The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by zenoxteena, 2022-11-28 02:54:09

FA84CF80-3E96-44CA-AFED-247F5B42368E

FA84CF80-3E96-44CA-AFED-247F5B42368E

พั น ธุ์ พื ช ด อ ก ไ ม้

ด.ญ.สมิตา วงศ์มะโน เลขที่ 19 ตอน ข

คำนำ

หนังสือ E-book เล่มนี้มีวัตถุประสงค์
อยากให้ผู้อ่านได้ทราบพันธุ์พืชดอกไม้
และ เช่น ไม้ดอกไม้ประดับ การตอนกิ่ง

เป็นต้น









หนังสือเล่มนี้ หวังว่าจะมีประโยชน์แก่ผู้
ที่เข้ามาอ่านได้ไม่มากก็น้อย อาจมีผิด
พลาดประการใด ผู้เขียนขออภัยไว้นะที่

นี้

สารบัญ

คำนำ

บทนำ.........................1
บทนำ.........................2

พันธุ์พืชดอกไม้น่ารู้............................1

1.1 การดูแลพันธ์พืชดอกไม้ให้
สวยงาม

1.2 การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ

พันธุ์พืชดอกไม้หลายชนิด......................2

2.1 การปลูกดอกทิวลิป
2.2 การปลูกดอกเดซี่ขาว
2.3 การปลูกดอกทานตะวัน

ช่วงที่สวยที่สุดของต้นไม้ คือวินาทีที่เรายื่นเงินให้คน
ขายแล้วหยิบมันออกมาจากร้าน

นักปลูกต้นไม้มือใหม่หลายคนเชื่อแบบนี้ เพราะ
ต้นไม้ที่วางขายในร้านมันช่างสวยเตะตา ใบเขียวแข็ง

แรง ออกดอกสะพรั่งล้นกระถางจนนึกว่าเป็นช่อ
ดอกไม้ เราเห็นแล้วก็จินตนาการไปว่าเดี๋ยวความงาม
นี้จะมาเฉิดฉายอยู่ในบ้านเรา ก็เลยควักเงินคว้าตัวมัน

กลับมา
แต่พอย้ายมาอยู่บ้านเรา มันก็เริ่มร่วงโรย ดอกหาย

ใบเหี่ยว และค่อยๆ ขาดใจตายไปในที่สุด
เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยเจอสถานการณ์แบบนี้กันมา

แล้วทั้งนั้น
ดังนั้น ถ้าอยากซื้อต้นไม้กลับมาปลูกในบ้าน ในห้อง
หรือบนโต๊ะทำงาน แล้วให้มันยังคงความงามและชีวิต

เอาไว้ เราขอแนะนำว่าอย่างนี้

1. ต้นไม้ที่ปลูกในห้องจะไม่งามเท่าต้นไม้ที่ปลูกนอกห้อง
ความจริงข้อแรกที่ควรทราบคือ ต้นไม้ที่เอามาปลูกในที่ร่มอย่างใน
ห้อง โดยเฉพาะในห้องแอร์ ยากมากที่จะสุขภาพดีและงดงามเท่า
ตอนปลูกแบบโดนแดดโดนลมด้านนอก ดังนั้น การที่เราซื้อต้นไม้ซึ่ง
โตมาในเรือนเพาะชำมาปลูกในห้อง มันย่อมไม่มีทางงามเท่าตอนอยู่
ที่ร้าน ถ้าปลูกแล้วความสดชื่นของมันลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงความ
เขียว ไม่ทิ้งใบ แตกใบใหม่ ก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันเริ่ม

โรยราแล้วไร้ซึ่งการเจริญเติบโต ก็ได้เวลาที่เราต้องเข้าไปแก้ไข
2. หาข้อมูลต้นไม้ก่อนปลูก

ถ้าคุณทำการบ้านมาอย่างดีว่าอยากได้ต้นนั้นต้นนี้ สิ่งสำคัญที่ต้อง
ศึกษาคือ มันต้องการแสงมากน้อยแค่ไหน อยู่ในแสงรำไรได้หรือไม่
เพราะต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการแสงแดด ต้นที่ต้องการแสงมาก
ควรปลูกกลางแจ้ง แต่ถ้าเราเอาต้นที่ต้องการแสงมากอย่างกระบอง

เพชรมาอยู่ในห้องที่โดนแสงน้อย ยังไงก็ไม่รอด
3. รู้เท่าทัน Pinterest

หลายคนเลือกต้นไม้มาปลูกในห้องตามรูปใน Pinterest หรือ
Instagram ซึ่งเน้นสไตล์ของต้นไม้ที่เข้ากับห้องเป็นหลัก เราขอ
แนะนำให้คุณดูเลยไปถึงตำแหน่งของต้นไม้ในรูป ดูว่าที่มันงามขนาด
นั้นมันโดนแสงมากน้อยขนาดไหน แล้วจุดที่เราจะเอามาวางในห้อง
ของเรามีแสงแบบนั้นไหม และสิ่งที่สำคัญที่สุดระดับที่ต้องใส่ดอกจัน
ไว้ 3 ดอกก็คือ อย่าปักใจเชื่อภาพที่เราเห็นแบบหมดใจ เพราะหลาย
ครั้งเขาก็แค่ยกมันมาตั้งตรงนั้นเพื่อถ่ายรูปเท่านั้นเอง การหาข้อมูล

นิสัยใจคอของมันด้วยตัวเองจึงสำคัญที่สุด
4. ควรคุยกับพ่อค้าแม่ค้า แต่อย่าเชื่อทั้งหมด
เวลาเราเห็นต้นไม้ถูกใจในร้านขายต้นไม้ คำถามแรกที่ทุกคนมักจะ
ถามคือ “ชื่อต้นอะไร” คำถามถัดมาที่ต้องถามให้รู้ก่อนซื้อก็คือ มัน
ชอบแดด ชอบน้ำยังไง บ่อยครั้งที่คนขายมักจะตอบแบบกลางๆ
เช่น ปลูกแดดได้ ปลูกรำไรได้ บางครั้งเขาก็ตอบตามความจริง แต่
บางครั้งก็ไม่จริงเพราะเขาอยากขาย และหลายๆ ครั้งก็ไม่จริงเพราะ
เขาไม่ใช่คนปลูก เขาแค่ไปรับมาจากผู้เพาะต้นไม้แล้วเอามาขาย
เท่านั้นเอง คำตอบของเขาจึงมาจากประสบการณ์หรือความเข้าใจ
ของเขา ดังนั้น เพื่อความชัวร์ เราควรถามเขาว่า เขาเพาะต้นนี้เอง
หรือเปล่า ถ้าใช่ เขาก็น่าจะเข้าใจนิสัยใจคอของมันจริงๆ แต่ไม่ว่า
อย่างไร วิธีการที่ดีที่สุดคือหาข้อมูลจากหลายๆ แห่ง เช่นถามจาก
หลายๆ ร้าน ถ้าข้อมูลตรงกัน ก็น่าจะเชื่อได้

5. ไม้ดอกส่วนใหญ่ปลูกในห้องไม่ได้
ไม้ดอกเกือบทุกชนิดต้องการแสงมาก ดังนั้น ถ้าเอามาปลูกในห้องมันก็
อาจจะไม่ออกดอก กลายร่างเป็นไม้ใบ หรือไม่ก็อาจจะตายได้ แต่ไม้ใบส่วน
ใหญ่อยู่ในห้องได้ แต่ก็ต้องเป็นจุดที่ไม่อยู่ห่างจากแสงธรรมชาติมากนัก

ถ้าปล่อยมันไว้กับความสว่างจากหลอดไฟอย่างเดียวก็อาจจะไม่รอด
(ยกเว้นเป็นไฟสำหรับปลูกต้นไม้)

6. ให้เวลาต้นไม้ปรับตัว
ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดและเติบโตมากับแสงแบบหนึ่ง (ส่วนใหญ่โตมา
ในโรงเพาะชำซึ่งได้รับแสงค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้แรงขนาดแสงกลาง
แจ้ง) เมื่อเราเอามันเข้ามาในบ้าน เราก็ควรวางให้โดนแสงในจุดที่ไม่หักดิบ
จนเกินไป ค่อยๆ ให้ต้นไม้ได้ปรับตัว โดยเฉพาะการเอาไปโดนแดดเต็มๆ
ตามระเบียงหรือดาดฟ้า ก็อาจจะช็อกแดด ใบไหม้ได้ อย่างเฟิร์น เราเชื่อ
กันว่าต้องอยู่ในที่ร่ม แต่เฟิร์นอยู่กลางแดดได้ เพียงแต่ต้องรอให้เขาชิน
แล้วแตกใบใหม่ขึ้นมารับแดดกลางแจ้ง ส่วนต้นไม้ที่โดนแดดน้อยลงแบบ
ไม่ทันได้ตั้งตัว มักจะทิ้งใบแล้วไม่ยอมแตกใบใหม่ แต่ถ้าแตกใบใหม่เมื่อ

ไหร่ก็แปลว่ามันปรับตัวกับสภาพนั้นได้แล้ว
7. อย่าดูแลต้นไม้ในห้องเหมือนต้นไม้กลางแจ้ง
ต้นไม้กระถางที่อยู่ในห้องต้องการการดูแลแตกต่างจากต้นไม้กลางแจ้ง
โดยสิ้นเชิง เราพูดเรื่องแดดกันไปแล้ว ต่อไปคือเรื่องน้ำ ต้นไม้กระถาง
ต้องการน้ำน้อยกว่าต้นไม้กลางแจ้ง เนื่องจากแดดและอุณหภูมิในห้อง
ทำให้น้ำระเหยช้ากว่า ถ้ารดน้ำเท่ากับต้นไม้กลางแจ้งก็อาจจะเน่าได้ ดัง
นั้น เราต้องรดน้ำด้วยปริมาณและความถี่ที่น้อยลง ถ้าจะให้บอกจำนวนคง
ยาก เพราะขึ้นกับสภาพห้องและการดูดน้ำของต้นไม้ แต่หลักที่เข้าใจได้
ง่ายๆ ก็คือ ดินแห้งเมื่อไหร่ค่อยรดเมื่อนั้น ส่วนปุ๋ยก็ควรใช้ปุ๋ยละลายช้า
(ตอนหน้าเราจะมาอธิบายเรื่องนี้กันต่อ) ให้ปุ๋ยในปริมาณที่น้อยกว่าต้นไม้

กลางแจ้ง และให้ปุ๋ย 3 – 4 เดือนครั้งก็พอ
8. จับสัญญาณให้ได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม

ถ้าหมั่นสังเกตต้นไม้สักหน่อย เราอาจจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของต้นไม้
ถ้าเราเห็นอาการบางอย่างแล้วปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจจะนำมาซึ่งความป่วยไข้
และล้มตายในที่สุด เอาเป็นว่าถ้าใบเริ่มมีอาการผิดปกติ เราก็ควรต้อง
ตรวจโรคพืชแบบง่าย ถ้าใบสลด ต้องเริ่มจากสังเกตสภาพดินว่าดินแห้ง
หรือแฉะไป ถ้าดินแห้งก็ลองรดน้ำแล้วรอดูว่าจะฟื้ นไหม ถ้าดินแฉะก็เป็นได้
ว่ารดน้ำมากไปจนทำให้รากเน่า ซึ่งถ้าโชคร้ายเจอเชื้อราลามจากรากเข้า
ต้นสู่ใบ ก็อาจตายได้ ดังนั้น ต้นไม้ที่อยู่ในห้อง ถ้ารดน้ำมากไปก็อันตราย

มาก

9. ถ้าอาการไม่ดี อย่าเพิ่งทิ้ง
การปฐมพยาบาลต้นไม้ที่เริ่มเน่าเพราะดินแฉะหรือ
โดนเชื้อราทำได้หลายวิธี ง่ายๆ คือ เอาต้นไม้ขึ้นมา
จากดิน ตัดรากเสียทิ้ง ล้างรากให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง
แล้วปลูกอีกครั้งด้วยวัสดุปลูกใหม่ ถ้าปลูกด้วยดิน
รดน้ำเยอะไปดินอาจจะจับเป็นก้อน หรือละลายเป็น
เลน ลองเปลี่ยนมาปลูกด้วยกาบมะพร้าวสับ พี
ทมอส หรือสแฟกนัมมอส ใช้แทนดินได้เลย วัสดุ
พวกนี้มีความพรุนสูงมาก จะช่วยให้รากเดินเร็ว

10. ย้ายที่
ต้นไม้แต่ละชนิดต้องการปริมาณน้ำและแสงแดดไม่
เท่ากัน ดังนั้นถ้าวางในมุมหนึ่งของห้องแล้วอาการ
ไม่ดี ก็ลองขยับเปลี่ยนมุมให้โดนแสงมากขึ้น หรือ
เอาออกไปตั้งนอกห้องให้ได้รับแสงรับอากาศเต็มๆ

จนแข็งแรงแล้วค่อยเอากลับเข้ามา ก็จะช่วยให้
ต้นไม้อยู่กับเราได้นานขึ้น

การเพาะขยายพันธุ์

พันธุ์ไม้ประเภทไม้ดอก ไม้ประดับนิยมเพาะขยายพันธุ์ด้วยวิธีต่างๆ
ดังนี้

1. การเพาะเมล็ด เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์สำหรับพรรณไม้
ล้มลุก อายุไม่กี่เดือน มักเป็นไม้มีดอก เช่น ดาวเรือง ทานตะวัน
เป็นต้น

2. การแยกหน่อ แยกเหง้า เป็นวิธีที่ใช้มากสำหรับพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
จำพวกพรรณไม้ประเภทใบประดับหรือต้นประดับ เช่น พลูด่าง แก้ว

กาญจนา เป็นต้น
3. การปักชำ เป็นวิธีที่ใช้มากสำหรับพืชใบเลี้ยงเดี่ยวหรือใบเลี้ยงคู่ ที่
มีอายุหลายปี มักเป็นพรรณไม้ประเภทใบประดับ ต้นประดับเช่นกัน
4. การตอน เป็นวิธีที่ใช้สำหรับพรรณไม้ยืนต้น มีกิ่ง มักเป็นไม้ประดับ

ต้นหรือไม้มีดอกสวยงาม เช่น กุหลาบ เฟื่ องฟ้า เป็นต้น



การปลูกไม้ดอก และไม้ประดับ สามารถจำแนกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การปลูกในกระถาง

เป็นวิธีการปลูกไม้ดอก ไม้ประดับด้วยการปลูกในกระถาง ซึ่งอาจเป็นก
ระถางพลาสติก กระถางดินเผา กระถางไม้ หรือกระถางที่ทำจากวัสดุ
อื่นๆ เหมาะสมหรับไม้ดอก ไม้ประดับที่มีลำต้นขนาดเล็ก ไม่สูงมาก
ทรงพุ่มไม่กว้าง ต้องการแสงน้อย เช่น กุหลาบ พลูด่าง ดาวเรือง แก้ว

กาญจนา เป็นต้น



ข้อดี
– สามารถเคลื่อนย้ายง่าย
– ตั้งประดับได้เกือบทุกสถานที่ แม้ในห้องพักหรืออาคารสูง



ข้อเสีย
– ต้องทำการผสมดิน และเคลื่อนย้ายดินใส่กระถาง ซึ่งอาจต้องเสียค่า
ใช้จ่ายในค่าวัสดุ อุปกรณ์ และวัสดุดิน รวมถึงส่วนผสมของดิน
– การเคลื่อนย้ายที่ไม่ระมัด ระวัง หรือการใช้กระถางที่เปราะอาจทำให้
กระถางแตกง่าย
– ปลูกไม้ได้เพียงไม่กี่ชนิด

2. การปลูกลงแปลงจัดสวน
เป็นวิธีการปลูกไม้ดอก ไม้ประดับลงในแปลงปลูก

หรือเรียกทั่วไปว่า การจัดสวน ซึ่งจำเป็นต้องมี
ที่ดินหรือที่ว่างเปล่า เช่น พื้นที่หน้าบ้าน ข้างบ้าน
หรือหลังบ้าน เหมาะสำหรับการปลูกไม้ดอก ไม้
ประดับทุกขนาดชนิดตั้งแต่เล็กจนถึงเป็นไม้ยืนต้น

ขนาดใหญ่

ข้อดี
– สามารถปลูกไม้ได้หลายชนิดผสมกัน
– เป็นระบบนิเวศที่เอื้อต่อกันของต้นไม้ ดิน น้ำ และ

จุลินทรีย์



ข้อเสีย
– ต้องใช้พื้นที่ดินบางส่วน เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่ว่าง
– หากไม่มีการจัดการดูแล อาจเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์มีพิษ

เช่น ตะขาบ งู เป็นต้น

การปลูกดอกทิวลิป

ดอกทิวลิป สามารถปลูกได้เฉพาะพื้นที่ ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น
เท่านั้น แต่จากการทดลองปลูกทิวลิปที่ ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง
ดอยผาหม่น อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ
ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูงจังหวัดเชียงราย สำนักส่งเสริมการเกษตร
เขต 6 กรมส่งเสริมการเกษตร พบว่าทิวลิปที่สามารถนำมาปลูกในบ้าน

เรามี 20 สายพันธุ์ แต่ในครั้งนี้ปลูกเพียง 6 สายพันธุ์ คือ
Christmas Sweet (สีขาว) (สีแดง) (สีชมพู) (สีแดงเข้ม) (สีม่วง)

และ (สีเหลืองทอง)



ตามปกติทิวลิปจะเจริญได้ดีในอุณหภูมิที่เหมาะสมเฉลี่ย 18-20 องศา
เซลเซียส ใช้ระยะเวลาในการปลูก 39 วัน ดอกจึงจะบาน เมื่อดอกบาน

แล้วจะสามารถอยู่ได้นานเพียง 7 ถึง 15 วัน....หากนำลงไปจากดอย
ดอกก็จะอยู่ได้เพียง 1 สัปดาห์ เท่านั้น สำหรับดอกทิวลิปบานที่ลานผา
หม่นเต็มที่ในช่วงวันที่ 16 ธันวาคม และหากมีการควบคุมแสงอุณหภูมิ
ได้อย่างเหมาะสมก็จะทนอยู่ในแปลงได้ 10 วัน ถึง 2 สัปดาห์ สนใจ

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ นายไชยณรงค์ สวยงาม นักวิชาการส่งเสริม
การเกษตร 6 ว ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง ดอยผาหม่น ผู้เชี่ยวชาญ
การปลูกทิวลิปและลิลลี่ ซึ่งเคยผ่านการศึกษาจากประเทศฮอลแลนด์



การปลูกทิวลิปในเขตกรุงเทพ



เนื่องจากกรุงเทพมีสภาพอากาศร้อน จึงต้องปลูกทิวลิปในโรงเรือนที่
ใช้ตาข่ายพรางแสง 60 เปอร์เซ็นต์ มามุงหลังคาถึง 2 ชั้น ด้านข้าง

โรงเรือนก็ใช้ตาข่ายพรางแสง 2 ชั้นเช่นกัน แต่จะเปิดให้สามารถ
ระบายอากาศได้ ส่วนด้านในโรงเรือนจะควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 25-26

องศาเซลเซียส โดยติดตั้งสเปรย์พ่นหมอกไว้ใต้หลังคา และติดตั้ง
พัดลมไว้ด้านข้าง เพื่อเปิดพ่นความเย็นในโรงเรือน

ต้องปลูกทิวลิปในตระกร้าพลาสติก ใช้ขุยมะพร้าวสับเป็นวัสดุปลูก วาง
หัวพันธุ์ลงบนขุยมะพร้าว แล้วโรยทับด้วยขุยมะพร้าวอีกชั้นหนึ่ง รดน้ำ
ให้ชุ่ม นำไปวางเรียงกันเป็นแถวยาว ดูแลรดน้ำ 3 วันต่อครั้ง เพื่อให้

ขุยมะพร้าวมีความชื้นที่เหมาะสม ประมาณ 8 เดือน ต้นทิวลิปก็จะ
ทยอยออกดอก ภายในโรงเรือนซึ่งต้องพ่นสเปรย์หมอกอย่างสม่ำเสมอ
จะทำให้หัวพันธุ์มีโอกาสเน่าได้ง่าย เกษตรกรจึงทำหลังคาโค้งคลุมไว้อีก
ชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันโรคหัวเน่า และไม่ใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีบำรุงเพื่อเร่ง

การเจริญเติบโต ดอกทิวลิปที่ได้จึงปลอดสารพิษ

การปลูกดอกเดซี่

ดอกเดซี่มีหลายสีและหลายสายพันธุ์ ชอบอยู่กลางแจ้งแต่
สามารถอยู่ใต้โรงเรือนพรางแสง หรือได้รับแสงแดดบางส่วนได้
ทำให้เราสามารถปลูกต้นเดซี่ไว้ในสวนหรือปลูกริมระเบียงก็ได้
แค่ไม่ชอบน้ำขังหรือดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี เพราะจะทำให้ต้นเด

ซี่เน่าได้ง่าย

แสงแดด - ปานกลาง
ดิน - อุดมสมบูรณ์ pH 5.2-7.0
ออกดอก - 60-90 วัน (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์)
ความสูง - 30-90 เซนติเมตร (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์)
ความกว้าง - 30-60 เซนติเมตร (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์)

สายพันธุ์ที่นิยมปลูก - เดซี่แชสต้า,เดซี่แอฟริกัน,เดซี่ดาห์ล
เบิร์ก,เดซี่ไพรีทรัม,เดซี่โรบินสัน,เดซี่อ๊อกซ์อาย

ขั้นตอนการปลูก
1.เตรียมดินที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี ใส่ในกระถาง หรือกระบะเพาะต้นกล้า

แล้วรดน้ำให้ดินชุ่ม
2.หว่านหยอดเมล็ดเดซีลงในกระถาง หรือกระบะเพาะต้นกล้า โดยไม่ต้องกลบ เพราะเมล็ดเด

ซี่ต้องการแสงในการงอก
3.สเปรย์น้ำเบาๆ แล้วใช้พลาสติกใสคลุมเพื่อรักษาความชื้น วางไว้ในบริเวณที่มีแสงสว่างแต่

ไม่โดนแสงแดดโดยตรง
4.ประมาณ 7-14 วัน เมล็ดจะเริ่มงอก เมื่อต้นแข็งแรงพอค่อยย้ายปลูกตามที่ต้องการ



การดูแล
การรดน้ำโดยทั่วไปจะรดน้ำเช้า-เย็น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ถ้าอากาศชื้นมากรดน้ำวันละครั้ง
ในช่วงเช้า โดยระวังอย่ารดน้ำให้โดนดอก ใส่ปุ๋ยทุก 15 วัน และคอยตัดดอกที่โรยแล้วออกจะ
ช่วยให้ต้นออกดอกใหม่เร็วขึ้น

การปลูกดอกทานตะวัน

• เลือกต้นทานตะวันและภาชนะ

1.ซื้อเมล็ดทานตะวันสำหรับปลูก. คุณสามารถหาซื้อเมล็ดทานตะวันได้จาก
ร้านเพาะต้นไม้ใกล้บ้านหรือจากศูนย์เพาะพันธุ์พืช หรือจะสั่งออนไลน์ก็ได้ ถ้า

คุณอยากได้พันธุ์หายาก สั่งออนไลน์น่าจะง่ายกว่า [2]เมล็ดทานตะวันก็มี
ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อเหมือนกัน แต่พวกนั้นไว้สำหรับรับ

ประทานไม่ได้ไว้ปลูก หลังจากผ่านการอบแล้ว เมล็ดทานตะวันจะไม่งอก
ถ้าคุณมีต้นทานตะวันโตเต็มวัยอยู่แล้ว ให้นำเมล็ดจากดอกไปใส่ไว้ในภาชนะ
ที่กันไม่ให้อากาศเข้าแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น พยายามนำเมล็ดมาปลูกให้เร็วที่สุด

เพราะเมล็ดที่เก่าแล้วจะปลูกยาก
ต้นทานตะวันแคระจะเหมาะกับการเติบโตในภาชนะมากที่สุด ทานตะวันพันธุ์
ปกติเหมาะจะปลูกบนดินหรือย้ายไปปลูกบนดินเมื่อมันเริ่มงอกใบอ่อนชุดที่

สอง

2.เลือกพันธุ์ต้นทานตะวัน. ซองเมล็ดทานตะวัน (หรือรายการสินค้าบนเว็บไซต์) จะมีบอกไว้ชัดเจนว่าชื่อพันธุ์อะไร เป็น
ทานตะวันประเภทไหน และจะสูงแค่ไหน ถ้าคุณไปซื้อที่ร้านขายต้นไม้หรือศูนย์เพาะพันธุ์พืชใกล้บ้าน คุณก็สามารถขอความช่วย
เหลือจากพนักงานได้[3]ดอกทานตะวันแบบก้านเดียวดอกเดียวจะมีดอกทานตะวันงอกจากเมล็ดเพียง 1 ดอกต่อ 1 เมล็ด ถ้า
คุณอยากให้ดอกทานตะวันบานตลอดช่วงหน้าร้อน คุณจะต้องปลูกใหม่ทุก 10-14 วัน แต่ต้นทานตะวันพันธุ์ก้านเดียวดอกเดียว

จะไม่มีเกสร มันจึงไม่ร่วงอยู่ตามชานบ้าน เฟอร์นิเจอร์ หรือเสื้อผ้า
ดอกทานตะวันที่แตกก้านได้เยอะๆ จะออกดอกมากมายตลอดทั้งฤดูกาลโดยที่ไม่ต้องปลูกใหม่ และดอกทานตะวันแบบที่แตก

ก้านได้เยอะๆ ยังมีสีแปลกๆ ด้วย เช่น สีแดงเหล้าองุ่นและสีน้ำตาลช็อกโกแลต

3.หาภาชนะขนาดพอเหมาะ. เลือกขนาดภาชนะตามความสูงของดอกไม้ที่
คุณอยากจะปลูกและจำนวนดอกไม้ที่คุณต้องการให้ขึ้นในภาชนะแต่ละใบ
โดยทั่วไปแล้วต้นทานตะวันแคระจะสามารถปลูกในกระถางขนาด 12-16

นิ้ว (30-41 ซม.) ได้ [4]ต้นทานตะวันยักษ์ต้องใช้ภาชนะที่สามารถรับ
ความจุได้อย่างน้อย 19 ลิตร

ถ้าไม่แน่ใจว่าต้องใช้ขนาดไหน ให้เลือกขนาดใหญ่ไว้ก่อน ทานตะวัน
ต้องการพื้นที่ในการเติบโต

ถ้าคุณนำภาชนะที่ไว้ใส่อย่างอื่นกลับมาใช้ใหม่ คุณต้องแน่ใจว่ามันสะอาด
และปลอดเชื้อ และคุณต้องเจาะรูระบายน้ำที่ภาชนะนั้นๆ ด้วย เพราะ
เมล็ดอาจเน่าได้ถ้าไม่มีรูระบายน้ำ
วางจานหรือจานรองกระถางไว้ใต้ภาชนะเพื่อรองรับน้ำที่ไหลออกมา

4.ใส่ดินปลูกและปุ๋ยหมัก. เลือกดินชั้นบนหรือดินปลูกคุณภาพดีและอุดมไป
ด้วยสารอาหารในการปลูกต้นทานตะวัน การผสมปุ๋ยหมักก็เป็นการสร้าง
แหล่งอาหารให้ต้นทานตะวันของคุณเช่นเดียวกัน[5]ดินชั้นบนที่มีคุณภาพจะมี
ค่า pH อยู่ที่ 5.5-7.5 และมีสารอินทรีย์มากกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลข

เหล่านี้จะมีบอกอยู่ที่ถุง[6]
ตราบใดที่คุณใช้ดินชั้นบนคุณภาพดี คุณไม่จำเป็นต้องใส่วัสดุช่วยระบายน้ำ
อย่างทรายหรือหินไว้ตรงก้นภาชนะเลย เพราะการทำเช่นนั้นจริงๆ แล้วอาจไป
ขัดขวางการเคลื่อนตัวของน้ำและอาจทำให้กระถางไม่สามารถระบายน้ำได้

อย่างเหมาะสมด้วย[7]

• ปลูกต้นทานตะวัน

1.กดแต่ละเมล็ดลงไปในดินลึกประมาณ 1 นิ้ว (2.5 ซม.). ถ้า
คุณกะว่าจะเพาะมากกว่า 1 เมล็ดต่อ 1 กระถาง แต่ละเมล็ด
ต้องห่างกัน 4-5 นิ้ว (10-13 ซม.) และหลังจากวางเมล็ดแล้ว

คุณอาจจะโรยปุ๋ยหมักบางๆ ทับดินชั้นบนอีกทีหนึ่งด้วย
ก็ได้[8]

แต่ละเมล็ดต้องมีรัศมีที่ว่าง 4-5 นิ้ว (10-13 ซม.) ทุกด้าน
อย่าวางเมล็ดใกล้ขอบภาชนะมากเกินไป

2.รดน้ำทุกวัน. ต้นทานตะวันต้องการน้ำมากกว่าพืชส่วนใหญ่ในช่วงที่มันกำลังโต ดิน
ต้องชุ่มชื้นและระบายน้ำได้ดี รดน้ำต้นทานตะวันอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 แกลลอน (8
ลิตร) ขณะที่เมล็ดเริ่มงอก[9]ต้นทานตะวันที่ไม่ได้รับน้ำเพียงพอในช่วงต้นของการเจริญ
เติบโตจะมีลำต้นผอมและเปราะ ไม่สามารถรองรับหัวดอกทานตะวันที่หนักให้ตั้งตรงได้
ดินจะระบายน้ำได้ดีเมื่อน้ำไหลผ่านค่อนข้างเร็ว การมีน้ำเป็นแอ่งหรือน้ำขังในกระถาง

เป็นสิ่งที่บอกว่ามีปัญหาเรื่องการระบายน้ำ[10]

3.สังเกตช่วงที่เมล็ดเริ่มงอก. ภายใน 1 สัปดาห์ถึง 10
วัน เมล็ดทานตะวันของคุณจะเริ่มงอกเป็นต้นอ่อน
เล็กๆ ช่วงนี้ให้รดน้ำต่อไปทุกวันและดูแลดินให้ชุ่มชื้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบๆ เมล็ด[11]ถ้าคุณปลูกต้น
ทานตะวันไว้ข้างนอก คุณอาจจะต้องใช้ตะกร้าหรือ
ตาข่ายมาคลุมต้นกล้าไว้เพื่อป้องกันนก

• ดูแลต้นทานตะวัน

1.ใส่ปุ๋ยได้ตามต้องการ. แม้ว่าต้นทานตะวันไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารเพิ่ม
เติมเพื่อการเจริญเติบโต แต่ปุ๋ยก็จะทำให้ดอกทานตะวันสีแจ่มและเข้มขึ้น

เริ่มจากปุ๋ยน้ำที่มีไนโตรเจนสูง แล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นปุ๋ยน้ำที่มี
ฟอสฟอรัสสูงขึ้นเมื่อดอกที่ตูมอยู่เริ่มบาน[12]

คุณอาจจะใส่ปุ๋ยแบบเจือจางลงไปในน้ำที่รดต้นทานตะวันก็ได้ ระวังอย่า
ใส่ปุ๋ยให้ต้นทานตะวันมากเกินไป เพราะก้านอาจแตกได้[13]

2.ให้ต้นทานตะวันได้รับแสงแดดโดยตรง. ขณะที่ต้นกล้ากำลัง
เติบโต มันต้องการแสงแดดโดยตรงให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ลำต้น
หนาและแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักหัวดอกทานตะวันขนาดใหญ่
ได้ พอมันโตแล้วต้นทานตะวันก็ควรได้รับแสงแดดโดยตรงวันละ

6-8 ชั่วโมง[14]ดอกทานตะวันจะหันหน้าตามแสงของดวง
อาทิตย์ ถ้ามันไม่ได้รับแสงแดดโดยตรง มันก็จะหันหน้าเข้าหา
ดวงอาทิตย์ ซึ่งพอผ่านไปสักพักก็จะสร้างความเสียหายให้แก่

ลำต้น

3.รดน้ำต้นทานตะวันหลายๆ ครั้งต่อสัปดาห์. คุณต้องรดน้ำต้นทานตะวัน
บ่อยกว่าต้นไม้อื่นๆ ตรวจดูดินวันเว้นวันหรือทุก 2 วัน ดินควรชุ่มชื้นอยู่เสมอ
โดยทั่วไปคุณควรรดน้ำต้นทานตะวัน 4 ลิตรต่อสัปดาห์[15]ถ้าต้นทานตะวัน
อยู่นอกบ้าน ต้นทานตะวันจะสามารถรับน้ำฝนอย่างเดียวโดยไม่ต้องรดน้ำได้
หลังจากที่มันสูงประมาณ 30-60 ซม. แล้ว[16] แต่ถ้าวันนั้นเป็นวันที่อากาศ

ร้อนและแห้งมาก คุณอาจจะต้องรดน้ำเพิ่มเติมเพื่อชดเชย
ขณะที่ดอกกำลังโต ให้รดน้ำบริเวณรากตรงรัศมี 3-4 นิ้ว (7-10 ซม.)

รอบๆ ต้นแทน[17]
มีขวดสเปรย์ติดไว้เสมอและพรมน้ำใส่หัวดอกทานตะวันเป็นประจำ

4.หาอะไรมายึดต้นทานตะวันไว้ถ้าจำเป็น. ต้นทานตะวัน
พันธุ์แคระอาจจะไม่สูงถึงขั้นที่ต้องมีอะไรมาค้ำ แต่ถ้าต้น

ทานตะวันสูงถึง 90 ซม. หรือมากกว่า คุณก็ควรหา
อะไรมายึดไว้เพื่อไม่ให้หัวดอกทานตะวันห้อยลง
มา[18]อย่านำสิ่งที่จะมาช่วยค้ำต้นทานตะวันไว้ใน

กระถาง เพราะพอต้นทานตะวันโตเต็มที่ มันอาจจะคว่ำ
กระถางหงายได้ แต่ให้ผูกที่ค้ำไว้กับท่อระบายน้ำ
กำแพง หรือสิ่งของอื่นๆ

เก็บเกี่ยวเมล็ด. ถ้าต้นทานตะวันของคุณเป็นพันธุ์ที่ให้เมล็ดกินได้ ก็ปล่อยให้
ดอกตายคาต้น แล้วเมล็ดก็จะสุกและแห้งไปด้วย ถ้าต้นทานตะวันอยู่นอกบ้าน

ให้หาตาข่ายหรือถุงกระดาษมาคลุมไว้เพื่อไม่ให้นกกินเมล็ดของคุณ
หมด[19]โดยทั่วไปเมล็ดทานตะวันที่เป็นสีดำหรือเทามีลายทางสีขาวจะเป็น

เมล็ดที่กินได้
โดยทั่วไปเมื่อด้านหลังของหัวดอกทานตะวันเริ่มเป็นสีน้ำตาล เมล็ดทานตะวันก็

จะพร้อมเก็บได้แล้ว[20]
พอเมล็ดแห้งแล้ว คุณสามารถเก็บเมล็ดไว้ในภาชนะที่อากาศไม่เข้าที่อุณหภูมิ
ห้องได้ไม่เกิน 4 เดือน แต่คุณจะแช่ช่องฟรีซไว้ก็ได้ถ้าคุณอยากเก็บไว้นานกว่า

นั้น
หน่อดอกทานตะวันก็สามาถรับประทานได้เหมือนกัน โดยต้องเอามาลวกก่อน

บรรณานุกรม

https://readthecloud.co/10-ways-to-
choose-indoor-plants/



https://sites.google.com/site/phanthumidx
k2541/kar-pluk-mi-dxk



https://sites.google.com/site/flowersdxkmi
/kar-pluk-dxk-thiw-lip



http://www.ubgarden.com



https://th.wikihow.com


Click to View FlipBook Version