หน้า : 1
หน้า :ก คำนำ การจัดทำรายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยจัดที่กศน.ตำบลคันธารราษฎร์เพื่อเป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่นักศึกษาที่ลงทะเบียนวิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และยกระดับผลการสอบกลางภาคเรียน และปลายภาคเรียนให้สูงขึ้น ผลการ ดำเนินการจัดกิจกรรมโครงการฯ มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 17 คน ได้รับประโยชน์ และสามารถนำไปปรับ ใช้ในการเรียนของนักศึกษา การแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดีในการจัดโครงการครั้งนี้มีความพึงพอใจร้อยละ 88.54 ( ระดับดีมาก ๔.44 ) หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประจำปี การศึกษา ๒๕๖6 เล่มนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางในการดำเนินกิจกรรมในโครงการต่อๆ ไป กศน.ตำบลคันธารราษฎร์ 21 สิงหาคม ๒๕๖6
หน้า :ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทที่ ๑ บทนำ ๑ บทที่ ๒ เอกสารที่เกี่ยวข้อง ๓ บทที่ ๓ วิธีดำเนินการ 14 บทที่ ๔ ผลการดำเนินการ 16 บทที่ ๕ สรุปผลและข้อเสนอแนะ 20 ภาคผนวก 21 - คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น - โครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น - รายชื่อนักศึกษาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ - แบบประเมินโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น - ภาพกิจกรรม คณะผู้จัดทำ 23
หน้า : ๑ บทที่ ๑ บทนำ ความเป็นมา ด้วยกระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงความสำคัญยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนา และเสริมสร้าง ศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการพัฒนาศักยภาพคนตลอด ช่วงชีวิต การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์การพัฒนาเด็กตั้งแต่ช่วงการ ตั้งครรภ์จนถึงปฐมวัย การพัฒนาช่วงวัยเรียน/วัยรุ่น การพัฒนาและยกระดับศักยภาพวัยแรงงาน รวมถึงการ ส่งเสริมศักยภาพวัยผู้สูงอายุ ประเด็นการพัฒนาการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และ พหุปัญญาของมนุษย์ที่หลากหลาย และประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง กระทรวงศึกษาธิการมุ่งมั่นดำเนินการภารกิจหลัก ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561 – 2580) ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนทุกแผน ย่อยในประเด็น 12 การพัฒนาการเรียนรู้ และแผนย่อยที่ 3 ในประเด็น 11 ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต รวมทั้ง แผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการศึกษา และนโยบายรัฐบาลทั้งในส่วนนโยบายหลักด้านการปฏิรูปกระบวนการ เรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต และนโยบายเร่งด่วน เรื่องการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้ยังสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นอื่น ๆ แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคง แห่งชาติ (พ.ศ. 2562 – 2565) รวมทั้งนโยบายและแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคาดหวังว่าการพัฒนาศักยภาพ คนตลอดช่วงชีวิต จะได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ให้เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ และมีความพร้อมร่วมขับเคลื่อนการ พัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในการเร่งรัดการทำงานภาพรวมกระทรวงให้เกิดผลสัมฤทธิ์เพื่อสร้าง ความเชื่อมั่นให้กับสังคม และผลักดันให้การจัดการศึกษามีคุณภาพและประสิทธิภาพ จึงกำหนดนโยบายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2566 จึงได้จัดทำเอกสารวิชาศิลปศึกษา ระดับ ม.ต้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้ให้กับนักศึกษา และเป็นการยกระดับผลสัมฤทธิ์การสอบกลางภาคเรียน / ปลายภาคเรียนให้สูงขึ้น ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ อำเภอกันทรวิชัย จึงได้จัดทำ “โครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น” ขึ้น วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถทางด้านวิชาการเพิ่มขึ้น 2. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของผู้เรียนให้สูงขึ้น เป้าหมาย เชิงปริมาณ นักศึกษาการศึกษานอกระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน กศน.ตำบลคันธารราษฎร์ ที่ลงทะเบียน ในรายวิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 17 คน เชิงคุณภาพ นักศึกษา สกร.ร้อยละ ๘๐ ที่เข้าร่วมโครงการฯ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น วัตถุประสงค์ของการรายงาน ๑. เพื่อรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการต่อศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอกันทรวิชัย ๒. เพื่อทราบผลการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรค ๓. เพื่อทราบผลสัมฤทธิ์ด้านศิลปศึกษาของนักศึกษา
หน้า : ๒ ขอบเขตการรายงาน ๑. รายงานผลการจัดโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๒. ข้อเสนอแนะในการดำเนินงานโครงการ วิธีการดำเนินการ ๑. วางแผนการจัดทำรายงาน ๒. เก็บรวบรวมข้อมูลประกอบในการจัดทำรายงานเป็นข้อมูลที่ได้จาก - การอบรมนักศึกษาการศึกษาพื้นฐาน กศน.ตำบลคันธารราษฎร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ - การประเมินผลการอบรม ๓. เขียนรายงาน ๔. ปรับปรุงให้สมบูรณ์ แหล่งข้อมูล ๑. หนังสือสื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ๒. ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ๓. ครู ๔. สถานที่ ๕. เจ้าหน้าที่คณะผู้ดำเนินงานโครงการ ผลที่คาดว่าจะได้รับ ๑. นำผลการรายงานมาใช้ปรับปรุงการดำเนินการในครั้งต่อไป ๒. นักศึกษามีความรู้เข้าใจเนื้อหาวิชาศิลปศึกษาได้อย่างถูกต้อง ๓. นักศึกษาได้มีทักษะในการดำรงชีวิต ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ๔. นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาศิลปศึกษาสูงขึ้น
หน้า : ๓ บทที่ ๒ เอกสารที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖6 ได้จัดทำเอกสารพัฒนาผู้เรียนวิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อศึกษาแนวทางการทำ แบบทดสอบวิชาศิลปศึกษา ดังนี้ ทัศนศิลป์ เรื่องที่ 1 จุด เสน สี แสงเงา รูปร่าง รูปทรง จุด ……………………………………… คือ องคประกอบที่เล็กที่สุด จุดเป็นสิ่งที่สามารถบอกตําแหนง และ ทิศทางโดยการนําจุดมาเรียงตอกันให เป็นเสน การรวมกันของจุดจะเกิดน้ำหนักที่ใหปริมาตรแกรูปทรง เป็นตน เสน หมายถึง จุดหลายๆจุดที่เรียงชิดติดกันเป็นแนวยาว โดยการลากเสนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ในทิศทางที่แตกตางกัน จะเปนทิศมุม 45 องศา 90 องศา 180 องศาหรือมุมใดๆ การสลับทิศทางของเสนที่ลาก ทําใหเกิดเปน ลักษณะตาง ๆ ในทางศิลปะเสนมีหลายชนิดดวยกันโดยจําแนกออกไดเป็นลักษณะใหญๆ คือ เสนตั้ง เสนนอน เสนเฉียง เสนโคง เสนหยัก เสนซิกแซก 2 เสน เปนองคประกอบพื้นฐานที่สําคัญในการสรางสรรค เสนสามารถแสดงใหเกิดความหมายของภาพ และใหความรูสึกไดตามลักษณะของเสน เสนที่เปนพื้นฐาน ไดแก เสนตรงและเสนโคง ความรูสึกที่มีตอเสน จากเสนตรงและเสนโคงสามารถนํามาสรางใหเกิดเปน เสนใหม ๆ ที่ให ความรูสึกที่แตกตางกันออกไป ไดดังนี้ เสนตั้ง ใหความรูสึกแข็งแรง สูงเดน สงางาม นาเกรงขาม เสนนอน ใหความรูสึกสงบราบเรียบ กวางขวาง การพักผอน หยุดนิ่ง เสนแนวเฉียง ใหความรูสึกไมปลอดภัย ไมมั่นคง ไมหยุดนิ่ง เสนตัดกัน ใหความรูสึกประสานกัน แข็งแรง เสนโคง ใหความรูสึกออนโยน นุมนวล เสนคด ใหความรูสึกเคลื่อนไหวไหลเลื่อน ราเริง ตอเนื่อง เสนคด ใหความรูสึกเคลื่อนไหวไหลเลื่อน ราเริง ตอเนื่อง เสนขด ใหความรูสึกหมุนเวียนมึนงง เสนหยัก ใหความรูสึกขัดแยง นากลัว ตื่นเตน แปลกตา สี หมายถึง หลักวิชาในเรื่องของสีที่สามารถมองเห็นไดดวยตา และเมื่อสามรอยกวาปที่ผานมา ไอแซก นิวตัน ไดคนพบวา แสงสีขาวจาก ดวงอาทิตยเมื่อหักเห ผานแทงแกวสามเหลี่ยม ( prism) แสงสีขาวจะ กระจายออกเปนสีรุง เรียกวา สเปคตรัม มี 7 สี ไดแก มวง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง สม แดง และไดกําหนดให เปนทฤษฎีสีของแสง ความจริงสีรุงเปนปรากฏการณ ตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นและพบเห็น กันบอยๆ โดยเกิดจาก การหักเห ของแสงอาทิตยหรือ แสงสวาง เมื่อผานละอองน้ำในอากาศและกระทบตอ สายตาใหเห็นเปนสี มีผล ทางดานจิตวิทยา ทางดานอารมณ และความรูสึกการที่ไดเห็นสีจากสายตา สายตาจะสง ความรูสึกไปยังสมองทํา ใหเกิดความรูสึกตางๆ ตาม อิทธิพลของสี เชน สดชื่น เรารอน เยือกเย็น หรือตื่นเตน มนุษยเราเกี่ยวของกับสีตางๆ อยูตลอดเวลาเพราะ ทุกสิ่งที่อยูรอบตัวนั้น ลวนแตมีสีสันแตกตางกันมากมาย
หน้า : ๔ แมสีของนักฟสิกส หรือ(แมสีของแสง) (Spectrum Primaries) เปนสีที่เกิดจากการผสมกันของคลื่นแสง มี 3 สี คือ แมสีของนักเคมี (Pigmentary Primaries) คือ สีที่ใชในวงการอุตสาหกรรมและวงการศิลปะ หรือเรียก อีกอยางหนึ่งวา สีวัตถุธาตุ ที่เรากําลังศึกษาอยูในขณะนี้ โดยใชในการเขียนภาพเกี่ยวกับพาณิชยศิลป ภาพ โฆษณา ภาพประกอบเรื่องและภาพเขียน ของศิลปนตาง ๆ ประกอบดวย สีขั้นที่ 1 (Primary Color) คือ แมสีพื้นฐาน มี3 สี ไดแก 1. สีเหลือง (Yellow) 2. สีแดง (Red) 3. สีน้ำเงิน (Blue) สีขั้นที่ 2 (Secondary color) คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 หรือแมสีผสมกันในอัตราสวนที่เทากัน จะทําให เกิดสีใหม 3 สี ไดแก 1. สีสม (Orange) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีเหลือง (Yellow) 2. สีมวง (Violet) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีน้ำเงิน (Blue) 3. สีเขียว (Green) เกิดจาก สีเหลือง (Yellow) ผสมกับสีน้ำเงิน (Blue) สีขั้นที่ 3 (Intermediate Color) คือสีที่เกิดจากการผสมกันระหวางแมสีกับสีขั้นที่ 2 จะเกิดสีขั้นที่ 3 ขึ้นอีก 6 สี ไดแก 1. สีน้ำเงินมวง ( Violet-blue) เกิดจาก สีน้ำเงิน (Blue) ผสมสีมวง (Violet) 2. สีเขียวน้ำเงิน ( Blue-green) เกิดจาก สีน้ำเงิน (Blue) ผสมสีเขียว (Green) 3. สีเหลืองเขียว ( Green-yellow) เกิดจาก สีเหลือง(Yellow) ผสมกับสีเขียว (Green) 4. สีสมเหลือง ( Yellow-orange) เกิดจาก สีเหลือง (Yellow) ผสมกับสีสม (Orange) 5. สีแดงสม ( Orange-red) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีสม (Orange)
หน้า : ๕ 6. สีมวงแดง ( Red-violet) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีมวง (Violet) คุณลักษณะของสีมี 3 ประการ คือ 1. สีแท หรือความเปนสี (Hue ) หมายถึง สีที่อยูในวงจรสีธรรมชาติ ทั้ง 12 สี (ดูภาพสี 12 สีในวงจรสี ประกอบ) สี ที่เราเห็นอยูทุกวันนี้แบงเปน 2 วรรณะ โดยแบงวงจรสีออกเปน 2 สวน จากสีเหลืองวนไปถึงสีมวง คือ 1. สีวรรณะรอน (Warm Color) ใหความรูสึกรุนแรง รอน ตื่นเตน ประกอบดวย สีเหลือง สีเหลืองสม สีสม สีแดงสม สีแดง สีมวงแดง สีมวง 2. สีวรรณะเย็น (Cool Color) ใหความรูสึกเย็น สงบ สบายตาประกอบดวย สีเหลือง สีเขียว เหลือง สีเขียว สีน้ำเงินเขียว สีน้ําเงิน สีมวงน้ำเงิน สีมวง เราจะเห็นวา สีเหลือง และสีมวง เปนสีที่อยูได้ ทั้ง 2 วรรณะ คือสีกลางที่เปนไดทั้งสีรอน และสีเย็น 2. ความจัดของสี (Intensity) หมายถึง ความสด หรือความบริสุทธิ์ของสีใดสีหนึ่ง และสีที่ถูกผสมดวย สีดําจนหมนลง ความจัดหรือความบริสุทธิ์จะลดลงความจัดของสีจะเรียงลําดับจากจัดที่สุด ไปจนหมนที่สุด ได หลายลําดับ ดวยการคอยๆ เพิ่มปริมาณของสีดําที่ผสมเขาไปทีละนอยจนถึงลําดับที่ความจัดของสีมีนอยที่สุด คือ เกือบเปนสีดํา 3. น้ำหนักของสี (Values) หมายถึง สีที่สดใส (Brightness) สีกลาง (Grayness) สีทึบ(Darkness) ของ สีแตละสีสีทุกสีจะมีน้ำหนักในตัวเอง ถาเราผสมสีขาวเขาไปในสีใดสีหนึ่ง สีนั้นจะสวางขึ้น หรือมีน้ำหนักออนลง ถาเพิ่มสีขาวเขาไปทีละนอยๆ ตามลําดับ เราจะไดน้ําหนักของสีที่เรียงลําดับจากแกสุดไปจนถึงออนสุด น้ําหนักอ อนแกของสี เกิดจากการผสมดวยสีขาว เทา และ ดํา น้ำหนักของสีจะลดลงดวยการใชสีขาวผสม ( tint) ซึ่งจะทํา ใหเกิดความรูสึกนุมนวล ออนหวาน สบายตา น้ำหนักของสีจะเพิ่มขึ้นปานกลางดวยการใชสีเทา ผสม ( tone) ซึ่งจะทําใหความเขมของสีลดลง เกิดความรูสึก ที่สงบ ราบเรียบ และน้ำหนักของสีจะเพิ่มขึ้นมาก ขึ้นดวยการใช้ สีดําผสม ( shade) ซึ่งจะทําใหความเขมของสีลดความสดใสลง เกิดความรูสึกขรึม ลึกลับ น้ำหนัก ของสียัง หมายถึงการเรียงลําดับน้ำหนักของสีแทดวยกันเอง โดยเปรียบเทียบ น้ำหนักออนแกกับสีขาว – ดํา เราสามารถ เปรียบเทียบระหวางภาพสีกับภาพขาวดําไดอยางชัดเจนและเมื่อเรานําภาพสีที่เราเห็นวามีสีแดงอยูหลายคาตั้งแต ออน กลาง แก ไปถายเอกสารขาว-ดํา เมื่อนํามาดูจะพบวา สีแดงจะมีน้ำหนักออน แกตั้งแตขาว เทา ดํา นั่นเปน เพราะวาสีแดงมีน้ำหนักของสีแตกตางกันนั่นเอง สีตางๆ ที่เราสัมผัสดวยสายตาจะทําใหเกิดความรูสึกขึ้นภายในตอเรา ทันทีที่เรามองเห็นสีไมวาจะเปน การแตงกาย บานที่อยูอาศัย เครื่องใชตางๆ แลวเราจะ ทําอยางไร จึงจะใชสีไดอยางเหมาะสม และสอดคลองกับ
หน้า : ๖ หลักจิตวิทยา เราจะตองเขาใจวาสีใดใหความรูสึก ตอมนุษยอยางไร ซึ่งความรูสึกที่เกี่ยวกับสีสามารถจําแนก ออก ไดดังนี้ สีแดง ใหความรูสึกรอน รุนแรง กระตุน ทาทาย เคลื่อนไหว ตื่นเตน เราใจ มีพลัง ความอุดมสมบูรณ ความมั่งคั่ง ความรัก ความสําคัญ และอันตรายจะทําใหเกิดความอุดมสมบูรณเปนตน สีสม ใหความรูสึก รอน อบอุน สดใส มีชีวิตชีวาวัยรุน ความคึกคะนอง และการปลดปลอย สีเหลือง ให ความรูสึก แจมใส ราเริง เบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม ความสุกสวาง สีเขียว ใหความรูสึกงอกงาม สดชื่น สงบเงียบ รมรื่น รมเย็น การพักผอน การผอนคลายธรรมชาติ ความ ปลอดภัย ปกติความสุข ความสุขุม เยือกเย็น สีเขียวแก ใหความรูสึกเศราใจแกชรา สีน้ำเงิน ใหความรูสึกสงบ สุขุม สุภาพ หนักแนน เครงขรึม เอา การเอางาน ละเอียด รอบคอบ สงางาม มีศักดิ์ศรี สูงศักดิ์ เปนระเบียบถอมตน สีฟา ใหความรูสึก ปลอดโปรง โลงกวาง โปรงใส สะอาด ปลอดภัย ความสวาง ลมหายใจ ความเปน อิสรเสรีภาพ การชวยเหลือ สีคราม จะทําใหเกิดความรูสึกสงบ สีมวง ใหความรูสึก มีเสนห นาติดตาม เรนลับ ซอนเรน มีอํานาจ มีพลังแฝงอยูความรัก ความเศรา ความ ผิดหวัง ความสงบ ความสูงศักดิ์ สีน้ำตาล ใหความรูสึกเกา หนัก สงบเงียบ สีขาว ใหความรูสึกบริสุทธิ์ สะอาด ใหม สดใส สีดํา ใหความรูสึกหนัก หดหูเศราใจ ทึบตัน สีชมพู ใหความรูสึก อบอุน ออนโยน นุมนวล ออนหวาน ความรัก เอาใจใส วัยรุน หนุมสาว นารัก ความ สดใส สีไพล จะทําใหเกิดความรูสึกกระชุมกระชวย เปนหนุมสาว สีเทา ใหความรูสึก เศรา อาลัย ทอแท ความลึกลับ ความหดหูความชรา ความสงบ ความเงียบ สุภาพ สุขุม ถอมตน สีทอง ใหความรูสึก ความหรูหรา โออา มีราคา สูงคา สิ่งสําคัญ ความเจริญรุงเรืองความสุข ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย การแผกระจาย เรื่องที่ 2 ความหมายและความเป็นมาของทัศนศิลป์ไทย ความหมายและความเป็นมาของทัศนศิลป์ไทย ศิลปะประเภททัศนศิลป์ที่สำคัญของไทย ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ไทยที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและรสนิยมเกี่ยวกับ ความงามของคนไทย ลักษณะของศิลปะไทย ศิลปะไทยได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ความ งามอย่างนิ่มนวลมีความละเอียดประณีต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยและจิตใจของคนไทยที่ได้สอดแทรกไว้ใน ผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้น โดยเฉพาะศิลปกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของไทย อาจ กล่าวได้ว่าศิลปะไทยสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมพุทธศาสนา เป็นการเชื่อมโยงและโน้มน้าวจิตใจของประชาชนให้เกิด ความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา
หน้า : ๗ จิตรกรรมไทย จิตรกรรมไทย เป็นการสร้างสรรค์ภาพเขียนที่มีลักษณะโดยทั่วไปมักจะเป็น 2 มิติ ไม่มีแสงและ เงา สีพื้นจะเป็นสีเรียบๆ ไม่ฉูดฉาดสีที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ สีน้ำตาล สีเขียว เส้นที่ใช้มักจะเป็นเส้นโค้ง ช่วยให้ภาพดูอ่อนช้อย นุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง จิตรกรรมไทยมักพบในวัดต่างๆเรียกว่า “จิตรกรรมฝาผนัง” จิตรกรรมไทย จัดเป็นภาพเล่าเรื่องที่เขียนขึ้นด้วยความคิดจินตนาการของคนไทย มีลักษณะตามอุดม คติของช่างไทย คือ 1. เขียนสีแบน ไม่คำนึงถึงแสงและเงา นิยมตัดเส้นให้เห็นชัดเจน และเส้นที่ใช้ จะแสดงความรู้สึก เคลื่อนไหวนุ่มนวล 2. เขียนตัวพระ-นาง เป็นแบบละคร มีลีลา ท่าทางเหมือนกัน ผิดแผกแตกต่าง กันด้วยสีร่างกายและ เครื่องประดับ 3. เขียนแบบตานกมอง หรือเป็นภาพต่ำกว่าสายตา โดยมุมมองจากที่สูงลงสู่ ล่าง จะเห็นเป็นรูป เรื่องราวได้ตลอดภาพ 4. เขียนติดต่อกันเป็นตอน ๆ สามารถดูจากซ้ายไปขวาหรือล่างและบนได้ทั่วภาพ โดยขั้นแต่ละตอน ของภาพด้วยโขดหิน ต้นไม้ กำแพงเมือง เป็นต้น 5. เขียนประดับตกแต่งด้วยลวดลายไทย มีสีทองสร้างภาพให้เด่นเกิดบรรยากาศ สุขสว่างและมีคุณค่า มากขึ้น ประติมากรรมไทย ประติมากรรมเป็นผลงานศิลปกรรมที่เป็นรูปทรง 3 มิติ ประกอบจากความสูง ความกว้างและความนูน หรือความลึก ประติมากรรมเกิดขึ้นจากกรรมวิธีการสร้างสรรค์แบบต่างๆ เช่น การปั้นและหล่อ การแกะสลัก การ ฉลุหรือดุน ประติมากรรมไทยเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของบรรพบุรุษ ส่วนใหญ่เน้นเนื้อหาทางศาสนา มักปรากฏ อยู่ตามวัดและวัง มีขนาดตั้งแต่เล็กที่สุด เช่น พระเครื่อง เครื่องรางของขลัง จนถึงขนาดใหญ่ที่สุด เช่น พระอัจนะ หรือพระอัฏฐารส เมื่อพิจารณาภาพรวมของประติมากรรมไทยอาจแบ่งประติมากรรมออกเป็น 3 ประเภทคือ ประติมากรรมรูปเคารพ ประติมากรรมตกแต่ง และประติมากรรมเพื่อประโยชน์ใช้สอย ผลงานประติมากรรมไทย แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท สรุปได้ ดังนี้ 1. ประติมากรรมไทยที่เกิดขึ้นจากความเชื่อ ความศรัทธา คตินิยมเกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น พระพุทธรูปปางต่างๆ ลวดลายของฐานเจดีย์หรือพระปรางค์ต่างๆ 2. ประติมากรรมไทยพวกเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น โอ่ง หม้อ ไห ครก กระถาง 3. ประติมากรรมไทยพวกของเล่น ได้แก่ ตุ๊กตาดินปั้น ตุ๊กตาจากกระดาษ ตุ๊กตาจากผ้า หุ่นกระบอก ปลาตะเพียนสานใบลาน หน้ากาก วัสดุจากเปลือกหอย ชฎาหัวโขน ปลาตะเพียนสาน ใบลาน 4. ประติมากรรมไทยพวกเครื่องประดับตกแต่ง เช่น กระถางต้นไม้ โคมไฟดินเผา สถาปัตยกรรมไทย สถาปัตยกรรมไทย หมายถึง ศิลปะการก่อสร้างของไทย อันได้แก่ อาคาร บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร วัง สถูป และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่มีมูลเหตุที่มาของการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในแต่ละท้องถิ่น จะมีลักษณะผิดแผก แตกต่างกันไปบ้างตามสภาพทางภูมิศาสตร์ และคตินิยมของแต่ละท้องถิ่น แต่สิ่งก่อสร้างทางศาสนาพุทธ มักจะมี ลักษณะที่ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะมีความเชื่อ ความศรัทธาและแบบแผนพิธีกรรมที่เหมือน ๆ กัน สถาปัตยกรรมไทย สามารถจัดหมวดหมู่ ตามลักษณะการใช้งานได้ ประเภท คือ
หน้า : ๘ 1. สถาปัตยกรรมที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านเรือน ตำหนัก วังและพระราชวัง เป็นต้น บ้านหรือ เรือนเป็นที่อยู่อาศัยของสามัญชน ธรรมดาทั่วไป ซึ่งมีทั้งเรือนไม้ และเรือนปูน เรือนไม้มีอยู่ 2 ชนิด คือ เรือนเครื่องผูก เป็นเรือนไม้ไผ่ ปูด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วย ใบจาก หญ้าคา หรือใบไม้ อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า เรือนเครื่องสับ เป็นไม้จริงทั้งเนื้ออ่อน และเนื้อแข็ง ตามแต่ละท้องถิ่น หลังคามุง ด้วยกระเบื้อง ดินเผา พื้นและฝา เป็นไม้จริงทั้งหมด ลักษณะเรือน ไม้ของไทยในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน และโดยทั่วไปแล้วจะมี ลักษณะสำคัญ ร่วมกันคือ เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่วเอียงลาดชัน 2. สถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณสงฆ์ ที่เรียกว่า วัด ซึ่งประกอบไปด้วย สถาปัตยกรรมหลายอย่าง ได้แก่ โบสถ์ เป็นที่กระทำสังฆกรรมของพระภิกษุ วิหารใช้ประดิษฐาน พระพุทธรูป สำคัญ และกระทำสังฆกรรมด้วยเหมือนกัน กุฎิ เป็นที่ อยู่ของพระภิกษุ สามเณร หอไตร เป็นที่เก็บรักษา พระไตรปิฎกและคัมภีร์สำคัญทางศาสนา หอระฆังและหอกลอง เป็นที่ใช้เก็บระฆังหรือกลองเพื่อตีบอกโมงยาม หรือเรียกชุมนุมชาวบ้าน สถูปเป็นที่ฝังศพเจดีย์เป็นที่ระลึกอันเกี่ยว เนื่องกับศาสนา ดนตรีไทย เครื่องดนตรีไทยเกิดจากชนชาติไทยเองและการเลียนแบบชนชาติอื่นๆ ที่อยุ่ใกล้ชิดโดยเริ่มตั้งแต่สมัย โบราณที่ไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาจักรฉ่องหวู่ดินแดนของประเทศจีนในปัจจุบัน ทำให้เครื่องดนตรีไทยและจีน มีการแลกเปลี่ยนเลียนแบบกัน นอกจากนี่ยังมีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิด ที่ชนชาติไทยประดิษฐ์ขึ้นใช้ก่อนที่จะมา พบวัฒธรรมอินเดีย ซึ่งแพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของแหลมอินโดจีน สำหรับชื่อเครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทยจะเรียน ตามคำโดดในภาษาไทย เช่น เกราะ โกร่ง กรับ ฉิ่ง ฉาบ ขลุ่ย พิณเปี๊ยะ ซอ ฆ้องและกลอง ต่อมาได้มีการประดิษฐ์ เครื่องดนตรีให้พัฒนาขึ้น โดยนำไม้ที่ทำเหมือนกรับหลายอันมาวางเรียงกันได้เครื่องดนตรีใหม่ เรียกว่าระนาดหรือ นำฆ้องหลาย ๆ ใบมาทำเป็นวงเรียกว่า ฆ้องวง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมทางดนตรีของอินเดีย มอญ เขมร ในแหลมอินโดจีนที่ไทยได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ ได้แก่ พิณ สังข์ ปี่ไฉน บัณเฑาะว์กระจับปี่ จะเข้ โทน(ทับ) เป็นต้น ต่อมาเมื่อมีความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ไทยได้นำบทเพลงและเครื่องดนตรีบางอย่างของ ประเทศเพื่อนบ้านมาบรรเลงในวงดนตรีไทย เช่น กลองแขกของชวา กลองมลายูของมลายู เปิงมางของมอญ และ กลองยาวของไทยใหญ่ที่พม่านำมาใช้ รวมทั้งขิม ม้าล่อ และกลองจีน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของจีน เป็นต้น ต่อมาไทย มีความสัมพันธ์ชาวกับตะวันตกและอเมริกา ก็ได้นำกลองฝรั่ง เช่นกลองอเมริกัน และเครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น ไวโอลีน ออร์แกน มาใช้บรรเลงในวงดนตรีของไทย จากประวัติเครื่องดนตรีไทยดังกล่าว สามารถแบ่งประวัติศาสตร์ของเครื่องดนตรีไทยได้เป็น 4 สมัย ดังนี้ สมัยสุโขทัย ชาวไทยมีความสนุกสนานกับการเล่นดนครีและร้องเพลงกันมากดังที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกพ่อขุน รามคำแหงหลักที่ 1 ว่า 'ดบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมัก หัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน' ซึ่งแลดงถึงการบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทตี เป่า ดีด และสี คือ กลอง ปี่ พิณ และ เครื่องดนตรีทีมีสายไว้สีได้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานของล้านนาไทยที่มีศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยกันในหลักศิลาจารึก ในวัดพระยืน จังหวัดลำพูน ที่จารึกไว้ว่า 'ให้ถือกระทงข้างตอกดอกไม้ไต้เทียน ตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลอง ปี่สรไนพิส เนญชัยทะเทียดกาหลแตรสังมาลย์กังสดาล มรทงค์ดงเดือด เสียงเลิศเสียงก้อง อีกทั้งคนร้องโห่อื้อดาสรท้านทั่งทั้ง นครหริภุญชัย แล' ซึ่งแสดงถึงเครื่องดนตรีบรรเลงในวงดนตรี และประชาชนนำมาเล่นเพื่อความสนุกสนาน ครึกครื้นกัน ดังนั้นจึงสามารถกล่าวถึงเครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยได้จากวงดนตรีไทยในสมัยนั้น ได้แก่ วงแตร สังข์ ที่ใช้บรรเลงในพระราชพิธีต่าง ๆ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีแตรฝรั่ง แตรงอน ปี่ไฉนแก้ว กลองชนะ บัณเฑาะว์
หน้า : ๙ และมโหระทึก วงปี่พาทย์เครื่องห้าประกอบด้วย ปี่ใน ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด และฉิ่ง นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรี เช่น พิณ และซอสามสาย อยู่ในสมัยนั้นอีกด้วย สมัยอยุธยา เป็นช่วงที่บ้านเมืองมีศึกสงครามอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ดนตรีไทยไม่เจริญก้าวหน้ามากนัก ยังคงมีเครื่อง ดนตรีในวงปี่พาทย์ เครื่องห้าเท่าเดิม จนมาเพิ่มระนาดเอกภายหลังในตอนปลายสมัยอยุธยา ส่วนวงดนตรีที่เกิดขึ้น ในสมัยนั้น ได้แก่ วงมโหรี ที่บรรเลงโดยผู้หญิง เพื่อขับกล่อมถวายแด่พระมหากษัตริย์ ประกอบด้วยเครื่องดนตรี กระจับปี่ ซอสามสาย โทน(ทับ) กรับ รำมะนา ขลุ่ยและฉิ่ง แต่ต่อมาได้นำจะเข้ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของมอญมา ประสมแทนกระจับปี่ เพื่อให้ทำนองได้ละเอียดลออและไพเราะกว่า และวงเครื่องสาย ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ย โทน(ทับ) และฉิ่ง สมัยธนบุรี มีวงดนตรี 3 ประเภท เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา คือ วงปี่พาทย์ วงมโหรี และวงเครื่องสาย แต่มีเครื่องดนตรี ของชาติต่างๆ เข้ามาในประเทศไทยหลายชนิด ดังปรากฏในหมายกำหนดการของพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นว่า “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิณพาทย์ไทย พิณพาทย์รามัญ มโหรีไทย ฝรั่ง มโหรีญวน เขมร ผลัดเปลี่ยนกัน สมโภช 2 เดือนกับ 12 วัน” ในงานสมโภชพระแก้วมรกตเป็นต้น เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 15 ปี และประกอบกับเป็นสมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง และ การป้องกันประเทศเสียโดยมาก วงดนตรีไทยในสมัยนี้จึงไม่ปรากฏหลักฐานไว้ว่า ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้น สันนิษฐานว่า ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง สมัยรัตนโกสินทร์ คณะละครและวงปี่พาทย์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์มีความก้าวหน้าทางดนตรีมาก เริ่มจากสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เพิ่ม กลองทัดขึ้นในวงปี่พาทย์เป็น 2 ลูก และเพิ่มระนาดในวงมโหรีปี่พาทย์อีก 1 ราง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 เริ่มมี ปี่พาทย์บรรเลงประกอบเสภา จึงได้นำเปิงมางมาติดข้างสุกถ่วงเสียงให้ต่ำลง เรียกว่าสองหน้า ใช้ประกอบการ บรรเลงประกอบเสภา และได้เพิ่มฆ้องวงในวงมโหรีด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีผู้สร้างระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็ก ขึ้นมา ทำให้เกิดวงปี่พาทย์เครื่องคู่ขึ้นในสมัยนั้น ซึ่งประกอบด้วยเครื่องดนตรีระนาดทีเปลี่ยนชื่อเป็นระนาดเอก เพื่อให้เข้าคู่กับระนาดแบบใหม่ ที่เพิ่มราง 1 ราง และสร้างขนาดใหญ่เรียกว่า ระนาดทุ้ม และฆ้องวงใหญ่ เพื่อให้ เข้าคู่กับฆ้องวงเล็กที่สร้าง ขนาดเล็กลงเรียกว่า ฆ้องวงเล็ก นอกจากนี่ยังมีการนำปี่นอกเข้ามาผสมเข้าคู่กับปี่ใน และเครื่องดนตรีเดิม คือ ตะโพน กลองทัดและฉิ่งเช่นเดิม รวมทั้งมีวงมโหรีเครื่องคู่เกิดขึ้น โดยมีการนำระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก และขลุ่ยหลีบ ให้เข้าคู่กับเครื่องดนตรีที่มีอยู่เดิม ในสมัยรัชกาลที่ 4 วงปี่พาทย์มีความเจริญมาก โดย เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ ต่างก็มีวงปี่พาทย์ประจำบ้านกัน และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรง พระราชดำริให้นำลวดเหล็กเล็ก ๆ ที่ทอดพระเนตรจากนาฬิกาตั้งโต๊ะที่กลไกข้างในมีลวดเส้น เล็ก ๆ สั้นบ้างยาว บ้าง ปักเรียงกันถี่ ๆ เป็นวงกลมคล้ายหวีตรงกลางมีแกนหมุนและเหล็กเขี่ยเส้นลวดเหล็กเหล่านั้นผ่านไปโดยรอบที่ พระองค์ทรงเรียกว่า นาฬิกาเขี่ยหวี ซึ่งมีเสียงดังกังวานมาสร้าง เป็นระนาดทุ้มเหล็ก และระนาดเหล็กที่เล็กกว่า และมีเสียงสูงกว่า มาเพิ่มเข้าในวงปี่พาทย์ และเรียกวงปี่พาทย์นี้ว่า วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม เครื่องดนตรี ระนาดทุ้มเหล็กและระนาดเอกเหล็กที่ทำด้วยทองเหลืองเรียกว่า ระนาดทอง และนำซอด้วงและซออู้ มาผสมในวงมโหรีด้วยเรียกว่า มโหรีเครื่องใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ที่สมเด็จพระเจ้า
หน้า : ๑๐ บรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงปรับปรุงขึ้นเพื่อบรรเลงประกอบละครวงปี่พาทย์นี้มี ชื่อเสียงไพเราะนุ่มนวลกว่า เพราะได้ดัดเครื่องดนตรีที่มีเสียงดังมาก เสียงสูงและเสียงเล็กแหลมออกจนหมด และ ระนาดเอกก็ตีด้วยไม้นวม รวมทั้งยังนำฆ้องชัยหรือฆ้องหุ่ยมา 7 ลูก เทียบเสียงเรียงลำดับตีห่างๆ คล้ายกับ เบส ของฝรั่ง เพิ่มเข้ามา ในสมัยรัชกาลที่ 6 การดนตรีมีความเจริญขึ้นมาก โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงตั้งกรมมหรสพ กรมบัญชาการ กรมโขนหลวง กรมพิณพาทย์หลวงกลองเครื่องสายฝรั่งหลวง และ กรมช่างมหาดเล็ก สำหรับสร้างและซ่อมสิ่งที่เป็นศิลปะต่าง ๆ และพระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องปี่พาทย์ ประดับมุกและประดับงาขึ้น 2 ชุด ประดับเป็นลวดลายวิจิตร มีอักษรพระปรมาภิไธย ม.ว. ซึ่งงดงามมีค่ายิ่ง ใน สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งวงเครื่องสาย ส่วนพระองค์ขึ้น โดยพระองค์ทรงซอ ด้วง และพระบรมราชินีทรงซออู้ พร้อมทั้งเจ้านายอีกหลายพระองค์ อยู่ในวงนั้น นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพระ ราชนิพนธ์ เพลงราตรีประดับดาว เถา เพลงเขมรละออองค์ เถา และเพลงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น ต่อมาเมื่อหลังการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 การดนตรีไทยได้ค่อย ๆ เสื่อมลง จนมาถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปแล้ว จึงได้มีการฟื้นฟูดนตรีไทยขึ้นใหม่ จนมาถึงปัจจุบันนี้ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระ ปรีชาสามารถทางดนตรีสากล และพระราชนิพนธ์เพลงขึ้นหลายเพลงด้วย แต่พระองค์ยังทรงสนพระทัยการดนตรี ไทย โดยพระราชทานทุน ให้พิมพ์เพลงไทยเป็นโน้ตสากลออกจำหน่ายจนเป็นที่นิยมของวงการดนตรีทั่วไป คุณคาความงามความไพเราะของเพลงและเครื่องดนตรีไทย ประวัติคุณค่าภูมิปัญญาทางดนตรีไทย ภูมิปัญญาไทย มีคุณค่า และความสำคัญอย่างไร 1. ภูมิปัญญาไทยแสดงให้เห็นถึงการอนุรักษ์ที่ดีงาม ทั้งจารีตประเพณี วัฒนธรรม และการประดิษฐ์คิดค้น เพื่อใช้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างมีคุณค่า 2. ภูมิปัญญาไทยก่อให้เกิดการคิดริเริ่มสร้างสรรค์คุณค่าทางสังคมใหม่ ทั้งในสิ่งที่เป็น รูปธรรม และ นามธรรม 3. ภูมิปัญญาไทยก่อให้เกิดการผลิตภัณฑ์ การแปรรูป และการสร้างอาชีพใหม่ ทั้ง ค้านการผลิตสิ่งใหม่ และวิธีการผลิตสิ่งใหม่ ๆ 4. ภูมิปัญญาไทยก่อให้เกิดเอกลักษณ์ของห้องถิ่น 5. ภูมิปัญญาไทยก่อให้เกิดศิลปะของชาติ เซ่น จิตรกรรมลายไทย การฟ้อนรำ เครื่อง ดนตรีไทย แสดงถึง ความเป็นอารยธรรมของชาติ 6. ภูมิปัญญาไทยไค้เสริมสร้างความสงบสุขในการดำรงชีวิต 7. ภูมิปัญญาไทยสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และคุณค่าทางสังคมไค้ 8. ช่วยสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ 9. เสริมสร้างให้คนไทยเกิดความภาคภูมิใจในคักดศรี และเกียรติภูมิในความเป็นไทย 10. สามารถนำไปลู่การเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงวิถีชีวิตให้เกิดการเหมาะสมไค้ตามยุคตามสมัย บุคคลและภูมิปัญญาทางดนตรีไทยที่สำคัญ มีใครบ้าง บุคคล และภูมิปัญญาทางดนตรีไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีจำนวนมาก อาทิเซ่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงพระราชนิพนธ์เพลง บุหสันลอยเลื่อน หรือบุห สันลอยฟ้า ครูมนตรี ตราโมท เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2443 จังหวัดสุพรรณบุรี ไค้แต่งเพลงต้อยติ่ง 3 ชั้น และมีความสามารถในการตีขิมอย่างยิ่ง
หน้า : ๑๑ พระยาประสานดุรียศัพท์ (แปลก ประลานศัพท์) เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2403 ไค้เป็นเจ้ากรมปี พาทย์หลวงในสมัยรัชกาลที่ 6 และไค้แต่งเพลงเชิดจั่น 3 ชั้น พม่าหัว ท่อน เขมรราชบุรี เขมรปากท่อ เขมรใหญ่ ดอนสมอ ทองย่อน เทพรัญจวน แมลงภู่ทอง สานไมใน อาถรรพ์ พราหมณ์เข้าโบสถ์ ธรณีร้องไห้ มอญร้องไห้ เป็น ต้น มีความสามารถ ในทางดนตรีอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องขลุ่ย ครูบุญยงค์ เกตุคง ได้เป็นหัวหน้าวงดนตรีไทยกรุงเทพมหานครจนเกษียณอายุ เป็น ผู้มีความเชี่ยวชาญ ในทางดนตรีอย่างยิ่ง บรรเลงปีพาทยได้ทุกชนิด โดยเฉพาะระนาดเอกซึ่ง ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษได้แต่งเพลงไว้ จำนวนมาก เซ่น โหมโรงแว่นเทียนชัย โหมโรง จุฬามณี โหมโรงสามสถาบัน เพลงเทพชาตรี เถา เพลงสร้อยลำปาง เถา เพลงวัฒนา เวียตนาม เถา เพลงซเวดากอง เถา เพลงสยาม'านุสสติ เถา เพลงนกกระจอกทอง เถา เพลงขอม กล่อมลูก เถา เพลงเดือนหงายกลางป่า เถา และเพลงตระนาฏราช พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไซยมหินทโรดม ประสูติเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2425 ได้ ทรงแต่งเพลง “ลาวดวงเดือน” ครูทองดี สุจริตกุล เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 จังหวัดราชบุรี มีความลามารถโดดเด่นใน การเล่นจะเข้ เคยเดี่ยวจะเข้ถวายหน้าพระที่นั่ง และเคยอัด แผ่นเลียงพระราชนิพนธ์ในพระบาทลมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2498 เริ่มเป็นครู ลอนในวิทยาลัยนาฏศิลป็ กรมศิลปากร ทำหน้าที่ลอนจะเข้ได้รับการยก ย่องเชิดชูเกียรติ เป็นผู้มีผลงานดืเด่นทางวัฒนธรรมลาชาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปี พ.ศ. 2538 หลวงประดิษฐ์ไพเพราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้แต่งเพลงไว้เป็นจำนวนร้อย ๆ เพลง และมีชนิดที่ทำ แนวทางบรรเลงเปลี่ยนไปจากของเก่า เรียกว่า “ทางเปลี่ยน” และเป็นผู้ ประดิษฐ์เครื่องดนตรี“อังกะลุง” นาฎศิลป์ไทย ประวัตินาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ เป็นศิลปะแห่งการละคร ฟ้อนรำ และดนตรีอันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรือนาฎยะ กำหนดว่า ต้องประกอบไปด้วย ศิลปะ 3 ประการ คือ การฟ้อนรำ การดนตรีและการขับร้อง รวมเข้า ด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้เป็นอุปนิสัยของคนมาแต่ดึกดำบรรพ์ นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดขึ้นจากสาเหตุตาม แนวคิดต่าง ๆ เช่น เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ไม่ว่าจะอารมณ์แห่งความสุข หรือความทุกข์ แล้วสะท้อนออกมาเป็นท่าทาง แบบธรรมชาติและประดิษฐ์ขึ้นเป็นท่าทางลีลาการฟ้อนรำ หรือเกิดจากลัทธิความ เชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรำ ขับร้อง ฟ้อนรำให้เกิดความ พึงพอใจ เป็นต้น นอกจากนี้ นาฏศิลป์ไทย ยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น วัฒนธรรมอินเดียเกี่ยวกับวัฒนกรรมที่เป็นเรื่องของเทพเจ้า และตำนานการฟ้อนรำ โดยผ่านเข้าสู่ประเทศ ไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ ผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์ ของไทย เช่น ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราช ที่สร้างเป็นท่าการร่ายรำของ พระอิศวร ซึ่งมีทั้งหมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครั้งแรกในโลก ณ ตำบลจิทรัมพรัม เมืองมัทราส อินเดีย ใต้ ปัจจุบันอยู่ในรัฐทมิฬนาดู นับเป็นคัมภีร์สำหรับการฟ้อนรำ แต่งโดยพระภรตมุนีเรียกว่า คัมภีร์ภรตนาฏย ศาสตร์ ถือเป็นอิทธิพลสำคัญต่อแบบแผนการสืบสาน และการถ่ายทอดนาฏศิลป์ของไทยจนเกิดขึ้นเป็น เอกลักษณ์ของตนเองที่มีรูปแบบ แบบแผนการเรียน การฝึกหัด จารีต ขนบธรรมเนียม มาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐานว่า อารยธรรมทางศิลปะด้าน นาฎศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตามประวัติการสร้างเทวาลัยศิวะนาฎ ราชที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1800 ซึ่งไทยเริ่มก่อตั้งกรุงสุโขทัย ดังนั้นรำไทยที่ดัดแปลงมาจากอินเดียในครั้งแรกจึง เป็นความคิดของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และมีการแก้ไข ปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ จนนำมาสู่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จนนำมาสู่การประดิษฐ์ท่าทางร่ายรำและ
หน้า : ๑๒ ละครไทยมาจนถึงปัจจุบัน ประเภทของนาฏศิลป์ไทย นาฎศิลป์ คือ การร่ายรำที่มนุษย์ได้ปรุงแต่งจากลีลาตามธรรมชาติให้สวยสดงดงาม โดยมีดนตรีเป็น องค์ประกอบในการร่ายรำ นาฏศิลป์ของไทย แบ่งออกตามลักษณะของรูปแบบการแสดงเป็นประเภทใหญ่ๆ 4 ประเภท คือ 1. โขน เป็นการแสดงนาฎศิลป์ชั้นสูงของไทยที่มีเอกลักษณ์ คือ ผู้แสดงจะต้องสวมหัวที่เรียกว่า หัวโขน และใช้ลีลาท่าทางการแสดงด้วยการเต้นไปตามบทพากย์ การเจรจาของผู้พากย์และตามทำนองเพลงหน้าพาทย์ที่ บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ เรื่องที่นิยมนำมาแสดง คือ พระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ แต่งการเลียนแบบ เครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ที่เป็นเครื่องต้น เรียกว่าการแต่งกายแบบ “ยืนเครื่อง” มีจารีตขั้นตอนการแสดงที่ เป็นแบบแผน นิยมจัดแสดงเฉพาะพิธีสำคัญได้แก่ งานพระราชพิธีต่าง ๆ 2. ละคร เป็นศิลปะการร่ายรำที่เล่นเป็นเรื่องราว มีพัฒนาการมาจากการเล่านิทาน ละครมีเอกลักษณ์ ในการแสดงและการดำเนินเรื่องด้วยกระบวนลีลาท่ารำ เข้าบทร้อง ทำนองเพลงและเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลง ด้วยวงปี่พาทย์มีแบบแผนการเล่นที่เป็นทั้งของชาวบ้านและของหลวงที่เรียกว่า ละครโนราชาตรีละคร นอก ละครใน เรื่องที่นิยมนำมาแสดงคือ พระสุธน สังข์ทอง คาวีอิเหนา อุณรุท นอกจากนี้ยังมีละครที่ ปรับปรุงขึ้นใหม่อีกหลายชนิด การแต่งกายของละครจะเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ เรียกว่า การ แต่งการแบบยืนเครื่อง นิยมเล่นในงานพิธีสำคัญและงานพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์ 3. ระ และ ระบำ เป็นศิลปะแห่งการร่ายรำประกอบเพลงดนตรีและบทขับร้อง โดยไม่เล่นเป็น เรื่องราว ในที่นี้หมายถึงรำและระบำที่มีลักษณะเป็นการแสดงแบบมาตรฐาน ซึ่งมีความหมายที่จะอธิบายได้พอ สังเขป ดังนี้ 3.1 รำ หมายถึง ศิลปะแห่งการรายรำที่มีผู้แสดง ตั้งแต่ 1-2 คน เช่น การรำเดี่ยว การรำ คู่ การรำอาวุธ เป็นต้น มีลักษณะการแต่งการตามรูปแบบของการแสดง ไม่เล่นเป็นเรื่องราวอาจมีบทขับร้อง ประกอบการรำเข้ากับทำนองเพลงดนตรี มีกระบวนท่ารำ โดยเฉพาะการรำคู่จะต่างกับระบำ เนื่องจากท่ารำจะ มีความเชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องกัน และเป็นบทเฉพาะสำหรับผู้แสดงนั้นๆ เช่น รำเพลงช้าเพลงเร็ว รำ แม่บท รำเมขลา –รามสูร เป็นต้น 3.2 ระบำ หมายถึง ศิลปะแห่งการร่ายรำที่มีผู้เล่นตังแต่ 2 คนขึ้นไป มีลักษณะการแต่งกาย คล้ายคลึงกัน กระบวนท่าร่ายรำคล้ายคลึงกัน ไม่เล่นเป็นเรื่องราว อาจมีบทขับร้องประกอบการรำเข้าทำนอง เพลงดนตรีซึ่งระบำแบบมาตรฐานมักบรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ การแต่งกายนิยมแต่งกายยืนเครื่องพระนาง-หรือ แต่งแบบนางในราชสำนัก เช่น ระบำสี่บท ระบำกฤดาภินิหาร ระบำฉิ่งเป็นต้น 4. การแสดงพื้นเมือง เป็นศิลปะแห่งการร่ายรำที่มีทั้งรำ ระบำ หรือการละเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ กลุ่มชนตามวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นภูมิภาคได้ 4 ภาค ดังนี้ 4.1 การแสดงพี้นเมืองภาคเหนือ เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไป ว่า “ฟ้อน” การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เป็นต้น ลักษณะของการฟ้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบดั้งเดิม และแบบที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ แต่ ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่แช่มช้า อ่อนช้อยมีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรีพื้นบ้าน เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว เป็น ต้น โอกาสที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณีหรือต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ได้แก่ ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนครัว ทาน ฟ้อนสาวไหมและฟ้อนเจิง
หน้า : ๑๓ 4.2 การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง เป็นศิลปะการร่ายรำและการละเล่นของชนชาวพื้นบ้าน ภาคกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตและเพื่อความ บันเทิงสนุกสนาน เป็นการพักผ่อนหย่อนใจจากการทำงาน หรือเมื่อเสร็จจากเทศการฤดูเก็บเกี่ยว เช่น การเล่น เพลงเกี่ยวข้าว เต้นกำรำเคียว รำโทนหรือรำวง รำเถิดเทิง รำกลองยาว เป็นต้น มีการแต่งกายตามวัฒนธรรม ของท้องถิ่น และใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลองยาว กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง 4.3 การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน เป็นศิลปะการรำและการเล่นของชาวพื้นบ้านภาค อีสาน หรือ ภาคตะวนออกเฉียงเหนือของไทย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ ๆ คือ กลุ่มอีสานเหนือ มี วัฒนธรรมไทยลาวซึ่งมักเรียกการละเล่นว่า “เซิ้ง ฟ้อน และหมอลำ” เช่น เซิ้งบังไฟ เซิ้งสวิง ฟ้อนภูไท ลำกลอนเกี้ยว ลำเต้ย ซึ่งใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านประกอบ ได้แก่ แคน พิณ ซอ กลองยาวอีสาน ฉิ่ง ฉาบ ฆ้อง และกรับ ภายหลังเพิ่มเติมโปงลางและโหวดเข้ามาด้วย ส่วนกลุ่มอีสานใต้ได้รับอิทธิพลไทยเขมร มีการละเล่นที่ เรียกว่า เรือม หรือ เร็อม เช่น เรือมลูดอันเร หรือรำกระทบสาก รำกระเน็บติงต็อง หรือระบำตั๊กแตนตำ ข้าว รำอาไย หรือรำตัด หรือเพลงอีแซวแบบภาคกลาง วงดนตรี ที่ใช้บรรเลง คือ วงมโหรีอีสานใต้ มีเครื่อง ดนตรีคือ ซอด้วง ซอครัวเอก กลองกันตรึม พิณ ระนาด เอกไม้ ปี่สไล กลองรำมะนาและเครื่องประกอบ จังหวะ การแต่งกายประกอบการแสดงเป็นไปตามวัฒนธรรมของพื้นบ้าน ลักษณะท่ารำและท่วงทำนองดนตรีใน การแสดงค่อนข้างกระชับ รวดเร็ว และสนุกสนาน 4.4 การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ เป็นศิลปะการรำและการละเล่นของชาวพื้นบ้านภาคใต้อาจแบ่ง ตามกลุ่มวัฒนธรรมได้ 2 กลุ่มคือ วัฒนธรรมไทยพุทธ ได้แก่ การแสดงโนรา หนังตะลุง เพลงบอก เพลง นา และวัฒนธรรมไทยมุสลิม ได้แก่ รองเง็ง ซำแปง มะโย่ง (การแสดงละคร) ลิเกฮูลู (คล้ายลิเกภาค กลาง) และซิละ มีเครื่องดนตรีประกอบที่สำคัญ เช่น กลองโนรา กลองโพน กลองปืด โทน ทับ กรับ พวง โหม่ง ปี่กาหลอ ปี่ไหน รำมะนา ไวโอลิน อัคคอร์เดียน ภายหลังได้มีระบำที่ปรับปรุงจากกิจกรรมในวิถี ชีวิต ศิลปะต่างๆ เข่น ระบำร่อนแต่ การีดยาง ปาเตต๊ะ เป็นต้น
หน้า : ๑๔ บทที่ ๓ วิธีดำเนินการ การดำเนินการโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประจำปีการศึกษา ๒๕๖6 ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอกันทรวิชัย ได้ดำเนินการ ๓ ขั้นตอน ดังนี้ ๑. การเตรียมก่อนการอบรมโครงการพัฒนาวิชาการ ๒. การดำเนินการในระหว่างการจัดกิจกรรม ๓. การดำเนินการหลังการจัดกิจกรรมเสร็จสิ้น ๑. การเตรียมก่อนการจัดโครงการพัฒนาวิชาการ ๑. ขออนุมัติโครงการ ๒. จัดทำแบบทดสอบ ๓. สื่อประกอบการพัฒนาผู้เรียน รายวิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๒. การดำเนินการในระหว่างการจัดกิจกรรม วันที่ 21 สิงหาคม ๒๕๖6 เป็นการจัดโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น ซึ่งเป็นการมอบสื่อประกอบการพัฒนาผู้เรียน รายวิชาศิลปศึกษา พร้อมทั้งให้ความรู้แก่นักศึกษา ในการนำตัวอย่างข้อสอบวิชาศิลปศึกษา มาให้นักศึกษาได้ทดลองทำก่อนที่จะสอบกลางภาคเรียน ๓. การดำเนินการหลังการจัดกิจกรรมเสร็จสิ้น ๑. กรอกแบบประเมินความพึงพอใจโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๒. ประเมินจากการมีส่วนร่วมของนักศึกษา การประเมินผลระหว่างการจัดกิจกรรม ใช้วิธีการสังเกต ความสนใจในการฟังครูอธิบาย การตอบคำถาม การแสวงหาความรู้การประเมินความ พึงพอใจของโครงการ การประเมินผลสิ้นสุดการอบรม เมื่อสิ้นสุดการอบรมโครงการฯได้มีการทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางด้าน วิชาศิลปศึกษา การประเมินการอบรมโดยใช้แบบทดสอบความรู้และแบบประเมินความพึงพอใจโครงการฯ ให้ผู้เข้ารับการอบรมแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ คือ สื่อและอุปกรณ์ วิทยากร การบริหารจัด การต่าง ๆ และการทำแบบประเมินมาวิเคราะห์สรุปการอบรม ( นำเสนอในบทที่ ๔ ) เกณฑ์การผ่านการอบรม กำหนดให้ผู้เข้ารับการอบรมมีเวลาเข้าร่วมในการอบรมกิจกรรม ๑๐๐ % ของเวลาอบรม ประชากรที่ทำการประเมิน นักศึกษา กศน.ตำบลคันธารราษฎร์ ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รวมจำนวน 17 คน และทำการสุ่มในการประเมินตามแบบประเมินโครงการฯ จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน ๑. แบบประเมินโครงการสำหรับผู้เข้ารับการอบรมเกี่ยวกับความคิดเห็นของโครงการ คำถามปลายเปิด ๕ ตัวเลือก คือ ดีมาก มาก ปานกลาง น้อย ปรับปรุง ๒. การสังเกตพฤติกรรมผู้เข้ารับการอบรม โดยครู สกร.อำเภอกันทรวิชัย
หน้า : ๑๕ การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ โดยวิเคราะห์หาค่าสถิติพื้นฐาน ค่าร้อยละ ( % )
หน้า : ๑๖ บทที่ ๔ ผลการดำเนินการ ผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖6 สรุปผลการดำเนินงาน ดังนี้ การดำเนินการฝึกอบรม 1. ผู้เข้ารับการเรียนรู้ ซึ่งเป็นนักศึกษา กศน.ตำบลคันธารราษฎร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รวมจำนวน 17 คน 2. ระยะเวลาในการฝึกอบรม 1 วัน คือวันที่ 21 สิงหาคม ๒๕๖6 3. สถานที่ใช้ในการฝึกอบรม กศน.ตำบลคันธารราษฎร์ ของอำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ผลการจดโครงการ 1. นักศึกษา กศน.ตำบลคันธารราษฎร์ที่เข้าร่วมโครงการฯ มีความรู้ และความเข้าใจ เรื่อง ศิลปศึกษา ดีขึ้น 2. ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์จริงไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยประเมินจาก แบบประเมินโครงการฯ และการมีส่วนร่วมของกิจกรรม 3. ผู้เข้าร่วมโครงการฯ มีผลสัมฤทธิ์ในการทำแบบทดสอบหลังเรียนดีขึ้น การประเมินการฝึกอบรม ๑. การศึกษาสภาพทั่วไปของผู้เข้ารับการอบรม ๒. การประเมินความคิดเห็นของผู้รับการอบรมต่อการดำเนินโครงการ วัตถุประสงค์ของการประเมิน ๑. เพื่อทราบว่าผู้เข้าร่วมโครงการฯ มีความรู้เข้าใจในเรื่อง ศิลปศึกษา มากน้อยเพียงใด ๒. เพื่อให้ทราบว่าผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้นำความรู้ด้านศิลปศึกษา ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ๓. เพื่อให้ทราบผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้นหลังจากเข้ารับการอบรมโครงการฯ ขอบเขตของการประเมิน ๑. กลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับการอบรม เป็นนักศึกษาการศึกษานอกระบบ สกร.อำเภอกันทรวิชัย ๒. เนื้อหาการประเมิน ๒.๑ การดำเนินงานโครงการ คือ ด้านเนื้อหา ด้านวิทยากร และด้านบริหารจัดการ ๒.๒ ระหว่างฝึกอบรมเป็นการประเมินพฤติกรรมของผู้เข้าการอบรม คือ ความตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบ การร่วมกิจกรรม กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการประเมินครั้งนี้ เป็นนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนา วิชาการ วิชาศิลปศึกษา ในวันที่ 21 สิงหาคม ๒๕๖6 จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความพึงพอใจ ที่สร้างขึ้น ๓ ด้าน ประกอบด้วย ด้านเนื้อหา ด้านวิทยากร และ ด้านบริหารจัดการ การประเมินมี ๕ ระดับ คือ ดีมาก มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด
หน้า : ๑๗ การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล ดำเนินการโดยคณะกรรมการดำเนินโครงการเมื่อเสร็จสิ้นการอบรมทุกเนื้อหา แจกแบบประเมินโครงการฯ ให้กับผู้เข้ารับการอบรม จำนวน 12 คน การวิเคราะห์ข้อมูล ๑. ด้านเนื้อหา ด้านวิทยากรและด้านบริหารจัดการ ใช้สถิติร้อยละ ๒. ด้านพฤติกรรมโดยวิเคราะห์แบบพรรณนา เกณฑ์การวัดค่าตัวแปร แบ่งเป็น ๕ ระดับ - ดีมาก ( ๕ ) - มาก ( ๔ ) - ปานกลาง ( ๓ ) - น้อย ( ๒ ) - น้อยที่สุด ( ๑ ) เกณฑ์ระดับความเห็นด้วยจากค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ย ตั้งแต่ ๔.๕๐ ดีมาก ๓.๕๐ - ๔.๔๙ ดี ๒.๕๐ - ๓.๔๙ พอใช้ ๑.๕๐ – ๒.๔๙ น้อย น้อยกว่า ๑.๕๐ น้อยที่สุด ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การประเมินผลการดำเนินงานโครงการเก็บรวบรวมแบบทดสอบและแบบสอบถาม แล้วนำมาวิเคราะห์ ข้อมูล นำผลการประเมินพร้อมปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ เพื่อใช้ในการฝึกอบรมในโครงการลักษณะ เช่นนี้ หรือโครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
หน้า : ๑๘ ความคิดเห็นของผู้เข้ารับการอบรมที่มีต่อโครงการ จำนวน 12 คน โดยแสดงเป็นค่าสถิติพื้นฐานร้อยละ ตอนที่ ๑ ข้อมูลทั่วไป เพศ ชาย 7 คน 47.96 % หญิง 5 คน 52.04 % อายุระหว่าง ๑๖ - ๓๐ ปี 7 คน 58.33 % ๓๑ - ๔๕ ปี 2 คน 16.67 % ๔๖ - ๕๖ ปี 3 คน 25 % ๖๐ ปีขึ้นไป - คน - % ตอนที่ ๒ แสดงความคิดเห็นข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรม รายการประเมิน ระดับความพึงพอใจ ดีมาก ( ๕ ) % มาก ( ๔ ) % ปาน กลาง ( ๓ ) % น้อย ( ๒ ) น้อย ที่สุด ( ๑ ) ค่าเฉลี่ย ระดับ ความ พอใจ ๑. สื่อ /อุปกรณ์ ( ๔.47 ) ดี ๑.๑ อุปกรณ์ /วัสดุ มีความเหมาะสม 2 ( 10 ) 16.67 8 ( 32 ) 66.67 2 ( 6 ) 16.67 - - 4 ดี ๑.๒ สื่อ /เอกสาร ตรงกับ ความต้องการของผู้เข้าร่วม โครงการ 9 ( 45 ) 75 3 ( 12 ) 25 - - - - 4.75 ดีมาก ๑.๓ ครูมีความรู้ ความเข้าใจ ในวิชาศิลปศึกษา ระดับ ม. ต้น มากเพียงใด 8 ( 40 ) 41.67 4 ( 16 ) 58.33 - - - - ๔.67 ดีมาก ๒. เนื้อหา /กิจกรรม ( ๔.47 ) ดี ๒.๑ ก่อนอบรมท่านมีความรู้ ความเข้าใจ ในเนื้อหา วิชาศิลปศึกษา ระดับ ม.ต้น มากเพียงใด 5 ( 25 ) 25 3 ( 12 ) 25 4 ( 12 ) 50 - - 4.08 ดี ๒.๒ ท่านเกิดทักษะ เกิด การเรียนรู้จากการศึกษา เนื้อหาวิชาศิลปศึกษา ระดับ ม.ต้น มากเพียงใด 8 ( 40 ) 41.67 4 ( 16 ) 58.33 - - - - 4.67 ดีมาก ๒.๓ หลังการอบรมท่านมี ความรู้สามารถนำความรู้ไปใช้ ในการเรียน เพื่อยกระดับ ผลสัมฤทธิ์วิชาศิลปศึกษา ระดับ ม.ต้น มากเพียงใด 8 ( 40 ) 66.67 4 ( 16 ) 33.33 - - - - 4.67 ดีมาก ๓. การบริหารจัดการ ( ๔.34 ) ดี ๓.๑ กระบวนการในการจัด กิจกรรมมีความหลากหลาย 4 ( 20 ) 33.33 3 ( 12 ) 25 5 ( 15 ) 41.67 - - 3.92 ดี ๓.๒ ระยะเวลาในการจัด โครงการฯ มีความเหมาะสม 9 ( 45 ) 75 3 ( 12 ) 25 - - - - 4.75 ดีมาก รวม 53 ( 265 ) 55.21 32 ( 128 ) 33.33 11 ( 33 ) 11.46 - - 4.44 88.54% ดี
หน้า : ๑๙ บทที่ ๕ สรุปผลและข้อเสนอแนะ สรุปผล จากการประเมินโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประจำปี งบประมาณ ๒๕๖6 นักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นนักศึกษาการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ลงทะเบียนวิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รวมจำนวน 17 คน ในการประเมินโครงการ จากการสุ่มแล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์หา ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าร้อยละ (%) ซึ่งการประเมินในครั้งนี้ สุ่มประเมินนักศึกษา จำนวน 12 คน สรุปผลการ ประเมินโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ดังนี้ ตอนที่ ๑ ผลการประเมินข้อมูลทั่วไป ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาที่เข้ารับการอบรมส่วนมากจะเป็น เพศชาย 47.96 % อายุระหว่าง 16 – 30 ปี 58.33 % และระดับการศึกษาเป็นนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๑๐๐ % ตอนที่ ๒ ผลการประเมินความคิดเห็นข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรม ผลการศึกษาพบว่า ความคิดเห็นของนักศึกษา ที่เข้ารับการอบรมโครงการ สามารถสรุปผลการประเมิน ความพึงพอใจของโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น การจัดกิจกรรมโครงการฯ ภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับ ดี ( ๔.44 ) คิดเป็นร้อยละ 88.54 ๑. สื่อและอุปกรณ์ มีความพึงพอใจในระดับ ดี ( ๔.47 ) ๑.๑ อุปกรณ์ / วัสดุ มีความเหมาะสม ในระดับ ดี ( 4 ) ๑.๒ สื่อ / เอกสารตรงกับความต้องการของผู้เข้ารับการอบรม ในระดับ ดีมาก ( ๔.75 ) 1.3 ครูมีความรู้ ความเข้าใจ ในเนื้อหาวิชาศิลปศึกษา ระดับ ม.ต้น ในระดับ ดีมาก ( ๔.67 ) ๒. ด้านเนื้อหา / กิจกรรม ในการดำเนินโครงการฯ ภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับ ดี ( ๔.47 ) ๒.๑ ก่อนอบรมท่านมีความรู้ความเข้าใจ ในเนื้อหาวิชาศิลปศึกษา ระดับ ม.ต้น ในระดับ ดี ( 4.08 ) 2.2 ท่านเกิดทักษะ เกิดการเรียนรู้จากการศึกษาเนื้อหาวิชาศิลปศึกษา ระดับ ม.ต้น ในระดับ ดีมาก ( 4.67 ) ๒.๓ หลังการอบรมท่านมีความรู้สามารถนำความรู้ไปใช้ในการเรียน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ วิชาศิลปศึกษา ระดับ ม.ต้น ในระดับ ดีมาก ( 4.67 ) ๓. ด้านการบริการจัดการ ของโครงการฯ ภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับ ดี ( ๔.34 ) ๓.๑ กระบวนการในการจัดกิจกรรมมีความหลากหลาย ในระดับ ดี ( 3.92 ) ๓.๒ ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมโครงการฯ มีความเหมาะสม ในระดับ ดีมาก ( ๔.75 ) ข้อเสนอแนะ -
หน้า : ๒๐ การอภิปรายผล โครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่าผู้เรียนมีความตั้งใจสนใจดีมาก ครูทุกคนเอาใจใส่เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี ครูบรรยายถ่ายทอดความรู้เข้าใจดี หลังจากการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเรื่อง ทัศนศิลป์จุด เส้น สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรงที่ใช้ในทัศนศิลป์ไทย ความหมายและ ความเป็นมาของทัศนศิลป์ไทย ดนตรีไทย ประวัติดนตรีไทย ประวัติคุณค่าภูมิปัญญาของดนตรีไทย นาฎศิลป์ ความเป็นมาของนาฎศิลป์ไทย ประเภทนาฎศิลป์ไทย ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นจากก่อนเข้ารับการอบรมดีมาก ซึ่งทำการสุ่มจากนักศึกษา 12 คน แล้วนำมาวิเคราะห์ ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ ส่วนมากเป็นนักศึกษาชาย 47.96 % อายุระหว่าง 16 – 30 ปี 58.33 % และ มีความพึงพอใจในการอบรมโครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มีความพึงพอใจของโครงการฯ ระดับ ดี (4.44) โดยคิดเป็น ร้อยละ 88.54 ด้านสื่อ / อุปกรณ์ ในการจัดกิจกรรมโครงการฯ ภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับ ดี ( ๔.47 ) ด้านเนื้อหา / กิจกรรม ในการดำเนินโครงการฯ ภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับ ดี ( ๔.47 ) และด้านการบริการจัดการ ของโครงการฯ ภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับ ดี ( ๔.34 )
หน้า : ๒๑ ภาคผนวก
หน้า : ๒๒ โครงการพัฒนาวิชาการ วิชาศิลปศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 21 สิงหาคม ๒๕๖6 ณ กศน.ตำบลคันธารราษฎร์
หน้า : ๒๓ คณะผู้จัดทำ ที่ปรึกษา : นายศุภชัย วันนิตย์ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอเมืองมหาสารคาม รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ สกร. อำเภอกันทรวิชัย นายวีรชัย ใจมุ่ง ครู นายสิทธิศักดิ์ นามแสงผา ครูอาสาสมัครฯ นางสาวศศิธร บุญหล้า ครูอาสาสมัครฯ นางสาววิไลวรรณ อรรคเศรษฐัง ครูอาสาสมัครฯ ข้อมูล : นางสาวญาดา ทองเจริญ ครู กศน. ตำบล นางรัตนา นิตยารส ครูประจำศูนย์การเรียนชุมชน เรียบเรียง /พิมพ์ / รูปเล่ม : นางรัตนา นิตยารส ครูประจำศูนย์การเรียนชุมชน
หน้า : ๒๔