The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มวิเคราะห์จินดามณีสมัยพระเจ้าบรมโกศ สมัยอยุธยา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Suphachai Boonladee, 2024-06-17 04:40:40

รวมเล่มวิเคราะห์จินดามณีสมัยพระเจ้าบรมโกศ

รวมเล่มวิเคราะห์จินดามณีสมัยพระเจ้าบรมโกศ สมัยอยุธยา

วิเคราะห์แบบเรียนจินดามณี ครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ นางสาววสุมดี ทองวัง รหัสนิสิต 63103๑๓๐๔ นางสาววิรัญรัตน์ ยอดศรี รหัสนิสิต 63103๑๓๐๗ นายศุภชัย บุญละดี รหัสนิสิต 631031๓๐๙ นางสาวสุนิษา ปัญญาทิพย์ รหัสนิสิต 631031๓๑๑ นายสุวินัย จันทรัตน์ รหัสนิสิต 631031๓๑๔ นางสาวอชิรยา จู่จุ้ยเอี่ยม รหัสนิสิต 631031๓๑๖ นางสาวอินทิรา ปามุทา รหัสนิสิต 631031321 สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ เสนอ อาจารย์ ปริยากรณ์ ชูแก้ว รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ๐๑๑๑๔๕๒ แบบเรียนภาษาไทย ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา


ค ำน ำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ๐๑๑๑๔๕๒ แบบเรียนภาษาไทยโดยมีจุดประสงค์เพื่อ วิเคราะห์แบบเรียนจินดามณีสมัยแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ทั้งนี้ในรายงานมีเนื้อหาประกอบด้วยความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับแบบเรียนจินดามณีสมัยแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ การวิเคราะห์ด้านเนื้อหา การวิเคราะห์ด้าน กลวิธีการใช้ค า และการวิเคราะห์ด้านกลวิธีการเขียนแบบเรียนจินดามณีสมัยแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ทั้งนี้คณะผู้จัดท า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่านที่ก าลังศึกษาเรื่องนี้เป็นอย่างดี คณะผู้จัดท า


สำรบัญ เรื่อง หน้ำ ข้อมูลทั่วไป ๑ ลักษณะการเรียบเรียง ๒ ด้านเนื้อหา ๓ กลวิธีการใช้ค า ๑๐ กลวิธีการเขียน ๑๔ เอกสารอ้างอิง ๑๘


๑ วิเคราะห์แบบเรียนจินดามณี สมัยแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ๑. ข้อมูลทั่วไป สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หรือสมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ 3 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาล ที่ 31 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระนามเดิมคือ เจ้าฟ้าพร เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) กับพระอัครมเหสี พระเชษฐาคือเจ้าฟ้าเพชรซึ่งต่อมาเป็นสมเด็จพร ะสรรเพชญ์ที่ 9 (พระเจ้าท้ายสระ) เจ้าฟ้าพรประสูติเมื่อ พ.ศ. 2224 จินดามณี ฉบับพระเจ้าบรมโกศ เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยเนื้อหาจะเกี่ยวกับอักขรวิ ธีเป็น ส่วนมาก เช่น การอ่านออกเสียงพยัญชนะทั้ง ๔๔ ตัว การแบ่งอักษรเป็นสามหมู่ การผันอักษร และการผัน วรรณยุกต์ ที่มาของจินดามณีฉบับนี้เกิดจาก อ.ดร.ขจร สุขพานิช ได้น าส าเนาต้นฉบับหนังสือจินดามณีมาจาก ต้นฉบับสมุดข่อยที่มีเก็บรักษาไว้ที่ Royal Asiatic Society ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และน ามามอบ ให้กับกรมศิลปากรจัดพิมพ์โดยรักษาอักขรวิธีตามฉบับที่ขอถ่ายส าเนามา หลังจากนั้นจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2504 และได้ระบุชัดเจนว่ามีการคัดลอกหรือเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2275 ซึ่งบอกไม่ได้ ว่าเป็นปีที่คัดลอกหรือปีที่แต่งขึ้น เพราะหนังสือจินดามณี ฉบับพระเจ้าบรมโกศ ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง และจินดา มณีแต่งครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ เป็นต าราว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการเขียนการอ่านภาษาไทยที่มีความ ละเอียด และลึกซึ้งมากที่สุดในสมัยนั้น


๒ ๒. ลักษณะการเรียบเรียง การเรียบเรียงการประพันธ์ไม่ใช้ธรรมเนียมการประพันธ์วรรณกรรมของไทย คือไม่มีการไหว้ครู หรือ ประณามพจน์ หรือเกริ่นบอกจุดประสงค์ แต่ขึ้นต้นด้วยการแสดงหลักฐานส าคัญในการประดิษฐ์อักษรไทย ซึ่งมีข้อมูลที่ยืนยันว่า พระร่วงเจ้า (พ่อขุนรามค าแหง) เป็นผู้ประดิษฐ์อักษรไทย ๒.๑ การขึ้นต้น การใช้ภาษาค่อนข้างเข้าใจยาก เพราะเป็นส านวนเก่าที่ใช้ในสมัยอยุธยา (ตอนปลาย) เรียบเรียงแบบความเรียงร้อยแก้ว หรือบทความวิชาการ ปัจจัยหนึ่งที่ท าให้หนังสือจินดามณีฉบับนี้ไม่ แพร่หลายเท่าที่ควร เพราะการเรียบเรียงอธิบายกฎเกณฑ์ระเบียบอักขรวิธีนั้นท าให้ผู้อ่านเข้าใจยากและมักจะ สับสน เนื้อหาจ ากัดอยู่เฉพาะอักขรวิธี อธิบายการเขียนอ่านเท่านั้น มิได้พูดถึงฉันทลักษณ์เหมือนฉบับพร ะ โหราธิบดี ซึ่งปรากฏโคลงสี่เพียง 3 บท โดยอธิบายเกี่ยวกับเรื่องวรรณยุกต์ จินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศ ไม่พบเนื้อหาฉันทลักษณ์อื่น ๆ ในฉบับนี้เลย และท านอง เขียนเป็นความเรียงร้อยแก้ว มีโคลงอยู่เพียง 3 บทเท่านั้น ดังนี้


๓ มีการอธิบายเชิงวิจารณ์เปรียบเทียบกับอักขรวิธีของขอม บาลี มีการจัดท าแผนผังเพื่อแสดง การออกเสียงสูง-ต่ า เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจยิ่งขึ้น ข้อความท้ายเล่มของหนังสือจินดามณี ฉบับพระเจ้าบรมโกศฉบับนี้ ปรากฏความว่า จากความหมายของบังคับอักษรน่าจะตรงกับปัจจุบันว่า กฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยการเขียนการอ่าน แสดงให้เห็นว่าหนังสือจินดามณี ฉบับพระเจ้าบรมโกศมีจุดมุ่งหมายในการเรียบเรียงเพื่อให้ผู้เรียนแตกฉานแล ะ มีความสันทัดยิ่งขึ้น ซึ่งต่างกับจุดมุ่งหมายของฉบับพระโหราธิบดี ซึ่งต้องการให้เป็นแบบเรียนส าหรับกุลบุตร กุลธิดา ๓. ด้านเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ๓.1 วรรณยุกต์ที่ปรากฏในหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีความแตกต่างจากฉบับของพระโหราธิบดี ในหลายส่วนด้วยกันโดยในส่วนของวรรณยุกต์ ฉบับพระโหราธิบดีจะไม่ปรากฏวรรณยุกต์ตรีและจัตวาแต่ฉบับ พระบรมโกศจะปรากฏวรรณยุกต์ตรีและจัตวา ดังข้อความที่ปรากฏในหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าบร มโกศ ตอนที่ว่า


๔ จากในหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศจะเห็นได้ว่า มีการกล่าวถึงวรรณยุกต์ครบทั้ง 4 รูป และอธิบายรูปลักษณ์ ได้แก่ ไม้เอกเหมือนรูปค้อนหางโค ไม้โท เหมือนรูปขอ ไม้ตรีเหมือนเลขเจ็ด ไม้จัตวา เหมือนรูปตีนกา ทั้งนี้มีมีประเด็นถกเถียงในเรื่องการปรากฏขึ้นของวรรณยุกต์ตรีและจัตวาซึ่งบางผู้รู้กล่าวว่า พบในสมัยพระเจ้าบรมโกศ บางผู้รู้กล่าวว่าพบในสมัยรัตนโกสินทร์ ผู้ศึกษาได้หาข้อมูลมาอธิบายประเด็นนี้ ไว้ ดังนี้ มัลลิกา มาภา (2559) กล่าวว่าวรรณยุกต์ในสมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา มีวรรณยุกต์เพียง สองรูป คือ เอกและโท ซึ่งวรรณยุกต์เอกใช้รูปเดียวสม่ าเสมอ ส่วนวรรณยุกต์โท เริ่มต้นด้วยรูปกากบาท และใน ราว พ.ศ. 1992 (หลักที่ 102) ได้ปรากฏวรรณยุกต์โทรูปปัจจุบันและยังใช้ปนกันกับรูปกากาบาทแล ะเมื่อ พ.ศ. 1942 (จารึกหลักที่ 93) จะใช้วรรณยุกต์โทรูปปัจจุบันสม่ าเสมอ ตั้งแต่นั้นมา ส่วนวรรณยุกต์ต รีแล ะ จัตวา พึ่งได้ปรากฏใช้กันในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แม้ว่าในหนังสือจินดามณี ฉบับสมเด็จพระนารายณ์และฉบับ พระบรมโกศ จะมีการสอนผันเสียงวรรณยุกต์ แต่ฉบับพระนารายณ์กล่าวเพียงวรรณยุกต์เอกและโท ส่วนจินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศ (เนื้อหาต่างกับฉบับพระโหราธิบดี ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์) มีการสอน ผันวรรณยุกต์ทั้งสี่ตัว แต่ตามนักอักขรวิทยา มีศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร เสนอว่า ต้นฉบับจินดามณี ที่เราพบอยู่นี้เป็นฉบับที่คัดลอกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ธวัช ปุณโณทก (2553) กล่าวว่า วรรณยุกต์ตรีและจัตวา พบใช้ในการเขียนเอกสารต้น กรุงรัตนโกสินทร์จ านวนน้อยมากในเอกสารของราชการพบวรรณยุกต์ตรีในหนังสือพระยามหาโยธาถึงอุบากอง ผู้หลาน เมื่อ พ.ศ. 2346 และวรรณยุกต์จัตวาพบครั้งแรกในพระราชสาสน์ถึงญวณว่าด้วยการเมืองเวียงจันทน์ และเรื่องของเชียงสือ พ.ศ.2337 ฉะนั้นวรรณยุกต์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีครบ 4 รูป เบ็ญจวรรณ สุนทรางกูล (2518) สันนิษฐานว่ารูปวรรณยุกต์ตรีและจัตวามีใช้ในสมัยพระเจ้า บรมโกศ โดยอ้างถึงจินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศที่กล่าวถึงเครื่องหมายทั้ง 2 นี้ และท่านได้แสดงความเห็น ว่า วรรณยุกต์ มี 4 รูป คือ ซึ่งเรียกว่า รูปค้อนหางโค รูปขอ รูปเลขเจ็ด รูปตีนกา ไม้ตรีและไม้จัตวาใช้ส าหรับ เขียนค าลาว ธนิต อยู่โพธิ์ (2512) กล่าวว่า ในการอธิบายการผันวรรณยุกต์นั้น ได้แสดงให้เห็นถึงการ ออกเสียงและระดับเสียงสูงต่ า ซึ่งอาจไม่ตรงกับการออกเสียงในสมัยปัจจุบัน คือปัจจุบัน ระดับเสียงตรีออก เสียงสูงสุดส่วนจัตวานั้นขึ้นต้นด้วยเสียงต่ าและมาจบระดับเสียงสูง ดังนี้


๕ ในการอธิบายวรรณยุกต์นั้นชี้ให้เห็นว่าวรรณยุกต์ตรี และจัตวา ซึ่งไม่มีในจินดามณีฉบับพร ะ โหราธิบดี ในสมัยเรียบเรียงฉบับนี้ปรากฏว่ามีวรรณยุกต์ครบ 4 รูปแล้ว การที่มีผู้รู้หลายท่านเชื่อว่าวรรณยุกต์ ตรี และจัตวานั้น เริ่มใช้ในสมัยกรุงเทพมหานครน่าจะไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าท่านได้อธิบายถึงวรรณยุกต์ตรี และจัตวาอยู่หลายตอนจนไม่น่าจะเชื่อว่ามีการเพิ่มเติมในสมัยกรุงเทพมหานคร เช่น “เหล่าอักษรเสียงสูง 11 ตัว เหล่าอักษรกลางก้องต่ า (อักษรต่ า) 24 ตัว อันมีแต่ ไม้เอก ไม้โท และเสียงวิ่งเข้าหากันเป็นเสียงไม้ตรีไม้จัตวา อยู่นั่นเอง” และอีกตอนหนึ่งว่า “อักษรกลางเบาบ่มิก้อง 9 ตัวเหล่านี้ เหมือนบุรุษสามคนคือ แต่มีความรู้มากกว่าคนหกคนนั้นแล้ว คือเพิ่ม ไม้ตรี ไม้จัตวา เข้าอีกสองค า มี เกา เก่า เก้า เก๊า เก๋า เป็นเสมือนคนสามคนนั้น เหตุว่ามีความรู้มากจึงสู้คน ทั้งหกคนนั้นได้แล” จากการอธิบายไม้ตรี ไม้จัตวา นั้นได้แสดงให้เห็นว่า ไม้ตรีและไม้จัตวา เริ่มใช้กันแล้ว ในสมัย ปี พ.ศ.2275 หรือก่อนหน้านั้น ผู้เรียบเรียงจึงอธิบายไว้อย่างละเอียด และกลมกลืนกับเนื้อความอื่น ๆ จนไม่อาจจะคิดได้ว่ามีการคัดลอกเพิ่มเติมในสมัยกรุงเทพมหานคร ภาพแสดงการผันวรรณยุกต์ในหนังสือจินดามณัฉบับพระบรมโกศ ภาพแสดงการผันวรรณยุกต์ในหนังสือจินดามณัฉบับความพ้อง


๖ วิภาวรรณ อยู่เย็น (2551) ได้ศึกษาวิวัฒนาการของวรรณยุกต์ตรีและจัตวา ผลวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นซึ่งเป็นช่วงแรกของการใช้รูปวรรณยุกต์ตรีและจัตวามีการใช้รูปวรรณยุกต์ทั้งสอง ในค ายืมภาษาจีนมากที่สุด จึงกล่าวได้ว่า การที่มีผู้คิดรูปวรรณยุกต์ตรีและจัตวาขึ้นในภาษาไทยเพื่อใช้เขียนค า ยืมจากภาษาต่างประเทศ อันได้แก่ ภาษาจีน ต่อมารูปวรรณยุกต์ตรีและจัตวาได้พัฒนาไปใช้เขียนค าไทย และ ค ายืมภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ในการศึกษาเชิงประวัติเพื่อวิเคราะห์การปรากฏรูปวรรณยุกต์ตรีและจัดว่า เป็น ครั้งแรก นอกจากจะศึกษาจากข้อมูลร้อยแก้วแล้วผู้วิจัยยังศึกษาจากงานเขียนที่เป็นร้อยกรอง เนื่องจากงาน เขียนในสมัยอยุธยาและธนบุรีส่วนใหญ่เป็นร้อยกรอง รวมทั้งศึกษาจากเอกสารฉบับที่มีผู้อ้างอิงว่า พบรูป วรรณยุกต์ตรีและจัตวาครั้งแรก ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยพบว่า มีการใช้รูปวรรณยุกต์ตรี ในภาษาไทยครั้ง แรกสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และพบว่า มีการใช้รูปวรรณยุกต์จัตวา ในภาษาไทย ครั้งแรกสมัยธนบุรี คือ พบ รูปวรรณยุกต์ตรีในค าว่า น าก๊ก (จดหมายเหตุรัชกาลที่ 1 พ.ศ.2346) และพบรูปวรรณยุกต์จัตวา ในค าว่า หมู อี๋ (นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน พ.ศ.2324) การ ค้นพบของผู้วิจัยครั้งนี้สอดคล้องกับข้อสันนิษฐาน ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ด ารงราชานุภาพ (2505:245) ที่ทรงสันนิษฐานถึงการพบรูป วรรณยุกต์จัตวาครั้งแรกไว้ในหนังสือ สาส์นสมเด็จ เมื่อ พ.ศ.2475 ว่า “การค้นหาก าเนิดไมตรีไม้จัตวา ได้พบ เขียนใช้ผันเสียงอย่างปัจจุบัน นี้ ไม้จัตวามีอยู่ในหนังสือรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระเจ้ากรุงธนบุรี " และ สอดคล้องกับ อิงอร สุพันธุ์วณิช (2527:555) ที่สันนิษฐานเกี่ยวกับการใช้รูปวรรณยุกต์ตรีว่า “การใช้รูป วรรณยุกต์ตรี ผู้เขียนพบเพียงค าเดียวในค าว่า พระเจ้านก๊ก ในหนังสือจดหมายเหตุ รัชกาลที่ 1 สรุปได้ว่ามีผู้รู้หลายท่านได้แสดงความคิดเห็นออกเป็นสองแนวทาง ได้แก่ ประการที่หนึ่งว่า ต้นฉบับ จินดามณีฉบับพระบรมโกศเป็นฉบับที่คัดลอกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ วรรณยุกต์ตรีและจัตวาจึงปรากฏใน สมัยรัตโกสินทร์ ประการที่สองเสนอว่าวรรณยุกต์ตรีและจัตวาปรากฏในสมัยอยุธยาตอนปลายคือปรากฏใน หนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศ แต่จากการศึกษาวิวัตฒนาการของวรรณยุกต์ตีและจัตวาพบว่าการใช้ รูปวรรณยุกต์ตรี ในภาษาไทยครั้งแรกสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และพบว่า มีการใช้รูปวรรณยุกต์จัตวา ใน ภาษาไทย ครั้งแรกสมัยธนบุรี สอดคล้องกับข้อสันนิษฐาน ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ด ารง ราชานุภาพบรูปวรรณยุกต์จัตวาครั้งแรกไว้ในหนังสือ สาส์นสมเด็จ เมื่อ พ.ศ.2475 ๓.2 หลักการผันวรรณยุกต์ตามหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ การอธิบายการผันเสียงวรรณยุกต์นั้น อาจะแสดงให้เห็นโดยตารางข้างล่างนี้


๗ ๓.2.1 อักษรสูง ให้อ่านค าต้นเสียงสูง ลดลงไปตามล าดับ เรียงว่า ผันเสียงเป็นรูปค้อนหางโค ๓.2.๒ อักษรกลาง ค าต้นอ่านเป็นเสียงกลาง แล้วจึงอ่านขึ้นตามเอก แล้วลงตามไม้โทลงตาม ด้วยไม้ตรีขึ้นจามจัตวา เหมือนรูปจั่ว ๓.2.3 อักษรกลางต่ า ให้อ่านค าต้นเสียงสูง ลดลงไปตามล าดับ เรียงว่า ผันเสียงเป็นรูปค้อน หางโค การผันวรรณยุกต์ในหนังสือจิน ดามณีฉบับพร ะเจ้าโหราธิบดีจ ะสอนให้ผันเสียงวรร ณยุก ต์ เฉพาะวรรณยุกต์เอกและโทเท่านั้น ไม่ปรากฏวรรณยุกต์ ตรีและจัตวา จึงเป็นที่เข้าใจกันว่าในสมัยก รุงศรี อยุธยายังไม่นิยมใช้วรรณยุกต์ตรีและจัตวา แต่ในฉบับพระบรมโกศมีการปรากฏขึ้นของวรรณยุกต์ตรีและจัตวา จะมีความแตกต่างการในเรื่องของการผันวรรณยุกต์ กลางคือ อักษรต่ า ฉบับพระโหราธิบดีจะผันเป็นรูป เดือยไก่แต่ฉบับของพระบรมโกศจะผันเป็นรูปค้อนหางโข สรุปได้ว่าการปรากฏของวรรณยุกต์ตรีและจัตวาแสดงให้เห็นถึงเนื้อหาที่มีใจความต่างไปจากจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี ซึ่งมีผู้รู้หลายท่านได้แสดงความคิดเห็นออกเป็นสองแนวทาง ได้แก่ ประการที่หนึ่งว่า ต้นฉบับจินดามณีฉบับพระบรมโกศเป็นฉบับที่คัดลอกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ วรรณยุกต์ตีและจัตวาจึงปรากฏ ในสมัยรัตโกสินทร์ ประการที่สองเสนอว่าวรรณยุกต์ตรีและจัตวาปรากฏในสมัยอยุธยาตอนปลายคือปรากฏใน หนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศ ฉะนั้นหากยอมรับสมุดไทยเรื่องจินดามณีสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศที่ พบที่ลอนดอนเป็นฉบับจริงมิได้เป็นการคัดลอกในสมัยหลัง ก็อาจกล่าวได้ว่า วรรณยุกต์ทั้งสองรูปนี้ปรากฏครั้ง แรกในสมัย พ.ศ. 2275 โดยหลักการผันวรรณยุกต์ในฉบับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศอาจจะมีบางส่วนที่ไม่ตรงกับ หลักภาษาไทยในปัจจุบัน กล่าวคือปัจจุบันระดับเสียงตรีออกเสียงสูงสุด ส่วนจัตวานั้นขึ้นต้นด้วยเสียงต่ าแล ะ มาจบระดับเสียงสูง จินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศหากพิจารณาหลักการผันของอักษรกลางเสียงตรีจ ะเป็น เสียงต่ าสุด แต่หากอ้างอิงจากผลการศึกษาวิวัฒนาการของวรรณยุกต์ตรีและจัตวาในภาษาไทยโดยวิภาวรรณ อยู่เย็นพบว่า วรรณยุกต์ตีและจัตวาเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์


๘ ๓.3 มาตราตัวสะกดที่ปรากฏในหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เรื่องตัวสะกดมีการอธิบายเล็กน้อยทั้ง ๙ แม่ รวมแม่ ก.กา ส่วนค าเป็นค าตาย ก็เช่นเดียวกัน ทั้งเรื่องตัวสะกด และค าเป็นค าตาย มีการอธิบายเป็นความเรียงถึงวิธีใช้ วิธีอ่านเขียน แต่ไม่ได้แจกลูก โดยละเอียดเหมือนแบบเรียนในสมัยปัจจุบัน โดยในหนังสือแบบเรียนจินดามณีสมัยพระเจ้าบรมโกศ จะกล่าวถึงมาตราตัวสะกดทั้ง ๙ แม่ ได้แก่ แม่ก.กา แม่กน แม่กม แม่กง แม่กก แม่กด แม่กบ แม่เกย แม่เกอว เป็นต้น ๓.4 พยัญชนะหันที่ปรากฏในหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เรื่องพยัญชนะก็มีการอธิบายไม่มากนัก แต่จะเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการอ่านหนังสือ แบบเรียนจินดามณีสมัยพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งเป็นภาษาโบราณ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ “...อนึ่ง กน ใช้ น. สองตัวก็ดี กง ใช้ ง. สองตัวก็ดี เกอว ใช้ ว. สองตัวก็ดี กก ใช้ ก. สองตัวก็ดี กด ใช้ ด. สองตัวก็ดี กบ ใช้ บ. สองตัวก็ดี คือ แทนไม้หันอากาศอ่านได้เหมือนกันกับไม้หันอา กาศ เรียงตัวและประโยคใช้ได้สิ้นทุกตัว” เช่น ๓.4.1 ดงงน้นน - ดังนั้น ๓.4.2 วนนน้นน - วันนั้น ๓.4.3 บงงคบบ - บังคับ ๓.4.4 กดด - กัด ๓.4.5 หกก - หัก จากตัวอย่างข้างต้น สรุปได้ว่าในหนังสือแบบเรียนจินดามณีสมัยพระเจ้าบรมโกศ การใช้ รร หันจึงเท่ากับไม้หันอากาศ เช่น ธรรม - ธัม หรือ สรรพ - สัพ เป็นต้น ๓.5 เครื่องหมายวรรคตอนที่ปรากฏในหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เครื่องหมายวรรคตอนที่ปรากฏในจินดามณีฉบับแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ อธิบายถึงวิธีใช้และ วิธีอ่านดังนี้ ๓.5.1 ไม้ทัณฑฆาต ( ์) ในจินดามณีฉบับแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ เขียน ไม้ทันฑ ฆาตใช้ฆ ่าอักษรให้ตาย ไม่ให้ออกเสียง


๙ ๓.5.2 ไม้ไต่คู้ ( ็) ในจินดามณีฉบับแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ เขียน ไม้คู้ ใช้ใส่ที่ อักษรเพื่อให้อ่านเสียงสั้น กึ่งค านั้น เช่น เก็บ ก็ ๓.5.3 ฝนทอง ( ่) บาลีเรียก มุสิกะทันตะ ใช้กับพินธุ์ อิ ๓.5.4 พินธุ์ อิ ( ิ) เมื่อเติมฝนทองจะเป็น อี เติมฟันหนูจะเป็น อื เติมนิคหิตจะ เป็น อึ ๓.5.5 ฟองมัน ( ๏ ) เหมือนไข่ไก่ ใช้ประจ าต้นหนังสือหรือต้นบท ๓.5.6 นิคหิต ( ) อักษรไทยใช้ตามภาษาสันสกฤต แทนเสียง ม เช่น ธ ก ๓.5.7 ไม้หันอากาศ ( ั) ในจินดามณีฉบับแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ เขียน หันอา กาษ คือ สระ -ะ เมื่อมีตัวสะกดจะเปลี่ยนรูปเป็นไม้หันอากาศ เช่น กัน กัด กับ สรุปได้ว่า เครื่องหมายวรรคตอนที่ปรากฏในจินดามณีฉบับแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ มีใช้มาจนถึง ปัจจุบัน แต่มีบางเครื่องหมายที่ไม่ค่อยนิยมใช้ เช่น ฟองมัน ซึ่งเป็นเครื่องหมายวรร คตอนโบ ร า ณ ส่วนเครื่องหมายวรรคตอนอื่น ๆ ที่ปรากฏยังมีใช้และสอนในชั้นเรียน ๓.6 ค าพ้องรูปที่ปรากฏในหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ การอธิบายค าพ้องรูปที่ปรากฏในจินดามณีฉบับแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ คือ ค าที่เขียน เหมือนกัน แต่อ่านออกเสียงได้หลายอย่างและมีความหมายแตกต่างกันออกไป เช่น เพลา อ่านว่า เพ-ลา และ เพลา เสมา อ่านว่า สะ-เหมา และ เส-มา ค าพ้องรูปในจินดามณีฉบับแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ กล่าวว่าให้พิจารณาดูเนื้อความ ดูการ สัมผัสดูว่าเป็นภาษาบาลีและใช้ปัญญาพิจารณา ดังข้อความต่อไปนี้ “ บุทคลผู้มิปัญาพึงอธิบายไปให้แจ้งด้วยเล่าเถอด อักษร ทั้งปวงนั้นเมื่อขัดสนจะปรับเอาเปนแท้ในค านั้นได้เพราะบาฬีบ้าง ได้ เพราะเนื้อความบ้าง ได้เพราะฟัดกันเปนกลอนบ้าง ได้เพราะประจ า อักษรทงงปวงบ้าง ได้ด้วยเจนบ้าง ได้ด้วยปัญาบ้าง ที่ว่าได้ด้วยปัญา นั้น คือ กวน จะอ่านว่ากะกอน ก็ได้อยู่ เกษม เกษมก็ดี เกดษมะ ก็ดี ก็ได้


๑๐ อยู่ อ่านได้ถึงสามหย่าง เทอกจะอ่านว่าเทอกก็ดี ทะเอกก็ดี ก็อ่านได้ ถึงสามหย่างเรืองนี้มากอยู่เปนธรรมดาอักษร เปนสามแพรงอยู่ดงง นั้นเอง… ” จากข้อความ คือ หากจะพิจารณาค าให้พิจารณาด้วยปัญญาว่าค าที่เขียนเหมือนกันแต่อ่าน ออกเสียงแตกต่างกัน เรียกว่าค าพ้องรูป เช่น เกษม อ่าน เกษม และ เกดษมะ เทอก อ่าน เทอก และ ทะเอก สรุปได้ว่า จินดามณีฉบับแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศปรากฏค าพ้องรูป แต่ไม่ปรากฏค าพ้องเสียง ซึ่งการพิจารณาค าพ้องรูปผู้อ่านต้องใช้ปัญญาและความรู้อื่น ๆ ในการประกอบการอ่านด้วย ๔. กลวิธีการใช้ค า จากการศึกษาหนังสือแบบเรียนจินดามณี ครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ พบว่าการใช้ภาษาในการจด บันทึกแบบเรียนในสมัยนั้น เป็นภาษาที่เรียบง่ายแต่คมคายในแง่ของบริบททางภาษา เมื่อน ามาเปรียบเทียบ กับในยุคปัจจุบันกลับพบว่ามีบางส่วนที่ถูกตัด เสริม เติม แต่งให้แตกต่างไปจากอดีต เพื่อให้ง่ายต่อการใช้และ เข้าใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยที่สามารถแบ่งลักษณะของการใช้ภาษาได้เป็น 19 ประเภท (มัลลิกา มาภา, 2559) ดังนี้ ๔.๑ ใช้ไม้เอกเเทนสระอะ เช่น ศักก่ราช = ศัก-กะ-ราช จ่ = จะ ๔.๒ เพิ่ม รูปวรรณยุกต์ เพื่อให้เข้าใจความหมายมากขึ้น เช่น ได = ได้ เหตวา = เหตุว่า นัน = นั้น อยู = อยู่ ๔.๓ ไม่มี ็ไม้ไต่คู้ คือ ค าในสมัยสุโขทัยใช้เสียงยาว ปัจจุบันใช้เสียงสั้น เช่น สีบ = สิบ เปน = เป็น เหน = เห็น


๑๑ ๔.๔ การใช้พยัญชนะหันหรืออักษรหัน คือ ตัดตัวสะกดออก 1 ตัว เเล้วเพิ่มวรรณยุกต์ เช่น ดงง = ดัง ตวว = ตัว ทงง = ทั้ง ยงง = ยัง หลงง = หลัง ฟงง = ฟังง โดยสรุปในหมวดนี้ เสียงวรรณยุกต์สามัญจะกลายเป็นเสียงวรรณยุกต์ตรี ๔.๕ ค าที่มีรูปตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราเเละไม่เหมือนในสมัยปัจจุบัน เช่น เจ็ต = เจ็ด ๔.๖ ตัดสระที่ปรากฏในปัจจุบันออก เช่น ไม้หันอากาศในค านั้น ๆ เช่น สงษกฤษ = สันสกฤต ๔.๗ พยัญชนะ ย ที่เพิ่มขึ้น ต่อท้ายค าที่ประกอบด้วยสระไอ เนื่องด้วย สระไอ นั้นเหมือนกับ อัย จึง มีการเขียน ย เข้าไป เพื่อท าให้รู้ว่า เป็นค าที่เขียนด้วยสระไอ เช่น ออกไปย = ออกไป ได้ย = ได้ ไว้ย = ไว้ ๔.๘ เสียงวรรณยุกต์สามัญ ในสมัยสุโขทัย กลายเป็นเสียงวรรณยุกต์เอก เเละมีการเขียนค าให้ตรงตัว กับค าอ่าน เช่น บันทัด = บรรทัด สงไส = สงสัย หย่าง = อย่าง เปด = เปรต


๑๒ ๔.๙ ค าที่ตรงกับศัพท์ไม่ทางการของคนในสมัยสุโขทัย เช่น บูราณ = โบราณ เพือม = เพิ่ม ๔.๑๐ ใช้สระไอเเทนใอ เช่น ไช้ = ใช้ ไน = ใน ๔.๑๑ การเปลี่ยนเเปลงระบบเสียงวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์สามัญ ในภาษาไทยกลายเสียงเป็น วรรณยุกต์โท เช่น ถา = ถ้่า นี = นี้ ซึง = ซึ่ง ตามที่นั่น = ตามที่นั้น เนือความ = เนื้อความ อยู = อยู่ ๔.๑๒ ค าในภาษาไทยสมัยสุโขทัยมีความเเตกต่างในพยัญชนะต้น เช่น เลอียด = ละเอียด ๔.๑๓ อดีต ใช้สระหนึ่งปัจจุบันใช้อีกสระหนึ่ง เช่น เสิยง = เสียง เหนิยง = เหนียง


๑๓ ๔.๑๔ การเขียนรูปสระตรงตามการผันในรูปสระนั้น ๆ เช่น เดอม = เดิม เถอด = เถิด เกอน = เกิน เลอย = เลย ๔.๑๕ ค าในอดีตมีการเปลี่ยนรูปพยัญชนะต้นเเต่ออกเสียงเหมือนเดิม เช่น ภา = พา ฅอ = คอ ๔.๑๖ ค าในภาษาไทยสมัยสุโขทัยมีความเเตกต่างในพยัญชนะต้น เช่น เลอียด = ละเอียด ๔.๑๗ อดีต ใช้สระหนึ่งปัจจุบันใช้อีกสระหนึ่ง เช่น เสิยง = เสียง เหนิยง = เหนียง ๔.18 ค าในสมัยนั้นมีการลดพยางค์ของค าลง เช่น อุประมา = อุปมา ๔.19 เกิดการกร่อนของเสียงในพยางค์นั้น ๆ เช่น เพียนชณ = พยัญชนะ สามารถสรุปได้ว่า จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะเห็นได้ว่าภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะ ภาษาที่มนุษย์ยังใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารความเข้าใจกันและกันในสังคมหนึ่ง ๆ ซึ่งภาษาดังกล่าวมี การเปลี่ยนแปลงมากบ้างน้อย บ้างขึ้นอยู่กับปัจจัยภายใน เช่น


๑๔ 1. การเปลี่ยนแปลงด้านเสียง การเปลี่ยนแปลงเสียง คือ การเปลี่ยนแปลงของค าในภาษา อันเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของภาษาและมักจะเป็นไปเองตามธรรมชาติของภาษา ในภาษาไทยมีหลาย ลักษณะ ได้แก่ การกลมกลืนเสียง การผลักเสียง การสับเสียง การลดเสียงหรือเสียงหาย การตัดเสียง การเพิ่ม เสียง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงตามฐานกรณ์ และเปลี่ยนแปลงมากบ้างน้อยบ้างตาม การใช้ภาษาและช่วงระยะเวลาจากอดีตถึงปัจจุบัน 2. การเปลี่ยนแปลงด้านค า ในภาษาโบราณมีค ามรดกจ านวนหนึ่งที่ยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน โดยยังรักษาความหมายเดิมไว้และมี ค าอีกจ านวนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงด้านรูปศัพท์และความหมาย 3. การเปลี่ยนแปลงด้านความหมาย ความหมายของค าใดค าหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยมี ลักษณะเพิ่มขึ้นหรือลดน้อยลง รวมไปถึงอาจมีความหมายเปลี่ยนไปจ ากเดิมโดยสิ้นเชิง ซึ่งค าในภาษาไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยปัจจุบันมี เป็นต้น ๕. กลวิธีการเขียน ๕.๑ การตั้งชื่อเรื่อง จินดา หมายถึง ความคิด มณีหมายถึง ดวงแก้ว จินดามณีหมายถึง ดวงแก้วที่เป็นแสงแห่ง ความคิด หรือรู้จักกันว่าเป็นแบบเรียนภาษาไทย เนื่องจากจินดามณีเกิดขึ้นในยุคสมัย และผู้เขียนที่แตกต่าง จึง มีจินดามณีหลากหลายฉบับ ซึ่งฉบับครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ต้นฉบับสมุดไทยเก็บรักษาไว้ที่ Royal Asiatic Society กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยไม่ทราบผู้แต่ง แต่ภาษาท าให้ทราบว่าอยู่ในสมัยแผ่น ดิน พระเจ้าบรมโกศ จึงเป็นที่มาของจิดามณี ครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศซึ่งสื่อถึงเนื้อหาชัดเจนว่าเป็นแบบเรียน ภาษาไทย ที่จัดท าขึ้นในสมัยแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศที่เกี่ยวข้องกับอักษรในภาษาไทย ๕.2 การเปิดเรื่อง การเปิดเรื่องกล่าวถึงประวัติของอักษรไทย ซึ่งพ่อขุนรามค าแหงเป็นผู้แต่งอักษรไทยขึ้น มา ไม่ได้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมโบราณ ดังตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้นเป็นการเปิดเรื่องที่ตรงกับประวัติศาสตร์ไทยว่า พ่อขุนรามค าแหงเป็นผู้ แต่งหรือประดิษฐ์อักษรไทยให้คนไทยได้ใช้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน


๑๕ ๕.3 การด าเนินเรื่อง การด าเนินเรื่องแบบความเรียง มีเพียงช่วงเริ่มต้นที่อธิบายเป็นโคลงสี่เปิดเรื่องวรรณยุกต์ ดัง ตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้นจึงวิเคราะห์ได้ว่าผู้เขียนไม่ได้ให้ความส าคัญกับเรื่องของฉันทลักษณ์ เพียงแต่ต้องการอธิบายอักขรวิธีในภาษาไทย เนื่องจากในสมัยก่อนจะนิยมแต่งกลอนเข้ามาใช้อธิบาย ๕.๓.1 วรรณยุกต์ ๕.๓.1.๑ การอธิบายวรรณยุกต์จะมีสองประเภท คือ 1. แบ่งตามไตรยางศ์ อักษรสูง กลาง ต่ า 2. แบ่งตาม ก.ข.หรือแบ่งตามการใช้ ใช้เขียนในภาษาบาลีเรียก อักษรใน ก.ข. และพยัญชนะใช้เติม ในค าไทยเรียก อักษรนอก ก.ข. ๕.๓.1.2 การผันวรรณยุกต์ ในการอธิบายเสียงวรรณยุกต์ ได้แสดงให้เห็นถึง การออกเสียงและระดับบเสียงสูงต่ า โดยวาดเป็นแผนผังตามระดับเสียงไล่ไปเรื่อย ๆ ดังตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้นเป็นกลลวิธีที่ผู้เขียนใช้ในการอธิบายวรรณยุกต์ ให้เข้าใจระดับ เสียง โดยไล่ตามระดับเสียงเป็นแผนผัง ๕.๓.1.๓ การอุปมาหรือยกตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจในการอธิบายมากขึ้น ดังตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้น การน าอักษรกลางมาแยกออกจากกัน แล้วน าไปสู้กับอักษรสูง อักษรต่ า โดยมีวรรณยุกต์เข้ามาผันให้มีจ านวนที่เพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายอักษรกลางก็ชนะ เพราะอักษรกลาง เปรียบเทียบได้กับคนมีความรู้ เพราะสามารถผันกับวรรณยุกต์ใดก็ได้ ไม่เหมือนกับอักษรสูง และอักษรต่ าที่ผัน ได้น้อยกว่า


๑๖ ๕.3.2 ตัวสะกด ค าเป็น ค าตาย และพยัญชนะหัน ๕.3.2.๑ เรื่องของตัวสะกดมีการอธิบายว่ามีทั้งหมด 9 แม่ คือ ก กา กน กม กง กก กด กบ กย ก์ว ดังตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้นตรงกับในปัจจุบันมีการอธิบายว่ามีทั้งหมด 9 แม่ คือ ก กา กน กม กง กก กด กบ กย ก์ว ซึ่ง กย หมายถึง แม่เกย และก์ว หมายถึง แม่เกอว ๕.3.2.๒ เรื่องของค าเป็น ค าตาย มีการกล่าวถึงสระที่ท าให้เป็นค าตาย และใช้ค า ตายแทนเสียงเอก ค าเป็นก็มีมากมายที่นอกเหนือไปจากค าตาย ๕.3.2.๓ เรื่องพยัญชนะหันมีการอธิบายการใช้พยัญชนะสองตัวซ้ ากันจะแทนไม่หัน อากาศ ๕.3.2.๔ การสอดแทรกมีเกร็ดความรู้เพิ่มเติม ว่าสระในภาษาไทยมี 16 ตัวมากกว่า ขอม 8 ตัว ดังตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้น เป็นความรู้ว่าในภาษาไทยมีสระ ๑๖ ตัว ประกอบไปด้วย ออา อิ อี อึ อื อุ อู เอ แอ ไอ ใอ โอ เอา อ า อะ มากกว่าสระในภาษาขอมซึ่งมี ๘ ตัว อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ๕.3.3 อธิบายเครื่องหมาย ทั้งชื่อเรียก สัญลักษณ์ และวิธีการใช้ ๕.3.4 ค าพ้อง มีการยกตัวอย่างค าพ้องเล็กน้อยเปรียบเทียบค าที่มีพ้องกัน


๑๗ ๕.4 การปิดเรื่อง การปิดเรื่องเป็นการปิดท้ายให้กับผู้ที่อ่านได้น าสิ่งที่เขียนได้ใช้ประโยชน์ ดังตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้นเน้นย้ าให้ปากพูด ตาดู หูฟัง เป็นการวิเคราะห์ให้ละเอียด และจบไว้ว่า สิ้นหนังสือ บังคับอักษร ซึ่งความหมายถึงกฎเกณฑ์การใช้ตัวอักษรในภาษาไทย ซึ่งเป็นการปิดเรื่องให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงการ ใช้ที่บอกไว้ในส่วนของเนื้อหาอย่างชัดเจน เป็นความเรียงที่สอน และยกตัวอย่างได้เข้าใจเหมาะแก่ผู้อ่านที่ไม่ ต้องตีความ วิเคราะห์ซับซ้อน


๑๘ เอกสารอ้างอิง เบ็ญจวรรณ สุนทรางกูล (2550). วิวัฒนาการแบบเรียนไทย. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธนิต อยู่โพธิ์ (2512). บันทึกเรื่องจินดามณี เล่ม 1-2 กับบันทึกเรื่องจินดามณีและจินดามณีฉบับสมัยพระ เจ้าบรมโกศ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร. ธวัช ปุณโณทก. (2553). วิวัฒนาการภาษาไทยและอักษรไทย. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. มัลลิกา มาภา .(2559). เอกสารประกอบการสอนวิวัฒนาการภาษาไทย. อุดรธานี : สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี. วิภาวรรณ อยู่เย็น. (2551). วิวัฒนาการการใช้รูปวรรณยุกต์ตรีและจัตวาในภาษาไทย. (วิทยานิพนธ์ ปริญญาอักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต ภาควิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร,2551), หน้า 229


Click to View FlipBook Version