ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 38 แผนการเรียน มอดูลที่๒.๑ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าสารจาการฟัง และการดู มอดูลที่ 2.1 โปรดอ่านหัวข้อเรื่อง แนวคิดและจุดประสงค์การเรียนของมอดูลที่ 2.1 แล้วจึงศึกษา รายละเอียดต่อไป หัวข้อเรื่อง 2.1.1 ลักษณะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ 2.1.2 ความหมายของการวิเคราะห์และประเมินค่าสาร 2.1.3 ประเภทของสาร 2.1.4 การวิเคราะห์และการประเมินค่าสารจากการฟัง 2.1.5 การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการดู แนวคิด ในสังคมปัจจุบันมีช่องทางการน าเสนอข้อมูลให้ฟังและดูจ านวนมาก ผู้ที่รู้จักเลือกที่ จะฟังและดู เมื่อได้รับข้อมูลแล้วรู้จักวิเคราะห์ ประเมินค่าเพื่อน าไปใช้ในทางสร้างสรรค์เป็น สิ่งที่จ าเป็น เพราะผลที่ตามมาจากการฟังและการดู จะเป็นผลบวกหรือลบต่อสังคม ขึ้นอยู่กับ การน าไปใช้ ดังนั้น ผู้ฟังและดูต้องรับสารอย่างมีวิจารณญาณ โดยเข้าใจเนื้อหาสาระ ใช้ ปัญญาคิดใคร่ครวญ อาศัยความรู้ ความคิดเหตุผลและประสบการณ์แล้วน าไปใช้อย่าง เหมาะสม จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและสังคม จุดประสงค์การเรียน 1. เมื่อศึกษาหัวข้อเรื่องที่ 2.1.1 “ลักษณะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ” แล้ว ผู้เรียนสามารถอธิบายลักษณะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพได้ 2. เมื่อศึกษาหัวข้อเรื่องที่ 2.1.2 “ความหมายของการวิเคราะห์และประเมินค่า สาร” แล้ว ผู้เรียนสามารถอธิบายความหมายของการวิเคราะห์และการประเมิน ค่าสารได้ 3. เมื่อศึกษาหัวข้อเรื่องที่ 2.1.3 “ประเภทของสาร” แล้ว ผู้เรียนสามารถระบุ ประเภทของสารได้
39 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 4. เมื่อศึกษาหัวข้อเรื่องที่ 2.1.4 “การวิเคราะห์และการประเมินค่าสารจากการ ฟัง” แล้ว ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการฟังได้ 5. เมื่อศึกษาหัวข้อเรื่องที่ 2.1.5 “การวิเคราะห์และการประเมินค่าสารจากการดู” แล้ว ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการดูได้ เนื้อหา 1. ลักษณะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ 2. ความหมายของการวิเคราะห์และประเมินค่าสาร 3. ประเภทของสาร 4. การวิเคราะห์และการประเมินค่าสารจากการฟัง 5. การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการดู รูปที่ 2.1 แผนผังความคิด การวิเคราะห์และประเมินค่าสาร 1. ลักษณะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ กระบวนการของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้น ทั้งผู้สื่อสารและผู้รับสารเป็น องค์ประกอบที่ส าคัญยิ่งที่จะต้องมีการรับรู้และมีปฏิกิริยาตอบสนองซึ่งกันและกันในลักษณะ ที่เรียกว่าการสื่อสาร สองทาง (two ways communication) การพัฒนาทักษะในการส่งสาร และรับสารนั้นต้องอาศัยการคิดเป็นพื้นฐานอันส าคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะในการส่งสารไม่ว่า จะด้วยวิธีพูดหรือเขียน ซึ่งเป็นทักษะการส่งสาร ผู้ส่งสารจะต้องใช้ความคิดในการเรียบเรียง ถ้อยค าหรือข้อความเพื่อสื่อความหมายให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจ ขณะเดียวกันผู้รับสาร
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 40 จะต้องใช้ความคิดในการแปลสัญลักษณ์ซึ่งได้แก่ เสียง ถ้อยค าหรือข้อความที่ได้ฟัง ได้อ่านได้ ดู เพื่อเกิดเป็นความรู้ ความเข้าใจในสิ่งนั้น และจับใจความในส่วนที่อ่านมีความเห็นคล้อยตาม หรือโต้แย้ง กระบวนการสื่อสารดังกล่าวปรากฏดังแผนภาพดังนี้ รูปที่ 2.2 แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของความคิดกับทักษะการส่งสารและรับสาร จากแผนภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าองค์ประกอบทุกส่วนในการสื่อสารสัมพันธ์กัน อย่างต่อเนื่อง การสื่อสารที่เหมาะสมจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันของทักษะการส่งสารและรับสาร โดยมีความคิดเป็นหัวใจส าคัญ หากการส่งสารขาดความคิดในการเรียบเรียงส่งสารให้ สมบูรณ์ ก็จะส่งผลให้สารคลาดเคลื่อน ขณะเดียวกันถ้าผู้รับสารขาดความคิดในการทบทวน ไตร่ตรอง ก็จะท าให้เกิดความสับสน การรับสารผิดไปจากที่ผู้ส่งสารต้องการ ผู้ฟัง ผู้อ่าน และผู้ดู อยู่ในฐานะการรับสาร โดยใช้ช่องทางการเห็นและการได้ยิน ถ้า สารใช้ถ้อยค าที่เข้าใจ มีเนื้อหาเหมาะสม และมีการจัดล าดับอย่างดี ผู้รับสารย่อมเข้าใจสาร ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ผู้ส่งสารต้องการ ดังนั้นผู้ที่มีทักษะในการรับสาร ต้องวิเคราะห์และ ประเมินสารอย่างมีประสิทธิภาพ 2. ความหมายของการวิเคราะห์และการประเมินค่าสาร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของค าว่า วิเคราะห์และสาร ดังนี้ วิเคราะห์ หมายถึง ใคร่ครวญ แยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อศึกษาให้ถ่องแท้ สาร หมายถึง แก่น เนื้อแท้ ข้อความ ถ้อยค า เรื่องราว กระบวนการสื่อสารในบุคคล ทักษะ การส่งสาร เขียน พูด ทักษะ การรับสาร ฟัง ดู อ่าน
41 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ การวิเคราะห์สาร หมายความโดยรวมว่า การพิจารณาใคร่ครวญ ถ้อยค า ข้อความหรือเรื่องราว อย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ประเมิน หมายถึง การประมาณค่าเท่าที่ควรจะเป็น ค่า หมายถึง มูลค่าหรือราคาของสิ่งใดๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและ นามธรรมที่มีประโยชน์ในทางใช้สอย แลกเปลี่ยนหรือทางจิตใจ การประเมินค่าสาร ความหมายโดยรวมว่า การประมาณคุณประโยชน์ของ ถ้อยค า ข้อความ เนื้อหา หรือเรื่องราวนั้นๆ 3. ประเภทของสาร สารที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจ าวันมี 2 ประเภทดังนี้ 1. ข้อเท็จจริง คือ สารที่มีอยู่ในโลกมนุษย์และสามารถตรวจสอบหรือพิสูจน์ได้ ว่าจริงตามสารนั้น เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ค าตอบคือจริง ซึ่งเราสามารถหา ค าตอบหรือพิสูจน์ได้ 2. ข้อคิดเห็น คือ สารที่เกิดขึ้นในใจของผู้ส่งสาร อาจเป็นความรู้สึก ความเชื่อ หรือแนวคิดที่ผู้ส่งสารมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งลักษณะของข้อคิดเห็น ตรวจสอบความจริงไม่ได้ เป็น แต่เพียง สิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ข้อคิดเห็นเป็นที่ยอมรับหรือไม่ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร เช่น ผู้หญิงไทยแต่งตัวตามแฟชั่นตะวันตกมากเกินไป นักเรียนมัธยมมีค่านิยมต่อการเรียน มหาวิทยาลัยมากกว่าอาชีวศึกษา ซึ่งข้อคิดเห็นนั้นแบ่งเป็น ๕ ประเภทคือ 2.1 ข้อคิดเห็นเชิงประมาณค่า เป็นการระบุว่า ดี – ไม่ดี เป็นประโยชน์ – เป็นโทษ หรือ ยังไม่ดี – ค่อนข้างดี นับว่าเป็นประโยชน์ ค่อนข้างดีเช่น จากการส ารวจความ นิยมของประชาชนต่อนโยบายของรัฐบาลพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับนโยบายของ รัฐบาลเพราะ เป็นประโยชน์ต่อผู้มีรายได้น้อย ประชาชนเห็นว่าการแก้ปัญหายาเสพติดของ รัฐบาลท าได้ค่อนข้างดี 2.2 ข้อคิดเห็นเชิงแนะน า คือ การบอกล่าวให้ทราบว่าสิ่งใดควรท าหรือ ควรปฏิบัติ มีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างไร เพราะอย่างไรจึงควรปฏิบัติเช่นนั้น เช่น ผู้บริโภคควร เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ เบอร์๕ เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า แล้วยังช่วยลดการใช้พลังงานอีกด้วย 2.3 ข้อคิดเห็นเชิงตั้งข้อสังเกต คือ การชี้ให้เห็นลักษณะบางประการที่ แฝงอยู่ซึ่งอาจมองข้ามไปเป็นลักษณะที่น่าสนใจ น่าพิจารณา น่าระมัดระวัง น่าน าไปศึกษาต่อ เช่น น้ าท่วมประเทศไทยครั้งใหญ่ที่ผ่านมาน่าจะเกิดจากการตัดไม้ท าลายป่า ท าให้น้ าไหลบ่า อย่างรวดเร็วเพราะไม่มีสิ่งขีดขวางทางน้ า 2.4 ข้อคิดเห็นเชิงตัดสินใจ คือ การยอมรับหรือไม่ยอมรับในข้อเสนอนั้น เมื่อผู้ส่งสารสรุปผลการตัดสินใจ การที่จะยุติการพิจารณาต่าง ๆ ควรมีเหตุผลการพิจารณา
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 42 ต่าง ๆ ควรมีเหตุผลการพิจารณาอย่างชัดเจน เช่น รัฐบาลประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ า 300 บาททั่วประเทศแน่นอนภายในปี 2556 2.5 ข้อคิดเห็นเชิงแสดงอารมณ์ คือ สารที่แสดงภาพอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติและอัธยาศัยของผู้ส่งสาร ในข้อคิดเห็นเชิงแสดงอารมณ์อาจมีสารประเภทอื่นปะปน อยู่ด้วย เช่น ...ผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ขอบคุณทุก ๆ คนที่เลือกฉันเป็น ส.ส.หญิงเขต 8 รัฐอิลลินอยส์ ฉันไม่สามารถขอบคุณได้เพียงพอส าหรับทุกสิ่งที่พวกคุณช่วยฉันในระหว่างหา เสียง ฉันยังรู้สึกปลาบปลื้มกับการสนับสนุนที่ไม่เคยห่างหาย... 4. การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการฟัง การฟังเป็นกระบวนการรับรู้โดยผ่านสื่อคือเรียงในรูปแบบต่าง ๆ ขณะฟัง ผู้ฟังต้อง ให้ความสนใจ สามารถตีความสิ่งที่ใช้ฟัง จึงจะตอบสนองได้ถูกต้อง 1. กระบวนการรับรู้สารด้วยการฟัง กระบวนการรับรู้สารด้วยการฟังอย่างสมบูรณ์ ดังแสดงเป็นแผนภูมิต่อไปนี้ รูปที่ 2.3 แผนภูมิกระบวนการรับรู้สารด้วยการฟัง จากแผนภูมิข้างต้นอธิบายได้ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การได้ยิน (Hearing) เป็นขั้นแรกของการฟังเมื่อมีเสียงมากระทบ ประสาท ขั้นตอนที่ 2 การมุ่งความสนใจ (Concentration) ผู้ฟังจะมุ่งความสนใจไปตามเรื่อง ที่ได้ยินนั้น ขั้นตอนที่ 3 การเข้าใจ (Comprehension) ผู้ฟังรับรู้และเข้าใจสารนั้นได้ ถ้าผู้ส่ง สาร ส่งสารอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ขั้นตอนที่ 4 การตีความ (Interpretation) เมื่อเข้าใจจึงถึงขั้นวิเคราะห์ค้นหา ความหมายของสารว่ามีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร ส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นข้อคิดเห็น พร้อมทั้งประเมินค่าสารว่ามีคุณค่าหรือประโยชน์เพียงใด ได้ยิน มุ่งความสนใจ เข้าใจ ตีความ ตอบสนอง
43 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ ขั้นตอนที่ 5 การตอบสนอง (Reaction) เมื่อผู้ฟังคิดวิเคราะห์ วินิจและประเมินค่า แล้วก็จะตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ส่งสาร 2. ประโยชน์ของการฟัง ประโยชน์ของการฟัง จ าแนกได้ดังนี้ 2.1 ประโยชน์ส่วนตน 2.1.1 การฟังเป็นเครื่องมือของการเขียน ผู้ที่เรียนหนังสือได้ดีต้องมีการ ฟังที่ดีด้วย คือ ต้องฟังค าอธิบายให้รู้เรื่องและจับใจความส าคัญให้ได้จึงจะท าให้การเรียนมี ประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการฟังค าอธิบายในห้องเรียน การฟังอภิปราย การฟังบทความ ล้วนแต่ช่วยพัฒนาสติปัญญาท าให้เกิดความรู้และเกิดความเฉลียวฉลาดจากการฟัง 2.1.2 การฟังช่วยให้ผู้ฟังพัฒนาความสามารถในการพูด พัฒนา ความสามารถในการใช้ภาษา เพราะการฟังท าให้ผู้ฟังมีความรู้กว้างขึ้นและมีประสบการณ์ มากขึ้น 2.1.3 การฟังช่วยปูพื้นฐานความคิดที่ดีให้กับผู้ฟัง ซึ่งจะได้จากการฟัง เรื่องราวที่มีคุณค่ามีประโยชน์จากผู้อื่น ช่วยพัฒนาสติปัญญาแก่ผู้ฟัง การได้รับข้อคิดเห็นที่มี ประโยชน์ท าให้เกิดแนวความคิดใหม่ ๆ ได้ 2.1.4 การฟังช่วยให้ผู้มีมารยาทในการฟัง สามารถเข้าสังคมกับผู้อื่นได้ เช่น รู้จักฟังผู้อื่น รู้จักซักถามโต้ตอบได้ตามกาลเทศะ 2.2 ประโยชน์ทางสังคม 2.2.1 การฟังท าให้เกิดความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เช่น การ ฟังประกาศ ฟังปราศรัย ฟังการอภิปราย เป็นต้น 2.2.2 การฟังช่วยให้ประพฤติดี ปฏิบัติให้สังคมเป็นสุข เช่น ฟังธรรม ฟัง เทศนา ฟังค าแนะน า การอบรม เป็นต้น 2.3 ประโยชน์ของการฟังเชิงวิเคราะห์ 2.3.1 บอกได้ว่าสารที่ฟังส่วนใดเป็นความจริง ส่วนใดเป็นความเห็น 2.3.2 กระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดความคิด และทัศนะที่กว้างไกล 2.3.3 ไม่ท าให้ผู้ฟังตกเป็นเหยื่อของค าโฆษณาชวนเชื่อ และรู้จักตัดสินใจ ด้วยตนเองอย่างถูกต้อง 2.3.4 รู้จักประเมินค่าเรื่องที่ฟังด้วยความรอบคอบและมีเหตุผลซึ่งน าไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจ าวันได้เป็นอย่างดี 3. ลักษณะการฟังเพื่อวิเคราะห์และประเมินค่า 3.1 การฟังเพื่อวิเคราะห์ ผู้ฟังต้องน าสารมาแยกย่อยเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ โดยอาศัยการตรึกตรอง การวิเคราะห์แยกแยะข้อเท็จจริงจากเนื้อหาต้องพิจารณาทั้งวัจนภาษา (Verbal
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 44 communication) และอวัจนภาษา (Non-Verbal communication) ผู้ฟังต้องใคร่ครวญ และพยายามขจัดสิ่งต่อไปนี้ออกไปในขณะที่ฟัง ได้แก่ 3.1.1 ท่าทางและรูปร่างหน้าตาของผู้พูด โดยไม่เกิดอคติต่อรูปร่าง หน้าตาที่ไม่สวยงามของผู้พูดเพราะอาจท าให้ใจเอนเอียงและเป็นปฏิปักษ์ต่อเรื่องที่ฟัง 3.1.2 เสียงหรืออากัปกิริยาของผู้พูด ต้องไม่เป็นสาเหตุส าคัญที่ท าให้ เสื่อมศรัทธาต่อผู้พูด 3.1.3 การใช้ภาษาของผู้พูด ผู้พูดบางคนอาจไม่สันทัดในการใช้ภาษาที่ดี อาจใช้ถ้อยค าหรือส านวนไม่ถูกต้อง ผู้ฟังต้องพยายามใจกว้างที่จะเข้าใจ และพยายามเลือก รับสิ่งที่เป็นประโยชน์และความรู้จากการฟังนั้นให้ได้ 3.1.4 เพศของผู้พูด บางกรณีเพศของผู้พูดอาจตรงกันข้ามกับความรู้ของ ผู้พูด เช่นผู้หญิงมีความรู้ในเรื่องวิศวกรรมหรือผู้ชายมีความรู้ทางด้านคหกรรม ผู้ฟังไม่สมควร ที่จะเกิดความคิดที่ไม่อยากฟังหรือไม่เชื่อในสาระที่ได้ฟัง เพราะผู้พูดอาจจะมีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องที่พูดเป็นอย่างดีก็ได้ 3.1.5 ความสนใจในเรื่องที่ฟัง หากเรื่องที่ฟังไม่ใช่เรื่องที่ตนสนใจ มักจะ สรุปความว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ซึ่งความจริงอาจมีประโยชน์มาก ดังนั้นผู้ฟังไม่ควรที่จะมี ความคิดคับแคบเพราะจะท าให้ความรู้คับแคบ ไม่หลากหลาย 3.2 การฟังเพื่อวินิจฉัยและประเมินค่า การฟังเพื่อวินิจฉัย หมายถึง การฟังเพื่อหาคุณค่าด้วยการตัดสินใจจากการ ไตร่ตรอง ใคร่ครวญอย่างดีแล้วจากกระบวนการวิเคราะห์สารนั้นอย่างปราศจากอคติ ผู้ฟัง จะต้องพิจารณาหาคุณค่าของสารซึ่งจะประกอบด้วย ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นและความน่าฟัง ผู้ฟังไม่ควรติดใจผู้พูดที่ พูดน่าฟัง จนลืมนึกถึงความคิดหรือข้อคิดเห็นซึ่งเป็นสิ่งส าคัญที่สุด และข้อเท็จจริงมีความส าคัญอันดับต่อมาการประเมินค่าสารจากการฟังนั้นมีหลักดังต่อไปนี้ 3.2.1 มีใจเป็นกลาง ผู้ฟังต้องสามารถรับฟังข้อคิดเห็นที่ถูกต้องตาม ข้อเท็จจริง แม้ข้อคิดเห็นนั้นจะไม่ตรงกับข้อคิดเห็นของผู้ฟัง 3.2.2 ไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึกของผู้ฟังเป็นเกณฑ์ในการตัดสินสิ่งที่ได้ ฟังว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เพราะอารมณ์และความรู้สึกเป็นสิ่งไม่แน่นอน จึงไม่ใช่เกณฑ์ มาตรฐานในการตัดสินเรื่องราวที่ฟัง 3.2.3 ความส าคัญผิดทางเหตุผลและการชวนเชื่อ อาจเกิดขึ้นโดยการอ้าง เหตุผลที่ไม่สมควร ความส าคัญผิดในเนื้อหาและความส าคัญผิดในอารมณ์ที่ถูกเร้าจนเกิด ความคิดคล้อยตามอย่างไม่คิดถึงเหตุผล การพูดบางประเภท เช่น โฆษณา การอภิปรายหาเสียง ผู้ฟังจะต้องระมัดระวัง ในการหาเหตุผลที่ถูกต้องก่อนประเมินค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการโฆษณาซึ่งต้องเกี่ยวข้อง กับผู้บริโภคในชีวิตประจ าวัน เราจึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ
45 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 4. วิธีการวิเคราะห์และประเมินค่าจากการฟัง ก่อนการประเมินค่าผู้ฟังควรปฏิบัติดังนี้ 4.1 ฟังด้วยความตั้งใจ ผู้ฟังต้องมีสมาธิติดตามเรื่องราวที่ฟังให้ตลอดพร้อมทั้ง แยกแยะได้ว่าข้อความใดเป็นใจความส าคัญ ข้อความใดเป็นพลความ 4.2 ฟังแล้วจับประเด็นได้ ผู้ฟังต้องจับประเด็นหลักของเรื่องที่ฟังโดยพิจารณา จากบริบท 4.3 ผู้ฟังต้องสังเกตกิริยาท่าทางหรือน้ าเสียงประกอบกับถ้อยค าหรือข้อความ เพื่อหาความสัมพันธ์กัน แล้วสรุปว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริง อะไรเป็นข้อคิดเห็นของผู้พูด 4.4 ตีความถ้อยค า ส านวนโวหารประกอบค าพูดที่พูดขยายเรื่องตามกลวิธีการ พูดเพื่อให้น่าสนใจ สามารถสรุปแนวคิดหรือความหมายที่ผู้พูดแฝงไว้ในสารนั้นได้ 4.5 เมื่อจับประเด็นส าคัญของเรื่องได้ สามารถแยกแยะได้ว่าข้อความใดเป็น ข้อเท็จจริง ข้อความใดเป็นข้อคิดเห็นแล้วก็จะประมาณค่าได้ว่า สิ่งใดเป็นความรู้ เป็นข้อคิดที่ เป็นประโยชน์หรือเป็นข้อที่ไม่ควรปฏิบัติ เพื่อน ามาปรับใช้ในชีวิตประจ าวันต่อไป 5. การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการดู การดูเป็นการใช้สายตาเพื่อให้เห็น ประกอบกับการพิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการ ดูนั้น การดูต้องอาศัยการสังเกตและพิจารณาในรายละเอียด ติดตามอย่างต่อเนื่องจึงจะท าให้การดู เกิดประสิทธิผล 1. จุดมุ่งหมายในการดู บุคคลมีจุดมุ่งหมายของการดูในชีวิตประจ าวันดังต่อไปนี้ 1.1 เพื่อความเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย เช่น การดูละคร ดูภาพยนตร์ ดูเกมโชว์ ดู การ์ตูน ดูการละเล่น ดูกีฬา ดูรายการต่าง ๆ ทางสื่อโทรทัศน์ เป็นต้น 1.2 เพื่อความรู้และความเข้าใจ เช่น รายการข่าว สารคดี หรือรายการปกิณกะ อื่น ๆ เช่น รายการกระจกหกด้าน กบนอกกะลา ท่องโลกกว้าง คุณพระช่วย ถ้าคุณแน่อย่า แพ้เด็กประถม จดหมายเหตุกรุงศรีฯ เป็นต้น 1.3 เพื่อให้เกิดความคิด น าแง่คิดที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจ าวัน เช่น รายการสู้แล้ว รวย เรื่องจริงผ่านจอ วันนี้ที่รอคอย มดคันไฟ ปราชญ์เดินดิน คนค้นฅน เป็นต้น 1.4 เพื่อความจรรโลงใจ ท าให้เกิดความรู้สึกดี เบิกบานผ่องแผ้ว ยกระดับจิตใจ ให้สูงขึ้น เช่น รายการพระมาแล้ว ค ากล่าวให้โอวาท สุนทรพจน์ แผ่นดินธรรมแผนดินทอง การแสดง พระธรรมเทศนา ตลอดจนละคร หรือค าประพันธ์ ซึ่งผู้ดูสามารถรับรู้ความคิด และน าไปใช้ประโยชน์นอกเหนือจากความเพลิดเพลินได้ 1.5 เพื่อประเมินผลและวิจารณ์ ผู้ดูต้องพิจารณาว่าการส่งสารนั้นควรเชื่อถือได้
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 46 เพียงใด เป็นโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ผู้ส่งสารมีอคติหรือไม่ มีจุดประสงค์อย่างไร เช่น โฆษณา ข่าวการเมือง รายการมิติลี้ลับ บันทึกลึกลับ 2. ลักษณะของการดู การดูในชีวิตประจ าวันของบุคคลมี ๒ ลักษณะดังนี้ 2.1 ดูโดยไม่ผ่านสื่อ เป็นการใช้สายตาในการดูสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของจริงและก าลัง ปรากฏให้เห็นอยู่ ได้แก่ การดูการแสดง เช่น ลิเก ดนตรี มายากล กายกรรม ฯลฯ การดูกีฬา กรีฑา เช่น ฟุตบอล ตะกร้อ พุ่งแหลน วิ่ง ฯลฯ ดูสิ่งก่อสร้าง ตึกรามบ้านช่อง สถาปัตยกรรม จิตรกรรม หรือประติมากรรม ดูกิจกรรมที่ตนเองกระท า ดูการสาธิตจากผู้อื่น การดู สิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น ดูต้นไม้ รถแล่นผ่าน คนที่เดินสวนมา สัตว์เลี้ยง นก ทิวทัศน์ ฯลฯ 2.2 การดูโดยผ่านสื่อ ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แผ่นพับ ป้ายโฆษณา ฯลฯ สื่อกล้อง เช่น กล้องถ่ายรูป กล้องส่องทางไกล กล้องจุลทรรศน์ สื่อ อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์โทรทัศน์ ซีดีรอม วีดิทัศน์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ สื่ออื่น ๆ เช่น ภาพยนตร์ ภาพนิ่ง 3. วิธีวิเคราะห์และประเมินค่าจากการดูโดยทั่วไป การวิเคราะห์และประเมินค่าจากการดูด้วย มีวิธีการดังนี้ 3.1 ติดตามเรื่องที่ดูอย่างต่อเนื่อง สม่ าเสมอ 3.2 ใช้ความรู้ประสบการณ์ พิจารณาสิ่งที่ดูอย่างละเอียด แยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นอย่างมีเหตุผล 3.3 จับประเด็นสิ่งที่ดูจนสามารถตอบตนเองได้ว่าได้รับความรู้ ข้อคิด ความ เพลิดเพลินจากสิ่งที่ดู 3.4 ได้รับประโยชน์และคุณค่าจากการดู 3.5 บอกประโยชน์และคุณค่าจากการดูได้ 4. การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการดูโทรทัศน์ โทรทัศน์เป็นสื่อประเภทโสตทัศน์ที่ได้รับความนิยมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถี ชีวิตในสังคมยุคปัจจุบัน ด้วยความสามารถในการเข้าถึงทุกครัวเรือน ความรวดเร็วในการ สื่อสาร ความดึงดูดใจจากภาพเคลื่อนไหวและเสียง ตลอดจนความหลากหลายของรายการ 4.1 ประเภทของรายการโทรทัศน์ รายการโทรทัศน์จ าแนกตามเนื้อหาแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ได้ดังนี้ 4.1.1 รายการแนวข่าวสารและสารคดี ได้แก่ รายการข่าวและวิเคราะห์ ข่าว รายการสารคดี รายการศึกษา รายการสนทนา รายการบรรยายนอกสถานที่ 4.1.2 รายการแนวบันเทิงคดี ได้แก่ รายการละคร รายการตลก ภาพยนตร์ การ์ตูน เกม และแข่งขันตอบปัญหาปกิณกะบันเทิง ดนตรี เพลงและกีฬา ซึ่งแยก ย่อยแนวรายการได้อีก ๒ ลักษณะ คือ
47 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 1) รายการแนวที่มีส่วนร่วมของผู้ชมและวิทยากรรับเชิญ ได้แก่ รายการเปิดสายจากผู้ชม รายการอภิปราย รายการเพื่อผู้บริโภค 2) รายการโฆษณา ได้แก่ โฆษณาสินค้า ประกาศบริการ รายการ รณรงค์เพื่อสังคม ปัจจุบันมีรายการผสม 2 ลักษณะ ได้แก่ รายการแนวละครผสมตลก รายการสารคดีผสมละคร เป็นต้น 4.2 การวิเคราะห์ข่าวจากการดู ข่าว คือ การรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยนักข่าวจะเป็นผู้คอย สังเกตการณ์แล้วรายงานไปให้ผู้รับสารรับรู้ แต่ทั้งนี้ด้วยข้อจ ากัดในด้านเนื้อที่และเวลาของสื่อ จึงท าให้ไม่สามารถรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างได้ ผู้สื่อข่าวหรือนักข่าว จึงต้องเลือกน าเสนอ เพียง บางข่าว บางประเด็นเท่านั้นขึ้นอยู่กับข่าวนั้น ๆ มีคุณค่าของความเป็นข่าว (News worthiness) มากน้อยเพียงใด โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาคุณค่าของข่าวสารคือ องค์ประกอบของข่าว (News elements) ได้แก่ 4.2.1. องค์ประกอบของข่าว 1) ความรวดเร็ว (Immediacy) หรือความสด (Timeliness) ข่าว จะต้องเป็นเหตุการณ์ที่มีความรวดเร็วในการน าเสนอและเป็นเหตุการณ์ที่มีความทันสมัย สด ใหม่ ทันต่อเหตุการณ์ 2) ความใกล้ชิด (Nearness) ข่าวที่มีความใกล้ชิดกับผู้รับสารมาก เท่าใด ผู้รับสารก็จะให้ความสนใจต่อข่าวมากยิ่งขึ้น 3) ความส าคัญหรือความเด่น (Prominence) ทั้งนี้อยู่ที่ว่าข่าวนั้นจะ เด่นในเรื่องใด อาจเป็นเรื่องของบุคคลที่มีความเด่น ฐานะของผู้เป็นข่าว เวลาหรือสถานที่ที่ เป็นข่าวจะมีความส าคัญต่อข่าวเช่นกัน 4) ผลกระทบ (Impact) คือ ความใกล้ชิด เกี่ยวข้องกับผู้รับสาร โดยตรง หรือมีผลกระทบต่อคนจ านวนมาก 5) ความมีเงื่อนง า (Suspense) เงื่อนง า คือ การค้นหาข้อเท็จจริง การมีปมในข่าว เงื่อนง า น่าสนใจ น่าติดตาม 6) ความผิดธรรมดา (Oddity) อาจเป็นเรื่องของคนในข่าว สิ่งของ หรืออื่น ๆ ที่สามารถเป็นข่าวได้นั้น ต้องมีความแปลก เป็นที่น่าสนใจของผู้บริหาร 7) ความขัดแย้ง (Conflict) อาจเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล กลุ่ม บุคคล ประเทศหรือระหว่างประเทศ เช่น ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับผู้ ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย หรือความขัดแย้งใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย 8) องค์ประกอบของเพศ (Sex) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง เช่น ความรัก การแต่งงาน การอย่าร้าง เพศที่สาม รวมทั้งการประกวดความงาม เป็นต้น
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 48 9) อารมณ์ (Emotion) เป็นข่าวที่สะเทือนอารมณ์ผู้รับสาร เมื่อรับรู้ แล้วรู้สึกคล้อยตามข่าว เช่น ข่าวการตาย การสูญเสีย ชีวิตที่รันทด 10) ความก้าวหน้า (Development) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เทคโนโลยีใหม่ข่าววิชาการ การพัฒนา 11) ความตลกขบขันของชีวิต (Drama) 4.2.2 คุณภาพของข่าว ข่าวจะต้องตอบสนองต่อสังคมอย่างมีคุณภาพ โดยพิจารณาได้ จากสิ่งต่อไปนี้ 1) ข่าวจะต้องมีความถูกต้องสมบูรณ์ 2) ข่าวต้องมีความสมดุลและเที่ยงตรง 3) ข่าวจะต้องมีความสดและทันต่อเหตุการณ์ 4) ข่าวจะต้องมีความเป็นกลาง 5) ข่าวจะต้องมีความกะทัดรัดชัดเจนและรายงานด้วยภาษาง่าย เลี่ยงค าศัพท์เทคนิค 4.2.3 ข้อสังเกตการน าเสนอข่าวทางโทรทัศน์ การน าเสนอข่าวทางโทรทัศน์มีข้อที่ควรสังเกตดังต่อไปนี้ 1) ไม่สามารถน าเสนอข่าวได้รวดเร็วเท่าวิทยุเพราะมีข้อจ ากัด เรื่องภาพ และการตัดสัญญาณจากรายการปกติ 2) เสนอข่าวได้เช่นเดียวกับวิทยุแต่อาจมีปัญหาในการติดตั้ง อุปกรณ์ 3) เสนอข่าวได้น้อยกว่ารายการวิทยุ 4) แม้จะให้รายละเอียดได้มากกว่าวิทยุแต่ก็น้อยกว่าหนังสือพิมพ์ 5) เร้าความสนใจผู้ชมได้มากที่สุดเพราะมีทั้งภาพและเสียง 6) ต้องตั้งใจดูและฟัง ยกเว้นต้องการฟังเพียงอย่างเดียว 7) สามารถดูได้ทุกเพศทุกวัย 4.2.4 แนวคิดส าคัญต่อคุณลักษณะและคุณค่าของข่าว แนวคิดทางการสื่อสารที่มีต่อคุณลักษณะของข่าวและคุณค่าของ ข่าว ประกอบด้วย 1) แนวคิดตามโครงสร้างหน้าที่ แนวคิดนี้เชื่อว่าคุณค่าข่าวเป็น คุณลักษณะที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติในบางเรื่องหรือบางเหตุการณ์ สื่อมวลชนน าเสนอเพื่อ ช่วยให้สังคมทราบความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนและโลก 2) แนวคิดเชิงวิพากษ์ แนวคิดนี้เชื่อว่าข่าวเป็นเสมือนสินค้าที่ถูก ผลิตขึ้นมาโดยถูกก าหนดและควบคุมโดยชนชั้นปกครองหรือเจ้าของทุน เพื่อตอบสนองความ
49 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ ต้องการของตลาดให้มากที่สุด ข่าวที่มีคุณค่าจึงหมายถึงข่าวที่ขายได้และค่านิยมต่าง ๆ ใน เนื้อหาข่าวเป็นสิ่งที่ถูกก าหนดและควบคุมโดยชนชั้นปกครองหรือเจ้าของทุน 3) แนวคิดทางวัฒนธรรมศึกษา แนวคิดนี้เชื่อว่า “ข่าว” ไม่ใช่ รายงานตามความเป็นจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่เป็นเพียง “ความจริงที่ถูกประกอบสร้าง” บน พื้นฐานข้อเท็จจริงของเหตุการณ์นั้น ๆ โดยผู้รายงานข่าวจะเป็นผู้สร้างความหมายให้กับเรื่อง ที่เกิดขึ้นในสังคมโดยใช้เทคนิคหรือทักษะของมืออาชีพที่ผู้ชมคุ้นเคย มีการเข้ารหัสทาง วัฒนธรรมและผ่านกระบวนการครอบง าทางสังคม ข่าวจึงเป็นสินค้าที่มีมูลค่าและค่านิยม บางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อครอบง ามุมมองอื่นๆ 5. การวิเคราะห์จากการดูละครโทรทัศน์ ละคร หมายถึง ศิลปะการแสดงที่เกิดขึ้นจากการน าภาพ ประสบการณ์และ จินตนาการของมนุษย์มาผูกเป็นเรื่องราวแล้วน าเสนอแก่ผู้ชมโดยมีผู้แสดงเป็นผู้สื่อ ความหมาย 5.1 ประเภทของละคร แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้ 5.1.1 ละครแนวเหมือนจริง (Representation drama) คือละครที่ให้ ภาพชีวิตความเป็นจริงสะท้อนชีวิตในสังคมและความเป็นอยู่ของชุมชนออกมาเป็นเรื่องราว ดังค ากล่าวที่ว่า “ละครคือชีวิต” 5.1.2 ละครแนวไม่เหมือนจริง (Presentation drama) คือ ละครที่ให้ ภาพของการแสดงหลุดออกไปจากชีวิตประจ าวัน โดยยึดคนดูเป็นเป้าหมายส าคัญเพื่อให้คนดู เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ตื่นเต้นและผู้ดูจะเกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ชีวิตจริง เช่น การแสดงโขน ละครร า ซึ่งฉากและเครื่องแต่งกายจะหรูหราเกินจริง แต่ก็สวยงาม ประณีตวิจิตรบรรจง มีเสน่ห์ ประทับใจคนดู 5.2 องค์ประกอบของละคร การแสดงที่เป็นละครจะต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้ 5.2.1 เรื่อง (Story) ตัวละครเจรจาไปตามเนื้อเรื่องของบทละคร ผู้เขียน บทจะต้องมีความสามารถในการบรรยายบุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครได้ชัดเจน 5.2.2 เนื้อหาสรุป (Subject) หรือแนวคิด (Theme) เช่น ต้องการให้เกิด ความกตัญญู ความรักชาติ หรือมุ่งสอนจริยธรรม 5.2.3 นิสัยตัวละคร (Characterization) บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละคร ต้องตรงกับเนื้อหาสรุป 5.2.4 บรรยากาศ (Atmosphere) หมายถึง การสร้างบรรยากาศรอบ ๆ ที่เกี่ยวกับตัวละคร เพื่อช่วยให้ผู้ชมละครมีความรู้สึกคล้อยตามไปกับตัวละคร 5.3 จุดมุ่งหมายของละคร ละครมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของ มนุษย์ ๓ ระดับ ดังนี้
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 50 5.3.1 อารมณ์ ละครมีจุดมุ่งหมายให้ความบันเทิงแก่มนุษย์ได้ผ่อนคลาย ความเครียด บางครั้งอาจกระตุ้นอารมณ์ให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ท าให้มนุษย์มีความสุข กระตือรือร้นในการด าเนินชีวิต 5.3.2 สมอง ละครให้คุณค่าทางสติปัญญา โดยการดูละครแล้วกลับมา พิจารณาปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับสังคมส่วนรวม 5.3.3 จิตใจ ความสัมพันธ์ของละครกับจิตใจมนุษย์มีมาแต่โบราณ จะเห็น ได้ว่าละครตะวันออกและตะวันตกล้วนถือก าเนิดมาจากพิธีบวงสรวงเทพเจ้า เพื่อขอพรพระ และให้เทพเจ้าบันดาลสิ่งที่ตนปรารถนา ดังนั้น ผู้ดูละครจึงควรดูอย่างวิเคราะห์ว่า ละครสามารถให้ได้ทั้งความบันเทิง กระตุ้น เร้าความคิด ให้การศึกษา ความสนุกสนาน เพลินเพลิน สอนบทเรียน ให้ความฝันที่ คนดูปรารถนา เป็นเสมือนโลกที่งดงาม ให้ผู้คนหลีกหนีจากชีวิตที่สับสน ได้พักสมองคลาย ความเครียดได้ชั่วขณะหนึ่ง หากผู้ดูดูอย่างเข้าใจจะท าให้ได้รับทั้งอรรถรสและประโยชน์จาก การดูอย่างเต็มที่ กิจกรรมการเรียนการสอน 1. ศึกษาเอกสารมอดูลที่ 2.1 2. ให้นักศึกษาท าใบกิจกรรมที่ 2.1.๑ และ 2.๑.2
51 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ เอกสารอ้างอิง กองเทพ เคลือบพณิชกุล. (2542). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. การฟัง. (ม.ป.ป.). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2558, จาก http:www. edu. e-tech.ac.th/mdec/learning/thai2000/unit004.html. . (ม.ป.ป.). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2558, จาก http://www.panyathai.or.th /wiki/index.php. คณะกรรมการวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ศูนย์วิชาบูรณาการ หมวดวิชาศึกษาทั่วไป. (2549). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. (2542). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (พิมพ์ครั้งที่ 2) กรุงเทพฯ : ดับเบิ้ลนายน์พริ้นติ้ง. ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. (2542). เทคนิคการอ่าน. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร. ดนยา วงศ์ธนะชัย. (2542). การอ่านเพื่อชีวิต. สถาบันราชภัฎพิบูลสงคราม. พรวิภา ไชยสมคุณ. (2548). การอ่าน. เชียงใหม่ : ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2542). เอกสารประกอบการสอนชุดการอ่านภาษาไทย หน่วยที่ 8-15 (พิมพ์ครั้งที่ 7) นนทบุรี: ส านักพิมพ์หาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 52 กิจกรรมที่ 2.1.๑ ค าชี้แจง ให้นักศึกษา ดูรายการข่าวทางโทรทัศน์มา 1 ข่าว แล้วท ากิจกรรมต่อไปนี้ 1. ข่าวที่ดูเป็นข่าวประเภทใด 2. ให้นักศึกษาสรุปเนื้อหาของข่าวที่ดูมาให้เข้าใจ 3. ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในข่าว 4. นักศึกษาได้ประโยชน์อะไรจากการดูข่าว
53 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ กิจกรรมที่ 2.๑.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. สามารถสรุปความจากสารที่ได้จากการฟังได้ 2. วิเคราะห์สารที่ได้รับจากการฟังและดูได้ 3. ประเมินค่าสารที่ได้จากการฟังและดูได้ ค าชี้แจง ให้นักศึกษาดูโฆษณาทางสถานีโทรทัศน์มาคนละ 1 โฆษณาแล้วตอบค าถามต่อไปนี้ 1. รายการโฆษณาที่ได้ดูเป็นโฆษณาสินค้าอะไร......................................................... 2. จุดประสงค์ของการโฆษณาคืออะไร……………………………………………………………… 3. สรรพคุณของสินค้ามีอะไรบ้าง .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. 4. สิ่งที่ท าให้เกิดความมั่นใจในสินค้าคือ .................................................................................................................................. 5. ท่านคิดว่าการโฆษณาสินค้านั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะเหตุใด ................................................................................................................................... ................................................................................................................................... 6. ถ้านักศึกษาเป็นผู้บริโภค จะตัดสินใจอย่างไร จงอธิบายและให้เหตุผล ................................................................................................................................... 7. กลุ่มผู้บริโภคที่เหมาะสมกับสินค้าชนิดนี้ ควรเป็นกลุ่มใด ……………………………………………………………………………………………………………………..
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 54 แผนการเรียน มอดูลที่๒.๒ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าสารจาการอ่าน มอดูลที่ 2.๒ โปรดอ่านหัวข้อเรื่อง แนวคิดและจุดประสงค์การเรียนของมอดูลที่ 2.๒ แล้วจึงศึกษา รายละเอียดต่อไป หัวข้อเรื่อง การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการอ่าน แนวคิด ในสังคมปัจจุบันมีช่องทางการน าเสนอข้อมูลให้ฟังและดูจ านวนมาก ผู้ที่รู้จักเลือกที่ จะฟังและดู เมื่อได้รับข้อมูลแล้วรู้จักวิเคราะห์ ประเมินค่าเพื่อน าไปใช้ในทางสร้างสรรค์เป็น สิ่งที่จ าเป็น เพราะผลที่ตามมาจากการอ่าน จะเป็นผลบวกหรือลบต่อสังคม ขึ้นอยู่กับการ น าไปใช้ ดังนั้น ผู้ฟังและดูต้องรับสารอย่างมีวิจารณญาณ โดยเข้าใจเนื้อหาสาระ ใช้ปัญญาคิด ใคร่ครวญ อาศัยความรู้ ความคิดเหตุผลและประสบการณ์แล้วน าไปใช้อย่างเหมาะสม จึงจะ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและสังคม จุดประสงค์การเรียน เมื่อศึกษาหัวข้อเรื่อง “การวิเคราะห์และการประเมินค่าสารจากการอ่าน” แล้ว ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการอ่านได้
55 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ เนื้อหา การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการอ่าน การอ่านเป็นทักษะที่จ าเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาหาความรู้และพัฒนาชีวิตซึ่ง นอกจากจะท าให้เกิดความรู้แล้ว ยังก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและส่งเสริมให้มี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ได้รับแนวคิดในการด าเนินชีวิต การอ่านเป็นหัวใจหลักของ การศึกษาทุกระดับและเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ต่าง ๆ (กรมวิชาการ, ๒๕๔๖) ดังนั้นการอ่านจึงเป็นความรู้พื้นฐานส าคัญเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้ การติดต่อสื่อสารและ ใช้ในการด ารงชีวิตประจ าวัน 1. ขั้นตอนของการอ่านโดยทั่วไป 1.1 ก าหนดจุดประสงค์ในการอ่านให้แน่นอน ก่อนการอ่านหนังสือทุกครั้งผู้อ่านต้องตั้งวัตถุประสงค์ไว้ว่าต้องการอ่าน เพื่ออะไรเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือเพื่อศึกษาหาความรู้ ขณะอ่านต้องพยายาม ค้นหาสิ่งที่ต้องการจากหนังสือที่อ่านให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการอ่านอย่าง คุ้มค่า การอ่านหนังสือโดยทั่วไปมีหลายวิธีดังนี้ 1.1.1 อ่านผ่าน ๆ หรืออ่านคร่าว ๆ การอ่านแบบนี้ไม่ต้องอ่าน รายละเอียดแต่จะอ่านเฉพาะหัวข้อส าคัญเพื่อหาแนวทางหรือหาสิ่งที่เราต้องการ บางตอนก็ ข้ามไปบ้างเมื่อเห็นว่าข้อความนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ใช้กับการอ่านหนังสือพิมพ์หรือ นวนิยาย 1.1.2 อ่านอย่างละเอียด วิธีนี้ต้องอ่านละเอียดทุกตัวอักษร ต้องให้ความ สนใจมาก อ่านอย่างมีสมาธิ ไม่หยุดครึ่ง ๆ กลาง ๆ ขณะอ่านต้องพยายามติดตามเรื่อง ถ้ามี ข้อความตอนใดที่เห็นว่าควรจะจดจ าควรขีดเส้นใต้ไว้ให้เห็นเด่นชัด การอ่านแบบนี้ใช้อ่าน ต าราเรียน บทความ 1.1.3 อ่านอย่างวิเคราะห์วิจารณ์ หมายถึงการอ่านอย่างละเอียดทุก ตัวอักษร และเมื่ออ่านจบแล้วต้องแยกแยะได้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือความเห็น อะไร ถูก อะไรผิด ถ้าผิดก็ต้องทราบว่าผิดอย่างไร ขณะอ่านควรใช้ความคิดวิจารณ์ในเรื่องที่อ่าน ด้วยว่าวิธีเขียนเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ ตอนไหนเพราะเหตุใด วิธีนี้ใช้กับการอ่าน กฎเกณฑ์ ทฤษฎีต่าง ๆ ตลอดจน ค าโฆษณาชวนเชื่อ 1.1.4 พยายามท าความเข้าใจกับเรื่องที่อ่าน 1.1.5 มีสมาธิในการอ่าน 1.1.6 อ่านจบ ทบทวนเรื่องที่อ่านอีกครั้ง
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 56 2. ประโยชน์เฉพาะหน้าจากการอ่าน 2.1 ช่วยให้เป็นคนเรียนเก่ง เพราะเมื่ออ่านเก่งแล้วจะเรียนวิชาต่าง ๆ ได้ดี 2.2 ช่วยให้เป็นผู้ประสบความส าเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะได้อ่าน เอกสารที่ให้ความรู้ในการปรับปรุงงานของตนอยู่เสมอ 2.3 ช่วยให้ได้รับความบันเทิงในชีวิตมากขึ้น เพราะการได้อ่านวรรณกรรมดี ๆ ย่อมท าให้เกิดความเพลิดเพลินในยามว่าง 2.4 ช่วยท าให้ผู้ที่สังคมยอมรับ เพราะผู้ที่อ่านมากจะรู้จักปรับตัวให้เข้ากับ สังคมได้ดี 2.5 ช่วยท าให้เป็นคนที่น่าสนใจเพราะผู้ที่อ่านหนังสือมากจะมีความคิดลึกซึ้ง และกว้างขวางสามารถแสดงความรู้ ความคิดเห็นดี ๆ มีประโยชน์ได้ทุกแห่งทุกเวลา 3. การอ่านวิเคราะห์ การอ่านวิเคราะห์ หมายถึง การอ่านเพื่อแยกแยะข้อความที่อ่านอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ทราบถึงโครงสร้าง องค์ประกอบ หลักการและเหตุผลของเรื่อง จนสรุปได้ว่าแต่ละส่วน เป็นอย่างไร สัมพันธ์กันอย่างไร เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร การอ่านวิเคราะห์ช่วยให้เห็นภาพรวมและรายละเอียดของเรื่องที่อ่าน ฝึกให้อ่าน อย่างรอบคอบ ช่วยให้เข้าใจเรื่องนั้นอย่างแท้จริง ช่วยพัฒนาสติปัญญาเพราะต้องใช้เหตุผลใน การอธิบายแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งทักษะในการอ่านนี้สามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ และจะ น าไปใช้ในการอ่านประเมินค่าต่อไป 3.1 วิธีการอ่านด้วยความวิเคราะห์ 3.1.1 ผู้อ่านควรอ่านเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นประจ าให้ต่อเนื่องกัน และ ติดตามเรื่องนั้นอย่างสม่ าเสมอ 3.1.2 ผู้อ่านควรอ่านเรื่องที่ตนสนใจอย่างสม่ าเสมอ 3.1.3 ควรอ่านบทความที่มีการวิเคราะห์วิจารณ์ เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านได้ รู้ความคิดของคนอื่น ๆ และยังเป็นการเพิ่มพูนความรู้ใหม่ ๆ อีกด้วย 3.1.4 ถ้าผู้อ่านมีโอกาสแสดงความคิดเห็นต่อบทวิเคราะห์วิจารณ์ของ ผู้เขียนคนอื่น จะท าให้ผู้เขียนนั้นได้รู้ว่าที่เขาคิดนั้น คิดถูกหรือผิดอย่างไร 3.1.5 ถ้าผู้อ่านมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อ่านคนอื่น จะท าให้รู้ และเข้าใจความคิดของผู้อ่านคนอื่น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ ๆ หรือเกิดความคิด ในสิ่งที่เราคิดไม่ถึงมาก่อน
57 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 3.2 ข้อเสนอแนะในการอ่านด้วยความวิเคราะห์ 3.2.1 อ่านหนังสือเรื่องนั้น ๆ อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ และพินิจ พิจารณาหาเหตุผลประกอบ 3.2.2 อ่านหนังสืออื่น ๆ ประกอบ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ก่อนที่จะประเมินค่า 3.2.3 ใช้ความรู้ ประสบการณ์ และวิจารณญาณในการแยกแยะส่วนที่ดี ส่วนที่บกพร่องอย่างมีเหตุมีผล 3.2.4 เมื่ออ่านหนังสือเรื่องนั้น ๆ จบ สามารถตอบตนเองได้ว่า ได้รับ อะไรบ้างจากการอ่านเรื่องนั้น ๆ เช่น ได้รับความรู้ ความบันเทิง ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ และเรื่องนั้นมีคุณค่าอย่างไร เป็นต้น 3.3 ประโยชน์ของการอ่านด้วยความวิเคราะห์ 3.3.1 ได้รู้ว่าข้อมูลส่วนใดเป็นความจริง ส่วนใดเป็นความเห็น 3.3.2 ท าให้ผู้อ่าน มีความใฝ่รู้ อยากอ่านหนังสืออยู่เสมอ 3.3.3 เป็นการกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความคิดและทัศนะที่กว้างไกลออกไป เมื่อได้ตั้งค าถาม ถามตนเองอยู่เสมอ ๆ 3.3.4 ผู้อ่านจะไม่ยึดมั่นในต าราเพียงเล่มหนึ่งเล่มใดอีกต่อไป 3.3.5 ผู้อ่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อค าโฆษณาชวนเชื่อ แต่จะรู้จักตัดสินใจด้วย ตนเองอย่างถูกต้อง 3.3.6 รู้จักการประเมินค่าเรื่องที่อ่าน ด้วยความรอบคอบและอย่างมีเหตุมี ผล ซึ่งสามารถน าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวัน ในสังคม หรือแม้แต่ในการศึกษาวิชาอื่น ๆ ได้ 4. การอ่านประเมินค่า การอ่านประเมินค่า เป็นการอ่านเพื่ออธิบายลักษณะดี ลักษณะบกพร่องของงาน เขียนในแง่มุมต่าง ๆ ได้แก่ ด้านเนื้อเรื่อง ด้านความคิดเห็น ด้านท านองแต่ง เป็นต้น อธิบาย ให้ผู้อ่านเข้าใจ แล้วต้องวินิจฉัยว่างานนั้น เขียนดีหรือไม่ดี ผู้ประเมินค่าจะต้องหยิบยก ส่วนประกอบที่ส าคัญมาวิพากษ์วิจารณ์ทุกแง่ทุกมุม เพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตาม และเห็นดีเห็น งามตามมุมมองของผู้ประเมินค่า ซึ่งผลจากการเผยแพร่การประเมินค่า จะช่วยให้เกิดงาน เขียนที่สร้างสรรค์ ท าให้ผู้เขียนหรือ ผู้แต่งสร้างสรรค์งานคุณภาพเพื่อผู้อ่านและช่วยให้งาน เขียนแพร่หลายยิ่งขึ้น 4.1 การอ่านประเมินค่าโดยทั่วไป
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 58 4.1.1 ต้องอาศัยหลักเกณฑ์การประเมินค่าตามชนิดของสารที่อ่าน 4.1.2 ต้องมีความสามารถในการอ่าน ใช้วิจารณญาณใคร่ครวญทุกแง่ทุก มุมของงานเขียน 4.1.3 ต้องค้นหาข้อดี ข้อบกพร่องของงานเขียนให้ได้ 4.2 รูปแบบของงานเขียน รูปแบบของงานเขียนโดยทั่วไปแบ่งเป็น ๒ รูปแบบดังนี้ 4.2.1 สารคดี เสนอความรู้ที่น่าสนใจ ถูกต้อง และน่าเชื่อถือ เสนอ ความเห็นที่มีเหตุผล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จริงใจ และเป็นกลาง การน าเสนอเรื่อง สนุกสนาน ชวนติดตาม ต่อเนื่อง ใช้ภาษาชัดเจน เข้าใจง่าย เหมาะกับผู้อ่าน 4.2.2 บันเทิงคดี การอ่านบันเทิงคดีต้องพิจารณาส่วนประกอบดังนี้ 1) พิจารณาองค์ประกอบของเรื่อง (1) โครงเรื่องต้องแสดงการกระท า และเหตุการณ์ที่เกี่ยวโยง ต่อเนื่องกัน มีลักษณะสมจริง (2) เนื้อเรื่องก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและสติปัญญาแก่ ผู้อ่าน (3) แนวคิดของเรื่องชัดเจนและมีคุณค่าแก่ผู้อ่าน (4) ตัวละครและฉากมีลักษณะสมจริง และช่วยเสนอแนวคิด ของเรื่อง 2) การเสนอเรื่องชวนติดตาม เร้าความสนใจของผู้อ่าน 3) การใช้ภาษาชัดเจน และเข้าใจง่าย 4.3 คุณสมบัติของผู้ประเมินค่า ผู้ประเมินค่าจากการอ่านควรมีคุณสมบัติดังนี้ 4.3.1 มีความรู้เกี่ยวกับผลงานที่ประเมินค่า 4.3.2 รู้หลักการประเมินค่า หรือหลักการวิพากษ์วิจารณ์ 4.3.3 มีความรู้ในสาขาวิชาการต่าง ๆ 4.3.4 เป็นนักอ่านและสนใจงานทุกประเภท 4.3.5 มีใจกว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 4.4 หลักการอ่านประเมินค่า 4.4.1 พิจารณาความถูกต้องของภาษาจากเรื่องที่อ่าน ภาษาที่ไม่ถูกต้อง จะท าให้เกิดความคลาดเคลื่อนไปจากความหมายที่แท้จริง ความถูกต้องของภาษามีหลาย
59 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ ลักษณะ เช่น การใช้ค าผิดความหมาย การเรียงค าในประโยคผิด การไม่รู้จักเว้นวรรคตอน เป็นต้น นับเป็นองค์ประกอบส าคัญต่อการสื่อความหมาย 4.4.2 พิจารณาความต่อเนื่องของประโยค ว่าเป็นข้อความที่ไปกันได้ ไม่ ขัดแย้งกัน หรือข้อความที่ให้ความก้าวหน้าแก่กัน หากข้อความใดมีเนื้อหาสับสนวุ่นวาย ไม่ เข้ากับหลักตามข้อนี้ ให้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรอ่าน 4.4.3 พิจารณาความต่อเนื่องของความหมาย ความหมายที่ต่อเนื่องต้องมี แกนหลักในการเชื่อมโยงความหมาย เช่น การเขียนชีวประวัติ อาจใช้ช่วงเวลาของชีวิตเป็น หลักเกณฑ์ เป็นต้น 4.4.4 เมื่ออ่านแล้วต้องแยกข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็น และ ความรู้สึกจากเรื่องที่อ่าน ตัวอย่าง “ประเทศหนึ่ง ๆ ต่างมีระบอบการปกครองแตกต่างกันออกไป ประเทศรัสเซียได้ชื่อ ว่าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบบสังคมนิยม ไม่มีศาสนา ไม่มีพระมหากษัตริย์ ถ้าข้าพเจ้า ต้องมีชีวิตอยู่ที่นั่นคงจะอึดอัดมิใช่น้อย เพราะข้าพเจ้าถือว่า ทั้งสองสถาบันนี้คือ ศูนย์รวม จิตใจของทุกคน” (การพูดตามนัย เนื้อหา : อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท) ข้อเท็จจริง – ประเทศหนึ่ง ๆ ต่างมีระบอบการปกครองของตนเองไม่เหมือน ประเทศอื่น ประเทศรัสเซียมีการปกครองตามระบอบสังคมนิยม ไม่มีศาสนา ไม่มี พระมหากษัตริย์ ความคิดเห็น – เพราะข้าพเจ้าถือว่าทั้งสองสถาบันนี้ คือศูนย์รวมจิตใจของทุกคน ความรู้สึก – ถ้าข้าพเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ที่นั่นคงจะอึดอัดใจมิใช่น้อย 4.4.5 พิจารณาดูความสัมพันธ์ของหลักการและตัวอย่างว่ามีความจริง อย่างไร สมเหตุผลหรือไม่ ก่อนที่จะเชื่อในเรื่องที่อ่านนั้น 4.4.6 ประเมินข้อเท็จจริง ความคิดเห็น และความรู้สึก วิเคราะห์ความ เป็นไปในความคิดของผู้เขียน กับความคิดเห็นส่วนตัวของเรา ผลลัพธ์แห่งการประเมินนั้นจะ ก่อเป็นความคิดสร้างสรรค์ให้กับเราหรือไม่
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 60 ตัวอย่างการประเมินค่าหนังสือรวมเรื่องสั้น “ความน่าจะเป็น” ของปราบดา หยุ่น “ความน่าจะเป็น” แสดงความสามารถของผู้เขียนในการน าเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง มาเขียนให้เป็นเรื่องน่าขบคิดหรือตั้งค าถามโดยไม่ให้ค าตอบ เรื่องสั้นในรวมเรื่องสั้นชุดนี้มีลีลาและกลวิธีการเขียนเฉพาะตัว และมีความ หลากหลายแปลกใหม่ในด้านกลวิธีและขนบวรรณศิลป์ นอกจากนี้ ยังมีความโดดเด่นด้านการ เล่นกับภาษาอย่างมีรากฐานทางวัฒนธรรม ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น หนังสือรวมเรื่องสั้น “ความน่าจะเป็น” ของปราบดา หยุ่น จึงมีความดีเด่นสมควรแก่การยกย่องเป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทยประจ าปี 2555 ที่มา : ค าประกาศของคณะกรรมการตัดสินรางวัลซีไรต์ สรุป การรู้เท่าทันการสื่อสาร เป็นทักษะชีวิต เป็นวิธีคิดที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน การ วิเคราะห์และประเมินค่าสารเป็นพื้นฐานในการฝึกการรู้เท่าทันการสื่อสาร ซึ่งเป็นการฝึกให้ผู้ สื่อสาร รู้เท่าทันการสื่อสารทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การรู้เท่าทันจุดมุ่งหมายแท้ ๆ ของผู้ส่งสาร รู้เท่าทันความหมายแท้ ๆ ของสาร รู้เท่าทันสื่อ รู้เท่าทันผลโดยตรงและผลกระทบสืบเนื่อง ของการสื่อสารครั้งนั้น การวิเคราะห์สารท าให้ได้ฉุกใจคิด และการประเมินค่าคือการเลือก รับสารอย่างเหมาะสม โดยใช้วิจารณญาณในการคิดไตร่ตรอง ซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยฝึก ให้ผู้เรียนเป็นเด็กฉลาด รู้จักคิด การที่ผู้สื่อสารสามารถวางท่าทีต่อการสื่อสารครั้งนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม มี วิธีคิดและวิธีท า (มีการคิดและการตัดสินใจ การเลือกท่าทีที่เหมาะสม และการลงมือท า) ที่ เหมาะแก่สถานการณ์หรือภาวการณ์นั้น โดยมีเป็นหมายสูงสุดเพื่อให้เป็นผู้มีวุฒิภาวะเข้าใจ โลก และรู้เท่าทันชีวิต ดังนั้น การวิเคราะห์และประเมินค่าสารเป็นทักษะที่จ าเป็นอย่างยิ่งต่อ การสื่อสารและพัฒนาชีวิต เพราะจะท าให้มีวิจารณญาณในการคิดอันจะเป็นประโยชน์ในการ ด าเนินชีวิตในยุคข้อมูลข่าวสาร
61 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ กิจกรรมที่ 2.๒ จุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าสารที่อ่านได้อย่าง เหมาะสม ค าชี้แจง ให้นักศึกษาศึกษา และปฏิบัติกิจกรรมดังนี้ ให้นักศึกษาวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่าสารจากการอ่านบทความ แสดง ความคิดเห็นในวารสารมติชนรายสัปดาห์ มา 1 บทความ โดยตอบค าถาม ดังนี้ 1. ให้นักศึกษาบอกรูปแบบของสาร และสรุปสาระส าคัญของสารที่ได้รับ 2. ให้นักศึกษาอธิบายความรู้สึกที่ได้จากการอ่านสารที่ได้รับ 3. ให้นักศึกษาบอกคุณค่าที่ได้จากการอ่านสาร 4. ให้นักศึกษาบอกข้อบกพร่องของสารที่ได้อ่าน 5. นักศึกษามีแนวคิด หรือมีแนวปฏิบัติอย่างไรจากสิ่งที่ได้จากการอ่านสาร 6. ให้นักศึกษาสรุปประโยชน์ที่ได้จากการอ่านสารที่ได้รับ เอกสารอ้างอิง คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย. (2542). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (พิมพ์ครั้งที่ 2) กรุงเทพฯ : ดับเบิ้ลนายน์พริ้นติ้ง. ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. (2542). เทคนิคการอ่าน. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร. ดนยา วงศ์ธนะชัย. (2542). การอ่านเพื่อชีวิต. สถาบันราชภัฎพิบูลสงคราม. พรวิภา ไชยสมคุณ. (2548). การอ่าน. เชียงใหม่ : ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2542). เอกสารประกอบการสอนชุดการอ่านภาษาไทย หน่วยที่ 8-15 (พิมพ์ครั้งที่ 7) นนทบุรี : ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 62 แบบประเมินตนเองหลังเรียน หน่วยที่ ๒ ค าสั่ง จงท าเครื่องหมาย ล้อมรอบตัวอักษร (ก) (ข) (ค) หรือ(ง) หน้าค าตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียง ค าตอบเดียว 1. ส่วนใดไม่จัดอยู่ในผลการวิเคราะห์ข่าว ก. ส่วนที่เป็นความคิดเห็น ข. ส่วนที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติม ค. ส่วนที่จะน าไปใช้ประโยชน์ ง. ส่วนที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ 2. การรับสารประเภทใดจ าเป็นต้องวิเคราะห์และวินิจสารให้มากที่สุด ก. ละคร ข. ประกวด ค. ภาพเขียน ง. โฆษณา 3. ข้อใดเป็นลักษณะความคิดที่เกิดขึ้นในการรับสาร ก. เกิดขึ้นขณะอ่านและฟัง ข. เกิดขึ้นขณะอ่านและฟัง กับ หลังอ่านและฟังจบ ค. เกิดขึ้นขณะเขียนและพูด ง. เกิดขึ้นหลังเขียนและพูดจบ 4. ข้อใดเป็นการรับสารเพื่อการศึกษา ก. ฟังประกาศจากวิทยุ ข. ชมภาพยนตร์ ค. อ่านบทความวิชาการ ง. อ่านหนังสือพิมพ์ 5. ข้อใดไม่ได้จัดเป็นขั้นตอนของการวินิจสาร ก. พิจารณาข้อเท็จจริง ข. พิจารณาข้อคิดเห็น ค. พิจารณารูปแบบ ง. พิจารณาข้อความบอกอารมณ์และความรู้ในสาร
63 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 6. ข้อใดเป็นการดูโดยไม่ผ่านสื่อใด ๆ ก. จุลสาร ประติมากรรม โขน ข. วารสาร ภาพยนตร์ ดนตรี ค. กายกรรม เทนนิส คอมพิวเตอร์ ง. ละครเวที ทิวทัศน์ สิ่งก่อสร้าง 7. ข้อใดอยู่ในขั้นตอนของการวิเคราะห์สาร ก. ศึกษาแก่นของเรื่อง ข. ดูเจตนาของผู้เขียน ค. ศึกษากลวิธีในการเสนอเรื่อง ง. สังเกตการใช้ภาษาในการเขียน 8. ข้อใดไม่จ าเป็นต้องวิเคราะห์สาร ก. ป้องเลือกซื้อครีมกันแดด ข. นกให้อาหารแมวอยู่ริมระเบียง ค. ครูฟังนักเรียนเล่าปัญหาในการเรียน ง. ตุ๊กตาอ่านนวนิยายเรื่อง “ความสุขของกะทิ” 9. ข้อใดคือความหมายของการวิเคราะห์สาร ก. คาดคะเน กะดู คาดเดา ข. คุณค่า ราคา ประโยชน์ ค. รับรู้ เข้าใจ ใคร่ครวญ ง. พิจารณา ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง 10. การฟังในระดับใดที่ท าให้ได้สาระจากเสียงที่เกิดขึ้นนั้นได้ ก. การได้ยินเสียง ข. การมีสมาธิต่อสิ่งที่ได้ยิน ค. การเข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน ง. การตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ยิน
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 64 ภาคผนวก
65 ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ เฉลย/แนวตอบ แบบประเมินตนเองก่อนเรียน หน่วยที่ 2 ข้อ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ง ก ข ข ง ค ค ข ค ก เฉลย/แนวตอบ แบบประเมินตนเองหลังเรียน หน่วยที่ 2 ข้อ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ข ง ข ก ก ง ง ข ง ค
ชุดการเรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ 66