The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานภาษาอังกฤษ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุพิชญา ยาใส, 2024-02-27 07:24:57

รายงานภาษาอังกฤษ

รายงานภาษาอังกฤษ

รายงานการศึกษาค้นคว้า เรื่อง ภาษาอังกฤษเพื่อทักษะการศึกษา เสนอ จัดทำโดย นางสาวสุพิชญา ยาใส รหัส 64105403063 นางสาวสายพิน ดำรงค์มิตรไมตรี รหัส ๖๔๑๐๕๔๐๓๐๖๓ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อทักษะการศึกษา รหัส GE4005 ภาคเรียนที่ 1/2566 สาขาการสอนวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา


คำนำ รายงานเรื่อง ภาษาอังกฤษเพื่อทักษะการศึกษาเล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อทักษะ การศึกษา มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษเพื่อทักษะการศึกษา โดยได้ศึกษาผ่าน แหล่งความรู้ต่าง ๆ จากหนังสือ ห้องสมุด รวมไปถึงแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ออนไลน์ เพื่อศึกษาให้เข้าใจ ในเนื้อหาของภาษาอังกฤษเพื่อทักษะการศึกษาโดยละเอียด เนื้อหาในรายงานเล่มนี้ ประกอบไปด้วยเนื้อหาของเทคนิคและวิธีการฟังภาษาอังกฤษในชีวิต ประจำวัน เทคนิคและวิธีการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เทคนิคและวิธีการอ่านภาษาอังกฤษใน ชีวิตประจำวัน เทคนิคและวิธีการเขียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน การฝึกวิเคราะห์องค์ประกอบของคำ และคำผสมภาษาอังกฤษ การใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษเพื่อการอ่านและการเขียน และการใช้ ภาษาอังกฤษกับสื่อระบบสารสนเทศ เครือข่ายสังคมออนไลน์และฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การจัดทำรายงาน ฉบับนี้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ไปด้วยดีทางผู้จัดทำขอขอบพระคุณพระอาจารย์ พิทักษ์ ฐานิสสโร ดร. ที่ท่านได้ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานจนทำให้รายงานฉบับนี้สมบูรณ์ในเรื่องของ การศึกษาการทำรายงาน การเรียบเรียงเนื้อหา และขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่สนับสนุน ช่วยเหลือตลอดมา ทางผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในรายงานฉบับนี้ที่ได้เรียบเรียงมาจะเป็น ประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจและต้องการศึกษาค้นคว้า หากมีการผิดพลาดประการใด ทางผู้จัดทำขอกราบผู้รู้ช่วย แนะนำต่อไป คณะผู้จัดทำ


สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ๑.เทคนิคและวิธีการฟังภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน 1-๒ ๒.เทคนิคและวิธีการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ๓-๔ ๓.เทคนิคและวิธีการอ่านภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ๕-๖ ๔.เทคนิคและวิธีการเขียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ๗-๘ ๕.การฝึกวิเคราะห์องค์ประกอบของคำและคำผสมภาษาอังกฤษ 9-๑๘ ๖.การใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษเพื่อการอ่านและการเขียน 1๙-๒๘ ๗.การใช้ภาษาอังกฤษกับสื่อระบบสารสนเทศ เครือข่ายสังคมออนไลน์ ๒๙-๓๑ และฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ บรรณานุกรม


๑.เทคนิคและวิธีการฟังภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวัน “ฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ทำไงดี?” การฟัง (Listening) เป็นหนึ่งทักษะที่จำเป็นสำหรับการ เรียนภาษาอังกฤษ ถือเป็นเรื่องยาก ของคนที่มี พื้นฐานภาษาอังกฤษเพียงเล็กน้อย เชื่อไหมคะ? ต่อให้คุณมีความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษได้ดี แต่ นั่นไม่ได้แปลว่า คุณจะมีความสามารถในการฟังที่ดีไปด้วย เพราะปัจจัยอื่นๆ ยังส่งผลกระทบกับการพูด อาทิ น้ำเสียง สำเนียง การรวบคำ ฯลฯ แต่อย่าพึ่งกลัวภาษาอังกฤษกัน เพราะการฟังภาษาอังกฤษ ถือเป็นจุดเริ่มต้น ในการฝึกการสื่อสาร ภาษาอังกฤษ สถาบัน Edufirst จึงนำเคล็ดลับการฟัง “ฟังภาษาอังกฤษยังไง ให้รู้เรื่อง” 9 วิธี ฝึกฟังภาษาอังกฤษ เคล็ดลับของการ ฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษ มีดังต่อไปนี้ 1. เลือกคลิปเสียงหรือวีดิโอ “เลือกฟังจากง่ายไปหายาก” เริ่มต้นฝึกฟังภาษาอังกฤษ การเรื่องง่ายก่อน เพราะหากเราเริ่มการฟังข่าว ที่มีคำศัพท์ไม่คุ้นหูทั้งยาวและ ยาก จะทำให้เราฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง อาจทำให้เราท้อไปก่อน ฉะนั้น เราควรเริ่มฟังจากอะไรง่ายๆ พูดช้าๆ สั้นๆ ก่อน ฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป 2. ลองฟังคลิปเสียงภาษาอังกฤษ ซักรอบหนึ่ง เมื่อเราได้คลิปเสียงที่ต้องการ ทดลองฟังหนึ่งรอบ (ห้ามอ่านเนื้อหาหรือบรรยายนะ) แล้วฟังเสียงแบบรวด เดียวจบ แบบชิว ๆ อย่าเครียด จากนั้นลองฟังซ้ำอีกซักรอบหนึ่ง 3. เริ่มจับใจความแล้วเขียนเนื้อหาที่ได้ยิน เราผ่านการฟังเสียงไปถึงสองรอบแล้ว ให้เริ่มฟังรอบที่สาม ระหว่างการฟังให้กดหยุดคลิปเสียง ทุกๆ 5 วินาที แล้วเขียนสิ่งที่ได้ยินในขณะฟังลงไปคร่าวๆ จับใจความว่าในคลิปกำลังพูดถึงเรื่องอะไร “ในการฝึก การฟังเบื้องต้น เราไม่จำเป็นต้องจดทุกคำพูด” 4. ลองฟังอีกครั้ง แล้วเข้าใจเนื้อหาให้มากขึ้นกว่าเดิม


นับเป็นการฟังรอบที่สี่แล้ว ทำตามวิธีการฝึกในข้อ 3 แล้วปรับปรุงแก้ไขหรือตรวจทาน เนื้อหาที่จดไว้ให้ดี มากขึ้นกว่าเดิม 5. ฝึกเรียบเรียงประโยค ลองใช้ความรู้ด้าน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรียบเรียงประโยคเข้าด้วยกัน 6. ลองฟังคลิปเสียงภาษาอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง เก็บ โน้ต ที่เราจดไว้ในขั้นแรก แล้วลองฟังอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นการฟังคลิปครั้งที่ห้าแล้วนะ โดยระหว่างนั้น ให้ หยุดคลิปทุกๆ 10 วินาที แล้วเขียนสิ่งที่ได้ยินเหมือนเดิม 7. อ่านโน้ตพร้อมฟังคลิปเสียง ฟังคลิปเสียงและอ่านโน้ตที่จดไว้ ไปพร้อมๆกัน (เราผ่านการฟังคลิปเสียงมาหกรอบแล้ว) 8. หาจุดบกพร่องในการฟัง เปรียบเทียบบทความในคลิปจริง กับข้อความที่คุณเขียนโน้ตไว้ ว่าเรามีข้อผิดพลาดตรงไหน เช่น เราอาจรู้ คำศัพท์น้อยเกินไป มีปัญหากับการรวบคำ เสียงหนักเบา 9. ฟังคลิปและอ่านบทความที่ถูกต้อง ไปพร้อมกัน ฟังคลิปเสียงรอบที่เจ็ด พร้อมอ่านบทความที่ถูกต้องไปพร้อมกัน จากนั้นฟังอีกครั้งในรอบสุดท้าย แบบไม่ ต้องอ่านโน้ตและบทความ มาถึงตอนนี้คงช่วยการฟังของคุณให้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย1 1 https://shorturl.asia/cjTnQ


๒.เทคนิคและวิธีการพูดภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวัน 5 เทคนิค “ฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง” แม้ไร้คน Speak ด้วย ๑.จดจำคำศัพท์จากสิ่งของรอบๆ ตัว คำศัพท์เป็นหน่วยย่อยที่สำคัญมากๆ ในการเรียนภาษา แต่คงไม่ต้องถึงขั้นท่อง Dictionary ทั้งเล่ม วิธีที่ง่าย ที่สุดคือ การพยายามจดจำคำศัพท์จากสิ่งรอบตัวเรา พี่ฮูกเชื่อว่า เมื่อพูดถึงการจดจำคำศัพท์ หลายๆ คน คงนึกไปถึงคำศัพท์ในการทำงาน หรือคำศัพท์ยากๆ ทำให้เรามักมองข้ามการจดจำคำศัพท์ทั่วไปที่อยู่ รอบตัวเรา เช่น ป้ายรถเมล์, ทางม้าลาย, เสาไฟฟ้า, แก้วน้ำ (ซึ่งก็มีหลายแบบทั้ง Glass, Cup, Tumblr ฯลฯ) กระเป๋าตัง, กระเป๋าถือ, รองเท้าส้นสูง, รองเท้าผ้าใบ, กางเกงขายาว และอีกหลายๆ คำ หากเราพยายามเรียนรู้คำศัพท์จากสิ่งรอบตัว วันละคำสองคำ เพียงเท่านี้ก็สามารถเพิ่มคลังคำศัพท์ที่ คุ้นเคยในชีวิตประจำวันได้แล้ว และหากคำไหนที่จำไม่ได้สักที ลองแปะ post-it ติดไว้กับสิ่งของเหล่านั้นไป เลย 2. ฝึกแต่งประโยคที่ใช้บ่อยเป็นภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเข้านอน หากสังเกตดู คุณจะพบว่าคำพูดหรือประโยคต่างๆ ที่เราใช้ ในชีวิตประจำวัน ก็จะวนซ้ำๆ ทุกวันจนเป็นกิจวัตร หากคุณสามารถสังเกต และพยายามฝึกแต่งประโยคที่ ใช้บ่อย หรือประโยคที่อยากพูด เป็นภาษาอังกฤษขึ้นมาไว้ในใจ ก็จะช่วยให้คุณสามารถนึกประโยคออกได้ ทันทีเมื่อถึงเวลาที่ต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษ และยังช่วยเพิ่มกระบวนการคิดเป็นภาษาอังกฤษในหัวโดย อัตโนมัติ โดยไม่ต้องแปลจากภาษาไทยก่อนได้อีกด้วย 3. ดูหนัง ฟังเพลง ดูรายการ ภาษาอังกฤษ การฟังนั้นสำคัญเป็นอย่างมากในการฝึกพูดภาษาอังกฤษ ในช่วงเวลาว่างที่คุณดูหนัง ฟังเพลง หรือดู รายการ ลองหันมาเสพสื่อภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นวันละนิด ก็ช่วยให้เกิดความคุ้นชิน และสามารถเลียนแบบ การพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น สำหรับมือใหม่ อาจจะต้องเปิดซับไตเตินช่วยไปก่อน เพื่อให้เข้าใจความหมาย โดยการเสพสื่อภาษาอังกฤษนั้น ไม่ควรแค่เปิดผ่านๆ แต่ควรฟังอย่างตั้งใจ สังเกตการออกเสียง และ รายละเอียดต่างๆ หาเวลาฝึกอย่างน้อย 25 นาทีทุกวัน ก็สามารถช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณ ให้ดีขึ้นได้


4. ฝึกพูดกับตัวเองในกระจก หลังจากที่พี่ฮูกเคยลองถามคนรอบตัวหลายๆ คนที่ฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง พบว่าหลายคนก็มี ประสบการณ์ “การฝึกพูดกับตัวเองในกระจก” ก็มันไม่มีคนให้พูดด้วยนี่! บางคนก็บอกว่า จะฝึกพูดกับ ตัวเองในกระจกเมื่อต้องฝึกซ้อมสัมภาษณ์งาน หรือซ้อมพรีเซ้นต์งาน บางคนก็เล่าว่า ฝึกพูดกับตัวเองด้วย ทอปปิกต่างๆ ที่เราสนใจ เพราะไม่มีเพื่อนชาวต่างชาติให้คุยด้วย วิธีนี้ช่วยให้คุณได้พูดภาษาอังกฤษออกมา แต่จุดที่ต้องระวังคือ คุณจะไม่รู้เลยว่าคุณพูดผิดหรือพูดถูก หรือออกเสียงถูกหรือไม่ ดังนั้นต้องลองหาตัวช่วย เช่น อัดเสียงแล้วฟังที่ตัวเองพูด หรือลองพูดกับ Siri หรือ Google Assistant ลองดูว่า AI เหล่านั้นสามารถฟังภาษาอังกฤษของเรารู้เรื่องหรือไม่ 5. เรียนพูดตัวต่อตัวกับครูเจ้าของภาษาที่ Engoo โชคดีที่ปัจจุบัน เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก จนสามารถเชื่อมโลกเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ต้องไปไกลถึงเมืองนอก ก็ สามารถเรียนพูดภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัวกับครูเจ้าของภาษาได้ อย่างที่ Engoo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการ เรียนพูดภาษาอังกฤษอันดับ 1 จากญี่ปุ่น ก่อนจะขยายไปทั่วโลก จนกลายเป็นแพลตฟอร์มเรียนพูด ภาษาอังกฤษออนไลน์ที่เป็นที่นิยมมากทั้งในเกาหลี ไต้หวัน และไทย หลายคนพอนึกถึงคอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษที่เห็นผลจริง ก็จะนึกถึงราคาที่แพงเกินเอื้อม แต่สำหรับที่ Engoo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ ที่ใช้ร่วมกันกับอีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก จึงทำให้สามารถควบคุม คุณภาพของการเรียนการสอนให้ได้มาตรฐานสากล ไปพร้อมกับการควบคุมราคาที่เอื้อให้ผู้เรียนสามารถ เข้าถึงได้ง่าย และเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มเรียนภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัวที่ราคาเป็นมิตรมากที่สุด2 2 https://shorturl.asia/cjTnQ


๓.เทคนิคและวิธีการอ่านภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน 5 เทคนิค อ่านภาษาอังกฤษให้เข้าใจเร็วขึ้น! "คุณใช้เวลาเท่าไหร่ในการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษจนจบเล่ม ?" การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้เข้าใจเนื้อหาเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ต่อให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้หรืออ่าน หนังสือมาเยอะก็ตาม ส่วนหนึ่งเกิดจากคลังคำศัพท์ที่มีนั้นไม่เพียงพอที่จะเข้าใจข้อความ และในบางครั้ง อาจทำให้รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่อ่าน ๆ อยู่ต้องมานั่งหาคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจจนทำให้ไม่อยากอ่านต่อจึงเป็น เหตุผลที่วันนี้ Globish จะมาบอกวิธีในการอ่านภาษาอังกฤษให้ลื่นไหล และเข้าใจมากขึ้นกับ 5 เทคนิคที่จะ ช่วยให้อ่านภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น 1. ให้ทุกครั้งที่อ่านเป็นช่วงเวลาที่พิเศษ ความสนุกจากการอ่านหนังสือ คือสิ่งที่ขาดหายไปอยู่หลายครั้งจนทำให้เลิกอ่านในที่สุด แนะนำให้ลอง เปลี่ยนสถานที่อ่านหนังสือ เช่น อ่านหนังสือในสวนสาธารณะ บนเตียงนอน หรือที่ออฟฟิศ เพื่อช่วยสร้าง เพลิดเพลินได้ในการอ่านได้ เช่นกัน แต่หากเรื่องที่อ่านต้องการความเข้าใจ หรืออ่านเพื่อใช้ในการสอบต่าง ๆ แนะนำให้ปิดการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดีย และหาที่เงียบสงบเพื่อไม่ให้เสียสมาธิในการอ่านหนังสือ หรือจะลองเตรียมของว่าง เครื่องดื่มมารับประทานระหว่างอ่านเพื่อช่วยให้อ่านหนังสือได้นานขึ้น และการ อ่าน 30 นาทีต่อวันคือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการฝึก 2. อ่านหนังสือที่สนใจ ถ้าไม่ชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ก็อย่าไปฝืนเลยครับ เพราะการเลือกหนังสือที่สนใจและเหมาะสมกับ ความสามารถของตนเองเป็นเรื่องสำคัญ ในช่วงแรกอาจลองหาหนังสือที่อ่านง่าย น่าสนใจ เนื้อเรื่องไม่ ซับซ้อน มาฝึกอ่านช้า ๆ ดูก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยเพิ่มความยากและการอ่านที่เร็วขึ้น 3. เพิ่มคลังคำศัพท์ ก่อนอ่านให้ลองกวาดสายตาดูว่าคำไหนบ้างที่ไม่เข้าใจความหมาย และให้บันทึกลงสมุดจดคำศัพท์ แล้ว ลองอ่านให้จบประมาณหนึ่งย่อหน้า หรือหนึ่งบทแล้วลองทำความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านดูว่าเข้าใจมากน้อย แค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจความหมายในเนื้อหาที่อ่านให้เอาคำศัพท์ที่บันทึกไว้มาหาความหมายเพื่อให้เข้าใจมาก ขึ้น แนะนำให้นำคำศัพท์ที่บันทึกไว้กลับมาทบทวนหลังจากอ่านจบทุกครั้ง เพื่อให้ในการอ่านในครั้งถัดไป


เข้าใจได้เร็วขึ้น และลองอ่านหนังสือให้หลากหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์ เช่น อ่านหนังสือพิมพ์เพื่อ เพิ่มคำศัพท์ในชีวิตประจำวันมากขึ้น เป็นต้น 4. อ่านออกเสียง วิธีนี้ช่วยพัฒนาการอ่าน และการฟังไปพร้อมกัน เพราะทุกครั้งที่ออกเสียงจะเป็นการทบทวนคำศัพท์ไป ในตัว แต่หากว่าอ่านในที่สาธารณะอาจจะเลือกออกเสียงเบา ๆ และฟังการออกเสียงจาก Google translate เพิ่มเติม หรือจะลองขอให้เพื่อนชาวต่างชาติ หรือคนรู้จักที่พูดภาษาอังกฤษได้ช่วยฟังเพื่อเป็นการตรวจเช็ค ว่า การอ่านออกเสียงของคุณเป็นอย่างไร และเข้าใจในสิ่งที่อ่านหรือไม่ 5. อ่านซ้ำอย่างน้อย 2 รอบ เพราะบางครั้งการอ่านเพียงครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะเข้าใจในเนื้อหาทั้งหมด เพื่อทบทวนเรื่องราวที่ อาจที่พลาดไปในครั้งแรก แนะนำให้อ่านซ้ำเพิ่มที่ย่อหน้าเดิมอย่างละ 1 ครั้ง แล้วค่อยอ่านต่อก็ได้หากไม่ อยากอ่านใหม่ทั้งเล่มทีเดียว เพื่อให้จดจำและเข้าใจในเนื้อหา ไม่ตกหล่นส่วนใดส่วนหนึ่งไป ให้นำสมุดสัก เล่มมาบันทึกระหว่างที่อ่าน นอกจากบันทึกคำศัพท์แล้วให้ลองบันทึกเกี่ยวกับตัวละคร ประโยคที่ประทับใจ หรือส่วนสำคัญในเนื้อหาที่อ่านก็ได้3 3 https://shorturl.asia/JbRpd


๔.เทคนิคและการเขียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน 7 เคล็ดลับในการเขียนภาษาอังกฤษสำหรับมือใหม่หัดเขียน สำหรับผู้ที่เรียนรู้ภาษาอังกฤษ อีกหนึ่งอย่างที่เหล่าผู้เรียนมักจะกลัว นั่นก็คือการเขียนบทความหรือ ข้อความภาษาอังกฤษ เพราะหลาย ๆ คนมักคิดว่ายาก และกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดในการเขียน บทความ และคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าอาย 1. อ่านบทความภาษาอังกฤษมาก ๆ ในการเรียนรู้การเขียนบทความภาษาอังกฤษนั้น ก่อนอื่นเลยเราก็ต้องอ่านบทความภาษาอังกฤษให้มาก ๆ เข้าไว้ เพื่อเป็นการเรียนรู้และซึมซับวิธีการใช้ภาษา รูปแบบการใช้สำนวน และการเขียนต่าง ๆ ของเจ้าของ ภาษา หากไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือหาอะไรอ่านดี แนะนำให้หาบทความภาษาอังกฤษที่ตัวเองชอบมา อ่านค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสวยงาม สุขภาพ การ์ตูน หรือแม้แต่เกม ซึ่งเมื่อเราได้อ่านท ความที่ชอบแล้ว เราจะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและจะกระตุ้นให้เราอยากอ่านมากขึ้น 2. ช่วยกันคิด ช่วยกันระดมสอง หากหาไอเดีย หรือไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเขียนบทความภาษาอังกฤษอย่างไร แนะนำให้ลองชวนเพื่อน ๆ มาระดม สมอง ระดมความคิด นอกจากจะได้ไอเดียดี ๆ จากเพื่อน ๆ แล้ว ยังสามารถช่วยกันตรวจสอบบทความให้ ถูกต้องมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย 3. คิดถึงกลุ่มเป้าหมาย ในการเขียนบทความนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาษาใด ๆ ผู้เขียนมักจะต้องนึกถึงกลุ่มเป้าหมาย นั่นก็คือผู้อ่านนั่นเอง เราต้องรู้ว่าผู้อ่านเค้ากำลังมองหาอะไร ต้องการอะไรจากบทความของเรา การนึกถึงกลุ่มเป้าหมาย และ นึกถึงสิ่งที่ผู้อ่านกำลังมองหา จะช่วยให้บทความของเราเป็นที่น่าสนใจ ในการเขียนบทความภาษาอังกฤษก็ เช่นเดียวกันค่ะ หากจะต้องเขียนบทความภาษาอังกฤษสักหนึ่งบทความ อย่าลืมนึกถึงสิ่งที่ผู้อ่านต้องการ ด้วย 4. ให้เวลากับโครงสร้างบทความ บทความที่ดีคือบทความที่จัดสรรโครงสร้างได้อย่างเป็นระบบระเบียบและดูน่าอ่าน บางครั้งอาจจะดูจุกจิก น่ารำคาญใจไปเสียบ้าง แต่เชื่อไหมคะว่าการจัดโครงสร้างบทความนั้นจะช่วยให้การอ่านราบรื่นและง่าย


กว่าเดิม นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงให้ผู้อ่านเห็นด้วยว่าผู้เขียนมีความตั้งใจและใส่ใจในทุก ๆ รายละเอียด ในการเขียนบทความนี้ขึ้นมา 5. หลีกเลี่ยงการแปลมาอย่างตรง ๆ การเขียนบทความแปลอาจจะดูเหมือนง่าย แต่หากเพื่อน ๆ แปลตรง ๆ ไม่มีการปรับเปลี่ยนคำให้ดูสลวย สวยงาม ก็อาจจะทำให้บทความนั้นเป็นบทความไม่น่าอ่านเอาก็ได้ค่ะ เพราะการแปลมาจากต่างภาษา คำ แปลในแต่ละภาษามักจะมีความเพี้ยนไปจากที่ควรเป็น และรูปแบบคำจะดูแปลกและไม่สวยงาม ซึ่งหาก จำเป็นจะต้องเขียนงานแปล ผู้เขียนจึงควรนำมาเกลาคำเสียใหม่ เพื่อให้งานเขียนเหล่านั้นดูราบลื่นและอ่าน ง่ายมากยิ่งขึ้น 6. เรียบง่ายแต่โก้หรู บทความที่ใช้ภาษาแปลกพิสดาร ไม่ว่าบทความนั้นจะดีเลิศแค่ไหนก็ไม่อาจจะสะกดผู้อ่านให้อ่านบทความ ของเราจบได้ค่ะ ทางที่ดีคือการใช้คำศัพท์ง่าย ๆ เข้าใจได้ง่าย อาจจะมีลูกเล่นแพรวพราวใส่ลงไปใน บทความได้บ้าง แต่ไม่ควรทำให้บทความนั้น ๆ ดูเข้าถึงยากจนเกินไป ความง่ายต่อการเข้าใจเป็นหัวใจหลัก ของการเขียนบทความในทุก ๆ ภาษาเลย 7. ตรวจทานก่อน ก่อนที่จะเผยแพร่บทความ แนะนำให้ผู้เขียนทุกคนทำการตรวจทานบทความของตัวเองก่อน เพราะ บทความที่เขียนอย่างถูกต้อง เป็นระเบียบ และอ่านง่าย จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจบทความของเราได้ อย่างถ่องแท้และเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความรอบคอบให้กับตัวผู้เขียนเองอีกด้วย 4 4 https://shorturl.asia/oUNqt


๕.การวิเคราะห์องค์ประกอบของคำและคำผสมภาษาอังกฤษ คำคำในภาษาอังกฤษทั้ง 8 คำต่างๆ ในคำในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิดคือคือ 1. คำนาม (คำนาม) เช่น พระเจ้า มนุษย์ จอห์น ด้วยกัน อเมริกัน เพื่อน ดวงดาว หิน อากาศ ไมล์ ความงาม ใช้เรียกคนกระเป๋า สตางค์ สิ่งมีชีวิตแนวคิดและความเชื่อ 2. คำสรรพนาม (คำขยายชื่อ) แปลว่า ฉัน, คุณ, เขา, เธอ, ของฉัน, ของคุณ, ของเขา, นั่น, ใคร, อะไร, ซึ่ง, หนึ่ง, บางคนใช้เรียกแทน คำนามอีกครั้งไม่ต้องพูดถึงชื่อนั้นซ้ำอีก แปลความหมายได้ว่า: จอห์นทำงานที่โรงพยาบาล เขา เป็นหมอ เคทเป็นเพื่อนของฉัน ฉันรู้จัก เธอ ดี หนังสืออยู่บนโต๊ะ หนังสือ ที่ วางอยู่บนโต๊ะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เด็กๆกำลังเล่นอยู่ข้างนอก บาง คนกำลังร้องไห้ 3. คำคุณศัพท์ (คำคุณศัพท์) ใช้ขยายคำนามเริ่มต้นกับคำสรรพนามในการสัมภาษณ์ในคำนามกับคำสรรพนามที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ให้คุณ ทราบคำคุณศัพท์สำหรับการบอกลักษณะปริมาณและบอกจำนวน – Qualifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ ที่ใช้บอกลักษณะเช่นสวย, healthy ใจดี ยากจน เร็ว แห้ง ดำ แปลความหมายได้ว่า: คำนาม


ปรับ + คำนาม ปรับ + ปรับ + คำนาม แอปเปิ้ล แอปเปิ้ลแดง แอปเปิ้ลสีแดงกรอบ หญิงสาวคนหนึ่ง เป็นสาวสูง เป็นสาวสวยตัวสูง – คำคุณศัพท์เชิงปริมาณ หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกปริมาณ เช่น มาก มาก น้อย น้อย แปลความหมายได้ว่า: คำนาม ปรับ + คำนาม แอปเปิ้ล แอปเปิ้ลมากมาย เงิน เงินนิดหน่อย – คำคุณศัพท์ตัวเลข หรือคำคุณศัพท์ใช้บอกจำนวนนับที่หมายถึง หนึ่ง สอง สาม ตัวแรก วินาที แปลความหมายได้ว่า: คำนาม ปรับ + คำนาม บ้าน บ้านสองหลัง พื้น ชั้นหนึ่ง 4. กริยา (เช่น) แปลว่า ไป, รับ, ต่อสู้, พูด, นอน, รอ ใช้แสดงกริยาอาการต่างๆ สิ่งสำคัญในการแสดงคำ แปลของคำเฉพาะแต่ยังแบ่งได้เป็น กริยาแท้ และกริยาไม่แท้ – กริยา จำกัด แท้หรือตามความต้องการของร่างกายตามประธานและรูปกาลได้ – Non-finite Verbs (Verbals) กริยาไม่แท้ฟังเปลี่ยนรูปได้ อธิบาย: กริยา “เป็น” มีกริยาในรูปต่างๆ ของมัน


ฟอร์มจำกัด ฉันคือคือเคยเป็น แบบฟอร์มไม่สิ้นสุด Infinitive = เป็น Present Participle = เป็น Past Participle = been Gerund = เป็น 5. คำวิเศษณ์ (คำพระภิกษุ) แปลว่า ดี, เร็ว, ยาว, เบา ๆ, เมื่อเร็วๆ นี้, อีกครั้ง, เมื่อวาน, เร็ว ๆ นี้, ค่อนข้าง, บางที, อาจจะไม่ใช้ ขยายคำกริยา, คำวิเศษณ์, คำคุณศัพท์, คำบุพบท, คำเชื่อม, วลี, ประโยคที่จะติดตามให้กับ มีการขยาย แปลความหมายได้ว่า: กริยา ขยาย เขาเดิน. เขาเดิน เร็ว . ขยาย คำวิเศษณ์ สุนัขจะเติบโตอย่างรวดเร็ว สุนัขเติบโต เร็วมาก ขยาย คำคุณศัพท์ วันนี้มันร้อน. วันนี้ร้อนจนน่าตกใจ คำบุพบท ขยาย แมวของฉันนั่งข้างฉัน แมวของฉันนั่งข้างฉัน ขยาย ร่วม เธอจะมาแม้ว่ามันจะสายก็ตาม เธอจะมาแม้จะสายไปแล้วก็ตาม วลี ขยาย โรงแรมอยู่บนยอด เขา โรงแรม เกือบ จะ อยู่บนยอดเขาแล้ว ประโยค ขยาย รถบัสออกเวลา 22.00 น อย่างไรก็ตามรถบัสออกเวลา 22.00 น 6. คำบุพบท (คำบุพบท) แปลว่า at, in, into, of, สำหรับการใช้งานเชื่อมกริยากับส่วนต่างๆ ของคำแปลที่จะบอกเวลาโดยตรงและ ทิศทางของคำแปลที่สมบูรณ์


แปลความหมายได้ว่า: ใน เขาอยู่ ในสระน้ำ บน มีรอย บนเสื้อของคุณ ที่ เขามักจะมา โรงเรียนสายเสมอ ขัดต่อ ผู้หญิงคนหนึ่งยืน อยู่หน้าประตู จนถึง ฉันนอน ได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน 7. Conjunctions (คำสันธาน) แปลว่า และ, แต่, หรือ, หรือ, หรือ, ว่า, ถ้า, เพราะใช้เชื่อมคำหรือการแปลคำแปลของคำเชื่อมแบบคล้อย ตามการจดจำอีกครั้งหนึ่งเหตุเป็นผล แปลความหมายได้ว่า: และ คนไทยกินด้วยช้อน และ ส้อม แต่ บีเอ็มดับเบิลยู สวย แต่ แพง หรือ คุณต้องการกาแฟ หรือ ชา? ทั้ง…หรือ ฉัน และ เธอพูดภาษาสเปนไม่ได้ เพราะ ทิมสอบผ่าน เพราะ เขาเรียนหนัก 8. คำอุทาน (คำอุทาน) แปลว่า โอ้ อนิจจา ไชโย ใช้แสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ แปลความหมายได้ว่า: ดี ดี! นั่นมีราคาแพง โอ้ โอ้! นั่นเยี่ยมมาก


ในภาษาอังกฤษคำหนึ่งคำนั้นได้เหมือนกันในลักษณะเดียวกับที่ใช้ในหนึ่งๆ แล้วคำๆ นั้นเป็นเพียงคำเดียว เท่านั้นที่คำกริยาหรือคำนามหรืออาจจะเป็น คำ วิเศษณ์ หรือ คำ บุพบท ก็ได้ เช่น กัน ดู: ดู นั่นสิ (ดู = กริยา) ขอฉันดูหน่อย สิ . (ดู = คำนาม) เดิน: เขา เดินมา จนถึงที่นี่แล้ว (เดิน = กริยา) เขากำลัง เดิน . (เดิน = คำนาม) ใน: จอห์น อยู่ไหม? (ใน = คำวิเศษณ์) ใน บ้าน. (ใน = คำบุพบท) ขึ้น: เขาปีน ขึ้นไป . (up = คำวิเศษณ์) ปีนขึ้น ไปบน กำแพง. (ขึ้น = คำบุพบท) หลังจาก: เขาดูก่อนและ หลัง (หลัง = คำวิเศษณ์) สุนัขของเขาวิ่ง ตาม เขา (หลัง = คำบุพบท) หลังจากที่ เราจากไปแล้ว… (หลัง = ร่วม)5 คำประสม หรือ Compound Words ในภาษาอังกฤษ คือ การนำคำสองคำหรือมากกว่าที่ทำหน้าที่เหมือน หรือต่างกันมารวมกันเป็นคำใหม่ มีความหมายใหม่ หลักการเขียนคำประสมมี 3 แบบคือ 1. เขียนติดกัน เป็นการนำคำสองคำมาเขียนติดกันเป็นคำเดียวกันแล้วได้ความหมายใหม่ เช่น home (บ้าน) + work (งาน) = homework (การบ้าน) fire (ไฟ) + fly (บิน) = firefly (หิ่งห้อย) bed (เตียง) + room (ห้อง) = ห้องนอน 5 https://shorturl.asia/oUNqt


2. เขียนแยกกันโดยไม่ใส่เครื่องหมาย hyphen (-) คั่น เช่น ice (น้ำแข็ง) + cream (ครีม) = ice cream (ไอศกรีม) full (เต็ม) + moon (พระจันทร์) = full moon (พระจันทร์เต็มดวง, เดือนเพ็ญ) taxi (รถแท็กซี่) + driver (คนขับรถ) = taxi driver (คนขับรถแท็กซี่) 3. เขียนแยกกันโดยมีเครื่องหมาย hyphen (-) คั่น เช่น daughter (ลูกสาว) + in (ใน) + law (กฎหมาย) = daughter-in-law (ลูกสะใภ้) merry (ร่าเริง, สนุกสนาน) + go (ไป) + round (หมุนรอบ) = merry-go-round (ม้าหมุน) over (เหนือ, บน) + the + counter (เคาท์เตอร์หรือโต๊ะขนาดยาว) = over-the-counter (ซื้อโดยตรง) Compound words แบ่งออกเป็น 1. Compound noun คือ คำสองคำหรือมากกว่ามาประสมกันโดยคำหน้าเป็นคำขยาย คำหลังเป็นคำหลัก เมื่อประสมกันแล้วจะได้ความหมายใหม่และทำหน้าที่เป็นคำนาม โดยรูปแบบการเขียนมีทั้งเขียนติดกัน เขียนแยกแบบมี hyphen (-) คั่น และเขียนแยกแบบไม่มี hyphen (-) คั่น ซึ่ง Compound noun สามารถเกิด ได้จากคำหลายประเภทมาประสมกัน ดังนี้ 1.1. Noun + Noun เช่น tooth + paste = toothpaste (ยาสีฟัน) foot + ball = football (ฟุตบอล) air + port = airport (สนามบิน) sun + flower = sunflower (ดอกทานตะวัน) life + time = lifetime (ตลอดชีวิต, ชั่วชีวิต) 1.2. Noun + Verb เช่น hair + cut = haircut (ทรงผม, การตัดผม)


car + go = cargo (สินค้า) moon + walk = moonwalk (ท่าเต้นมูนวอล์ก) hand + shake = handshake (การจับมือ) rain + fall = rainfall (ปริมาณน้ำฝน) 1.3. Noun + Preposition เช่น hanger + on = hanger on (ไม้แขวนเสื้อ) son + in + law = son-in-law (ลูกเขย) mother + in + law = mother-in-law (แม่ยาย) 1.4. Verb + noun: โดย verb จะเป็นรูป v.ing หรือ Gerund เช่น washing + machine = washing machine (เครื่องซักผ้า) swimming + pool = swimming pool (สระว่ายน้ำ) driving + licence = driving licence (ใบขับขี่) 1.5. Verb + Preposition เช่น look + out = lookout (การระมัดระวัง, การเฝ้าดู) check + in = check-in (เช็กอิน หรือการลงทะเบียนเข้าพัก) turn + about = turnabout (การหมุนรอบ, การหันกลับ, การเปลี่ยนแปลงความคิดเห็น) 1.6. Preposition + Noun เช่น under + world = underworld (ยมโลก, พวกนักเลง) on + looker = onlooker (ผู้เห็นเหตุการณ์, ผู้ดู, ผู้ชม) 1.7. Adjective + Noun เช่น gentle + man = gentleman (สุภาพบุรุษ)


black + smith = blacksmith (ช่างตีเหล็ก) loud + speaker = loudspeaker (ลำโพง, เครื่องกระจายเสียง) monthly + ticket = monthly ticket (ตั๋วรายเดือน) common + room = common room (ห้องรวม, ห้องโถงพักผ่อนของนักศึกษา) 1.8. Adjective + Verb เช่น slow + down = slowdown (การถ่วงงาน) dry + cleaning = dry-cleaning (การซักแห้ง) 1.9. Preposition + Verb เช่น out + put = output (ผลผลิต) over + throw = overthrow (ความล้มเหลว, การล้มล้าง) กฎการทำ Compound Nouns เป็นพหูพจน์ (Plural) และแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive)การทำ Compound Nouns เป็นรูปพหูพจน์ (Plural) นั้นไม่ยากโดยเฉพาะคำที่มี hyphens โดยปกติเราสามารถใส่ ‘s’ ไปที่คำนามได้เลยเช่น daughters-in-law และบางครั้ง ‘s’ จะอยู่ท้ายคำ เช่น go-betweens, higher-ups อย่างไรก็ตามตามแบบฟอร์มแล้วมักจะเติม ‘s’ ที่ท้ายคำนาม เช่น full moons. การทำ Compound Nouns ให้อยู่ในรูปแสดงความเป็นเจ้าของ (possessive) โดยปกติเราจะเติม apostrophe s (’s) ไปที่ท้ายคำ เช่น son-in-law’s car (รถของลูกเขย) ถ้า Compound word เป็นพหูพจน์เราสามารถเติม ‘s’ และใส่ ’s ได้ แต่จะแปลกนิดหน่อย เช่น daughters-in-law’s attire. ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เปลี่ยนประโยค ใหม่เป็น the attire of the daughters-in-law. จะดีกว่า เพราะคำประสมที่เป็นพหูพจน์ไม่จำเป็นต้องแสดง ความเป็นเจ้าของ 2. Compound Adjective คือการนำคำสองคำมาประสมกันแล้วได้ความหมายใหม่ ทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ โดยปกติจะมีเครื่องหมาย hyphen (-) คั่นระหว่างสองคำหรือมากกว่า คำประเภทต่าง ๆ มา ประสมกันเป็น Compound Adjective ดังนี้ 2.1. Adjective + Adjective เช่น


a dark-blue uniform (เครื่องแบบสีน้ำเงินเข้ม) 2.2. Adjective + Noun เช่น a last-minute decision (การตัดสินใจเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ) 2.3. Noun + Adjective เช่น a world-famous restaurant (ร้านอาหารที่มีมีชื่อก้องโลก) a navy-blue shirt (เสื้อสีกรมท่า) นอกจากนี้ยังมี Compound Adjective ที่เกิดจาก จำนวน + ช่วงเวลา โดยคำที่แทนช่วงเวลานั้นจะอยู่ในรูป เอกพจน์หรือคำนามเอกพจน์ และมีเครื่องหมาย hyphen คั่นด้วย เช่น a ten-minute delay (ล่าช้า 10 นาที) a two-week vacation (พักร้อน 2 สัปดาห์) a seventeen-year-old girl (เด็กสาวอายุ 17 ปี) ข้อควรระวัง : เราจะเขียนจำนวนด้วยตัวหนังสือ จะไม่เขียนเป็นตัวเลข 2.4. Adjective/Adverb/Noun + Past Participle (V.3) เช่น a strong-willed child (เด็กดื้อรั้น, เด็กหัวแข็ง) narrow-minded people (คนใจแคบ) a highly esteemed businessman (นักธุรกิจที่ได้รับการยกย่อง) a home-made cake (เค้กที่ทำเองที่บ้าน) 2.5. Adjective/Adverb/Noun + Present Participle (V.ing) เช่น a good-looking girl (ดูดี, มีหน้าตาดี) a far-reaching effect (ผลกระทบที่มีอิทธิพลในวงกว้าง) a heart-breaking story (เรื่องราวที่สะเทือนใจ)


2.6. Adjective + Noun เติม ed เช่น a blue-eyed boy (เด็กชายที่มีตาสีฟ้า) a green-uniformed soldier (ทหารเครื่องแบบสีเขียว) รู้ได้อย่างไรว่าจะใช้ hyphen (-) เมื่อไหร่? 1. เราจะใช้ hyphen (-) เมื่อ Compound Adjective อยู่หน้าคำนาม แต่เมื่อใดที่อยู่หลังคำนามจะไม่ใช้ เช่น He is a world-famous singer. This singer is world famous. 2. ถ้าสามารถใช้ ‘and’ คั่นระหว่างคำ Adjectives หรือ คำสองคำได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ hyphen (-) เช่น He has a big red hat. เราสามารเขียนแยกได้ว่า He has a big and red hat. ดังนั้นจึงไม่ต้องใส่ hyphen (-) ก็ได้6 6 https://shorturl.asia/dSxlX


๖.การใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษเพื่อการอ่านและการเขียน พจนานุกรมภาษาอังกฤษ – สำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองทุกคน พจนานุกรมภาษาอังกฤษ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนภาษามาก ๆ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้เราจะสามารถเข้าไปใช้พจนานุกรม ภาษาอังกฤษแบบออนไลน์ได้แล้วก็จริง แต่ว่าการอ้างอิงต่าง ๆ แล้วเราก็ยังจำเป็นต้องดูจากพจนานุกรมที่ เป็นรูปเล่มอยู่ดี 1 – วิธีการใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษให้ได้ผล 1.1 – พจนานุกรมภาษาอังกฤษคืออะไร พจนานุกรมภาษาอังกฤษถือเป็นงานวิจัยของนักภาษาศาสตร์หลายคนเพื่อรวบรวมคำศัพท์และวลี ภาษาอังกฤษต่าง ๆ ซึ่งคำศัพท์และวลีเหล่านี้จะได้จัดเรียงตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ พร้อมการ สะกดคำตามมาตรฐานสากล และการอธิบายความหมายของคำในแต่ละบริบท สังเกตรูปแบบต่าง ๆ และ มีไวยากรณ์ประกอบ…เพื่อให้ผู้ใช้สามารถพิจารณา ค้นหาและเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษผู้เรียน ภาษาอังกฤษหรือแม้กระทั่งเจ้าของภาษาก็ไม่สามารถท่องจำคำศัพท์ทั้งหมดได้ ดังนั้นการใช้พจนานุกรม ภาษาอังกฤษเพื่อค้นหาคำศัพท์จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ไม่เพียงแค่เท่านั้นผู้เรียนจะรู้จักคำพ้องความหมาย และการใช้แทนกันได้ในแต่ละบริบทหรือคำศัพท์ที่มีความหมายตรงข้าม วลี หรือรูปแบบของคำศัพท์ใดคำ หนึ่งที่เรายังๆไม่รู้จักด้วยประเด็นคือ ผู้เรียนภาษาอังกฤษจำนวนมากยังไม่รู้วิธีการใช้พจนานุกรม ภาษาอังกฤษยังไงให้ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะฉะนั้น Eng Breaking จึงมารวบรวมเคล็ดลับต่าง ๆ ในการใช้ พจนานุกรมภาษาอังกฤษมาให้ดังต่อไปนี้ 1.2 – ส่วนประกอบของพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ก่อนอื่นเราต้องรู้จักส่วนประกอบของพจนานุกรมภาษาอังกฤษกันก่อนว่ามีกี่ส่วนประกอบ คำตอบง่ายๆ คือมี 7 ส่วน ประกอบนั้นเอง ได้แก่ คำศัพท์ คือคำที่เราต้องการค้นหา หรือคำแรกที่ขึ้นต้นในหน้าที่เรากำลังค้นหานั้นเอง ประเภทของคำ คือ ส่วนประกอบของคำในภาษาอังกฤษ เช่น คำนาม คำสรรพนาม กริยา กริยาวิเศษ ถ้า เราเปิดดูคำศัพท์เราก็จะรู้ว่าคำนั้น เป็นคำอะไร แล้วส่วนประกอบของคำเป็นอย่างไร


การถอดออกเสียง ก็คือการออกเสียง เวลาเราดูพจนานุกรมภาษาอังกฤษ เราสามารถดูได้ว่าคำนี้ สามารถ ออกเสียงได้อย่างไร ความหมายของคำศัพท์ ว่าความหมายคืออะไร มีกี่ความหมาย คำศัพท์บางตัว มีหลายความหมายนะคะ นักศึกษาควรจำไว้ ตัวอย่างประโยค ที่แสดงให้ดู ซึ่งจะช่วยให้เรารู้ได้ว่าคำนี้สามารถใช้ได้ในบริบทไหน สำนวน คือสำนวนที่แสดงให้ดูว่าคำศัพท์นั้นสามารถนำมาสร้างเป็น สำนวนได้หรือไม่ วลี ที่สามารถนำมาสร้างเป็นคำได้ เช่น sit up, take off. โดยปกติเวลาค้นหาคำศัพท์ได้โดยดูจากตัวอักษรทีละตัว พจนานุกรมนั้นเรียงลำดับคำจาก A ไปถึง Z แถม เรายังต้องให้สังเกตคำนำทางหรืออักษรนำหน้าที่ปรากฏอยู่ตอนบนของหัวกระดาษแต่ละหน้าเพื่อจะได้ ทราบว่าคำที่ต้องการหามีอยู่ในหน้านั้นหรือไม่ เมื่อเปิดหาคำศัพท์ในพจนานุกรมก็จะพบกับ- ลำดับที่ (Number)- คำศัพท์ (Vocabulary)- ประเภทคำ (Part of Speech)- ความหมายภาษาไทย – คำจำกัดความ (Meaning / Definition) ดังกล่าว 1.3 – วิธีใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษ ทำเครื่องหมายในพจนานุกรมเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย สิ่งที่จำเป็นหลังจากซื้อพจนานุกรมภาษาอังกฤษคือ คุณควรใช้กระดาษโน้ตหรือสิ่งของที่คล้ายกันเพื่อทำ เครื่องหมายแต่ละส่วนของพจนานุกรมตามลำดับตัวอักษรหากคุณไม่ทำตามขั้นตอนนี้ ทุกครั้งที่ต้องค้นหา คำศัพท์ คุณจะต้องใช้เวลาค้นหาคำศัพท์มากเลย เพราะพจนานุกรมทุกเล่มมักจะค่อนข้างหนา รวมถึงคำที่ มีการสะกดคล้ายกันหลายคำจนทำให้คุณสับสนเมื่อค้นหาความหมายของคำ คุณต้องเข้าใจบริบทการใช้ งานที่ถูกต้องคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลายคำไม่ได้มีความหมายเดียว ซึ่งเข้าใจง่าย ๆ ว่าในบริบทที่แตกต่าง กันจะมีความหมายที่ต่างกัน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในความหมายของคำ คุณต้องให้ความสนใจ กับตัวอย่างที่นำเสนอในพจนานุกรมเพื่อการวิเคราะห์เลือกการใช้คำศัพท์กับความหมายที่สอดคล้องกัน นอกจากนั้น หากเราเรียนรู้คำศัพท์ในบริบท คุณจะรู้บรรดาคำศัพท์ที่มีความหมายคล้ายกัน คำที่เกี่ยวข้อง วลีที่เข้ากับคำที่คุณกำลังมองหา และรับรองเลยการใช้ภาษษอังกฤษของคุณจะได้ธรรมชาติเหมือนเจ้าของ ภาษามากขึ้น


จดบันทึกเมื่อเราค้นหาคำศัพท์ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ เวลาที่เราพยายามท่องจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เราคงไม่ใช่อัจฉริยะที่จะจำคำศัพท์ทั้งหมดได้ ดังนั้นเมื่อ ค้นหาคำศัพท์ใด ๆ ควรจดบันทึกการออกเสียง รูปแบบของคำ วลี คำพ้องความหมาย คำที่มีความหมาย ตรงข้าม วิธีการใช้ในการสื่อสาร ในลายลักษณ์อักษรและในบริบทที่เกี่ยวข้อง วิธีนี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด หากเรียนและจดบันทึกคำศัพท์ จากพจนานุกรมภาษาอังกฤษจนเป็นนิสัย เชื่อไหมว่าคลังคำศัพท์ของคุณจะได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ ด้วยตัวอย่างที่นำเสนอในพจนานุกรม คุณจะสามารถเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษทั่วไปได้อย่างรวดเร็ว อีกด้วย 1.4 – ต้องระวังอะไรเพื่อใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสามารถใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประโยชน์สูงสุดจากพจนานุกรม นำมาให้ คุณควรอ่านเคล็ดลับต่าง ๆ ที่เราแนะนำดังต่อไปนี้เลือกพจนานุกรมภาษาอังกฤษที่เหมาะสม ประการแรกเลย คุณต้องเลือกพจนานุกรมภาษาอังกฤษที่เหมาะสมสำหรับจุดประสงค์ในการใช้ พจนานุกรมของตัวเอง โดยเวลาที่เราเลือกพจนานุกรมเล่มหนึ่ง เราต้องดูว่ามันเหมาะกับกับระดับภาษา วัตถุประสงค์ และสาขาวิชาที่เรากำลังศึกษาเพื่อเลือกพจนานุกรมที่เกี่ยวข้องปัจจัยบางประการที่คุณควร พิจารณาเมื่อเลือกซื้อพจนานุกรมภาษาอังกฤษ คือ จำนวนคำศัพท์ หน่วยงานที่เผยแพร่ ประเภทของ พจนานุกรม (พจนานุกรมทั่วไปหรือพจนานุกรมเฉพาะทาง พจนานุกรมภาษาอังกฤษ – ไทย พจนานุกรม ภาษาอังกฤษ – ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอังกฤษ-อเมริกัน) อ่านคำนำอย่างละเอียด เพื่อสามารถที่จะใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เราต้องรู้รายละเอียดของ พจนานุกรมเป็นอย่างดี ในบทนำจะแสดงวิธีการใช้พจนานุกรมอย่างครบถ้วน คุณจะรู้วิธีจัดเรียงรายการใน พจนานุกรมเพื่อค้นหาคำที่คุณต้องการได้อย่างง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มากมายเกี่ยวกับการสะกดคำอีกด้วย หรือจะมีตัวอักษรย่อที่ได้ใช้ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มนี้ด้วย ดังนั้นเวลาที่เพิ่งดูพจนานุกรมภาษาอังกฤษในช่วงแรก ต้องอ่านคำนำในหน้าแรกอย่างละเอียดด้วย เรียนรู้ตัวอักษรและแผนภูมิสัตรอักษรสากล


หากคุณไม่รู้ตัวอักษรภาษาอังกฤษและสัทศาสตร์สากล เมื่อคุณใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษ คุณอาจจะรู้ ความหมายความหมายของคำศัพท์นั้นได้อย่างเดียว โดยไม่รู้การถอดออกเสียงที่ถูกต้อง และการเน้นย้ำ เสียงสูงต่ำที่ถูกต้องของคำนั้นโดยปกติตัวอักษรและแผนภูมิสัทอักษรสากลสำหรับภาษาอังกฤษ ผู้เรียน ภาษาอังกฤษจะได้แนะนำและสอนเมื่อเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเลย อย่างไรก็ตาม หากบางทีเราอาจจะลืม คุณสามารถลองดูใหม่อีกครั้งในพจนานุกรมภาษาอังกฤษของเราได้เลย เพราะพจนานุกรมภาษาอังกฤษทุก เล่มมีตัวอักษรภาษาอังกฤษและสัทอักษรสากล (IPA) ซ้ำกันในตอนเริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับอักษรย่อและ สัญลักษณ์ที่ใช้ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษในพจนานุกรมภาษาอังกฤษจะมีตัวอักษรย่อมากมายที่คุณต้อง จำเพื่อให้เข้าใจความหมายของคำได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น adj ย่อมาจาก adjective (คำคุณศัพท์) หรือ “n” จะย่อมาจาก noun (คำนาม) แต่ก็อาจเป็น north ได้เช่นกันในบางบริบท ถ้าเรารู้ดีเกี่ยวกับอักษรย่อและ สัญลักษณ์ที่ใช้ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ เราจะรู้ได้ว่าคำนี้เป็นคำประเภทไหน หรือลักษณะต่าง ๆ ของ คำศัพท์นั้นอีกด้วย ซึ่งอันนี้จะช่วยให้การใช้พจนานุกรมในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของเราได้ผลอย่างมาก เลย คำศัพท์ที่ใช้ในพจนานุกรม ตัวย่อ คำแปล แปลว่า abbreviation abbr. ตัวอักษรย่อ adjective adj. คำคุณศัพท์ adverb adv. คำวิเศษณ์ antonym ant. คำตรงข้าม conjunction conj. คำสันธาน interjection interj. คำอุทาน intransitive verb vi. กริยาที่ไม่ต้องการกรรม noun n. คำนาม preposition prep. คำบุพบท pronoun pron. คำสรรพนาม


synonym syn. คำที่มีความหมายเหมือนกัน transitive verb vt. กริยาที่ต้องการกรรม verb v. คำกริยา 2 – พจนานุกรมภาษาอังกฤษ 5 เล่มที่คุณไม่ควรพลาด สำหรับใครที่กำลังมองหาพจนานุกรมภาษาอังกฤษดีๆ เพื่อใช้ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เราขอแนะนำ พจนานุกรมภาษาอังกฤษ 5 เล่มที่คุณไม่ควรพลาด 2.1 – พจนานุกรมภาษาอังกฤษ Oxford Learners’ Dictionary Oxford Advanced Learner’s Dictionary เป็นพจนานุกรมภาษาอังกฤษ – อังกฤษขั้นสูงที่เป็นที่นิยมและ ได้รับการยอมรับจากสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลก พจนานุกรมตัวนี้มีตัวอย่างและคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม เพราะฉะนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ชื่นชอบของผู้เรียนภาษาอังกฤษหลายคน พจนานุกรมภาษาอังกฤษ Oxford Learners’ Dictionary มีสองรูปแบบ: ทั้งพจนานุกรมเล่มและพจนานุกรม ออนไลน์ แม้ว่าจะใช้รูปแบบไหนคุณก็สามารถค้นหาข้อมูลต่อไปนี้จากพจนานุกรมเล่มนี้ได้: สำหรับคำเดี่ยว ผู้เรียนสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ: ประเภทคำ: เป็นคำนาม, กริยาหรือคำคุณศัพท์ การถอดการออกเสียงของคำ: เพื่อให้คุณสามารถออกเสียงคำศัพท์ได้อย่างถูกต้อง โดยปกติจะมีการถอด เสียงสองแบบที่สอดคล้องกับการอ่านแบบอังกฤษ-อังกฤษ และอังกฤษแบบอเมริกา นิยามหรือความหมายของคำศัพท์เป็นภาษาอังกฤษในบริบทหรือความหมายต่าง ๆ ของคำตามลำดับความ คำพ้องความหมาย สำหรับกริยาวลี เราสามารถค้นหาในพจนานุกรม Oxford Learners’ Dictionary ได้ด้วย จะมีรายการของ คำศัพท์และวลีให้คุณดูความหมายของคำนั้นด้วยสำหรับสำนวนภาษาอังกฤษ (idioms) คุณก็สามารถค้นหา เหมือนกับเมื่อคุณค้นหาคำเดี่ยวและกริยาวลี ระบบจะแสดงสำนวนที่คุณมักพบซึ่งเกี่ยวข้องกับคำที่ค้นหา 2.2 – พจนานุกรมภาษาอังกฤษ Oxford Learner’s Thesaurus


พจนานุกรมภาษาอังกฤษ Oxford Learner’s Thesaurus เป็นพจนานุกรมเล่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคำพ้อง ความหมายที่มีประโยชน์มาก นี่เป็นหนึ่งในพจนานุกรมที่มีชื่อเสียงมากที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษควรมีไว้เพื่อ พัฒนาและเพิ่มเติมคำศัพท์ของตัวเองพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มนี้เป็นหนังสือที่จำเป็นต้องการสำหรับ ผู้เรียนภาษาอังกฤษขั้นสูงหรือนักศึกษาสายภาษา เพราะนอกจากที่ช่วยให้เราสามารถค้นหาคำศัพท์ได้แล้ว มันยังมีการถอดออกเสียงและความหมายของคำเหมือนพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มอื่นแถมจะมีตัวอย่าง การใช้สำหรับแต่ละคำศัพท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีรายการคำพ้องความหมายและการใช้งานของแต่ละคำ ให้ผู้เรียนสามารถรู้ได้ว่าคำนี้ใช้งานยังไงได้อย่างถูกต้องตามบริบทอย่างไรก็ตาม เพราะเนื้อหาใน พจนานุกรมภาษาอังกฤษ Oxford Learner’s Thesaurus เล่มนี้เป็นภาษาอังกฤษแบบล้วน ๆ เพราะฉะนั้น เล่มนี้จะเหมาะสำหรับผู้เรียนที่มีระดับภาษาอังกฤษตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป 2.3 – Oxford River Books English-Thai Dictionary พจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มนี้พิเศษตรงที่หนากว่า 1,000 หน้า และมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษทั้งหมดราว ๆ 235,000 คำ โดยที่มีความหมายทั้งแบบอังกฤษและแบบอเมริกันอยู่ในเล่มเดียว นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังมีสำนวนต่าง ๆ อธิบายเอาไว้ให้ด้วย การจัดรูปแบบหนังสือพวกนี้ก็เข้าใจง่าย แล้วก็ทำให้หาคำศัพท์ง่ายอีกด้วย เพราะ Oxford River Books English-Thai Dictionary เป็นพจนานุกรมภาษาอังกฤษ- ไทย เพราะฉะนั้นเล่มนี้จะใช้ได้กับผู้เรียน ภาษาอังกฤษตั้งแต่พื้นฐานหรือนักเรียนชั้นประถมได้เลย 2.4 – SE-ED’S New Compact English-Thai Dictionary หนังสือพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มเล็กนี้ ถึงจะจิ๋วแต่ก็แจ๋วมาก ๆ เพราะถึงแม้ว่ามันจะเล็ก แต่ก็มีคำศัพท์ ภาษาอังกฤษบรรจุอยู่กว่า 40,000 คำ มีทั้งสำนวน และสาธิตการออกเสียง รวมถึงตัวอย่างการใช้เอาไว้ ด้วย ซึ่งด้วยขนาดกะทัดรัดที่สามารถที่ให้พกพาไปไหนมาไหนได้ ทำให้เจ้าเล่มนี้น่าสนใจมากจริง ๆ เพราะว่า SE-ED’S New Compact English-Thai Dictionary มีคำศัพท์พื้นฐานที่จำเป็นเจ้าเล่มนี้ก็ครอบคลุม พอใช้ได้ ใครที่อยากได้พจนานุกรมภาษาอังกฤษแต่งบน้อย หรือไม่ต้องการจะใช้พื้นที่ในการเก็บที่มาก เกินไป พจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มนี้ดีทีเดียว 2.5 – Dictionary in Action English-Thai


พจนานุกรม Dictionary in Action English-Thai เล่มนี้ไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีขนาดกำลังพอดี และเป็นพจนานุกรม ภาษาอังกฤษ – ไทยที่รวมคำศัพท์มากกว่า 20,000 คำ จุดเด่นของพจนานุกรมเล่มนี้คือพจนานุกรมเล่มนี้ จะมีประโยคตัวอย่างและตัวอย่างการใช้คำศัพท์ต่าง ๆ เยอะมาก และละเอียด ทำให้เราสามารถยกศัพท์มา ใช้ในบริบทต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำถึงแม้ว่าพจนานุกรมเล่มนี้จะไม่ได้บรรจุคำศัพท์มากอย่างเล่มอื่นๆ แต่ก็มีความละเอียดของเนื้อหามากจริง ๆ ยังมีคุณสมบัติที่ครบถ้วย อย่างเช่นการออกเสียง ความหมาย รูปแบบของคำศัพท์ ตัวอย่างประโยค ถ้าใครต้องการความแม่นยำเช่นนี้ก็ลองหาซื้อมาใช้กันดูได้นะ 3 – แอปพจนานุกรมภาษาอังกฤษสำหรับการเรียนรู้คำศัพท์ที่ดี 3.1 – Urban Dictionary แอพแปลภาษาที่เหมาะเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับใครที่ชอบการแชท เพราะตัวแอปฯ นี้จะมีฟีเจอร์การแปล คำศัพท์ที่เป็นคำสแลง รวมไปถึงคำทั่วไป โดยจะเป็นการแปลจาก อังกฤษ-อังกฤษ เหมาะสำหรับใครอยาก ฝึกทักษะภาษาอังกฤษ ทำความเข้าใจคำศัพท์จากภาษาอังกฤษด้วยกัน ตัวแอปฯ ออกแบบมาให้ใช้งานได้ ง่าย เพียงแค่พิมพ์คำศัพท์ที่เราต้องการทราบความหมาย ตัวแอปฯ ก็จะทำการแปลภาษาให้เราเรียบร้อย มี ทั้งความหมายและตัวอย่างการใช้ประโยค นอกจากนี้ตัวแอปฯ ยังมีเกมทายคำศัพท์ โดยจะเป็นการทายคำ สแลงว่ามีความหมายอย่างไร สำหรับใครที่ต้องการทราบความหมายของคำสแลงเพื่อที่จะใช้นำไปพูดกับ เพื่อนหรือเข้าใจความหมายเวลาที่อ่านภาษาอังกฤษก็ต้องห้ามพลาดเลย 3.2 – Longdo Dictionary หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับเว็บไซต์ Longdo ในการแปลภาษาที่มักจะขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ เวลาที่เรา ต้องการค้นหาคำศัพท์ผ่านทางเว็บไซต์ Google ซึ่งนอกจากจะมีเว็บไซต์แล้ว ก็มีแอปพลิเคชันสำหรับการ แปลภาษาโดยเฉพาะอย่างแอปฯ Longo ด้วย โดยตัวแอปฯ รองรับการแปลภาษาไทย-อังกฤษ และ อังกฤษ-ไทย เลยทีเดียว โดยจะเน้นไปที่การแปลคำศัพท์เป็นหลัก เหมาะมาก ๆ กับนักเรียน นักศึกษา ที่ ต้องการดิกชันนารีเพื่อค้นหาความหมายของศัพท์ต่าง ๆ ในส่วนของการใช้งานก็ง่ายมาก ๆ เพียงแค่ใส่ คำศัพท์ที่เราต้องการแปลลงไปในช่องค้นหา ระบบก็จะทำการค้นหาความหมายและแสดงผลให้เรา ความ น่าสนใจของแอปฯ นี้ก็ยังมีในเรื่องของคำใกล้เคียงที่มีความหมายใกล้เคียงกับศัพท์ที่เราแปลนอกจากนี้แล้ว แอปฯ ยังมีคำศัพท์ภาษาไทยท้องถิ่นอื่น ๆ ให้เราทราบด้วย ไม่ว่าจะเป็น ภาษาอีสาน หรือภาษาเหนือ เรียกว่าเป็นแอปฯ ของคนไทยที่ทำมาเพื่อคนไทยใช้งานจริง ๆ


3.3 – LINE Dictionary แอปฯแปลภาษาจาก LINE ที่มาในรูปแบบของตัวการ์ตูนจาก LINE ที่มีความน่ารัก น่าเอ็นดู มาพร้อมโหมด สำหรับการฝึกภาษา ตัวแอปจะเน้นไปที่การแปลภาษาจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ภาษาจีน และ อินโดนีเซียเป็นหลักสำหรับการใช้งานนั้นก็สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ เพียงแค่พิมพ์คำที่ต้องการหา ความหมายลงไป ระบบก็จะแปลภาษาให้เราแล้ว ทั้งนี้ตัวแอปฯ สามารถแปลวลีได้ด้วย แต่สำหรับประโยค ยาว ๆ นั้น ยังไม่สามรถแปลได้ ในส่วนของฟีเจอร์การฝึกภาษา ตัวแอปฯ ก็มีฟีเจอร์ Daily English หรือ Words Up และเกมต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับภาษามาให้ผู้ใช้งานได้เล่น ได้ฝึกภาษากันด้วย เหมาะกับคน ทุกวัย รวมไปถึงใครที่อยากเริ่มต้นฝึกภาษาอังกฤษด้วย7 7 https://shorturl.asia/53q7P


๗.การใช้ภาษาอังกฤษกับสื่อระบบสารสนเทศเครือข่ายสังคมออนไลน์และฐานข้อมูลอิเล็กทอร นิกส์ เทคโนโลยีกับครูภาษาอังกฤษ ภาษา เนื่องจากในการสอนนั้นครูจะต้องใช้ภาษาในการสื่อสาร หรือการให้ความรู้แก่เด็กนักเรียน ภาษา จึงมีความจำเป็นมากในกระบวนการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้นั้นจะเกิดขึ้นได้ไม่สมบูรณ์หากไม่มี ภาษา เพราะอย่างน้อยเราทุกคนก็ต้องใช้ภาษากาย ( body language) ในการเรียนการสอน ทักษะทาง ภาษาจึงมีความจำเป็นสำหรับครูอย่างยิ่ง ทักษะทางภาษา 4 ทักษะ ดังนี้ 1.ทักษะการฟัง ( Listening skill) 2.ทักษะการพูด ( Speaking skill) 3.ทักษะการอ่าน (Reading skill) 4.ทักษะการเขียน (Writing skill) ซึ่งทั้ง 4 ทักษะ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาก ผู้สอนจะต้องใช้4ทักษะนี้ในการสอนให้สัมพันธ์กันไป โดยเฉพาะ ครูภาษา ทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ ในขณะเดียวกันการจัดการเรียนการสอนนั้น ระดับของภาษา ก็มีความจำเป็น ถึงแม้ครูจะมีการใช้ทักษะทางภาษาสัมพันธ์กันได้อย่างดี แต่ครูก็ควรคำนึงถึงสภาพจริง ของผู้เรียนว่ามีพัฒนาการทางภาษา หรือ ความผิดผกติทางร่างกายบางประการก็อาจทำให้กระบวนการ เรียนรู้ไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการใช้ภาษาในการสื่อสารสิ่งที่ควรคำนึงมากที่สุด คือ ภาษาที่ใช้จะต้องทำให้ผู้พูด (ครู)และผู้ฟัง(นักเรียน) เข้าใจสาร ( เนื้อหาที่ครูต้องการให้ความรู้หรืออธิบาย) นั้นตรงกัน ถึงจะถือว่าการ ใช้ภาษาในการสื่อสารสัมฤทธิ์ผล ซึ่งนอกจากภาษาไทยแล้ว ภาษาที่มีความสำคัญรองลงมาเป็นอับดับสอง ก็คือภาษาอังกฤษ เป็นอีกภาษาหนึ่งที่ครูควรจะมีความรู้ เพราะภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทมากมาย ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเข้ามาพร้อมกับเทคโนโลยี สินค้า ความรู้ด้านการศึกษาใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งรูปแบบ การจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาที่เป็นแบบบูรณาการแต่ละรายวิชา การทำโครงการโรงเรียนสอง ภาษา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษทั้งสิ้น ครูจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทักษะการใช้ ภาษาที่สองด้วย โดยเฉพาะครูที่สอนภาษาอังกฤษ และผู้บริหารสถานศึกษาระดับสูงที่ต้องไปศึกษาดูงาน ต่างประเทศ หรือครูที่กำลังศึกษาต่อในระดับ มหาบัณฑิต( ป. โท ) และ ดุษฎีบัณฑิต ( ป. เอก ) ที่การใช้ ภาษาอังกฤษมากขึ้น ดังนั้นองค์ประกอบของความสามารถด้านภาษา ที่ต้องใช้ในการสื่อสาร ที่ครูควรรู้ และนำไปปฏิบัติคือ 1. ความสามารถทางด้านไวยากรณ์หรือโครงสร้าง ( Grammatical competence) หมายถึงความรู้ทางด้าน ภาษา ด้านศัพท์ โครงสร้างคำ ประโยค การสะกด และการออกเสียง


2. ความสามารถด้านสังคม (Socio-linguistic competence) การใช้คำหรือประโยคให้เหมาะตามบริบททาง สังคม 3. ความสามารถในการใช้ความสัมพันธ์ของเนื้อความ ( discourse competence) ความสามารถใน การเชื่อมระหว่างโครงสร้างภาษา กับ ความหมาย ในการพูดและการเขียนตามรูปแบบ 4. ความสามารถ ในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย ( Strategic competence) การใช้เทคนิคเพื่อให้การติดต่อสื่อสาร ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะการพูด ในการพูดนั้นผู้พูดมีกลวิธีที่จะทำให้การสนทนาคล่องแคล่วมากขึ้น โดยการใช้ภาษาท่าทาง (body language) การขยายความในการใช้คำศัพท์อื่นแทนคำที่ผู้พูดไม่รู้ อย่างไรก็ ตามภาษาอังกฤษยังมีความจำเป็นอย่างมากในคาบเรียนวิชาภาษาอังกฤษมากกว่าวิชาอื่นๆ ดังนั้นบทบาท ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษมีบทบาทที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1. เป็น ผู้ดำเนินการ เป็นผู้เตรียมและจัด กิจกรรม 2. เป็นผู้แนะนำหรือแนะแนว ขั้นตอนกิจกรรมต่างๆ 3. เป็นผู้วิจัยและผู้เรียน คือจะต้องเรียนรู้ พฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนแต่ละคนด้วย จริงๆแล้วผู้สอนก็อาจจะมีบทบาทอื่นๆอีก ในขณะที่มีการจัด กิจกรรมการเรียนรู้อยู่นั้น ผู้สอนภาษาจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย อย่าง ชัดเจนและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เพื่อเป็นการเชื่อมช่องว่าง และความสามารถทางด้านสื่อสารของ ผู้เรียน ถึงแม้การสื่อสารด้วยภาษาจะเป็นหัวใจหลักในการสื่อสารเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ แต่การเรียนรู้นั้น ไม่ใช่ว่าจะเกิดจากการใช้ภาษาที่มีตัวอักษรและการเปล่งเสียงเป็นสัญลักษณ์อย่างเดียว การเรียนรู้อาจเกิด ได้จากการใช้ภาษากายร่วมด้วย เนื่องจากภาษากายจะทำให้ผู้เรียนและผู้สอนทราบความรู้สึกนึกคิดของ ต่างฝ่ายได้มากขึ้น ภาษากายเป็นภาษาที่จำเป็นมากสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน โดยเฉพาะ ภาษามือ และอักษรเบลล์ ดังนั้นภาษากายจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเรียนรู้ด้วย แต่การเกิด การเรียนรู้ที่สมบูรณ์นั้นก็ขึ้นอยู่กับบริบทและปัจจัยอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนรู้ ความพร้อมของตัวผู้เรียน ความพร้อมของตัวผู้สอน ฯลฯ ที่มา : บทความที่แต่งขึ้นเพื่อ นำเสนองานหน้าชั้น โดย นางสาวจินดาภา ใต้ชัยภูมิปัจจุบันจะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญต่อการ ติดต่อสื่อสารเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันในด้านการทำธุรกิจ การใช้เทคโนโลยีล้วน แล้วแต่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารทั้งนั้น ปัจจุบันนั้นจะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษนั้นมี ความสำคัญอย่างมากต่อการเรียนการสอนในชั้นเรียน ดั้งนั้นครูผู้สอนจึงจำเป็นต้องมีทักษะด้าน ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี เพื่อประโยชน์ในการนำไปถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนได้ ดังนั้นเมื่อเราต้องการให้ คนไทย สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง และมีความเข้าใจในภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการ ติดต่อสื่อสารดังกล่าว ควรเริ่มต้นจาก อาจารย์ผู้ที่จะคอยให้ความรู้เป็นอันดับแรก โดยครูผู้สอนจะต้อง ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษและทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้ครบทุกด้าน ให้ได้ความรู้ให้มาก ที่สุด เพื่อที่จะนำความรู้ที่ได้มาไปเผยแพร่ให้กับนักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วไป ให้


ได้รับความรู้ในการใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้านการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ การติดต่อสื่อสาร ทางด้านการทำธุรกิจ การใช้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และ การ เรียนการสอนในห้องเรียน เป็นต้น ซึ่งการเรียนการสอน ครูผู้สอนจะต้อง ฝึกให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ ด้วยตนเองเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งในเรื่อง การการฟัง (listening) การพูด (speaking) การอ่าน (reading) และการเขียน (writing)http://businessend.redciel.com/education-acedi/888/ ต้องมีความ เหมาะสมเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มมากขึ้นของห้องเรียนภาษาอังกฤษศิลปะ Today's teachers are developing new and exciting means of integrating language, writing, and literature with innovative technologies. วันนี้ครูมีการพัฒนาวิธีการใหม่และน่าตื่นเต้นของการบูรณาการภาษาเขียนและวรรณคดีกับ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี8 8 https://shorturl.asia/KRoJe


สรุป ในยุคปัจจุบัน ทักษะภาษาเพิ่มเติมนอกเหนือจากภาษาไทย มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก จนแทบจะถือได้ว่า ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันเป็นหลัก ดังนั้น การฝึกฝนภาษาอังกฤษ จึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น เพราะจะ ช่วยให้เราติดต่อสื่อสาร กับคนเกือบทั้งโลกได้ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอด ทั้งในเรื่องการศึกษา การทำงาน การท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งการหาเพื่อนใหม่ ๆ การมีโอกาสได้พบปะพูดคุยสื่อสารกับผู้คน ทั้งในโลก ออนไลน์ และโลกจริง ซึ่งอาจเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้พบโอกาสช่องทางใหม่ ๆ ที่อาจส่งผล ให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตก็เป็นได้


Click to View FlipBook Version