The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือวิธีการดำเนินการงานคณะสงฆ์
โดย
เจ้าคณะภาค
รองเจ้าคณะภาค
เลขานุการเจ้าคณะใหญ่
เลขานุการเจ้าคณะภาค
เลขานุการรองเจ้าคณะภาค
ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนตะวันออก

พิม์ถวาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือวิธีการดำเนินการงานคณะสงฆ์

คู่มือวิธีการดำเนินการงานคณะสงฆ์
โดย
เจ้าคณะภาค
รองเจ้าคณะภาค
เลขานุการเจ้าคณะใหญ่
เลขานุการเจ้าคณะภาค
เลขานุการรองเจ้าคณะภาค
ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนตะวันออก

พิม์ถวาย

คู่มือ
วธิ ีการดาเนินงานการคณะสงฆ์

โดย

เจา้ คณะภาค
รองเจา้ คณะภาค
เลขานุการเจา้ คณะใหญ่
เลขานุการเจา้ คณะภาค
เลขานุการรองเจา้ คณะภาค
ในเขตปกครองคณะสงฆห์ นตะวนั ออก

พมิ ถ์ วาย

2

คู่มือ
วธิ ีการ
ดาเนินงานการคณะสงฆ์

3

คู่มือวธิ ีการดาเนนิ งานการคณะสงฆ์



คู่มือวิธีดาเนินการคณะสงฆ์เล่มน้ี เกิดจากการสนองงานคณะสงฆ์ของ
กองงานเลขานุการเจ้าคณะภาคในหนตะวันออก ซ่ึงได้ทางานถวายเจ้าคณะ
พระสังฆาธิการ เพื่อรับใช้งานการคณะสงฆ์เอาไว้เป็ นคู่มือเกิดสงสัย นาไว้
ใกลม้ ือยามที่จตอ้ งการใชง้ านเพื่อเป็นแบบแผน แบบอย่างและแบบฉบบั

ในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมระชนมพรรษาสมเด็จบรมบพิตร
พระสมภารพระองคผ์ ูร้ งพระคุณอนั ประเสริฐ ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๕ เป็นปี ที่พสกนิกร
ปวงชนชาวย้งั ประเศปลาบปล้ืมปิ ติยินดีดว้ ยเหตุ ๓ ประการคือ

๑. พระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เจริญพระชนมายุ
๘๕ พรรษา

๒. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์ิฯ พระบรมราชนีนารถ เจริญพระชนมายุ
๘๐ พรรษา

๓. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เจริญพระชนมายุ
๘๐ พรรษา

ในวรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ น้ีพระ
มหาเถระระดบั ภาคในหนตะวนั ออก ไดร้ ับพระราชทานเล่ือนและต้งั สมนศกั ด์ิ
จานวน ๓ รูปคือ

๑. ท่านเจา้ คุณพระราชโมลี รองเจา้ คณะภาค ๑๐ วดั จกั รวรรดิ ราชาวาส
กรุงเทพฯ ไดร้ ับพระราชทานเล่ือนสมณศกั ด์ิเป็นพระราชาคณะช้นั เทพในราชทิน
นามที่ พระเทพวิสุธิโมลี

4

๒.ท่านเจา้ คุณพระสิทธิธรรมธาดา เลขานุการเจา้ คณะ ๑๒ วดั สระเกศ ฯ
กรุงเททมหานคร ไดร้ ับพระราชทานเลื่อนสมณศกั ด์ิเป็นพระราชาคณะช้นั ราช ใน
ราชทินนามที่ พระราชธรคุณ

๓.ท่านพระครูศรีบุญญาคม เลขานุกรเจา้ คณะภาค ๙ วดั กลาง
จงั หวดั กาฬสินธ์ิ ไดร้ ับพระราชทานเลื่อนสมณศกั ด์เิ ป็นพระราชาคณะช้นั
ราช ในราชทินนามท่ี พระวสิ ุทธิบุญญาคม

พระเถร้ัง ๓ รูป ลว้ นเป็ นกาลงั สาคญั ในการปฏิบตั ิงานการพระ
ศาสนา ท้งั ดา้ นการวดั และการณะ เม่ือประสบความเจริญรุ่งเรืองในการ
บริหารจดั การและดา้ นสนองงานถวายเจา้ คณะอีกท้งั ได้รับพระราชทาน
เลื่อนสมณศกั ด์ิในคคร้ังน้ี ยอ่ มเป็นความปลาบปล้ืมใจแก่เจา้ คณะและศิษยา
นุศิษยย์ ง่ิ นกั

กองงานคณะสงฆ์หนตะวนั ออก จึงจัดพิมพ์หนังสือคู่มือวิธี
ดาเนินงานการคณะสงฆถ์ วายเพอื่ เป็นมทุ ิตาสักการะแกเจา้ คณะพระสังฆาธิ
การ่ีมาร่วมแสดงมทุ ิตาสักการะในคราน้ี

หวงั อย่างยิ่งว่า หนังสือคู่มือวิธีการดาเนินงานการคณะสงฆ์น้ีจะ
เป็นประโยชนแ์ ละเป็นหลกั ในการสนองงานการคณะสงฆไ์ มม่ ากกน็ อ้ ย

คณะผจู้ ดั ทา
กองงานเลขานุการในเขตปกครองคณะสงฆห์ นตะวนั ออก

5

6

การดาเนนิ กจิ การคณะสงฆ์

ในบทน้ีขอกาหนดการดาเนินกิจการคณะสงฆ์เป็นแม่บท เพราะ
เห็นว่าพระสังฆาธิการและเลขานุการเป็ นศูนยร์ วมงานการคณะสงฆ์และ
การพระศาสนาทกุ อยา่ ง ท้งั น้ีระบุไวใ้ นระเบียบการปกครองคณะสงฆท์ ้งั ท่ี
มิไดร้ ะบุไว้ พระสังฆาธิการและเลขานุการจึงจาตอ้ งศึกษาวิธีดาเนินกิจการ
คณะสงฆแ์ ละพระศาสนาใหเ้ ขา้ ใจโดยละเอยี ด และถกู ตอ้ งชดั เจน

การปกครองคณะสงฆห์ รือสังฆมลฑลน้นั ยึดพระธรรมวินยั เป็น
หลกั ช้นั อุดมการณ์ และพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆเ์ ป็นหลกั จดั รูปแบบและ
ระเบียบการปครองโดยทางราชอาณาจกั รไดต้ ราพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์
ให้จดั รูปแบบการปกครองระดบั ต่างๆและในพระราชบญั ญตั ิไดใ้ ห้อานาจ
จดั หลกั เกณฑ์ และวิธีการดาเนินกิจการคณะสงฆ์ และพระศาสนาไวต้ าม
ความเหมาะสม แต่มิไดข้ ดั แยง้ กบั พระธรรมวินยั และกฎหมายเพราะจุดยนื
ของคณะสงฆ์คือพระธรรมวินัยและกฎหมาย ดังน้ันจึงมีบบัญญตั ิเพ่ือ
ดาเนินกิจการคณะสงฆ์ในรูปแบบต่างๆ มีกฎมหาเถระสมาคม กฎกกระ
ทรวงและบทบญั ญตั ิอืน่ ๆ

อน่ึงกฎหมายให้อานาจจดั ระเบียบการปกครองน้นั ไดก้ าหนดให้
ถือว่า ผูป้ กครองคระสงฆ์และไวยาวจั กร เป็ นเจา้ พนักงานตามประมวล
กฎหมายอาญา โดยชัดแจ้ง พระสังฆาธิการุกรูปจึงต้องมีฐานะเป็ นเจ้า
พนกั งานเหมือนกบั ขา้ ราชการของแผ่นดินส่วนหน่ึงดว้ ย และการปฏิบัติ
หนา้ ที่ของพระสังฆาธิการุกระดบั ตอ้ งเป็นไปโดยถูกตอ้ งตามหลกั นิติธรรม
ต้องยึดความถูกต้อง สะดวก รวดเร็วและเป็ นธรรม เป็ นหลกั การจะเป็ น
เช่นน้ันได้ ต้องอาศัยความรู้ความฉลาดและวามสามารถเป็ นเคร่ืองมือ

7

ดงั น้นั พระสังฆาธิการและเลขานุการตอ้ งศึการทบทวนให้เกิดความเขา้ ใจ
ตามลาดบั ใหเ้ ขา้ ใจในความเฉพาะบท และแนวปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งชดั เจน

ในบทน้ีจะถอดความจากตัวบทน้ันๆ เฉพ่ีเป็ นหลักเกณฑ์และ
วิธีการท่ีควรทราบมาเรียนถวายเป็นแนวปฏิบตั ิโดยจะเนน้ หลกั เกณฑแ์ ต่ละ
อย่างและวิธีปฏิบตั ิเป็ นจุดสาคญั และบางเร่ืองช้ีพอเป็ นแนวทางบางเรื่อง
จัดทาตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน โดยจะยึดการคณะสงฆ์และการพระ
ศาสนา และกฎมหาเถระสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๒ (พ.ศ.๒๕๔๑) วา้ ดว้ ยระเบียบ
กรปกครองคณะสงฆ์และการพระศาสนาดงั กล่าวน้ันร แยกตามลกั ษณะ
เป็น ๗ ประการคือ

๑) การรักษาความเรียบร้อยดงี าม(การปกครอง)
๒) การศาสนศึกษา
๓) การศึกษาสงเคราะห์
๔) การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา
๕) การสาธารณูปการ
๖) การสาธารณสงเคราะห์
๗) การนิคหกรรม

8

เขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง

การปกครองคณะสงฆ์ตามรูปแบบที่ จัดอยู่ในปัจจุบัน ยึด
พระราชบญั ญตั ิ คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ ซ่ึงแกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญตั ิ
คณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่
๒)พ.ศ.๒๕๓๕ เป็ นหลกั จดั รูปแบบการปกครอง และการปกครองคณะ
สงฆม์ ี๒ส่วน คอื

๑) การปกครองคณะสงฆส์ ่วนกลสง

๒)การปกครองคณะสงฆส์ ่วนภูมิภาค

การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง ได้แก่ การดาเนินกิจการคณะ
สงฆ์และการพระศาสนาในส่วนกลาง กล่าวคือศูนยก์ ลางบริหารงานน้ัน
เป็ นหน่วยควบคุมนโยบายหลกั ของมหาเถรสมาคม ซ่ึงงานการคณะสงฆ์
ตามพระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ี เรียกว่า “การ” คือ การรักษาความเรียบร้อยดี
งาม (การปกครอง) เป็นตน้ บางการแยกหน่วยงานในส่วนกลางออกเป็ น
หน่วย บางการมีผูส้ นองงานโดยรูปบุคคล บางการมีผูส้ นองงานโดยรูป
งานคณะกรรมการ ลักษณะน้ี คืองานในส่วนกลาง มิใช่หมายถึง
กรุงเทพมหานครเป็นส่วนกลาง แทจ้ ริงกรุงเทพมหานคร เป็นการปกครอง
คณะสงฆส์ ่วนภูมิภาคช้นั จงั หวดั

อน่ึง เม่ือว่าเฉพาะการปกครองและเขตปกครองแลว้ เขตปกครอง
คณะสงฆส์ ่วนกลาง หมายถึง หน และ คณะ แยกตามส่วนแห่งนิกายสงฆ์
คอื

9

(๑) คณะมหานิกาย มี ๔ หน คือ หนกลาง หนเหนือ หน
ตะวนั ออก และหนใต้ มีเจา้ คณะใหญเ่ ป็นผปู้ กครอง

(๒) คณะธรรมยตุ มี ๑ คณะ เพราะรวมท้งั หมดเขา้ เป็นคณะเดียว
มีเจา้ คณะใหญค่ ณะธรรมยตุ เป็นผปู้ กครอง

(๓)การกาหนดเขตปกครองเป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม ส่วนการ
แตง่ ต้งั เจา้ คณะในส่วนกลางและผสู้ นองงานอนื่ ๆ ในส่วนกลาง ขอยกไว้

เขตการปกครองคณะสงฆ์ส่วนภมู ิภาค

คณะสงฆ์ ซ่ึงหมายถึง บรรดาพระสงฆ์ผูส้ ืบศาสนทายาทลทั ธิ
เถรวาทในประเทศไทย ไดแ้ ก่พระสงฆ์ ๒ คณะ คือ คณะมหานิกาย ๑
คณะธรรมยตุ ๑ พระสงฆท์ ้งั ๒ คณะน้ี จดั การปกครองตามพระราชบญั ญตั ิ
คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซ่ึง แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์
(ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ กล่าวคืออาศยั พระราชบัญญตั ิท้งั ๒ ฉบบั ที่
กล่าวน้ี เป็นหลกั จดั ระบบการปกครอง

อันอาณาจักรของพระสงฆ์เป็ นอาณาจักรพิเศษ ซ่ึงอาศัยอยู่ใน
ราชอาณาจกั ร โดยมีนามบญั ญตั ิว่า “คณะสงฆ์” หรือเรียกอีกโวหารหน่ึง
ว่า “พุทธจกั ร” มีหลกั การปกครองช้ันอุดมการณ์น้นั คือ “พระธรรมวินยั ”
หรือจะเรียกว่ามีพระธรรมวินยั เป็นธรรมนูญการปกครองก็ถกู แตก่ ารจะทา
ใหก้ ารปกครองบรรลตุ ามอุดมการณ์ไดด้ ีน้นั ตอ้ งอาศยั พระบรมราชูปถมั ภ์
เป็นเคร่ืองดาเนินการ อนั ไดแ้ ก่พระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ดงั เรียนแลว้ เป็น
หลกั กาหนดหลกั เกณฑ์ขอบเขตแห่งเขตปกครอง ขอบเขตแห่งอานาจ
ขอบเขตแห่งผูใ้ ชอ้ านาจ และวิธีการใช้อานาจ เพื่อให้การปกครองคณะ

10

สงฆ์มีระบบเป็นแบบแผน ในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าว ได้

กาหนดเขตปกครองคณะสงฆส์ ่วนภมู ิภาคตามลาดบั เป็น ๔ ช้นั คือ

(๑) ภาค (๒) จงั หวดั

(๓) อาเภอ (๔) ตาบล

และในมาตรา ๒๒ วรรค ๒ ให้กาหนดจานวนและเขตปกครองท้งั
๔ ช้นั เป็นกฎมหาเถรสมาคม กล่าวคอื ให้ตรากฎมหาเถรสมาคมกาหนดไว้
เจา้ คณะช้นั ใด จะกาหนดเอาตามใจชอบมิได้ ดงั น้นั มหาเถรสมาคมจึงตรา
กฎมหาเถรสมาคมฉบับท่ี ๑๔ ข้ึนเป็ นหลกั เกณฑ์ และในกฎมหาเถร
สมาคมดงั กล่าวไดก้ าหนดให้วางระเบียบมหาเถร- สมาคม กาหนดวิธีการ
ปฏิบตั ิไวอ้ กี ช้นั หน่ึง

เขตปกครองคณะสงฆ์ช้ันภาค

ภาค เป็นเขตปกครองคณะสงฆส์ ่วนภูมิภาคช้นั สูงสุด เป็นเขต
ปกครองซ่ึงมีพ้นื ที่กวา้ งขวาง คลา้ ยกบั เขตปกครองมณฑล ในสมยั ใช้
พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะปกครองคณะสงฆร์ ัตนโกสินทรศก ๑๒๑
(พระราชบญั ญตั ิ ร.ศ.๑๒๑) หรือเขตตรวจการภาค ในสมยั ใช้
พระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พุทธศกั ราช ๒๔๘๔ การกาหนดเขตภาค กาหนด
โดยกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๑๔ (พ.ศ.๒๕๓๕) อยา่ งอิสระ โดยรวมพ้นื ที่
ไม่ต่าว่า ๓ จงั หวดั เขา้ เป็นเขตปกครองภาคหน่ึง ตามความในกฎมหาเถร
สมาคม มี ๑๘ ภาค แตใ่ นทางปฏบิ ตั ิ มี ๒๖ ภาค คอื
คณะมหานิกาย มี ๑๘ ภาค คือ ภาค ๑ - ๑๘ ตามที่บญั ญตั ิไวใ้ นขอ้ ๔

11

คณะธรรมยตุ มี ๘ ภาค คอื ภาค ๑,๒,๓ และ ๑๓ รวมเป็นหน่ึง
ภาค, ภาค ๔,๕,๖ และ ๗ รวมเป็นหน่ึงภาค ภาค ๘, ภาค ๙, ภาค ๑๐, ภาค
๑๑, (เป็น ๔ ภาค) ภาค ๑๔ และ ๑๕ รวมเป็นหน่ึงภาค ภาค ๑๖, ๑๗ และ
๑๘ รวมเป็นหน่ึงภาค และการรวมภาคหลายภาคเขา้ เป็นหน่ึงภาคน้นั
เป็ นไปตามมติมหาเถรสมาคม
ภาค เป็นเขตปกครองท่ีทาการปกครองคณะสงฆร์ ะดบั จงั หวดั ลงไปจนถึง
ส่วนวดั และเป็นเขตท่ีประสานงานกบั ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค

เขตปกครองคณะสงฆ์ช้ันจงั หวัด

จงั หวดั เป็นเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคช้นั ที่ ๒ ซ่ึงเป็นเขต
ปกครองพ้ืนที่จากดั เฉพาะจงั หวดั ซ่ึงจงั หวดั น้นั หมายถึง กรุงเทพมหานคร
และจังหวดั นอกจากกรุงเทพมหานคร โดยพ้ืนที่ท้ังราชอาณาจกั รมี ๗๖
จงั หวดั รวมกรุงเทพมหานครอยใู่ นจานวนน้ีดว้ ย ตามความในขอ้ ๕ แห่ง
กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๑๔ (พ.ศ.๒๕๓๕) ว่าด้วยจานวนและเขต
ปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค กาหนดไว้ชัดเจนว่า จานวนและเขต
ปกครองจังหวัด ให้อนุโลมตามจานวนและเขตบริ หารราชการแห่ง
ราชอาณาจกั ร แตใ่ นทางปฏิบตั ิมี ๑๒๖ จงั หวดั คอื

คณะมหานิกาย มี ๗๖ จังหวัด ครบตามจานวนจังหวดั แห่ง
ราชอาณาจกั ร

คณะธรรมยุต มี ๕๐ จงั หวดั บางจงั หวดั อนุโลมตามเขตบริหาร
ราชการแห่งราชอาณาจกั ร บางจงั หวดั ตอ้ งรวมหลายจงั หวดั เขา้ เป็ นหน่ึง

12

จงั หวดั การรวมหลายจงั หวดั เขา้ เป็นหน่ึงจงั หวดั น้นั เป็นไปตามมติมหาเถร
สมาคม

อน่ึง จงั หวดั ทางคณะสงฆน์ ้นั แมม้ ิไดก้ าหนดชดั เจน ก็พอเทียบได้
ว่าจะตอ้ งมีวดั ในเขตจงั หวดั น้ัน พอจะเป็ นตาบลทางคณะสงฆแ์ ละอาเภอ
ทางคณะสงฆ์ได้ จึงจะกาหนดเป็นจงั หวดั ได้ หากมีจานวนวดั ต่ากว่าเกณฑ์
ท่ีจะเป็ นตาบลและอาเภอทางคณะสงฆ์ได้ ก็จดั เป็ นจงั หวดั ทางคณะสงฆ์
ไมไ่ ด้ เพราะขาดระบบการบงั คบั บญั ชา

เขตปกครองคณะสงฆ์ช้ันอาเภอ

อาเภอ เป็นเขตปกครองคณะสงฆส์ ่วนภูมิภาคช้นั ท่ี ๓ ซ่ึงหมายถึง
เขตในกรุงเทพมหานครและอาเภอในจงั หวดั นอกจากกรุงเทพมหานคร
จานวนและเขตปกครองคณะสงฆช์ ้นั อาเภอน้นั คณะสงฆต์ อ้ งเป็นผกู้ าหนด
แม้ทางราชอาณาจกั รมีพระราชกฤษฎีกายกก่ิงอาเภอข้ึนเป็ นอาเภอแล้ว
อาเภอน้นั เป็นอาเภอทางราชอาณาจกั รเท่าน้นั หาเป็นอาเภอทางคณะสงฆ์
ไม่ ตามความในขอ้ ๕ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่ ๑๔ (พ.ศ.๒๕๓๕)
และในระเบียบมหาเถรสมาคม กาหนดจานวนและเขตการปกครองอาเภอ
พ.ศ.๒๕๓๗ กาหนดหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการได้ ๒ ไดแ้ ก่

๑) กาหนดโดยอนุโลมตามเขตบริหารราชการแห่งราชอาณาจกั ร
๒) กาหนดเป็นกรณีพเิ ศษ

กาหนดโดยอนุโลมตามเขตบริหารราชการแห่งราชอาณาจกั รน้นั ให้

13

อนุโลมไดเ้ ฉพาะอาเภอท่ีมีวดั ซ่ึงถูกตอ้ งตามกฎหมาย ๕ วดั ข้ึนไป เพราะ
อาเภอที่มีวดั ๕ วดั ข้ึนไป เป็ นอาเภอท่ีมีเขตปกครองคณะสงฆ์ตาบลได้
อาเภอที่มีวดั ต่ากว่า ๕ วดั จะมีเขตปกครองคณะสงฆช์ ้นั ตาบลมิได้ เม่ือท้งั
อาเภอไม่มีเขตปกครองคณะสงฆช์ ้นั ตาบล จะกาหนดเป็นเขตปกครองช้นั
อาเภอมิได้ คอื จะยกข้ึนเป็นอาเภอทางคณะสงฆม์ ิไดเ้ ลย

การกาหนดเป็นกรณีพิเศษน้นั ไดแ้ ก่ การกาหนดเขตปกครองคณะ
สงฆ์ช้นั อาเภอท่ีไม่ตอ้ งอนุโลมตามเขตบริหารราชการแห่งราชอาณาจกั ร
ตามระเบียบมหาเถรสมาคมกาหนดไว้ ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

(๑) อาเภอที่มีวดั ต่ากวา่ ๕ วดั
(๒) อาเภอท่ีมีวดั ต่ากวา่ ๑๐ วดั
อาเภอที่มีวดั ต่ากว่า ๕ วดั น้นั ไมส่ ามารถจะกาหนเขตเป็นอาเภอ
โดยอนุโลมได้ แตจ่ าเป็นตอ้ งปกครอง จึงบงั คบั ให้รวมกบั อาเภออน่ื
อาเภอที่มีวดั ต่ากว่า ๑๐ วดั คอื มีวดั เกินกวา่ ๕ วดั แตไ่ ม่ถึง ๑๐ วดั
และประกอบดว้ ยหลกั ๒ ประการ คอื เป็นการเหมาะสม ๑ สะดวก
ในทางปกครอง ๑ใหร้ วมข้นึ ในปกครองของเจา้ อาเภออ่ืนซ่ึงมีเขตติดตอ่ กนั
ในจงั หวดั เดียวกนั ได้ การรวมท้งั ๒ ลกั ษณะน้ี มีขอ้ บงั คบั ไว้ ดงั น้ี
(๑) ถา้ รวมกนั เขา้ เพยี ง ๒ อาเภอ ใหค้ งช่ือไวท้ ้งั ๒ อาเภอ
(๒) ถา้ รวมเกินกว่าน้นั ใหค้ งช่ือไวอ้ าเภอเดียว
วิธีดาเนินการกาหนดเขตปกครองอาเภอน้นั มี ๒ ไดแ้ ก่
๑.ในกรณีกาหนดโดยอนุโลม
๒. ในกรณีกาหนดเป็นกรณีพเิ ศษ
ในกรณีกาหนดโดยอนุโลมพอสรุปตามท่ีเคยปฏิบตั ิไดด้ งั น้ี

14

(๑) ให้เจา้ คณะจงั หวดั เสนอเจา้ คณะภาคเพื่อมหาเถรสมาคม
ประกาศกาหนดเขตโดยอนุโลม

(๒) เม่ือลงประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆแ์ ลว้ ให้ถือเป็นเขต
ปกครองอาเภอทางคณะสงฆ์
ในกรณีกาหนดเป็นกรณีพิเศษ พอสรุปไดด้ งั น้ี

(๑) ให้เจา้ คณะจงั หวดั เสนอเจา้ คณะภาคเพอื่ ประกาศกาหนดเป็น
กรณีพเิ ศษโดยอนุมตั ิของมหาเถรสมาคม

(๒) เม่ือไดล้ งประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆแ์ ลว้ ให้ถือเป็นเขต
ปกครองอาเภอทางคณะสงฆ์

15

แบบกาหนดเขตปกครองเป็ นกรณีพเิ ศษ

ประกาศคณะสงฆ์ภาค…………………..
เร่ือง กาหนดเขตปกครองอาเภอในจงั หวัด…………..เป็ นกรณพี เิ ศษ

พ.ศ.๒๕………
อาศัยอานาจตามความในข้อ ๔ แห่งระเบียบมหาเถรสมาคม
กาหนดจานวนและเขตปกครองอาเภอ พ.ศ.๒๕๓๗ โดยอนุมตั ิของมหาเถร
สมาคม เจ้าคณะภาค…… จึงประกาศกาหนดเขตปกครองอาเภอใน
จงั หวดั ……………เป็นกรณีพเิ ศษ ดงั ตอ่ ไปน้ี
ขอ้ ๑ ให้วดั ท้งั หลายในเขตอาเภอ…………………….………..กบั
อาเภอ…………………..จังหวดั ………………..รวมอยู่ในเขตปกครอง
อาเภอเดียวกนั ซ่ึงเรียกวา่ "อาเภอ…………. และอาเภอ…………………."
ข้อ ๒ ให้วดั ท้งั หลายในอาเภอ……………………………… กับ
อาเภอ……………จงั หวดั ……………………รวมอยใู่ นเขตปกครองอาเภอ
เดียวกนั เรียกช่ือวา่ "อาเภอ………………."
ประกาศ ณ วนั ที่………เดือน………………………พ.ศ………

(พระ………………………..)
เจา้ คณะภาค…………….

คาแนะนาเพิม่ เติม
๑) ขอ้ ๑ ใชใ้ นกรณีรวมเพยี ง ๒ อาเภอ
๒) ขอ้ ๒ ใชใ้ นกรณีรวม ๓ อาเภอข้ึนไป
๓) ขอ้ ความใดไมต่ อ้ งการให้ตดั ออก คงไวเ้ ฉพาะที่ตอ้ งการ

16

เขตปกครองคณะสงฆ์ช้ันตาบล

ตาบล เป็ นเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคช้นั ท่ี ๔ ซ่ึงหมายถึง
แขวงในกรุงเทพมหานคร และตาบลในจงั หวดั นอกจากกรุงเทพมหานคร
จานวนและเขตปกครองตาบลน้ัน คณะสงฆ์เป็ นผู้กาหนด แม้ทาง
ราชอาณาจกั รจะมีประกาศกระทรวงมหาดไทยต้งั ตาบลแลว้ ก็ตาม ตาบล
น้นั เป็นตาบลทางราชอาณาจกั รเท่าน้นั หาเป็นตาบลทางคณะสงฆ์ไม่ ตาม
ความในขอ้ ๕ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๑๔ (พ.ศ.๒๕๓๕) และใน
ระเบียบมหาเถรสมาคม กาหนดจานวนและเขตปกครองตาบล พอกาหนด
เป็นหลกั ได้ ๒ กรณี ไดแ้ ก่

๑) กาหนดโดยอนุโลมตามตาบลแห่งราชอาณาจกั ร
๒) กาหนดเป็นกรณีพเิ ศษ
ในกรณีท่ี ๑ ให้อนุโลมตามเขตปกครองตาบลแห่งราชอาณาจกั รได้
เฉพาะตาบลที่มีวดั ถกู ตอ้ งตามกฎหมาย ๕ วดั ข้ึนไปเทา่ น้นั และเม่อื จะ
กาหนดตาบลใหม่ แมต้ าบลใหมจ่ ะมีวดั ๕ วดั ข้นึ ไปแลว้ ก็ตาม แตต่ าบลเดิม
ท่ีตาบลใหม่เคยรวมอยู่ ซ่ึงจะมีเขตเปลี่ยนแปลงจะตอ้ งมีวดั คงอยไู่ มต่ ่ากวา่
๕ วดั ถา้ จะมีวดั คงอยตู่ ่ากว่า ๕ วดั จะแยกตาบลใหม่ โดยกาหนดอนุโลม
มิได้
ในกรณีท่ี ๒ ให้กาหนดเป็นกรณีพิเศษตามจานวนวดั แตล่ ะตาบล
แยกเป็น ๕ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่
๑) ตาบลท่ีมีวดั ต่ากวา่ ๕ วดั
๒) ตาบลท่ีมีวดั ต่ากวา่ ๕ วดั จานวน ๓ ตาบลข้ึนไป
๓) แมต้ าบลที่มีวดั ครบ ๕ วดั แต่มีเหตอุ ่ืน

17

๔) ตาบลท่ีมีวดั เกินกว่า ๑๐ วดั (แยกเฉพาะวดั ท่ีเกิน ๑๐)
๕) ตาบลท่ีมีวดั ต้งั แต่ ๑๐ วดั ข้นึ ไป (แบง่ แยกออกเป็นเขต)
ลกั ษณะท่ี ๑ แยกพจิ ารณาปฏิบตั ิไดด้ งั น้ี
(๑) ใหร้ วมวดั ในตาบลที่มีวดั ต่ากว่า ๕ วดั ข้ึนในปกครองของเจา้
คณะตาบลอนื่ ซ่ึงมีเขตติดต่อกนั
(๒) ให้รวมเขา้ กบั ตาบลอ่ืน ซ่ึงเมื่อรวมแลว้ มี ๑๐ วดั ข้นึ ไป เพ่อื
ความสะดวกหรือเพือ่ ความเจริญต่อคณะสงฆ์ จะแบง่ เป็น ๒ เขตหรือหลาย
เขต โดยจะเรียกช่ือตาบลอนุโลมตามช่ือตาบลแห่งราชอาณาจกั รหรือจะ
เรียกว่า "ตาบล………………….……..เขต ๑" "ตาบล………..เขต ๒" ก็ได้
ลกั ษณะท่ี ๒
ให้รวมตาบลท่ีมีวดั ต่ากวา่ ๕ วดั ต้งั แต่ ๓ ตาบลข้ึนไปเขา้ เป็นเขต
ปกครองเดียวกนั เขา้ รวมแลว้ มีวดั ๑๐ วดั ข้นึ ไป จะแบ่งเป็นเขตและกาหนด
ช่ือตาบลดงั ในลกั ษณะท่ี ๑ ก็ได้
ลกั ษณะที่ ๓
แมต้ าบลท่ีมีวดั ครบ ๕ วดั แตถ่ า้ เขา้ ลกั ษณะพิเศษ ๒ ประการ คือ
มีความเหมาะสม ๑ สะดวกในทางปกครอง๑ จะรวมข้นึ ในปกครองของเจา้
คณะตาบลอ่ืนกไ็ ด้
ลกั ษณะที่ ๔
ตาบลที่มีวดั เกิน ๑๐ วดั ถา้ สะดวกในทางปกครองจะแยกวดั ท่ีเกิน
๑๐ น้นั ไปข้ึนในปกครองของเจา้ คณะตาบลอ่นื กไ็ ด้

18

ลกั ษณะท่ี ๕
ตาบลที่มีวดั ๑๐ วดั ข้ึนไป ถา้ มีลกั ษณะพิเศษ ๒ ประการ คือ ๑.เพื่อ

สะดวกแก่การปกครอง ๒.เพือ่ ความเจริญแก่คณะสงฆ์ จะแบ่งเป็น ๒ เขต
หรือหลายเขต เรียกชื่อตาบลวา่ "ตาบล………..เขต ๑" "ตาบล…………..
เขต ๒" ก็ได้ แตเ่ ขตหน่ึง ๆ จะตอ้ งมีวดั ไม่ต่ากวา่ ๕ วดั

ตาบลทางคณะสงฆแ์ ต่ละตาบลใหม้ ีเจา้ คณะตาบลจานวนตาบลละ
๑ รูป ถา้ ตาบลใดมี ๘ วดั ข้นึ ไป ให้มีรองเจา้ คณะตาบลได้ ๑ รูป

การรวมหลายตาบลเป็นตาบลเดียว ถา้ รวม ๒ ตาบล ใหค้ งช่ือไวท้ ้งั
๒ ตาบล ถา้ รวม ๓ ตาบลข้นึ ไป ใหค้ งชื่อไวต้ าบลเดียว

การกาหนดเขตตาบลดงั กล่าวใหย้ ดึ หลกั ๔ อยา่ ง คือ
๑. ตอ้ งมีวดั ตาบลละไมต่ ่ากว่า ๕ วดั
๒. เจา้ คณะอาเภอเป็นผกู้ าหนดเขตจานวนและชื่อตาบลเสนอ
๓. เจา้ คณะจงั หวดั เป็นผปู้ ระกาศโดยอนุมตั ิของเจา้ คณะภาค
๔. ให้ถือเป็นเขตปกครองเม่ือประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆแ์ ลว้

19

ตัวอย่างหนังสือขอกาหนด

ที่……../………
สานกั งานเจา้ คณะอาเภอ…………

๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๘
เร่ือง ขอกาหนดเขตปกครองตาบล
กราบเรียน เจา้ คณะจงั หวดั ……………
สิ่งท่ีส่งมาดว้ ย สาเนาประกาศกระทรวงมหาดไทย จานวน ๑ ฉบบั

ด้วยอาเภอพิจารณาเห็นว่า สมควรได้มีการกาหนดเขตปกครอง
ตาบลใหม่ ให้เป็นไปโดยความเรียบร้อยดีงาม และเหมาะสม ดงั ตอ่ ไปน้ี

๑. โดยกระทรวงมหาดไทย ไดป้ ระกาศแยกหมู่บา้ นบางหมู่ในเขต
ตาบล…..…รวมต้ังเป็ นตาบลใหม่ เรียกชื่อว่า "ตาบล……………." ดัง
สาเนาประกาศกระทรวงมหาดไทยท่ีถวายมาพร้อมน้ี โดยท่ีตาบลเดิมและ
ตาบลใหม่ มีวดั ครบ ๕ วดั ทุกตาบล ควรไดก้ าหนดเขตปกครองตาบลโดย
อนุโลมตามเขตตาบลแห่งราชอาณาจกั ร โดยรวมวดั ในเขตตาบล…... ซ่ึงแต่
เ ดิ ม อ ยู่ ใ น เ ข ต ต า บ ล ………… ต้ั ง เ ป็ น ต า บ ล ใ ห ม่ ซ่ึ ง เ รี ย ก ว่ า
"ตาบล…………." อนุโลมตามตาบลแห่งราชอาณาจกั ร มี ๖ วดั คอื

๑) วดั ……………………. ๒) วดั ……………….
๓) วดั ……………………. ๔) วดั ……………….
๕) วดั ……………………. ๕) วดั ……………….

20

อน่ึง ตาบล……………………..ซ่ึงมีเขตเปล่ียนแปลง คงมี ๕ วดั
คอื

๑) วดั ……………………. ๒) วดั ………………
๒. ตาบล………….มีวดั ไม่ถึง ๕ วดั เห็นควรให้รวมข้นึ ในเขต
ปกครองของเจา้ คณะตาบล…………….. ซ่ึงรวมแลว้ คงมี ๗ วดั คือ

๑) วดั …………………….. ๒) วดั ………………..
๓. ตาบล……………………กบั ตาบล………………..มีวดั ตาบล
ละไมถ่ ึง ๕ วดั ควรรวมเขา้ เป็นตาบลเดียวกนั เรียกว่า
"ตาบล…………….." มี…………..วดั คือ

๑) วดั …………………… ๒) วดั ………………….
๔. ตาบล……………….…ตาบล………………..กบั
ตาบล……….…………..มีวดั ตาบลละไม่ถึง ๕ วดั เห็นควรรวมเป็นเขต
ปกครองเดียวกนั เรียกชื่อวา่ "ตาบล……….แลว้ แบง่ เป็น……………เขต
ดงั น้ี

๑) ตาบล…………………..เขต ๑ มี……………วดั คอื
(ก) วดั ……………. (ข) วดั …………..
๒) ตาบล………………….เขต ๒ มี……………วดั คือ
(ก) วดั …………… (ข) วดั ………………….
๕. ตาบล…………….มีวดั ครบ ๕ วดั แตเ่ พ่อื ความเหมาะสมและ
สะดวกในทางปกครอง เห็นควรให้รวมข้นึ ในเขตปกครองเจา้ คณะ
ตาบล……………เม่ือรวมแลว้ คงมี ๑๐ วดั คือ
๑) วดั ………………………. ๒) วดั ………………………

21

๖. ตาบล……………..มี ๑๑ วดั เพ่ือสะดวกในทางปกครอง เห็น
ควรให้วดั …………… ซ่ึงเป็นวดั ท่ี ๑๑ รวมข้ึนในปกครองของเจา้ คณะ
ตาบล………………..เมื่อรวมแลว้ คงมี……….วดั คอื

๑) วดั ………………. ๒) วดั …………………..
๗. ตาบล………………..มี ๑๐ วดั เพ่ือสะดวกแก่การปกครองและ
เพ่ือความเจริญแห่งคณะสงฆ์ ควรให้แบง่ เป็น ๒ เขต ดงั น้ี

๑) ตาบล………….. เขต ๑ มี ๕ วดั คอื
(๑) วดั ………………. (๒) วดั ………………

๒) ตาบล…………..เขต ๒ มี ๕ วดั คอื
(๑) วดั ………………. (๒) วดั ………………

ฉะน้นั จึงกราบเรียนมาเพ่ือโปรดพจิ ารณาดาเนินการต่อไป.

กราบเรียนมาดว้ ยความเคารพอยา่ งสูง

…………………………….
(พระ……………………..)
เจา้ คณะอาเภอ……………..

22

ตวั อย่างหนังสือขออนุมตั ิ

ที่…..…./………. สานกั งานเจา้

คณะจงั หวดั ………….

วดั ..…..………………………..……

๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘

เร่ือง ขออนุมตั ิกาหนดเขตปกครองตาบล

เรียน เจา้ คณะภาค……………

สิ่งที่ส่งมาดว้ ย ๑) ร่างประกาศคณะสงฆฯ์ ๒ ฉบบั

๒) ………………………….

ด้ ว ย เ จ้ า ค ณ ะ อ า เ ภ อ ………………แ ล ะ เ จ้ า ค ณ ะ

อาเภอ……………….ได้รายงานขอกาหนดเขตปกครองตาบล ท้ังโดย

อนุโลมตามเขตตาบลแห่งราชอาณาจกั รและเป็นกรณีพเิ ศษ คอื

๑) ขอแยกวดั บางส่วนในเขตตาบล…………อาเภอ…………..ต้ัง

เป็ นตาบลใหม่ เรี ยกชื่อว่า “ตาบล………..” อนุโลมตามตาบลแห่ ง

ราชอาณาจกั ร มี ๕ วดั และตาบล………ซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลง คงมี………วดั

๒) ขอใหว้ ดั ในเขตตาบล………………รวมข้นึ เขตปกครองของ

เจา้ คณะตาบล……………….ซ่ึงมีเขตตดิ ต่อกนั ซ่ึงรวมแลว้ คงมี ……..วดั

๓) ขอรวมวดั ในเขตตาบล……………กบั ตาบล…………….เขา้

เป็นเขตปกครองเดียวกนั เรียกช่ือว่า “ตาบล…………….” คงมี……...วดั

23

๔) ขอรวมวดั ในเขตตาบล…………กบั ตาบล…………………
และตาบล…………… เขา้ เป็นเขตปกครองเดียวกนั แลว้ แบ่งเป็น ……เขต
มีวดั เขตละไม่ต่ากว่า ๕ วดั

๕) ตาบล…………….……แมจ้ ะมี ๕ วดั แต่เพ่ือความเหมาะสม
และสะดวกในทางปกครอง ขอให้รวมข้นึ ในปกครองของเจา้ คณะ
ตาบล……………ซ่ึงมีเขตติดต่อกนั

๖) เพ่ือใหส้ ะดวกในทางปกครอง ขอให้วดั ……………และ
วดั ………..ซ่ึงเป็นวดั ที่ ๑๑, ๑๒ ของตาบล…………… อาเภอ………….
ไปข้ึนในปกครองของเจา้ คณะตาบล…………อาเภอ……………

๗) เพื่อความสะดวกและความเจริญแห่งคณะสงฆ์ ขอให้แบ่ง
ตาบล………ออกเป็น ๒ เขต มีวดั เขตละไม่ต่ากว่า ๕ วดั จงั หวดั พจิ ารณา
แลว้ เห็นควรกาหนดเขตปกครองตาบลท่ีอาเภอขอมาและไดจ้ ดั ทาร่าง
ประกาศคณะสงฆจ์ งั หวดั ตามท่ีขอกาหนดแลว้ ดงั มีรายละเอยี ดในร่าง
ประกาศคณะสงฆ์ ฯ และเอกสารประกอบอน่ื ท่ีถวายมาพร้อมน้ี

ฉะน้นั จงึ เรียนมาเพื่อขอรบั อนุมตั ิ.
เรียนมาดว้ ยความนบั ถืออยา่ งสูง
(พระ…………………………….)
เจา้ คณะจงั หวดั ……………………

ส่วนการปกครอง
โทร…………………
หมายเหตุ.- ร่างพอเป็นตวั อยา่ งใน ๑), ๒), ๓), ๔), ๕), ๖) และ ๗) ใหใ้ ช้
ตามน้ีดว้ ย ขอ้ ความใดไมต่ อ้ งการ ให้ตดั ออกเสีย

24

แบบประกาศกาหนดเขตปกครองตาบล

ประกาศคณะสงฆ์จังหวัด……………………
เรื่อง กาหนดเขตปกครองตาบลอนุโลมตามตาบลแห่งราชอาณาจักรและ

เป็ นกรณพี เิ ศษ พ.ศ. …………
โดยอาศยั อานาจตามความในขอ้ ๑๑ แห่งระเบียบมหาเถรสมาคม กาหนด
จานวนและเขตปกครองตาบล พ.ศ. ๒๕๓๗ และโดยอนุมตั ิของเจา้ คณะ
ภาค……….เจา้ คณะจงั หวดั …………… จึงประกาศกาหนดเขตปกครอง
ตาบล โดยอนุโลมตามเขตตาบลแห่งราชอาณาจกั รและเป็ นกรณีพเิ ศษ
ดงั ตอ่ ไปน้ี
หมวด ๑

อาเภอ……………………………………
ขอ้ ๑ ให้แยกวดั ในเขตตาบล……………………ซ่ึงเดิมอยใู่ น
ตาบล……………ต้งั เป็นตาบลใหม่ เรียกช่ือวา่ “ตาบล………….” อนุโลม
ตามตาบลแห่งราชอาณาจกั ร
มี ๕ วดั คอื

๑) วดั …………….. ๒) วดั ………………. ๓)วดั
…….………
ส่วนตาบล……………. ซ่ึงมีเขตเปลี่ยนแปลง คงมี ๖ วดั คอื

๑) วดั ………………….. ๒)วดั ………………… ฯลฯ

25

ขอ้ ๒ ให้วดั ในเขตตาบล………………………. รวมข้นึ ใน
ปกครองของเจา้ คณะตาบล………… เม่ือรวมแลว้ คงมี……..วดั คอื

๑) วดั ……………… ๒) วดั ………………… ฯลฯ
ขอ้ ๓ ใหว้ ดั ในเขตตาบล………………….กบั
ตาบล……………….รวมเป็ นเขต
ปกครองตาบลเดียวกนั และแบ่งเขตปกครองออกเป็น ๒ เขต ดงั น้ี

๑) ตาบล………..เขต ๑ มี ๕ วดั คือ
(ก) วดั ……………… (ข) วดั ……………… ฯลฯ
๒) ตาบล………..เขต ๒ มี ๖ วดั คือ
(ก) วดั ………… (ข) วดั ………………… ฯลฯ
ขอ้ ๔ ใหว้ ดั ในเขตตาบล…………ตาบล……………กบั
ตาบล…………….รวม
เป็นเขตปกครองตาบลเดียวกนั และแบ่งเขตปกครองออกเป็น ๓ เขต ดงั น้ี
๑) …………………..………………… ฯลฯ
ขอ้ ๕ ให้วดั ในตาบล……….. รวมข้นึ ในปกครองของเจา้ คณะ
ตาบล……….เมื่อรวมแลว้ คงมี………วดั คอื ………………………
ขอ้ ๖ ให้วดั ในเขตตาบล…………………………..เฉพาะวดั ท่ี
เกิน ๑๐ ไปข้ึนในปกครองของเจา้ คณะตาบล……………..
คือ………………. ฯลฯ ส่วนตาบล………….ซ่ึงมีการเปล่ียนแปลงคงมี
๑๐ วดั คือ……….
ขอ้ ๗ ใหแ้ บง่ เขตปกครองตาบล………….ออกเป็น……………..
เขต ดงั น้ี

26

๑) ตาบล………………เขต ๑ มี……….วดั
คอื ………………………………………… ฯลฯ
๒) ตาบล………………เขต ๒ มี………วดั
คอื ………..……………ฯลฯ
หมวด ๒
อาเภอ…………………..
ขอ้ …………………………….…………………………………
ขอ้ …………………….…………………………………………
ประกาศ ณ วนั ท่ี………….………..พ.ศ…………….
(พระ………………….)
เจา้ คณะจงั หวดั …………

หมายเหต.ุ - ร่างประกาศน้ีเป็นเพยี งตวั อยา่ ง ตอ้ งศึกษาให้เขา้ ใจและใช้
ถูกตอ้ ง

๑) ใชส้ าหรับประกาศอนุโลมตามตาบลแห่งราชอาณาจกั ร ซ่ึงใน
ขอ้ ๕ แห่งกฎ ๑๔ มิไดก้ าหนดไวโ้ ดยชดั แจง้

๒) ในขอ้ ๒ ใชใ้ นกรณีที่ให้วดั ในตาบลหน่ึงไปข้นึ ในปกครอง
ของเจา้ คณะตาบลอ่ืน ตามระเบียบมหาเถรสมาคม ขอ้ ๔ วรรคแรก

๓) ในขอ้ ๓ ใชใ้ นกรณีรวมวดั ๒ ตาบลเป็นตาบลเดียวแลว้
แบง่ เป็น ๒เขตหรือหลายเขต ตามระเบียบมหาเถรสมาคม ขอ้ ๔ วรรค ๒

๔) ในขอ้ ๔ ใชใ้ นกรณีที่ รวมวดั ๓ ตาบลข้นี ไปเขา้ เป็นตาบล
เดียวกนั และแบ่งเป็นเขต ตามระเบียบขอ้ ๕

27

๕) ในขอ้ ๕ ใชใ้ นกรณีท่ี ใหว้ ดั ในตาบลหน่ึงแมจ้ ะมีครบ ๕ วดั
ไปข้นึ ปกครองของเจา้ คณะตาบลอื่น ตามระเบียบ ขอ้ ๖

๖) ในขอ้ ๖ ใชใ้ นกรณีท่ี แยกวดั ที่ เกิน ๑๐ ของตาบลหน่ึงไปข้นึ
ปกครองของเจา้ คณะตาบลอื่น ตามระเบียบขอ้ ๗

๗) ในขอ้ ๗ ใชใ้ นกรณีที่ แบง่ ตาบลลเดียวออกเป็น ๒ เขตหรือ
หลายเขตตามระเบียบขอ้ ๘ ท้งั น้ี ขอ้ ใดมิไดใ้ ชใ้ หต้ ดั ออก คา วา่ “ในเขต
อาเภอ……….” ใชก้ รณีที่กาหนดอาเภอเดียว และไมต่ อ้ งมีคาว่า
“หมวด………..อาเภอ…………” ถา้ หลายอาเภอ ตอ้ งตดั คาวา่ “ในเขต
อาเภอ…….” ออก และตอ้ งเพิ่มคาวา่ “หมวด……….อาเภอ……………”
ก่อนที่จะข้นึ ขอ้ น้นั ๆ

28

วิธแี ต่งต้งั เลขานุการ

เลขานุการเจา้ คณะและเลขานุการรองเจ้าคณะเป็ นตาแหน่งพิเศษ
บญั ญตั ิให้มีข้ึนเพ่ือทาหน้าท่ีการเลขานุการในเขตปกครองช้ันน้นั ๆ เป็ น
ตาแหน่งที่มีหน้าที่อย่างชดั เจนพร้อมการแต่งต้งั แต่ไม่มีอานาจใด ๆ ในกฎ
มหาเถรสมาคมฉบบั ที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) วา่ ดว้ ยระเบียบการปกครองคณะ
สงฆ์ บญั ญตั ิไว้ ๘ ตาแหน่ง คือ เลขานุการเจา้ คณะใหญ่ เลขานุการเจา้ คณะ
ภาค เลขานุการรองเจา้ คณะภาค เลขานุการเจา้ คณะจงั หวดั เลขานุการรอง
เจา้ คณะจงั หวดั เลขานุการเจา้ คณะอาเภอ เลขานุการรองเจา้ คณะอาเภอ และ
เลขานุการเจา้ คณะตาบล โดยเจา้ คณะใหญ่มีเลขานุการไดห้ นละ ๒ รูป ส่วน
เจา้ คณะและรองเจา้ คณะนอกน้นั มีไดต้ าแหน่งละ ๑ รูป การแต่งต้งั เลขานุการ
น้นั มีขอ้ ควรศึกษาดงั น้ี
หลกั เกณฑ์

๑. คุณสมบตั ิ ตอ้ งเป็นพระภิกษุมคี ุณสมบตั ิตามขอ้ ๖ แห่ง
กฎมหา-เถรสมาคมฉบบั ท่ี ๒๔ โดยอนุโลม

๒. ผแู้ ต่งต้งั เจา้ คณะและรองเจา้ คณะช้นั น้นั ๆ เป็นผแู้ ตง่ ต้งั เอง
วธิ แี ต่งต้งั

ตอ้ งพจิ ารณาคดั เลือกพระภิกษผุ เู้ หมาะสมแลว้ มีคาส่ังแตง่ ต้งั
อยา่ แต่งต้งั ดว้ ยวาจา เมื่อไดแ้ ต่งต้งั แลว้ ตอ้ งแจง้ ใหผ้ ไู้ ดร้ ับแตง่ ต้งั และ
ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา และรายงานผบู้ งั คบั บญั ชาเหนือตนและแจง้ สานกั งาน
พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ขอยกการแตง่ ต้งั เลขานุการเจา้ คณะตาบลและ
เลขานุการรองเจา้ คณะอาเภอเป็นตวั อยา่ ง

29

ตวั อย่างหนงั สือแจ้งและรายงาน

๑. แจ้งผ้ไู ด้รับแต่งต้ัง

ที่ ……./………… สานกั งานเจา้ คณะ

ตาบล…………

วดั ………..…………………………

๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘

เร่ือง แตง่ ต้งั เลขานุการเจา้ คณะตาบล

เรียน พระ…………………………….

สิ่งท่ีส่งมาดว้ ย คาสั่ง ๑ ฉบบั

ด้วยได้มีบทบัญญัติแห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ.

๒๕๔๑)วา่ ดว้ ยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้มีเลขานุการเจา้ คณะตาบล

เพื่อทาหนา้ ท่ีการเลขานุการ ตาบลไดพ้ ิจารณาเห็นว่าท่านเป็นผเู้ หมาะสมแก่

ต า แ ห น่ ง ดัง ก ล่ า ว จึ ง แ ต่ ง ต้ัง ใ ห้ ท่ า น เ ป็ น เ ล ข า นุ ก า ร เ จ้า ค ณ ะ

ตาบล……………ต้งั แต่วนั ท่ี…….. พฤศจิกายน ๒๕๔๑ดงั รายละเอยี ดแจง้

อยแู่ ลว้ ในคาสัง่ ท่ีแนบมาพร้อมน้ี

ฉะน้นั จงึ เรียนมาเพ่อื รับทราบและรับปฏิบตั งิ านในหน้าท่ี

เลขานุการเจา้ คณะตาบลตอ่ ไป.

เรียนมาดว้ ยความนบั ถือ

(พระ……………..)

เจา้ คณะตาบล....................

สานกั งานเจา้ คณะตาบล.......................................................
โทร.....................................................................................

30

๒. รายงานเจา้ คณะอาเภอ

ที่ ……../…………. สานกั งานเจา้ คณะ

ตาบล……………

วดั …………………………………….

๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๑

เร่ือง แตง่ ต้งั เลขานุการเจา้ คณะตาบล

เรียน เจา้ คณะอาเภอ…………

ส่ิงที่ส่งมาดว้ ย สาเนาคาสั่ง ๑ ฉบบั

ดว้ ยไดม้ ีบทบญั ญตั ิแห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๓ (พ.ศ.

๒๕๔๑)

วา่ ดว้ ยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้มีเลขานุการเจา้ คณะตาบลเพื่อทา

หนา้ ท่ีเลขานุการ ตาบลไดพ้ จิ ารณาแต่งต้งั ให้ พระ………………

ฉายา…………..อาย…ุ ….พรรษา…………วิทยฐานะ น.ธ……ป.ธ……..

วดั ……………..ตาบล………………อาเภอ……………

จงั หวดั ……………...เป็นเลขานุการเจา้ คณะตาบล…………. ต้งั แต่

วนั ท่ี……… พฤศจิกายนยน ๒๕๔๑

ฉะน้นั จงึ เรียนมาเพอ่ื ทราบและขอไดร้ ายงานตาบลลาดบั ตอ่ ไป.
เรียนมาดว้ ยความนบั ถือ
(…………………….)
เจา้ คณะตาบล………

31

๓. แจง้ เจา้ อาวาสทกุ วดั

ท่ี ……../ว………… สานกั งานเจา้

คณะตาบล………….

วดั …………………………………..

๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘

เรื่อง แต่งต้งั เลขานุการเจา้ คณะตาบล

เรียน เจา้ อาวาสทุกวดั ในตาบล…………

ดว้ ยไดม้ ีบทบญั ญตั ิแห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่ ๒๓ (พ.ศ.

๒๕๔๑)

วา่ ดว้ ยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้มีเลขานุการเจา้ คณะตาบลเพอื่ ทา

หนา้ ท่ี

เลขานุการตาบลไดพ้ จิ ารณาแต่งต้งั ให้ พระ…………ฉายา…………..

อาย…ุ ….พรรษา…………วิทยฐานะ น.ธ……ป.ธ……..

วดั ………………..ตาบล……………อาเภอ…………….

จงั หวดั ……………...เป็นเลขานุการเจา้ คณะตาบล…………….ต้งั แต่

วนั ท่ี…….. พฤศจิกายน ๒๕๔๘

ฉะน้นั จึงเรียนมาเพ่ือทราบ.
เรียนมาดว้ ยความนบั ถือ

(พระ………………………..)
เจา้ คณะตาบล……………

32

๔. แจง้ ผอู้ านวยการสานกั งานพระพุทธศาสนาจงั หวดั

ที่ ….…./………… สานกั งานเจา้

คณะตาบล…………

วดั …………………………………

๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘

เร่ือง แต่งต้งั เลขานุการเจา้ คณะตาบล
เจริญพร ผอู้ านวยการสานกั งานพระพุทธศาสนาจงั หวดั ...

ดว้ ยไดม้ ีบทบญั ญตั ิแห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่ ๒๓
(พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าดว้ ยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้มีเลขานุการเจา้
คณะตาบลเพอื่ ทาหนา้ ท่ีเลขานุการตาบลไดพ้ ิจารณาแตง่ ต้งั ให้
พระ………………ฉายา…………..อาย…ุ ….พรรษา…………วิทยฐานะ
น.ธ……ป.ธ……..วดั ………………..ตาบล………………
อาเภอ…………จงั หวดั ……………...เป็นเลขานุการเจา้ คณะตาบล…….
ต้งั แต่วนั ที่…….. พฤศจิกายน ๒๕๔๘

ฉะน้นั จงึ เจริญพรมาเพ่อื ดาเนินการใหม้ ีการบรรจุทะเบียน
เลขานุการ ตามระเบียบปฏิบตั ิตอ่ ไป.

ขอเจริญพร
(พระ………………………..)
เจา้ คณะตาบล……………

33

แบบคาสัง่ แตง่ ต้งั เลขานุการเจา้ คณะตาบล
ตวั อย่างที่ ๑

คาส่ังคณะสงฆ์ตาบล………….
ที่ ……... /๒๕๔๘

เร่ือง แตง่ต้งั เลขานกุ ารเจ้าคณะตาบล

โดยมีบทบัญญัติแห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ.
๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้มีเลขานุการเจา้ คณะ
ตาบลเพ่ือทาหน้าท่ีเลขานุการ อาศยั อานาจตามความในขอ้ ที่ ๒๕ วรรค ๒
แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งต้งั ถอด
ถอนพระสังฆาธิการ ออกตามความในพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.
๒๕๐๕ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๓๕

จึงแตง่ ต้งั ให้พระ…………ฉายา…………..อาย.ุ .................
พรรษา…………วทิ ยฐานะ น.ธ……ป.ธ……..วดั …ตาบล………………
อาเภอ…………….จงั หวดั ……………...เป็นเลขานุการเจา้ คณะ
ตาบล………………มีหนา้ ที่ทาการเลขานุการ ท้งั น้ี ต้งั แต่บดั น้ี เป็นตน้ ไป.
สั่ง ณ วนั ท่ี…….พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๑

(พระ…………………..)
เจา้ คณะตาบล………..

หมายเหต.ุ - ใชใ้ นการแตง่ ต้งั คร้ังแรก โดยวรรคแรกเป็นเหตุผลตอ้ งระบุให้
ชดั เจนเพราะเป็นตาแหน่งท่ีเร่ิมมใี หม่

34

ตัวอย่างที่ ๒
คาส่ังคณะสงฆ์ตาบล………….

ท่ี ……... /๒๕๔๘
เรื่อง แต่งต้งั เลขานุการเจ้าคณะตาบล

โดยท่ีพระ………………วดั ……………… เลขานุการเจ้าคณะ

ตาบลไดล้ าออกจากตาแหน่งและไดร้ ับอนุญาตแลว้ แต่วนั ท่ี…… มกราคม

๒๕๔๒ เพ่ือให้มีผูท้ าหน้าที่เลขานุการตามปกติ อาศยั อานาจตามความใน

ขอ้ ที่ ๒๕ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) วา่ ดว้ ย

การแต่งต้งั ถอดถอนพระสังฆาธิการ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิคณะ

สงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี ๒)

พ.ศ. ๒๕๓๕

จึงแต่งต้งั ใหพ้ ระ………………ฉายา…………..อาย…ุ ….

พรรษา…………วิทยฐานะ น.ธ……ป.ธ……..วดั ………………..

ตาบล………………อาเภอ…………จงั หวดั ……………...เป็นเลขานุการ

เจา้ คณะตาบล………………มีหนา้ ที่ทาการเลขานุการ

ท้งั น้ี ต้งั แต่บดั น้ี เป็นตน้ ไป.

สง่ั ณ วนั ที่…….พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๑

(พระ…………………..)

เจา้ คณะตาบล………..

หมายเหตุ.- ใชใ้ นการแตง่ ต้งั แทนตาแหน่งที่ว่างลง โดยวรรคแรกเป็น
เหตผุ ลใชต้ ามเหตผุ ลท่ีตอ้ งแตง่ ต้งั

35

ตวั อย่างที่ ๓
คาส่ังคณะสงฆ์อาเภอ…………….

ที่ …….. /๒๕๔๑
เร่ือง แต่งต้งั เลขานุการรองเจ้าคณะอาเภอ

โดยมีบทบัญญัติแห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ.
๒๕๔๑) ว่าดว้ ยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ให้มีเลขานุการเจ้าคณะ
อาเภอเพื่อทาหน้าที่เลขานุการอาศัยอานาจตามความในขอ้ ที่ ๒๕ วรรค ๒
แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งต้งั ถอด
ถอนพระสังฆาธิการ ออกตามความใน พระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.
๒๕๐๕ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ.
๒๕๓๕

จึงแต่งต้งั ใหพ้ ระ………………ฉายา…………..อาย…ุ ….
พ ร ร ษ า …………วิ ท ย ฐ า น ะ น . ธ ……ป . ธ ……..วัด ……………….
ต า บ ล ………………อ า เ ภ อ …………….จั ง ห วั ด ……………...เ ป็ น
เลขานุการเจา้ คณะอาเภอ………………มีหนา้ ที่ทาการเลขานุการ
ท้งั น้ี ต้งั แต่บดั น้ี เป็นตน้ ไป.

สั่ง ณ วนั ที่…….พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘
(พระ…………………..)
เจา้ คณะอาเภอ………..

หมายเหต.ุ - ใชใ้ นการแตง่ ต้งั คร้ังแรก โดยวรรคแรกเป็นเหตุผลตอ้ งระบุให้
ชดั เจนเพราะเป็นตาแหน่งท่ีเร่ิมมใี หม่

36

ตัวอย่างตราต้งั เลขานุการเจ้าคณะจงั หวดั
แต่งต้งั เลขานุการเจ้าคณะจังหวดั
ที่ จจ................/๒๕..................

อาศัยอานาจตามความในข้อท่ี ๑๗ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถร
สมาคม ฉบบั ท่ี ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งต้งั ถอดถอนพระสังฆาธิ
การ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แกไ้ ขเพิ่มเติม
โดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕

จึงแตง่ ต้งั ให้พระ……………………ฉายา……………….
อาย…ุ ……..พรรษา…….วทิ ยฐานะ ป.ธ………..น.ธ……… ป.ธ.
..................วดั ……………………… ตาบล…………...……….
อาเภอ……………..………จงั หวดั ………………..…..

เป็นเลขานุการเจา้ คณะจงั หวดั ……………..
ขอความเจริญรุ่งเรืองงอกงามไพบลู ยร์ ุ่งเรืองสถาพรในพระพธุ
ศาสนาขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพธุ เจา้ เป็นนิตยเ์ อญ
แตง่ ต้งั ณ วนั ท่ี....................เดือน.............พทุ ธศกั ราช ๒๕.......

(พระ………………………)
เจา้ คณะจงั หวดั ………………

ปรับตราประจาตาแหน่ง

37

ตวั อยา่ งตราต้งั เลขานุการเจา้ คณะจงั หวดั
แต่งต้งั เลขานุการรองเจา้ คณะจงั หวดั

ท่ี รจจ................/๒๕..................

อาศัยอานาจตามความในข้อท่ี ๑๗ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถร
สมาคม ฉบบั ที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งต้งั ถอดถอนพระสังฆาธิ
การ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แกไ้ ขเพม่ิ เติม
โดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕

จึงแต่งต้งั ให้พระ……………………ฉายา……………….
อาย…ุ ……..พรรษา…….วทิ ยฐานะ ป.ธ………..น.ธ……… ปธ
...................วดั ……………………… ตาบล…………...……….
อาเภอ……………..………จงั หวดั ………………..…..เป็นเลขานุการรอง
เจา้ คณะจงั หวดั ……………..

ขอความเจริญรุ่งเรืองงอกงามไพบูลยร์ ุ่งเรืองสถาพรในพระพุธ
ศาสนาขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพุธเจา้ เป็นนิตยเ์ อญ

แตง่ ต้งั ณ วนั ที่....................เดือน.............พุทธศกั ราช ๒๕.......
(พระ………………………)
เจา้ คณะจงั หวดั ………………
ปรับตราประจาตาแหน่ง

38

ตวั อยา่ งตราต้งั เลขานุการเจา้ คณะจงั หวดั
แตง่ ต้งั เลขานุการเจา้ คณะอาเภอ
ที่ ................/๒๕..................

อาศัยอานาจตามความในข้อท่ี ๑๗ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถร
สมาคม ฉบบั ที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งต้งั ถอดถอนพระสังฆาธิ
การ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิม่ เติม
โดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕

จึงแตง่ ต้งั ใหพ้ ระ……………………ฉายา……………….
อาย…ุ ……..พรรษา…….วิทยฐานะ ป.ธ………..น.ธ……… ป.ธ.
..................วดั ……………………… ตาบล…………...……….
อาเภอ……………..………จงั หวดั ………………..…..เป็นเลขานุการเจา้
คณะอาเภอ……………..

ขอความเจริญรุ่งเรืองงอกงามไพบูลยร์ ุ่งเรืองสถาพรในพระพุธ
ศาสนาขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสัมพธุ เจา้ เป็นนิตยเ์ อญ
แต่งต้งั ณ วนั ที่....................เดือน.............พุทธศกั ราช ๒๕.......

(พระ………………………)
เจา้ คณะจงั หวดั ………………

ปรับตราประจาตาแหน่ง

39

ตวั อยา่ งตราต้งั เลขานุการเจา้ คณะจงั หวดั
แตง่ ต้งั เลขานุการรองเจา้ คณะอาเภอ
ที่ รจอ................/๒๕..................

อาศัยอานาจตามความในข้อท่ี ๑๗ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถร
สมาคม ฉบบั ที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งต้งั ถอดถอนพระสังฆาธิ
การ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แกไ้ ขเพม่ิ เติม
โดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ.๒๕๓๕

จึ ง แ ต่ ง ต้ัง ใ ห้ พ ร ะ ……………………ฉ า ย า ……………….
อ า ยุ ………..พ ร ร ษ า …….วิ ท ย ฐ า น ะ ป . ธ ………..น . ธ ……… ป ธ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . วัด ……………………… ต า บ ล …………...……….
อาเภอ……………..………จงั หวดั ………………..…..เป็ นเลขานุการรอง
เจา้ คณะอาเภอ……………..

ขอความเจริญรุ่งเรืองงอกงามไพบูลยร์ ุ่งเรืองสถาพรในพระพุธ
ศาสนาขององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พุธเจา้ เป็นนิตยเ์ อญ
แตง่ ต้งั ณ วนั ท่ี....................เดือน.............พุทธศกั ราช ๒๕.......

(พระ………………………)
เจา้ คณะจงั หวดั ………………

ปรับตราประจาตาแหน่ง

40

ตวั อยา่ งตราต้งั เลขานุการเจา้ คณะจงั หวดั
แต่งต้งั เลขานุการเจา้ คณะตาบล
ท่ี จต................/๒๕..................

อาศัยอานาจตามความในข้อที่ ๑๗ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถร
สมาคม ฉบบั ที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งต้งั ถอดถอนพระสังฆาธิ
การ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แกไ้ ขเพ่มิ เติม
โดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕

จึ ง แ ต่ ง ต้ัง ใ ห้ พ ร ะ ……………………ฉ า ย า ……………….
อ า ยุ ………..พ ร ร ษ า …….วิ ท ย ฐ า น ะ ป . ธ ………..น . ธ ……… ป ธ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . วัด ……………………… ต า บ ล …………...……….
อาเภอ……………..………จังหวดั ………………..…..เป็ นเลขานุการเจ้า
คณะตาบล……………..

ขอความเจริญรุ่งเรืองงอกงามไพบูลยร์ ุ่งเรืองสถาพรในพระพุธ
ศาสนาขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพุธเจา้ เป็นนิตยเ์ อญ
แต่งต้งั ณ วนั ท่ี....................เดือน.............พุทธศกั ราช ๒๕.......

(พระ………………………)
เจา้ คณะจงั หวดั ………………

ปรับตราประจาตาแหน่ง

41

ตราต้ังพระฐานานุกรม
เจ้าคณะอาเภอ……………….

อาศัยอานาจตามความในข้อท่ี ๑๗ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถร
สมาคม ฉบบั ที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งต้งั ถอดถอนพระสังฆาธิ
การ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แกไ้ ขเพมิ่ เติม
โดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕

จึ ง แ ต่ ง ต้ัง ใ ห้ พ ร ะ ……………………ฉ า ย า ……………….
อ า ยุ ………..พ ร ร ษ า …….วิ ท ย ฐ า น ะ ป . ธ ………..น . ธ ……… ป ธ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . วัด ……………………… ต า บ ล …………...……….
อาเภอ……………..………จงั หวดั ………………..…..

ที่ “พระใบฏีกา”
ขอความเจริญรุ่งเรืองงอกงามไพบูลยร์ ุ่งเรืองสถาพรในพระพุธ
ศาสนาขององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พุธเจา้ เป็นนิตยเ์ อญ
แตง่ ต้งั ณ วนั ท่ี....................เดือน.............พุทธศกั ราช ๒๕.......

(พระ………………………)
เจา้ คณะอาเภอ………………

ปรับตราประจาตาแหน่ง

42

ตราต้งั พระฐานานุกรม
เจ้าคณะอาเภอ.............................

อาศยั อานาจตามความในขอ้ ที่ ๑๗ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถร
สมาคม ฉบบั ที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งต้งั ถอดถอนพระสงั ฆาธิ
การ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แกไ้ ขเพิม่ เติม
โดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ.๒๕๓๕

จึงแต่งต้งั ให้พระ……………………ฉายา……………….
อาย…ุ ……..พรรษา…….วทิ ยฐานะ ป.ธ………..น.ธ……… ปธ
...................วดั ……………………… ตาบล…………...……….
อาเภอ……………..………จงั หวดั ………………..…..

ท่ี “พระสมุห์”
ขอความเจริญรุ่งเรืองงอกงามไพบูลยร์ ุ่งเรืองสถาพรในพระพธุ
ศาสนาขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พุธเจา้ เป็นนิตยเ์ อญ
แตง่ ต้งั ณ วนั ที่....................เดือน.............พุทธศกั ราช ๒๕.......

(พระ………………………)
เจา้ คณะอาเภอ………………

ปรับตราประจาตาแหน่ง

43

ตราต้งั พระฐานานุกรม
เจ้าคณะอาเภอ......................

อาศยั อานาจตามความในขอ้ ที่ ๑๗ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถร
สมาคม ฉบบั ท่ี ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) วา่ ดว้ ยการแต่งต้งั ถอดถอนพระสงั ฆาธิ
การ ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แกไ้ ขเพมิ่ เติม
โดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕
จึงแต่งต้งั ใหพ้ ระ……………………ฉายา……………….อาย…ุ ……..
พรรษา…….วิทยฐานะ ป.ธ………..น.ธ……… ปธ...................
วดั ……………………… ตาบล…………...…อาเภอ……………..………
จงั หวดั ………………..…..

ที่ “พระปลัด”
ขอความเจริญรุ่งเรืองงอกงามไพบลู ยร์ ุ่งเรืองสถาพรในพระพุธ
ศาสนาขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พธุ เจา้ เป็นนิตยเ์ อญ
แต่งต้งั ณ วนั ที่....................เดือน.............พทุ ธศกั ราช ๒๕.......

(พระ………………………)
เจา้ คณะอาเภอ………………

ปรับตราประจาตาแหน่ง

44

ตราต้ังพระครูสอนพระปริยตั ิธรรม
ที่ จจ................/๒๕..................

อาศยั ระเบียบสานกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติวา่ ดว้ ยการศึกษา
ปริยตั ิธรรม แผนกธรรมบาลี พ.ศ.๒๕๓๗ หมวดที่ ๑ ขอ้ ่ี๑๒ แต่งต้งั
พระ……………………ฉายา……………….อาย…ุ ……..พรรษา…….
วทิ ยฐานะ ป.ธ………..น.ธ……… ปธ.................วดั ………………………
ตาบล…………...……….อาเภอ……………จงั หวดั ………………..…..
เป็นพระครูปริยตั ิธรรม แผนกธรนรม- บาลี ประจาศาสนศึกษาวดั
...................................ตาบล…………...……….อาเภอ……………
จงั หวดั ………………..…..โดยความเห็นชอบของสานกั งาน
พระพทุ ธศาสนา

ขอใหผ้ ไู้ ดร้ บั แตง่ ต้งั จงต้งั ใจบาเพญ็ ศาสนกิจดว้ ยวริ ิยะอุตสาหะ
เตม็ ความสามารถ และจงถึงความเจริญรุ่งเรืองสถาพรในพระธรรมวินยั ของ
สมเดจ็ พระสมั มาสัมพุธเจา้ เทอญ

ต้งั ณ วนั ท่ี....................เดือน.............พทุ ธศกั ราช ๒๕.......
(พระ………………………)
เจา้ คณะจงั หวดั ………………
ปรับตราประจาตาแหน่ง

45

ตราต้งั ครูสอน
ศูนย์ศึกษาพระพุธศาสนาวนั อาทติ ย์

ท่ี จจ................/๒๕..................

อาศยั ระเบียบสานกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติว่าดว้ ยการศึกษา
ปริยตั ิธรรม แผนกธรรมบาลี พ.ศ.๒๕๓๗ หมวดท่ี ๑ ขอ้ ท่ี ๑๒ แต่งต้งั
พระ……………………ฉายา……………….อาย…ุ ……..พรรษา…….
วิทยฐานะ ป.ธ………..น.ธ……… ปธ.................วดั ………………………
ตาบล…………...……….อาเภอ……………จงั หวดั ………………..…..
เป็นครูสอนศนู ยศ์ ึกษาพระพุธศาสนาวนั อาทิตยว์ ดั ...................................
ตาบล…………...……….อาเภอ……………จงั หวดั ………………..…..
โดยความเหน็ ชอบของสานกั งานพระพุทธศาสนา

ขอใหผ้ ไู้ ดร้ ับแต่งต้งั จงต้งั ใจบาเพญ็ ศาสนกิจดว้ ยวริ ิยะอตุ สาหะ
เตม็ ความสามารถ และจงถึงความเจริญรุ่งเรืองสถาพรในพระธรรมวนิ ยั ของ
สมเด็จพระสมั มาสมั พธุ เจา้ เทอญ

ต้งั ณ วนั ที่....................เดือน.............พทุ ธศกั ราช ๒๕.......
(พระ………………………)
เจา้ คณะจงั หวดั ………………
ปรับตราประจาตาแหน่ง

46

การแต่งต้งั ผ้ปู กครองคณะสงฆ์

ในส่วนที่ ๑ ไดเ้ รียนถึงเขตปกครองคณะสงฆส์ ่วนภูมิภาคตามลาดบั
ช้ัน ในบางช้ันได้เรียนถึงหลกั เกณฑ์และวิธีการกาหนดจานวนเขตการ
ปกครองโดยละเอยี ด จนพอถือเป็นแนวปฏิบตั ิงานคณะสงฆไ์ ด้ แตเ่ ป็นเพียง
ช้ีบอกให้รู้เขตปกครอง ขอบเขตแห่งอานาจในการปกครองคณะสงฆส์ ่วน
ภมู ิภาค พร้อมท้งั วิธีจดั สรรปันส่วนเขตปกครองตามกฎมหาเถรสมาคมและ
ระเบียบมหาเถรสมาคมเท่าน้นั ส่วนผูป้ กครองคณะสงฆซ์ ่ึงเรียก ว่า “เจา้
คณะ” ผสู้ นองงานเจา้ คณะซ่ึงเรียกวา่ “เลขานุการเจา้ คณะ” ผรู้ ้ังตาแหน่งซ่ึง
เรียกว่า “ผรู้ ักษาการแทน” ตลอดจนวิธีการแต่งต้งั หาไดเ้ รียนถวายไวไ้ ม่
จึงกาหนดเรียนถวายในส่วนน้ี

อนั ผูป้ กครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคน้ัน กาหนดไวใ้ นมาตรา ๒๒
แห่งพระราช-บญั ญตั ิคณะสงฆ์ตามลาดบั ช้นั ๔ ตาแหน่ง คือ เจา้ คณะ
ภาค เจา้ คณะจงั หวดั เจา้ คณะอาเภอ เจา้ คณะตาบล และในมาตรา ๒๓
บญั ญตั ิไวว้ ่า “การแต่งต้งั ถอดถอนพระอปุ ัชฌาย์ เจา้ อาวาส รองเจา้ อาวาส
ผชู้ ่วยเจา้ อาวาส พระภิกษุอนั เก่ียวกบั ตาแหน่งปกครองคณะสงฆต์ าแหน่ง
อื่น ๆ และไวยาวจั กร ให้เป็นไปตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการที่กาหนดในกฎ
มหาเถรสมาคม” ดงั น้นั การแต่งต้งั เจา้ คณะท้งั ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
และเลขานุการเจา้ คณะและเลขานุการรองเจา้ คณะท้งั ในส่วนกลางและส่วน
ภูมิภาคทุกตาแหน่ง จึงขดั แยง้ กบั หลกั เกณฑ์และวิธีการซ่ึงตราไวใ้ นกฎ
มหาเถรสมาคมมิได้ เพราะถ้าขดั แยง้ กบั หลกั เกณฑ์และวิธีการดังกล่าว
การแต่งต้งั น้ันย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลบงั คบั ตามกฎหมาย ท้งั ผูแ้ ต่งต้งั อาจ
ตอ้ งไดร้ ับโทษฐานละเมิดจริยาพระสังฆาธิการอีกส่วนหน่ึง หลกั เกณฑ์

47

และวิธีการแต่งต้งั และถอดถอนตามความในมาตรา ๒๓ น้ัน จึงยกมา
เป็นบทเรียนเป็นตอน ๆ ดงั น้ี

วธิ ีแต่งต้งั ผ้รู ักษาการแทนเจ้าคณะ

อนั ตาแหน่งเจา้ คณะในส่วนภูมิภาค ๔ ตาแหน่ง คือ เจา้ คณะภาค
เจา้ คณะจงั หวดั เจา้ คณะอาเภอ และเจา้ คณะตาบล เป็นตาแหน่งปกครอง
คณะสงฆ์ในเขตปกครองช้ันน้ัน ๆ เขตปกครองคณะสงฆ์ทุกช้นั ทุกเขต
ตอ้ งมีเจ้าคณะเป็ นผูป้ กครอง กล่าวคือ เป็ นผูบ้ ังคบั บัญชารับผิดชอบ ใน
ฐานะเป็ นเจา้ พนักงานฝ่ ายปกครองตามความในประมวลกฎหมายอาญา
ตามพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์มาตรา ๔๕ และจะตอ้ งมีอยู่โดยตลอด จะ
ว่างเวน้ จากผปู้ กครองมิได้ เพราะจะทาให้สายการบงั คบั บญั ชางานคณะ
สงฆ์ขาดช่วง ท้ังจะทาให้เขตปกครองน้ันขาดเจ้าพนักงานฝ่ ายปกครอง
เพราะฉะน้นั เมื่อเจา้ คณะวา่ งลงดว้ ยเหตุใด ๆ ก็ตาม ตอ้ งแต่งต้งั รูปอืน่ แทน
ถา้ จะแต่งต้งั ทนั ทีมิได้ หรือเจา้ คณะมีอยู่แต่ไม่อาจปฏิบตั ิหนา้ ที่ไดด้ ว้ ยเหตุ
ใด ๆ ก็ตาม ตอ้ งแต่งต้งั ผรู้ ักษาการแทนเจา้ คณะ จะวา่ งเวน้ ไม่มีท้งั เจา้ คณะ
ท้ังผูร้ ักษาการแทนเจ้าคณะมิได้ เพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่การศึกษา ขอ
ช้ีแนะเก่ียวกบั การแต่งต้งั ผรู้ ักษาการแทนเจา้ คณะ โดยแยกแนวศึกษาเป็ น
๖ ประเด็น คอื กรณีท่ีตอ้ งแต่งต้งั ผมู้ ีอานาจแต่งต้งั เงื่อนไขการแตง่ ต้งั
เงื่อนไขพเิ ศษ อานาจหนา้ ที่ และวธิ ีการแต่งต้งั พงึ ทราบรายละเอยี ดดงั น้ี

48

๑. กรณีท่ีตอ้ งแตง่ ต้งั
๑.๑ กรณีที่ไม่มีเจา้ คณะ
(๑) เจา้ คณะรูปเดิมพน้ จากตาแหน่ง
(๒) เขตปกครองท่ีกาหนดใหม่
๑.๒ ในกรณีที่เจา้ คณะไม่อาจปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ได้
(๑) เพราะถูกสง่ั พกั มาจากหนา้ ที่
(๒) เพราะเหตุอื่น

๒. ผมู้ ีอานาจแตง่ ต้งั ผบู้ งั คบั บญั ชาใกลช้ ิดเป็นผแู้ ต่งต้งั เชน่ เจา้
คณะอาเภอเป็นผแู้ ตง่ ต้งั ผรู้ ักษาการแทนเจา้ คณะตาบล

๓. เง่ือนไขการแตง่ ต้งั
๓.๑ เป็นรองเจา้ คณะในช้นั น้นั ๆ (เวน้ แตไ่ มอ่ าจปฏิบตั ิหนา้ ท่ี

ได)้
๓.๒ พระภิกษุรูปใดรูปหน่ึงซ่ึงผแู้ ตง่ ต้งั เหน็ สมควร เฉพาะ

กรณีท่ีไม่มี รองเจา้ คณะหรือมีแตไ่ มอ่ าจปฏิบตั ิหนา้ ท่ีได้
๔. เงื่อนไขพิเศษ
๔.๑ ในกรณีที่ไม่มีเจา้ คณะ ตอ้ งดาเนินการเพอ่ื ใหม้ กี าร

แตง่ ต้งั เจา้ คณะ ภายในกาหนด ๑ ปี
๔.๒ เจา้ คณะผมู้ ีอานาจแต่งต้งั จะแตง่ ต้งั ตนเองเป็นผู้

รักษาการแทนเจา้ คณะหรือผรู้ ักษาการแทนเจา้ อาวาสมิได้ เพราะขดั ตอ่
เจตนารมณ์ของมหาเถรสมาคม

๕. อานาจหนา้ ที่ มีอานาจหนา้ ที่เช่นเดียวกบั อานาจหนา้ ที่เจา้ คณะทกุ
ประการ เวน้ แตส่ ิทธิประโยชน์และการแตง่ ต้งั เลขานุการเจา้ คณะ

49

๖. วิธีการแต่งต้งั ในเมื่อมีเหตุที่จะตอ้ งแต่งต้งั ผูร้ ักษาการแทนเจา้
คณะ ให้เจา้ คณะผบู้ งั คบั บญั ชาใกลช้ ิด ดาเนินการแตง่ ต้งั โดยตอ้ งแต่งต้งั
รองเจา้ คณะช้นั น้นั ๆ เมื่อมีรองเจา้ คณะอยู่ อย่าแต่งต้งั พระภิกษุรูปใดรูป
หน่ึงซ่ึงมิไดเ้ ป็นรองเจา้ คณะ เวน้ แตถ่ ึงรองเจา้ คณะมีอยแู่ ตย่ นิ ยอมรับว่าตน
ไม่อาจปฏิบตั ิหนา้ ท่ีได้ หรือรองเจา้ คณะท่ีมีอยู่ไม่อาจปฏิบตั ิหน้าท่ีโดยชดั
แจ้ง ในกรณีเช่นน้ี ผูแ้ ต่งต้ังควรบนั ทึกรายละเอียดเก็บรวมไวใ้ นเรื่อง
แต่งต้งั ผูร้ ักษาการแทนเจา้ คณะเป็นหลกั ฐานดว้ ย ในกรณีท่ีรองเจา้ คณะมี
หลายรูป ผูแ้ ต่งต้งั ตอ้ งพิจารณาความเหมาะสม และตอ้ งแต่งต้งั ดว้ ยคาสั่ง
โดยอาศยั อานาจบทบญั ญตั ิท่ีใหอ้ านาจไวอ้ ย่างชดั เจน อยา่ แต่งต้งั ดว้ ยวาจา
เมื่อไดแ้ ต่งต้งั ผรู้ ักษาการแทนเจา้ คณะแลว้ ตอ้ งรายงานใหผ้ บู้ งั คบั เหนือตน
รับทราบและแจง้ ผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาของเจา้ คณะช้นั น้นั ๆ ทราบดว้ ย และ
ในกรณีท่ีไมม่ ีเจา้ คณะ ตอ้ งส่ังใหม้ ีการมอบงานในหนา้ ที่เจา้ คณะช้นั น้นั ๆ
แก่ผูร้ ักษาการแทนเจา้ คณะ จกั เรียนถวายเฉพาะการแต่งต้งั ผูร้ ักษาการ
แทนเจา้ คณะตาบลพอเป็นตวั อยา่ งดงั น้ี

50

ตวั อย่างคาสั่งแต่งต้งั ผู้รักษาการเจ้าคณะตาบล
คาสั่งเจ้าคณะอาเภอ............
ท่ี จอ.........../...................

เรื่อง แต่งต้งั ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะตาบล
อาศยั อานาจตามความในขอ้ ท่ี ๒๖ วรรค ๒ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั
ที่๒๓ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ จึงแต่งต้ังให้
พระ…………ฉาย า……..อา ยุ....... พรร ษ า…………วิ ทย ฐาน ะ …..วัด …
ตาบล………………ตาบล..............อาเภอ…………….จงั หวดั ……………...เป็ นผู้
รักษาการแทนเจา้ คณะตาบล………………อาเภอ..............จงั หวดั ............มีอานาจ
ตามความในขอ้ ที่ ๒๖ วรรค ๓ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่๒๓ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่า
ด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ หน้าท่ีทาการเลขานุการ ท้งั น้ี ต้งั แต่วันท่ี….
เดือน....... พุธศกั ราชศ ๒๕..

(พระ…………………..)
เจา้ คณะอาเภอ………..

หมายเหตุ.- การออกหนงั สือคาสงั่ ของพระสังฆาธิการทุกระดบั ช้นั วนั ท่ี ที่
ลงนามในคาสง่ั ใหเ้ ริ่มปฏบิ ตั ิงานตอ้ งไมต่ รงกนั ตวั อยา่ งดงั น้ี

- จึงแต่งต้งั ใหพ้ ระ..ฉายา................อาย.ุ .........พรรษา.................วิย
ฐานะ ..........วดั ...ตาบล.......อาเภอ.............จงั หวดั ต้งั แต่วนั ี่ ๗ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นตน้ ไป

- สงั่ ณ วนั ท่ี ๕ มกราคม ๒๕๕๖


Click to View FlipBook Version