The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Lignite Pornpailin, 2022-08-24 07:08:35

การอ่านจับใจความสำคัญด้วยเทคนิคหมวก 6 ใบ

การอ่านจับใจความสำคัญ

การอ่านจับใจความสำคัญ

ด้วยเทคนิคหมวก 6 ใบ

โดย
นางสาวพรไพลิน เจ๊กคำ

การอ่านจับใจความสำคัญ
ด้วยเทคนิคหมวก 6 ใบ

ความหมาย

เป็นเทคนิคการสอนแบบตั้งคำถาม
เป็นการสอนเพื่อพัฒนาการคิดสำหรับนักเรียนทุกระดับชั้น

เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
เราสามารถมีวิธีการคิด หรือมุมมองในเรื่องเดียวกันนั้น

ได้หลายแบบ แล้วแต่ว่าจะคิดโดยใช้หมวกสีใด
ซึ่งการคิดโดยใช้หมวกสีต่าง ๆ ล้วนมีประ โยชน์ทั้งสิ้น

แล้วแต่ความเหมาะสมและการนำไปใช้ประโยชน์

Six thinking hats คืออะไร

Six thinking hats คือ เทคนิคการคิดอย่างมีระบบ
มีการจำแนกความคิดออกเป็นด้าน ๆ และคิดอย่างมีคุณภาพ
เพื่อช่วยจัดระเบียบการคิด ทำให้การคิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เป็นทักษะที่ช่วยดึงเอาความรู้และประสบการณ์ของผู้คิดมาใช้

ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
ทักษะความคิดจึงมีความสำคัญที่สุด









ดร. Edward de Bono (เอดเวิร์ด เดอ โบโน)
ได้ทำการคิดค้นเทคนิคการคิด six thinking hats ขึ้นมาเพื่อ
เป็นระบบความคิดที่ทำผู้เรียนมีหลักในการจำแนกความคิด

ออกเป็น 6 ด้าน ทำให้สามารถแก้ปัญหาและตัดสินใจ
ด้วยการคิดทีละด้านอย่างเป็นระบบ เป็นการเพิ่มศักยภาพ

ให้ทักษะการคิด ทำให้ไม่คิดกระโดดไปกระโดดมา
หรือคิดพร้อมกันทุกอย่างในเวลาเดียวกัน
ซึ่งทำให้สับสนใช้เวลานาน และสรุปไม่ได้

องค์ประกอบของ Six Thinking Hats



White Hat หรือ หมวกสีขาว หมายถึง ข้อมูลเบื้องต้นของสิ่งนั้น

เป็นความคิดแบบไม่ใช้อารมณ์ และมีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน
แน่นอน ตรงไปตรงมา ไม่ต้องการความคิดเห็น

สีขาวเป็นสีที่ชี้ให้เห็นถึงความเป็นกลาง จึงเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง
จำนวนตัวเลข เมื่อสวมหมวกสีนี้ หมายความว่าที่ประชุมต้องการ

ข้อเท็จจริงเท่านั้น





















หมวกสีขาว หมายถึง ข้อมูลความเป็นจริง ข้อเท็จจริง

Red Hat หรือ หมวกสีแดง หมายถึง ความรู้สึก สัญชาตญาณ
และลางสังหรณ์ เมื่อสวมหมวกสีนี้ เราสามารถบอกความรู้สึก

ของตนเองว่าชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี มีการใช้อารมณ์
ความคิดเชิงอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่การแสดงอารมณ์

จะไม่มีเหตุผลประกอบ























หมวกสีแดง หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึก ความประทับใจ ความโกรธ

Black Hat หรือ หมวกสีดำ หมายถึง ข้อควรคำนึงถึง
สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่า เราไม่ควรทำ เป็นการคิดในเชิงระมัดระวัง

หมวกสีดำช่วยชี้ให้เราเห็นว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดไม่สอดคล้อง
และสิ่งใดใช้ไม่ได้ หมวกสีดำจึงเป็นทัศนคติในแง่ลบ

การคิดแบบหมวกสีดำทำให้รู้ว่าจุดใดผิดพลาด ไม่ถูกต้อง
และมีข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนอย่าไร























หมวกสีดำ หมายถึง แง่ลบ ข้อผิดพลาด จุดด้อย

Yellow Hat หรือ หมวกสีเหลือง หมายถึง การคาดการณ์
ในทางบวก ความคิดเชิงบวก เป็นการมองโลกในแง่ดี
การมองที่เป็นประโยชน์ เป็นการคิดที่ก่อให้เกิดผล
หรือทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ ซึ่งรวมไปถึงความหวัง
ความมั่นใจ เหตุผลในการยอมรับ จุดเด่น และความพยายาม

ในการค้นหาผลดีที่จะได้รับ























หมวกสีเหลือง หมายถึง แง่บวก ข้อดี คุณค่า จุดเด่น
ประโยชน์การคิดแง่ดี

Green Hat หรือ หมวกสีเขียว หมายถึง ความคิดนอกกรอบ
ที่มีความสัมพันธ์กับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

และเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและมุมมอง
ซึ่งปกติมักถูกกำหนดจากระบบความคิดของประสบการณ์
ดั้งเดิม โดยเมื่อสวม หมวกสีนี้ จะแสดงความคิดใหม่ ๆ

เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น การคิดอย่างสร้างสรรค์























หมวกสีเขียว หมายถึง ความคิดริเริ่ม ความคิดใหม่
ความคิดสร้างสรรค์

Blue Hat หรือ หมวกสีฟ้า หมายถึง การควบคุมและการจัดระบบ
ของกระบวนการคิด ซึ่งรวมไปถึงการนำหมวกอื่น ๆ มาใช้ด้วย

โดยทำหน้าที่จัดระเบียบ และควบคุมขั้นตอนการคิด
หมวกสีฟ้าจะหาคำจำกัดความแก่เรื่องหรือปัญหาที่จะคิด

ตั้งประเด็นให้ถูกคำถาม รวมทั้งตั้งกรอบ
และประเด็นของคำถามให้ถูกต้อง























หมวกสีฟ้า หมายถึง ข้อสรุป การจัดระบบกระบวนการคิด

นิทาน เรื่อง แพะเจ้าปัญญา



















ครั้งหนึ่งในอดีตกาล มีชายหนุ่มคนหนึ่งเลี้ยงแพะมานาน
หลายปี ต่อมาเขารู้สึกเบื่อหน่ายจึงตัดสินใจเลิกเลี้ยงแพะ
และคิดจะนำแพะทั้งหมดไปขายที่โรงฆ่าสัตว์
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังต้อนฝูงแพะไปยังโรงฆ่าสัตว์ มีพ่อแพะ
และแม่แพะแอบหนีออกมาจากฝูงในขณะที่เจ้าของเผลอ
ทั้งสองวิ่งหนีจนสุดชีวิตเข้าไปในป่าลึกและพบต้นไม้ต้นหนึ่ง
ใกล้เนินเขา ที่โคนต้นไม้เป็นโพรงลึกเข้าไปในดินใช้กำบังตน
ได้อย่างปลอดภัย
ทั้งสองอาศัยในโพรงอย่างมีความสุข ต่อมาแม่แพะก็มี
ลูกแพะเล็กๆ น่ารักสามตัว

วันหนึ่งขณะที่พ่อแพะและแม่แพะกำลังนอนอยู่กับลูกๆ ทั้งสาม
ในโพรงต้นไม้ ทันใดนั้น มีเสือโคร่งหิวโซตัวหนึ่งเดินผ่านมาได้ยิน

เสียงลูกแพะร้อง จึงย่องเข้าไปเพื่อที่จะจับกินเป็นอาหาร
พ่อแพะและแม่แพะได้กลิ่นเสือก็ตกใจมาก

แม่แพะร้องว่า “แย่แล้ว! ทำยังไงดี พวกเราต้องตายกันหมด
แน่ๆ เลย”

พ่อแพะตั้งสติและคิดอุบายขึ้นจึงได้แกล้งดัดเสียงห้าวน่ากลัว
ตะโกนดังก้องออกจากโพรงว่า

“เจ้าลูกจอมยุ่ง ชอบกวนอยู่เรื่อย ให้กินเท่าไหร่ก็ไม่พอ
ร้องกินโน่นกินนี่ เมื่อเช้ากินเสือเข้าไปหนึ่งตัว กินวัวสองตัว
เมื่อตอนเที่ยงก็กินหมูป่าอีกสามตัว ยังไม่อิ่มอีกหรือ ยุ่งจริงๆ”
พอเสือได้ยังดังนั้น ก็ตื่นตกใจ คิดว่าคงไม่ใช่แพะอย่างที่คิด
“มันคงเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแน่นอน เพราะมันกินสัตว์เข้าไป

มากมายขนาดนั้น”
เสือกลัวจนตัวสั่น ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าโพรงต้นไม้ พ่อแพะได้ที
ก็ตะโกนเสียงดังกว่าเดิมอีกว่า “ลูกหยุดร้องซะทีเถอะน่า ประเดี๋ยว
พ่อจะออกไปจับเสือมาให้กิน รอพ่ออยู่ที่นี่ล่ะ พ่อจะรีบกลับมา”

เสือได้ยินก็ยิ่งกลัวมากขึ้น รีบกระโจนไปทันที ขณะนั้นมี
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังออกหาอาหาร บังเอิญมาพบเสือเข้า

จึงถามขึ้นว่า
“เฮ้ ท่านเสือผู้ยิ่งใหญ่ วิ่งหน้าตื่นหนีใครมาล่ะ”
เสือตอบว่า “ข้าเกือบไม่รอดเสียแล้ว สัตว์ประหลาดในโพรงไม้

จะจับข้ากินเป็นอาหารน่ะสิ”
สุนัขจิ้งจอกฟังเรื่องราวทั้งหมดก็หัวเราะดังลั่น “ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ไม่ใช่สัตว์
ประหลาดที่ไหนหรอก สงสัยท่านโดนเจ้าแพะหลอกเข้าแล้วล่ะ”
เสือไม่ยอมเชื่อสุนัขจิ้งจอก และยืนยันว่าสิ่งที่ตนได้ยินเป็นสัตว์

ประหลาดดุร้ายน่ากลัวที่สุดอย่างแน่นอน
ทั้งสองเถียงกันอยู่นาน สุนัขจิ้งจอกจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น

เราไปพิสูจน์ด้วยกันเลยดีกว่า”
เสือนึกกลัวไม่กล้ากลับไปที่โพรงต้นไม้อีก แต่ถ้าไม่กล้าไปก็กลัว

จะถูกสุนัขจิ้งจอกว่าเป็นเสื้อขี้ขลาดจึงกล่าวว่า
“ข้าจะพาเจ้าไปก็ได้ แต่เจ้าต้องเข้าไปดูคนเดียวนะ” สุนัขจิ้งจอก
รู้ทันก็พูดขึ้นว่า “ไม่ได้หรอก ถ้าข้าเข้าไปดูคนเดียว และรู้ว่าเป็นแพะ

พอกลับมาบอกท่าน ท่านก็คงไม่เชื่อข้าอยู่ดีนั่นแหละ”
เสือต่อว่าสุนัขจิ้งจอกว่า “เจ้าคิดจะหลอกให้ข้าไปตายคนเดียวน่ะสิ

ข้ารู้ทันนะ”

สุนัขจิ้งจอกจึงเสนอว่า “ถ้าอย่างนั้นเราเอาหางผูกกันไว้
หากเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่ทิ้งกัน ดีไหมล่ะ”
เสือเห็นว่าเป็นความคิดที่ดีจึงตอบตกลง

วันต่อมาสุนัขจิ้งจอกและเสือก็เอาหางผูกติดกันไว้จนแน่น
จากนั้นก็เดินทางไปที่โพรงต้นไม่ใหญ่ พอไปถึงเสือก็ชี้บอกว่า

“นั่นไง สัตว์ประหลาดอยู่ในโพรงต้นไม้นั่นแหละ”
พ่อแพะแอบเห็นเสือกับสุนัขจิ้งจอกจึงตั้งสติใช้ปัญญาคิดอุบาย

ทำเสียงห้าว ตะโกนออกจากโพรงว่า
“เจ้าสุนัขจิ้งจอกนี่แย่จริงๆ ข้าใช้ให้ไปหลอกจับเสือมาให้ข้ากิน
ตั้งแต่เช้าแล้ว จนป่านนี้ยังไม่มาเลย มัวแต่ไปเถลไถลอยู่ที่ไหนนะ

ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อเสือได้ยินเข้าก็เข้าใจว่าถูกสุนัขจิ้งจอกหลอกมาให้สัตว์ประหลาด
กินจริงๆ ก็ตกใจกลัว รีบกระโจนหนี ลืมไปว่าหางของตนมันติดอยู่กับ

หางของสุนัขจิ้งจอก
ส่วนสุนัขจิ้งจอกก็อยากจะเข้าไปดูให้รู้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ
หรือไม่ ทั้งสองยื้อยุดฉุดดึงกันจนพากันล้มกลิ้งลงไปในแม่น้ำตาย

ในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ถ้าเรามีสติ เราก็จะมีปัญญาเกิดขึ้น
ปัญหาหนักหนาสักแค่ไหน ก็สามารถแก้ไขได้

ด้วยไหวพริบและสติปัญญาที่เรามี

ใบงาน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ
ด้วยเทคนิคหมวก 6 ใบ



หมวกสีขาว หมายถึง ข้อมูลความเป็นจริง ข้อเท็จจริง
คำถาม = นักเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่อง แพะเจ้าปัญญา

หมวกสีแดง หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึก ความประทับใจ ความโกรธ
คำถาม = นักเรียนรู้สึกอย่างไรกับการกระทำของเสือโคร่ง

หมวกสีดำ หมายถึง แง่ลบ ข้อผิดพลาด จุดด้อย
คำถาม = ปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่อง แพะเจ้าปัญญา เกิดจากอะไร

หมวกสีเหลือง หมายถึง แง่บวก ข้อดี คุณค่า จุดเด่น
ประโยชน์การคิดแง่ดี

คำถาม = ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง แพะเจ้าปัญญา มีอะไรบ้าง

หมวกสีเขียว หมายถึง ความคิดริเริ่ม ความคิดใหม่
ความคิดสร้างสรรค์

คำถาม = ถ้านักเรียนสามารถเปลี่ยนตอนจบของเรื่องได้ นักเรียนอยาก
ให้เรื่องนี้จบลงอย่างไร

หมวกสีฟ้า หมายถึง ข้อสรุป การจัดระบบกระบวนการคิด
คำถาม = นักเรียนสรุปเรื่อง แพะเจ้าปัญญา ได้อย่างไรบ้าง


Click to View FlipBook Version