา่ งอนิ เดีย มีปาง
พุทธอิริยาบท คอื พระน่ัง พระนอน พระยนื พระเดิน พระนั่งทาปางมารวิชัยกับสมาธิ น่ังขัดสมาธิ
ราบท้ังสองอย่าง พระนอนไมถ่ อื วา่ เป็นปางนพิ พานอยา่ งอนิ เดีย พระยนื มีแต่ปางประทานอภยั ยก
พระหตั ถ์ขา้ งเดยี วบ้างสองขา้ งบ้าง สมมุติเรียกกนั ว่า ปางห้ามสมุทรและปางห้ามญาติ พระเดนิ ไม่
ถือวา่ เป็นปางเสดจ็ ลงจากดาวดึงส์ ไมท่ าปางพระกรีดนว้ิ พระหัตถแ์ สดงเทศนา พระพทุ ธรูปแบบ
สโุ ขทัยทาชายจวี รยาว พระรัศมีเป็นเปลว พระแบบท่สี ร้างสอลกลุ่มแรกน้ิวพระหัตถไ์ มเ่ ทา่ กนั ทง้ั สี่
นิว้ แบบบัวรองพระพทุ ธรูปเปน็ อย่างสุโขทยั ไมเ่ หมือนกบั บวั เชียงแสน จากหลักฐานทีพ่ บในเมือง
31
สวรรคโลก สุโขทัย และกาแพงเพชร ชั้นเดิมสร้างเป็นพระก่อแลว้ ปน้ั ประกอบเปน็ พ้ืน มาถงึ ชน้ั
กลางและช้ันหลังจึงชอบสรา้ งพระหล่อ ขอ้ นมี้ ีท่สี ังเกตตามวดั ในเมอื งศรสี ชั นาลัย และเมืองสุโขทยั
นอกจากนท้ี ่ีเป็นวดั สาคัญ พระประธานท่ีเป็นพระป้นั ยงั อยโู่ ดยมาก แต่วดั สาคัญในเมอื งพษิ ณุโลก
สุโขทัย และกาแพงเพชร มักไม่มีพระประธานเหลอื อยู่ ดว้ ยเปน็ พระหล่อเชญิ มาไว้ท่ีกรงุ เทพ ฯ ใน
สมัยรตั นโกสนิ ทร์โดยมาก เชน่ พระศรีศากยมนุ ีทพี่ ระวิหารวัดสทุ ัศน์ พระพุทธชินสหี ท์ ่ี
วดั บวรนิเวศ และพระอฏั ฐารส ที่วหิ ารวัดสระเกศ เป็นตน้ พระพิมพก์ ็ชอบสร้างในสมยั สุโขทัย
เหมือนสมยั อืน่ แตแ่ ปลงมาเปน็ พระพุทธรูปตามคติหินยาน ทาตา่ งพุทธอิริยาบท มกั ชอบทาพระ
ลีลา เรียกกันสามัญว่า "พระเขยง่ " อกี อย่างหนึ่งก็ทาเปน็ พระน่ัง แต่หลาย ๆ สิบองคใ์ นแผน่ พิมพ์
อนั หนง่ึ
ในพ.ศ. ๒๔๙๔ หลวงบริบาลบุรีภณั ฑ์และนาย A.B. Griswold ได้แบ่งหมวดหมู่
พระพุทธรปู สุโขทยั ออกเป็น ๕ หมวด คือ
๑. หมวดใหญต่ รงกบั หมวดชัน้ กลางท่ีสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรง
กลา่ วไว้ จัดเป็นแบบที่งามที่สดุ
๒. หมวดกาแพงเพชร ลักษณะเหมือนหมวดใหญ่ พระพกั ตร์สอบจากตอนบนลงมาหาตอนลา่ ง
มาก พบสร้างมากทกี่ าแพงเพชร
๓. หมวดพระพุทธชินราช ตรงกบั หมวดทีส่ ามท่ีทรงกลา่ ว
๔. หมวดพษิ ณุโลกชนั้ หลงั ลักษณะทรวดทรงยาว แบบจืดและแขง็ กระด้าง จีวรแขง็ มักทาพระยืน
เปน็ พระพทุ ธรูปสุโขทยั ช้นั หลัง เมื่อตกเป็นประเทศราชของกรงุ ศรอี ยุธยาแล้ว
๕. หมวดเบด็ เตล็ด หมายถงึ พระพทุ ธรูปแบบสุโขทยั ซึ่งเข้ากบั ๔ หมวดข้างต้นไม่ได้ รวมท้ังแบบ
วดั ตระกวนซง่ึ มีลกั ษณะเป็นพระเชียงแสน ลังกา และสุโขทัย ผสมกนั แบบวดั ตระกวนนอ้ี าจจดั
เข้าอยูใ่ นหมวดชน้ั แรกซ่ึงมวี งพระพักตร์กลม
32
ตอ่ มานายกรสิ โวลด์ ไดแ้ บ่งพระพุทธรูปสมัยสุโขทยั ออกเปน็ เพียง ๓ หมวดคอื
๑. Pre-classic ซึง่ ตรงกบั หมวดที่ ๑ ของสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ
๒. High-classic ซึ่งตรงกบั หมวดทีส่ องของสมเดจ็ ฯ
๓. Post-classic ซึ่งตรงกับหมวดที่สามของสมเดจ็ ฯ ในหมวดทส่ี ามนีน้ ายกริสโวลดไ์ ด้พบ
พระพทุ ธรปู ๕ องค์ ซง่ึ มีจารกึ บอกศักราชที่หล่อขนึ้ องค์หนงึ่ อยู่ทวี่ ดั หงส์รัตนาราม ธนบรุ ี หล่อขน้ึ
ในพ.ศ. ๑๙๖๓ หรือ ๑๙๖๖ อีก ๔ องคอ์ ยู่ทจี่ งั หวดั น่านหล่อข้ึนเม่ือพ.ศ. ๑๙๗๐
นอกจากการสร้างพระพุทธรูปแลว้ สมัยสโุ ขทยั ยังนยิ มทาภาพปนู ปั้นเพอ่ื ประกอบงาน
สถาปตั ยกรรมและงานอืน่ ๆ จานวนมาก โดยทาข้ึนหลายรูปแบบทั้งสวยงาม แปลกประหลาดและ
ตลกขบขัน ตัวอย่างลวดลายปูนป้ันท่งี ดงามมีอย่มู ากมาย เชน่
๑. ลายปูนปน้ั ที่วัดมหาธาตุ อาเภอเมอื งสุโขทัย เปน็ เร่ืองพุทธประวตั แิ สดงปางประสูติ ปรนิ ิพพาน
๒. ลายปนู ปนั้ ท่ีวดั นางพญา อาเภอศรสี ัชนาลัย เป็นลายดอกไม้
๓. ลายปูนปั้นทีว่ ัดชา้ งล้อม อาเภอศรีสชั นาลยั ปนั้ เปน็ รูปชา้ งรายรอบฐานพระเจดยี ์
๔. ลายปูนปน้ั ทว่ี ดั ตระพังทองหลาง เปน็ เรื่องพุทธประวัติแสดงปางเสด็จจากดาวดึงส์
จิตกรรม
จติ รกรรมไทยแบบประเพณี (Traditional Thai painting) โดยมากเขียนไว้เพ่ือ
จดุ ประสงค์ ในการประดบั ตกแตง่ อาคารศาสนสถานและเครอ่ื งใช้ ท่ีเกยี่ วเนื่องในพทุ ธศาสนา เช่น
ในโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรยี ญ คูหาในสถปู เจดีย์ คัมภรี ต์ ่างๆ และบนภาพพระบฏ เปน็ ตน้ ส่วน
ใหญจ่ ะเป็นเร่ืองราวจากพระไตรปฎิ ก เช่น พทุ ธประวัติ ชาดก ไตรภูมิ และอนื่ ๆ โดยนอกจากจะ
เป็นไปเพอ่ื การประดับตกแต่งแลว้ ยงั ไดเ้ ล่าเรื่อง และแสดงธรรมบางประการไว้ด้วย
นอกเหนอื ไปจากการใหค้ วามร้คู วามเพลิดเพลินแลว้ จติ รกรรมไทยยังไดส้ ะท้อนใหเ้ หน็ ถึงความ
เป็นไป ของสภาพชีวิตความเป็นอยู่ และคตคิ วามเชือ่ ของคนไทยในยคุ สมยั ตา่ งๆ สอดแทรกไว้ด้วย
33
งานจติ รกรรมสมยั สโุ ขทัยนัน้ ปรากฏว่ามีการทาภาพแกะลายเบา โดยแกะสลักบนหินเปน็
ลายเสน้ ตวั อย่างเช่น ภาพแกะสลกั ลายเสน้ บนเพดานผนังอโุ มงคว์ ัดศรีชุม สลกั เร่อื งโคชานิยชาดก
สารดิ จากวัดเสด็จ ตลอดจนจิตรกรรมฝาผนงั พบท่วี ัดเจดยี เ์ จด็ แถว ภายในคูหาชน้ั ในของมณฑปที่
มเี รือนยอดเปน็ ปรางค์ผสมเจดยี ์ทรงระฆังมภี าพจิตรกรรมฝาผนัง แต่ปจั จุบันลบเลอื นเกือบ
หมดแลว้ แต่นบั เป็นคณุ ปู การแกค่ นไทยอย่างยิ่งท่ีท่านศาสตราจารย์เฟอ้ื หริพิทักษ์ ซึ่งเปน็ ผู้ทีร่ ัก
เข้าใจ และเห็นคุณค่าของจติ รกรรมไทย ได้ทาการคัดลอกภาพจติ รกรรมฝาผนังจากวดั เจดยี เ์ จ็ด
แถวไว้เปน็ หลกั ฐานใหอ้ นุชนรนุ่ หลงั ได้ทาการศึกษาต่อมา
งานศิลปกรรมของแต่ละชาติแต่ละยุคในสมยั แรกๆ อาจมีลักษณะแบบอย่างด้ังเดิม หรือ
ไดร้ ับอทิ ธพิ ลทางศลิ ปะจากชนชาตทิ ่มี คี วามเจริญสูงกวา่ ต่อมากพ็ ัฒนาสรา้ งลักษณะแบบอยา่ งทีม่ ี
เอกลักษณข์ องตนเองจนจัดได้วา่ มคี วามเจริญสูงสุด หรือที่เรียกว่าเป็นยคุ ทอง (golden age)
หรอื ยคุ คลาสสิค (classic age) ท่ีชี้ชดั ใหเ้ ห็นถึงความสามารถทางศิลปะเป็นพเิ ศษไม่มยี ุคใดสมัยใด
ของชาตนิ น้ั ๆ เปรียบเทียบได้
ประเทศตา่ งๆ ได้พยายามจัดยุคที่รงุ่ เรืองของตนให้เปน็ ยคุ ทอง เพอ่ื ใหป้ ระชาชาติของตน
รูส้ กึ ภาคภูมิใจและใหช้ าวโลกได้รจู้ ักไดศ้ ึกษา เช่นสมัยสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ (Elizabethan
Age) เป็นยุคทองของชาวองั กฤษ สมยั พระเจา้ หลุยส์ที่ ๑๔ (Louis XIV Reign) เปน็ ยคุ ทองของ
ชาวฝร่ังเศส สมัยคปุ ตะ (Guptan Period) เป็นยคุ ทองของชาวอินเดีย สมัยราชวงศถ์ ัง (Tang
dynasty) เป็นยุคทองของชาวจนี สมัยนารา(Nara Period) เป็นยุคทองของชาวญี่ปุ่น เป็นตน้
สมัยสโุ ขทัยได้รับการยอมรับว่า เป็น ยุคทองของความรุ่งเรอื งทางเศรษฐกจิ
ศลิ ปวัฒนธรรมของชาตไิ ทย และชาวโลก ดว้ ยความงดงามแห่งทัศนศลิ ป์ดา้ นสถาปตั ยกรรม
ประตมิ ากรรม ของสุโขทัยน้เี องท่ีทาให้องคก์ ารศกึ ษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่
สหประชาชาติ (UNESCO) คดั เลอื กให้อุทยานประวตั ศิ าสตร์สุโขทัย และอทุ ยานประวัตศิ าสตร์
ศรสี ชั นาลยั เปน็ มรดกโลก (World Heritage) ในปพี ุทธศกั ราช ๒๕๓๔
34
แบบอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๑๓๑๐)
ศลิ ปะสมัยอยุธยา ในยุคน้ีมีการรับเอา ศิลปะสมัยอทู่ อง มาเปน็ แม่แบบผสมผสานกับ
ศลิ ปะสมยั สุโขทัย จึงกลายเป็น ศลิ ปะสกุลช่างอยุธยา-อ่ทู อง ซึ่งก็คอื ศิลปะสมัยอยธุ ยายคุ ตน้
เพราะเปน็ การนาเอาศิลปะทท่ี รงอานาจของ อทู่ อง ทแี่ ฝงไว้ดว้ ยความอ่อนหวานของ สโุ ขทัย และ
ความอุดมสมบรู ณข์ อง เชียงแสน แตเ่ น่ืองจากอิทธพิ ลของ ศิลปะอทู่ อง ยงั คงมีอยมู่ ากพระพุทธรปู
จงึ แสดงออกทาง พระพกั ตร์ (ใบหน้า) ซงึ่ ก็คือการแสดงถงึ พลงั อานาจออกมาชดั เจนโดยมีความ
อ่อนโยนแฝงไว้คอื การ แย้มพระสรวล (ยิม้ ) ส่วน พระวรกาย (ร่างกาย) ค่อนขา้ งล่าสันอนั เปน็
สัญลักษณข์ อง พระพทุ ธรูปสมยั เชยี งแสน ซ่งึ มีรายละเอียดของพระพทุ ธลักษณะโดยสรปุ ดงั น้ี
๑. พระพักตร์ เป็นรูปสี่เหล่ยี มริมพระโอษฐ์ (รมิ ฝีปาก) คอ่ นขา้ งกว้างและแบะออกแบบศิลปะ
ลพบุรี
๒. พระขนง (คว้ิ ) โกง่ และจดกนั เป็นรปู ปีกกา
๓. พระเนตร (ดวงตา) เหลือบต่าลักษณะยาวรีและ เปลือก พระเนตร (เปลือกตา) หนา
๔. ไรพระศก (ไรผม) เปน็ เม็ดเล็กปลายเปน็ เกลียวแหลมในลักษณะของหอยเจดีย์
๕. พระนาสกิ (จมูก) ใหญ่
๖. ขอบพระกรรณ (ขอบหู) สว่ นบนจะโค้งมนคลา้ ยกับใบหมู นษุ ย์ ตง่ิ พระกรรณ (ติ่งหู) ยาวเปน็
ปลายแหลมจดถึงพระพาหา (หัวไหล่)
๗. กรอบพระพักตร์ มที ง้ั แถบใหญ่และเสน้ ขนาดเล็กเปน็ เสน้ ขนานกัน ๒ เสน้ หรือ ๒ ช้ัน
๘. ครองจีวรห่มเฉวยี งบา่ มีสายรดั ประคดทง้ั ด้านหน้าและดา้ นหลงั ชายสังฆาฏิดา้ นหน้ายาวจด
พระนาภี (หนา้ ท้อง) ปลายสังฆาฏติ ดั ตรง
๙. สว่ นมากเปน็ ปางสมาธิราบ ปางมารวิชัยกม็ แี ต่น้อยมากจงึ สรปุ ไดว้ า่ ศิลปะสมัยอยธุ ยายุคตน้
ซึง่ กค็ อื ศิลปะอยธุ ยาสกลุ ช่างอยุธยา-อูท่ องระยะแรก ทย่ี ังมอี ิทธิพล ของ ศลิ ปะอทู่ อง เน่ืองจากยงั
35
ไมม่ ีการคลายตัวลง นอกจากนยี้ งั มีอทิ ธิพลของ ศลิ ปะสุโขทัย และ ศิลปะเชยี งแสน เข้ามาผสมาน
เพยี งเลก็ นอ้ ย
ภาพท1่ี 7 พระพทุ ธรูปสมยั อยุธยา ทม่ี า: http://www.thaigoodview.com
36
แบบรตั นโกสนิ ทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ปจั จบุ ัน)
สมยั รัตนโกสินทร์ เรม่ิ ตน้ ตงั้ แตพ่ ระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรง
สถาปนากรงุ เทพมหานครฯ ขนึ้ เปน็ ราชธานีตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ลงมาจนถงึ สมัยปจั จุบันการ
จาแนกรปู แบบทางศิลปกรรมอาจจาแนกไดเ้ ปน็ ๓ ยุคใหญ่ๆอนั ได้แก่
๑. ประตมิ ากรรม
ตอนตน้ ในรชั กาลที่ ๑ เน่อื งจากการย้ายเมอื งหลวงเปน็ กรุงเทพมหานคร จงึ ไม่มี
การริเรมิ่ สร้างวัดใหม่ แตจ่ ะเป็นการทานบุ ารงุ และบรู ณะแทน ในราชกาลที่ ๒ และ๓ ก็เปน็
เชน่ เดยี วกันคือการเนน้ การทานุบารุงงานประติมากรรมและประติมากรรมตา่ งๆ โดยเนน้ ท่ี
ลวดลายและความละเอียดมากกว่าท่ีเนน้ เร่อื งสสี ัน
ตอนกลาง ในรัชกาลท่ี ๔ เกดิ ความนยิ มศิลปะแบบ Realistic จงึ พยายามทาใหร้ ูป
ปน้ั มีลกั ษณะที่คล้ายคลึงกับคนใหม้ ากทส่ี ดุ ในราชกาลที่ ๕ มีการนาลักษณะเก่าๆด้ังเดมิ ของไทย
มาใช้อยากมาก อีกทัง้ ยงั เนน้ ความเหมอื นจริงให้มากไปกว่าเดมิ เพราะในสมยั นน้ั มนั เปน็ ทีน่ ิยม
อย่างแพรห่ ลาย
สมยั สงั คมประชาธิปไตย รัชกาลท่ี ๕ เปน็ ตน้ มากม็ ีการแกไ้ ขลักษณะพระพุทธรปู ให้
เหมอื นสามัญชนยงิ่ ข้ึนทกุ ที แตย่ ังคงรักษาพระพทุ ธลักษณะทส่ี าคญั บางประการไว้ และในปจั จุบนั
บางครง้ั ก็สร้างสรรค์พระพุทธรูปทม่ี รี ปู ร่างลักษณะอิรยิ าบถอันแปลกๆออกมาแตม่ รี ูปแบบที่
แตกต่างไปจากของโบราณโดยสนิ้ เชิง
ภาพท1่ี 8 ฐานอนสุ าวรียป์ ระชาธปิ ไตย ท่ีมา: http://sukawit-kamtim.blogspot.com
37
๒. จิตรกรรม
ตอนต้น สาหรับจติ รกรรมน้ัน ภาพเขยี นในสมัยรตั นโกสินทร์ตอนต้นก็คงตามแบบศิลปะ
อยุธยาตอนปลาย แต่อทิ ธิพลของศิลปะจีนท่มี ีอยบู่ ้างในสมัยรัตนโกสินทรน์ นั้ หายไป ภาพเขยี นใน
สมัยนีล้ ้วนใช้สีและปิดทองลงบนภาพทง้ั สนิ้ ภาพเขียนบนผนงั ในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ดจู ะรงุ่ เรืองท่ีสดุ
ในสมยั รัชกาลท่ี ๓ ดังอาจเห็นได้จากภาพเขยี นในพระอุโบสถและพระวิหาร ณ วัดสุทศั น์เทพวรา
ราม
ภาพท1่ี 9 ภาพเขยี นในพระอุโบสถ ท่ีมา: http://sukawit-kamtim.blogspot.com
ตอนกลาง ตงั้ แตส่ มัยรัชกาลที่ ๔ เป็นตน้ มา มีการตดิ ต่อกับตา่ งประเทศทางตะวันตกมาก
ขน้ึ อทิ ธิพลของจติ รกรรมต่างประเทศทางตะวนั ตกก็เขา้ มาปนอยู่ในจติ รกรรมฝาผนงั ของไทย ดัง
อาจเห็นได้จากภาพเขยี นบนผนงั พระอโุ บสถทวี่ ดั มหาพฤฒาราม
ในปัจจุบนั ตอ่ จากสมัยตอนกลางจิตรกรรมมคี วามหลากหลายมากท้งั แนวคดิ และรปู แบบ
ซึง่ รวมไปถงึ สอ่ื กลวิธี คติ ความเชื่อตา่ งๆ มที งั้ ที่อนรุ ักษ์ของโบราณและสรรค์สร้างขึ้นมาใหม่ แต่ท่ี
เป็นท่ีรู้จกั ของผู้คนมากกค็ ือภาพเขยี นเรอื่ งรามเกียรติ์
38
๓. สถาปัตยกรรม
ตอนตน้ สาหรับสถาปตั ยกรรมสมัยรัตนโกสนิ ทร์นน้ั มดี ังนี้ คือ แบบอยา่ งพระสถปู เจดยี ์
ซ่งึ สร้างในรชั กาลที่ ๑-๓ นิยมสรา้ งพระปรางค์กบั พระเจดยี ์ไม้สิบสองเปน็ หลกั รชั กาลที่ ๑ มกี าร
สรา้ งวัดพระศรีรตั -นศาสดารามและวัดสทุ ัศน์เทพวราราม และใหบ้ ูรณะปฏสิ งั ขรณส์ งิ่ ก่อสร้างใน
วัดอืน่ ๆซึง่ มมี าก่อนสถาปนากรุงรตั นโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลท่ี ๒ ทรงดาริเริม่ สรา้ งพระปรางคว์ ดั
อรณุ ฯ แต่ค้างอยู่ มาสาเร็จในสมยั รชั กาลท่ี ๓ สาหรับโบสถว์ หิ ารในสมัยรตั นโกสินทร์ตอนตน้ กม็ กั
สร้างเลยี นแบบกรุงศรีอยธุ ยา ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เกดิ นยิ มแบบอย่างศิลปะจนี วัดท่ีสร้างในรชั กาลน้ี
บางแห่งก็มักยา้ ยสรา้ งคล้ายแบบจนี คอื ยกเอาช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ออกเสยี หนา้ บนั หรอื หน้า
จัว่ แทนท่ีจะเป็นไม้สลักอย่างแต่ก่อนก็เปล่ียนเป็นก่ออฐิ ถอื ปูนและใชล้ วดลายดินเผาเคลอื บประดบั
เสากม็ กั เปน็ ส่เี หล่ียมทึบใหญ่ ไมม่ ีบวั หัวเสา ในรัชกาลนีไ้ ดท้ รงสร้างวัดขน้ึ เปน็ จานวนมาก
ภาพท2ี่ 0 พระปรางคว์ ัดอรณุ ฯ ทม่ี า: http://sukawit-kamtim.blogspot.com
39
ตอนกลาง รชั กาลท่ี ๔ นิยมสร้างพระสถูปกลมทรงลังกาและยงั ทรงนิยมจาลองแบบพระ
เจดยี ์สมยั อยธุ ยามาสร้างด้วย ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ทรงสรา้ งวัดไมม่ าก แต่บางแหง่ ไดห้ ันกลับไปทา
ตามคตแิ บบเกา่ คอื ยึดพระเจดยี เ์ ป็นประธานของวดั อย่างแตก่ อ่ น สรา้ งพระระเบยี งและวิหารทิศ
ลอ้ มรอบพระเจดยี ์ ภายนอกประดบั ประดากระเบ้อื งหลากสี ตกแตง่ ภายในโบสถว์ หิ ารเป็นรูปแบบ
ตะวันตก
ปจั จบุ นั สถาปัตยกรรมในสมัยปจั จบุ นั มีรปู แบบทแี่ ตกต่างกนั อย่างมากมายมีท้ังท่ี
เลยี นแบบของโบราณและที่สร้างแบบขน้ึ มาใหม่ อาคารบ้านเรอื นสมยั รตั นโกสนิ ทร์ สาหรับอาคาร
บ้านเรอื นในสมัยรตั นโกสินทร์ บ้านไม้แบบไทยแทก้ ็ยังคงอยตู่ ่อไป ตั้งแตส่ มัยรัชกาลท่ี ๓ ลงมา
นิยมก่อสรา้ งอาคารด้วยอิฐ เปน็ แบบไทยบา้ งแบบจีนบา้ ง และต้ังแต่สมยั รชั กาลที่ ๔ ลงมา จงึ นิยม
สรา้ งเลยี นแบบฝรง่ั
ภาพท2ี่ 1 สถาปัตยกรรมในสมยั ปจั จบุ นั ทีม่ า: http://sukawit-kamtim.blogspot.com
40
บรรณานกุ รม
๑. ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรงุ เทพฯ: นานมบี ุค๊ ส์
พบั ลิเคชัน่ ส์, ๒๕๔๖.
๒. สันติ เลก็ สขุ สม. ข้อมูลกับมมุ มอง : ศิลปะรตั นโกสินทร์. กรุงเทพๆ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๘.
๓. สนั ติ เลก็ สุขสม. ศลิ ปะอยธุ ยา งานชา่ งหลวงแหง่ แผน่ ดนิ . กรุงเทพๆ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๒.
๔. ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะไทย. (ม.ป.ป.). [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก: https://sites.google.com
/site/chompoonao/calendar. (วนั ท่สี ืบค้นขอ้ มลู : ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒).
๕. ประวัติศิลปะไทย. (๒๕๕๖). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://wirikawi.wordpress.com
/2013/09/26/ประวัตศิ ิลปะไทย. (วันที่สืบค้นข้อมูล: ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒).
๖. พัสวีสริ ิ เปรมกุลนันท์. (ม.ป.ป.). ศิลปะไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก: http://art-in-
sea.com/th/data/ศิลปะไทย.html. (วันที่สืบคน้ ขอ้ มลู : ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒).
๗. sv oa. (๒๕๕๖). ประวัตศิ าสตรศ์ ลิ ป์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://arthistoricial.
blogspot.com/2013/09/1.html?m=1. (วันทีส่ บื คน้ ขอ้ มลู : ๒๐ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒).
๘. Tonkao Limsila. (ม.ป.ป.). ศิลปะไทย. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก: https://www.slide
share.net/mobile/TonkaoLimsila/ss-51638099. (วันทีส่ ืบคน้ ขอ้ มลู : ๒๐ กมุ ภาพันธ์
๒๕๖๒).