วจิ ัยในชน้ั เรยี น
ปกี ารศึกษา 2563
ฒ ฤ์ ณ ์
ณ ์ห บ ห TAI
บบ ณ
(Team Assisted Individualization)
นางสาวนัซริน แวซู
ตาแหนง่ ครู
บ
15
ก
การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 วิชาคณติ ศาสตร์
เรอื่ ง หลักการบวกและหลักการคณู ด้วยวิธีการจัดการเรียนรแู้ บบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI
(Team Assisted Individualization)
ผู้วจิ ัย
นางสาวนซั รนิ แวซู
ตำแหน่ง ครู
กลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์
โรงเรยี นกาบังพิทยาคม
สังกัดสำนกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 15
ก
กิตตกิ รรมประกาศ
ผลงานวจิ ยั เรอ่ื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 วิชาคณิตศาสตร์
เรื่อง หลักการบวกและหลักการคูณ ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI (Team Assisted
Individualization) ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเกิดจากการสนับสนุนเกื้อกูลจากบุคคลหลายท่าน ผู้วิจัย
ขอขอบคณุ ณ โอกาสน้ี
ขอขอบคุณท่านเจ้าของเอกสาร บทความ ทฤษฎีและงานวิจัยต่าง ๆ และกลุ่มตัวอย่างการวิจัยที่ให้
ขอ้ มูลสำคัญสำหรับการวจิ ัยได้แก่ นกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกาบังพิทยาคม จำนวน 27 คน ตลอดจน
ขอขอบคณุ ทุกท่านทมี่ สี ว่ นเก่ียวข้องชว่ ยเหลอื และเปน็ กำลังใจดว้ ยดตี ลอดมา
นางสาวนซั ริน แวซู
ตำแหนง่ ครู
สารบญั ข
เรอ่ื ง หน้า
กติ กิ รรมประกาศ
รายงานผลการวจิ ยั 1
1
ชอ่ื งานวิจัย 2
ความเปน็ มาของปัญหา 2
วัตถุประสงค์ 2
สมมตฐิ าน 2
ขอบเขตการศกึ ษา 3
งานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง 4
วิธดี ำเนนิ การวิจยั 6
ผลการวิเคราะห์ข้อมลู 6
สรุปผลการศึกษาวจิ ัย 7
อภิปรายผลการศกึ ษา 8
ข้อเสนอแนะ 9
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
1
1. ช่ืองานวจิ ัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง
หลักการบวกและหลักการคูณ ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI (Team Assisted
Individualization)
2. ความเป็นมาของปญั หา
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนต่ำในเนื้อหา เรื่อง หลักการบวกและหลักการคูณ โดยพบว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่นักเรียนแต่ละคนมี
ความหลากหลาย และมีนักเรียนบางคนขาดทักษะการคิดคำนวณ ส่วนนักเรียนที่เรียนดีก็ยังไม่รอบคอบในการ
ทำงาน การพูดคุยแลกเปลี่ยน และแสดงความคิดเห็นรวมถึงการช่วยเหลือในการแก้ปัญหาเล็กน้อย อีกทั้งยังคิด
คำนวณคำตอบจากโจทย์ทีก่ ำหนดให้ไม่ถูกตอ้ ง โดยเฉพาะโจทย์ที่มคี วามซับซ้อน นักเรียนจะตีความโจทย์และคิด
คำตอบไม่ออก ส่งผลให้นักเรียนเบื่อหน่าย มีเจตคติไม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ด้วย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี
วิธีการจัดการเรียนรู้ที่สามารถให้นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาโจทย์ จนมีทักษะและ
ความสามารถนำความรู้ไปเชอื่ มโยงกบั การเรียนรู้ใหม่ๆ อนั จะส่งผลใหก้ ารเรยี นรเู้ กิดประสิทธิภาพสูงสุดได้
จากที่กล่าวมาข้างต้นพบว่า มีวิธีการสอนหนึ่งที่น่าจะนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาในการเรียนการสอนวิชา
คณิตศาสตร์ได้ เพราะวิธีการสอนแบบนี้สนองความแตกต่างระหว่างบุคคล และช่วยส่งเสริมความร่วมมือในการ
ทำงานกลุ่ม วิธีการสอนที่กล่าวถึงก็คือ การจัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่ มร่วมมือแบบ TAI (Team Assisted
Individualization) ซ่งึ เป็นการจดั การเรียนรู้ท่เี น้นผูเ้ รยี นทำงานเป็นกลุ่ม ซึง่ ภายในกล่มุ จะประกอบไปด้วยผู้เรียน
ที่มี ความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อน หรือเป็นวิธีการสอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ
(Cooperative Learning) และการสอนรายบคุ คล (Individualization Instruction) เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรยี นได้
ลงมือทำกิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของตน และส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการ
แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น
และมีทักษะการทำงานเป็นทีม รวมไปถึงผู้เรียนมี ความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายมากยิ่งขึ้น (สุรพงษ์
ทองเวียง. 2551)
ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการจัดการเรียนรู้แบบ TAI เพราะเห็นว่าเป็นเทคนิคการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และเป็นกิจกรรมที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ ส่งเสริม
การร่วมมือกันทำงานเป็นทีม นักเรียนได้ช่วยเหลือกันขณะทำงาน มีการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งจะสามารถพัฒนา
นักเรียนใหม้ ีความรู้ความ เข้าใจในคณิตศาสตร์พ้ืนฐาน สามารถนำความรู้ไปประยุกตใ์ ช้ในชีวิตประจำวัน มีทักษะ
กระบวนการทางคณติ ศาสตรท์ ่จี ำเปน็ ดงั นั้นผูว้ ิจยั จงึ สนใจทีจ่ ะพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์เร่ือง
หลักการบวกและหลักการคูณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TAI
(Team Assisted Individualization) ให้สูงขึ้นและเป็นแนวทางในการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน
คณิตศาสตร์ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพในโอกาสต่อไป
2
3. วัตถุประสงค์
เพอ่ื พัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง หลักการบวก
และหลกั การคูณ ดว้ ยวิธีการจดั การเรียนร้แู บบกลมุ่ รว่ มมือเทคนคิ TAI (Team Assisted Individualization)
4. สมมติฐาน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง หลักการบวกและหลักการคูณ ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ
กล่มุ ร่วมมือเทคนคิ TAI หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี น
5. ขอบเขตการศึกษา
ประชากร คือ นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรียนกาบังพทิ ยาคม อ.กาบัง จ.ยะลา
กล่มุ ตวั อย่าง คือ นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4/1 จำนวน 27 คน โรงเรยี นกาบังพิทยาคม อ.กาบงั จ.ยะลา
ระยะเวลา เดือนพฤศจิกายน – เดือนธันวาคม 2563 ช่วงจัดกิจกรรมใช้เวลา 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วนั
วันละ 1 ชว่ั โมง รวม 6 ช่ัวโมง
ตัวแปรตน้ คือ วิธีการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมือเทคนคิ TAI (Team Assisted Individualization)
ตัวแปรตาม คอื ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น เรื่อง หลกั การบวกและหลักการคูณ
6. งานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วข้อง
ธเรศ คำหิราชและชนกกานต์ (2561) ได้ทำวจิ ยั เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรอื่ ง อัตราส่วนและ
รอ้ ยละ ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบรว่ มมือดว้ ยเทคนิค TAI ผลการวิจัย พบว่า
(1) แผนการจัดการเรียนรูแ้ บบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI เรื่องอัตราส่วนและร้อยละ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี
2 มีประสิทธิภาพ 82.54/81.70 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI สูงกว่าก่อนการใช้
กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI อย่างมีนัยยะสำคัญที่ระดับ 0.05 (3) ความพึงพอใจต่อการเรียน
ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบรว่ มมอื ด้วยเทคนิค TAI เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2
มคี า่ เฉลยี่ เทา่ กบั 4.64 อยใู่ นระดบั มากท่สี ดุ
ภัทรลดา ประมาณพล (2560) ได้ทำวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรม เรื่อง จำนวนนับ และการบวก
การลบ การคูณ การหาร สำหรับนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิค TAI ผลวิจัยพบว่า (1) ประสิทธิภาพ
ของชดุ กิจกรรม เร่ือง จำนวนนบั และการบวก การลบ การคูณ การหาร สำหรับนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6 โดย
ใช้เทคนิค TAI ที่สร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 78.27/82.72 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นักเรยี นโดนใชช้ ุดกจิ กรรม เรือ่ ง จำนวนนบั และการบวก การลบ การคูณ การหาร โดยใชเ้ ทคนิค TAI หลังเรียนสงู
กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) ความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรม เรื่อง จำนวนนับ และการ
บวก การลบ การคณู การหาร โดยใช้เทคนิค TAI มคี า่ เฉล่ยี 4.46 ซง่ึ มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
3
7. วธิ ีดำเนนิ การวิจัย
7.1 ศึกษาสภาพปัญหาโดยทั่วไปของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน เรื่อง หลักการบวกและหลักการคูณ ต่ำ จากนั้นศึกษาหลักสูตร คำอธิบายรายวิชา มาตรฐานการเรียนรู้และ
ตวั ช้ีวัด จดั ทำแผนการเรยี นรู้ วิชาคณติ ศาสตร์ เร่ืองหลกั ารบวกและหลักการคูณ
7.2 จัดทำใบความรู้ แบบฝึกทกั ษะและแบบทดสอบย่อย ของหน่วยที่ 3 หลักการนับเบื้องต้น เรื่อง หลักการบวก
และหลกั การคูณ
7.3 ดำเนนิ การสอนตามลำดับ ดงั นี้
- ครแู จ้งจดุ ประสงค์การเรียนรู้
- นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
- จดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมอื ดว้ ยเทคนคิ TAI (Team Assisted Individualization)
- ครแู ละนักเรียนสรปุ รว่ มกันตามหัวขอ้ ที่นักเรยี นไดร้ บั มอบหมาย
- ทดสอบหลงั การเรียน
7.4 วิเคราะห์ผลการประเมนิ ดว้ ยค่าสถติ ิ ดงั น้ี
- ค่าเฉลี่ยและคา่ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนสอบของนักเรียน
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต x โดยใช้สูตรดังนี้
x = x
n
เมอื่ x แทน คะแนนเฉลย่ี
x แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด
n แทน จำนวนกลุม่ ตัวอย่าง
ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใชส้ ตู รดงั นี้
S.D. = n
(xi − x)
i =1
n −1
เม่อื S.D. แทน ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
x i แทน คะแนนของผเู้ รียนแตล่ ะคน
x แทน คะแนนเฉลย่ี
n แทน จำนวนกลุม่ ตวั อยา่ ง
4
- ร้อยละคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ของคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน โดยใชส้ ูตรดังน้ี
S = y − x 100
F−x
เม่อื S แทน รอ้ ยละคะแนนพัฒนาการสัมพทั ธ์
F แทน คะแนนเต็มของการวดั ทั้งครงั้ แรกและครงั้ หลงั
x แทน คะแนนวดั ครง้ั แรก
y แทน คะแนนวัดครงั้ หลัง
ความหมายคะแนนตามเกณฑร์ ะดบั พัฒนาการ แบง่ เป็น 4 ระดบั ดังน้ี
คะแนนพฒั นาการสมั พัทธ์ ระดบั พัฒนาการ
76 – 100 พัฒนาการระดบั สูงมาก
51 – 75 พัฒนาการระดบั สูง
26 – 50 พฒั นาการระดับกลาง
0 – 25 พัฒนาการระดับตน้
7.5 สรปุ ผลการวจิ ัย
8. ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
จากการศึกษาวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ี่ 4 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการบวกและหลักการคณู ด้วยวิธีการจดั การเรียนรูแ้ บบกลุ่มร่วมมือ
เทคนคิ TAI (Team Assisted Individualization) โดยสามารถวเิ คราะห์ผลไดด้ งั น้ี
ตารางที่ 1 แสดงผลการวิเคราะห์ค่าสถิติเชิงบรรยายของคะแนนสอบก่อนและหลังการเรียนของนักเรียนชั้น
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 วชิ าคณิตศาสตร์ เรอ่ื ง หลกั การบวกและหลกั การคูณ ทีไ่ ดร้ ับการจัดการเรียนรู้ด้วยวธิ ีการจัดการ
เรียนรแู้ บบกลมุ่ ร่วมมอื เทคนคิ TAI (Team Assisted Individualization)
คะแนนสอบ จำนวน Min Max Range Mean S.D.
กอ่ นเรยี น 27 1 6 5 2.74 1.53
หลงั เรียน 27 5 9 4 7.07 1.49
จากตาราง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม
ร่วมมือเทคนิค TAI (Team Assisted Individualization) มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเรื่องหลักการบวกและ
หลักการคูณ เท่ากับ 2.74 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.53 และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเรื่อง
หลักการบวกและหลักการคณู เทา่ กับ 7.07 คะแนน และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.49
5
ตารางท่ี 2 แสดงคะแนนพัฒนาการสมั พัทธ์ของคะแนนสอบก่อนเรยี นและหลังเรียนของนักเรยี น เร่ือง หลักการบวก
และหลกั การคูณ ดว้ ยวธิ ีการจัดการเรียนรู้แบบกล่มุ รว่ มมือเทคนิค TAI
คนท่ี คะแนนก่อนเรยี น คะแนนหลังเรียน คะแนนความ คะแนนพฒั นาการ
(10) (10) แตกต่าง สมั พัทธ์
9 5 83.33
14 5 4 44.44
8 5 71.43
21 9 5 83.33
7 5 62.50
33 5 3 37.50
5 4 44.44
44 9 4 80.00
8 6 75.00
52 8 5 71.43
5 3 37.50
62 7 3 50.00
5 4 44.44
71 6 5 55.56
7 4 57.14
85 9 3 75.00
8 4 66.67
92 8 6 75.00
9 3 75.00
10 3 7 5 62.50
7 5 62.50
11 2 9 4 80.00
8 6 75.00
12 4
13 1
14 1
15 3
16 6
17 4
18 2
19 6
20 2
21 2
22 5
23 2
6
ตารางท่ี 2 (ต่อ) แสดงคะแนนพัฒนาการสัมพัทธข์ องคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรยี น เร่ือง หลกั การ
บวกและหลกั การคณู ดว้ ยวธิ ีการจดั การเรยี นรู้แบบกลุ่มรว่ มมือเทคนคิ TAI
คนที่ คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนหลังเรียน คะแนนความ คะแนนพัฒนาการ
(10) (10) แตกต่าง สัมพัทธ์
55.56
24 1 6 5 42.86
37.50
25 3 6 3 55.56
26 2 5 3 61.53
27 1 6 5
คา่ เฉล่ียของคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์
จากตาราง พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่องหลักการบวกและ
หลักการคูณ มีคะแนนพัฒนาการโดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ยของคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ เท่ากับ
61.53) และเมื่อพิจารณาคะแนนพัฒนาการเป็นรายบุคคลจากคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ พบว่า นักเรียนที่ได้รับ
การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่องหลักการบวกและหลักการคูณ ส่วนใหญ่มีพัฒนาการอยู่ใน
ระดับปานกลาง จำนวน 11 คน มีคะแนนพัฒนาการในระดับต้น จำนวน 7 คน มีคะแนนพัฒนาการในระดับสูง
จำนวน 5 คน และ มีคะแนนพฒั นาการในระดับสูงมาก จำนวน 4 คน ตามลำดับ
9. สรุปผลการศึกษาวิจัย
จากการศึกษาและวิเคราะห์คะแนนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม
ร่วมมือเทคนิค TAI (Team Assisted Individualization) เรื่องหลักการบวกและหลักการคูณ จำนวน 27 คน
นั้นแสดงให้เห็นว่า หลังการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI (Team Assisted Individualization)
สามารถทำให้ผู้เรียนนั้นมีพัฒนาการทางด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องหลักการบวกและ
หลักการคูณ สงู ขึน้
10. อภิปรายผลการศกึ ษา
จากการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI (Team Assisted Individualization) เรื่องหลักการ
บวกและหลักการคูณ เพื่อช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ เรื่องหลักการบวกและหลกั การคณู
ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ในครั้งนส้ี ามารถอภปิ รายผลได้ดงั น้ี
10.1 พบว่าการเรียนรูแ้ บบกลุ่มรว่ มมอื เทคนิค TAI (Team Assisted Individualization) นั้นช่วยพัฒนา
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าคณติ ศาสตร์ เร่อื งหลกั การบวกและหลักการคณู ของนักเรียนได้
10.2 จากการวิเคราะห์ผลการทดสอบเป็นรายบุคคลยังพบว่ามีนักเรียนที่เรียนแต่ละคนมีพัฒนาการที่
แตกตา่ งกนั
7
11. ข้อเสนอแนะ
11.1 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ประกอบด้วยขั้นตอนและกิจกรรมที่ต้องฝึกทักษะ นักเรียนอาจใช้เวลาทำกิจกรรมนานกว่าที่กำหนดไว้ ดังน้ัน
ครผู สู้ อนอาจยืดหยนุ่ เวลาไดต้ ามเหมาะสม
11.2 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ครูควรอธิบายถึงบทบาทและหน้าที่
ของสมาชิกในกลุ่ม โดยกระตุ้นให้นักเรียนที่มีผลการเรียนเก่งอยากช่วยเหลือนักเรียนที่มีผลการเรียนปานกลาง
และอ่อน ด้วยความเต็มใจ และให้นักเรียนมีผลการเรียนปานกลาง และอ่อน เกิดความเชื่อใจ และมั่นใจในการ
เรยี น จากการทีน่ ักเรียนมีผลการเรยี นเก่งคอยช่วยเหลอื เกดิ ปฏิสัมพันธ์ท่ดี ตี อ่ กนั และภมู ใิ จในตนเอง
11.3 ในการวิจัยครั้งต่อไปควรใช้แบบแผนการทดลองแบบสองกลุ่ม เพื่อเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อน
และหลงั การเรยี นด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบกลุ่มรว่ มมือเทคนิค TAI และเปรียบเทียบคะแนนสอบ
ระหวา่ งกลมุ่ ควบคุมกับกลุ่มทดลองว่ามีความแตกต่างกันหรอื ไม่
8
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตวั ช้ีวัดและหลกั สูตรแกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ
พ.ศ. 2560) หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ชมุ ชน
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกดั .
ทศิ นา แขมมณี. (2555). ศาสตรก์ ารสอน : องค์ความรูเ้ พื่อการจดั กระบวนการเรยี นรู้ท่ีมปี ระสิทธภิ าพ.
กรุงเทพฯ. จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
คำหิราช ธเรศ, และ สหัสทศั น์ ชนกกานต.์ (2019). การศกึ ษาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เรอ่ื ง อัตราสว่ นและร้อยละ
ของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใชก้ ิจกรรมการเรียนรแู้ บบรว่ มมือดว้ ยเทคนคิ TAI. วารสาร
วทิ ยาศาสตร์และวทิ ยาศาสตรศ์ ึกษา (JSSE). 1 (2) : 186-95. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/
JSSE/ article/view/195045.
ภัทรลดา ประมาณพล. (2560). การพัฒนาชุดกิจกรรม เรอ่ื ง จำนวนนับ และการบวก การลบ การคณู การหาร
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิค TAI. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสูตรและการสอน).
จนั ทบรุ ี : มหาวิทยาลยั ราชภัฏรำไพพรรณ.ี สบื ค้นจาก https://etheses.rbru.ac.th/pdf.
9
ภาคผนวก