การประยุกต์ใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซเ์ ซล (Microsoft Excel)
ในการตรวจสอบงบการเงิน
จัดทำโดย
สภุ าพร ทองวเิ ชยี ร รหัสนกั ศึกษา 6232010073
อนุกลู
การุณยล์ ญั จกร รหสั นักศึกษา 6232010100
เสนอ
อาจารย์นพิ ร จุทัยรัตน์
รายงานนี้เป็นส่วนหน่งึ ของการศึกษา รายวิชา โครงการ
สาขาวชิ า การบญั ชี ประเภทวิชา บรหิ ารธรุ กจิ
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563
วิทยาลัยอาชวี ศกึ ษาชลบรุ ี
การประยุกต์ใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซเ์ ซล (Microsoft Excel)
ในการตรวจสอบงบการเงิน
จัดทำโดย
สภุ าพร ทองวเิ ชยี ร รหัสนกั ศึกษา 6232010073
อนุกลู
การุณยล์ ญั จกร รหสั นักศึกษา 6232010100
เสนอ
อาจารย์นพิ ร จุทัยรัตน์
รายงานนี้เป็นส่วนหน่งึ ของการศึกษา รายวิชา โครงการ
สาขาวชิ า การบญั ชี ประเภทวิชา บรหิ ารธรุ กจิ
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563
วิทยาลัยอาชวี ศกึ ษาชลบรุ ี
ง
ใบรับรองโครงการ
ระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพชั้นสูง ชน้ั ปที ี่ 2 (ปวส.)
วทิ ยาลยั อาชวี ศึกษาชลบรุ ี
โครงการ
การประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซ์เซล (Microsoft Excel)
ในการตรวจสอบงบการเงิน
1. นางสาวสภุ าพร โดย รหัสนกั ศึกษา 6232010073
2. นายอนุกลู ทองวเิ ชยี ร รหสั นักศกึ ษา 6232010100
การณุ ยล์ ัญจกร
ชน้ั ปวส. 2/3 แผนกการบัญชี
พิจารณาเห็นชอบโดย
..(นางนพิ ร จทุ ยั รตั น)์
.อาจารยท์ ป่ี รึกษาโครงการ
แผนกวิชาบัญชี คณะบรหิ ารธุรกจิ
จ
ชอ่ื โครงการ : การประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซเ์ ซล (Microsoft Excel) ในการ
.ตรวจสอบงบการเงนิ
ผูจ้ ัดทำ
: สภุ าพร ทองวเิ ชียร
สาขาวิชา อนุกลู .การุณยล์ ญั จกร
ประเภทวชิ า
ปีการศึกษา : การบญั ชี
สถานศกึ ษา : บรหิ ารธุรกิจ
: 2563
: วิทยาลยั อาชวี ศึกษาชลบุรี
บทคดั ย่อ
วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ 1. เพื่อนำโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลมาตรวจสอบ
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น 2. เพื่อศึกษาความรวดเร็วในการตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรม
ไมโครซอฟท์เอกซ์เซล 3. เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้อง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งน้ี
ไดแ้ ก่ พนักงานบญั ชขี องสำนักงานตรวจสอบบัญชี เอบซี ี ตำบลนาปา่ อำเภอเมอื งชลบุรี จงั หวัดชลบุรี
20000 จำนวน 5 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่
แบบสอบถาม โดยแบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2
แบบสอบถามความคิดเห็นต่อโครงการ เรื่อง การประยุกต์ใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซล
(Microsoft Excel) ในการตรวจสอบงบการเงิน ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ
1. ด้านการตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซล 2. ด้านความรวดเร็วในการ
ตรวจสอบข้อผิดพลาด 3. ด้านการวิเคราะห์แก้ไขข้อผิดพลาด โดยลักษณะแบบสอบถามเป็นแบบ
มาตราส่วนประมาณ 5 ระดบั สถติ ิท่ใี ช้ในการศกึ ษา คือ 1. คา่ รอ้ ยละ 2. ค่าเฉลี่ยเลขคณติ 3. ส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบวา่
กลมุ่ เปา้ หมายส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ประกอบอาชีพในตำแหน่งเจ้าหน้าท่ีบัญชี ของกิจการท่ี
มลี ักษณะเปน็ ห้างหุ้นส่วนจำกดั มปี ระสบการณท์ ำงานอย่รู ะหวา่ ง 1 – 3 ปี เจา้ หนา้ ที่บัญชีส่วนใหญ่
มีอายุระหว่าง 20 – 25 ปี และ 26 – 30 ปี มีความคิดเห็นต่อโครงการเรื่อง การประยุกต์ใช้
โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซเ์ ซล (Microsoft Excel) ในการตรวจสอบงบการเงิน 3 ด้าน คือ
ฉ
ด้านการตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซ์เซล (ดา้ นประโยชน์) คือ
โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลมีความสามารถในการตรวจสอบข้อผิดพลาด และฟังก์ชันการทำงาน
ของโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซเ์ ซลมคี วามสามารถในการตรวจสอบข้อผดิ พลาดได้
ด้านการตรวจสอบขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซเ์ ซล (ดา้ นผลกระทบ) คือ
เวอร์ชันของโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซเ์ ซลและฟังกช์ ันของเวอร์ชันโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซ์เซลท่ี
แตกต่างกันไม่ค่อยมีผลกระทบต่อการตรวจสอบขอ้ ผดิ พลาด
ด้านความรวดเร็วในการตรวจสอบข้อผิดพลาด (ด้านประโยชน์) คือ การประยุกต์ใช้
โปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซเ์ ซลในการตรวจสอบข้อผิดพลาดสามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดได้รวดเร็ว
กว่าการตรวจสอบข้อผิดพลาดด้วยมือ และฟังก์ชันของโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลทำให้มีความ
รวดเร็วในการตรวจสอบขอ้ ผิดพลาด
ด้านความรวดเร็วในการตรวจสอบข้อผิดพลาด (ด้านผลกระทบ) คือ เวอร์ชันของ
โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลไม่ค่อยมีผลกระทบต่อความเร็วในการตรวจสอบข้อผิดพลาด แต่
ความสามารถในการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ค่อนข้างมีผลต่อความรวดเร็วของโปรแกรม
ไมโครซอฟทเ์ อกซเ์ ซลในการตรวจสอบข้อผิดพลาด
ด้านการวิเคราะห์แก้ไขข้อผิดพลาด คือ โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลสามารถแสดงผล
การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดได้อย่างถูกต้อง รวมถึงฟังก์ชันการทำงานของโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์
เซลสามารถวิเคราะหข์ ้อผิดพลาดได้อยา่ งถูกต้อง และสามารถนำผลการวิเคราะห์ข้อผดิ พลาดไปแก้ไข
งบการเงินไดอ้ ย่างถูกต้อง
คำสำคญั การประยกุ ต์ใชโ้ ปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซ์เซล การตรวจสอบ งบการเงนิ
ช
กิตติกรรมประกาศ
การศกึ ษาเร่ือง “การประยุกต์ใชโ้ ปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซเ์ ซล (Microsoft Excel) ในการ
ตรวจสอบงบการเงิน” ในครั้งนี้ สามารถสำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์ด้วยความเมตตา จากอาจารย์
นิพร จุทัยรัตน์ ที่ปรึกษาโครงการที่ให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางที่ถูกต้อง และเอาใจใส่ดีตลอด
ระยะเวลาในการทำการศึกษา ผู้ศึกษารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ณ โอกาสนี้
ขอขอบพระคุณบิดา มารดา และเพื่อน ๆ ทุกคนที่ได้ให้คำแนะนำช่วยเหลือสนับสนุนผู้
ศึกษาโครงการตลอดมา โครงการจะสำเร็จลุล่วงไปไม่ได้ หากไม่มีบุคคลดังกล่าวในการจัดทำ
โครงการ
คุณค่าและประโยชน์ของโครงการนี้ ผู้ศึกษาขอมอบเป็นกตัญญูกตเวทิตาแด่บุพการี
บูรพาจารย์และผู้มีพระคุณท่านทั้งในอดีตและปัจจุบัน ท่ีได้อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางใน
การศกึ ษา จนทำใหผ้ ู้ศกึ ษาประสบความสำเร็จมาจนตราบทกุ วนั นี้
สุภาพร .ทองวเิ ชยี ร
อนกุ ูล การุณย์ลัญจกร
สารบัญ
หน้า
ใบรับรองโครงการ..................................................................................................................................ง
บทคดั ย่อ...............................................................................................................................................จ
กติ ตกิ รรมประกาศ................................................................................................................................ช
สารบญั ..................................................................................................................................................ซ
สารบัญตาราง.................................................................................................................. .....................ญ
สารบญั ภาพ..........................................................................................................................................ฏ
บทท่ี 1 บทนำ.....................................................................................................................................1
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา........................................................................1
1.2 วัตถปุ ระสงคข์ องการศึกษา............................................................................................2
1.3 ขอบเขตของการศกึ ษา...................................................................................................2
1.4 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รบั ............................................................................................2
1.5 นยิ ามศัพท์เฉพาะ...........................................................................................................3
บทที่ 2 เอกสาร ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวข้อง................................................................................4
2.1 จดุ ประสงคร์ ายวิชา สมรรถนะรายวชิ า และคำอธิบายรายวชิ า.....................................4
2.2 วิวัฒนาการของการบญั ชใี นประเทศไทย........................................................................5
2.3 หลักการบญั ชเี บือ้ งต้น...................................................................................................8
2.4 โปรแกรมสำเร็จรปู ทางบัญชี........................................................................................23
2.5 ความรู้พ้ืนฐานเกยี่ วกบั โปรแกรม Microsoft Excel………………..................................27
2.6 งานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง......................................................................................................37
บทท่ี 3 วิธกี ารดำเนินโครงการ.........................................................................................................41
3.1 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง..........................................................................................41
3.2 เคร่อื งมือท่ีใช้ในการศึกษา...........................................................................................41
3.3 ขั้นตอนในการสรา้ งเครื่องมือ......................................................................................42
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล.................................................................................................43
3.5 วิธกี ารวเิ คราะห์ขอ้ มูลและสถิตทิ ี่ใชใ้ นการศึกษา.........................................................43
ฌ
สารบญั (ต่อ)
หน้า
บทที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล...............................................................................................................45
4.1 สญั ลกั ษณท์ ใ่ี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู ...........................................................................45
4.2 การนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล..............................................................................45
บทที่ 5 สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ................................................................................56
5.1 สรปุ ผลการศกึ ษา.........................................................................................................56
5.2 การอภิปรายผล............................................................................................................58
5.3 ขอ้ เสนอแนะ................................................................................................................60
บรรณานกุ รม.......................................................................................................................................61
ภาคผนวก...................................................................................................................... .....................62
ภาคผนวก ก แบบขออนุมัตโิ ครงการ แบบเสนอโครงการ............................................63
ภาคผนวก ข แบบสอบถาม............................................................................................70
ภาคผนวก ค งบประมาณคา่ ใชจ้ ่าย................................................................................74
ภาคผนวก ง .เอกสารประกอบ (ภาพถา่ ย).....................................................................76
ประวตั ิผทู้ ำโครงการ............................................................................................................................87
สารบัญตาราง
หน้า
ตารางที่ 2.1 ความแตกต่างระหวา่ งการจดั ทำบัญชดี ้วยระบบมือและโปรแกรมสำเร็จรปู ..............7
ตารางที่ 2.2 ความแตกต่างของโปรแกรมสำเรจ็ รปู ทางการบัญชี 4 ชนิด.....................................27
ตารางที่ 2.3 ฟังกช์ นั ในโปรแกรม Microsoft Excel เบอื้ งตน้ .....................................................32
ตารางท่ี 4.1 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จำแนกตามเพศ...................................46
ตารางท่ี 4.2 แสดงความถี่และร้อยละของกลมุ่ เป้าหมาย จำแนกตามอายุ...................................46
ตารางที่ 4.3 แสดงความถ่ีและร้อยละของกลุ่มเปา้ หมาย จำแนกตามสถานภาพของผตู้ อบ
..แบบสอบถาม...........................................................................................................47
ตารางท่ี 4.4 แสดงความถ่ีและร้อยละของกลมุ่ เป้าหมาย จำแนกตามระดับการศกึ ษา................46
ตารางที่ 4.5 แสดงความถ่ีและร้อยละของกลุ่มเปา้ หมาย จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน.........48
ตารางที่ 4.6 แสดงความถี่และร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จำแนกตามลักษณะกจิ การ.................48
ตารางท่ี 4.7 แสดงค่าเฉล่ยี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน การประยุกตใ์ ช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
เอกซ์เซล (Microsoft Excel) ในการตรวจสอบงบการเงิน สรุปเป็นรายด้าน
ดา้ นประโยชน์.............................................................................................................49
ตารางท่ี 4.8 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การประยุกตใ์ ช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
เอกซ์เซล (Microsoft Excel) ในการตรวจสอบงบการเงิน สรุปเปน็ รายด้าน
ด้านผลกระทบ.........................................................................................................50
ตารางที่ 4.9 แสดงคา่ เฉลี่ย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน การประยุกตใ์ ช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
เอกซ์เซล (Microsoft Excel) ในการตรวจสอบงบการเงิน ดา้ นการตรวจสอบ
ขอ้ ผดิ พลาดของโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซล ดา้ นประโยชน์.............................51
ตารางที่ 4.10 แสดงคา่ เฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การประยุกต์ใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
เอกซ์เซล (Microsoft Excel) ในการตรวจสอบงบการเงนิ ด้านการตรวจสอบ
ข้อผิดพลาดของโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซ์เซล ด้านผลกระทบ............................52
ตารางท่ี 4.11 แสดงคา่ เฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การประยุกตใ์ ช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
เอกซ์เซล (Microsoft Excel) ในการตรวจสอบงบการเงิน ดา้ นความรวดเร็วใน
การตรวจสอบข้อผดิ พลาด ด้านประโยชน์...............................................................53
ฎ
สารบัญตาราง (ตอ่ )
หน้า
ตารางที่ 4.12 แสดงคา่ เฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การประยุกต์ใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
เอกซเ์ ซล (Microsoft Excel) ในการตรวจสอบงบการเงิน ด้านความรวดเรว็ ใน
การตรวจสอบข้อผิดพลาด ดา้ นผลกระทบ..............................................................54
ตารางท่ี 4.13 แสดงค่าเฉลี่ย และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน การประยุกต์ใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์
เอกซ์เซล (Microsoft Excel) ในการตรวจสอบงบการเงนิ
ด้านการวเิ คราะหแ์ ก้ไขขอ้ ผิดพลาด.........................................................................55
สารบัญภาพ
หน้า
ภาพที่ 2.1 ขน้ั ตอนของการบญั ช.ี ................................................................................................9
ภาพท่ี 2.2 ประเภทของการบัญชี..............................................................................................11
ภาพที่ ง.1 ศึกษาการใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซเ์ ซลจากหนงั สือ..................................77
ภาพที่ ง.2 ศึกษาการใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซเ์ ซลจากสอื่ วดิ ีโอออนไลน์...................77
ภาพที่ ง.3 ศึกษาการใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซ์เซลจากหนังสือ
และสอื่ วดิ โี อออนไลน์ 1...........................................................................................78
ภาพท่ี ง.4 ศกึ ษาการใชง้ านโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซ์เซลจากหนงั สือ
และสอ่ื วดิ ีโอออนไลน์ 2...........................................................................................78
ภาพที่ ง.5 ทดลองการใชฟ้ ังก์ชันของโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซเ์ ซลในการตรวจสอบ 1........79
ภาพที่ ง.6 ทดลองการใช้ฟังกช์ ันของโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซ์เซลในการตรวจสอบ 2........79
ภาพที่ ง.7 เรม่ิ สรา้ งตารางสำหรบั การนำข้อมลู มาตรวจสอบข้อผดิ พลาด 1.............................80
ภาพที่ ง.8 เรม่ิ สรา้ งตารางสำหรับการนำข้อมลู มาตรวจสอบข้อผดิ พลาด 2.............................80
ภาพท่ี ง.9 กำหนดชื่อของชอ่ งข้อมลู ท่ีนำมาเปรียบเทยี บ..........................................................81
ภาพท่ี ง.10 กำหนดจำนวนขอ้ มูลทใ่ี ชใ้ นการตรวจสอบเพื่อการประมวลผลทีร่ วดเรว็ .................81
ภาพท่ี ง.11 กำหนดฐานข้อมลู ....................................................................................................82
ภาพท่ี ง.12 กำหนดฟงั ก์ชนั สำหรบั การตรวจสอบขอ้ ผิดพลาด...................................................82
ภาพที่ ง.13 อธบิ ายการใช้งานใหก้ บั พนกั งานบัญชขี องสำนักงานตรวจสอบบญั ชี เอบซี ี............83
ภาพท่ี ง.14 พนกั งานบัญชีทำแบบสอบถาม 1............................................................................83
ภาพที่ ง.15 พนกั งานบัญชที ำแบบสอบถาม 2............................................................................84
ภาพท่ี ง.16 พนกั งานบัญชที ำแบบสอบถาม 3............................................................................84
ภาพท่ี ง.17 พนกั งานบัญชที ำแบบสอบถาม 4............................................................................85
ภาพที่ ง.18 พนกั งานบัญชที ำแบบสอบถาม 5............................................................................85
ภาพที่ ง.19 สรปุ ผลการดำเนนิ งาน 1..........................................................................................86
ภาพที่ ง.20 สรปุ ผลการดำเนินงาน 2..........................................................................................86
บทท่ี 1
บทนำ
1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา
การจัดทำบัญชีเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยสมัยพุทธศักราช 2475 ในปีนี้เริ่มมีการ
เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ นำไปสู่การ
ประกาศใช้ประมวลรัษฎากรจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึง
กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พุทธศักราช 2482 (ปัจจุบันผู้
ประกอบธุรกิจต้องจัดทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พุทธศักราช 2543) การจัดทำบัญชีใน
ชว่ งแรกจะเปน็ การทำบญั ชดี ้วยมอื อาจทำให้พบข้อผิดพลาดได้ ทำใหม้ กี ารนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยใน
การจัดทำบัญชี นั่นก็คือโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีนั้นได้ถูก
พฒั นามาจนถงึ ปัจจุบนั
ในปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจหลายแห่งได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานต่าง ๆ เพื่อ
อำนวยความสะดวกภายในกิจการ สำนักงานตรวจสอบบัญชีเป็นหนึ่งในนั้น ที่ได้มีการนำโปรแกรม
สำเร็จรูปทางการบัญชีมาใช้ ซึ่งโปรแกรม Express Accounting เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทำงานของสำนักงานตรวจสอบบัญชี ทำให้พนักงานเกิดความเคยชิน
และขาดความระมัดระวังในการลงรายการบัญชีในโปรแกรม Express Accounting ซึ่งอาจจะทำให้
เกิดข้อผิดพลาดได้ เช่น การลงรายการบัญชีซื้อ-ขายซ้ำ หรือการลบรายการบัญชีแต่ลบไม่หมดทำให้
รายการบัญชีนั้นมียอดคงคา้ งอยู่ในระบบส่งผลใหย้ อดภาษีซื้อ-ภาษีขาย ที่จะต้องนำส่งกรมสรรพากร
ในบัญชีแยกประเภทภาษีซื้อ-ภาษีขายไม่ตรงกบั แบบแสดงรายการภาษีมลู คา่ เพิ่ม (ภ.พ.30) เดิมที่การ
ตรวจสอบข้อผิดพลาดดงั กลา่ วจำเป็นทจี่ ะต้องสั่งพิมพร์ ายงานภาษีซื้อ-ภาษีขาย มาตรวจสอบกับบัญชี
แยกประเภทภาษีซื้อ-ภาษีขาย ถ้าหากรายการภาษีซื้อ-ภาษีขายมีจำนวนไม่มากสามารถตรวจสอบได้
โดยใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้าหากรายการภาษีซื้อ-ภาษีขายมีจำนวนมากสามารถตรวจสอบได้แต่ใช้
เวลานาน อีกทั้งการตรวจสอบข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วยสายตาอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาด
ทำใหห้ าขอ้ ผิดพลาดที่แท้จรงิ ไมพ่ บ
2
ดังนั้นทางคณะผู้จัดทำจึงคิดที่จะนำโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลมาใช้ในการตรวจสอบ
ข้อผิดพลาดดังกล่าวเพื่อตรวจสอบข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและแก้ไขข้อผิดพลาดให้
ถูกต้อง
1.2 วตั ถุประสงค์ของการศึกษา
1. เพื่อนำโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลมาตรวจสอบข้อผดิ พลาดที่เกิดขน้ึ
2. เพอ่ื ศึกษาความรวดเร็วในการตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซ์เซล
3. เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้อง
1.3 ขอบเขตของการศกึ ษา
1. ด้านกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ พนักงานบัญชีของสำนักงานตรวจสอบ
บญั ชี เอบีซี ตำบลนาปา่ อำเภอเมอื งชลบรุ ี จงั หวัดชลบรุ ี 20000 จำนวน 5 คน
2. ด้านเน้ือหาทใ่ี ช้ในการศกึ ษาครงั้ น้ี ไดแ้ ก่
2.1 ศึกษาทฤษฎีการบัญชีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้รวมกับฟังก์ชันการทำงานของ
โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลเพื่อการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดท่ีเกดิ ขนึ้
2.2 ศึกษาโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีเพื่อง่ายต่อการนำข้อมูลที่ผิดพลาดออกมา
ตรวจสอบกับโปรแกรมไมโครซอฟทเ์ อกซเ์ ซล
2.3 ศึกษาฟังก์ชัน (Functions) การทำงานของโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลท่ี
สามารถนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในการตรวจสอบและแกไ้ ขข้อผิดพลาดทีเ่ กิดขึ้น
3. ดา้ นระยะเวลาและสถานท่ีท่ใี ช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่
3.1 ด้านระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 30 เดือนตุลาคม
พ.ศ. 2563
3.2 ด้านสถานที่ ณ สำนักงานตรวจสอบบัญชี เอบีซี ตำบลนาป่า อำเภอเมืองชลบุรี
จังหวดั ชลบุรี 20000
1.4 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รบั
1. โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซเ์ ซลสามารถตรวจสอบขอ้ ผดิ พลาดท่ีเกดิ ขน้ึ ได้
2. มีความรวดเรว็ ในการตรวจสอบขอ้ ผดิ พลาด
3. แกไ้ ขข้อผิดพลาดทเ่ี กดิ ขึ้นให้ถกู ต้อง
3
1.5 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
1. โปรแกรมสำเรจ็ รปู ทางการบัญชี หมายถงึ โปรแกรมประยกุ ต์ ทีใ่ ชใ้ นการเก็บขอ้ มลู
และประมวลผลทางบัญชี โดยประกอบไปด้วยฟังก์ชัน ระบบลูกหนี้ ระบบเจ้าหนี้ บัญชีแยกประเภท
ระบบขาย ระบบซ้อื และรายงานตา่ ง ๆ
2. โปรแกรมไมโครซอฟตเ์ อกซเ์ ซล หมายถงึ โปรแกรมประเภท สเปรดชตี
(Spreadsheet) หรือโปรแกรมตารางงาน ซึ่งจะเก็บข้อมูลต่าง ๆ ลงบนแผ่นตารางงาน คล้ายกับการ
เขียนข้อมูลลงไปในสมุดที่มีการตีช่องตารางทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ซึ่งช่องตารางแต่ละช่องจะมีช่ือ
ประจำแต่ละช่อง ทำให้ง่ายต่อการป้อนข้อมูล การแก้ไขข้อมูล สะดวกต่อการคำนวณและการนำ
ขอ้ มลู ไปประยกุ ตใ์ ช้ สามารถจดั ข้อมูลต่าง ๆ ไดอ้ ย่างเป็นหมวดหม่แู ละเป็นระเบียบมากย่งิ ขึ้น
3. ฟงั ก์ชัน (Functions) หมายถึง ฟงั ก์ชันทกี่ ำหนดไว้ในโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซเ์ ซล
เป็นสูตรที่กำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับการคำนวณการดำเนินการโดยใช้ค่าที่ระบุในคำสั่ง เช่น การใช้
ฟังก์ชันเพื่อหาผลรวมของแถวหรือคอลัมน์ของข้อมูล หาค่าเฉลี่ยของชุดของตัวเลข ส่งออกวันที่
ปัจจุบัน ค้นหาจำนวนคำสั่งซื้อจากลูกค้าเฉพาะรายการในระยะเวลาที่กำหนด ค้นหาที่อยู่อีเมลของ
ลูกคา้ ตามชือ่ ของลูกค้ารูปแบบการทำงานเปน็ การทำงานแบบอตั โนมัติ เปน็ ตน้
4. ข้อผิดพลาด หมายถึง ขอ้ ผิดพลาดที่เกิดจากการขาดความระมัดระวังในการบนั ทึก
บัญชีผ่านโปรแกรมสำเร็จรูปทางบัญชี หรือ อาจจะเกิดจากความไม่ชำนาญของการใช้โปรแกรม
สำเร็จรูปทางบัญชีจึงทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น เช่น ยอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภทไม่ตรงกับ
รายงานทางบัญชี หรือ ยอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภทไม่ตรงกับงบทดลองอันเนื่องมาจากการลบ
หรอื ยกเลิกขอ้ มลู ไม่หมด
5. ผู้ประกอบธรุ กิจ หมายถึง ผูท้ ี่มหี นา้ ท่ใี นการจดั ทำบญั ชตี ามพระราชบัญญตั ิการบญั ชี
พทุ ธศกั ราช 2543
บทที่ 2
เอกสาร ทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง
การดำเนินการโครงการ การประยุกต์ใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซล (Microsoft Excel)
ในการตรวจสอบงบการเงิน ณ สำนักงานตรวจสอบบัญชี เอบีซี ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึง
วนั ที่ 30 ตลุ าคม 2563 คณะผ้จู ัดทำได้รวบรวมเอกสาร ทฤษฎี และงานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้องดงั ตอ่ ไปน้ี
2.1 จุดประสงคร์ ายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคำอธบิ ายรายวิชา
2.2 วิวัฒนาการของการบญั ชใี นประเทศไทย
2.3 หลักการบัญชีเบอื้ งต้น
2.4 โปรแกรมสำเรจ็ รูปทางบัญชี
2.5 ความรพู้ นื้ ฐานเก่ียวกับโปรแกรม Microsoft Excel
2.6 งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง
2.1 จดุ ประสงคร์ ายวชิ า สมรรถนะรายวิชา และคำอธบิ ายรายวิชา
2.1.1 จดุ ประสงค์รายวิชา
2.1.1.1 เขา้ ใจขัน้ ตอนและกระบวนการสรา้ งและหรอื พฒั นางานอาชีพอยา่ งเปน็ ระบบ
2.1.1.2 สามารถบูรณาการความรู้และทักษะในการสร้างและหรือพฒั นางานในสาขา
วชิ าชีพตามกระบวนการวางแผน ดำเนินงาน แก้ไขปญั หา ประเมินผล ทำรายงานและนำเสนอผลงาน
2.1.1.3 มเี จตคตแิ ละกจิ นสิ ยั ในการศึกษาคน้ ควา้ เพอ่ื สร้างและหรอื พัฒนางานอาชพี
ด้วยความรับผิดชอบ มวี นิ ยั คุณธรรม จริยธรรม ความคิดริเริม่ สร้างสรรค์ ขยัน อดทนและสามารถ
ทำงานร่วมกบั ผู้อ่ืนได้
2.1.2 สมรรถนะรายวิชา
2.1.2.1 แสดงความรเู้ กยี่ วกับหลักการและกระบวนการสรา้ งและหรือพัฒนางาน
อาชีพอย่างเป็นระบบ
2.1.2.2 เขยี นโครงการสร้างและหรือพฒั นางานตามหลักการ
2.1.2.3 ดำเนนิ งานตามแผนงานโครงการตามหลักการและกระบวนการ
5
2.1.2.4 เก็บขอ้ มูลวิเคราะหส์ รปุ และประเมนิ ผลการดำเนินโครงการตามหลักการ
2.1.2.5 รายงานผลการปฏบิ ตั งิ านโครงการตามรูปแบบ
2.1.2.6 นำเสนอผลการดำเนินงานด้วยรปู แบบวิธกี ารตา่ ง ๆ
2.1.3 คำอธิบายรายวิชา
ศกึ ษาและปฏิบตั เิ กี่ยวกับการบรู ณาการความรูแ้ ละทกั ษะในระดบั เทคนิคท่ีสอดคล้อง
กับสาขาวิชาชีพที่ศึกษาเพ่ือสร้างและหรือพัฒนางานด้วยกระบวนการทดลอง สำรวจ ประดิษฐ์คิดค้น
หรอื การปฏบิ ตั ิงานเชงิ ระบบ การเลือกหัวขอ้ โครงการการศกึ ษาค้นควา้ ข้อมลู และเอกสารอ้างองิ
การเขียนโครงการการดำเนินงานโครงการ การเก็บรวบรวมข้อมูล วเิ คราะห์และแปล
ผล การสรุปจัดทำรายงาน การนำเสนอผลงานโครงการดำเนินการเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มตาม
ลกั ษณะของงานให้แล้วเสร็จในระยะเวลาท่กี ำหนด
2.2 วิวฒั นาการของการบัญชีในประเทศไทย
การจัดทำบัญชีในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยในเบื้องต้นการทำบัญชียังไม่ได้รับ
ความนิยมมากนัก มีเพียงแค่การทำบัญชีเงินสดเพื่อให้ทราบถึงการคงอยู่ของเงินสด เท่านั้นต่อมาใน
สมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการแบ่งการทำบัญชีเป็นหมวดหมู่สำหรับการบันทึกเงิน
พระคลังส่วนการเรียนวิชาการบัญชีในประเทศไทย เริ่มครั้งแรกไม่ใช่การทำบัญชีตามหลักการบญั ชีคู่
ท่ีแท้จริง แต่เป็นการทำบัญชีเกี่ยวกับการเงินเท่านั้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการตั้งโรงเรียน
พาณิชยการขึ้น 2 แห่ง คือ โรงเรียนพาณิชยการวัดสามพระยาและโรงเรียนพาณิชยการวัดแก้วฟ้า
โดยมีการสอนระบบการบัญชีคู่เป็นครั้งแรก โดยมีการใช้บัญชีเพียง 3 เล่ม ได้แก่ สมุดรายวัน สมุด
บัญชีเงินสดและสมุดแยกประเภท และในปี 2481 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ไดม้ ีการจดั ตง้ั คณะพาณชิ ยศาสตรแ์ ละการบัญชีข้ึน
การทำบัญชีที่คุ้นเคยกันในยุคสมัยปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่การจัดทำบัญชีด้วยระบบมือ ซึ่งมี
ขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยากและมีหลายขั้นตอน โดยเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์รายการค้า การบันทึก
รายการในสมุดรายวัน การผ่านรายการไปยงั บัญชแี ยกประเภททัว่ ไป การรวบรวมข้อมูลจากบัญชีแยก
ประเภทเพื่อจัดทำงบทดลองและจัดทำงบการเงินต่อไป โดยนักบัญชีทั้งหลายจะคุ้นเคยกับการ
วิเคราะห์เดบิตเครดิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักสำหรับการทำบัญชี ต่อมาจึงได้มีการนำคอมพิวเตอรม์ า
ช่วยในการจัดทำบัญชีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้โปรแกรมประยุกต์ที่คุ้นเคยกันโดยทั่วไป คือ
โปรแกรมสเปรดชีทมาช่วยในการจัดทำบัญชีซึ่งทำให้การจัดทำบัญชีทำไดง้ ่ายข้ึน แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่
6
จะใชโ้ ปรแกรม สเปรดชีทมาใช้ในการจัดทำบัญชีได้ก็ต้องมีพ้ืนฐานความรู้บัญชีค่อนขา้ งมาก จึงมีการ
นำโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีเข้ามาช่วยในส่วนนี้แทน ซึ่งผู้ที่จะใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางการ
บัญชอี าจจะไมต่ อ้ งมีความรูเ้ กย่ี วกบั หลักการบัญชมี ากนักกส็ ามารถใช้งานโปรแกรมได้เพราะโปรแกรม
มกี ารทำงานให้อัตโนมตั เิ กอื บจะทุกระบบงาน
2.2.1 การทำบัญชีด้วยระบบมือ การทำบัญชีในยุคแรกเริ่มจะเป็นการจัดทำบัญชีด้วย
ระบบมือ ซ่งึ มีขั้นตอนการทำงานท่ียุ่งยากพอสมควร โดยขนั้ ตอนการทำงานประกอบด้วย
2.2.1.1 การรวบรวมเอกสารเพื่อการบันทึกบัญชี พนักงานบัญชีจะต้องรวบรวม
เอกสารทางการบัญชีทั้งหมด เพื่อนำมาเป็นเอกสารประกอบการบันทึกบัญชี เช่น ใบกำกับสินค้า
ใบเสรจ็ รบั เงนิ เป็นต้น
2.2.1.2 การบันทกึ รายการในสมดุ บนั ทึกรายการขั้นตน้ พนกั งานบัญชีจะนำเอกสาร
หลักฐานประกอบการลงบัญชีที่ได้รวบรวมไว้ทั้งหมด มาบนั ทึกรายการในสมุดบนั ทึกรายการข้ันต้นซ่ึง
มีหลายเล่ม ได้แก่ สมุดรายวันซื้อ สมุดรายวันขาย สมุดรายวันรับเงิน สมุดรายวันจ่ายเงิน และสมุด
รายวันทั่วไป ดังนั้น พนักงานบัญชีจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับหลักการบัญชีด้วย นอกจากนั้น หาก
กจิ การมีรายการค้าที่เกดิ ขึ้นเป็นจำนวนมาก กจ็ ะทำใหก้ ารบนั ทึกรายการค้าใช้เวลาค่อนขา้ งมาก และ
รายการคา้ ส่วนใหญจ่ ะมลี กั ษณะเหมอื นเดมิ ทำให้พนักงานบญั ชีมีการทำงานทซี่ ้ำซ้อน
2.2.1.3 การผ่านรายการจากสมดุ บันทึกรายการขั้นต้นไปยังบัญชแี ยกประเภททั่วไป
โดยการทำงานในขนั้ ตอนน้เี ปน็ ข้นั ตอนการทำงานทีใ่ ช้เวลาค่อนขา้ งมากและยงั อาจเกิดความผิดพลาด
ไดค้ ่อนข้างสูง
2.2.1.4 การรวบรวมข้อมูลจากบัญชีแยกประเภทเพื่อจัดทำงบทดลอง หลังจากได้มี
การผ่านรายการไปยังบัญชีแยกประเภทแล้ว พนักงานบัญชีจะต้องเก็บรวบรวมยอดของบัญชีแยก
ประเภททั้งหมด เพื่อนำมาจัดทำงบทดลอง โดยการจัดทำงบทดลองเป็นเพียงการตรวจสอบว่ามีการ
บันทกึ รายการตามหลกั การบัญชีค่ถู ูกตอ้ งเทา่ นน้ั
2.2.1.5 การจัดทำรายงานทางการเงิน ซ่ึงประกอบด้วยงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ งบ
แสดงฐานะทางการเงิน งบกระแสเงินสด และงบอื่น ๆ ซึ่งโดยปกติการจัดทำบัญชีด้วยระบบมือจะมี
การสรปุ ยอดเพ่อื จัดทำรายงานทางการเงินเพียงปีละ 1 คร้ังเท่าน้นั
จากขั้นตอนการจัดทำบัญชีด้วยระบบมือท่ีมคี วามยุ่งยากและซับซ้อน ทำให้
กิจการต่าง ๆ มีการปรับตัวในการจัดทำบัญชีมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการจัดทำบัญชีมาก
7
ขึ้น โดยกิจการส่วนหนึ่งนิยมใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี เพื่อช่วยในการจัดทำบัญชีซึ่งจะเหน็
ได้ว่าการใชโ้ ปรแกรมสำเรจ็ รูปทางการบัญชีทำใหก้ ารจดั ทำบัญชเี ปน็ เร่อื งที่ง่ายขน้ึ
2.2.2 การทำบัญชีด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันการจัดทำบัญชีโดยสว่ นใหญ่ไม่นยิ มใช้
การทำบัญชีด้วยระบบมือมากนัก เพราะใช้เวลาในการทำบัญชีค่อนขา้ งมาก ทำให้พนักงานบัญชีต้อง
ทำงานกันทั้งวันโดยเฉพาะช่วงการปิดบัญชีที่ต้องจัดทำรายงานทางการเงินเพื่อยื่นต่อหน่วยงานท่ี
เกี่ยวข้อง จนกระทั่งทำให้เกิดการปดิ งบการเงินไม่ทันตามเวลาทีเ่ ราคุ้นเคยกัน ดังนั้น กิจการโดยส่วน
ใหญ่จึงมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการจัดทำบัญชี โดยมีการใช้โปรแกรมสเปรดชีทที่สามารถ
ตอบสนองความต้องการของกิจการได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการออกเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เช่น
ใบกำกบั ภาษี จดั ทำใบเสรจ็ รับเงนิ เปน็ ตน้ รวมถึงการจดั ทำสต๊อกสินค้า การบันทึกรายการค้าในสมุด
รายวัน บัญชีแยกประเภท การเรียกดูงบทดลอง และรายงานทางการเงิน แต่อย่างไรก็ตามการใช้
โปรแกรมสเปรดชีทในการทำบัญชนี ้ัน พนักงานบัญชีหรือผู้พัฒนาระบบจะต้องมคี วามสามารถในการ
ใช้โปรแกรมสเปรดชีท และมคี วามรู้เก่ียวกบั หลักการบัญชีค่อนข้างมาก แตก่ ารใชโ้ ปรแกรมสเปรดชีท
ในการจัดทำบัญชีก็มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก เนื่องจากหากระบบบัญชีของกิจการมีการเปลี่ยนแปลงก็
อาจจะตอ้ งพัฒนาระบบกันใหม่ และจากขอ้ จำกัดของการใชโ้ ปรแกรมสเปรดชที ในการจดั ทำบัญชีจึงมี
การนำโปรแกรมสำเรจ็ รูปทางการบัญชีมาใช้ในการจัดทำบัญชีมากขน้ึ ซ่ึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับการ
จัดทำบัญชีด้วยคอมพิวเตอร์ เนื่องจากการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี ผู้ใช้งานอาจไม่ต้องมี
ความรู้ทางการบญั ชีมากนกั เพราะบริษทั ทม่ี กี ารพฒั นาโปรแกรมสำเร็จรปู ออกมาจำหนา่ ยจะพยายาม
พัฒนาให้โปรแกรมของตนเองมีความสามารถในการทำงานที่ครบถ้วน และด้วยคอมพิวเตอร์มีความ
ง่ายในการทำงานมากที่สุดเพื่อให้ผู้ที่จะเลือกใช้งานให้ความสนใจและต้องการเลือกใช้โปรแกรมของ
บรษิ ัทมากย่ิงขึน้
ความแตกต่างระหว่างการจดั ทำบญั ชีด้วยระบบมือและโปรแกรมสำเรจ็ รูป
รายการ การจัดทำบญั ชีด้วยมอื การจดั ทำบัญชีด้วยโปรแกรม
สำเรจ็ รปู
แหลง่ ขอ้ มูลประกอบการ เอกสาร / หลักฐานประกอบ ขอ้ มูลท่ีเป็นเอกสาร
ลงบญั ชี รายการคา้ อเิ ล็กทรอนิกส์ท่จี ัดทำโดย
โปรแกรมเชน่ ใบเสรจ็ รบั เงิน
ตารางท่ี 2.1 ความแตกตา่ งระหวา่ งการจัดทำบัญชีด้วยระบบมอื และโปรแกรมสำเรจ็ รปู
8
รายการ การจดั ทำบัญชีด้วยมือ การจัดทำบญั ชีด้วยโปรแกรม
สำเรจ็ รปู
สมุดบนั ทึกรายการขน้ั ต้นและ การบันทกึ รายการในสมุด
การบันทึกรายการ รายวนั ทว่ั ไปและสมดุ รายวนั และข้อมลู ทนี่ ำเขา้ จากเอกสาร
เฉพาะ ประกอบรายการ
การบนั ทกึ ข้อมูลเข้าสู่ระบบ
สมุดบญั ชแี ยกประเภทและการ ผ่านรายการจากสมดุ รายวัน คอมพิวเตอร์ในแฟ้มข้อมลู
รายการเคลื่อนไหว
บันทึกผ่านรายการ ทกุ เลม่ ไปทบ่ี ญั ชแี ยกประเภท (Transaction File)
แฟ้มขอ้ มูลหลกั ของโปรแกรม
ทว่ั ไปและบัญชีแยกประเภท (Master File) เช่นแฟม้ ข้อมลู
ลกู หน้ีเจา้ หน้ีและสนิ คา้ โดยทำ
ย่อย การ Update ใหม่เมื่อต้องการ
ทราบขอ้ มลู
การประมวลผลรายการ ประมวลผลรายการทัง้ หมด ประมวลผลแบบอตั โนมตั ิด้วย
ระบบคอมพิวเตอรใ์ ชเ้ วลาน้อย
ดว้ ยมอื ใช้เวลามากและมี และมคี วามถูกตอ้ งน่าเชอ่ื ถือ
เอกสารถูกเก็บในรูปของ
โอกาสผดิ พลาดสงู อิเลก็ ทรอนกิ สส์ ามารถเก็บ
ขอ้ มลู ไดง้ า่ ยและสะดวกตอ่ การ
การเกบ็ รักษาเอกสารหลักฐาน มเี อกสารเปน็ จำนวนมากต้อง คน้ หา
ใชส้ ถานที่เกบ็ จำนวนมากยาก
ตอ่ การค้นหา
ตารางที่ 2.1 ความแตกตา่ งระหวา่ งการจัดทำบัญชดี ว้ ยระบบมือและโปรแกรมสำเรจ็ รูป (ต่อ)
2.3 หลักการบัญชีเบ้อื งต้น
ข้อมูลทางการบัญชีเป็นข้อมูลที่ใช้เพือ่ การติดต่อส่ือสารกันในทางธุรกิจ อาจเรียกได้ว่าข้อมลู
ทางการบัญชเี ปน็ ภาษาของธุรกจิ เนอื่ งจากในการดำเนินกจิ กรรมใด ๆ ในองค์กรธรุ กจิ น้ัน มกั จะอาศัย
ข้อมลู ทางการบญั ชเี ปน็ ส่ือให้บุคคลที่มีความเกย่ี วข้องและมีความสนใจในเรื่องตา่ ง ๆ ไม่วา่ จะเป็นการ
วางแผนการดำเนินงาน การควบคุมการดำเนินงาน หรือการประเมินผลการปฏิบัติงาน จะใช้ข้อมูล
9
ทางการบัญชีเป็นสื่อกลางในการตัดสินใจ เพื่อที่จะดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรให้เป็นไปใน
ทิศทางที่มีความเหมาะสมต่อไป ดังนั้นข้อมูลทางการบัญชีจึงถือได้ว่ามีบทบาทที่สำคัญต่อการ
ดำเนินงานของธรุ กิจต่าง ๆ เป็นอยา่ งมาก
2.3.1 ความหมายของการบัญชี
สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในสหรัฐอเมริกา (The American
Institute of Certified Public Accountants; AICPA) ได้อธิบายถึงการบัญชีว่า การบัญชีคือ
การจดบันทึก การจำแนก การสรุปผลและการจัดทำรายงานทางการเงิน โดยใช้หน่วยวัดเป็นเงนิ ตรา
รวมถงึ การแปลความหมายของรายงานการเงนิ ดงั กลา่ ว เพ่ือนำไปใช้ในการตัดสินใจได้อยา่ งถกู ต้อง
สภาวิชาชีพบัญชี (Federation of Accounting Professions) ซึ่งเดิมคือสมาคมนัก
บัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย โดยคณะอนุกรรมการบัญญัติศัพท์ได้อธิบายถึงการ
บัญชีไว้พอจะสรุปได้ว่า การบัญชีคือ ศิลปะของการเก็บรวบรวม บันทึก จำแนก และสรุปข้อมูลอัน
เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในรูปตัวเงิน ผลงานขั้นสุดท้ายของการบัญชีคือ การให้ข้อมูลทาง
การเงนิ ซง่ึ เป็นประโยชน์แก่บุคคลหลายฝา่ ย และผทู้ สี่ นใจในกิจกรรมของกจิ การ
จากความหมายหรอื คำจำกัดความท่ีได้กล่าวถึงไว้น้ัน ผู้เขียนได้นำมาสรปุ ตามแนวคิด
ของผู้เขียนเกี่ยวกับความหมายของการบัญชีได้ว่า “การบัญชี เป็นกระบวนการหรือขั้นตอนของการ
จัดทำงบการเงิน โดยทำการจดบันทึกเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจของกิจการที่สามารถระบุค่าเปน็ หน่วย
เงินตราได้ และนำมาจัดเป็นหมวดหมู่ เพื่อทำการสรุปผลลัพธ์ในขั้นสุดท้ายเป็นงบการเงิน ทั้งนี้การ
บัญชียงั รวมถงึ การวิเคราะห์และแปลความหมายของข้อมูลต่าง ๆ ในงบการเงิน เพ่ือเป็นประโยชน์ต่อ
การตัดสินใจในด้านต่าง ๆ แก่บุคคลหรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่ให้ความสนใจในกิจกรรมทางธุรกิจของ
กจิ การ ซง่ึ สามารถแสดงไดด้ ังในภาพที่ 2.1
รายการคา้ การจดบันทึก การจดั การ การสรปุ ผล การวเิ คราะห์
ทางธุรกจิ หมวดหมู่ และแปล
ความหมาย
สมดุ บัญชีขั้นตน้ สมุดบญั ชขี ัน้ ปลาย งบการเงนิ
ภาพที่ 2.1 ขั้นตอนของการบญั ชี
10
จากภาพที่ 2.1 สามารถอธบิ ายเปน็ ขัน้ ตอนหรอื กระบวนการทางการบัญชไี ด้ ดงั นี้
2.3.1.1 การจดบันทกึ (Recording) การจดบันทึกเปน็ การนำเหตุการณ์ทาง
เศรษฐกิจที่สามารถระบุค่าเป็นหนว่ ยเงินตราได้หรือทีเ่ รียกวา่ รายการค้าของธุรกิจ มาจดบันทึกลงใน
สมุดบันทึกบัญชีขั้นต้น โดยยึดแนวปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ในการจดบันทึก
รายการค้าแต่ละรายการนั้น จะต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับรายการค้าเหล่านั้น มาใช้เป็นหลักฐาน
ประกอบการจดบนั ทกึ รายการค้าแตล่ ะรายการด้วย
2.3.1.2 การจดั หมวดหมู่ (Classifying) การจดั หมวดหมู่เปน็ การนำข้อมูลที่บันทึกไว้
ในสมุดรายการขั้นต้นมาจัดจำแนกให้เป็นหมวดหมู่ในสมุดบันทึกบัญชีแยกประเภททั่วไป ปกติทั่วไป
จะแบ่งเป็น 5 หมวดคือสินทรัพย์ (Assets) หนี้สิน (Liabilities) ทุน (Proprietorship) รายได้
(Revenue) และค่าใช้จ่าย (Expenses)
2.3.1.3 การสรุปผล (Summarizing) การสรุปผลเปน็ การนำข้อมูลที่ไดจ้ ดั
หมวดหมู่ไว้ในสมุดบญั ชีแยกประเภททัว่ ไปมาสรุปผล เพื่อจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานการรายงาน
ทางการเงิน เช่น งบกำไรขาดทุน (Income Statement) และงบแสดงฐานะการเงิน (Position
Financial Statement) เป็นตน้
2.3.1.4 การวเิ คราะห์และแปลความหมาย (Analysis and Interpreting)
การวิเคราะห์และแปลความหมายเป็นการนำข้อมูลในงบการเงินมาทำการวิเคราะห์ โดยอาจใช้
เครื่องมือต่าง ๆ ในการวิเคราะหแ์ ละแปลความหมายขอ้ มูลทีไ่ ด้ เพื่อนำไปใชป้ ระกอบการตัดสินใจใน
ด้านต่าง ๆเช่น การวิเคราะห์แนวตั้ง การวิเคราะห์แนวนอน และการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
เป็นตน้
2.3.2 ความแตกตา่ งระหวา่ งการบัญชีและการทำบัญชี
บุคคลบางกลุ่มมักจะมีความเข้าใจที่สับสนกันระหว่างการบัญชี (Accounting) กับ
การทำบัญชี (Bookkeeping) ว่ามีความหมายเหมือนกัน แต่ในความเปน็ จริงนัน้ การทำบญั ชีเป็นเร่อื ง
ของการนำรายการค้าทางธุรกิจมาจดบันทึกลงในสมุดบัญชี เริ่มจากสมุดบัญชีขั้นต้น สมุดบัญชีขั้น
ปลาย และการจัดทำงบการเงิน ที่กล่าวมาน้ันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการบัญชี ผู้ที่ทำงานบญั ชีในส่วน
นี้เราอาจเรียกได้ว่า เป็นผู้ทำบัญชี (Bookkeeper) ส่วนการบัญชีนั้นเป็นเรื่องของการออกแบบหรือ
วางระบบบัญชีเพื่อให้ได้มาซึ่งงบการเงินที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อการวางแผนและควบคุมการ
ดำเนินงานต่อไปรวมถึงการควบคุม การตรวจสอบงานของผู้ทำบัญชี และการปรับปรุงกระบวนการ
11
หรือวิธกี ารบญั ชีให้มีประสทิ ธิภาพต่อไป ซ่งึ จะเห็นไดว้ า่ การบญั ชีมีขอบเขตของงานท่ีกว้างกว่าการทำ
บัญชี โดยผู้ทท่ี ำงานในส่วนน้เี รียกวา่ นกั บญั ชี
ในกรณขี องธรุ กิจขนาดเล็ก ผูท้ ำบัญชกี บั นกั บญั ชีอาจจะเป็นบุคคลคนเดยี วกันได้ โดย
นักบัญชีจะทำงานในส่วนของการทำบัญชีควบคู่กัน แต่ถ้าธุรกิจมีขนาดใหญ่มากขึ้นหน้าที่และความ
รับผิดชอบของงานในส่วนต่าง ๆ จะมีมากขึ้น ดังนั้นผู้ทำบัญชีกับนักบัญชีจะมีการแบ่งหน้าที่ความ
รับผิดชอบกันอย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการควบคุม การตรวจสอบ และคุณภาพของงานที่มี
ประสิทธิภาพมากข้นึ
2.3.3 ประเภทของการบัญชี
ขอบเขตหรอื ลักษณะของงานการบัญชีที่นักบัญชจี ัดทำจำแนกโดยใช้ลักษณะของงาน
และการนำขอ้ มลู ทางการบัญชีไปใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ ทางธุรกิจได้ ดงั แสดงในภาพท่ี 2.2
ขอบเขตของการบัญชี
การบัญชกี ารเงนิ การบัญชเี พื่อการจดั การ
บุคคลภายนอกองคก์ ร บคุ คลภายในองค์กร
- นักลงทุน - ผูบ้ ริหารระดบั สูง
- เจา้ หน้ี - ผ้บู รหิ ารระดบั กลาง
- หน่วยงานราชการ - ผูบ้ ริหารระดับปฏิบตั ิการ
- สหภาพแรงงาน
ภาพที่ 2.2 ประเภทของการบัญชี
12
จากภาพท่ี 2.2 อธิบายรายละเอียดเพ่ิมเตมิ ไดด้ ังนี้
2.3.3.1 การบญั ชเี พอื่ การจดั การหรือการบญั ชบี รหิ าร (Managerial Accounting
or Management Accounting)
การบัญชีเพื่อการจัดการ หรือการบัญชีบริหาร เป็นกระบวนการวิธีการ
และเทคนิคต่าง ทางการบัญชีที่จะนำมาใช้ในการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้บริหารสามารถนำไปใช้
ประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ ตามบทบาทหน้าที่ของผู้บริหารในแต่ละระดับได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการ
วางแผนงาน การบริหารจดั การ การควบคุม การประเมินผลงาน และการตัดสินใจ เพื่อให้การบรหิ าร
จัดการและผลการปฏบิ ัติงานเป็นไปตามเป้าหมายหรือนโยบายของธุรกิจนน้ั ๆ รวมท้งั ใช้เป็นแนวทาง
ในการปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนือ่ ง นักบัญชีเป็นฝ่ายงานสนบั สนุนทีจ่ ะจัดทำข้อมูลเหล่านั้น
ในรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น การจัดทำงบประมาณ การกำหนดต้นทุนมาตรฐานและการวิเคราะห์หา
ผลต่างที่เกิดขึ้นระหว่างงบประมาณ หรือต้นทุนมาตรฐานกับข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง เป็นต้นให้เป็นไป
อย่างถกู ต้องและทนั เวลาต่อการนำมาใชเ้ พ่ือการตดั สนิ ใจในการบริหารงาน
การจัดทำข้อมูลทางการบัญชีเพื่อการจัดการนั้น บ่อยครั้งที่ต้องทำการ
ประมาณการขอ้ มลู ในอนาคตที่คาดวา่ จะเกดิ ข้ึน โดยใชฐ้ านข้อมลู ในอดีต และพจิ ารณาสภาพแวดล้อม
ในการดำเนินธุรกิจในแต่ละช่วงเวลาประกอบด้วย ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ (ข้อมูลที่ไม่
เป็นตัวเงิน) ที่มีผลต่อการตัดสินใจ เช่น นโยบายการส่งเสริมการคา้ ของภาครฐั กลยุทธ์การตลาดของ
ธุรกิจคแู่ ข่งขนั และการรวมตวั ในกลุ่มอตุ สาหกรรมเพือ่ สรา้ งอำนาจต่อรองทางการคา้ เปน็ ต้น
การนำเสนอข้อมูลการบัญชีเพื่อการจัดการจะมีลักษณะของการวิเคราะห์
เจาะประเด็นในแต่ละส่วนงานให้สอดคล้องกับประเด็นปัญหาที่ผู้บริหารให้ความสนใจ กำหนดหรือ
ระยะเวลาในการจัดทำนั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริหาร ในบางครั้งการจัดทำการ
บัญชีเพื่อการจัดการอาจจะต้องทำบ่อยครั้ง เพื่อให้ทันต่อความต้องการของผู้บริหารต่อสถานการณ์
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนรูปแบบในการจัดทำและนำเสนอจะต้องมีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับประเด็น
ปญั หาท่ีต้องทำการตัดสนิ ใจ หรือสถานการณท์ ่ีมีความเกีย่ วขอ้ งดว้ ย
2.3.3.2 การบัญชีการเงนิ (Financial Accounting)
การบัญชีการเงิน เป็นกระบวนการจดบันทึกรายการค้าทางเศรษฐกิจที่
เกดิ ขึน้ แลว้ ในอดีต โดยมีเอกสารหลักฐานในการลงรายการทางบัญชีและการสรุปผลเพื่อการจัดทำงบ
การเงินต่าง ๆกระบวนการของการจัดทำข้อมูลทางบัญชีการเงินจะสะท้อนให้เหน็ ถึงข้อมลู ทางการเงิน
13
ที่เป็นผลมาจากการบริหารจัดการที่ผ่านมาแล้วในอดีตว่า กิจการมีผลการดำเนินงานและฐานะ
ทางการเงินเป็นอยา่ งไร
การบัญชีการเงนิ เป็นการนำเสนอข้อมูลเพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจ
แก่บุคคลโดยทั่วไปซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลภายนอกองค์กร เช่น นักลงทุน หน่วยงานราชการ
ผู้สอบบัญชีเจ้าหนี้ และบุคคลทั่วไปที่ให้ความสนใจในธุรกิจนั้น ๆ เป็นต้น โดยลักษณะของข้อมูลท่ี
นำเสนอนั้น จะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถวัดหรือระบุค่าเป็นหน่วยเงินตราได้ และจะอธิบายถึง
เหตกุ ารณ์ทีเ่ กิดขน้ึ ในชว่ งเวลาท่ผี ่านมาแลว้ ในอดีต ขอ้ มลู ในงบการเงินนั้นจะต้องมีความถูกต้องตามท่ี
ควร และยดึ แนวปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี
รูปแบบและระยะเวลาในการจัดทำบัญชีการเงิน จะมีกำหนดระยะเวลาที่
แน่นอนตามขอ้ บงั คับของกฎหมายคอื 1 ปบี ัญชีจะต้องจัดทำอยา่ งน้อย 1 ครงั้ มผี ู้สอบบัญชรี ับอนุญาต
หรอื ผู้สอบบัญชีภาษีอากรรบั รองความถูกต้องของขอ้ มูลทป่ี รากฏในงบการเงิน
2.3.4 แม่บทการบญั ชี
แม่บทการบัญชี (Framework of Accounting) ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อวางกรอบ
แนวคิดพื้นฐานในการจัดทำและนำเสนองบการเงินให้แก่บุคคลต่าง ๆ ที่มีส่วนได้เสียในธุรกิจต่าง ๆ
ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้คณะกรรมการ
มาตรฐานการบัญชีของสภาวิชาชีพ ได้ทำการปรับปรุงแก้ไขอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แนวคิดพื้นฐานมี
ความสอดคล้องกบั สภาพแวดลอ้ มและสถานการณใ์ นดา้ นต่าง ๆ ทีม่ กี ารเปลี่ยนแปลงไป
สำหรบั แมบ่ ทการบญั ชีที่จะกลา่ วถึงในทนี่ ี้ เป็นแม่บทการบัญชฉี บบั ปรับปรุง 2552 ที่
มีความเก่ียวข้องกบั งบการเงินทจี่ ดั ข้นึ เพ่ือวัตถปุ ระสงคโ์ ดยท่วั ไป กำหนดใหต้ ้องมีการจัดทำอย่างน้อย
ปีละ 1 ครง้ั เพ่ือให้ขอ้ มูลทางการเงินท่ตี อบสนองความต้องการร่วมของผใู้ ช้งบการเงนิ หลายกลุ่ม โดย
งบการเงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการรายงานทางการเงินสำหรับงบการเงินที่สมบูรณ์จะ
ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) งบกำไรขาดทุน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงนิ
หมายเหตุประกอบงบการเงิน งบประกอบอื่น ๆ รวมถึงคำอธิบายใด ๆ ที่จะช่วยทำให้ข้อมูลในงบ
การเงินมีความสมบูรณ์ยิ่งขึน้ แนวคิดพื้นฐานที่กล่าวถึงในแม่บทการบัญชีน้ี สามารถนำไปประยุกตใ์ ช้
กับงบการเงินของกิจการต่าง ๆ ได้ ไม่วา่ จะเป็น กิจการซื้อมาขายไป กิจการอุตสาหกรรม และกิจการ
ให้การบรกิ าร ท้งั ในสว่ นของภาครัฐและเอกชน
สาระสำคญั ทีเ่ ป็นกรอบแนวคิดพ้นื ฐานท่ีจะกล่าวถงึ โดยสรุป มดี งั นี้
14
2.3.4.1 วัตถุประสงคข์ องงบการเงนิ ท่ีจัดทำขนึ้ น้ัน เพ่ือต้องการให้ผมู้ สี ่วนไดเ้ สีย
ต่อธุรกิจได้ทราบถึงฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน และการเปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงินของ
ธุรกิจเพื่อจะได้สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์เพื่อการตัดสินใจในกิจกรรมเชิงเศรษฐกิจได้
อยา่ งเหมาะสม
2.3.4.2 ขอ้ สมมติ ข้อสมมติเบ้อื งตน้ ทจี่ ะต้องคำนึงถงึ เพื่อใหล้ กั ษณะของงบการเงิน
น้นั เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไวค้ ือ จะตอ้ งยดึ ตามหลักเกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis) เพื่อให้มี
การจดบันทกึ รับรู้รายการทีเ่ ป็นรายได้และคา่ ใช้จ่ายเมื่อมีรายการค้านั้นเกิดขึ้น แม้ว่ารายการเหล่าน้ัน
จะมิได้มีการรับหรือจ่ายเงินสดไปจริงในเวลานั้นก็ตาม ด้วยเหตุน้ี จึงทำให้ผู้ใช้งบการเงินทราบถึง
ภาระผูกพนั ทจี่ ะเกิดข้ึนในอนาคต อันเนือ่ งมาจากรายได้และคา่ ใชจ้ ่ายทยี่ งั ไม่ได้รบั เงนิ สด หรือจ่ายเงิน
สดไปจรงิ ณ วนั ที่เกิดรายการค้านน้ั
นอกจากนี้จะต้องยึดหลักการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง (Going Concerns)
ทั้งนี้เพราะแนวคิดพื้นฐานในการจัดทำงบการเงินตามแม่บทการบัญชี มีความเหมาะสมกับกิจการท่ี
ต้องการจะดำเนินงานในอนาคตอย่างตอ่ เนื่อง และต้องการดำรงอยู่ต่อไปเท่านั้น ถ้าต้องการที่จะเลกิ
กิจการ หรอื ลดขนาดของกิจการในลักษณะท่ีทำให้ข้อมลู ในงบการเงนิ ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
อยา่ งถกู ตอ้ งอย่างมีสาระสำคัญแลว้ งบการเงินของกจิ การในลักษณะหลังน้ีจะต้องจัดทำขนึ้ ตามเกณฑ์
อ่ืน และตอ้ งเปดิ เผยขอ้ มลู เกี่ยวกับการเลิกกิจการ หรือลดขนาดกจิ การไว้ในงบการเงนิ ท่จี ัดทำขึ้นดว้ ย
2.3.5 ลกั ษณะเชิงคณุ ภาพของงบการเงิน ลกั ษณะเชงิ คุณภาพหมายถึงคณุ สมบัตทิ ่ที ำให้
ขอ้ มลู ในงบการเงินมีประโยชน์ต่อผูใ้ ช้งบการเงินโดยจะต้องมคี ุณสมบัตหิ ลกั 4 ประการ ดังนี้
2.3.5.1 ความเข้าใจได้ (Understandability) ผใู้ ช้งบการเงนิ ทม่ี ีความรเู้ กย่ี วกับ
ลกั ษณะหรือกจิ กรรมทางเศรษฐกิจของธุรกิจนน้ั ๆ รวมถึงมคี วามต้ังใจในการศึกษาข้อมูลทางการเงิน
ตามสมควร เมื่ออ่านงบการเงินจะต้องเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ที่รายงานในงบการเงินต่าง ๆ ได้ เช่น ถ้า
ผู้ใช้งบการเงินต้องการทราบความแตกต่างระหว่างกำไรตามเกณฑ์คงค้างกับกำไรตามเกณฑ์เงินสด
จำเป็นตอ้ งศึกษางบกระแสเงินสดเพม่ิ เติม เพื่อจะไดท้ ราบถงึ ความแตกต่างท่เี กิดขึน้ เป็นตน้
2.3.5.2 ความเกี่ยวขอ้ งกบั การตัดสินใจ (Relevance) ข้อมูลท่มี ีความเกีย่ วข้อง
กับการตัดสินใจ จะต้องเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งบการเงิน โดยถ้านำข้อมูลในงบการเงินมา
ประมวลผลแล้ว จะช่วยทำให้สามารถคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้รวมถึง
ประเมนิ สถานะของฐานะทางการเงินและผลการดำเนนิ งานในอนาคตของกจิ การเหลา่ น้นั ได้ดว้ ย
15
การพิจารณาว่าข้อมูลทางการเงินมีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจหรือไม่
นั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไป คือ ความมีสาระสำคัญของข้อมูลนั้น ถ้าหากไม่แสดงข้อมูล
การเงินในเรอื่ งใด หรอื แสดงข้อมูลทางการเงนิ เรื่องใดผดิ พลาดไปแลว้ ไม่ทำใหผ้ ใู้ ช้งบการเงินตัดสินใจ
ผดิ พลาดไปในอีกแนวทางหนึง่ อย่างมีความหมายสำคัญต่อผใู้ ช้งบการเงิน ข้อมูลนั้นอาจพิจารณาได้ว่า
เปน็ ขอ้ มลู ที่ไมเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การตดั สนิ ใจ
2.3.5.3 ความเชื่อถือได้ (Reliability) ข้อมูลที่แสดงในงบการเงินนั้นจะต้องมีความ
เชื่อถอื ไดต้ อ่ การท่ีผใู้ ชง้ บการเงินจะนำไปใช้ประโยชน์ในดา้ นตา่ ง ๆ คณุ ลักษณะสำคญั เก่ยี วกับข้อมูลที่
มีความเช่อื ถือได้ ได้แก่
1) เป็นตัวแทนอันเที่ยงธรรม ตามที่ควรต้องแสดง หรือแสดงข้อมูลทาง
การเงนิ เพียงพอตอ่ การนำไปใช้ประโยชนต์ ่อการคาดการณ์ได้อยา่ งสมเหตสุ มผล
2) เนื้อหาสำคัญมากกว่ารูปแบบ ข้อมูลจะมีความเที่ยงธรรมได้ จะต้อง
รายงานความเป็นจริงในทางปฏิบัติที่ส่งผลกระทบทางการเงินของกิจการมากกว่ายึดรูปแบบที่แสดง
ในทางกฎหมาย
3) มีความเป็นกลาง ปราศจากความลำเอียงหรือการชี้นำในการนำเสนอ
ข้อมูลใหเ้ ปน็ ไปในแนวทางท่ตี อ้ งการ
4) มีความระมัดระวัง ในการประมาณการข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับ
เหตกุ ารณ์ความไม่แนน่ อนใด ๆ ซงึ่ จะสง่ ผลตอ่ ข้อมลู ทางการเงินอยา่ งหลกี เลย่ี งไม่ได้
5) มีความครบถ้วน การนำเสนอข้อมูลที่เปน็ ประโยชน์ ไมล่ ะเวน้ ท่ีจะแสดง
ข้อมูลบางรายการที่จะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดไป โดยควรคำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการจัดทำและ
นำเสนอขอ้ มูลว่า ค้มุ คา่ กับประโยชนท์ ีไ่ ด้รับหรือไม่
2.3.5.4 การเปรียบเทียบกนั ได้ (Comparability) ข้อมูลที่แสดงในงบการเงนิ จะเปน็
ประโยชน์ในการเปรียบเทยี บกนั ได้ เม่ือข้อมูลในงบการเงินช่วยใหผ้ ูใ้ ช้งบการเงินทำการประมาณการ
ถงึ แนวโน้มของฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานในอนาคตของกิจการหรือระหวา่ งกิจการได้
2.3.6 องค์ประกอบของงบการเงิน เป็นการระบใุ ห้ทราบถึงประเภทของรายการและ
เหตกุ ารณ์ทางเศรษฐกจิ ที่แสดงไวใ้ นงบการเงนิ น้ันจำแนกได้ ดงั น้ี
16
2.3.6.1 องค์ประกอบของงบการเงินทเี่ กย่ี วข้องโดยตรงกบั การแสดงฐานะทาง
การเงิน ซึง่ ประกอบดว้ ยรายการประเภทสนิ ทรัพย์ หน้สี ิน และสว่ นของเจา้ ของ
1) สินทรัพย์ (Assets) หมายถึง ทรัพยากรที่อยู่ในความควบคุมของกิจการ
ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ในอดีต และมีผลทำให้กิจการคาดว่าจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจจาก
ทรัพยากรนั้นในอนาคต ตัวอย่างของสินทรัพย์ เช่น ลูกหนี้การค้า เครื่องจักร รถยนต์ อาคาร และ
ที่ดิน เป็นต้นประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตที่จะได้รับจากสินทรัพย์ หมายถึงการที่สินทรัพย์
รายการน้ันจะกอ่ ให้เกิดกระแสเงนิ สดรับในอนาคตแกก่ ิจการทง้ั โดยทางตรงหรอื โดยทางอ้อม เชน่ การ
ได้รับเงินสดจากลูกหนี้การค้า หรือเงินสดจ่ายค่าวัตถุดิบลดลงจากการมีเครื่องจักรใหม่ที่มี
ประสทิ ธภิ าพ
2) หนี้สิน (Liability) หมายถึง ภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการ ซึ่งเกิด
จากเหตุการณ์ในอดีต และมีผลทำให้กิจการคาดว่าจะต้องชำระภาระผูกพันนั้นในอนาคต เช่น ซ้ือ
สินค้าเป็นเงินเชื่อในอดีต ทำให้มีเจ้าหนี้การค้าผูกพันมาจนถึงปัจจุบัน จำนวนเงินเจ้าหน้ีการค้าที่
คงเหลอื แสดงถงึ ภาระผูกพันที่กจิ การต้องหาเงินมาจ่ายชำระให้ผ้เู ปน็ เจา้ หนี้ในอนาคต ภายในกำหนด
ระยะเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การชำระภาระผูกพันอาจทำได้หลายลักษณะ เช่น
การจ่ายเงินสดเพื่อชำระหนี้สิน การโอนสินทรัพย์อื่นที่ไม่ใช่เงินสดเพื่อชำระหนี้สิน และการให้การ
บริการเพือ่ เป็นการตอบแทนหน้ีสินทผ่ี ูกพนั ไว้
3) ส่วนของเจ้าของ (Owners 'Equity) หมายถึง ส่วนได้เสียคงเหลือของ
กิจการที่ได้จากยอดสินทรัพย์รวมหักด้วยหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่ ณ วันนั้น ๆ การรายงานส่ วนของ
เจ้าของในงบการเงินขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดตั้งองค์กรธุรกิจด้วย ซึ่งอาจจะเป็น กิจการเจ้าของคน
เดียวกิจการห้างหุ้นส่วน กิจการบริษัทจำกัด รูปแบบองค์กรที่แตกต่างกันจะมีรายละเอียดส่วนของ
เจ้าของแตกตา่ งกนั ไป
2.3.6.2 องคป์ ระกอบของงบการเงินทีเ่ กยี่ วข้องโดยตรงกับการวัดผลการ
ดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วยรายการประเภทรายได้และค่าใช้จ่าย ผลการดำเนินงานจะเป็นกำไรหรือ
ขาดทุนขน้ึ อยกู่ บั องค์ประกอบ 2 ส่วนน้ี โดยถ้ารายไดม้ ากกว่าค่าใช้จา่ ย ผลการดำเนินงานจะเปน็ กำไร
ผลกำไรจะส่งผลทำให้ส่วนของเจ้าของเพิม่ ขึน้ ในทางตรงกันข้าม ถ้ารายได้น้อยกว่าค่าใช้จา่ ย ผลการ
ดำเนินงานจะเปน็ ขาดทนุ และผลขาดทนุ จะทำใหส้ ว่ นของเจ้าของลดลง
17
1) รายได้ (Revenue) หมายถึง การเพิ่มขึ้นของประโยชน์เชิงเศรษฐกจิ ใน
รอบระยะเวลาบัญชีหนึ่ง ๆ โดยรายได้อาจจะอยู่ในรูปของสินทรพั ย์ที่เพิ่มขึน้ เช่น เงินสดที่ได้รับจาก
การขายสินค้า หรือให้บริการ ลูกหนี้การค้าที่ได้จากการขายสินค้า หรือให้บริการ เป็นต้น หรือการ
ลดลงของหนี้สิน เช่น การขายสินค้า หรือให้การบริการแก่ผู้ที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อเป็นการชำระหนี้สินที่มี
ตอ่ กัน
2) ค่าใช้จ่าย (Expenses) หมายถึง การลดลงของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ
ในรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่ง ๆ โดยค่าใช้จ่ายอาจจะอยู่ในรูปของหนี้สินที่เพิ่มขึ้น เช่น เงินสดที่ได้รับ
จากการขายสินค้า หรือให้บริการ ลูกหนี้การค้าที่ได้จากการขายสินค้า หรือให้บริการ เป็นต้น หรือ
การลดลงของหน้สี ิน เช่น การขายสินค้า หรือใหก้ ารบรกิ ารแกผ่ ู้ท่เี ปน็ เจา้ หน้เี พ่อื เป็นการชำระหน้ีสินท่ี
มีต่อกนั
2.3.7 การรับรรู้ ายการองค์ประกอบของงบการเงิน คำว่า การรับร้รู ายการ หมายถึง การ
นำรายการใด ๆ ทั้งในส่วนที่เป็นข้อความและจำนวนเงินไปรายงานเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงนิ ทั้งน้ี
การที่จะนำรายการใดไปรายงานในงบการเงินใดจะต้องเป็นไปตามความหมายของรายการสินทรัพย์
หน้สี นิ รายไดแ้ ละค่าใช้จา่ ยท่กี ลา่ วถึงข้างตน้
เงื่อนไขของรายการใด ๆ ที่จะรบั รเู้ ป็นสว่ นหนึง่ ของงบการเงินได้ มดี ังนี้
2.3.7.1 จะตอ้ งสามารถอา้ งอิงถึงความเปน็ ไปไดท้ ีแ่ น่นอนของการเกิดรายการ
เหล่านั้น แนวคิดของเงื่อนไขข้อนี้ เพื่อต้องการให้ประเมินถึงความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมท่ี
กจิ การดำเนนิ อยู่ ประกอบกับหลักฐานตา่ ง ๆ ที่มอี ยูใ่ นขณะที่จดั ทำงบการเงนิ ด้วย
2.3.7.2 จะต้องสามารถทำการประมาณมลู ค่าของรายการเหล่านั้นใหม้ ีความ
น่าเชื่อถือได้ และมีเหตุผลสนับสนุนที่มีความเหมาะสมในการรับรู้รายการต่าง ๆ ที่จะแสดงใน
งบการเงนิ
1) การรับร้รู ายการสินทรัพยใ์ นงบแสดงฐานะการเงิน จะรบั รไู้ ด้เม่ือมีความ
เป็นไปได้ค่อนข้างแน่ว่า กิจการจะได้รับประโยชนเ์ ชิงเศรษฐกิจในอนาคต และมีราคาทุนหรือมูลค่าที่
สามารถวัดได้อย่างนา่ เชือ่ ถือ
2) การรับรู้รายการหนี้สินในงบแสดงฐานะการเงิน จะรับรู้ได้เมื่อมีความ
เป็นไปได้ค่อนข้างแน่ว่า กิจการจะเสียประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือได้มาในอนาคต
18
เพื่อชำระภาระผูกพันที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยที่มูลค่าของภาระผูกพันนั้นต้องสามารถวัดได้อย่าง
นา่ เช่อื ถือ
3) การรบั รรู้ ายการรายได้ในงบกำไรขาดทนุ จะรับร้ไู ดเ้ ม่อื มคี วามเป็นไปได้
ค่อนข้างแน่ว่า กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจหรือประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของกิจการจะ
เพิ่มขึ้น หรือภาระผูกพนั ท่ีมีอยู่จะลดลง ทั้งนี้เพราะการรับรูร้ ายไดจ้ ะเกิดขึ้นพรอ้ มกับการเพิ่มขึน้ ของ
สนิ ทรพั ย์ หรือการลดลงของหนีส้ นิ โดยที่มลู คา่ ของรายได้ต้องสามารถวัดไดอ้ ย่างน่าเชื่อถอื
4) การรับรู้รายการค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน จะรับรู้ได้เมื่อมีความ
เปน็ ไปได้ค่อนข้างแน่ว่า ประโยชนเ์ ชงิ เศรษฐกิจของกิจการจะลดลง หรอื ภาระผูกพันที่มีอยู่จะเพ่ิมข้ึน
ทั้งนี้เพราะการรับรู้ค่าใช้จ่ายจะเกิดขึ้นพร้อมกับการลดลงของสินทรัพย์ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สิน
โดยทมี่ ลู คา่ ของค่าใชจ้ ่ายต้องสามารถวดั ไดอ้ ยา่ งน่าเช่อื ถือ
2.3.8 การวัดมูลคา่ ขององค์ประกอบของงบการเงิน การวดั มลู คา่ เปน็ การกำหนดจำนวน
เงินของรายการต่าง ๆ ทถ่ี กู รบั รูว้ า่ เป็นองคป์ ระกอบหนึ่งของงบการเงิน เกณฑ์ที่ใชใ้ นการวดั มูลค่าของ
รายการทเ่ี ป็นองค์ประกอบของงบการเงิน มดี ังน้ี
2.3.8.1 ราคาทุนเดิม เป็นการบันทกึ สินทรัพยด์ ว้ ยจำนวนเงินสด หรอื รายการ
เทียบเท่าเงินสดที่ได้จ่ายไป หรือด้วยมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่นำไปแลก และการบันทึกหนี้สิน
ด้วยจำนวนเงินที่ได้รับจากการก่อหน้ี หรือด้วยจำนวนเงินสด หรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่คาดว่า
จะต้องจา่ ยเพื่อชำระหนี้สนิ ของกจิ การ
2.3.8.2 ราคาทุนปัจจุบัน เปน็ การแสดงสินทรัพย์ดว้ ยจำนวนเงนิ สด หรือรายการ
เทยี บเท่าเงินสดทต่ี อ้ งจ่ายในขณะนั้น เพ่ือใหไ้ ด้มาซงึ่ สนิ ทรัพยช์ นดิ เดยี วกนั หรือเทา่ เทยี มกัน และการ
แสดงหนส้ี ินดว้ ยจำนวนเงินสด หรอื รายการเทยี บเทา่ เงินสดที่ต้องใช้ เพ่อื ชำระภาระผูกพันในขณะนั้น
โดยยงั ไม่คดิ ลดคา่ เงิน
2.3.8.3 มูลค่าที่จะไดร้ ับ (จ่าย) เปน็ การแสดงสินทรัพย์ด้วยจำนวนเงนิ สด หรือ
รายการเทียบเท่าเงินสดที่จะได้มาในขณะนั้น เมื่อขั้นตอนในการจำหน่ายสินทรัพย์เป็นไปโดยปกติ
และการแสดงหนีส้ ินดว้ ยมลู ค่าทจี่ ะตอ้ งจา่ ยคืน หรอื ด้วยจำนวนเงนิ สด หรอื รายการเทยี บเท่าเงินสดที่
คาดว่าจะต้องจ่าย เพื่อชำระหน้สี ินท่เี กดิ ขน้ึ จากการดำเนินงานตามปกติโดยยังไม่คดิ ลดค่าเงนิ
19
2.3.8.4 มลู คา่ ปจั จบุ นั เป็นการแสดงสนิ ทรัพยด์ ้วยมูลคา่ ปัจจุบันของกระแสเงินสด
รับสุทธิที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตจากสินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงานโดยปกติของกิจการ และการ
แสดงหนส้ี นิ ดว้ ยมลู ค่าปัจจบุ ันของกระแสเงินสดจ่ายสุทธทิ ี่คาดว่าจะต้องจ่ายเพื่อชำระหน้ีสินที่เกิดขึ้น
โดยปกติของกิจการ
2.3.9 แนวคิดเรอ่ื งทุนและการรกั ษาระดับทนุ แนวคิดเรอ่ื งทุน ท่ีกลา่ วไวใ้ นแมบ่ ทการบัญชี
มีแนวคิด คือ ทุนทางการเงินและทุนทางกายภาพ โดยทุนทางการเงินมีความหมายเดียวกับสินทรัพย์
สุทธิหรือส่วนของเจ้าของ ซึ่งได้จากการนำสินทรัพย์รวมหักด้วยหนี้สินรวม ส่วนอีกแนวคิดหนึ่ง คือ
ทุนทางกายภาพ เป็นระดับความสามารถในการดำเนินงาน หรือกำลังการผลิตที่มีเพื่อใช้ในการสร้าง
ผลผลิตได้จริง กิจการจะนำแนวคิดเรื่องทุนใดมาใช้ในการจัดทำงบการเงิน จะต้องคำนึงถึงความ
ต้องการของผู้ใช้งบการเงินเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะแต่ละแนวคิดส่งผลต่อการวัดผลกำไรในลักษณะที่
แตกต่างกนั
การรักษาระดับทุนทางการเงิน ตามแนวคิดน้ี ผลกำไรจะเกิดขึ้นเมื่อจำนวนเงินของ
สินทรัพย์สุทธิ ณ วันสิ้นรอบบัญชีมีจำนวนที่สูงกว่าสินทรัพย์สุทธิ ณ วันเริ่มต้นรอบบัญชี จำนวนเงิน
ส่วนต่างที่จะเป็นผลกำไรที่กล่าวถึงนั้น จะไม่รวมถึงเงินทุนที่ได้รับจากเจ้าของ หรือการแบ่งส่วนทุน
ให้กับเจ้าของในรอบเวลาเดียวกัน ดังนั้นผลกำไรจากการรักษาระดับทุนทางการเงินจะเกิดขึ้นเมื่อ
จำนวนเงินรายได้มากกว่าค่าใช้จา่ ย แม่บทการบัญชีให้กิจการเลอื กใช้เกณฑ์การวดั มูลค่าแบบใดแบบ
หนึ่ง เมอ่ื ใชแ้ นวคิดการรักษาระดับทุนทางการเงิน โดยใหพ้ ิจารณาถงึ ประเภททนุ ทางการเงินท่ีกิจการ
ต้องการรักษาระดบั ไว้
การรักษาระดับทุนทางกายภาพ ตามแนวคิดน้ี ผลกำไรจะเกิดขึ้นเมื่อจำนวนกำลัง
การผลิต หรือความสามารถในการดำเนินงานของกิจการ หรือทรัพยากรหรือเงินทุนที่จำเป็นในการ
บรรลุกำลังการผลิต เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีสูงกว่าเมื่อเริ่มรอบระยะเวลาบัญชี จำนวนเงินส่วน
ต่างที่จะเป็นผลกำไรที่กล่าวถึงนั้นจะไม่รวมถึงเงินทุนที่ได้รับจากเจ้าของ หรือการแบ่งส่วนทุนให้กับ
เจา้ ของในรอบเวลาเดียวกัน เมือ่ ใช้แนวคิดการรักษาระดบั ทุนทางกายภาพ แม่บทการบญั ชีกำหนดให้
ตอ้ งใชร้ าคาทนุ เปน็ เกณฑ์การวัดมูลคา่
2.3.10 รายการในงบการเงิน จากทีไ่ ด้กลา่ วถึงคำจำกัดความเกี่ยวกบั รายการองค์ประกอบ
งบการเงินตามแม่บทการบญั ชีไว้ข้างตน้ แลว้ น้ัน จะได้กล่าวถึงรายละเอยี ดเพิ่มเติมเก่ียวกับรายการใน
งบกำไรขาดทนุ และงบแสดงฐานะการเงิน ดงั น้ี
20
2.3.10.1 งบกำไรขาดทุน (Income Statement) เปน็ งบการเงนิ ทีแ่ สดงให้
ทราบว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจสำหรับรอบระยะเวลาหนึ่งที่ผ่านมาเป็นอย่างไร โดยรอบ
ระยะเวลาที่จัดทำอาจจะเป็นช่วง 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ตามความต้องการของผู้บริหาร แต่ใน
สว่ นของข้อบงั คบั ทางกฎหมายน้นั จะกำหนดใหต้ อ้ งจัดทำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งโดยส่วนประกอบของ
งบกำไรขาดทนุ มีดังน้ี
1) รายได้ (Revenues) เป็นกระแสการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ หรือการ
ลดลงของหนี้สนิ อนั เปน็ ผลมาจากผลตอบแทนท่ีไดร้ บั จากการจัดหาสินคา้ หรือให้บริการแก่ลูกค้าของ
กิจการอันเป็นรายได้ตามปกติของกิจการ รวมถึงรายได้อื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และจะมีผลทำให้
ส่วนของเจ้าของนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น แต่ไม่รวมถึงการลงทุนเพิ่มจากส่วนของเจ้าของ
สินทรพั ย์เพ่มิ ข้นึ จากการซื้อสนิ ทรพั ย์ หรอื การลดลงของหน้ีสินจากการชำระหนี้
รายได้ของแต่ละกจิ การจะแตกตา่ งกันไป ขึ้นอยูก่ บั ลกั ษณะของธุรกิจ
ตวั อย่างของรายได้ เชน่ รายไดค้ ่าซ่อมแซม รายไดค้ า่ ธรรมเนียม รายได้ค่าบริการ รายได้จากการขาย
สนิ คา้ รายได้จากการใหเ้ ช่า ดอกเบ้ยี รับ รายไดจ้ ากการทำบญั ชี และรายได้คา่ ตรวจสอบบัญชี เป็นตน้
2) ค่าใช้จ่าย (Expenses) หมายถึง กระแสการลดลงของสินทรัพย์หรือ
การเพ่ิมข้นึ ของหน้ีสิน อันเปน็ ผลมาจากการดำเนนิ งานตามปกติของกิจการ รวมถึงรายการขาดทุนอ่ืน
ๆ ท่อี าจจะเกิดข้ึนได้ ซึ่งไมถ่ อื เป็นค่าใช้จ่ายตามปกติของกิจการ และจะมผี ลทำให้สว่ นของเจ้าของนั้น
มีการเปลี่ยนแปลงลดลง แต่ไม่รวมถึงรายการถอนทุน การแบ่งปันส่วนทุน หรือการลดลงของ
สนิ ทรัพย์เนอ่ื งจากการขายสินทรพั ย์
ตัวอย่างของค่าใช้จ่าย เช่น ต้นทุนสินค้าที่ขาย เงินเดือน ค่าเช่า ค่า
เบี้ยประกันภัย ค่าขนส่งออก ค่าโฆษณา ค่ารับรอง ค่าภาษีเงินได้ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าและค่าธรรมเนียม
การใช้บริการอนิ เทอรเ์ นต็ เปน็ ต้น
3) กำไรหรือขาดทุนสุทธิ (Net Profit or Loss) หมายถึง ส่วนต่างของ
การนำรายได้และค่าใช้จ่ายมาเปรียบเทียบกัน ถ้ารายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย เรียกส่วนเกินของรายได้ที่
มากกว่าค่าใช้จ่ายว่า กำไรสุทธิ (Net Profit) ในทางตรงกันข้ามกัน ถ้าค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ เรียก
ส่วนเกินของคา่ ใช้จา่ ยท่มี ากกว่ารายไดว้ ่า ขาดทนุ สุทธิ (Net Loss)
21
2.3.10.2 งบแสดงฐานะการเงินหรอื งบดุล (Financial Position Statement
or Balance Sheet) เป็นงบการเงินที่แสดงให้ทราบว่า ณ วันใดวันหนึ่งที่จัดทำงบน้ี กิจการมี
สินทรัพย์หนีส้ นิ และส่วนของเจ้าของประเภทใดบา้ ง จำนวนเท่าใด ตามข้อบังคบั ทางกฎหมายกำหนด
ระยะเวลาในการจัดทำงบน้ีในลักษณะเช่นเดยี วกับการจัดทำงบกำไรขาดทุนคือ อย่างนอ้ ยปลี ะ 1 คร้ัง
โดยสว่ นประกอบของงบแสดงฐานะการเงิน หรืองบดลุ มดี ังน้ี
1) สินทรัพย์ (Assets) เป็นทรัพยากรที่กิจการมีความเป็นเจ้าของ และ
พึ่งจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจจากทรัพยากรเหล่านั้นในอนาคต โดยทรัพยากรที่มีอยู่นั้น เป็นผล
จากเหตุการณ์หรือรายการค้าของกิจการที่เกิดขึ้นในอดีต การรายงานสินทรัพย์ในงบแสดงฐานะ
การเงิน จะเรยี งลำดบั ดังน้ี
ก. สินทรพั ยห์ มนุ เวยี น (Current Assets) หมายถงึ สนิ ทรัพยท์ ่ีมี
สภาพเปน็ เงินสดหรือเปลยี่ นเป็นเงนิ สดได้ หรอื มีไวเ้ พ่ือใช้ในการดำเนินงานภายในระยะเวลาไม่เกิน 1
ปีหรือภายในรอบระยะเวลาการดำเนินงานโดยปกติ ซึ่งหมายถึง เริ่มตั้งแต่การจัดหาสินทรัพย์ต่าง ๆ
มาใช้ในการให้บรกิ าร หรือการผลิต หรือการขาย จนเรยี กเก็บเงนิ จากลูกคา้ ได้
ตัวอย่างรายการสินทรัพย์หมุนเวียน เช่น เงินสด เงินฝาก
ธนาคาร ตั๋วเงินรับ ลูกหนี้การค้า เงินลงทุนชั่วคราว สินค้าคงเหลือ วัสดุสิ้นเปลือง ค่าใช้จ่ายจ่าย
ล่วงหน้า และรายได้คา้ งรบั เป็นต้น
ข. สินทรัพยไ์ ม่หมนุ เวยี น (Non-Current Assets) หมายถึง
สินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานเกินกว่า 1 ปี หรือมีไว้เพื่อใช้ในการดำเนินงานเกินกว่า 1 ปี หรือเป็น
สินทรัพย์ที่มีวัตถุประสงค์ถือไว้เพื่อเป็นการลงทุนในระยะยาว เป็นได้ทั้งสินทรัพย์ที่มีตัวตนและ
สนิ ทรพั ย์ไมม่ ตี ัวตน
ตัวอย่างรายการสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เช่น ที่ดิน อาคาร
อปุ กรณส์ ำนักงาน เครอื่ งจักรรถยนต์ เครอื่ งตกแตง่ เคร่อื งใช้สำนักงาน เครือ่ งมือเคร่ืองใช้ เปน็ ต้น
2) หนสี้ นิ (Liabilities) เป็นภาระผูกพันในปัจจุบันทมี่ ผี ลทำให้กิจการ
ตอ้ งรบั ผดิ ชอบตามสทิ ธเิ รียกร้องที่เกดิ ข้ึน ซ่ึงจะทำให้กิจการสญู เสยี ทรัพยากรเชิงเศรษฐกิจเพ่ือจา่ ย
ชำระภาระผูกพันดังกลา่ ว โดยภาระผกู พนั นเ้ี ป็นผลมาจากเหตุการณ์หรือรายการค้าของกิจการที่
เกิดข้ึนในอดีต การรายงานหน้สี นิ ในงบแสดงฐานะการเงินจะเรยี งตามลำดับ ดังนี้
22
ก. หนี้สนิ หมุนเวยี น (Current Liabilities) เป็นภาระผกู พันทกี่ ิจการ
มกี ำหนดเวลาจะต้องจ่ายชำระหรือคนื เงินภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี เช่น เจ้าหน้กี ารค้า ตัว๋ เงินจ่าย
ค่าใชจ้ ่ายคา้ งจา่ ย และรายไดร้ ับล่วงหน้า เป็นต้น
ข. หนส้ี นิ ไม่หมนุ เวียน (Non-Current Liabilities) เปน็ ภาระผูกพัน
ที่กิจการมีกำหนดเวลาจะต้องชำระคืนเงินเกินกว่า 1 ปี เช่น หุ้นกู้ เงินกู้จำนอง และเงินกู้ระยะยาว
เป็นตน้
3) ส่วนของเจ้าของ (Owners Equity) เป็นมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ หาได้
จากสินทรัพย์หักด้วยหนี้สินรวม ส่วนของเจ้าของนี้จะมีชื่อเรียกส่วนประกอบที่แตกต่างกันไปตาม
รูปแบบของการจัดตง้ั องคก์ รธุรกจิ จำแนกไดด้ ังน้ี
ก. กจิ การเจ้าของคนเดยี ว (Sole Proprietorship) เปน็ ลักษณะของ
กิจการค้าที่มีบุคคลคนเดียวเป็นเจ้าของ ผู้เป็นเจ้าของกิจการมีสิทธิ์ในสินทรัพย์และกำไรจากการ
ดำเนินงานเต็มจำนวนในขณะเดียวกัน ต้องมีความรับผิดชอบในภาระหนี้สิน และผลขาดทุนจากการ
ดำเนินงานโดยไม่จำกัดจำนวนด้วย รูปแบบของธุรกิจในลักษณะนี้เป็นบุคคลธรรมดา จึงเสียภาษีเงิน
ได้ในอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนของเจ้าของของกิจการลักษณะนี้คือ ทุนที่เจ้าของนำมา
ลงทุนในครั้งแรก ทุนจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการลงทุนเพิ่มหรือมีกำไรจากการดำเนินงาน ทุนจะลดลงเมื่อมี
การถอนทนุ คนื ลดทุน นำสินทรัพย์ไปใชส้ ว่ นตวั หรอื มีผลขาดทนุ จากการดำเนินงาน
ข. กิจการหา้ งห้นุ สว่ น (Partnership) เปน็ ลักษณะของกิจการค้าที่มี
บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปตกลงร่วมทำกิจการค้าเหล่านั้น ส่วนของเจ้าของของกิจการห้างหุ้นส่วนนี้
เรียกว่าส่วนของผู้เป็นหุ้นส่วน (Partner's Equity) ซึ่งจะประกอบด้วยทุนของผู้เป็นหุ้นส่วนแต่ละคน
ทนุ ของผู้เป็นห้นุ ส่วนจะเพ่ิมข้ึนเมื่อมกี ารลงทุนเพ่ิม หรือเมื่อมีการแบง่ ผลกำไรท่ีไดจ้ ากการดำเนินงาน
ทุนของผเู้ ป็นหนุ้ ส่วนจะลดลงเม่ือมีการถอนทนุ คืน นำสนิ ทรพั ย์ไปใชส้ ว่ นตัว หรอื มกี ารแบ่งผลขาดทุน
ทเี่ กดิ ขนึ้ จากการดำเนินงาน
ค. บริษัทจำกัด (Corporation) เป็นลักษณะกิจการค้าที่จัดตั้งขึ้น
เป็นนิติบุคคลโดยมีการแบง่ ทุนออกเป็นหุ้นเพื่อจัดจำหน่าย ผู้ที่ลงทุนซื้อหุ้นเรียกว่า ส่วนของผู้ถือหุน้
ซึ่งประกอบด้วย ทุนเรือนหุ้น อาจมีทั้งหุ้นทุนสามัญและหุ้นทุนบุริมสทิ ธิ และอาจมีส่วนเกินมูลค่าหุ้น
ถ้าจำหน่ายหุ้นได้ในราคาที่สูงกว่ามูลค่าหุ้น ซึ่งจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น หรืออาจจะมีส่วนต่ำ
กว่ามูลค่าหุ้น ถ้าจำหน่ายหุ้นได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้น ซึ่งจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง
23
นอกจากนี้ส่วนของผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นได้เมื่อมีกำไรจากการดำเนินงาน และลดลงได้เมื่อมีผลขาดทุน
จากการดำเนนิ งาน
2.4 โปรแกรมสำเรจ็ รปู ทางบญั ชี
ในบทความนี้จะเน้นการจัดทำบัญชีด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป เนื่องจากในปัจจุบันกิจการส่วน
ใหญ่มีการใชโ้ ปรแกรมสำเร็จรูปในการทำบญั ชมี ากขึ้น และมบี รษิ ทั ผ้ผู ลิตโปรแกรมสำเร็จรูปได้ทำการ
คิดค้นและประยุกต์โปรแกรมให้สามารถตอบสนองความต้องการของกิจการอย่างต่อเนื่อง โดย
โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีมีหลากหลายขนาด ซึ่งมีราคาเริ่มต้นในการซื้อโปรแกรมตั้งแต่ราคา
หลักพันถงึ หลักล้าน โปรแกรมท่ีมีขนาดต่างกันกจ็ ะมลี ักษณะการทำงานท่ีแตกตา่ งกันไป แต่อย่างไรก็
ตามโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีทกุ โปรแกรมจะมีแนวคดิ ในการทำบัญชีเหมือนกนั ทั้งหมด ซึ่งจะ
มีการจดั ทำงานได้โดยอตั โนมัติ โดยจะตอ้ งมีขนั้ ตอนการทำงาน ดงั น้ี
1) การจดั เตรยี มฐานขอ้ มูลแตล่ ะระบบ
2) การบันทึกยอดยกมาของแตล่ ะระบบ
3) การบนั ทกึ เอกสารรายการค้า
4) การปิดบัญชีและการจัดทำรายงานทางการเงนิ
2.4.1 การเลอื กซอื้ โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบญั ชี
เมื่อกิจการมีความต้องการจัดหาโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีมาใช้งานในบริษัท
บริษทั มีแนวทางในการจดั หาโปรแกรมสำเรจ็ รูปได้ 2 วิธกี าร คือ
2.4.1.1 การพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปเองหรือการว่าจ้างบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมทำ
การผลิตโปรแกรม ซึ่งโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นจะมีต้นทุนในการพัฒนาที่ค่อนข้างสูง ใช้เวลาในการ
พฒั นาโปรแกรมเปน็ ระยะเวลาค่อนขา้ งมาก แตม่ ีความสอดคล้องกบั การทำงานของกิจการมาก
2.4.1.2 โปรแกรมสำเร็จประเภท Package เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีวางขายตาม
ท้องตลาดโดยทั่วไป กิจการสามารถเลือกซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปได้ตามความเหมาะสมกับขนาดของ
กิจการโดยโปรแกรมประเภทนี้มีค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อมาใช้งานไม่สูงนักเนื่องจาก บริษัท ผู้ผลิต
โปรแกรมทำการผลติ โปรแกรมโดยมองจากภาพรวมของธุรกจิ และผลิตโปรแกรมข้ึนมาเพื่อรองรับการ
ทำงานของธุรกิจประเภทนั้น ๆ และสามารถขายให้กับกิจการที่มีความต้องการใช้ได้จำนวนมาก เม่ือ
กิจการซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งานกิจการสามารถเริ่มใช้งานได้ทันที แต่ข้อด้อยของโปรแกรม
24
ประเภทน้ี คอื คุณสมบัติของโปรแกรมอาจจะไม่สามารถตอบสนองกบั ความต้องการในการใช้งานของ
กิจการได้อย่างครบถ้วนเมื่อกิจการตัดสินใจซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน กิจการต้องทำการ
เปรียบเทียบข้อดีและข้อด้อยของโปรแกรม ต้องเลือกโปรแกรมให้เหมาะสมกับขนาดของกิจการและ
สามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้ด้วย โดยวัตถุประสงค์หลักของการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
ทางการบัญชี คือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดทำบัญชี ช่วยให้การจัดทำบัญชีมีความรวดเร็ว
สามารถประหยัดกำลังคน และ กำลังทรัพย์ของกิจการด้วย นอกจากนั้นปัจจัยในการเลือกซ้ือ
โปรแกรมสำเรจ็ รูปที่กจิ การควรคำนึงถงึ มีหลายประการ เชน่
1) ราคาของโปรแกรมกิจการต้องคำนึงถึงงบประมาณในการจัดซื้อ
โปรแกรมโดยการซื้อโปรแกรมน้ันจะต้องสอดคล้องกับความต้องการในการใชง้ าน ไม่ซื้อโปรแกรมที่มี
ขนาดใหญแ่ ละราคาสูงเกินความจำเป็น
2) คุณสมบัติของโปรแกรมต้องสอดคล้องกับความต้องการของกิจการ
และสามารถรองรับการทำงานในอนาคตของกิจการเมื่อมีการเจริญเติบโต รวมถึงสามารถตอบสนอง
ต่อการเปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยที ีม่ กี ารเปลยี่ นแปลงตลอดเวลาด้วย
3) ความเร็วในการทำงานของโปรแกรม เนื่องจากการทำงานด้านบัญชีจะ
มีจำนวนขอ้ มูลเพม่ิ มากขึ้นตามระยะเวลาการทำงาน
4) วธิ ีการใชง้ านโปรแกรมกิจการควรเลือกโปรแกรมที่มีวธิ ีการใช้งานที่ง่าย
รปู แบบบการทำงานทไี่ ม่ซบั ซ้อนจนเกินไป
5) โปรแกรมสำเรจ็ รูปท่ีเลือกใช้ ควรมรี ะบบการทำงานครบทุกระบบ และ
ทุกระบบต้องสามารถเชื่อมโยงข้อมูลซึ่งกันและกันได้ โดยโปรแกรมที่กิจการเลือกใช้อาจจะมีระบบ
มากกว่าที่กิจการต้องการใช้ในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อกิจการมีการขยายตัว อาจมีความ
จำเป็นต้องใช้ระบบการทำงานอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนั้น หากการเลือกซื้อโปรแกรมไม่ได้วางแผนสำหรบั
การขยายตัว อาจต้องเปลี่ยนโปรแกรมสำเร็จรูปในอนาคตก็เปน็ ได้
6) โปรแกรมควรมกี ารพฒั นาอย่างต่อเนื่อง โดยต้องคำนงึ การเปล่ียนแปลง
ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง เช่น การเปล่ียนแปลงมาตรฐานรายงานทางการเงินของประเทศไทย ทมี่ ีการเปลี่ยนแปลง
จำนวนมากในปี 2553 น้ี
7) โปรแกรมสำเร็จรูปที่ดีควรมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลท่ี
รัดกมุ การทำงานบนระบบ LAN หรือ Stand alone หรอื การทำงานบนระบบ Web base
25
8) ความถูกต้องของหลักการบัญชี และรายงานทางการเงนิ ของโปรแกรม
9) คณุ สมบตั ขิ องผู้จำหนา่ ยโปรแกรม วา่ มีความนา่ เชอ่ื ถือมากน้อยเพียงใด
รวมถงึ การบริการหลงั การขายทีน่ ่าเชือ่ ถือ
นอกจากนั้นในการตัดสินใจเลือกซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี
บุคคลที่ควรมีสว่ นรว่ มในการตัดสนิ ใจซื้อไม่ใช่เพยี งแค่พนักงานฝา่ ยบญั ชีเท่านนั้ แตย่ งั ต้องให้บุคลากร
ในส่วนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานโปรแกรมได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกซื้อโปรแกรม
ด้วย และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้ผู้บริหารมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เนื่องจากเป็นผู้ต้องวางแผน
เกยี่ วกับการเงินของกจิ การด้วย
2.4.2 ลักษณะของโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบญั ชีทก่ี ำหนดโดยกรมสรรพากร
กรมสรรพากรตระหนักถงึ ความสำคัญของโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี เนื่องจาก
ใช้ในการจัดทำบัญชีและรายงานทางการเงินจึงออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษ
มูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) เรื่อง กำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เกี่ยวกับการจัดทำรายงาน
การลงรายการในรายงานการเก็บใบกำกับภาษีและเอกสารอื่นที่ใช้ประกอบการลงรายงาน โดย
กำหนดให้ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งประสงค์จะทำรายการในรายงานภาษีขาย
รายงานภาษีซื้อ รายงานสินค้า วัตถุดิบและรายงานมูลค่าของฐานภาษี โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่ง
ต้องใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามกฎหมายฉบับน้ี เพื่อต้องการให้
โปรแกรมสำเรจ็ รูปทางการบญั ชใี นประเทศไทยมคี ณุ สมบัตเิ ป็นไปตามมาตรฐานเดยี วกนั
การพิจารณาว่าผู้ประกอบการรายใดเข้าข่ายตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกย่ี วกับภาษีมูลคา่ เพ่ิม (ฉบบั ที่ 89) หรือไม่ มีเง่อื นไขดังตอ่ ไปน้ี
2.4.2.1 ผู้ประกอบการจะไม่เข้าข่ายตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) เมื่อผู้ประกอบการรายนั้นยังจัดทำรายงานทางบัญชีด้วยมือ ได้แก่
รายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ รายงานสินค้าและวัตถุดิบ และรายงานมูลค่าของฐานภาษี โดยไม่
ยอมใช้ระบบคอมพิวเตอร์ และการจัดทำรายงานดังกล่าวจะต้องเขียนด้วยหมึกหรือพิมพ์ดีดหรือ
ตีพิมพ์
2.4.2.2 ผู้ประกอบการจะเข้าข่ายตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) เมื่อผู้ประกอบการรายนั้นจัดทำ รายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ
รายงานสินค้าและวัตถุดิบ และรายงานมูลค่าของฐานภาษี โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรม
26
ทางการบัญชีที่ใช้จะต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามประกาศทันทีและการจัดทำรายงานข้างต้น ถ้าจัดทำ
ดว้ ยคอมพวิ เตอร์ก็ต้องจัดทำทุกรายงานจะจดั ทำรายงานบางตัวด้วยมือ บางตัวดว้ ยคอมพิวเตอร์ไม่ได้
ซ่ึงถือวา่ ไม่ตรงตามคุณสมบัตขิ องโปรแกรมทางการบญั ชีของกรมสรรพากร
ม า ต ร ฐ า น โ ป ร แ ก ร ม ส ำ เ ร ็ จ ร ู ป ท า ง ก า ร บ ั ญ ช ี ต า ม ป ร ะ ก า ศ อ ธ ิ บ ดี
กรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) สามารถแบ่งประเภทของโปรแกรมสำเร็จรูป
ทางการบญั ชีออกได้ 4 ชนิด คือ ชนดิ ก. ชนิด ข. ชนิด ค. และชนดิ ง. โดยสรปุ ไดว้ า่
1) โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี ชนิด ก. เป็นคุณสมบัติของโปรแกรม
สำเรจ็ รปู ทางการบัญชแี ยกประเภทและระบบรักษาความปลอดภัยเท่านั้น
2) โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี ชนิด ข. มีคุณสมบัติเหมือนโปรแกรม
ชนิด ก. และมีการใช้งานระบบงานเพิ่มเติมบางระบบด้วยคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบขาย ระบบพัสดุ
ฯลฯ ซึ่งการบันทึกบัญชีนั้นต้องสามารถโอนเข้าระบบบัญชีแยกประเภทได้โดยตรงและแก้ไขโดยไร้
รอ่ งรอยไมไ่ ด้
3) โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี ชนิด ค. มีคุณสมบัติเหมือนโปรแกรม
ชนิด ก. และมีการใช้ระบบงานทุกระบบด้วยคอมพิวเตอร์ซึ่งบันทึกเข้าระบบบัญชีแยกประเภทโดย
อตั โนมตั ิและแกไ้ ขโดยไรร้ อ่ งรอยได้
4) โปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี ชนิด ง. มีคุณสมบัติเหมือนโปรแกรม
ชนิด ค. โดยเพิ่มเติมในส่วนที่เป็นรหัสไว้กับกรมสรรพากร เพื่อให้สามารถผ่านระบบรักษาความ
ปลอดภัยได้
การที่กรมสรรพากรได้ทำการแบ่งโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชี
ออกเป็น 4 ชนิด นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสะดวกในการตรวจสอบบริษัท ซึ่งได้นำโปรแกรม
ดังกล่าวไปใช้เนื่องจากโปรแกรมแต่ละประเภทจะมีระบบงานแตกต่างกัน ดังนั้นการตรวจสอบจึง
จำเปน็ ต้องใช้ผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะด้านสำหรบั โปรแกรมบัญชี
27
คณุ สมบตั ิ ชนดิ ก ชนดิ ข ชนดิ ค ชนดิ ง
1. เปน็ โปรแกรมท่เี มื่อบันทึกขอ้ มลู และโอนเข้า
บัญชีแยกประเภทแล้วจะแก้ไขรายการน้ัน ๆ
โดยไรร้ ่องรอยไม่ไดถ้ ้าจะแก้ไขต้องบันทึก
รายการปรบั ปรงุ ตามวิธีการทางบญั ชี
2. เป็นโปรแกรมที่ชว่ ยไมใ่ ห้หลีกเล่ียงภาษี
3. เป็นโปรแกรมทมี่ รี ะบบรักษาความปลอดภัย
เพอ่ื ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลได้ - บางระบบ ทกุ ระบบ ทกุ ระบบ
4. เปน็ โปรแกรมท่ีการบนั ทึกรายการเป็นไป -
ตามระบบบัญชีคู่
5. - เปน็ โปรแกรมที่มีระบบซอฟต์แวรใ์ น - - -
ระบบงานที่ใชร้ ะบบคอมพวิ เตอร์
- ระบบซอฟต์แวร์ต้องโอนเขา้ ระบบบญั ชี
แยกประเภทไดโ้ ดยตรง
6. มกี ารแจ้งรหสั ผ่านต่อกรมสรรพากรเพื่อให้
สามารถผ่านระบบรักษาความปลอดภยั ไดโ้ ดย
ใหใ้ สซ่ องปดิ ผนึกซงึ่ กรมสรรพากรจะไม่เปิดเวน้
แตจ่ ะเปิดต่อหน้าผูป้ ระกอบการ
ตารางท่ี 2.2 ความแตกตา่ งของโปรแกรมสำเรจ็ รูปทางการบัญชี 4 ชนิด
2.5 ความรู้พนื้ ฐานเกีย่ วกับโปรแกรม Microsoft Excel
โปรแกรม Microsoft Excel เปน็ โปรแกรมในกลมุ่ ของ Microsoft Office และยงั มีโปรแกรม
อื่น ที่คุ้นเคยกัน ได้แก่ Microsoft Word ซึ่งเหมาะกับการจัดทำเอกสาร Microsoft PowerPoint
ซึ่งเหมาะกับการนำเสนองานโดยโปรแกรม Microsoft Excel เป็นโปรแกรมประเภทสเปรดชีต
(Spreadsheet) ที่มีความสามารถในการนำข้อมูลมาคำนวณ ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณตามสูตร
คณิตศาสตร์พื้นฐานหรือสูตรทางการเงินที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากโปรแกรม Microsoft
Excel มฟี ังกช์ ันตา่ ง ๆ ใหเ้ ลอื กใชม้ ากมาย และเปน็ โปรแกรมประเภทสเปรดชีตทมี่ ลี ักษณะเป็นตาราง
28
2 มิติ คือ มีแถวแนวตั้งเรียกว่า “คอลัมน์” (Column) และบรรทัดแนวนอนเรียกว่า “แถว” (Row)
จุดตัดระหว่างคอลัมนแ์ ละแถวเรียกว่า “เซลล์” (Cell) โดยแต่ละเซลลส์ ามารถคีย์ข้อมูลได้หลายชนดิ
ได้แก่ ตัวอักษร ตัวเลข สูตร และข้อมูลประเภทวันที่และเวลา โดยจากโครงสร้าง Worksheet ของ
Microsoft Excel ที่ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมาก ทำให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับการออก
เอกสารต่าง ๆ ของระบบบัญชีได้อีกมากมาย เช่น ใบขอซื้อ ใบสั่งซื้อ ใบเสร็จรับเงิน ทะเบียนคุม
ทรัพยส์ นิ และเอกสารอื่น ๆ
2.5.1 ความเปน็ มาของการประยกุ ต์ใช้โปรแกรมสเปรดชตี ในการจัดทำบัญชี
โปรแกรมสเปรดชีตเป็นโปรแกรมที่เหมาะกับการทำงานเกี่ยวกับตาราง การคำนวณ
อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง Call หรือระหว่าง Worksheet ได้ซึ่งเหมาะกับการนำมา
ประยุกต์ใช้กับงานบัญชีเนื่องจากการทำงานด้านบัญชีจะต้องมีการเชื่อมโยงขอ้ มูลระหว่างกันและกนั
เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลระหวา่ งสมดุ รายวันและบัญชีแยกประเภท เป็นต้น ดังนั้น นักบัญชีที่มีความรู้
ความสามารถเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมสเปรดชีตจึงประยุกต์ใช้โปรแกรมสเปรดชีตกับงานบัญชี
หลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำงบประมาณ การวิเคราะห์งบการเงินหรือการจัดทำบัญชี
โดยท่ัวไป ซ่ึงประกอบดว้ ยการบนั ทึกรายการในสมุดรายวันการจดั ทำบัญชีแยกประเภท การจัดทำงบ
ทดลอง และการจัดทำงบการเงนิ และงบกระแสเงินสด
นอกจากนั้น ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89)
เรื่องกำหนดแบบหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดทำรายงาน การลงรายการในรายงาน
การเกบ็ ใบกำกบั ภาษีและเอกสารหลกั ฐานอน่ื ท่ีใช้ประกอบการลงรายงานภาษซี ื้อ ตามมาตรา 87 และ
มาตร 87/3 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร โดยขอ้ กำหนดขอ้ 10 ความตอนหน่ึงวา่ “การลงรายการ
ในรายงานภาษขี ายรายงานภาษีซื้อ ใหเ้ ขียนด้วยหมึกหรือใช้วิธีพมิ พ์ หรอื จดั ทำดว้ ยระบบคอมพิวเตอร์
การพิมพ์ด้วยเคร่ืองพิมพ์ดีด การพิมพ์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเรจ็ รูปสเปรดชตี (Spreadsheet)
เช่น Lotus หรอื EXCEL หรือโปรแกรมสำเรจ็ รปู ที่มลี ักษณะทำนองเดียวกัน” ขอ้ กำหนดขา้ งต้นทำให้
การทำบัญชีด้วยโปรแกรมสเปรดชีตได้รับความนิยมมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย
ธุรกจิ จำนวนมากหนั มาใช้โปรแกรมสเปรดชีตในการจัดทำบญั ชี เพราะไม่ต้องสนิ้ เปลืองงบประมาณใน
การจัดหาโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีราคาสูงมาใช้งาน นอกจากนั้นการใช้โปรแกรมสเปรดชีตในการทำ
บัญชียังสามารถตอบสนองความต้องการของผูบ้ ริหารกิจการได้อย่างถูกต้องตรงความตอ้ งการอีกด้วย
29
และขอ้ ดอี ีกประการหนึ่งของการใช้โปรแกรมสเปรดชตี ในการทำบัญชี คือ กจิ การสามารถนำผลลพั ธ์ท่ี
ไดจ้ ากโปรแกรมมาใช้ในการวิเคราะหต์ ่อได้อกี
2.5.2 การใช้โปรแกรม Microsoft Excel
2.5.2.1 การอา้ งองิ ชอ่ งตา่ ง ๆ ใน Excel (Cell Reference) เบอื้ งต้น
ในตาราง Worksheet จะมีช่องอยู่หลายช่อง โดยแต่ละช่อง เรียกว่า Cell
จะมีรหัสอ้างอิงของตัวเอง (Cell Reference) โดยชื่ออ้างอิงเรียกจากตัวอักษรประจำคอลัมน์
(แนวต้ัง) และตัวเลขประจำแถว (แนวนอน) เชน่
1) A3 คือ คอลมั น์แรกแถวที่ 3
2) B3 คอื คอลัมน์ท่ี 2 แถวท่ี 3
3) C5 คือ คอลัมนท์ ่ี 3 แถวที่ 5
2.5.2.2 การอ้างองิ ข้อมลู ข้ามชีท
1) ใชก้ ารเขียนวา่ =ชือ่ ชีท!ชอ่ื cell เชน่ =Sheet2!C4
2) หรือกด = ท้ิงไว้ แลว้ ไปคลกิ cell ทตี่ อ้ งการ
2.5.2.3 การอา้ งอิงขอ้ มูลขา้ มไฟล์
1) ใช้การเขยี นวา่ =[ชอ่ื ไฟล]์ ช่อื ชที !ชอ่ื cell เช่น
=[Book2.xlsx]Sheet2!B11
2) หรอื กด = ทง้ิ ไวแ้ ลว้ ไปคลิก cell ท่ีต้องการ
2.5.3 การใส่ขอ้ มูลลงไปในชอ่ ง
2.5.3.1 ใหเ้ อาเมาสค์ ลิกไปท่ชี อ่ งนนั้ หรือกดปุม่ ลูกศรบน Keyboard เลอ่ื นไปยงั ชอ่ ง
ทต่ี ้องการ
2.5.3.2 พิมพส์ ่งิ ท่ตี ้องการลงไป ได้ทัง้ ตัวหนังสอื ตัวเลข หรือสูตร
1) เวลาพิมพต์ ัวหนังสือ โปรแกรมจะจดั ชิดซ้ายให้โดยอตั โนมตั ิ
2) เวลาพิมพต์ วั เลข โปรแกรมจะจัดชิดขวา
3) เวลาพิมพ์สตู ร ตอ้ งขน้ึ ตน้ ด้วยเครอ่ื งหมาย =
ซึ่งจะทำให้ Excel คำนวณค่าออกมาตามสูตรที่เราใส่ ดังนั้นค่าในช่องน้ี
อาจเปลีย่ นไปตาม Cell Reference ท่ีไปอ้างอิงในสูตร เช่น หากใสส่ ูตรว่า = B4 + B5 แล้วคา่ ในช่อง
B4 หรือ B5 เปลย่ี นไป ช่องน้ีก็จะเปลย่ี นไปด้วย
30
2.5.3.3 เม่ือพิมพ์เสรจ็ จากนน้ั ให้กด Enter (เสรจ็ แลว้ จะเลื่อนลงล่าง) หรอื กด Tab
(เลอ่ื นไปทางขวา) หรือกดปุม่ ลูกศรบน Keyboard (เลอ่ื นไปในทศิ เดียวกบั ลูกศร)
2.5.4 การ Copy ขอ้ มลู และสูตร
2.5.4.1 คลิกท่ีชอ่ งต้นทาง กด Ctrl + C เพอ่ื Copy
2.5.4.2 คลิกทช่ี อ่ งปลายทาง กด Ctrl + V เพื่อ Paste
1) หากต้นฉบับเป็นค่าที่เป็น Value (ไม่ใช่สูตร) ค่านั้นจะถูก Copy มา
โดยตรง
2) หากต้นฉบับเป็นสูตร รูปแบบความสัมพันธ์ของสูตรจะถูก Copy แต่ตัว
Cell Reference จะเลื่อนไปในทิศทางเดียวกับทิศทางระหว่าง Cell ต้นฉบับและ Cell เป้าหมาย
ปลายทาง
3) หาก Copy ค่าที่ไม่มีการอ้างอิงตำแหน่งช่อง หรือ ไม่ใช่สูตร (ไม่มี
เคร่ืองหมาย =) โปรแกรมจะ Copy ค่านนั้ มาโดยตรง เช่น เลข 20
4) หาก Copy สูตรที่มีการอ้างอิงตำแหน่งช่อง โปรแกรมจะเลื่อนตำแหน่ง
การอ้างอิงให้โดยอัตโนมัติ (C4 => C5 , D4 => D5) เพราะ Copy แล้ว Paste เลื่อนลงมา 1 ช่อง
(และหาก Copy แลว้ Paste ไปทางขวา โปรแกรมกจ็ ะเปลี่ยนจาก C => D, E, F … เป็นตน้ )
2.5.5 การ Lock Cell Reference ไมใ่ ห้เลอ่ื นเวลา Copy & Paste สตู ร
2.5.5.1 หากไมต่ อ้ งการให้เลื่อน ต้องกด F4 หลงั จากเลอื ก Cell Reference ในสูตร
เพอ่ื ใส่เคร่ืองหมาย $ ลงไป เพ่อื Lock การอา้ งองิ ไม่ใหเ้ ล่อื นไปไหน
2.5.5.2 สามารถกด F4 ได้หลายครง้ั โปรแกรมจะเปลยี่ นรูปแบบการ Lock
2.5.5.3 เครื่องหมาย $ อยู่หน้ารหัสหลัก (Column) โปรแกรมจะ Lock Column
ไม่ให้เล่อื นไปไหน
2.5.5.4 เคร่ืองหมาย $ อยู่หน้ารหสั แถว (Row) จะ Lock แถว ไม่ให้เลอื่ น เชน่
1) $A$1 = Fix ทงั้ Column และ Row
2) A$1 = ไม่ Fix Column แต่ Fix Row
3) $A1 = Fix แต่ Column ไม่ Fix Row
4) A1 = ไม่ Fix ทัง้ Column และ Row
31
2.5.6 การใส่ข้อมูลทเี ดยี วหลาย ๆ ชอ่ ง พร้อมกัน
2.5.6.1 ให้เลือกช่องหลาย ๆ ช่องพรอ้ มกัน (เลอื กเปน็ Range)
2.5.6.2 พมิ พ์ขอ้ ความ ตวั เลข หรือสตู รที่ต้องการ
2.5.6.3 กด Ctrl + Enter
2.5.7 การ Save หรอื บันทกึ ผลงาน
2.5.7.1 ใหก้ ดปมุ่ File จากน้ันเลือก Save (Ctrl + S) หรือ Save As
2.5.7.2 เลอื ก Folder ปลายทาง แลว้ ต้ังชอ่ื ไฟลต์ ามตอ้ งการ
2.5.7.3 กด Save
2.5.8 ฟงั กช์ นั ในโปรแกรม Microsoft Excel เบอ้ื งตน้
ฟังกช์ นั หนา้ ที่ คำสง่ั /ตัวอย่างการใชง้ าน
SUM
SUMIFS บวกเลขทุกตวั ที่อยใู่ น =SUM(number1,[number2],…])
Range ทีเ่ ลอื กไว้ =SUM(A1:A10)
MOD
ใชบ้ วกเลขทกุ ตวั ทีส่ อดคล้อง =SUMIFS(sum_range,
กบั เงอ่ื นไขทกี่ ำหนดตัวนท้ี ำ criteria_range1, criteria1,
หนา้ ทค่ี ล้ายกบั เคร่อื งมอื [criteria_range2, criteria2], …)
PivotTable =SUMIFS(A1:A20, B1:B20,
“>0”, C10:C30, “<10”)
แปลวา่ ให้บวกเลขในช่อง A1:A20
โดยท่ีในชอ่ ง B1:B20 ทีจ่ ับคู่กับ A
น้ันจะตอ้ ง >0 และ ในช่อง
C1:C20 ท่จี ับคู่กบั A ต้อง < 10
หาเศษเหลอื จากการหาร =MOD(number, divisor)
=MOD(10,7) ไดผ้ ลลัพธเ์ ป็นเลข 3
เพราะ เอา 10 หารดว้ ย 7 ได้ 1
เหลอื เศษ 3
=MOD(8,2) ได้ผลลพั ธ์เปน็ เลข 0
เพราะ เอา 8 หารด้วย 2 ได้ 4
เหลอื เศษ 0
ตารางที่ 2.3 ฟงั ก์ชันในโปรแกรม Microsoft Excel เบ้ืองต้น
32
ฟงั กช์ ัน หน้าที่ คำสัง่ /ตัวอยา่ งการใชง้ าน
RAND
COUNT สุ่มตวั เลขทีอ่ ยูร่ ะหว่าง 0 =RAND() จะออกมาเป็นเลขระหว่าง 0 ถึง 1
COUNTA
AVERAGE ถงึ 1 โดยทเ่ี ลขจะเปลีย่ นไปทุกครงั้ ทม่ี กี ารคำนวณใหม่
MAX / MIN
(กด F9 ได้)* ตวั น้ีไม่มี Argument
LARGE /
SMALL นบั จำนวนช่องท่ีเป็น =COUNT(value1, [value2], …)
YEAR
ตัวเลขใน Range ที่เลือก =COUNT(A1:A10) จะนบั ว่าในชอ่ ง A1 ถึง A10
ไว้ มชี ่องทเ่ี ป็นตัวเลขกี่ชอ่ ง
นับจำนวนช่องที่ไมว่ า่ ง =COUNTA(value1, [value2], …)
เปล่าใน Range ที่เลือกไว้ =COUNTA(A1:A10) จะนับว่าในชอ่ ง A1 ถึง
A10 มีชอ่ งทไี่ มว่ า่ งเปล่าก่ชี ่อง
หาค่าเฉลยี่ จากตัวเลขใน =AVERAGE(number1, [number2], …)
Range ที่เลอื กไว้ โดยท่ี =AVERAGE(A1:A10) จะหาค่าเฉลยี่ ของตวั เลข
จะไม่คิดค่าว่างเปล่า ในช่วง A1 ถึง A10 โดยทจี่ ะไมค่ ดิ ค่าวา่ งเปล่า
หาคา่ ทม่ี ากที่สุด / น้อย =MAX(number1, [number2], …)
ที่สดุ จากตัวเลขใน Range =MAX(A1:A10) หาคา่ มากท่ีสุดในช่วง A1 ถงึ
ท่เี ลอื กไว้ A10
=MIN(number1, [number2], …)
=MIN(A1:A10) หาคา่ น้อยท่ีสุดในชว่ ง A1 ถึง
A10
หาคา่ ที่มาก / นอ้ ย เป็น =LARGE(array, k)
ลำดบั ที่ xx จากตัวเลขใน =LARGE(A1:A10,3) แปลว่าหาค่าท่มี ากทีส่ ุด
Range ทีเ่ ลอื กไว้ แปลว่า เป็นลำดบั ท่ี 3 (ระบุที่ k) จากชว่ ง A1 ถงึ A10
ใช้แทน MAX/MIN ก็ได้
หาวา่ วนั ทที ่ีตอ้ งการเป็นปี =YEAR(serial_number)
ค.ศ. อะไร
ตารางที่ 2.3 ฟงั กช์ ันในโปรแกรม Microsoft Excel เบอ้ื งตน้ (ตอ่ )
33
ฟงั ก์ชนั หน้าท่ี คำสง่ั /ตวั อย่างการใช้งาน
MONTH หาว่าวันทีทต่ี ้องการเป็น =MONTH(serial_number)
เดอื นลำดบั ที่เทา่ ไหร่ (1-
12)
DATEVALUE แปลงคา่ จากวันท่ีใน =DATEVALUE(date_text)
รูปแบบ Text ใหเ้ ปน็
วนั ทจ่ี ริงๆ
DATE แปลงคา่ จากตวั เลข 3 ชุด =DATE(year,month,day)
ปี เดอื น วนั ให้กลายเป็น
วนั ที่
EDATE หาวา่ จากวนั ท่ีกำหนด =EDATE(start_date, months)
ถัดไป/ย้อนกลับ อกี xx
เดือนจะกลายเป็นวันที่
เท่าไหร่
NETWORKDAYS หาเวลาทำงาน ระหวา่ ง =NETWORKDAYS(start_date, end_date,
วนั สองวันทีก่ ำหนด โดย [holidays])
ไม่นับวันหยุด
DATEDIF ใชห้ าวา่ วนั สองวนั ท่ี =DATEDIF( start_date, end_date, interval)
กำหนด หา่ งกันก่ีวนั กี่
เดอื น หรือ กี่ปี
WEEKDAY หาว่าวันท่ที ีต่ ้องการเปน็
วันอะไรของสัปดาห์ ( จ
อ พ พฤ ศ ส อา) โดยจะ
ใหค้ ่ากลบั มาเปน็ ตัวเลข
ตารางท่ี 2.3 ฟงั ก์ชนั ในโปรแกรม Microsoft Excel เบ้ืองตน้ (ต่อ)
34
ฟงั ก์ชนั หนา้ ท่ี คำสง่ั /ตัวอย่างการใชง้ าน
IF ตรวจเงอื่ นไขทใ่ี สล่ งไป =IF(logical_test, [value_if_true],
ถ้าเง่ือนไขมีผลลัพธ์เปน็ [value_if_false])=IF(3>5,10+3,10-3) =
LEN จริง (TRUE) จะแสดงผล IF(FALSE,13,7)
LEFT / RIGHT การคำนวณแบบหนง่ึ ถ้า ทดสอบ 3>5 ไดเ้ ทจ็ จึงแสดงผลการคำนวณคือ
TRIM เง่อื นไขเปน็ เทจ็ (FALSE) 7
FIND จะแสดงผลอีกแบบหน่ึง
นบั จำนวนตวั อักษรของ =LEN(text)=LEN(“very มัน่ ใจ”) จะได้ 11
คำท่เี ลอื ก โดยนับทงั้
space สระ วรรณยุกต์
ด้วย
ตัดตวั หนงั สือทก่ี ำหนด =LEFT(text, [num_chars])
จากทาง ซา้ ย/ขวา ด้วย =LEFT(“สนกุ จงั ”,2) = “สน” =RIGHT(text,
ระยะจำนวนตัวอักษรที่ [num_chars])=RIGHT(“สนุกจงั ”,3) = “จัง”
กำหนด
ตัดช่องว่างท่ีอยหู่ นา้ และ =TRIM(text)=TRIM(“inw excel”) จะได้
หลงั คำออกทั้งหมด ออกมาเป็น
รวมถึงชอ่ งวา่ งตรงกลาง “inw excel” (เหลือชอ่ งว่างกลาง 1 space)
ท่เี กิน 1 เคาะด้วย
หาว่าคำทต่ี อ้ งการค้นหา =FIND(find_text, within_text,
อยเู่ ป็นตวั อักษรลำดับที่ [start_num])=FIND(“Excel”, “inwexcel is
เทา่ ไหร่ของคำทกี่ ำหนด Excellent”)
สนใจ ตัวพิพมเ์ ล็กพมิ พ์ =13
ใหญ่
ตารางท่ี 2.3 ฟังกช์ นั ในโปรแกรม Microsoft Excel เบอื้ งต้น (ต่อ)
35
ฟังก์ชนั หน้าท่ี คำสง่ั /ตวั อย่างการใช้งาน
SEARCH
หาวา่ คำท่ตี อ้ งการคน้ หา =SEARCH(find_text,within_text,[start_num
SUBSTITUTE
TEXT อยู่เป็นตัวอักษรลำดบั ท่ี ])=SEARCH(“Excel”, “inwexcel is
VLOOKUP
เท่าไหรข่ องคำที่ Excellent”)
MATCH
กำหนด ไมส่ นใจ =4
ตวั พิมมเ์ ล็กพมิ พ์
ใหญ่ และใช้
เครอื่ งหมาย Wildcard
ได้
แทนท่คี ำท่ีต้องการด้วย =SUBSTITUTE(text, old_text, new_text,
อีกคำหน่งึ ใชเ้ มอ่ื รู้คำที่ [instance_num])
จะถกู แทนท่ี =SUBSTITUTE(“ผม like มาก”,“like”,
“ชอบ”)
= “ผม ชอบ มาก”
เปล่ยี น Number =TEXT(value, format_text)
Format ของตวั เลขด้วย ในช่อง format_text ใหใ้ ส่รปู แบบคล้ายการทำ
การใชส้ ตู ร Custom Format
=TEXT(1234.5678,”0.00″)= “1234.57”
ค้นหาคำทต่ี ้องการใน =VLOOKUP(lookup_value, table_array,
แนวด่งิ ของคอลัมนแ์ รก col_index_num, [range_lookup])
ในตารางอ้างอิง เมอื่ เจอ
แลว้ จากนั้นมองไป
ทางขวาเอาข้อมูลใน
คอลมั น์ที่กำหนดกลบั มา
คน้ หาคำท่ีต้องการวา่ อยู่ =MATCH(lookup_value, lookup_array,
ลำดบั ท่เี ทา่ ไหรข่ องช่วง [match_type])
ท่กี ำหนด
ตารางที่ 2.3 ฟงั กช์ ันในโปรแกรม Microsoft Excel เบอ้ื งต้น (ต่อ)
36
ฟังก์ชัน หนา้ ท่ี คำสงั่ /ตวั อยา่ งการใชง้ าน
INDEX
ส่ง Cell Reference =INDEX(array, row_num,
INDIRECT
OFFSET หรือค่าใน Cell [column_num])=INDEX(reference,
CHOOSE Reference ตามพิกัด row_num, [column_num], [area_num])
PV
FV แถว & คอลมั น์ทีก่ ำหนด
NPV
จากตารางอา้ งองิ ท่ี
กำหนด
เปลย่ี น Text เป็น Cell =INDIRECT(ref_text, [a1])
Reference
เลอื่ นตำแหนง่ จากชอ่ งที่ =OFFSET(reference, rows, cols, [height],
เราอา้ งอิงไปในทิศทาง [width])
ตา่ ง ๆ แล้วสง่ Cell
Reference
เลือกว่าจะใช้การ =CHOOSE(index_num, value1, [value2],
คำนวณชดุ ไหน เช่น ชุด …)=CHOOSE(3,A1+2,A1*3,A1/A2)เลือกเอา
ที่ 1, 2, 3, 4 สูตรชดุ ที่ 3 มาใช้ น่ันคือ=A1/A2
หาค่า Present Value =PV(rate, nper, pmt, [fv], [type])
(หา มลู คา่ ปจั จบุ ัน จาก
Cash flow ในอนาคต)
หาค่า Future Value =FV(rate,nper,pmt,[pv],[type])
(หา มูลคา่ อนาคต จาก
Cash flow ในปจั จบุ นั )
หาคา่ Net =NPV(rate,value1,[value2],…)คา่ Cash flow
Present Value ซึง่ ก็ ท่ใี สไ่ ปต้องเริม่ ท่ี Period 1 ไมใ่ ช่ Period 0
คือ
การคิดมลู คา่ ลงทนุ สทุ ธิ
จาก Cashflow ใน
อนาคตท้งั หมด มารวม
ไว้ ณ เวลาปจั จบุ นั
ตารางท่ี 2.3 ฟงั ก์ชนั ในโปรแกรม Microsoft Excel เบ้อื งต้น (ตอ่ )
37
ฟงั กช์ ัน หนา้ ที่ คำสั่ง/ตวั อยา่ งการใช้งาน
IRR หาค่า Internal Rate of =IRR(values, [guess])
Return ซงึ่ กค็ ือค่า
ดอกเบย้ี หรือ Discount
Rate ที่ทำให้ NPV =0
พอดี
PMT หาวา่ ตอ้ งผ่อนเงนิ กู้ =PMT(rate, nper, pv, [fv], [type]
งวดละเทา่ ๆ กนั งวดละ
ก่ีบาท จงึ จะหมดพอดีใน
ระยะเวลาท่ีกำหนด
• ISERROR • ISERROR = เชค็ ว่า =ISERROR(value)=ISERROR(1000/0)=TRUE
• ISBLANK Error หรือไม?่
• ISNUMBER • ISBLANK = เป็นชอ่ งว่าง
เปล่า หรอื ไม่?
• ISNUMBER = เป็น
ตัวเลข หรือไม่?
ตารางท่ี 2.3 ฟังก์ชนั ในโปรแกรม Microsoft Excel เบ้อื งต้น (ตอ่ )
2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
อาชนเทพ อัครสุวรรณ์ (2558) ได้ทำการศึกษาเรื่อง การศึกษาองค์ประกอบที่ส่งผลต่อ
ความสำเรจ็ ของระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการบญั ชีในองค์กรภาครัฐของนักศึกษาระดับปริญญา
โท มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ผลการศึกษาพบว่า องค์ประกอบที่ส่งผลต่อความสำเร็จของระบบ
เทคโนโลยีสารสนเทศทางการบัญชีในองค์กรภาครัฐผู้ศึกษาใช้แบบวัดองค์ประกอบจำนวน
3 องค์ประกอบ จำนวน 18 ตัวแปรจากผลการวิเคราะห์องคป์ ระกอบพบว่าได้องค์ประกอบท่ีส่งผลต่อ
ความสำเร็จของระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการบัญชีในองค์กรภาครัฐจำนวน 2 องค์ประกอบโดย
วิธีวเิ คราะห์ตัวประกอบหลกั (Principal Component Analysis) และกำหนดให้ แต่องค์ประกอบไม่
มีความสัมพันธ์กันด้วยวิธี Varimax ที่จำนวนรอบในการสกัดองค์ประกอบ 25 รอบแสดงค่าไอเกน
(Eigenvalue) ที่มีค่าสูงกว่าสามารถอธิบายตัวแปรได้ร้อยละ 74.731 ค่าสถิติ Bartlett's test of
38
Sphericity มีค่า 4127.157 (Sig <.000) แสดงว่าเมตริกซ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรแตกต่างกันจาก
เมตริกซ์เอกลัษณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติค่าดัชนี Kaiser-Meyer-Olkin Measure of Sampling
Adequacy (KMO) ความสมั พันธ์กนั เหมาะสมทจ่ี ะนำไปวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบทำการคัดเลือกตัวแปร
ที่มีน้ำหนักองคป์ ระกอบทเ่ี หมาะสมผศู้ ึกษาพิจารณาตัวแปรท่มี นี ำ้ หนักองค์ประกอบต้ังแต่ 0.60 ข้ึนไป
ค่าไอเกน (Eigenvalue) มากกว่า 1.00 และพิจารณาถึงจำนวนตัวแปรที่ร่วมกันชี้วัดค่าความ
แปรปรวนของแต่ละองค์ประกอบตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไปพบว่าองค์ประกอบที่มีค่าไอเกน (Eigenvalue)
มากที่สุดคือด้านคุณภาพของสารสนเทศและด้านคุณภาพของระบบมีความสำคัญเป็นอันดับแรก
เนื่องจากมีค่าไอเกน (Eigenvalue) 11.732 อีกองค์ประกอบที่ได้คือองค์ประกอบด้านคุณภาพการ
บริการมีค่าไอเกน (Eigenvalue) 1.666 โดยมีรายละเอียดขององค์ประกอบ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1
ดา้ นคุณภาพระบบและสารสนเทศมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบ (Factor loading) อยูร่ ะหว่าง 0.673 ถึง
0.806 มีค่าไอเกน (Eigenvalue) 11.732 ร้อยละความแปรปรวนร่วม 45.091 โดยองค์ประกอบนี้จะ
ประกอบดว้ ยตัวแปรต่างๆดังน้ี 1) ระบบถูกออกแบบมาใหใ้ ช้งานได้สะดวกและรวดเรว็ 2) สารสนเทศ
ท่ไี ด้รับมีความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูล 3) สารสนเทศท่ีได้รับสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ 4)
ระบบตอบสนองความต้องการของผใู้ ช้ 5) ระบบสามารถทำงานได้อยา่ งน่าเช่ือถือ 6) สารสนเทศอยใู่ น
รูปแบบที่ง่ายต่อการเข้าใจและการอ่าน 7) สารสนเทศที่ได้รับตรงกับความต้องการใช้งาน 8)
สารสนเทศที่ได้รับจากระบบมีความทันสมัยหรือเป็นปัจจุบันเสมอ 9) สารสนเทศที่ได้รับมีความ
ถูกต้องเชื่อถือได้ 10) ระบบทำให้การใช้ทรัพยากรต่างๆคุ้มค่าและประหยัด 11) ระบบสามารถ
เปลยี่ นแปลงไดต้ ามเทคโนโลยีทเ่ี ปลีย่ นไป 12) ง่ายต่อการบำรุงรกั ษาสามารถปรับเปลย่ี นได้ตามความ
เหมาะสมและ 13) ระบบมกี ารรักษาความปลอดภัยสูง องคป์ ระกอบที่ 2 ดา้ นคุณภาพการบริการมีค่า
น้ำหนักองค์ประกอบ (Factor loading) อยู่ระหว่าง 0.8.30 ถึง 0.894 มีค่าไอเกน (Eigenvalue)
1.666 ร้อยละความแปรปรวนร่วม 29.340 โดยองค์ประกอบน้ีจะประกอบด้วยตัวแปรต่าง ๆ ดังนี้ 1)
เจ้าหน้าที่มีความรู้ความสามารถในการให้บริการเป็นอย่างดี 2) เจ้าหน้าที่มีความพร้อมและเต็มใจ
ให้บริการอย่างทันท่วงที่ 3) เจ้าหน้าที่ให้บริการด้วยความจริงใจและเป็นมิตร 4) เจ้าหน้าที่ให้บริการ
ด้วยความถูกต้องเหมาะสมและสม่ำเสมอและ 5) เจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาในการใช้
งานระบบ