ก
ี
บทเรยนสำเรจรูปประกอบภำพกำรตูน
์
็
ิ
้
้
เรอง กำรสรำงเสรมสุขภำพ สมรรถภำพและกำรปองกันโรค
ื่
ึ
ั
ึ
่
กลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและพลศกษำ ชนประถมศกษำปที 3
ึ
ี
่
้
ี
้
่
เลมที่ 11
เรอง โรคบำดทะยัก
ื่
ทิวำกร อินเล็ก
ตำแหนง ครู วิทยฐำนะ ครูชำนำญกำร
่
ี
โรงเรยนอนุบำลวัดหนองขุนชำต (อุทิศพิทยำคำร)
ิ
สำนกงำนเขตพนทีกำรศกษำประถมศกษำอุทัยธำน เขต 2
ั
ี
่
ึ
้
ื
ึ
ก
ค ำน ำ
ค ำนำ
ี
้
ุ
ี
ึ
ึ
ุ
ู
ึ
ในการเรยนกล่มสาระการเรยนรสขศกษาและพลศกษา ระดับชั้นประถมศกษา-
้
ี
็
ุ
ี่
ี่
้
ิ
ปท 6 สาระท 4 การสรางเสรมสขภาพ สมรรถภาพและการปองกันโรค เปนสาระท ี่
่
ู
่
เกียวกับการดแลรกษาสขภาพเพือการด ารงชวตทด และสามารถด ารงชวตได้อย่าง
ั
ี
ิ
ิ
่
ี
ุ
ี
ี
ุ
มความสข และสามารถน าไปใช้ให้เกิดประโยชนในชวตประจ าวัน หากแต่ปจจบัน
ี
ี
ั
ุ
์
ิ
ู
ุ
ี
้
ี
ี
ยังพบว่าผู้เรยนไม่ค่อยสนใจดแลและปองกันสขภาพของตนเอง และทั้งน้ยังพบว่าผู้เรยน
้
ุ
มความรน้อยใน การสรางเสรมสขภาพ สมรรถภาพและการปองกันโรค จงมความจ าเปนท ี่
ี
ี
ึ
้
ิ
็
ู
้
จะต้องหาทางแก้ไขให้ผู้เรยนมความสนใจใฝเรยนใฝรเรองสรางเสรมสขภาพ
่
ี
ี
ี
้
ุ
ิ
้
ื่
ู
่
้
สมรรถภาพและการปองกันโรคให้มากข้น
ึ
ส าหรบบทเรยนส าเรจรปประกอบภาพการตนเล่มน้ เล่มท 11 เรอง โรคบาดทะยัก
่
ื
่
็
ั
ี
ู
์
ู
ี
ี
ี่
ู
้
ี
ึ
เปนบทเรยนทให้ผู้เรยนศกษาหาความรด้วยตนเอง โดยผู้เรยนต้องศกษาจากกรอบท 1
ี่
ึ
ี
็
ี
ึ
ี
ถงกรอบสดท้าย และตรวจค าตอบด้วยตนเองจากเฉลยทอยู่ในกรอบหน้าถัดไป ผู้เรยน
ุ
ี
่
้
ควรปฏบัตตามค าแนะน าจะเปนการเสรมสรางวินัยในตนเอง และสามารถน าไปใช้สรางเสรม
้
ิ
ิ
ิ
ิ
็
้
ุ
ี
็
สขภาพ สมรรถภาพและการปองกันโรคของตนเอง ได้เปนอย่างด
ึ
ึ
ุ
ี
ี
ุ
้
ู
็
์
บทเรยนส าเรจรปประกอบภาพการตูน กล่มสาระการเรยนรสขศกษาและพลศกษา
ู
ี
้
ี
์
ึ
่
่
ื
่
ู
ทจัดท าข้นน้ ผู้รายงานได้ใช้รปการตนเพือเพิ่มความน่าสนใจ ใหผู้เรยนไม่เบอหน่าย
ู
ี
ี
อยากเรยนร และสะดวกต่อการเรยนการสอน
ู
ี
้
้
ี
ู
ู
ข้าพเจ้าหวังว่าบทเรยนส าเรจรปประกอบภาพการตนเล่มน้ จะท าใหผู้เรยน
์
ี
ี
็
้
้
ุ
มีทักษะการสรางเสรมสขภาพ สมรรถภาพและการปองกันโรคของตนเองตาม
ิ
ุ
วัตถประสงค์ของหลักสตรแกนกลางการศกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ู
ึ
และเปนประโยชนต่อผู้สนใจ ต่อเพือนคร และวงการศกษาต่อไป
ึ
็
ู
่
์
ิ
ิ
ทวากร อนเล็ก
ข
สำรบัญ
หน้า
ค าน า............................................................................................................ ก
สารบัญ......................................................................................................... ข
ค าแนะน าส าหรบครผู้สอน.......................................................................... ค
ู
ั
ี
ั
ค าแนะน าส าหรบผู้เรยน............................................................................... ง
ี
ุ
ู
จดประสงค์การเรยนร.................................................................................. จ
้
ี
์
ู
ล าดับขั้นตอนการใช้แบบบทเรยนส าเรจประกอบภาพการตนรปส าหรบ
ู
ั
็
ี
นักเรยน........................................................................................................ ฉ
ี
แบบทดสอบก่อนเรยน................................................................................. 1
ี
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยน......................................................................... 3
กรอบท 1...................................................................................................... 4
ี่
ี่
กรอบท 2...................................................................................................... 5
ี่
กรอบท 3...................................................................................................... 6
กรอบท 4...................................................................................................... 7
ี่
ี่
กรอบท 5...................................................................................................... 8
ใบกิจกรรม................................................................................................... 10
แบบทดสอบหลังเรยน................................................................................. 12
ี
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยน......................................................................... 14
ี
บรรณานกรม............................................................................................... 15
ุ
ค
้
ั
ค ำแนะนำสำหรบครูผูสอน
์
ี
1. บทเรยนส าเรจรปประกอบภาพการตูน เรอง การสรางเสรมสขภาพ สมรรถภาพ
ู
็
ุ
้
ิ
ื่
ี
ี
้
ึ
ุ
ี
ึ
่
ึ
ู
้
ุ
และการปองกันโรค กล่มสาระการเรยนรสขศกษาและพลศกษา ชั้นประถมศกษาปท 6
ื่
ี
ู
้
ี่
ี
่
็
ื่
ู
เล่มท 11 เรอง โรคบาดทะยัก ใช้เปนสอการเรยนร แผนการจัดการเรยนรท 11 เวลา 1 ชั่วโมง
้
ี
่
ี
ี
ี
ู
ิ
้
ู
2. ก่อนด าเนนกิจกรรมการเรยนรในแผนการจัดการเรยนรท 11 ครให้ผู้เรยน
้
ี
ู
้
ี
ี
ู
ู
ี
่
ท าแบบทดสอบก่อนเรยน เพือดพื้นฐานทางการเรยนรของผู้เรยน
์
ุ
ึ
ี
3. ครช้แจงวธการศกษาบทเรยนส าเรจรปประกอบภาพการตน .ถงจดม่งหมาย
ุ
ู
็
ู
ี
ิ
ู
ึ
ี
ิ
ิ
์
ของการท าบทเรยนส าเรจรปประกอบภาพการตูน และขั้นตอนในการปฏบัต วิธการใช้
็
ี
ู
ี
ี
้
ึ
ี
ี่
อย่างละเอยดให้ผู้เรยนเข้าใจและพรอมทจะศกษา
ึ
ี
ู
4. ผู้เรยนแต่ละคนอาจใช้เวลาในการศกษาบทเรยนส าเรจรปประกอบ-
็
ี
ภาพการตูนไม่เท่ากัน ข้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบคคล ครควรให้ผู้เรยนฝกปฏบัต ิ
ึ
ิ
ุ
ู
ึ
ี
์
ื
ี
ิ
่
ั
ี
ตามขั้นตอน ต้องใช้ความอดทน ให้ค าช้แนะเมอผู้เรยนเกิดปญหาให้ก าลังใจและแรงเสรม
ิ
ี
ี
ี
ู
กับผู้เรยน เพื่อให้ผู้เรยนมความภาคภมใจและมั่นใจในตนเอง
5. ครคอยสังเกตพฤตกรรมของผู้เรยนระหว่างทผู้เรยนท ากิจกรรม เพือบันทก
ี
่
ี
ึ
ู
ี
่
ิ
ิ
ี่
การเปลยนแปลงพฤตกรรมของผู้เรยน
ี
็
ึ
ึ
ี
ื
่
็
่
ี
ิ
6. เมอผู้เรยนฝกปฏบัตเสรจแล้ว ให้ผู้เรยนท าแบบทดสอบหลังเรยน ซงเปน
ี
ิ
ิ
ี
ี
แบบทดสอบฉบับเดยวกับแบบทดสอบก่อนเรยน เพือประเมนผลหลังการเรยน
ี
่
ุ
้
ึ
ู
์
ู
หลังจากใช้บทเรยนส าเรจรปประกอบภาพการตน กล่มสาระการเรยนร สขศกษาและ
ู
ุ
ี
ี
็
่
้
้
ึ
ึ
ี
ี
พลศกษา ชั้นประถมศกษาปท 6 การสรางเสรมสขภาพ สมรรถภาพและการปองกันโรค
ุ
ิ
่
เล่มท 11 เรอง โรคบาดทะยัก
ี
่
ื
ิ
ี
ิ
7. น าผลการทดสอบและผลการปฏบัตกิจกรรมของผู้เรยนมาประมวลผล
ุ
็
ี
ู
ี
เปรยบเทยบ สรป เปนผลสมฤทธทางการเรยนของผู้เรยน เพือให้ผู้เรยนและคร
่
ี
ั
ิ์
ี
ี
ู
ี
้
่
ิ
ื
ได้ทราบพัฒนาการของการเรยนรและแนะน าหรอจัดหากิจกรรมเพือการซ่อมเสรม
หากไม่ผ่านเกณฑ์
ง
้
ั
ค ำแนะนำสำหรบผูเรยน
ค ำแนะน ำสำหรบผูเรยน ี
ั
ี
้
ู
็
บทเรยนส าเรจรปประกอบภาพการตูน เรอง การสรางเสรมสขภาพ สมรรถภาพ
ี
ุ
ิ
์
้
ื่
ุ
ี
ู
ี
ี
ึ
้
และการปองกันโรค กล่มสาระการเรยนรสขศกษาและพลศกษา ชั้นประถมศกษาปท 6
้
ึ
ุ
ึ
่
็
ี
ึ
ี
ี่
ี
เล่มท 11 เรอง โรคบาดทะยัก ทผู้เรยนก าลังศกษาอยู่ในขณะน้ เปนบทเรยนส าเรจรปท ่ ี
่
็
ี
่
ื
ู
ู
ื
ิ
จัดเน้อหาไว้เปนล าดับขั้นตอนเพือให้ผู้เรยนได้เรยนรอย่างถกต้อง เร่มจากกรอบท 1
็
ู
่
ี่
ี
้
ี
ี
ึ
้
ู
ี
ี
ิ
ุ
ิ
ไปจนถงกรอบสดท้าย ผู้เรยนสามารถเรยนรและฝกปฏบัตได้ด้วยตนเอง การใช้บทเรยน
ึ
ั
ึ
ิ
ิ
ิ
่
ู
็
ี
ิ
ิ
ึ
ส าเรจรปควรปฏบัตตามกฎกตกาในการใช้อย่างเคร่งครด จงจะได้ผลด ซงข้อปฏบัตของ
การใช้บทเรยนส าเรจรปมดังน้ ี
ู
ี
็
ี
ี
ิ
ี
ี
็
ี
1. ผู้เรยนอ่านค าช้แจง วธการใช้บทเรยนส าเรจรปให้ละเอยด
ี
ู
ี
2. ก่อนท ากิจกรรมในแต่ละบทเรยนส าเรจรป ให้ผู้เรยนท าแบบทดสอบ-
ี
็
ู
ี
้
ก่อนเรยน เพือดพื้นฐานความรของตน
ู
ู
่
ี
ู
็
3. บทเรยนส าเรจรปประกอบด้วย
ี
3.1 แบบทดสอบก่อนเรยน
3.2 บทเรยนส าเรจรป
็
ี
ู
ี
3.3 แบบทดสอบหลังเรยน
ี
ึ
ื
ิ
4. ผู้เรยนเร่มศกษาเน้อหาและท ากิจกรรมตามทก าหนดไว้ ทละกิจกรรม
ี
ี
่
่
ื
ี
ู
ั
โดยผู้เรยนจะต้องมความซอสตย์ต่อตนเอง จะต้องไม่เปดดเฉลยก่อน เมอตอบหรอ
ิ
ื
่
ื
ี
ื
ี
ู
ิ
ู
่
ท ากิจกรรมเสรจแล้ว จงค่อยเปดดเฉลยเพือตรวจดค าตอบของผู้เรยนว่าถกต้องหรอไม่
็
ึ
ู
ึ
ู
ื
ี
ั
ี
ถ้าไม่ถกต้องผู้เรยนอาจศกษาเน้อหาใหม่อกคร้ง หรอหลายคร้งก็ได้ จนเข้าใจแล้วลองตอบ
ั
ื
ค าถามใหม่
้
ี
ี
5. เมอผู้เรยนท าบทเรยนส าเรจรปเรยบรอยแล้ว ให้ท าแบบทดสอบหลังเรยน
ี
ื่
็
ี
ู
ี
ั
ิ
่
เพือประเมนผลสมฤทธ์ ิทางการเรยนหลังการเรยน
ี
ี
ิ
ี
ิ
ี
6. หลังจากอ่าน กฎ กตกาข้างบนน้แล้ว ขอให้ผู้เรยนตั้งใจ มสมาธ
็
และมความซอสัตย์ในการฝกท าบทเรยนส าเรจรป ไม่ต้องรบรอน หรอกังวลว่าช้า
ี
ื่
ึ
ื
ี
้
ี
ู
็
่
ี
็
ู
้
ี
ื
หรอเรวกว่าคนอนเพราะจะท าให้ผู้เรยนประสบความส าเรจในการเรยนรได้
ื
จ
์
้
ี
จุดประสงคกำรเรยนรู
1. สามารถบอกสาเหตุของโรคบาดทะยักได้
2. สามารถบอกอาการของโรคบาดทะยักได้
3. สามารถบอกการติดต่อของโรคบาดทะยักได้
4. สามารถบอกการรักษาและวิธีป้องกันโรคบาดทะยักได้
ฉ
ล ำดับขนตอนกำรใชแบบบทเรยนสำเรจประกอบภำพกำรตูนรูปสำหรบนกเรยน
์
ั
ั
็
้
ั
้
ี
ี
ี
ึ
้
ขันที่ 1 ศกษำค ำช้แจง / ค ำแนะน ำ
้
ี
่
ขันที่ 2 ท ำแบบทดสอบกอนเรยน
ขันที่ 3 ตรวจแบบทดสอบกอนเรยน
้
ี
่
ึ
ศกษาใหม่ ขันที่ 4 ศกษำกรอบควำมรู ้ ศกษาใหม่
ึ
้
ึ
ขันที่ 5 ตอบค ำถำม
้
ขันที่ 6 ตรวจค ำตอบกับกรอบเฉลย
้
ตอบผิด
ึ
ศกษาใหม่ ขันที่ 7 ศกษำกรอบควำมรูตอไป
้
่
้
ึ
ท าครบจนถงกรอบสดท้าย
ุ
ึ
ี
้
ขันที่ 8 ท ำแบบทดสอบหลังเรยน
ี
้
ขันที่ 8 ตรวจแบบทดสอบหลังเรยน
ไม่ผ่านเกณฑ์
ึ
้
ขันที่ 9 ศกษำบทเรยนสำเรจรูปบทตอไป
ี
่
็
1
่
แบบทดสอบกอนเรยน
ี
ี
บทเรยนสำเรจรูปประกอบภำพกำรตูน
์
็
้
ื่
้
ิ
เรอง กำรสรำงเสรมสุขภำพ สมรรถภำพและกำรปองกันโรค
้
่
ี
ี
ึ
ั
้
ึ
ึ
กลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและพลศกษำ ชนประถมศกษำปที 6
่
เลมที่ 11 เรอง โรคบำดทะยัก
่
ื่
ี
ค ำช้แจง
ี่
ี
ุ
ี
ื่
ให้ผู้เรยนท าเครองหมาย ทับตัวอักษร ก ข ค และ ง ทถูกทสดเพียงค าตอบเดยว
ี่
ื
1. โรคบาดทะยักเกิดจากเช้อโรคใด
ื
ั
ื
ี
ก. เช้อแบคทเรย ข. เช้อไวรส
ี
ค. เช้อโปโตซัว ง. เช้ออะมบา
ี
ื
ื
ื
ี
ุ
่
ิ
2. โรคบาดทะยักเปนโรคตดเช้อทจัดอยู่ในกล่มของโรคทางใด
็
ก. ทางประสาทและทางสมอง
ข. ทางสมองและกล้ามเน้อ
ื
ื
ค. ทางประสาทและกล้ามเน้อ
ื
ง. ทางประสาทและเน้อเยือ
่
ั
3. เช้อบาดทะยักจะปนเปอนมากับส่งใดของสตว์
ิ
ื้
ื
ั
ก. น ้าลายสตว์ ข. มูลสัตว์
ั
ู
ค. น ้ามกสตว์ ง. ปสสาวะสัตว์
ั
ื
4. เช้อโรคบาดทะยักจะเข้าส่ร่างกายของคนทางใด
ู
ก. เข้าทางบาดแผล
ข. เข้าทางลมหายใจ
ค. เข้าทางปาก โดยรบประทานเข้าไป
ั
ง. ซมเข้าทางผิวหนัง
ึ
2
่
ื
4. ระยะฟกตัวของเช้อโรคบาดทะยักประมาณกีวัน
ั
ก. 4 - 30 วัน ข. 30 - 45 วัน
ค. 40 - 50 วัน ง. 50 - 100 วัน
5. อาการเร่มแรกของผู้ปวยโรคบาดทะยักคอข้อใด
ิ
่
ื
็
ุ
ื
ก. กล้ามเน้อตากระตก ข. กล้ามเน้อขาเกรง
ื
็
ค. ปวดเกรงท้อง ง. ขากรรไกรแข็ง
ู
ุ
7. ถ้าถกสนัขกัด เกิดบาดแผลควรท าอย่างไรเปนอันดับแรก
็
ื
ก. ใช้รองเท้าตบแผลให้เลอดหยุด
ื
ข. ใช้หญ้าสมุนไพรต าพอกแผลให้เลอดหยุด
ี
ค. ล้างแผลด้วยน ้าสะอาดและสบ่ทันท
ู
็
์
ง. เช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ 100 เปอรเซนต์
8. การปองกันการเกิดโรคบาดทะยักควรท าอย่างไร
้
้
ี
ก. ฉดวัคซนปองกันโรคบาดทะยักครบชด
ุ
ี
ุ
ั
ข. รบประทานยาแก้อักเสบครบชด
ค. ชะล้างแผลให้สะอาดอยู่เสมอ
ง. ใช้ผ้าพันแผลตลอดเวลา ไม่ให้ฝุนละอองและเช้อโรคเข้าแผล
่
ื
9. ข้อใดไม่ใช่อาการของโรคบาดทะยัก
ก. ขากรรไกรแข็ง ข. คอแข็ง
ค. หลังแข็ง ง. ล้นแข็ง
ิ
ั
ี
ื
ี
ู
ิ
ิ
ื่
10. ผู้ใดปฏบัตไม่ถกต้องเมอโดนมดบาดมอ โชคดนะครบ
๊
ก. ตกตาล้างแผลด้วยน ้าสะอาดทันท
ุ
ี
ข. แนนซล้างแผลด้วยน ้าสบ่ ู
ี
่
ิ
ค. รซ่าใช้ปากดดเลอดให้หยุด
ื
ู
๊
ุ
่
ง. ตกกี้ใช้ผ้าสะอาดกดทับแผล เพือให้เลอดหยุด
ื
3
เฉลยแบบทดสอบกอนเรยน
ี
่
บทเรยนสำเรจรูปประกอบภำพกำรตูน
์
็
ี
ิ
เรอง กำรสรำงเสรมสุขภำพ สมรรถภำพและกำรปองกันโรค
้
ื่
้
ึ
่
้
ึ
้
่
ี
ั
ี
ึ
กลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและพลศกษำ ชนประถมศกษำปที 6
เลมที่ 11 เรอง โรคบำดทะยัก
ื่
่
ขอ ค ำตอบ
้
1 ก
2 ค
3 ข
4 ก
5 ก
6 ง
7 ค
8 ก
9 ง
10 ค
4
กรอบที่ 1
ั
้
มำรูจกโรคบำดทะยักกันเถอะ
โรคบำดทะยัก เปนโรคตดเช้อทจัดอยู่ในกล่มของโรคทางประสาทและ
ุ
ื
ิ
่
ี
็
กล้ามเน้อ เกิดจากเช้อแบคทเรย ซงผลตสารทมพิษต่อเสนประสาททควบคม
ี
ิ
ื
่
ี
้
ื
ี
ึ
ี
ุ
่
่
ี
การท างานของกล้ามเน้อ ท าให้มการหดเกรงตัวอยู่ตลอดเวลา อาการเร่มแรก
็
ิ
ี
ื
กล้ามเน้อขากรรไกรจะเกรง ท าให้อ้าปากไม่ได้ โรคน้จงมชอเรยกอกชอหนงว่า
็
ื
ี
ี
ึ
่
่
่
ึ
ี
ื
ี
ื
ี
็
ี
่
โรคขากรรไกรแข็ง ผู้ปวยจะมคอแข็ง หลังแข็ง ต่อไปจะมอาการเกรงของ
ุ
ี
ื
กล้ามเน้อทั่วตัว และสดท้ายอาจท าให้มอาการชักได้
สำเหตุของกำรเกิดโรคบำดทะยัก
ี
ี่
ู
ี
่
ิ
ี
ุ
ี
ื
โรคบำดทะยัก เกิดจากเช้อแบคทเรยทมคณสมบัตทจะอยู่ในรปแบบของ
สปอรททนทานต่อความรอนและยาฆ่าเช้อหลายอย่าง เช้อสามารถสรางสาร
ื
ี
้
้
ื
่
์
ทไปจับและมพิษต่อระบบประสาท
ี
ี
่
น้อง ๆ อ่านข้อความข้างบนแล้ว
ั
ี
ตอบค าถามต่อไปน้นะครบ
1. โรคบาดทะยักเปนโรคตดเช้อทจัดอยู่ในกล่มของโรคทางใด ?
ื
ี
่
็
ิ
ุ
2. อาการเร่มแรกของโรคบาดทะยัก คออะไร ?
ิ
ื
3. สาเหตของการเกิดโรคบาดทะยักคออะไร ?
ุ
ื
5
เฉลยกรอบที่ 1
1. โรคทางประสาทและกล้ามเนื้อ
2. อาการเร่มแรก กล้ามเน้อขากรรไกรจะเกรง
็
ื
ิ
3. เกิดจากเช้อแบคทเรยทจะอยู่ในรปแบบของสปอร เช้อสามารถสรางสารทไปจับ
ื
ี
์
้
ี่
ื
ู
ี่
ี
ี
และมพิษต่อระบบประสาท
4.
น้อง ๆ เรามาศกษาอาการของโรคบาดทะยัก
ึ
ในกรอบท 2 ครบ
ั
ี่
กรอบที่ 2
อำกำรของโรคบำดทะยัก
่
ื
ื
ั
่
ี
ี
เมอเช้อบาดทะยักเข้าทางบาดแผล ระยะฟกตัวของโรคก่อนทจะมอาการ
ื
ประมาณ 5-14 วัน บางรายอาจนานถง 1 เดอน หรอนานกว่านั้นก็ได้ จนบางคร้ง
ึ
ื
ั
บาดแผลทเปนทางเข้าของเช้อบาดทะยักหายไปแล้ว
่
ื
็
ี
อาการเร่มแรกทจะสงเกตพบ คอ ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ มีคอแข็ง
ี
ื
ั
ิ
่
หลังจากน้ 1-2 วัน ก็จะเร่มมอาการเกรงแข็งในส่วนอน ๆ ของร่างกาย คอ หลัง แขน ขา
่
็
ิ
ื
ื
ี
ี
เดกจะยืนและเดนหลังแข็ง แขนเหยียดเกรง ให้ก้มหลังจะท าไม่ได้ หน้าจะม ี
็
ิ
็
ลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะ และระยะต่อไปก็อาจจะมอาการกระตุก ถ้ามเสยงดังหรอ
ี
ี
ี
ื
จับต้องตัวจะเกรงและกระตุกมากข้น มหลังแอ่น และ หน้าเขียว บางคร้งมอาการ-
ึ
ั
ี
็
ี
รนแรงมาก อาจท าให้มการหายใจล าบากถงตายได้
ี
ุ
ึ
่
ู
ี
ึ
ั
น้อง ๆ ศกษากรอบท 2 แล้วมาลองตอบค าถามกันดนะครบ
ผู้ป่วยโรคบาดทะยักมีอาการอย่างไรบ้าง ?
6
เฉลยกรอบที่ 2
อาการเร่มแรก คอ ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ มคอแข็ง หลังจากน้ก็จะเร่มม ี
ื
ี
ิ
ี
ิ
อาการเกรงแข็งในส่วนอน ๆ ของร่างกาย คอ หลัง แขน ขา เด็กจะยืนและเดนหลังแข็ง
ิ
ื
ื
็
่
แขนเหยียดเกรง อาจจะมอาการกระตุก บางคร้งมอาการรนแรงมาก อาจท าให้
ี
ุ
็
ั
ี
ี ึ
มการหายใจล าบากถงตายได้
ถ้าตอบถูกต้อง เก่งมากครบ น้อง ๆ มาศกษา
ั
ึ
ี
่
ิ
การตดต่อของโรคบาดทะยัก ในกรอบท 3 นะ
ั
ครบ
กรอบที่ 3
กำรติดตอของโรคบำดทะยัก
่
ี
ี
ู
ื
โรคบำดทะยัก พบได้ทั่วทุกแห่ง เช้อแบคทเรยโดยเฉพาะในรปแบบของสปอร ์
ื
็
ี
็
ื
ิ
พบได้ในดนตามพื้นหญ้าทั่วไปได้นานเปนเดอน ๆ หรออาจเปนป
ี
ิ
ั
ั
ื้
ื
่
้
เช้อจะพบได้ในล าไส ของคนและสตว์ ในส่งแวดล้อมทปนเปอนด้วยมูลสตว์
ื
ู
เช้อจะเข้าส่ร่างกายทางบาดแผล โดยจะแบ่งตัวและขับสารพิษออกมา
ี
ื
ี
ึ
ิ
เช้อจะเจรญแบ่งตัวได้ดในแผลลก อากาศเข้าไม่ได้ด เช่น บาดแผลตะปูต า แผลไฟไหม้
น ้าร้อนลวก ผิวหนังถลอก บริเวณกว้าง บาดแผลในปาก ฟันผุ หรือ เข้าทางหูทีอักเสบ
่
่
โดยการใช้เศษไม้หรือต้นหญ้าทีมีเชื้อโรคนี้ติดอยู่แคะฟันหรือแยงหู บางครั้งอาจ
เข้าทางล าไส้ได้
น้อง ๆ ศกษากรอบท 3 แล้วมาลองตอบค าถามกันดนะครบ
่
ี
ึ
ั
ู
1. เช้อบาดทะยักจะปนเปอนมากับส่งใด ?
ื
ื้
ิ
2. เช้อบาดทะยักจะเข้าส่ร่างกายทางใด ?
ื
ู
ี
ื
3. เช้อบาดทะยักจะแบ่งตัวได้ดในแผลแบบใด ?
7
เฉลยกรอบที่ 3
ึ
1. มูลสัตว์ 2. ทางบาดแผล 3. แผลลก อากาศเข้าไม่ได้ด ี
ตอบถูกต้อง เก่งจรง ๆ ครบน้อง ๆ
ั
ิ
ึ
ั
ั
ี่
ไปศกษาการรกษาโรคในกรอบท 4 ครบ
กรอบที่ 4
กำรรกษำผูปวยโรคบำดทะยัก
ั
้
่
1. การปฏบัตก่อนทจะน าไปพบแพทย์ ถ้าสงเกตว่าเดกไม่รบประทานน ้า
่
ี
ั
ิ
็
ิ
ั
ื
ี
ื
ื
หรออาหาร และไม่อ้าปาก แสดงว่าม ขากรรไกรแข็ง อย่าพยายามฝนหรอกรอกน ้า
ิ
ิ
เพราะอาจจะท าให้ส าลักเข้าทางเดนหายใจ ท าให้ขัดขวางทางเดนหายใจ
อาจถึงตายได้ทันที หรืออาจท าให้เกิดปอดอักเสบได้ ควรหลีกเลี่ยง การจับต้องตัว
โดยไม่จ าเป็น และอย่าให้มีเสียงดังรบกวนเพราะจะท าให้ชักเกร็งมากขึ้นได้
2. การรกษาเฉพาะ ฉดยาเข้าหลอดเลอด หรอฉดยาเข้ากล้ามเน้อ เพื่อให้ไป
ื
ื
ี
ี
ั
ื
ท าลายสารพิษ ทยังไม่ไปจับทระบบประสาท ให้ยาปฏชวนะเพนนซลนขนาดสง
ิ
ู
ิ
ี
ิ
ิ
ี
ี
่
่
เพือท าลายเช้อโรคทบาดแผล
่
ื
ี่
3. การรกษาตามอาการ ให้ยาระงับชัก ยาลดอาการเกรงของกล้ามเน้อ
็
ั
ื
็
ื
ี
ื
่
ี
งดอาหาร และ น ้าทางปาก ในขณะทมอาการเกรงหรอชัก ให้น ้าเกลอ
ึ
ั
ศกษาจบแล้วลองมาช่วยกันตอบค าถามนะครบ
การรักษาผู้ป่วยเป็นโรคบาดทะยัก ควรปฏิบัติอย่างไร ?
8
เฉลยกรอบที่ 4
ั
ี
ั
ื
่
็
ก่อนทจะน าไปพบแพทย์ ถ้าสงเกตว่าเดกไม่รบประทานน ้า หรออาหาร และไม่
อ้าปาก แสดงว่ามี ขากรรไกรแข็ง อย่าพยายามฝืนหรือกรอกน ้า ควรหลีกเลี่ยง
การจับต้องตัวโดยไม่จ าเป็น และอย่าให้มีเสียงดังรบกวนเพราะจะท าให้ชักเกร็ง
มากข้นได้ และน าผู้ปวยพบแพทย์ทันท ี
ึ
่
ิ
ู
ุ
ั
ตอบถกทกข้อ เก่งจรง ๆ ครบน้อง ๆ
ึ
ี
่
ั
ไปศกษากรอบท 5 กันต่อครบ
กรอบที่ 5
กำรปองกันไมใหเกิดโรคบำดทะยัก
่
้
้
ี
ื่
ู
ี
1. เมอมบาดแผลต้องท าแผลให้สะอาดทันท โดยการฟอกด้วยสบ่ล้างด้วย
ื
ิ
ื
์
้
น ้าสะอาด เช็ดด้วยยาฆ่าเช้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% หรอทงเจอรใส่แผลสดพรอมทั้ง
ให้ยารักษาการติดเชื้อ
้
ี
ึ
ั
2. ปรกษาแพทย์เพื่อขอรบวัคซนปองกันบาดทะยัก
3. ในผู้ปวยทหายจากโรคบาดทะยัก ต้องให้วัคซนปองกันโรคบาดทะยัก
ี
้
่
ี่
ครบชด เพราะถ้าฉดไม่ครบชดะจะท าให้ไม่มภมค้มกันเกิดข้นเพียงพอ
ุ
ุ
ึ
ู
ี
ี
ิ
ุ
ศกษาจบแล้วลองมาช่วยกันตอบค าถามนะครบ
ั
ึ
้
การปองกันไม่ให้เกิดโรคบาดทะยักได้อย่างไรบ้าง ?
9
เฉลยกรอบที่ 5
ี
ู
ื
่
ี
1. เมอมบาดแผลต้องท าแผลให้สะ อาดทันทโดยการฟอกด้วยสบ่ล้างด้วย
น ้าสะอาด เช็ดด้วยยาฆ่าเช้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% หรอทงเจอรใส่แผลสดพรอมทั้ง
ิ
ื
ื
้
์
ให้ยารกษาการตดเช้อ
ื
ั
ิ
2. ปรกษาแพทย์เพื่อขอรบวัคซนปองกันบาดทะยัก
้
ึ
ั
ี
3. ในผู้ปวยทหายจากโรคบาดทะยัก ต้องให้วัคซนปองกัน
ี
้
่
ี
่
โรคบาดทะยักครบชด
ุ
ไชโย ! เรยนจบกรอบสดท้ายแล้ว
ี
ุ
มาท าแบบทดสอบหลังเรยนกันก่อนนะครบ
ี
ั
แล้วเปรยบเทยบดว่า ผลการเรยน
ี
ี
ู
ี
มีการพัฒนาหรอไม่
ื
10
็
ใบกิจกรรมบทเรยนสำเรจรูปประกอบภำพกำรตูน
ี
์
ิ
้
เรอง กำรสรำงเสรมสุขภำพ สมรรถภำพและกำรปองกันโรค
ื่
้
่
ั
้
่
กลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและพลศกษำ ชนประถมศกษำปที 6
ี
ึ
ึ
ี
้
ึ
ื่
เลมที่ 11 เรอง โรคบำดทะยัก
่
ี
ี
ี
ค ำช้แจง ให้นักเรยนเขยนค าตอบลงในกระดาษค าตอบให้ตรงกับกรอบต่าง ๆ
ี
ทก าหนดให้
่
ี่
กรอบท 1
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
ี่
กรอบท 2
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
ี่
กรอบท 3
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
11
ี่
กรอบท 4
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
ี่
กรอบท 5
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
12
ี
แบบทดสอบหลังเรยน
ี
บทเรยนสำเรจรูปประกอบภำพกำรตูน
์
็
เรอง กำรสรำงเสรมสุขภำพ สมรรถภำพและกำรปองกันโรค
้
ื่
้
ิ
ั
้
ึ
ี
้
กลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและพลศกษำ ชนประถมศกษำปที 6
ึ
ี
ึ
่
่
ื่
่
เลมที่ 11 เรอง โรคบำดทะยัก
ี
ค ำช้แจง
ี
ี
ี่
ี่
ุ
ื่
ให้ผู้เรยนท าเครองหมาย ทับตัวอักษร ก ข ค และ ง ทถูกทสดเพียงค าตอบเดยว
ื
1. โรคบาดทะยักเกิดจากเช้อโรคใด
ี
ื
ั
ี
ก. เช้อแบคทเรย ข. เช้อไวรส
ื
ี
ื
ื
ค. เช้อโปโตซัว ง. เช้ออะมบา
ั
ื้
ื
2. เช้อบาดทะยักจะปนเปอนมากับส่งใดของสตว์
ิ
ั
ก. น ้าลายสตว์ ข. มูลสัตว์
ั
ู
ั
ค. น ้ามกสตว์ ง. ปสสาวะสัตว์
ุ
่
ื
3. โรคบาดทะยักเปนโรคตดเช้อทจัดอยู่ในกล่มของโรคทางใด
ิ
ี
็
ก. ทางประสาทและทางสมอง
ข. ทางสมองและกล้ามเน้อ
ื
ื
ค. ทางประสาทและกล้ามเน้อ
ง. ทางประสาทและเน้อเยือ
่
ื
4. เช้อโรคบาดทะยักจะเข้าส่ร่างกายของคนทางใด
ื
ู
ก. เข้าทางบาดแผล
ข. เข้าทางลมหายใจ
ั
ค. เข้าทางปาก โดยรบประทานเข้าไป
ง. ซมเข้าทางผิวหนัง
ึ
13
ื
ิ
5. อาการเร่มแรกของผู้ปวยโรคบาดทะยักคอข้อใด
่
็
ก. กล้ามเน้อตากระตก ข. กล้ามเน้อขาเกรง
ื
ื
ุ
ค. ปวดเกรงท้อง ง. ขากรรไกรแข็ง
็
ื
ั
่
6. ระยะฟกตัวของเช้อโรคบาดทะยักประมาณกีวัน
ก. 4 - 30 วัน ข. 30 - 45 วัน
ค. 40 - 50 วัน ง. 50 - 100 วัน
้
7. การปองกันการเกิดโรคบาดทะยักควรท าอย่างไร
้
ุ
ี
ก. ฉดวัคซนปองกันโรคบาดทะยักครบชด
ี
ั
ุ
ข. รบประทานยาแก้อักเสบครบชด
ค. ชะล้างแผลให้สะอาดอยู่เสมอ
ื
่
ง. ใช้ผ้าพันแผลตลอดเวลา ไม่ให้ฝุนละอองและเช้อโรคเข้าแผล
ุ
8. ถ้าถกสนัขกัด เกิดบาดแผลควรท าอย่างไรเปนอันดับแรก
็
ู
ื
ก. ใช้รองเท้าตบแผลให้เลอดหยุด
ื
ข. ใช้หญ้าสมุนไพรต าพอกแผลให้เลอดหยุด
ี
ค. ล้างแผลด้วยน ้าสะอาดและสบ่ทันท
ู
ง. เช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ 100 เปอรเซนต์
์
็
9. ข้อใดไม่ใช่อาการของโรคบาดทะยัก
ก. ขากรรไกรแข็ง ข. คอแข็ง
ิ
ค. หลังแข็ง ง. ล้นแข็ง
ั
ี
ี
ื
ู
ิ
ิ
่
10. ผู้ใดปฏบัตไม่ถกต้องเมอโดนมดบาดมอ โชคดนะครบ
ื
ก. ตุ๊กตาล้างแผลด้วยน ้าสะอาดทันท
ี
ข. แนนซล้างแผลด้วยน ้าสบ่ ู
ี
่
ค. รซ่าใช้ปากดดเลอดให้หยุด
ิ
ู
ื
ง. ตกกี้ใช้ผ้าสะอาดกดทับแผล เพือให้เลอดหยุด
๊
ุ
่
ื
14
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยน
ี
บทเรยนสำเรจรูปประกอบภำพกำรตูน
็
ี
์
ื่
เรอง กำรสรำงเสรมสุขภำพ สมรรถภำพและกำรปองกันโรค
้
้
ิ
ึ
ี
่
ึ
ี
้
้
กลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและพลศกษำ ชนประถมศกษำปที 6
ั
่
ึ
ื่
่
เลมที่ 11 เรอง โรคบำดทะยัก
้
ขอ ค ำตอบ
1 ก
2 ข
3 ค
4 ก
5 ง
6 ก
7 ก
8 ค
9 ง
10 ค
15
บรรณำนุกรม
้
ั
ี
้
ึ
่
ี
กรมวิชาการ. (2552). กำรจดสำระกำรเรยนรูกลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและ
ึ
ื
ั
ึ
้
ั
้
พลศกษำตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศกษำขนพนฐำน พุทธศกรำช 2551.
ุ
ุ
กรงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ครสภาลาดพราว.
้
ุ
ี
ื
่
ื
่
_________. (2552). คูมอครูสำระกำรเรยนรูรำยวิชำพ้นฐำน กลุมสำระกำรเรยนรู ้
ี
้
ึ
ี
ึ
ั
้
สุขศกษำและพลศกษำ ชนประถมศกษำปที่ 6 .ตำมหลักสูตรกำรแกนกลำง
ึ
ื
ึ
้
ั
กำรศกษำขันพ้นฐำน พุทธศกรำช 2551. กรงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ครสภา-
ุ
ุ
ุ
้
ลาดพราว.
ี
ึ
้
ี
ิ
้
กระทรวงศกษาธการ, กระทรวง. (2551). ตัวชวดและสำระกำรเรยนรูแกนกลำง
ั
ุ
ึ
่
ุ
ึ
้
ี
กลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและพลศกษำ. กรงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชมนม
ุ
สหกรณการเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด.
์
ั
สชาต รอดถาวร และภาสกร บุญนยม. (2553). หนงสอเรยนรำยวชำพนฐำนสุขศกษำ
ึ
ิ
้
ื
ิ
ี
ื
ิ
ุ
่
ึ
ี
และพลศกษำ ชนประถมศกษำปที่ 6 กลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและพลศกษำ
้
ึ
ึ
ั
ี
ึ
้
้
ึ
ี
ั
ั
้
ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศกษำขนพนฐำน พุทธศกรำช 2551. พิมพ์คร้งท 4.
ื
ั
่
ิ
กรงเทพมหานคร : บรษัทไทยร่มเกล้าจ ากัด.
ุ
ิ
ึ
ึ
ส านักงานคณะกรรมการการศกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศกษาธการ. (2562).
ั
ื
้
้
ื
หนงสอเรยนพนฐำน ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศกษำขนพนฐำน
ั
ึ
ี
ื
้
ั
ึ
่
ึ
ี
ั
พุทธศกรำช 2551 รกษำสุขภำพ กลุมสำระกำรเรยนรูสุขศกษำและพลศกษำ
้
ชนประถมศกษำปที่ 6. กรงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพราว.
ึ
้
ุ
ี
้
ั
16