The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่สาธารณะ เสียงสะท้อน ประสบการณ์ และความหวังในชายแดนใต้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Salmar, 2023-01-31 05:11:59

ผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่สาธารณะ เสียงสะท้อน ประสบการณ์ และความหวังในชายแดนใต้

ผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่สาธารณะ เสียงสะท้อน ประสบการณ์ และความหวังในชายแดนใต้

เสียงสะท้อน ประสบการณ์ และ ความหวังในชายแดนใต้ คณะผู้จัดท�ำ รอฮานีดาโอ๊ะ โซรยา จามจุรี กัลยา ดาราหะ รอฮานี จือนารา นิฮัสน๊ะ กูโน ผู้หญิงมุสลิม ในพื้นที่สาธารณะ


เกริ่นน�ำ ค�ำขอบคุณ คณะผู้จัดท�ำขอขอบคุณส�ำหรับความเมตตาจากเอกองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่อ�ำนวยให้การงานชิ้นนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ หนังสือผู้หญิงมุสลิม ในพื้นที่สาธารณะ เสียงสะท้อน ประสบการณ์ และความหวังในชายแดนใต้ เป็น ส่วนหนึ่งของการสรุปย่อข้อมูลจากงานวิจัยเรื่องการศึกษาบทบาทผู้หญิงมุสลิม จังหวัดชายแดนภาคใต้ในพื้นที่สาธารณะในบริบทของศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นการ ด�ำเนินงานภายใต้โครงการเสริมสร้างภาวะผู้น�ำแก่ผู้หญิงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (Strengthening Women’s Leadership in the Deep South) ภายใต้โครงการของ Together ขอขอบคุณองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ที่ให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมบทบาทผู้หญิงมุสลิมในการมีส่วนร่วม ในพื้นที่สาธารณะ (Increasing the Role and Capacity of Women to Advocate in Support of Peace in the Deep South) ภายใต้โครงการ Together ที่ด�ำเนินงาน โดย DAI และขอขอบคุณข้อมูล บทเรียน ประสบการณ์ และมุมมองจากบรรดา ผู้หญิงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สร้างแรงบันดาล ทุ่มเทกายใจขับเคลื่อน การท�ำงานเพื่อสังคม ขอขอบคุณค�ำแนะน�ำอันทรงคุณค่าและการผลักดันจาก ผศ.ดร.มูฮัมหมัดอิลยาส หญ้าปรัง อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการฯ รวมทั้งข้อมูล ข้อเสนอแนะ และมุมมองต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนงานจากผู้รู้ และนักวิชาการศาสนา ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน หนังสือเล่มนี้จะไม่สามารถด�ำเนินการได้เสร็จเรียบร้อย หากปราศจากการ ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างแข็งขันของคณะผู้จัดท�ำในเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคม เพื่อสันติภาพชายแดนใต้ (CIVIC WOMEN) คณะผู้จัดท�ำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งช่วยจุดประกายความหวังและความฝันในการขับเคลื่อน งานเพื่อผู้หญิงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ หากยังมีข้อผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดท�ำขอน้อมรับค�ำชี้แนะ เพื่อปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป ด้วยจิตคารวะ คณะผู้จัดท�ำ มกราคม 2566


สารบัญ เกริ่นน�า ค�าขอบคุณ ก่อนจะเป็นหนังสือเล่มนี้ 1. สภาพปัญหาและสถานการณ์ของผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่ : การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว 2. ถอดบทเรียนผู้หญิงผู้มีบทบาทในพื้นที่สาธารณะ แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา : จังหวะก้าวแห่งการเป็นนักการเมืองหญิงชายแดนใต้ แยน๊ะ สะแลแม : ผู้ก้าวข้ามความสูญเสียสู่หญิงนักประสาน ไครียะห์ ระหมันยะ : คนรุ่นใหม่กับบทบาทนักอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม แห่งท้องทะเลจะนะ ซารีนา เจ๊ะเลาะ : ภรรยาผู้น�ำศาสนา ผู้ริเริ่มการท�ำงานอย่างมีส่วนร่วม กับคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด รอซิดะห์ ปูซู : สตรีผู้บุกเบิกต้นแบบศูนย์บริการให้ค�ำปรึกษา เสริมพลังสตรีในพื้นที่ชายแดนใต้ อัญชนา หีมมิหน๊ะ : สตรีนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ชายแดนใต้ ฟาริดาห์ หะยีสามะ : สตรีผู้ขับเคลื่อนประเด็นผู้หญิงด้วยความรู้และการสื่อสาร 3 6 10 14 15 17 18 20 22 25 27


3. นักวิชาการสตรีในอารยธรรมอิสลาม 4. หลักการศาสนาอิสลามและข้อเสนอแนะจากผู้รู้ เกี่ยวกับผู้หญิงและการท�างานในพื้นที่สาธารณะ 4.1 ผู้หญิงมุสลิมกับการเป็นผู้น�าและนักการเมือง 4.2 อิสลาม : ผู้หญิงมุสลิมกับการท�ำงานในพื้นที่สาธารณะ 4.3 ซาตูปาดู : ผู้หญิงมุสลิมกับการมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการ ศาสนาอิสลาม 5. ก้าวต่อไปของการขับเคลื่อนงานผู้หญิง ในพื้นที่สาธารณะชายแดนใต้ 5.1 การเสริมพลังผู้หญิงมุสลิม : แนวทางการสร้างความมั่นใจในการท�ำงานเพื่อสังคม 5.2 การสร้างความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาทของ ผู้หญิงมุสลิมและการท�างานในพื้นที่สาธารณะ 5.3 บทบาทการท�างานของผู้หญิงมุสลิม: การมีส่วนร่วมเชิงโครงสร้าง เพื่อบริหารกิจการศาสนาอิสลาม 5.4 พันธมิตรขับเคลื่อนการท�างานเพื่อผู้หญิงในพื้นที่ : เกลียวเชือกเสริมพลัง บรรณานุกรม 29 35 36 37 38 40 41 42 43 46 47


ก่อนจะเป็น หนังสือเล่มนี้ ที่มาของข้อมูล 6


หนังสือเล่มนี้ได้ผ่านกระบวนการด�ำเนินการ และที่มาของข้อมูลหลายแหล่ง อาทิเช่น เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อัลกุรอาน หะดีษ การสัมภาษณ์ แบบเจาะลึกของผู้รู้ด้านศาสนา นักวิชาการศาสนา และผู้หญิงสร้างแรงบันดาลใจ การประชุมกลุ่มย่อย Focus group ตัวแทนผู้หญิงภาคประชาสังคม ชายแดนใต้ 9 สาขา การจัดเวทีการประชุมจ�ำนวน 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 24 กันยายน 2565 การประชุมเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระหว่าง มุสลิมะห์กับคณะกรรมการอิสลามชายแดนใต้ เพื่อเด็ก สตรี และครอบครัว ครั้งที่ 2 วันที่ 10 ธันวาคม 2565 การสัมมนาแนวทางการส่งเสริม การมีส่วนร่วมของสตรีในกิจการศาสนาอิสลาม ด้านเด็ก สตรี และครอบครัว และ Clip VDO นักวิชาการสตรีในอารยธรรมอิสลาม 7


การต่อยอด การใช้ประโยชน์/นวัตกรรม 8


โดยข้อมูลจากงานวิจัยฯ น�ำไปสู่ การต่อยอด เพื่อใช้ประโยชน์และสร้างสรรค์ นวัตกรรมในหลากหลายรูปแบบ เช่น งานการสื่อสารสาธารณะ รายการวิทยุ ภาษามลายู รายการ Bicara Wanita Podcast Talkกับเธอ รายการโทรทัศน์ นักข่าวพลเมือง Thai PBS เวทีผลักดัน นโยบายสาธารณะการประชุมเพื่อสร้าง การมีส่วนร่วมระหว่างมุสลิมะห์กับคณะ กรรมการอิสลามชายแดนใต้ เพื่อเด็ก สตรี และครอบครัว การสัมมนาแนวทางการ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสตรีในกิจการ ศาสนาอิสลาม ด้านเด็ก สตรี และครอบครัว 9


สภาพปัญหาและสถานการณ์ ของผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่ : การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว 1. 10


พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีบริบทด้าน ความเชื่อ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ แตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนา อิสลาม แนวทางการปฏิบัติตามหลักการความเชื่อของผู้คนจึงมี อัตลักษณ์เป็นของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของสตรีใน พื้นที่สาธารณะที่ถูกจ�ำกัดด้วยข้อก�ำหนดของจารีตและศาสนา แต่ภายหลังการเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ระลอกใหม่ในปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา ส่งผลให้ ผู้หญิงแสดงบทบาทในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น ทั้งในฐานะผู้ได้รับ ผลกระทบจากสถานการณ์ และบทบาทในการท�ำงานเพื่อสังคม เนื่องจากบทบาทของผู้ชายถูกจับตามองจากฝ่ายความมั่นคง อย่างไรก็ดีผู้คนในชุมชนมองบทบาทของผู้หญิงด้วยความเคลือบแคลง สงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อห้ามทาง ศาสนาว่าผู้หญิงสามารถแสดงบทบาทในที่สาธารณะ ท�ำงานขับเคลื่อน ประเด็นทางสังคมได้หรือไม่ เพียงไร การขับเคลื่อนการท�ำงานและศึกษาวิจัยในประเด็น “บทบาทผู้หญิงมุสลิมชายแดนใต้ในพื้นที่สาธารณะในบริบท ของศาสนาอิสลาม” จึงถือเป็นความท้าทายในการที่จะศึกษาถึง หลักการค�ำสอนศาสนาอิสลามเกี่ยวกับผู้หญิง รวมทั้งศึกษา ทัศนคติของผู้น�ำศาสนาอิสลามต่อบทบาทผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้บริบทสังคมปัจจุบัน การศึกษาวิจัย ชิ้นนี้ยังได้ส�ำรวจบทบาทของผู้หญิงมุสลิมที่มีบทบาทโดดเด่นใน มิติงานด้านต่าง ๆ โดยพยายามถอดบทเรียนและแนวทางในการ ปฏิบัติหรือการปรับตัวของผู้หญิงมุสลิมภาคประชาสังคมในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในการท�ำงานเพื่อขับเคลื่อนงานเพื่อสังคม โดยเป้าหมายหลักของการศึกษาชิ้นนี้การเปิดพื้นที่การรับรู้ และ ความเข้าใจต่อบทบาทของผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะ โดยพยายาม สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแก่ประชาชนและ ผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการขับเคลื่อนงานภาคประชา สังคมในพื้นที่ 11


การศึกษาพบว่าผู้หญิงมุสลิมที่มีบทบาทในพื้นที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ได้รับแรงกดดันจากความคาดหวังทั้งจากครอบครัว ในการรับผิดชอบงานบ้านและการเลี้ยงดูบุตร ผู้หญิงได้รับแรงกดดัน ให้ประพฤติตนอยู่ในจารีตที่ดีงาม ขณะเดียวกัน ผู้หญิงกดดันตัวเอง ด้วยการพยายามพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจาก สังคมอีกด้วย ในด้านผู้หญิงมุสลิมผู้ที่ท�ำงานอยู่ในภาคประชาสังคมนั้น การศึกษาพบว่า ยังขาดชุดข้อมูลความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ บทบาทและสิทธิสตรีในอิสลาม โดยเฉพาะบทบาทของผู้หญิงใน พื้นที่สาธารณะ และยังคงมีการผลิตซ�้ำมายาคติทางความคิด เกี่ยวกับเพศสภาพความเป็นผู้หญิงในลักษณะที่เป็นเพศ ที่หวั่นไหวง่าย มีอารมณ์ไม่มั่นคง ไม่เหมาะสมในการเป็นผู้น�ำ ผู้หญิงที่คณะผู้วิจัยได้ท�ำการคัดเลือกเพื่อศึกษา พบว่าทุกคนมี ลักษณะร่วมที่ส�ำคัญหลายประการ อันส่งผลให้ได้รับการยอมรับ ในชุมชนพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เช่น มีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ในการ ท�ำงานที่ชัดเจน การมีจิตสาธารณะ ความอดทน ความสามารถรับ แรงกดดันต่าง ๆ การเป็นนักประสานงานที่ดี การยึดมั่นในหลักการ ศาสนาอิสลาม และมีการขอค�ำปรึกษาหารือกับผู้น�ำศาสนาใน กิจกรรมที่เกี่ยวข้องอยู่เป็นประจ�ำ 12


งานวิจัยได้สรุปแนวทางการส่งเสริมบทบาทและความเชื่อมั่น ของผู้หญิงมุสลิมชายแดนภาคใต้ในการท�ำงานในพื้นที่สาธารณะ ดังนี้: 1. ควรมีการส่งเสริมให้แกนน�ำผู้หญิงมุสลิมมีบทบาทและ ส่วนร่วมในกิจการด้านศาสนาอิสลาม ทั้งด้านแนวคิด กระบวนการ ท�ำงานที่เป็นรูปธรรม เช่น การมีส่วนร่วมในกระบวนการหลักสูตร ฝึกอบรมก่อนการแต่งงานของคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด และเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงมุสลิมมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการศาสนา อิสลามในจังหวัด 2. ผู้หญิงมุสลิมที่มีบทบาทการท�ำงานในพื้นที่สาธารณะ จ�ำเป็นที่จะต้องพัฒนาทักษะ ความรู้ต่าง ๆ ทั้งด้านศาสนา ความรู้ ทางโลก 3. ควรมีการจัดท�ำชุดข้อมูลความรู้ และการอบรมที่เกี่ยวข้อง กับสิทธิและบทบาทหน้าที่ของผู้หญิงและผู้ชายในอิสลาม และ การขับเคลื่อนประเด็นผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่สาธารณะ 4. ในการขับเคลื่อนการท�ำงานเพื่อผู้หญิงควรมีการปรึกษา หารือประสานงาน สร้างความร่วมมือกับนักวิชาการศาสนา ผู้น�ำ ศาสนา องค์กรหรือหน่วยงานด้านศาสนาอิสลาม 13


ถอดบทเรียนผู้หญิง ผู้มีบทบาทในพื้นที่สาธารณะ 2. 14


จากอาชีพแพทย์สู่การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบ บัญชีรายชื่อ เป็นความท้าทายที่ยากล�ำบากเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจาก ความเชื่อทางศาสนาที่มีการตีความว่าผู้หญิงไม่สามารถเป็นผู้น�ำได้ แต่การมีบิดาคือ นายเด่น โต๊ะมีนา ซึ่งเป็นทั้งอดีตรัฐมนตรีฯ อีกทั้งยัง เป็นบุตรของฮัจญีสุหลง โต๊ะมีนา อดีตนักต่อสู้ในจังหวัดชายแดนใต้ เป็นปัจจัยหนึ่งผลักดันให้หมอเพชรดาวเข้าสู่เวทีการเมือง สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นนักการเมือง หมอเพชรดาว สะท้อนว่า “การเป็นนักการเมืองผู้หญิง มุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความท้าทายที่เรา ต้องปรับตัวให้ได้คุณสมบัติที่ส�าคัญคือ ความอดทน อดกลั้น” นับตั้งแต่เริ่มแรกที่สมัครเป็นนักการเมือง ก็จะได้รับการจับตามอง จากสังคมในพื้นที่ด้วยประโยคที่ว่า “ผู้หญิงมุสลิมเป็นนักการเมือง ได้ด้วยเหรอ ไม่เคยอยู่ในพื้นที่จะมาเป็นนักการเมืองได้อย่างไร” หมอเพชรดาวชี้ว่าข้อท้าทายส�ำหรับการเป็นนักการเมืองผู้หญิง มุสลิมคือ การปรับความคิดทัศนคติเดิม ๆ เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ การเป็นหน้าที่ผู้หญิง ท�ำให้เธอใช้วิธีการเดินสายลงพื้นที่พบปะ ชาวบ้าน ผู้น�ำศาสนาในพื้นที่ต่าง ๆ ตามชุมชน มัสยิดต่าง ๆ รวมทั้ง การขอหนังสือฟัตวา (ข้อวินิจฉัย) ถึงสถานภาพการเป็นนักการเมือง เพื่อยืนยันว่าผู้หญิงมุสลิมสามารถเป็นนักการเมืองได้ จงหวะกั ้ าวแห ่ งการเป็ น นกการเม ั องหญ ื งชายแดนใต ิ ้ แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา 15


มุมมองของสังคมที่มีต่อนักการเมืองผู้หญิง ในทัศนะของหมอเพชรดาว คนที่ท�ำงานด้วยกันจะมองผู้หญิงเป็น ผู้ประสานที่ดี ใช้วิธีการที่นุ่มนวล มีเหตุและมีผล มีหลักการ แต่งานบางอย่างก็มีข้อจ�ำกัด เช่น การประสานงานกับผู้น�ำศาสนาหรือผู้ชายในพื้นที่ การที่เป็นผู้หญิงท�ำให้ต้องมีความระมัดระวังเป็น พิเศษ ต้องใช้การมีส่วนร่วมไปร่วมกันกับ ส.ส. ที่เป็นผู้ชาย หรืออาจใช้วิธีให้ญาติพี่น้องที่เป็น ผู้ชายที่รู้เรื่องของศาสนาไปพูดคุย ประสานงาน โดยเธอจะปรับบทบาทตนเองโดยการร่วมนั่งฟัง และหากมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับองค์ความรู้ ทางการแพทย์ก็จะร่วมแลกเปลี่ยน 16


กะน๊ะหรือนางแยน๊ะ สะแลแม อดีตผู้หญิง ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปรับเปลี่ยน บทบาทมาเป็นหญิงผู้มีบทบาทส�ำคัญใน ชุมชนและสังคมพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ในการประสานงานไกล่เกลี่ย ในยาม ที่เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านและ เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ก๊ะแยน๊ะต้องฟันฝ่ากับอุปสรรค และความท้าทายมากมายทั้งจากครอบครัวผู้คน รอบข้างในชุมชน รวมทั้งจากเจ้าหน้ารัฐที่ต้องมีการ ประสานงาน อุปสรรคส�ำคัญที่ก๊ะแยน๊ะต้องเผชิญ คือ ความกังวลและสิ่งที่จะต้อง ระมัดระวังเป็นพิเศษในการท�างาน คือความกลัว มุมมองทัศนคติของคน ซึ่งอาจมีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจต่อบทบาทของสตรี ซึ่งวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด คือ เมื่อพบค�ำวิจารณ์ในแง่ลบจะต้องหาแหล่งที่มาของข้อมูลเพื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริง หากเป็นข่าวลือจะต้องรีบด�ำเนินการประสานเพื่อพบปะต้นตอหรือ บุคคลที่เป็นต้นเรื่องเพื่อพูดคุยท�ำความเข้าใจกัน ซึ่งที่ผ่านมาการแก้ไขด้วย วิธีการดังกล่าวให้ผลลัพธ์ที่ดีเกือบทุกครั้ง ก๊ะแยน๊ะยึดถือความอดทนเป็น หลักส�าคัญ โดยเชื่อว่าการท�างานทุกอย่างย่อมต้องพบเจอกับบททดสอบ จากอัลลอฮ์ ซึ่งหากมั่นใจว่าสิ่งที่เราท�ำเป็นสิ่งที่ดี ฮาลาล (เป็นที่อนุมัติจาก พระเจ้า) เราก็จะผ่านบททดสอบด้วยดี ก๊ะแยน๊ะเล่าถึงความคาดหวังของ เธอว่า “อยากเห็นผู้หญิงในพื้นที่ร่วมด้วยช่วยกันท�างาน ช่วยเหลือสังคม และ ขอให้ผู้น�าศาสนาเข้าใจว่าผู้หญิงเราที่ออกไป ไม่ใช่ออกไปแค่เพื่อนอนที่อื่น แต่ ออกไปท�างานและสามารถช่วยท�างานไปด้วยกัน ขอให้ผู้น�าเข้าใจกระบวนการ ท�างานเรา เราท�าเพื่อชุมชน ไม่ได้จะท�าให้เกิดความเสียหายแก่ชุมชน” ผู้ ก้ าวข้ ามความสูญเสี ยสู ่ หญงน ิ กประสาน ั แยน๊ะ สะแลแม 17


จุดก่อเกิดนักอนุรักษ์ทรัพยากร สิ่งแวดล้อมแห่งจะนะ “ถ้าจะนับจุดเริ่มต้นในการเข้ามา ขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม จ�าได้ ตอนนั้นอายุประมาณ 9 ขวบ แต่เริ่ม ขับเคลื่อนจริง ๆ อายุประมาณ 12 ย่าง 13 เพราะเราอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนประมง พื้นบ้านเราที่มีทรัพยากร สิ่งแวดล้อม อุดมสมบูรณ์ อยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่เป็น นักเคลื่อนไหวเรื่องทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ในท้องถิ่น เวลามีการจัดเวที การชุมนุมในประเด็นนี้เราก็จะ ติดสอยห้อยตามไปด้วย จนมีการตั้งกลุ่มเพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้อง ในการร่วมดูแลรักษาทรัพยากรท้องทะเลในชุมชน เราผูกพันกับ ตรงนี้ ครอบครัวมีอิทธิพลต่อความคิดและการท�างานตรงนี้เป็น อย่างมาก” เป็นค�ำบอกเล่าจากปากสาวน้อยไครียะห์ ระหมันยะ ไครียะห์ ชี้ว่านโยบายในการด�ำเนินงานโครงการต่าง ๆ ของรัฐได้ส่งผลกระทบให้คนในพื้นที่จ�ำนวนหนึ่งที่ฝากปากท้อง ไว้กับทรัพยากรแห่งท้องทะเลจะนะต้องออกมาเคลื่อนไหวเพื่อ เรียกร้องให้รัฐทบทวนแนวทางดังกล่าว และให้รัฐร่วมกันกับ ชุมชนในการรักษาทรัพยากร ไครียะห์ท�ำหน้าที่ในฐานะคนรัก บ้านเกิด และตัวแทนคนรุ่นใหม่ในการสื่อสารเรื่องราวที่พบเห็น คนร ุ ่ นใหม ่ กบบทบาทน ั กอนุร ั กษ ั ์ ทรพยากรส ั ิ ่ งแวดล้ อมแห ่ งทองทะเลจะนะ้ ไครียะห์ ระหมันยะ 18


และเป็นปัญหาในชุมชนเพื่อสะท้อนแก่สู่คนภายนอก และเชิญชวนให้คนภายในพื้นที่ได้ตระหนักว่า ท้องทะเล ทรัพยากรที่ได้รับการจัดสรรจากอัลลอฮ์ ทุกคนมีหน้าที่ ต้องร่วมดูแลรักษา ความเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว การท�ำงานในเรื่องนี้ส่งผลให้ต้องมีความร่วมมือ ประสานงานกับหลายฝ่าย หลายหน่วยงาน เช่น ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี วิทยาเขตหาดใหญ่ และองค์กรที่ท�ำงานด้านสิ่งแวดล้อม การร่วมมือกันในครั้งนี้ส่งผลให้องค์กรเยาวชนหลาย องค์กรได้กลับมาตระหนักถึงปัญหา และท�ำงานร่วมกัน มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นวิถีอันโดดเด่นของคนรุ่นใหม่ และพ่อแม่ผู้ปกครอง ในชุมชนมีทัศนคติที่เปลี่ยนไป โดยการเปิดใจให้ลูกหลาน ของตนเองเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ตัวเธอและครอบครัวมีคนรู้จักมากขึ้น ไครียะห์กล่าวว่า “การหาโอกาสในการพัฒนาตนเองทั้งด้านความรู้ และ การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีส่วนส�าคัญ ต่อการท�างานขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง การวางตัวที่เหมาะสมทั้งการแต่งกาย ท่าทีต่อเพื่อน ๆ และผู้ใหญ่ตามแบบฉบับมุสลิมะห์ท�าให้ได้รับการตอบรับ ในเชิงบวก และไม่กังวลใจการปฏิบัติตามวิถีตัวตน ความเชื่อของเธอ การมีจุดยืนที่ชัดเจนและวางตัวให้ เหมาะสม และปรึกษาหารือเพื่อท�างานร่วมกันกับผู้รู้ ด้านศาสนา อิหม่าม เป็นส่วนส�าคัญในการท�าให้การ ขับเคลื่อนงานของเธอประสบผลส�าเร็จ” 19


ซารีนา เจ๊ะเลาะ ประธานชมรมผู้น�ำมุสลีมะห์นราธิวาส ได้เริ่มการท�ำงานในประเด็นผู้หญิงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ร่วมกับ ภรรยาคอเต็บ บิหลั่นและแกนน�ำเครือข่ายในชุมชน มีเป้าหมาย หลักในการท�ำงานคือ การพัฒนาศักยภาพคนในครอบครัว ในชุมชน โดยการรับหน้าที่ประสาน เชื่อมต่อกับผู้รู้ด้านศาสนา ในชุมชนและส�ำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด นราธิวาสเกี่ยวกับหลักการศาสนา โดยมีศูนย์ให้บริการค�ำปรึกษา ที่ส�ำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัดนราธิวาส และ มีสาขาย่อยในชุมชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสจ�ำนวน 18 ศูนย์ บทเรียนและข้อท้าทายในการท�างาน แรกเริ่มเดิมทีศูนย์ฯ ยังไม่มีระบบการท�ำงานที่ชัดเจน โดยมีการจัดตั้งชมรมซึ่งคณะกรรมการเป็นภรรยาของคณะ กรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด เมื่อมีกิจกรรมและการรวมตัว กันจะมีการพูดคุยกันในเรื่องที่ผู้หญิงมาร้องเรียน ในอดีตที่ผ่านมา มุสลิมะห์ที่มีปัญหาจะมาร้องเรียนกับอิหม่าม แต่ส่วนใหญ่จะ ไม่ค่อยเข้าหาอิหม่ามโดยตรง โดยจะมาพบภรรยาอิหม่ามก่อน เนื่องจากไม่กล้าและอาย และบางกรณีที่เกิดปัญหาผู้หญิงถูก ท�ำร้ายร่างกายคณะท�ำงานที่เป็นผู้หญิงจะเป็นด่านแรกในการ ตรวจร่างกายและบาดแผลที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นความสะดวก สบายใจ ภรรยาผู ้ น�ำศาสนา ผู้ รเริ ิมการท� ่ ำงานอย ่ างมสี ่ วนร ่ วม กบคณะกรรมการอั สลามประจ� ิำจงหวัดั ซารีนา เจ๊ะเลาะ 20


แก่ผู้ร้องเรียน และสอดคล้องกับหลักการศาสนา ในเรื่องการปกปิดร่างกายจากผู้ชายที่ไม่ใช่คนใน ครอบครัว (มะฮ์รอม) เมื่อเกิดกรณีปัญหาดังกล่าว ท�ำให้เธอและสมาชิกชมรมต้องการมีส่วนร่วม ในการช่วยเหลืออิหม่าม โดยเฉพาะในประเด็น ที่ผู้หญิงไม่สามารถพูดได้กับอิหม่ามในเรื่อง ครอบครัว ปัญหาการหลับนอนกับสามี ซึ่งส่วนใหญ่ เรื่องที่มาร้องเรียนจะเป็นเรื่องฟ้องหย่าหรือ มาปรึกษาเรื่องครอบครัว ด้วยบทบาทหน้าที่ ดั ง ก ล ่าวส่งผล ให้ชมรมได้มีพัฒนาการโดยการจดทะเบียน สาธารณประโยชน์ที่ส�ำนักงานพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ในปี พ.ศ. 2553 และ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการแต่ละอ�ำเภอ จ�ำนวน 13 อ�ำเภอในจังหวัดนราธิวาส และคณะกรรมการ ของต�ำบล ๆ ละ 2 คน โดยจะมีการเฟ้นหาคัดเลือก ภรรยาของอิหม่ามที่มีใจอาสาเข้ามาท�ำงานด้วย กัน มีการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพแก่แกนน�ำ ผู้หญิงเหล่านี้ และมีการนัดหมายพูดคุยประชุมกัน สม�่ำเสมอ ความท้าทายในการท�ำงานคือในบาง กรณีเรื่องร้องเรียน คู่กรณีที่เป็นสามีมีการข่มขู่ ภรรยาและคณะท�ำงาน ซึ่งเธอกล่าวว่า การที่มี ต�ำรวจเข้ามาดูแลคุ้มครองขณะท�ำงานเป็น แนวทางที่ควรให้ความส�ำคัญเพื่อปกป้องดูแล ทั้งผู้หญิงที่มาร้องเรียนและคณะท�ำงานในศูนย์ฯ และคณะกรรมอิสลามประจ�ำจังหวัด 21


หาก พู ด ถึ ง บุ ค ค ล ที่ ท� ำ งานด้าน สิทธิสตรีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ‘รอซิดะห์ ปูซู’ ประธานเครือข่ายผู้หญิง ยุติความรุนแรงแสวงสันติภาพจังหวัด ชายแดนใต้ คือหนึ่งบุคคลส�ำคัญที่ได้ต่อสู้ เพื่อผู้หญิงมายาวนาน รวมทั้งเป็นตัวอย่าง ของผู้หญิงชายแดนใต้ยุคใหม่หลายคน ที่ท�ำงานต่อสู้เรื่องสิทธิสตรี รอซิดะห์ ปูซู หรือที่คนในพื้นที่เรียกว่า “ก๊ะดะห์” (“ก๊ะ” ในภาษามลายูใช้เรียก ‘พี่สาว’) ที่ท�ำงานอย่างแข็งขัน เป็นทั้งด่านหน้า คอยรับเรื่องร้องเรียนกรณีผู้หญิง ถูกกระท�ำความรุนแรง การเปิดศูนย์ ให้ค�ำปรึกษาแก่ผู้หญิง ถือเป็นอีกผลงานที่ส�ำคัญและโดดเด่น ในการขับเคลื่อนงานการยุติความรุนแรงแก่ผู้หญิงในพื้นที่ แม้ปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัว (Domestic Violence) และ ความรุนแรงต่อสตรีจะเป็นปัญหาส�ำคัญที่เกิดขึ้นทุกหนแห่งในประเทศไทย แต่ ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ปัญหาดังกล่าวดูจะมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นด้วย บริบทที่มีความหลากหลายในความเชื่อเรื่องเพศ และการสมรสตามหลักการ ศาสนาอิสลามที่ยังขาดหน่วยงานที่ท�ำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนถึง กฎหมายเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวที่ต้องพิจารณาประกอบควบคู่กัน ทั้งกฎหมายอิสลามและกฎหมายไทย สตรผู ี ้ บุกเบกติ ้ นแบบศูนยบร ์ การให ิ ้ ค�ำปรกษา ึ เสรมพล ิ งสตรี ในพ ั นท ื ้ ี ชายแดนใต ่ ้ รอซิดะห์ ปูซู 22


การแก้ปัญหาผู้หญิงมุสลิมด้วยความรู้ ความเข้าใจ : หัวใจส�าคัญในการเข้าถึงปัญหา รอซิดะห์ ชี้ว่า เมื่อเกิดปัญหากับผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความรุนแรงในครอบครัวหรือการล่วงละเมิดทางเพศ เวลาผู้หญิง ที่เจอปัญหาพวกนี้เราก็จะไปหาผู้น�ำในชุมชนที่เราคิดว่าเขาน่าจะมี บทบาทหน้าที่ในการแก้ปัญหานั้น แต่สิ่งที่เจอคือคนเหล่านั้นที่มีความรู้ ในเรื่องที่จะจัดการแก้ปัญหาในกรณีที่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับเด็ก ก็จะเป็นวิธีการแก้ปัญหาอีกแบบที่มีลักษณะเฉพาะ บ่อยครั้งเป็น การแก้ปัญหาแบบจารีตประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมา เช่น ถ้าเกิดมี การผิดประเวณีก็จะใช้วิธีการแบบเดิม ๆ ก็คือจับแต่งงานหรือไม่ก็ จ่ายเงินเพื่อจบปัญหา เพราะเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียอับอายของผู้หญิง ซึ่งการกระท�ำดังกล่าวไม่เป็นธรรมส�ำหรับผู้หญิง ถ้ามีกลุ่มผู้หญิง หรือองค์กรที่ท�ำงานเข้าใจมิติการแก้ปัญหา ก็จะท�ำให้ปัญหาเป็นไป ตามขั้นตอนของกฎหมายที่น�ำไปสู่การปกป้องเด็กและสตรี ที่ผู้เสียหาย ได้รับความเป็นธรรม การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในการบริหารกิจการศาสนา อิสลาม ข้อท้าทายและความคาดหวังในการท�างาน จากการที่ผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มี การขยับขับเคลื่อนในการท�ำงานเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงและสังคมมาก ขึ้น โดยเฉพาะการมีศูนย์บริการให้ค�ำปรึกษาเสริมพลังสตรีในพื้นที่ จังหวัดนราธิวาสและยะลา ส่งผลให้รอซิดะห์และองค์กรเห็นการ เปลี่ยนแปลงในการมีส่วนร่วมเพื่อท�ำงานยุติความรุนแรงแก่ผู้หญิง ในพื้นที่ร่วมกับคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด แม้จะเป็นเรื่อง ไม่ง่ายในการฝ่าด่านทัศนคติ แนวคิดการท�ำงานของสังคมในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อผู้หญิงที่ท�ำงานในพื้นที่สาธารณะ แต่จาก ผลงานเชิงประจักษ์ส่งผลให้ศูนย์ฯและองค์กรได้รับการยอมรับจาก ประชาชนผู้ใช้บริการและคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัดที่มี ส่วนเกี่ยวข้อง 23


โดยที่ รอซิด๊ะห์ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และบทเรียน ในการท�ำงานดังกล่าวว่า “ผู้หญิงเองพอเขาต้องท�างานกับผู้น�าศาสนาก็เริ่ม ปรับตัว ให้สอดคล้องกับสถานที่ กับกลุ่มเป้าหมายที่เขาท�างาน ยกตัวอย่างเช่น การแต่งตัว จากเดิมที่ใส่เสื้อรัดรูป กางเกง เขาก็จะปรับตัวอัตโนมัติ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ที่เรา ท�างานและกลุ่มที่เราท�างาน กริยามารยาท จากที่พูดมากก็ พูดน้อยลงสงบเสงี่ยม ที่ส�าคัญเรื่องของภาพลักษณ์เวลาที่ เราท�างานกับผู้น�าศาสนาหรือท�ากับองค์กรศาสนา เราก็ต้อง รักษาภาพลักษณ์ของความเป็นมุสลิม เป็นการปรับตัวในทาง ที่ดีขึ้น ส่วนเรื่องของรูปแบบการท�างาน เราท�างานภายใต้ โครงการก็ต้องมีเรื่องตัวชี้วัด เรื่องการติดตามการประเมิน ผล นอกจากนี้การเป็นมุสลิมะห์ที่ดีต้องอยู่ในกรอบ มีความตั้งใจ ท�างาน มีความซื่อสัตย์นั้นเป็นสิ่งส�าคัญ นอกจากนี้การปรึกษา หารือกับผู้รู้ด้านศาสนาเป็นสิ่งที่ต้องให้ความส�าคัญในทุก จังหวะก้าวการท�างาน ที่เราไม่สามารถมองข้ามได้” 24


อัญชนา หีมมิหน๊ะ ผู้น�ำกลุ่มด้วยใจ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ท�ำงานด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ เธอ มีมุมมองต่อบทบาทผู้หญิงในพื้นที่ สาธารณะในพื้นที่แห่งความขัดแย้ง ว่า “ข้อดีอย่างหนึ่งของความเป็น ผู้หญิง คือการท�าร้ายร่างกาย ผู้หญิงที่ท�างานด้านนี้ยังไม่เกิดขึ้น ในขณะที่ข้อเสียคือ คนที่ทางกลุ่ม ต้องท�างานด้วยมองว่าเราเป็น ผู้หญิง ซึ่งอาจจะไม่ยอมรับหรือ ยอมรับแค่ 50 เปอร์เซ็นต์” การท�ำงานของเธอเกี่ยวข้องกับการเยียวยาแก่ผู้ถูก กล่าวหาในคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนใต้ โดยให้การช่วยเหลือ ผู้ถูกกล่าวหาในคดีความมั่นคง ผู้ถูกควบคุมตัวพิเศษ มีการท�ำ กิจกรรมในเรือนจ�ำ ท�ำให้กลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่เคยถูกมองมีคน สนใจและได้รับการช่วยเหลือมากขึ้น ท�ำให้ช่วยลดการถูกตีตรา จากสังคมและเข้าถึงความเป็นธรรมมากขึ้น สตรน ี กต ั ่ อสู ้ เพ ือส ่ ิ ทธมนุษยชน ิ ในพนท ื ้ ี ชายแดนใต ่ ้ อัญชนา หีมมิหน๊ะ 25


ผู้หญิงมุสลิมกับปรากฏการณ์การท�างานในพื้นที่ สาธารณะ : มุมมองและความทับซ้อนทางความคิด ในสังคมที่มีความหลากหลายทางความเชื่อ วัฒนธรรม อัญชนาได้สะท้อนบทบาทการท�ำงานของผู้หญิง มุสลิมในการท�ำงานในพื้นที่สาธารณะว่า “ในพื้นที่แห่งนี้ ของผู้หญิงมีความเป็นรองในพื้นที่ ภายใต้วัฒนธรรม ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงถูกสอนมาว่าอยู่ภายใต้พ่อ พี่ สามี ท�า อะไรต้องขออนุญาต ภายใต้กรอบแนวคิดนี้ เรื่องของทาง ศาสนาที่พ่อ พี่สอนมา สามีกลายเป็นใหญ่ ผู้หญิงกลายเป็น เพศที่อ่อนแอ ไม่สามารถท�าอะไรได้” นอกจากนั้นการตีความ ในหลักศาสนาว่าผู้หญิงต้องอยู่ในบ้านอย่างเดียว บางครั้งใน บริบทของสังคมสมัยใหม่ ผู้หญิงจ�ำเป็นต้องออกนอกบ้าน ในขณะเดียวกันก็มีค�ำถามความรู้สึกลึก ๆ ในใจว่า สิ่งที่ท�ำไป นั้นถูกต้องหรือไม่ในทางหลักศาสนา ซึ่งเป็นอีกจุดติดส�ำคัญ ที่ผู้หญิงท�ำงานเพื่อสังคมอีกหลาย ๆ คนยังไม่สามารถ ก้าวข้ามได้ กล่าวคือหากอยู่ภายใต้หลักการศาสนาอิสลามที่ ความศรัทธาเป็นหลักใหญ่ เรามีความเข้มแข็งในเรื่องของ ความศรัทธา การปฏิบัติตัวของเราก็จะอยู่ภายใต้หลักการ ที่เราศรัทธา เรามีความมั่นใจในตัวเองว่าเราจะไม่ออกนอก กรอบของหลักการที่เราปฏิบัติ ไม่ต้องกังวลว่าเราจะละเมิด หลักการศาสนา อัญชนาชี้ว่า “แนวคิดในการท�างานของ ผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้รู้ด้าน ศาสนา ผู้น�ารัฐ และผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่ต้องมองว่า สิ่งส�าคัญคือการมองประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ประโยชน์ ตัวเอง ต้องไม่หยิบหลักการ หรือนโยบายที่เป็นประโยชน์ กับตัวเองเพื่อมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างอ�านาจ” 26


ฟาริดาห์ หะยีสามะ หรือ “ครูฟาร์” ผู้หญิง ที่มีบทบาทหน้าที่การท�ำงานในภาคประชาสังคม โดยใช้กระบวนการให้ความรู้ให้แก่ผู้หญิงมุสลิม เพื่อเป็นการเสริมพลังในด้านจิตวิญญาณ ครูฟาร์กล่าวว่า การท�ำงานเสริมสร้างพลัง ภายในด้านจิตวิญญาณแก่ผู้หญิงมีส่วนส�ำคัญ ที่จะท�ำให้ผู้หญิงแกร่ง เพราะผู้หญิงถือเป็นหัวใจ ส�ำคัญของสถาบันครอบครัว อันเป็นสถาบัน รากฐานของสังคม เธอกล่าวเพิ่มเติมว่าจาก สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สังคมปัจจุบันต้องการพลังชีวิตเชิงบวก ดังนั้น “ก่อนที่จะไปเปลี่ยนข้างนอก เราต้องเปลี่ยนข้างใน ก่อนเพื่อให้เราสามารถโฟกัสกับสิ่งภายในและ ส่งต่อแก่ภายนอก” ในระยะแรกการท�ำงานของ ครูฟาร์เป็นรูปแบบงานบรรยายด้านศาสนา โดย มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้สูงอายุ แต่ในช่วงหลังมี การปรับเปลี่ยนรูปแบบโดยการใช้สื่อออนไลน์ ในการสื่อสารผ่านรูปแบบการท�ำคลิปให้แก่กลุ่ม เยาวชนเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ สื่อสารมากยิ่งขึ้น สตรผู ี ้ ขบเคล ั ือนประเด ่ นผู ็ ้ หญง ิ ด ้ วยความร ู ้ และการสือสาร ่ ฟาริดาห์ หะยีสามะ 27


มุมมองและแนวคิดต่อบทบาทผู้หญิง ในบ้านและพื้นที่สาธารณะ ครูฟาร์มีมุมมองต่อผู้หญิงที่จ�ำเป็นจะต้อง ออกไปในพื้นที่สาธารณะด้วยความจ�ำเป็นว่า สังคมควรจะมีพื้นที่ให้ผู้หญิงในการเป็นส่วน หนึ่งของการเติมเต็มให้กับสังคม เช่น เรื่อง ของการ บ ริ หาร โ ร ง เ รี ย น โ ด ย การ เ ป ็ น ค รู ซึ่งผู้หญิงท�ำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีกว่า แต่ทั้งนี้ ผู้หญิงต้องไม่ละเลยสิทธิแรกหน้าที่แรกคือ หน้าที่ในบ้าน นอกจากนี้สังคมควรมีพื้นที่ให้ ผู้หญิงได้ท�ำหน้าที่ในบางบทบาทที่ผู้หญิง ควรจะท�ำและท�ำหน้าที่ได้ดีกว่าผู้ชาย เช่น การให้ก�ำลังใจ การเสริมพลังผู้หญิงด้วยกัน 28


นักวิชาการสตรี ในอารยธรรมอิสลาม 3. 29


บทบาทของสตรีในประวัติศาสตร์ของอิสลามเป็นหัวข้อที่ชุมชน มุสลิมขาดข้อมูลและความรู้ อันน�ำมาซึ่งความเข้าใจที่ผิด ๆ เกี่ยวกับบทบาท สตรี มิต้องกล่าวถึงว่าผู้คนซึ่งไม่คุ้นเคยกับอารยธรรมอิสลามอาจรู้สึก ประหลาดใจหากพบว่าสังคมมุสลิมเต็มไปด้วยผู้หญิงที่เป็นนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญในด้านศาสนา ในสังคมมุสลิมนั้น นักวิชาการสตรีมุสลิมโด่งดัง เป็นที่รู้จักและทรงอ�ำนาจ (authoritative) ในสาขาวิชานั้น ๆ เช่นเดียวกับ ผู้ชาย และด้วยความเป็นผู้รู้ทางศาสนา จึงท�ำให้ผู้คนหลั่งไหลจากทุก สารทิศ เพื่อมาศึกษาหาความรู้กับอุซตาซะฮ์ (อาจารย์ผู้หญิง) โดยข้อคิด เห็นทางวิชาการของผู้รู้สตรีได้รับการอ้างอิงในต�ำราหลัก ๆ ทางวิชาการ โดยที่ความเป็นผู้หญิงมิได้ท�ำให้ค�ำอธิบายและการตีความทางศาสนาของ นักวิชาการสตรีมีค่าลดลงหรือขาดสิทธิอ�ำนาจ (authority) แต่อย่างใด บทบาท (role) และคุณูปการ (contribution) ของสตรีในอารยธรรมอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการสั่งสม (accumulation) และการผลิตสร้าง ความรู้ (production of knowledge) นั้น ต่างจากภาพจ�ำในเรื่องเดียวกันนี้ ในโลกทัศน์ของความคิดปัจจุบัน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากความคิดทางสังคม อันมีรากฐานจากสังคมศาสตร์ตะวันตกที่เชื่อว่า ยิ่งศาสนาเข้ามามีอิทธิพล ต่อสังคมมากขึ้นเท่าใดก็จะยิ่งท�ำให้บทบาทและอ�ำนาจของผู้หญิงถูกจ�ำกัด มากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะความคิดทางสังคมสมัยใหม่มีสมมติฐานว่า ศาสนาเป็นระบบที่ได้รับการประกอบสร้างขึ้นจากมนุษย์ โดยมีผู้ชายเป็น ผู้ประกอบสร้างดังกล่าว และเนื่องจากเป็นผลผลิตจากผู้ชาย ศาสนาจึงมีขึ้น เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ชายโดยมีผู้หญิงเป็นผู้สูญเสียและเป็น ผู้จ่ายให้กับราคาของศาสนาด้วยเสรีภาพและการกดทับอ�ำนาจผู้หญิง 30


แน่นอนว่ามุสลิมไม่เห็นด้วยกับโลกทัศน์ดังกล่าว ศาสนาใน โลกทัศน์ของมุสลิมคือ ระบอบการด�ำเนินชีวิตที่มีที่มาจากพระเจ้า (revealed religion) คัมภีร์อัลกุรอาน คือค�ำพูดของพระเจ้าซึ่ง แสดงออกมาผ่านภาษาของมนุษย์โดยผ่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ซึ่ง เป็นชาวอาหรับ จึงมีกลุ่มผู้ฟัง (audience) กลุ่มแรกเป็นชาวอาหรับ และต่อมามีการขยายกลุ่มผู้ฟังออกไปยังกลุ่มชนต่าง ๆ อัลกุรอานมิได้ เป็นคัมภีร์ที่มาอธิบายหรือให้ค่ากับชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือลักษณะทางภูมิศาสตร์ใดภูมิศาสตร์หนึ่ง และในระบบคิดของ มุสลิมนั้นพฤติกรรม ค�ำพูด จรรยามารยาท และการด�ำเนินชีวิตของ ศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตทางสาธารณะ ซึ่งต่อมาได้รับการบันทึกหรือที่เรียกว่า “หะดีษ” นั้นได้รับการบันดาลใจ มาจากพระเจ้าและถือเป็นโลกทัศน์ เป็นแนวทาง กฎเกณฑ์ ในการ ด�ำเนินชีวิตทางสาธารณะและชีวิตส่วนตัวของมุสลิม ความรู้เรื่องอัลกุรอานและหะดีษจึงเป็นตัวชี้วัด “สิทธิอ�ำนาจ” ในการตัดสินชี้ขาดกิจการของมุสลิม ซึ่งมีสตรีเป็นจ�ำนวนมากที่มี ความเป็นเลิศในความรู้ดังกล่าว เป็นความจริงที่ว่าผู้ชายเป็นผู้ด�ำรง ต�ำแหน่งอิหม่าม ผู้พิพากษา หรือต�ำแหน่งอื่น ๆ แต่สิทธิอ�ำนาจของ ผู้ด�ำรงต�ำแหน่งนั้นมาจากความรู้ในตัวบทของคัมภีร์อัลกุรอานและ หะดีษ ซึ่งผู้หญิงสามารถโต้แย้งความรู้ดังกล่าวได้ด้วยการอ้างอิง คัมภีร์อัลกุรอานและหะดีษได้เช่นกัน ตัวอย่างหนึ่งในหลาย ๆ ตัวอย่าง ที่ผู้หญิง อ้างอิงความรู้ในตัวบททางศาสนา (คัมภีร์อัลกุรอานและ หะดีษ) โดยผู้พิพากษาต้องจ�ำนนต่อหลักฐานที่ผู้รู้ซึ่งเป็นสตรีน�ำมา คัดค้านค�ำตัดสินดังกล่าว 31


อัมเราะห์ บินติ อับดุลเราะมาน ซึ่งเป็นนักวิชาการหญิง ผู้มีความรู้ด้านหะดีษ (มูฮัทดิซาต) เป็นเลิศ และได้รับการยกย่องว่า เป็นนักกฎหมายอิสลาม (ฟากิฮะฮ์) ได้เข้าแทรกแซงการพิพากษา คดีหนึ่งในศาล เมื่อนางรู้ข่าวว่าอาจมีการตัดสินผิดพลาด (จากตัวบทในคัมภีร์อัลกุรอานและหะดีษ) จากผู้พิพากษา ซึ่งในคดี ดังกล่าวมีนักกฎหมายอิสลามจ�ำนวนมากที่ไม่ได้มีความเห็นว่า ค�ำพิพากษาอาจไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของศาสนา โดยในคดีนี้ นักโทษซึ่งไม่ใช่มุสลิมถูกกล่าวหาว่าขโมยแหวนจากในคุก ผู้พิพากษาชื่อ อบูบักร อิบนิ มูฮัมหมัด อิบนิ อัมริ อิบนิ ฮัสซึม ก�ำลัง จะตัดสินให้มีการตัดมือนักโทษดังกล่าว (ตามกฎมายอิสลาม) อัมเราะห์ บินติ อับดุลเราะมาน ได้ส่งคนใช้ที่ชื่อ อุมัยยะฮ์ ไปถาม ผู้พิพากษาว่า “จริงหรือไม่ที่ท่านได้จับตัวนักโทษไว้และจะท�าการตัดสิน ให้มีการตัดมือในกรณีนี้ซึ่งเป็นการขโมยสิ่งของที่มีมูลค่าเล็กน้อย?” ผู้พิพากษากล่าวตอบว่าจริง อุมัยยะฮ์จึงกล่าวว่า “อัมเราะห์ ให้ข้าพเจ้ามาเรียนแก่ท่านว่า (ตามตัวบทจากอัลกุรอานและหะดีษ) ไม่มีการตัดมือในกรณีที่มีการขโมยสิ่งของที่มูลค่าไม่เกิน 1 ใน 3 ของเหรียญทอง (ที่ใช้อยู่ในขณะนั้นและแหวนที่นักโทษได้ขโมยไปก็ มีมูลค่าไม่เกินอัตราดังกล่าว ซึ่งอุมัยยะฮ์ได้ยกหลักฐานจากตัวบท ที่อัมเราะห์ได้ส่งสารมา)” เมื่อ ผู้พิพากษา อบูบักร อิบนิ มูฮัมหมัด ทราบถึงตัวบทดังกล่าว เขาก็ได้ปล่อยตัวชายคนนั้นไป ผู้พิพากษา ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้เนื่องจากเขาไม่สามารถถกเถียงกับ หลักฐานอันมาจากตัวบททางศาสนาที่อัมเราะห์มีความรู้ได้นั่นเอง ตามค�ำอธิบายของอิหม่ามซาฮาบี ผู้รู้สตรีที่เป็นที่มีชื่อเสียง มากที่สุดในบรรดาผู้รู้สตรีทั้งหลายในอิสลาม คือ ท่านหญิง อาอิชะฮ์ ผู้มีสมญานามว่า “มารดาแห่งศรัทธาชน” ขณะที่ อิบนุ กอยยิม เขียนไว้ในหนังสือของท่านว่า มีการท่องจ�ำฟัตวา (ค�ำวินิจฉัยทาง ศาสนา) ของเหล่าสาวกท่านนบีมุฮัมหมัดถึง 130 ท่าน ทั้งชายและ หญิง สาวกที่โดดเด่นที่สุดคือ ท่านอุมัร อิบนุล ค็อตตอบ ท่านอาลี บินตอลิบ ท่านอับดุลลอฮ บินมัสอูด รวมไปถึงท่านหญิงอาอิชะฮ์ มารดาแห่งศรัทธาชน ท่านซัยด์ บินซาบิต ท่านอับดุลลอฮ บินอับบาส 32


และท่านอับดุลลอฮ อิบนุอุมัร รองจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ มีนักนิติศาสตร์สตรีอีกหลายท่านที่มีชื่อเสียง คืออุมเราะฮ์ บินติ อับดุลเราะฮ์มาน อัลอันศอริยะฮ์, ซอฟียะฮ์ บินติชัยบะฮ์ อุมมุมันซูร และอุมมุด ดัรดาอฺ อัซซุฆรอ นักปราชญ์สตรีเหล่านี้สอนผู้คนให้รู้จักอิสลาม รวมไปถึง ออกฟัตวา (ค�ำวินิจฉัยทางศาสนา) โต้แย้งข้อสงสัย ให้โอวาทหรือ ความเห็นประเด็นศาสนา และปราศรัยบนมิมบัร ในหนังสือของอิหม่ามอิบนุกะษีรท่านได้อ้างอิงอาจารย์ของ ท่านที่เป็นสตรีถึง 80 ท่าน ในขณะที่อิหม่ามซาฮาบีได้รายงานหะดีษ ต่าง ๆ ที่มีผู้รายงานเป็นสตรี ซึ่งอิหม่ามซาฮาบีอ้างอิงถึงผู้รายงาน หญิงเหล่านั้นในหนังสือ Book of Scholars (ท�ำเนียบนักปราชญ์) ท่านฮาฟิส อิบนุหะญัร อัลอัสกอลานีได้บันทึกหะดีษที่ได้รับ การรายงานโดยผู้รายงานที่เป็นผู้หญิงถึง 170 ท่าน ในหนังสือ อัดดุรอร อัลกามินะฮฺ โดยใน 170 ท่านนั้น มีนักรายงานหะดีษหญิง ที่เป็นอาจารย์ของท่านฮาฟิสถึง 54 ท่าน ในหนังสือ อัลมุคตาสอร์ด อิบนุหะญัรได้อ้างอิงสตรีที่เป็น ที่รู้จักในฐานะผู้รายรายงานหะดีษจ�ำนวน 824 คน ขณะที่อัสซะคอวี ซึ่งเป็นลูกศิษย์อิบนุหะญัรได้อ้างอิงนักวิชาการหญิง 85 ท่านใน หนังสือ The Shining Light (ประกายแสง) ช่วงศตวรรษที่ 7 และ 8 มีนักวิชาการหะดีษที่เป็นสตรีถึง 334 ท่านในอียิปต์และแถบลีแวนต์ (เมดิเตอเรเนียนตะวันออก) นักวิชาการ หญิงเหล่านี้เป็นอาจารย์ผู้สอนปราชญ์หะดีษบางท่านที่มีชื่อเสียง ที่สุดในยุคนั้น นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 8 ได้เขียนชีวประวัติของ อุมมุ ซัยนับ ฟาติมะฮฺ บินติ อับบาส อัลบัฆดาดี สตรีซึ่งอิหม่ามซาฮาบี เรียกว่า “นักปราชญ์ มุฟตี (ผู้วินิจฉัยปัญหาศาสนา) นักนิติศาสตร์ และสตรีผู้รอบรู้แห่งส�านักคิดฮัมบาลี” ศอลาฮุดดีน ซัฟดี นักประวัติศาสตร์อิสลาม บรรยายว่า อุมมุ ซัยนับมักจะยืนบนมิมบัร และสอนหนังสือเหล่าสตรีในกรุง ดามัสกัส และต่อมาก็ได้สอนในอียิปต์ 33


ในหนังสือ The Shining Lights of the Ninth Century (ประกายแสงเเห่งศตวรรษที่ 9) อัสซาคอวีได้บันทึกหะดีษที่มี ผู้รายงานเป็นสตรีจ�ำนวน 1,080 ท่าน โดยสตรีเหล่านี้เป็นผู้รู้ด้าน นิติศาสตร์อิสลามและผู้รู้ด้านหะดีษ ในบรรดานักวิชาการสตรีเหล่านั้น อัสมาอฺ บินติ อะสัด อิบนุล ฟุรอต ถือว่าโดนเด่นมาก อีกทั้งยังมี คอดีญะฮฺ บินติ อิหม่ามซุหฺนูน โดยทั้งสองท่านถือว่าเป็นนักนิติศาสตร์ส�ำนักคิดมาลิกีที่มี ชื่อเสียงที่สุดอันดับต้น ๆ ในไครูอานและในแถบมัฆริบหรือแอฟริกา ตะวันตกเฉียงเหนือ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวมาข้างต้นย่อมเพียงพอ ที่จะชี้ให้เห็นว่า สตรีในอิสลามมีสิทธิและบทบาทอย่างเต็มที่ใน การขับเคลื่อน ชี้น�ำสังคม พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ที่มีการแชร์ ร่วมกันระหว่างหญิงชายและเป็นการแชร์กันอย่างเคารพและ ให้เกียรติกันและกัน 34


หลักการศาสนาอิสลามและ ข้อเสนอแนะจากผู้รู้เกี่ยวกับ ผู้หญิงและการท�างานในพื้นที่สาธารณะ 4. 35


ด้วยภาวะความจ�ำเป็นที่ผู้หญิงต้องออกมาท�ำงานหรือ ขับเคลื่อนการการท�ำงานเพื่อสังคมภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลง ไปในปัจจุบัน งานวิจัยได้ข้อสรุปดังนี้ 4.1 ผู้หญิงมุสลิมกับการเป็นผู้น�าและนักการเมือง หลักการอิสลามได้ถือว่าเป็นพันธกิจของผู้หญิงและ ผู้ชายที่จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้ความร่วมมือในการ ประกอบความดีและการปกป้องความชั่วร้าย ดังที่อัลลอฮ์ได้ บัญญัติไว้ในอัลกุรอานไว้ ความว่า “และพวกเจ้าจงช่วยเหลือกันในเรื่องคุณธรรม และความย�าเกรง แต่พวกเจ้าอย่าได้ช่วยเหลือกันในเรื่องบาป และความเป็นศัตรูกัน” (อัลกุรอาน 5 : 2) “และบรรดาผู้ศรัทธา ทั้งชายและหญิงต่างคนต่างเป็นมิตรของกันและกัน พวกเขาใช้ แต่การดีห้ามสิ่งต้องห้าม พวกเขาด�ารงละหมาด บริจาค ซะกาต ภักดีต่ออัลลอฮ์และศาสดาของพระองค์พวกเขาเหล่านั้น อัลลอฮ์จะทรงเมตตาเขาแน่นอน แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอ�านาจ อีกทั้งปรีชาญาณยิ่ง” (อัลกุรอาน 9:71) ดังนั้น การเป็นผู้น�ำ/ นักการเมืองของสตรีจึงไม่ขัดกับบัญญัติของอิสลาม เนื่องจาก ภายใต้หลักการกลุ่มบุคคลทั้งชายและหญิงดังกล่าว ท�ำหน้าที่ ส่งเสริมการกระท�ำความดีและห้ามปรามความชั่วที่จะเกิดขึ้น ส่วนการเป็นผู้น�ำนั้น นักวิชาการและผู้รู้ด้านศาสนาส่วนใหญ่มี ความเห็นว่า ไม่ขัดหลักการศาสนาอิสลาม ยกเว้นการเป็นอิหม่าม ในการน�ำละหมาด 36


4.2 อิสลาม : ผู้หญิงกับการท�างานในพื้นที่สาธารณะ อิสลามมิได้ห้ามในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากสังคมในปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไป มีปัญหาต่าง ๆ ที่สลับซับซ้อนเกิดขึ้นมากกว่าใน อดีต โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคมที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อเด็ก ผู้หญิงและคนในสังคมวงกว้าง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงจ�ำเป็นที่ผู้หญิงออกมาสู่ พื้นที่สาธารณะ เพื่อแก้ปัญหาทางสังคมร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ผู้รู้ นักวิชาการศาสนาได้ให้ข้อแนะน�ำที่ส�ำคัญต่อผู้หญิงมุสลิมที่ท�ำงานใน พื้นที่สาธารณะต้องค�ำนึงถึงและปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ 1. ตั้งเจตนาในการท�ำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮ์ 2. ต้องมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการศาสนาเพื่อจะได้ ประพฤติปฏิบัติตนสอดคล้องกับหลักการศาสนา 3. ต้องป้องกันการเกิดฟิตนะห์ (ความเสื่อมเสีย เสียหาย) ต่อตัวผู้หญิง ครอบครัว และสังคม เช่น การแต่งกายต้องมิดชิด ตามหลักการศาสนาอิสลาม เมื่อท�ำงานกับเพศชายต้องระมัดระวัง เรื่องการวางตัว กิริยา วาจาให้อยู่ในขอบเขต เป็นต้น 4. ต้องรู้จักบริหาร จัดการงานบ้าน โดยการปรึกษาหารือกับ สามีและคนในครอบครัว เพื่อแบ่งเบาบทบาทหน้าที่ และแบ่งเบาหน้าที่ ของผู้หญิง 37


4.3 ซาตูปาดู : ผู้หญิงมุสลิมกับการมีส่วนร่วมในการบริหาร กิจการศาสนาอิสลาม จากบทบาทการท�ำงานในพื้นที่สาธารณะเพื่อสังคมของผู้หญิง มุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน พบว่าบางบทบาทหน้าที่ เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือประสานงานกับหน่วยงานบริหารกิจการศาสนา อิสลาม เช่น มัสยิด ส�ำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัดหรือ งานของศูนย์รับเรื่องปัญหาความรุนแรงของผู้หญิงและครอบครัว งานกิจการสตรี เด็ก เยาวชน ท�ำให้ผู้หญิงมุสลิมภาคประชาสังคมในพื้นที่ ได้มีการทบทวนบทบาทของตนเอง และแนวทางในการมีส่วนร่วมกิจการ ทางศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในเชิงนโยบายและโครงสร้างของ หน่วยงาน องค์กรดังที่กล่าวมาแล้ว จากการศึกษาวิจัยโดยมีการจัดเวทีที่เกี่ยวข้อง จ�ำนวน 2 ครั้ง ในจังหวัดปัตตานี ผู้หญิงมุสลิม ตลอดจนตัวแทนนักวิชาการในพื้นที่ ได้มีประเด็นค�ำถามในช่วงการแลกเปลี่ยนร่วมกับผู้รู้ด้านศาสนาอิสลาม และคณะกรรมการอิสลาม 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวกับแนวทางแก้ไข ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นแก่ผู้หญิงมุสลิม การถาโถมของ ปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ที่มีความซับซ้อนมากกว่าในอดีต ซึ่งจ�ำเป็นจะต้องให้ ความร่วมมือกันในการท�ำงานเพื่อป้องกัน แก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งจากผู้หญิง ที่เป็นก�ำลังส�ำคัญและมีผลงานที่ได้รับการยอมรับ เป็นที่ประจักษ์ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา ผลจาก การหารือและร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็นการมีส่วนร่วมของผู้หญิงใน การบริหารกิจการศาสนาสามารถแบ่งแยกย่อยได้ใน 2 ประเด็นหลัก คือ หลักการอิสลามกล่าวในเรื่องนี้ไว้อย่างไร และตามพระราชบัญญัติการ บริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ได้ระบุไว้อย่างไร ซึ่งสรุปประเด็น ดังต่อไปนี้ 38


ผู้รู้ด้านศาสนา คณะกรรมการอิสลามทั้ง 4 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และตัวแทนคณะกรรมการกลาง อิสลามแห่งประเทศไทย ส่วนใหญ่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า อิสลามมิได้มีข้อห้ามในการให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการ ทางศาสนาอิสลาม ยกเว้นในบทบาทของการเป็นผู้น�ำทางศาสนา และการเป็นผู้ชี้ขาดสูงสุดทางศาสนา และส่วนใหญ่มิปฏิเสธ ต่อบทบาทดังกล่าว เนื่องจากความจ�ำเป็นในหลาย ๆ ประการ เพียงแต่ต้องมีการก�ำหนดขอบเขตบทบาทความรับผิดชอบให้มี ความชัดเจน และจะน�ำประเด็นนี้ไปหารือกับคณะกรรมการ อิสลามแต่ละจังหวัดเพื่อให้ได้มติร่วมกัน นอกจากนี้ เมื่อมี การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนา อิสลาม พ.ศ. 2540 พบว่า ช่องทางในการให้ผู้หญิงได้มีส่วนร่วม มิได้มีข้อจ�ำกัดในเรื่องดังกล่าว และเป็นอีกแนวทางที่ผู้เกี่ยวข้อง จ�ำเป็นต้องศึกษาในเนื้อหาเชิงรายละเอียดต่อไป 39


ก้าวต่อไปของการขับเคลื่อนงานผู้หญิง ในพื้นที่สาธารณะชายแดนใต้ 5. 40


5.1 การเสริมพลังผู้หญิงมุสลิม : แนวทางการ สร้างความมั่นใจในการท�างานเพื่อสังคม แม้ว่าผู้หญิงมุสลิมจะมีโอกาส บทบาทและได้รับ การยอมรับในการท�ำงานในพื้นที่สาธารณะเพิ่มขึ้นใน ปัจจุบัน แต่ด้วยสภาพการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก ในเกือบทุกด้าน การพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงมุสลิม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการท�ำงานเพื่อสังคมจึงเป็น สิ่งส�ำคัญ จากงานวิจัยฯ มีข้อเสนอแนะจากผู้หญิงกลุ่ม เป้าหมาย และผู้รู้ศาสนาในเรื่องดังกล่าว เช่น ผู้หญิงมุสลิม ควรมีการศึกษาหลักการศาสนาอิสลามให้ชัดเจนเกี่ยวกับ การท�ำงานในพื้นที่สาธารณะภายใต้บริบทของศาสนา อิสลาม เพื่อจะได้ปฏิบัติตามหลักการอย่างถูกต้อง โดยสามารถศึกษาจากอัลกุรอาน และแนวทางการปฏิบัติ ของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) รวมทั้งต�ำราจากผู้รู้ ศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ผู้หญิงมุสลิมที่ท�ำงานในพื้นที่สาธารณะ จ�ำเป็นต้องดูแลตนเอง ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และ จิตวิญญาณ รวมทั้งต้องมีการพัฒนาทักษะความรู้ต่าง ๆ ที่จ�ำเป็นในการท�ำงาน และควรมีการปรึกษาหารือ ประสาน ความร่วมมือกับผู้รู้ ผู้น�ำศาสนา องค์กรด้านศาสนาใน ประเด็นทางศาสนาหรือประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 41


5.2 การสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ บทบาทของผู้หญิงมุสลิมและการท�างานในพื้นที่ สาธารณะ ผลจากการวิจัยเรื่องบทบาทผู้หญิงมุสลิมชายแดนใต้ ในพื้นที่สาธารณะ ในบริบทของศาสนาอิสลาม พบว่า สิ่งส�ำคัญที่จะช่วยหนุนเสริมและสร้างความมั่นใจให้ผู้หญิง คือการส่งเสริมให้ผู้หญิงมุสลิมศึกษาค้นคว้า รวมทั้งเข้าถึง องค์ความรู้ทางศาสนาได้ด้วยตนเอง องค์กรที่ส่งเสริม บทบาทผู้หญิงต้องท�ำงานเชิงความคิดกับผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น การสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงมุสลิมตามหลักการศาสนาใน บริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การเผยแพร่ต�ำรับต�ำรา ทัศนะ/มุมมอง การวินิจฉัยทางศาสนาของผู้รู้ นักวิชาการ ศาสนา ปัญญาชนมุสลิม ผู้น�ำศาสนาที่เปิดกว้าง มีความ เข้าใจและเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป แทนที่ จะจ�ำกัดเฉพาะในกลุ่มของสายจารีตนิยม หรืออนุรักษ์นิยม การสร้างและเผยแพร่ความ รู ้ / ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน ทัศนคติและพฤติกรรมของผู้คนในสังคม ให้เกิดการยอมรับและส่งเสริมบทบาทของ ผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่สาธารณะเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะต้องอาศัยเวลาก็ตาม อย่างไรก็ตาม การที่สังคมปัจจุบันอยู่ในยุคโซเชียลมีเดีย จะเป็นโอกาสของผู้หญิงรวมทั้งผู้คนใน สังคม ในการแสวงหาความรู้ที่หลากหลาย และง่ายขึ้น เพื่อท�ำความเข้าใจและส่งเสริม บทบาทของสตรีมุสลิม ผ่านสื่อสมัยใหม่ 42


5.3 บทบาทการท�างานของผู้หญิงมุสลิม: การมีส่วนร่วมเชิงโครงสร้างเพื่อบริหารกิจการ ศาสนาอิสลาม จากข้อเสนอของแกนน�ำกลุ่มผู้หญิงมุสลิมผ่าน งานวิจัย และจากเวทีการพูดคุย ที่จัดขึ้นเป็นจ�ำนวน 2 ครั้ง ระหว่างกลุ่มผู้หญิงมุสลิมกับคณะกรรมการอิสลามในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ กลุ่มผู้หญิงได้สะท้อนให้เห็นถึงความจ�ำเป็น ที่ต้องให้ผู้หญิงเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการทาง ศาสนาอิสลาม ที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ อิสลามในระดับต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ข้อเสนอเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม ในเชิงโครงสร้าง ที่จะท�ำให้เกิดความยั่งยืนในการป้องกันและ แก้ไขปัญหา มีดังนี้ 1. ในระดับจังหวัด คณะกรรมการอิสลามประจ�ำ จังหวัด ควรเปิดพื้นที่ ให้ผู้หญิงมุสลิมได้มีส่วนร่วมในการ บริหารกิจการศาสนา โดยการจัดตั้งฝ่ายกิจการสตรี และ ครอบครัว และแต่งตั้งแกนน�ำสตรี ที่มีความรู้/ความสามารถ และมีบทบาทได้รับการยอมรับ เป็นอนุกรรมการฝ่ายกิจการ สตรีและครอบครัว เพื่อดูแลรับผิดชอบงานในฝ่ายนี้ โดย ท�ำงานประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการ อิสลามประจ�ำจังหวัด การมีกลไกนี้ขึ้นมาในโครงสร้างของส�ำนักงาน คณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด นอกจากจะเปิดโอกาส ให้ผู้หญิงมุสลิมเข้ามามีส่วนร่วมบริหารกิจการทางศาสนา อิสลาม ที่เกี่ยวข้องด้านสตรีและครอบครัวให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อ เด็ก สตรี และครอบครัวแล้ว ยังเป็นการแบ่งเบาภาระ และ ลดข้อจ�ำกัดในการท�ำงานของคณะกรรมการอิสลามอีกด้วย อันเนื่องมาจากคณะกรรมการอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ล้วนเป็นเพศชาย โดยเฉพาะเมื่อผู้มาขอรับบริการที่ 43


ส�ำนักงานคณะกรรมการอิสลามในระยะหลังเป็นผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น เช่น ผู้หญิงที่ถูกกระท�ำความรุนแรงในครอบครัวจากสามี จนน�ำ มาสู่การขอหย่าร้าง เป็นต้น การเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาท�ำงาน ร่วมกับคณะกรรมการอิสลาม เช่น ให้มีบทบาทในการรับเรื่อง ร้องเรียน ให้ค�ำปรึกษา ประสานส่งต่อ ช่วยเหลือเยียวยา หรือ แม้แต่ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย จะท�ำให้การแก้ไขปัญหาและ อ�ำนวยความเป็นธรรมแก่ผู้หญิงที่มารับบริการ เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบัน มีแบบอย่างของการท�ำงานร่วมกันในลักษณะ เช่นที่กล่าวมาข้างต้น ที่ศูนย์บริการให้ค�ำปรึกษาเสริมพลังสตรี ที่ส�ำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัดนราธิวาส โดยเป็นการท�ำงานร่วมกันระหว่างสตรีที่เป็นสมาชิกของชมรม ผู้น�ำมุสลีมะห์นราธิวาส กับคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด นราธิวาส เป็นบทบาทการท�ำงานที่เป็นประโยชน์มาก และได้รับ การยอมรับจากคณะกรรมการอิสลาม จนปัจจุบันสามารถขยาย ศูนย์ลงสู่ชุมชน เป็นจ�ำนวน 20 ศูนย์แล้ว 2. ในระดับชุมชน คณะกรรมการอิสลามประจ�ำมัสยิด ควรให้มีฝ่ายกิจการสตรีและครอบครัว และให้กรรมการอิสลาม หรืออนุกรรมการที่เป็นผู้หญิงเข้ามารับผิดชอบงานของฝ่ายนี้ เช่นเดียวกับคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด ผู้หญิงส่วนใหญ่ ในชุมชนมีจิตอาสา และสามารถขับเคลื่อนงานได้ดีในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสวัสดิการชุมชน หากเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามา มีส่วนร่วมกับคณะกรรมการอิสลามในการบริหารกิจการศาสนา 44


เชิงรุก ในมิติด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สวัสดิการชุมชน หรือมิติอื่น ๆ ย่อมจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนใน ชุมชนอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่ในเชิงรับ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตัวผู้หญิงเอง หรือครอบครัวเท่านั้น 3. ในระดับประเทศ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่ง ประเทศไทย ควรมีการหนุนเสริมบทบาทการท�ำงานร่วมกันของ กลุ่มผู้หญิงและคณะกรรมการอิสลามในระดับจังหวัดและมัสยิด ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยการสนับสนุนทรัพยากรที่จ�ำเป็น การให้ มีฝ่ายกิจการสตรีและครอบครัวในคณะกรรมการกลางอิสลาม แห่งประเทศไทย โดยมีอนุกรรมการเป็นผู้แทนสตรีจากแต่ละภาค รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ และก�ำหนดให้ฝ่ายกิจการสตรีและครอบครัว เป็นกลไกการท�ำงานร่วม ที่บรรจุไว้ในโครงสร้างของคณะกรรมการ อิสลามทุกระดับ 4. ควรยกระดับการมีส่วนร่วมของสตรีมุสลิมในการบริหาร กิจการทางศาสนาอิสลาม โดยเปิดโอกาสให้สตรีเข้ามาเป็นคณะ กรรมการอิสลามในระดับต่าง ๆ พร้อม ๆ กับการสร้างความรู้/ ความเข้าใจว่าสตรีสามารถด�ำรงบทบาทนี้ได้ โดยไม่ได้ขัดทั้งต่อ กฎหมายอิสลามและกฎหมายไทย ในที่นี้คือ พ.ร.บ. การบริหารองค์กร ศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ปัจจุบันจะเห็นว่ามีสตรีเข้ามาเป็นคณะ กรรมการอิสลามประจ�ำมัสยิด รวมทั้งคณะกรรมการอิสลามในระดับ จังหวัดบางจังหวัดบ้างแล้ว ในระยะยาว อาจจะต้องพิจารณาให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.การ บริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้หญิง มุสลิมได้มีสัดส่วน และมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการด้านศาสนา อิสลามเพิ่มมากขึ้น 45


5.4 พันธมิตรขับเคลื่อนการท�างานเพื่อผู้หญิง ในพื้นที่ : เกลียวเชือกเสริมพลัง การขับเคลื่อนเพื่อหนุนเสริมการท�ำงานของผู้หญิง มุสลิมในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้หญิงยังเข้าไป มีบทบาทน้อย เช่น ในทางการเมือง ในการบริหารกิจการทาง ศาสนา เป็นต้น ถือว่าเป็นประเด็นค่อนข้างใหม่ในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ การท�ำงานในระยะแรกและระยะเวลาต่อ จากนี้ไป จึงถือเป็นความท้าทาย และมีความจ�ำเป็นอย่างยิ่ง ในการท�ำงานร่วมกันในลักษณะพันธมิตรเพื่อหนุนเสริม ให้เกิดพลัง ซึ่งที่ผ่านมาองค์กรภาคประสังคม นักวิจัย นักวิชาการ นักวิชาการศาสนา ผู้รู้ด้านศาสนาถือเป็น พันธมิตรส�ำคัญในการท�ำงานร่วมกัน ทั้งทางด้านงาน ทางวิชาการ งานวิจัย ที่จะช่วยสนับสนุนให้การผลักดันเชิง นโยบาย รวมทั้งการขับเคลื่อนงานของกลุ่มผู้หญิงมีน�้ำหนัก และตั้งอยู่บนฐานของความรู้ การให้ค�ำปรึกษาด้านศาสนา เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนให้เป็นที่ยอมรับของผู้มี อ�ำนาจในการตัดสินใจ รวมทั้งการแสวงหาทางออกร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการก้าวเดิน นอกจากนี้หน่วยงานภาครัฐทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมบทบาทผู้หญิง รวมไปถึง นักการเมือง ถือเป็นอีกองค์ประกอบส�ำคัญ ในฐานะพันธมิตร เพื่อสนับสนุนข้อเสนอเชิงนโยบายของผู้หญิงให้เป็นผล ในทางปฏิบัติ รวมทั้งการหนุนเสริมด้านงบประมาณ และ ทรัพยากรที่จ�ำเป็น เพื่อการขับเคลื่อนดังกล่าว 46


รอฮานี ดาโอ๊ะ,โซรยา จามจุรี,กัลยา ดาราหะ, รอฮานี จือนารา, นิฮัสน๊ะ กูโน, ฟาฏิล จามจุรี. (2565). รายงานการวิจัยศึกษาบทบาทผู้หญิงมุสลิม จังหวัดชายแดนภาคใต้ในพื้นที่สาธารณะในบริบทของศาสนาอิสลาม. Roles of Muslim Women in Public Spaces from the Islamic Perspective: A Study of Southern Border Provinces. ปัตตานี : เครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมชายแดนใต้ (CIVIC WOMEN). MeemMagazineEnglish. (2021). Islam’s famous female scholars. Retrieved January 2,2023, from https://www.facebook.com/ watch/?v=367416654980453. บรรณานุกรม 47


Click to View FlipBook Version