หลักการทรงงาน 23 ข้อ
เสนอ
อาจารย์ ตะวน ชัยรัต
จัดทำ โดย
นาย เฉลิมเกียรติ ชุ่มวงค์
ประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูงปีที่ 2
วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่
1.ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ
- การที่จะพระราชทานพระราชดำริเพื่อดำเนินงาน
โครงการใดโครงการหนึ่งนั้น จะทรงศึกษาข้อมูลราย
ละเอียดอย่างเป็นระบบจากข้อมูลพื้นฐานในเบื้องต้นจาก
เอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และ
สอบถามจากราษฎรในพื้นที่ให้ได้รายละเอียดที่เป็น
ประโยชน์ครบถ้วน เพื่อที่จะพระราชทานความช่วยเหลือ
ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วตรงความต้องการของ
ประชาชน
2.ระเบิดจากข้างใน
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งเน้นเรื่องการ
พัฒนาคน มีพระราชดำรัสว่า “ต้องระเบิดจากข้างใน”
นั้นหมายความว่า ต้องมุ่งพัฒนาเพื่อสร้างความเข้มแข็ง
ให้คนและครอบครัวในชุมชนที่เข้าไปพัฒนาให้มีสภาพ
พร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน แล้วจึงค่อยออกมาสู่
สังคมภายนอก มิใช่การนำเอาความเจริญจากสังคม
ภายนอกเข้าไปหาชุมชนและหมู่บ้าน ซึ่งหลายชุมชนยัง
ไม่ทันได้มีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว จึงไม่สามารถปรับ
ตัวได้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงและนำไปสู่ความล่ม
สลายได้
3.แก้ปัญหาจากจุดเล็ก
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปี่ ยมไปด้วยพระอัจฉ
ริยภาพในการแก้ไขปัญหา ทรงมองปัญหาในภาพรวม
(Macro) ก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาของพระองค์จะทรง
เริ่มจากจุดเล็ก ๆ (Micro) คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะ
หน้าที่คนมักจะมองข้าม ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า
“…ถ้าปวดหัวก็คิดอะไรไม่ออกเป็นอย่างนั้นต้องแก้ไขการ
ปวดหัวนี้ก่อน… มันไม่ได้เป็นการแก้อาการจริง แต่ต้องแก้
ปวดหัวก่อน เพื่อที่จะให้อยู่ในสภาพที่คิดได้แบบ (Macro)
นี้ เขาจะทำแบบรื้อทั้งหมด ฉันไม่เห็นด้วย อย่างบ้านคนอยู่
เราบอกบ้านมันผุตรงนั้น ผุตรงนี้ ไม่คุ้มที่จะซ่อม เอาตกลง
รื้อบ้านนี้ ระเบิดเลย เราจะไปอยู่ที่ไหน ไม่มีที่อยู่ วิธีทำต้อง
ค่าย ๆ ทำ จะไประเบิดหมดไม่ได้…”
4.ทำตามลำดับขั้น
- ในการทรงงานพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว จะทรงเริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นของ
ประชาชนที่สุดก่อน ได้แก่ งานด้านสาธารณสุข
เพราะเมื่อมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้วก็จะ
สามารถทำประโยชน์ด้านอื่น ๆ ต่อไปได้ จากนั้น
จะเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสิ่ง
จำเป็นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้ำ
เพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค รวมถึง
การให้ความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีที่เรียบ
ง่าย เน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ราษฎร
สามารถนำไปปฏิบัติได้และเกิดประโยชน์สูงสุด
5.ศึกษาข้อมูลอย่างเป็น
ระบบ
- การที่จะพระราชทานพระราชดำริเพื่อดำเนิน
งานโครงการใดโครงการหนึ่งนั้น จะทรงศึกษา
ข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบจากข้อมูลพื้น
ฐานในเบื้องต้นจากเอกสาร แผนที่ สอบถามจาก
เจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และสอบถามจากราษฎร
ในพื้นที่ให้ได้รายละเอียดที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน
เพื่อที่จะพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูก
ต้องและรวดเร็วตรงความต้องการของประชาชน
6 .องค์รวม
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีวิธีคิดอย่างองค์รวม
(Holistic) ทรงมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดอย่างเป็นระบบครบวงจร
มองทุกสิ่งเป็นพลวัตที่ทุกมิติเชื่อมต่อกัน ในการที่จะพระราชทาน
พระราชดำริเกี่ยวกับโครงการหนึ่งนั้น จะทรงมองเหตุการณ์ที่จะ
เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยงดังเช่นกรณีของ “ทฤษฎี
ใหม่” ที่พระราชทานเป็นแนวทางดำเนินชีวิตแก่ปวงชนชาวไทย อัน
เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพซึ่งพระองค์ทรงมองอย่างเป็น
องค์รวม ตั้งแต่การถือครองที่ดินโดยเฉลี่ยของประชาชนคนไทย
ประมาณ ๑๐ – ๑๕ ไร่ การบริหารจัดการที่ดินและแหล่งน้ำอัน
เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการประกอบอาชีพ เมื่อมีน้ำในการ
ทำการเกษตรแล้วจะส่งผลให้ผลผลิตดีขึ้น และหากมีผลผลิตเพิ่ม
มากขึ้นเกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีการจัดการและการตลาด รวมถึง
การรวมกลุ่มรวมพลังชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพื่อพร้อมที่จะออกสู่
การเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกได้อย่างครบวงจร นั้นคือ
แนวทางการดำเนินงานทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1,2 และ 3 อย่างองค์รวม
7 .ไม่ติดตำรา
หลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว มีลักษณะการพัฒนาที่อนุโลม
และรอมชอมกับสภาพธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อม และสภาพของสังคมจิตวิทยาของ
ชุมชน เป็นการใช้ตำราอย่างอะลุ่มอล่วยกัน
ไม่ผูกติดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะ
สมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริง คือ
“ไม่ติดตำรา”
8.ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประหยัดมากแม้เป็นเรื่อง
ส่วนพระองค์ดังที่ประชาชนชาวไทยเคยเห็นว่า หลอดยาสี
พระทนต์นั้นทรงใช้อย่างคุ้มค่าอย่างไร ฉลองพระองค์แต่ละ
องค์ทรงใช้อยู่เป็นเวลานาน หรือแม้แต่ฉลองพระบาทหาก
ชำรุดก็จะส่งซ่อมและใช้อย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันการ
พัฒนาและช่วยเหลือราษฎรทรงใช้หลักในการแก้ไขปัญหา
ด้วยความเรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง
หาได้ในท้องถิ่นและประยุกต์ใช้สิ่งสิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นๆ
มาแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีที่ไม่ยุ่ง
ยากนัก ดังพระราชดำรัวความตอนหนึ่งว่า “…ให้ปลูกป่า
โดยไม่ต้องปลูก โดยปล่อยให้ขึ้นเองตามธรรมชาติ จะได้
ประหยัดงบประมาณ…”
9.ทำให้ง่าย
- ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้การคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง
และแก้ไขงานการพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริ
ดำเนินไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และที่สำคัญคือ
สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่และระบบนิเวศโดยส่วน
รวม ตลอดจนสภาพทางสังคมของชุมชนนั้น ๆ ทรงโปรดที่
จะทำสิ่งที่ยาก ให้กลายเป็นง่าย ทำสิ่งที่สลับซับซ้อนให้
เข้าใจง่าย อันเป็นการแก้ปัญหาด้วยการใช้กฎแห่ง
ธรรมชาติเป็นแนวทางนั่นเอง ฉะนั้นคำว่า “ทำให้ง่าย” จึง
เป็นหลักคิดสำคัญของการพัฒนาประเทศในรูปแบบของ
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
10.การมีส่วนร่วม
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักประชาธิปไตย
ทรงเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายทั้งสาธารณชน ประชาชน หรือเจ้า
หน้าที่ทุกระดับได้เข้ามาร่วมกันแสดงความคิดเห็นและร่วม
กันทำงานโครงการพระราชดำริ โดยคำนึงถึงความคิดเห็น
ของประชาชนหรือความต้องการของสาธารณชนด้วย
สำหรับวิธีการมีส่วนร่วมพระองค์ทรงนำ “ประชาพิจารณ์”
มาใช้ในการบริหารจัดการดำเนินงาน ซึ่งเป็นวิธีการที่เรียบ
ง่ายตรงไปตรงมา โดยหากจะทำโครงการใดจะทรงอธิบาย
ถึงความจำเป็นและผลกระทบที่เกิดกับประชาชนทุกฝ่าย
รวมทั้งผู้นำชุมชนในท้องถิ่น เมื่อประชาชนในพื้นที่เห็นด้วย
แล้ว หน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและร่วมดำเนินการมี
ความพร้อม จึงจะพระราชทานพระราชดำริให้ดำเนิน
โครงการนั้น ๆ ต่อไป
11.ประโยชน์ส่วนรวม
- การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และการพระราชทาน
พระราชดำริในการพัฒนาและช่วยเหลือพสกนิกรใน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงระลึกถึงประโยชน์ของ
ส่วนรวมเป็นสำคัญ ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า
“…ใครต่อใครบอกว่า ขอให้เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
อันนี้ฟังจนเบื่อ อาจรำคาญด้วยซ้ำว่า ใครต่อใครมาก็
บอกว่าขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจว่า
ให้ ๆ อยู่เรื่อยแล้วส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่าคนที่ให้
เพื่อส่วนรวมนั้น มิได้ให้แน่ส่วนรวมแต่อย่างเดียว เป็นการ
ให้เพื่อตัวเองสามารถที่จะมีส่วนรวมที่จะอาศัยได้…”
12.บริการรวมที่จุดเดียว
- การบริการรวมที่จุดเดียวเป็นรูปแบบการบริการ
แบบเบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Services ที่เกิดขึ้นเป็น
ครั้งแรกในระบบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย
โดยทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระ
ราชดำริเป็นต้นแบบในการบริการรวมที่จุดเดียว เพื่อ
ประโยชน์ต่อประชาชนที่จะมาขอใช้บริการ จะประหยัด
เวลาและค่าใช้จ่าย โดยจะมีหน่วยงานราชการต่างๆ มา
ร่วมดำเนินการและให้บริการประชาชน ณ ที่แห่งเดียว
13.ทรงใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าใจถึงธรรมชาติ
และต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกับทรัพยากรธรรมชาติ ทรง
มองปัญหาธรรมชาติอย่างละเอียด โดยหากเราต้องการแก้ไข
ธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ เช่น การแก้ไข
ปัญหาป่าเสื่อมโทรม ได้พระราชทานพระราชดำริ “การปลูก
ป่าโดยไม่ต้องปลูก” ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยในการฟื้ นฟู
ธรรมชาติ หรือแม้กระทั่ง “การปลูกป่า ๓ อย่างประโยชน์ ๔
อย่าง” ได้แก่ ปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้ผลและไม้ฟืน นอกจากได้
ประโยชน์ตามประเภทของการปลูกแล้วยังช่วยสร้างความชุ่ม
ชื้นให้แก่พื้นดินด้วย พระองค์จึงทรงเข้าใจธรรมชาติและมนุษย์
ที่อยู่อย่างเกื้อกูลกัน ทำให้คนอยู่ร่วมกับป่าไม้ได้อย่างยั่งยืน
14.ใช้อธรรมปราบอธรรม
- ทรงนำความจริง ในเรื่องความเป็นไป
แห่งธรรมชาติ และกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมา
เป็นหลักการ แนวปฏิบัติที่สำคัญในการแก้
ปัญหาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่
ปกติ เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การนำน้ำดี
ขับไล่น้ำเสีย เป็นการเจือจางน้ำเสียให้กลับ
เป็นน้ำดี ตามจังหวะการขึ้นลงตามธรรมชาติ
ของน้ำ
15.ปลูกป่าในใจคน
- เป็นการปลูกป่าลงบนแผ่นดินด้วยความ
ต้องการอยู่รอดของมนุษย์ ทำให้ต้องมีการบริโภค
และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง เพื่อ
ประโยชน์ของตนเองและความเสียหายให้แก่สิ่ง
แวดล้อม ดังนั้นการที่จะฟื้ นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้
กลับคืนมาจะต้องปลูกจิตสำนึกในการรักผืนป่าให้แก่
คนเสียก่อน ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า “…
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ ลงในใจคนเสียก่อน
แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน
และรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง…”
16.ขาดทุนคือกำไร
- ขาดทุน คือ กำไร Our loss is our gain
การเสีย คือ การได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และ
การที่คนอยู่ดีมีสุข เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่
ได้…” จากพระราชดำรัสดังกล่าว คือหลักการใน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อพสกนิกรไทย
“การให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระทำอันมี
ผลเป็นกำไร คือความอยู่ดีมีสุขของราษฎร ซึ่ง
สามารถสะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนได้
17.การพึ่งตนเอง
- การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ ในเบื้องต้นเป็นการ
แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้ประชาชนมีความแข็งแรง
พอที่จะดำรงชีวิตต่อไป แล้วขั้นต่อไปก็คือการพัฒนาให้
ประชาชนสามารถอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อม และ
สามารถ “พึ่งตนเองได้” ในที่สุด ดังพระราชดำรัสความ
ตอนหนึ่งว่า “…การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการ
ประกอบอาชีพและตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ ก่อนอื่นเป็น
สิ่งสำคัญยิ่งยวดเพราะผู้มีอาชีพ และฐานะเพียงพอที่จะ
พึ่งพาตนเองได้ ย่อมสามารถสร้างความเจริญในระดับสูง
ขั้นต่อไป…”
18.พออยู่พอกิน
- การพัฒนาเพื่อให้พสกนิกรทั้งหลายประสบความ
สุขสมบูรณ์ในชีวิตได้เริ่มจากการเสด็จพระราชดำเนิน
ไปทรงเยี่ยมราษฎรในทุกภาคของประเทศ ได้ทอด
พระเนตรความเป็นอยู่ด้วยพระองค์เอง จึงทรง
สามารถเข้าพระราชหฤทัยในสภาพปัญหาได้อย่างลึก
ซึ้งว่ามีเหตุผลมากมายที่ทำให้ราษฎรตกอยู่ในวงจร
แห่งทุกข์เข็ญ จากนั้นได้พระราชทานความช่วยเหลือ
ให้พสกนิกร มีความกินดีอยู่ดี มีชีวิตอยู่ในขั้น “พออยู่
พอกิน” ก่อน แล้วจึงขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่
ก้าวหน้าต่อไป
19.เศรษฐกิจพอเพียง
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำรัสชี้แนะ
แนวทางการดำเนินชีวิต แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดย
ตลอดนานกว่า ๓๐ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทาง
เศรษฐกิจ ให้ดำเนินไปบน “ทางสายกลาง” และเมื่อ
ภายหลังได้ทรงย้ำแนวทางการแก้ไข เพื่อให้รอดพ้น
และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้
กระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ปรัชญา
ของ “เศรษฐกิจพอเพียง” จึงเป็นปรัชญาชี้ถึง
แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนใน
ทุกระดับ
20.ความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน
“…คนที่ไม่มีความสุจริต คนที่ไม่มีความมั่นคง ชอบ
แต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่
สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตแลละความมุ่งมั่น
เท่านั้น จึงจะทำงานสำคัญ ยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณ เป็น
ประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ…” พระราชดำรัส เมื่อวันที่
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๒ “…ผู้ที่มีความสุจริตและ
บริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็ย่อมทำประโยชน์ให้
แก่ส่วนรวมได้ มากกว่าผู้มีความรู้มากแต่ไม่มีความ
สุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ…” พระราชดำรัส เมื่อวัน
ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๓
21.ทำงานอย่างมีความสุข
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเกษม
สำราญ และทรงมีความสุขทุกคราที่จะช่วยเหลือ
ประชาชน ซึ่งเคยมีพระราชดำรัสครั้งหนึ่งความว่า
“…ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมี
ความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น…”
22.ความเพียร
การจะทำการใดๆ นั้น อาจจะต้องเจออุปสรรคมาก
น้อยเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากเรายอมแพ้แล้วก็
คงจะไม่สามารถก้าวข้ามปัญหานั้นไปได้ ฉะนั้นแล้ว
เราควรมีความเพียรพยายามซึ่งจะช่วยให้เราเผชิญ
หน้ากับความทุกข์ยากต่างๆ และจะผ่านพ้นไปได้
23.รู้ รัก สามัคคี
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราช
ดำรัสในเรื่อง “รู้ รัก สามัคคี” มาอย่างต่อ
เนื่อง ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่มีคุณค่าและมี
ความหมายลึกซึ้ง สามารถปรับใช้ได้กับทุกยุค
ทุกสมัย