ทฤษฎีการเรยี นรู้
ของบลมู
Bloom’s Taxonomy
Bloom’s Taxonomy กล่าวถึงการจาํ แนก
การเรยี นรูต้ ามทฤษฎีของบลมู
ซงึ แบง่ เปน 3 ด้าน คือ
ด้านพุทธพิ สิ ยั ด้านจติ พสิ ยั และด้าน
ทักษะพสิ ยั
ด้านพุทธพิ สิ ยั
เรมิ จากความรู้ ความเขา้ ใจ การนําไปใช้ การวเิ คราะห์การสงั เคราะห์การ
ประเมนิ นอกจากนียงั นาํ เสนอระดับความสามารถทีมกี ารปรบั ปรุงใหมต่ าม
แนวคิดของ ANDERSON AND KRATHWOHL
(2001) เปน การจาํ (REMEMBERING)
การเขา้ ใจ(UNDERSTANDING)
การประยุกต์ใช(้ APPLYING)
การวเิ คราะห์ (ANALYSING)
การประเมนิ ผล (EVALUATING)
และการสรา้ งสรรค์ (CREATING)
ด้านจติ พสิ ยั จาํ แนก ด้านทักษะพสิ ยั
เปน การรบั รู,้ การ จาํ แนกเปน
ตอบสนอง, การ ทักษะการเคลือนไหว
สรา้ งค่านยิ ม, การ ของรา่ งกาย, ทักษะการ
จดั ระบบ และการ เคลือนไหวอวยั วะสอง
สรา้ งคณุ ลักษณะ สว่ นหรอื มากกวา่ พรอ้ ม
ๆ กัน, ทักษะการสอื สาร
จากค่านยิ ม โดยใชท้ ่าทาง
และทักษะการแสดง
พฤติกรรมทางการพูด
"การเรยี นรู้ คือ
กระบวนการของประสบการณท์ ีทําให้เกิดการเปลียนแปลง
พฤติกรรมอยา่ งค่อนขา้ งถาวร
ซงึ การเปลียนแปลงพฤติกรรมนีไมไ่ ด้มาจากภาวะชวั คราว
วุฒภิ าวะ หรอื สญั ชาตญาณ"
การเรยี นรูเ้ ปนการเปลียนแปลง
พฤติกรรมทีค่อนขา้ งถาวร
โดยเปนผลจากการฝกฝนเมอื ได้รบั การ
เสรมิ แรง
มใิ ชเ่ ปนผลจากการตอบสนองตาม
ธรรมชาติทีเรยี กวา่ ปฏิกิรยิ าสะท้อน
"การเรยี นรูเ้ ปนกระบวนการที
ทําให้พฤติกรรมเปลียนแปลงไป
จากเดิม อันเปนผลจากการ
ฝกฝนและประสบการณ์ แต่มใิ ช่
ผลจากการตอบสนองทีเกิดขนึ
ตามธรรมชาติ"
พุทธพิ สิ ยั
(COGNITIVE DOMAIN)
พฤติกรรมด้านสมองเปน
พฤติกรรมเกียวกับสติปญญา
ความรู้ ความคิด ความเฉลียว
ฉลาด ความสามารถในการคิด
เรอื งราวต่าง ๆ อยา่ งมี
ประสทิ ธภิ าพ ซงึ เปนความ
สามารถทางสติปญญา
พฤติกรรมทางพุทธพิ สิ ยั มี
6 ระดับ
1. ความรูค้ วามจาํ
ความสามารถในการเก็บรกั ษา
มวลประสบการณต์ ่าง ๆจากการ
ทีได้รบั รูไ้ วแ้ ละระลึกสงิ นนั ได้เมอื
ต้องการเปรยี บดังเทปบนั ทึก
เสยี งหรอื วดี ีทัศนท์ ีสามารถเก็บ
เสยี งและภาพของเรอื งราวต่าง ๆ
ได้สามารถเปดฟงหรอื ดภู าพ
เหล่านนั ได้เมอื ต้องการ
2. ความเขา้ ใจ
เปนความสามารถในการจบั ใจ
ความสาํ คัญของสอื และสามารถ
แสดงออกมาในรูปของการแปล
ความ ตีความ คาดคะเน ขยาย
ความ หรอื การกระทําอืน ๆ
3. การนาํ ความรูไ้ ปใช้
เปนขนั ทีผเู้ รยี นสามารถนาํ ความรู้
ประสบการณไ์ ปใชใ้ นการแก้
ปญหาในสถานการณต์ ่างๆ ได้
ซงึ จะต้องอาศัยความรูค้ วามเขา้ ใจ
จงึ จะสามารถนาํ ไปใชไ้ ด้
4. การวเิ คราะห์
ผเู้ รยี นสามารถคิด หรอื แยกแยะเรอื งราวสงิ ต่าง ๆ
ออกเปนสว่ นยอ่ ยเปนองค์ประกอบทีสาํ คัญได้ และมอง
เห็นความสมั พนั ธข์ องสว่ นทีเกียวขอ้ งกัน ความสามารถ
ในการวเิ คราะห์จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคิดของ
แต่ละคน
5. การสงั เคราะห์
ความสามารถในการทีผสมผสานสว่ นยอ่ ย ๆ เขา้ เปนเรอื ง
ราวเดียวกันอยา่ งมรี ะบบ เพอื ให้เกิดสงิ ใหมท่ ีสมบูรณแ์ ละดีกวา่
เดิม อาจเปนการถ่ายทอดความคิดออกมาให้ผอู้ ืนเขา้ ใจได้ง่าย
การกําหนดวางแผนวธิ กี ารดําเนนิ งานขนึ ใหม่ หรอื อาจจะเกิด
ความคิดในอันทีจะสรา้ งความสมั พนั ธข์ องสงิ ทีเปนนามธรรมขนึ
มาในรูปแบบ หรอื แนวคิดใหม่
6. การประเมนิ ค่า
เปนความสามารถในการตัดสนิ ตีราคา หรอื สรุป
เกียวกับคณุ ค่าของสงิ ต่าง ๆ ออกมาในรูปของคณุ ธรรม
อยา่ งมกี ฎเกณฑ์ทีเหมาะสม ซงึ อาจเปนไปตามเนอื หาสาระ
ในเรอื งนนั ๆ หรอื อาจเปนกฎเกณฑ์ทีสงั คมยอมรบั ก็ได้
จติ พสิ ยั (AFFECTIVE DOMAIN) พฤติกรรมด้านจติ ใจ
ค่านยิ ม ความรูส้ กึ ความซาบซงึ
ทัศนคติ ความเชอื ความสนใจและคณุ ธรรม
พฤติกรรมด้านนีอาจไมเ่ กิดขนึ ทันที ดังนนั
การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนโดยจดั สภาพ
แวดล้อมทีเหมาะสมและสอดแทรกสงิ ทีดีงาม
อยูต่ ลอดเวลา
จะทําให้พฤติกรรมของผเู้ รยี นเปลียนไปใน
แนวทางทีพงึ ประสงค์ได้ด้านจติ พสิ ยั
จะประกอบด้วย พฤติกรรมยอ่ ย ๆ 5 ระดับ
1. การรบั รู้ เปนการให้ผเู้ รยี นได้รบั รูห้ ลัก
การปฏิบตั ิทีถกู ต้อง หรอื เปนการเลือกหา
ตัวแบบทีสนใจ
2. กระทําตามแบบ หรอื เครอื งชแี นะ เปนพฤติกรรมที
ผเู้ รยี นพยายามฝกตามแบบทีตนสนใจและพยายามทํา
ซาํ เพอื ทีจะให้เกิดทักษะตามแบบทีตนสนใจให้ได้ หรอื
สามารถปฏิบตั ิงานได้ตามขอ้ แนะนาํ
3. การหาความถกู ต้องพฤติกรรมสามารถปฏิบตั ิได้ด้วยตนเอง โดย
ไมต่ ้องอาศัยเครอื งชแี นะ เมอื ได้กระทําซาํ แล้ว ก็พยายามหาความ
ถกู ต้องในการปฏิบตั ิ
4. การกระทําอยา่ งต่อเนอื ง หลังจากตัดสนิ ใจเลือกรูปแบบทีเปนของตัวเอง
จะกระทําตามรูปแบบนนั อยา่ งต่อเนอื ง จนปฏิบตั ิงานทียุง่ ยากซบั ซอ้ นได้อยา่ ง
รวดเรว็ ถกู ต้อง คล่องแคล่ว การทีผเู้ รยี นเกิดทักษะได้ต้องอาศัยการฝกฝน
และกระทําอยา่ งสมาํ เสมอ
5. การกระทําได้อยา่ งเปนธรรมชาติ พฤติกรรมทีได้จากการฝกอยา่ งต่อ
เนอื งจนสามารถปฏิบตั ิ ได้คล่องแคล่ววอ่ งไวโดยอัตโนมตั ิ เปนไปอยา่ ง
ธรรมชาติซงึ ถือเปนความสามารถของการปฏิบตั ิในระดับสงู
เมอื บุคคลเกิดการเรยี นรู้
จะเกิดการเปลียนแปลงดังนี (BLOOM, 1959)
1. การเปลียนแปลงทางด้านความรู้ ความเขา้ ใจ และความคิด
(COGNITIVE DOMAIN) หมายถึง การเรยี นรูเ้ กียวกับเนอื หา
สาระใหม่ ก็จะทําให้ผเู้ รยี นเกิดความรูค้ วามเขา้ ใจสงิ แวดล้อมต่าง ๆ
ได้มากขนึ เปนการเปลียนแปลงทีเกิดขนึ ในสมอง
2. การเปลียนแปลงทางด้านอารมณ์ ความรูส้ กึ
ทัศนคติ ค่านยิ ม (AFFECTIVE DOMAIN) หมายถึง
เมอื บุคคลได้เรยี นรูส้ งิ ใหม่ ก็ทําให้ผเู้ รยี นเกิดความรูส้ กึ
ทางด้านจติ ใจ ความเชอื ความสนใจ
3. ความเปลียนแปลงทางด้านความชาํ นาญ
(PSYCHOMOTOR DOMAIN) หมายถึง การที
บุคคลได้เกิดการเรยี นรูท้ ังในด้านความคิด ความเขา้ ใจ
และเกิดความรูส้ กึ นกึ คิด ค่านยิ ม ความสมใจด้วยแล้ว
ได้นาํ เอาสงิ ทีได้เรยี นรูไ้ ปปฏิบตั ิ จงึ ทําให้เกิดความ
ชาํ นาญมากขนึ เชน่ การใชม้ อื เปนต้น