นิทานพื้นบ้าน
เรื่อง พิกุลทอง
จัดทำโดย
นายสุธินันท์ ทอสวัสดิวงศ์
ประวัติความเป็นมาของเรื่อง:
เป็น ละครนอก หนึ่งใน 14 เรื่อง ที่นิยมนำมาเล่นกันมากเรื่องหนึ่งตั้งแต่ครั้ง สมัยอยุธยา ปัจจุบัน
ยังพบว่ามีต้นฉบับหนังสือตัวเขียนที่เหลือรอดจากการถูกพม่าทำลายคราวเสียกรุง เก็บรักษาไว้
อยู่ที่ หอสมุดแห่งชาติ เป็นสมุดข่อยสีขาว ตัวหมึกดำ ลายมือกึ่งบรรจงแกมหวัด ตัวอักษรไม่
สม่ำเสมอและมีบันทึกว่า หมู่กลอนบทละคร ชื่อ พิกุลทอง เล่ม 1 (สำนวนเก่า) เลขที่ 20 ตู้ที่ 114
ชั้น 2/1 มัด 39 ประวัติ สมบัติเดิมของหอพระสมุดวชิรญาณ ซึ่งมีเนื้อความเริ่มตั้งแต่นางพิกุล
ทองสรงน้ำ จนจบตอนท้ายคือปราบนางยักษ์กาขาวและยังไม่ได้รับตรวจสอบชำระฉบับที่เหลือ
อื่นๆ หรือตีพิมพ์จากกรมศิลปากร ส่วนเรื่องนางพิกุลทองต่อจากสำนวนเดิมที่เป็นการผจญภัย
ยืดยาวถึงรุ่นลูกนั้น มาจากกลอนอ่านสำนวนของ นายบุศย์ รจนา จัดพิมพ์โดยโรงพิมพ์วัดเกาะ
ราวปี พ.ศ. 2433 ตรงกับสมัย รัชกาลที่ 5 ซึ่งนายบุศย์ผู้นี้ได้นำนิทานไทยครั้งกรุงเก่ามาแต่ง
สำนวนใหม่เป็น "กลอนอ่าน" หรือ กลอนสวด อยู่หลายเรื่อง เช่น แก้วหน้าม้า, จันทโครพ,
สุวรรณหงส์ เป็นต้น
ผู้แต่ง บทละครนอก เรื่องพิกุลทอง เป็นนิทานไทย
เรื่องหนี่งซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับผู้แต่ง แต่เมื่อ
พิจารณาจากสำนวนที่ติดปากคนไทยว่า “กลัวดอก
พิกุลจะร่วง” อาจสันนิษฐานได้ว่านิทานไทยเรื่อง
พิกุลทอง คงเป็นที่นิยมมากในอดีต กระทั่ง
เอกลักษณ์ของตัวละครเอกในเรื่องกลายเป็นสำนวน
ติดปากคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้
ลักษณะคำประพันธ์ กลอน
บทละครนอก
เมื่อนั้น นวลนางพิกุลทองกัลยา
เป็นบุตรท้าวสันนุราชา[๑] โสภากำดัดกระษัตรีย์
อันองค์พระราชมารดา ชื่อพิกุลจันทรามารศรี
ครองสันนุราชธานี จำเริญศรีเลิศลํ้าอำไพ
เกศานางหอมขจรกลิ่น รวยรินไม่มีที่เปรียบได้
จะแย้มโอษฐ์เจรจาออกเมื่อใด พิกุลทองก็ไหลจากโอษฐ์มา
เมื่อเหตุจะถึงนางทรามวัย ให้เดือดร้อนในใจเป็นนักหนา
จะใคร่ไปสรงพระคงคา ยังที่ท่าท้องฉนวนใน ฯ
จุดมุ่งหมายของผู้แต่ง
เพียงไว้สำหรับเล่นละครเท่านั้น แม้การบอกเพลงหน้าพาทย์ก็ไม่ชัดเจนแน่นอน มีตอน
ที่กล่าวถึง พระสังข์ศิลป์ชัยและนางศรีสุพรรณ ซึ่งเป็นตัวละครจากบทละครนอกเรื่อง
สังข์ศิลป์ชัย พร้อมทั้งมีของวิเศษที่เหมือนกันทุกประการ อันได้แก่ สังข์ ศร และพระ
ขรรค์ จึงสันนิษฐานว่า ผู้แต่งคงมีจุดประสงค์ดำเนินเรื่องให้เป็นภาคต่อจากเรื่อง สังข์
ศิลป์ชัย เพราะเรื่อง สังข์ศิลป์ชัย ก็ไม่ได้กล่าวถึงการผจญภัยในรุ่นลูกไว้เลย
เนื้อเรื่องย่อ:
นางพิกุลทองธิดาของท้าวสันนุราชกับนางพิกุลจันทราเป็นหญิงรูปงามและมีผมหอม เมื่อนางพูดจะมีดอกพิกุลทองร่วง
จากปากทุกครั้ง วันหนึ่งนางลงสรงในแม่น้ำ เห็นพญาแร้งจิกกินสุนัขเน่าลอยน้ำมา ก็ด่าว่าพญาแร้งด้วยความรังเกียจ
พญาแร้งอาฆาตแปลงเป็นหนุ่มรูปงามไปอาศัยอยู่กับตายายที่ชายป่า แล้วทำอุบายเนรมิตเงินทองให้ตายายร่ำรวยและ
ให้ไปสู่ขอนางพิกุลทองแก่ตน ท้าวสันนุราชจะยกนางให้แต่ให้สร้างสะพานทองจากบ้านมาถึงวังภายใน 3 วัน พญาแร้งก็
เรียกบริวารมาช่วยสร้างสะพานได้ นางพิกุลทองจึงต้องอภิเษกกับพญาแร้งแปลง แต่พญาแร้งไม่ได้ร่วมอภิรมย์กับนาง
วันหนึ่งพญาแร้งทำอุบายชวนนางเดินทางทางเรือไปบ้านเมืองของตน ระหว่างจอดเรือหยุดพัก พญาแร้งบินไปเรียก
บริวารมากินคนบนเรือ ส่วนนางพิกุลทองนั้นพญาแร้งตั้งใจจะกินเอง แม่ย่านางประจำเรือสงสารจึงแยกเสากระโดงเรือ
ให้นางพิกุลทองซ่อนตัวจนพ้นภัย เมื่อนางพิกุลทองออกมาสรงน้ำและสางผมอยู่ที่บันไดเรือ ผมเส้นหนึ่งหลุดติดมือมา
นางจึงใส่ผอบและจารึกที่ฝาผอบเป็นเรื่องราวแต่หนหลัง อธิษฐานว่าถ้าผู้ใดเป็นคู่ครองของนางขอให้พบผอบนี้และให้
ตามมาช่วยแล้วลอยผอบไป พระพิไชยมงกุฎโอรสท้าวสังข์ศิลป์ไชยกับนางสุพรรณเก็บผอบได้ เมื่อเห็นผมหอมและ
ข้อความที่จารึกไว้ก็ออกตามหาเจ้าของ ระหว่างทางพบนางยักษ์กาขาวบริวารท้าวเวสสุวัณแปลงกายเป็นสาวงามมา
ลวงว่านางเป็นเจ้าของผมหอม พระพิไชยมงกุฎหลงเชื่อจึงอยู่กับนางในเมืองเนรมิตและได้นางเป็นชายา ต่อมาพระพิไชย
มงกุฎสงสัยว่านางเป็นยักษ์จึงใช้มนตร์สะกดไว้แล้วเดินทางต่อไปจนพบนางพิกุลทอง เมื่อพญาแร้งบินมากินคนที่หาด
ทราย พระพิไชยมงกุฎสังหารได้แล้วพานางพิกุลทองไปเป็นชายาอยู่ที่เมืองของตน
หลายปีต่อมานางพิกุลทองมีโอรสกับพระพิไชยมงกุฎ 2 องค์ ชื่อรักและยม วันหนึ่งนางพิกุลทองกับสวามีและโอรสไป
ประพาสทุ่ง นางยักษ์กาขาวซึ่งลอบมาซ่อนตัวในป่าเนรมิตดอกบัวดอกใหญ่ขึ้นและแอบอยู่ในน้ำตามเรือไป เมื่อนางพิกุล
ทองเอื้อมเด็ดดอกบัว ก็ถูกนางยักษ์ฉุดลงไปในน้ำ แล้วสาปให้เป็นชะนี ฝ่ายนางยักษ์ก็แปลงเป็นนางพิกุลทองแทน พระ
พิไชยมงกุฎฉุดนางยักษ์แปลงขึ้นเรือ รักและยมบอกพระพิไชยมงกุฎว่านางผู้นี้ไม่ใช่มารดา ส่วนมารดาที่แท้จริงคือชะนีที่
เดินร้องไห้ตามมาริมน้ำ พระพิไชยมงกุฎกริ้วจึงไล่โอรสทั้งสองขึ้นฝั่งแล้วพานางยักษ์แปลงกลับวัง
รักและยมตามหาชะนีพิกุลทองจนพบและอยู่ด้วยกันในป่า เก็บดอกพิกุลทองที่ร่วงจากปากนางไปแลกอาหารที่ตลาด
พวกวิเสทพบสองกุมารจึงไปทูลนางสุพรรณ เมื่อรู้ความจริงแล้วพระพิไชยมงกุฎจึงพาโอรสทั้งสองไปหาชะนีพิกุลทอง
และถามวิธีแก้คำสาป ชะนีพิกุลทองบอกว่าต้องใช้เลือดนางยักษ์กาขาวมาอาบร่าง พระพิไชยมงกุฎจึงให้เสนานำนาง
ยักษ์แปลงมาที่อุทยาน ออกอุบายให้นางนอนหลับ สั่งให้เพชฌฆาตฟัน แล้วนำเลือดไปรดร่างชะนี นางพิกุลทองจึงกลับ
เป็นมนุษย์ดังเดิม
ระหว่างที่นางพิกุลทองพร้อมพระพิไชยมงกุฎและโอรสเดินทางไปเยี่ยมท้าวสันนุราช นางยักษ์กาสุวรรณน้องของนาง
ยักษ์กาขาวคิดจะแก้แค้นจึงใช้กระบองฟาดเรือสำเภาแตก ทำให้นางพิกุลทองพลัดกับพระพิไชยมงกุฎและโอรส แต่พระ
สมุทรช่วยนางขึ้นฝั่งได้ เมื่อเดินทางเมืองยักษ์ของท้าววิรุฬจักร ท้าววิรุฬจักรคิดจะได้นางเป็นชายาแต่นางไม่ยินยอม จึง
ส่งนางไปเป็นทาสทำงานในครัว ฝ่ายพระพิไชยมงกุฎกับโอรสออกตามหานางพิกุลทอง ได้แหวนวิเศษจากพระวสิษฐ์ฤๅษี
จึงแปลงกายเป็นนกสาลิกา 3 ตัวอยู่ที่อุทยานของท้าววิรุฬจักร
นางอรุณวดีธิดาท้าววิรุฬจักรนำนกทั้งสามไปเลี้ยงในวัง พระพิไชยมงกุฎกลับร่างเป็นมนุษย์และได้นางเป็นชายา นาง
พิกุลทองสงสัยว่ามนุษย์ 3 คนที่สังหารท้าววิรุฬจักรจะเป็นสวามีกับโอรส จึงทดสอบด้วยการทำอาหารแล้วใส่ดอกพิกุล
ทองลงไป ทั้งหมดจึงได้พบกัน นางอรุณวดีใส่ความว่านางพิกุลทองประพฤติชั่ว นางพิกุลทองขอพิสูจน์ความสัตย์ด้วย
การลุยไฟ พระพิไชยมงกุฎจึงรู้ความจริง
นิทานเรื่องสอนกล่าวให้รู้ว่า
จากเค้าเรื่องนิทานนี้จึงเป็นต้นกำเนิดของสำนวนไทยเปรียบ
เปรยคนที่ไม่ค่อยพูดหรือมักพูดอุบอิบอยู่แต่ในปากว่า “กลัว
ดอกพิกุลจะร่วง”
“การคิดดีทำดี …ย่อมได้รับสิ่งที่ดีตอบสนองเสมอ” …อย่าง
เช่น พิกุล