การเรียนรู้ด้วยตนเอง
ผสู้ อน : นางสาวชนิสรา ปาวะรี
ความหมายของการเรยี นรู้ด้วยตนเอง
พัชรี มะแสงสม (2544, หน้า 10) กลา่ วว่า การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง หมายถงึ กระบวนการเรียนรู้ท่ีทาให้ผู้เรียนมี
เสรีภาพในการใช้ความรู้ และความสามารถในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีความตระหนัก และรับผิดชอบต่อ
การเรียนของตนเอง ผู้เรยี นจะทาการวางแผนและ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ เลือกแหล่งข้อมูล เลือกวิธีการเรียนรู้
และ ประเมนิ ผลดว้ ยตนเอง โดยอาจปรกึ ษาหรือขอความชว่ ยเหลอื จาก ผสู้ อนหรือบุคคลอื่นกไ็ ด้
ทิศนา แขมมณี (2552, หน้า 125-126) ได้นิยามว่า หมายถึง การให้ โอกาสผู้เรียนวางแผนการเรียนรู้ด้วย
ตนเอง ซึ่งครอบคลุมการวินิจฉัย ความต้องการในการเรียนรู้ของต้น การตั้งเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ของการ
เรียนรู้ การเลือกวิธีการเรยี นรู้ การแสวงหาแหลง่ ความรู้ การรวบรวมข้อมลู การวิเคราะห์ข้อมูล รวมท้ังการประเมิน
ตนเอง โดยผู้สอนอยู่ในฐานะกัลยาณมิตรทาหน้าที่กระตุ้นและให้คาปรึกษาผู้เรียนในการวินิจฉัยความต้องการ
กาหนดวัตถุประสงค์ ออกแบบแผนการเรียนและจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ แหล่งข้อมูล รวมท้ังร่วมเรียนรู้ไปกับผู้เรียน
และติดตามประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผ้เู รียนด้วย
ความสาคัญของการเรียนร้ดู ้วยตนเอง
Knowles (อ้างถงึ ใน รุ่งอรุณ ไสยโสภณ 1975, หนา้ 14-17) กลา่ วถงึ การเรียนรู้ด้วยตนเองว่ามีความสาคัญ
4 ประการ คอื
1. บคุ คลทีเ่ รยี นรู้ด้วยการริเรมิ่ ของตนจะเรยี นไดม้ ากกวา่ ดีกว่าบุคคลทเ่ี ปน็ เพียงผูร้ ับหรอื รอให้ผู้สอนถ่ายทอด
วิชาความรู้ให้ บุคคลทเ่ี รยี นรดู้ ้วยตนเองจะเรียนอย่างตัง้ ใจ มจี ดุ มงุ่ หมายและมี แรงจูงใจสูงสามารถใช้ประโยชน์จาก
การเรียนรไู้ ดด้ ีกวา่ และยาวนาน กวา่ บคุ คลท่รี อรับการสอนแตอ่ ย่างเดียว
2. การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง มีความสอดคลอ้ งกบั กระบวนการ ทางธรรมชาตขิ องจติ วิทยาพัฒนาการ เม่ือแรกเกิด
บุคคลต้องพ่ึงผู้อื่น จาเป็นต้องมีบิดามารดาปกป้องและตัดสินใจแทน แต่เมื่อบุคคลเติบโตขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มาก
ขนึ้ จะค่อย ๆ พฒั นาตนเองไปสคู่ วามเป็นอิสระไมต่ ้อง พ่งึ ผู้อืน่ ไมต่ อ้ งอย่ภู ายใตก้ ารควบคุมหรือกากับของผู้อ่ืน จะมี
ความเป็น ตัวเองเพิ่มข้นึ สามารถดาเนนิ ชวี ิตไดด้ ้วยตนเองและช้ีนาตนเองได้
3. มีนวัตกรรมทางการศึกษาเพ่ิมข้ึนมาก เช่น มีหลักสูตรใหม่ ห้องเรียนแบบเปิดศูนย์วิทยบริการการศึกษา
อย่างอิสระ โปรแกรม การเรียนท่ีจัดสาหรับบุคคลภายนอก การศึกษาระบบมหาวิทยาลัยเปิด เป็นต้น รูปแบบของ
นวตั กรรมเหลา่ นีล้ ว้ นแต่เป็นความรบั ผดิ ชอบของ ผ้เู รียนทจี่ ะตอ้ งเร่มิ จากการริเรม่ิ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
ความสาคญั ของการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง (ตอ่ )
4. ความเปลี่ยนแปลงของโลกหลายๆ ดา้ นอยา่ งรวดเร็ว ทาให้ เกดิ แนวคดิ ใหมใ่ นการศกึ ษา ไดแ้ ก่
4.1 ความรู้ต่าง ๆ ที่มนุษย์เรียนรู้และสะสมไว้จะค่อย ๆ ล้าสมัยและหมดไปภายในเวลา 10 ปี ดังน้ัน
จึงต้องพัฒนาทักษะ ดังกล่าว เมื่อบุคคลจบการศึกษาไปแล้วก็ยังสามารถแสวงหาความรู้ เพิ่มเติมได้ เพ่ือพัฒนา
ตนเองให้มคี วามร้ใู หมเ่ ท่าทนั โลก
4.2 การเรียนรู้ คือ การท่ีผู้เรียนเริ่มเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ จากส่ิงแวดล้อมรอบตัวผู้เรียน เช่น เรียนรู้จาก
บิดา มารดา เพ่ือน ครู สถาบันต่าง ๆ หรือจากส่ือมวลชน เป็นต้น น่ันก็คือ การเรียนรู้จะเป็น ส่วนหน่ึงของการ
ดาเนินชวี ิตและบุคคลสามารถเรียนรู้ไดต้ ลอดชีวติ
4.3 การเรียนรู้ด้วยตนเอง จะไม่จากัดอายุผู้เรียน ผู้เรียนมี โอกาสที่จะตัดสินใจเลือกเรียนตามความ
สนใจและความตอ้ งการทีจ่ ะ เรยี นรู้ ผู้เรียนที่อยูใ่ นวัยเยาว์ควรเน้นทกั ษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพ่ือ จะได้ใช้ทักษะนี้
ในการแสวงความรใู้ หท้ ันต่อเหตกุ ารณก์ ารเปล่ียนแปลง ของโลก
ขน้ั ตอนของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
Knowles (อา้ งถงึ ใน ร่งุ อรณุ ไสยโสภณ 1975, หนา้ 40-47) ได้อธิบายถึง องค์ประกอบที่เปน็
ขัน้ ตอนสาคญั ในการเรยี นรู้ด้วยตนเองไว้ดงั น้ี
1. การวิเคราะห์ความต้องการของตนเอง ในลักษณะแบบมสี ว่ นรว่ มจะเริ่มต้นจากการให้ผเู้ รยี นแตล่ ะ
คนบอกความต้องการและความสนใจพิเศษของตนเองในการเรียน ใหเ้ พ่ือนอีกคนหนง่ึ ทาหน้าทเ่ี ปน็ ผู้ให้
คาปรึกษาแนะนา และเพ่อื นอีกคนหนึ่งทาหนา้ จดบันทึกกระทาเชน่ นี้หมุนเวยี นไปจนครบทงั้ 3 คน ได้แสดง
บทบาทครบ 3 ดา้ น คือผูเ้ สนอความต้องการ ผู้ให้คาปรึกษา และผู้คอยจดบันทกึ สงั เกตการณ์ การเรียนรู้
บทบาทดงั กล่าวให้ประโยชนอ์ ย่างย่งิ ในการเรียนรรู้ ่วมกัน และชว่ ยเหลือซงึ่ กันและกนั ในทกุ ๆ ด้าน
2. กาหนดจุดม่งุ หมายในการเรยี น โดยเรม่ิ ตน้ จากบทบาท ของผเู้ รยี นเปน็ สาคญั ดังนี้
2.1 ผ้เู รยี นควรศกึ ษาจดุ มุง่ หมายของวชิ า แลว้ จงึ เร่มิ เขียน จดุ ม่งุ หมายในการเรยี น
2.2 ผูเ้ รยี นควรเขียนจุดมงุ่ หมายให้แจม่ ชัด เข้าใจได้ ไม่ คลมุ เครือ คนอ่นื อา่ นแล้วเขา้ ใจ
2.3 ผู้เรียนควรเน้นถงึ พฤตกิ รรมทผ่ี เู้ รียนคาดหวัง
2.4 ผเู้ รียนควรกาหนดจดุ มุ่งหมายท่สี ามารถวัดได้
2.5 การกาหนดจดุ มุ่งหมายของผู้เรียนในแตล่ ะระดับควรมคี วามแตกต่างกันอย่างเห็นไดช้ ัด
ขน้ั ตอนของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (ต่อ)
3. การวางแผนการเรียน โดยผเู้ รยี นกาหนดวตั ถุประสงค์ของวชิ า ผู้เรียนควรวางแผนการจดั กิจกรรม
การเรียนตามลาดบั ดงั นี้
3.1 ผูเ้ รยี นจะต้องเปน็ ผู้กาหนดเกยี่ วกับการวางแผนการเรยี นของตนเอง
3.2 การวางแผนการเรยี นของผูเ้ รยี น ควรเริ่มตน้ จากผู้เรยี นกาหนดจดุ มุ่งหมายในการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง
3.3 ผ้เู รียนเปน็ ผจู้ ดั เนือ้ หาให้เหมาะสมกับสภาพความตอ้ งการและความสนใจของผู้เรียน
3.4 ผ้เู รียนเปน็ ผูร้ ะบวุ ธิ กี ารเรียน เพอื่ ให้เหมาะสมกบั ตนเองมากท่ีสดุ
4. การแสวงหาแหลง่ วทิ ยาการ เป็นกระบวนการศกึ ษาคน้ ควา้ ทีม่ คี วามสาคัญต่อการศกึ ษาในปัจจบุ ัน
เปน็ อย่างมาก ดงั น้ี
4.1 ประสบการณก์ ารเรยี นแตล่ ะด้านที่จดั ใหผ้ ู้เรียนสามารถแสดงให้เหน็ ถึงความมุ่งหมาย
ความหมายและความสาเร็จของประสบการณน์ ั้นๆ
4.2 แหลง่ วิทยาการ เช่น จาก internet วทิ ยุ โทรทศั น์หนงั สอื พมิ พ์ ห้องสมุด และส่อื ต่าง ๆ
รวมท้ังการเรียนจากมหาวทิ ยาลัยเปดิ สามารถนามาใช้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
4.3 เลอื กแหลง่ วทิ ยาการให้เหมาะสมกบั ผูเ้ รยี นแต่ละคน
ขั้นตอนของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (ตอ่ )
4.4 มกี ารจัดสรรอย่างดี เหมาะสม กจิ กรรมบางสว่ นผเู้ รียนจะเปน็ ผจู้ ดั การเองตามลาพัง เช่น
การเรยี นรทู้ ่ีผเู้ รียนกาหนดขนึ้ เองเปน็ การเรียนรูท้ ่ใี หอ้ ิสระแก่ผู้เรยี นในการเลือกจดุ มงุ่ หมายของการ
เรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ทดสอบเอง มีอิสระในการเลอื กจุดมุ่งหมายใดก็ได้และบางส่วนเปน็ กิจกรรมที่จดั รว่ มกนั
ระหวา่ งครกู ับผเู้ รยี น เช่น ศกึ ษาดว้ ยการคมุ ตนเอง เปน็ การเรียนรทู้ ่ผี ูเ้ รยี นตอ้ งศกึ ษาค้นคว้าจากสอื่ การ
เรยี นรู้โปรแกรมการเรียนต่างๆ ด้วยตนเอง ผูส้ อนช่วยแนะนาและจดั หาเอกสาร วัสดุ ตลอดจนสงิ่ อานวย
ความสะดวกไว้ให้
5. การประเมนิ ผล เป็นขนั้ ตอนสาคัญในกระบวนการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ชว่ ยให้ผู้เรยี นทราบถงึ
ความกา้ วหนา้ ในการเรียนของตนเองเป็นอย่างดี การประเมนิ ผลจะต้องสอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ ทั้งนี้จะ
เก่ยี วขอ้ งกับส่งิ ตอ่ ไปนี้ ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ทศั นคติ และค่านิยมซ่ึงขน้ั ตอนในการประเมินผลมีดังน้ี
5.1 กาหนดเป้าหมาย วัตถปุ ระสงคใ์ หแ้ น่ชัด
5.2 ดาเนนิ การทุกอย่าง เพือ่ ให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์ทีว่ างไว้ขั้นตอนน้ีสาคญั ในการใชป้ ระเมินผล
การเรยี นการสอน
ขั้นตอนของการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง (ต่อ)
5.3 รวบรวมหลกั ฐาน การตดั สนิ ใจจากการประเมินผลจะต้องอยบู่ นพน้ื ฐานของข้อมูลที่
สมบูรณ์และเช่อื ถือได้
5.4 รวบรวมขอ้ มลู ก่อนเรยี น เพื่อเปรียบเทยี บหลงั เรยี นว่าผ้เู รยี นก้าวหนา้ ไปเพยี งใด
5.5 แหล่งของข้อมลู จะหาขอ้ มลู จากครู และผ้เู รยี นเปน็ หลกั ในการประเมนิ ในขน้ั การ
ประเมินผลนี้ ผู้บังคบั บัญชามีสว่ นสาคญั ในการมีส่วนร่วมในการประเมินการเรียนร้ขู องผใู้ ต้บังคับบัญชาวา่
มีความรู้เพ่ิมข้นึ มากน้อยเพยี งใด ซึ่งจะต้องยอมรบั ผลทีเ่ กดิ ข้ึนท้งั สองฝา่ ย
รปู แบบกิจกรรมทสี่ ง่ เสรมิ การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง
ผบู้ ังคบั บญั ชาควรทราบรปู แบบกจิ กรรมการเรียนรู้ เพื่อจะได้ ช่วยวิเคราะห์และส่งเสริมให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
สามารถดาเนินกิจกรรม การเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545, หน้า 50-
51) ได้เสนอหลกั การจดั การ เรยี นรูเ้ พ่อื สง่ เสริมการเรียนรดู้ ้วยตนเองไว้ ดังนี้
1. ศึกษาผ้เู รียนเป็นรายบุคคล เนอื่ งจากผู้เรยี นแตล่ ะคนมี ความแตกต่างกันทั้งในด้านความสามารถในการ
เรียนรู้ วิธีการเรียนรู้ เจตคติ ฯลฯ ดังน้ัน การจัดการเรียนรู้จึงต้องคานึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล
โดยเฉพาะอย่างย่งิ ด้านความสามารถในการเรียนรู้ และ วิธีการเรียนรู้ โดยจัดการเรียนรู้ เน้ือหา และสื่อท่ีเอ้ือต่อ
การเรยี นรรู้ ายบคุ คล รวมทั้งเปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นไดน้ าเอาประสบการณข์ องตนมา ใชใ้ นการเรียนรดู้ ้วย
2. จัดใหผ้ ูเ้ รยี นมสี ่วนรว่ มรบั ผดิ ชอบในการเรยี น การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมรับผิดชอบ
การเรียนรู้ของตนเองดังนั้น การจัดการเรียนรู้จึงควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีบทบาทต้ังแต่การวางแผนกาหนด
เป้าหมายการเรียนท่ีสอดคล้องกับความต้องการของตนหรือกลุ่ม การกาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือการเรียน
การเลอื กใชว้ ธิ ีการเรียนรู้ การใช้แหล่งข้อมูล ตลอดจนการประเมนิ ผลการเรยี นของตน
รูปแบบกจิ กรรมทส่ี ง่ เสรมิ การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง (ตอ่ )
3. พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้เพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
จาเป็นอย่างยง่ิ ทีผ่ ู้เรยี นจะตอ้ งไดร้ บั การฝกึ ให้มที กั ษะและยุทธศาสตร์การเรียนรู้ที่จาเป็นต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เชน่ การบันทึกข้อความ การจัดประเภทหมวดหมู่ การสังเกตกุ ารแสวงหาและใช้แหลง่ ความรู้ เทคโนโลยีและส่ือท่ี
สนับสนุนการเรียนรวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ในการตัดสินใจ แก้ปัญหากาหนดแนวทางการ
เรยี นรู้ และเลอื กวิธีการเรียนรูท้ เี่ หมาะสมกับตนเอง
4. พัฒนาทกั ษะการเรียนรูร้ ว่ มกบั ผอู้ ืน่ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองไม่ได้หมายความว่า ผู้เรียนต้องเรียนคนเดียว
โดยไมม่ ีชน้ั เรยี นหรือเพอ่ื นเรียน ยกเว้นการเรยี นแบบรายบุคคล โดยท่ัวไปแลว้ ในการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง ผเู้ รยี นจะ
ได้ทางานร่วมกับเพ่ือนกับครูและบุคคลอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ดังน้ันจึงต้องพัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อ่ืนให้กับ
ผเู้ รียนเพ่อื ใหร้ ู้จกั การทางานเป็นทมี โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การทากิจกรรม
5. พัฒนาทักษะการประเมินตนเอง และการร่วมมือกันประเมินในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้มี
บทบาทสาคญั ในการประเมินการเรียนรู้ ดงั นนั้ จึงตอ้ งพัฒนาทักษะการประเมนิ ให้แก่ผู้เรียนและสร้างความเข้าใจ
ใหแ้ กผ่ ้เู รียนว่า การประเมนิ ตนเองเป็นส่วนหนึง่ ของระบบประเมินผล รวมทงั้ ยอมรบั ผลการประเมินจากผู้อื่นด้วย
นอกจากนีต้ ้องจัดใหผ้ ู้เรียนได้รบั ประสบการณก์ ารประเมินผลหลายๆ รูปแบบ
รปู แบบกจิ กรรมทีส่ ง่ เสริมการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง (ต่อ)
6. จัดปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยสาคัญอย่างหนึ่งในการ
เรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ดังนั้นบริเวณสถานที่ทางานจึงต้องจัดให้เป็นแหล่งความรู้ท่ีผู้เรียนจะค้นคว้าด้วยตนเองได้ เช่น
มุมหนังสือ บทเรียนสาเร็จรูป ชุดการสอน ฯลฯรวมทั้งบุคลากร เช่น ผู้ท่ีช่วยอานวยความสะดวกและแนะนาเม่ือ
ผ้เู รยี นต้องการ
ดงั นน้ั หลักการจดั การเรียนรูเ้ พอื่ ส่งเสรมิ การเรียนรู้ด้วยตนเองผู้บังคับบัญชาต้องศึกษาผู้ใต้บังคับบัญชาเป็น
รายบุคคล จัดให้ผู้เรียนมีส่วนรับผิดชอบในการเรียน พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน พัฒนาทักษะการเรียนรู้
ร่วมกับผู้อ่ืน พัฒนาทักษะการประเมินตนเอง และการร่วมมือกันประเมินและจัดปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้ด้วย
ตนเองของผเู้ รียน
การเรียนรู้ด้วยตนเองเกิดข้ึนได้อย่างไร ?
การเรียนรูจ้ ะเกิดขึ้นไดอ้ ย่างไรนนั้ Gross (อ้างถึง ข้นั ตอนที่ 1 การรับรูส้ ิ่งแปลกใหม่
ใน สมบรู ณศ์ าลยาชวี นิ 2526, หนา้ 267) อธิบายว่า เปน็ การเรยี นรใู้ นรปู ของความรูส้ กึ กบั
ข้ันตอนการเรยี นรขู้ องบคุ คลจะเกิดขึ้นได้ตอ้ ง ความแปลกใหม่ทไี่ ดพ้ บเห็นกบั ความรู้
ประกอบด้วย 3 ข้นั ตอน ดงั น้ี ตา่ งๆ ทน่ี ่าสนใจ น่าทา้ ทายสติปญั ญา
ขั้นตอนที่ 2 การครุ่นคิดตรึกตรอง ขัน้ ตอนท่ี 3 การซาบซง้ึ และการ
เ ป็ น ก า ร เ รี ย น รู้ อ ย่ า ง มี ร ะ บ บ มี ก า ร สร้างสรรค์ เปน็ ความพร้อมท่ีจะลง
วิเคราะหข์ ้อเท็จจริงพยายามให้ได้มาซ่ึง มอื ปฏบิ ตั ิได้ดว้ ยตนเอง
ความรู้ ความจรงิ อย่างมรี ะบบแบบแผน
การวางแผนการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง
เมื่อทราบถึงข้ันตอนการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้วและตัดสินใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองในเร่ืองใดแล้ว ผู้เรียน
จะต้องมีการศึกษาและวางแผนอย่างเป็นขัน้ ตอนเพ่อื ใหก้ ารเรียนรนู้ นั้ บรรลเุ ป้าหมายทีว่ างไว้
ซ่ึง Tough (อ้างถึงใน วิไลพร มณีพันธ์ 2539, หน้า 27-29) อธิบายข้ันตอนการวางแผนการเรียนรู้ด้วย
ตนเองไว้ ดงั น้ี
1. การตัดสินใจว่า ในกระบวนการเรียนรู้น้ันอะไรเป็นความรู้ทักษะที่จะเรียนรู้ ผู้เรียนอาจจะมองหา
ข้อผิดพลาดและจดุ ออ่ นของความรทู้ ี่มอี ยู่ในปจั จุบนั โดยพิจารณาท้งั ด้านทกั ษะ และรูปแบบการเรยี นรใู้ นปจั จุบัน
2. การตัดสินใจวา่ จะเรียนรูก้ ิจกรรมเฉพาะอยา่ งไร วิธีการ
แหล่งวิชาการหรืออุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการเรียนมีอะไรบ้าง ในข้อน้ีผู้เรียนควรศึกษาว่าตนเองมีความต้องการ
เฉพาะด้านอะไร เกณฑ์ท่ีใช้เลือกแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้หรือกิจกรรมเฉพาะอย่าง การรวบรวมความรู้
ข้อเท็จจริง และความหมายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้หรือกิจกรรมเฉพาะด้าน ผู้เรียนอาจดูจากหนังสือ
บทความ กอ่ นการเลือกสิ่งทเ่ี หมาะสมที่สุด ในกรณีที่เป็นแหล่งทรัพยากรบุคคลอาจตัดสินใจว่าบุคคลประเภทใดท่ี
จะใหเ้ น้อื หาวชิ าท่ตี ้องการไดแ้ ละพยายามหาบคุ คลเหล่านั้น ซึ่งเลอื กสรรแล้ววา่ เหมาะสมทีส่ ุด
การวางแผนการเรียนร้ดู ้วยตนเอง (ต่อ)
3. ตัดสินใจว่า จะเรียนที่ใด ผู้เรียนอาจเลือกบริเวณท่ีเงียบสะดวก สบายและไม่มีผู้ใดมารบกวนหรืออาจจะ
ต้องการสถานที่ซงึ่ มอี ุปกรณ์อานวยความสะดวก
4. วางเป้าหมาย หรือกาหนดระยะเวลาการทางานทแ่ี นน่ อน
5. ตดั สนิ ใจวา่ จะเรม่ิ เรยี นเรอ่ื งใด เมือ่ ใด
6. ตัดสินใจวา่ ชว่ งระยะเวลาใด เน้อื หาควรจะกา้ วไปเทา่ ใด
7. พยายามหามูลเหตุที่เป็นอุปสรรค ที่ทาให้การเรียนไม่ประสบความสาเร็จหรือหาข้ันตอนส่วนที่ทาให้
กระบวนการเรยี นร้ไู มม่ ีประสทิ ธิภาพ
8. การหาเวลาสาหรับการเรียนรู้ ขั้นตอนน้ีจะเก่ียวข้องกับการลดเวลาหรือจัดเวลาให้เหมาะสมกับการ
ทางาน กจิ กรรมในครอบครัวหรือการพกั ผ่อน โดยอาจจะขอไม่ให้บุคคลอ่ืนรบกวนในเวลาท่ีกาลังศึกษา หรือขอให้
ผ้อู ื่นทางานแทนเปน็ ครั้งคราว
9. ประเมินระดบั ความร้แู ละทกั ษะหรือความกา้ วหน้าของตน
การวางแผนการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง (ต่อ)
10. การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในฐานะท่ีเป็นส่วนหนึ่งของข้ันตอนน้ี
ผู้เรียนอาจหาเวลาว่างไปในทีต่ ่างๆ ค้นควา้ จากหนงั สอื ในหอ้ งสมุด ตลอดจนการพบบคุ คลที่เอื้อตอ่ การเรยี นรู้
11. การสะสมหรือหาเงนิ ที่จาเปน็ สาหรับประโยชน์ในการหาแหล่งวิทยาการ การซื้อหนังสือ การเช่าอุปกรณ์
บางอยา่ งตลอดจนคา่ ใชจ้ า่ ยในการศึกษา
12. เตรยี มสถานทห่ี รือจดั ห้องเรียนให้เหมาะสมสาหรับการเรียนโดยคานงึ ถงึ สภาพอากาศ แสงสว่าง เป็นต้น
ปัจจยั ทสี่ ่งผลต่อการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง
จากการศึกษาแนวคิดเก่ียวกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง Knowles,Skager, and Tough (อ้างถึงใน รุ่งอรุณ ไสย
โสภณ 2552, หน้า 122) สรปุ ไดว้ ่า ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองมีดังตอ่ ไปนี้
1. การยอมรับตนเอง (self - acceptance) หมายถึงมีเจตคติในเชิงบวกต่อตนเอง มีความเช่ือม่ันว่าตนเอง
สามารถพ่ึงตนเองได้ ดูแลตนเองได้ เป็นผู้เปิดกว้างต่อการเรียนรู้มีความเป็นตัวของตัวเอง รวมท้ังมีความยืดหยุ่นใน
การเรียนรู้ มคี วามเต็มใจแน่วแน่ในการเรียนรู้ ศึกษาปัญหาโดยการลองผิดลองถูก หรือการเรียนรู้มีความล้มเหลวก็มี
ความพยายามท่ีจะนามาปรับปรุงแก้ไขไม่ท้อถอย ยอมแพ้หรือยกเลิก เป็นผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์รับผิดชอบต่อ
การเรียนรู้ของตน มีความรกั ในการเรียน มองอนาคตในแง่ดีและมคี วามสามารถใชท้ กั ษะทางการศึกษาหาความรู้และ
ทักษะการแก้ปญั หา
2. แรงจงู ใจ ซ่ึงเปน็ แรงจงู ใจภายใน (intrinsic motivation)มีความอยากรู้อยากเห็น ความพอใจที่จะทาให้
เกิดความเข้าใจ และแสดงความสามารถของตนในบางส่ิงบางอย่าง ซึ่งแรงจูงใจภายในนี้เป็นแรงจูงใจของการเรียนรู้
ตลอดชีวิตที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตนให้เป็นจริง เพื่อให้มีทักษะ ความรู้ ความฉลาดเพิ่มข้ึน มิใช่เพ่ือเป็นการ
ปรบั ตวั หรือตอบสนองต่อแรงกดดันจากส่ิงแวดล้อม แต่เพอื่ เปน็ การพสิ จู นค์ วามสามารถหรือศักยภาพของตน
ปจั จัยทส่ี ่งผลต่อการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง (ต่อ)
3. การวางแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนจะต้องมีความตระหนักและรับผิดชอบต่อแผนการเรียนของตน
โดยหาความจาเป็นของการเรียนรู้ของตน รู้ถึงความต้องการในการเรียนของตน ต้ังเป้าหมายของการเรียนรู้ หาเวลา
สาหรบั การเรียนรู้ จดั เวลาทเี่ หมาะสมกบั การทางานกิจกรรมครอบครัว หรือการพักผอ่ น การแสวงหาความรู้ทั้งที่เป็น
แหล่งวิชาการและแหล่งบคุ คล เลอื กวธิ กี ารเรยี นรูท้ ีเ่ หมาะสมกับตน ต้องรู้วธิ กี ารที่จะเรียนรู้ว่าจะไปสู่จุดท่ีต้องการจะ
รู้อย่างไร ซ่ึงการเรียนรู้ด้วยการนาตนเองไม่จาเป็นต้องเรียนคนเดียว อาจมีการสอบถามจากผู้อ่ืน หรือขอความ
ช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก บางครั้งอาจมีการทางานพร้อมกับคนอื่น แต่ตนเองมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้เรียนรู้
ด้วยตนเองซึ่งการเรียนรู้จากการฝึกและปฏิบัติจะก่อให้เกิดความเร็วและประสบการณ์ท่ีเป็นประโยชน์ มีการ
ประเมินผลการเรียนรู้ของตนสามารถที่จะประเมินตนเองได้ว่าจะเรียนได้ดีแค่ไหน หรืออาจขอให้ผู้อื่นประเมินการ
เรียนรขู้ องตนกไ็ ด้ ซง่ึ ผู้เรียนจะต้องยอมรับผลการประเมินภายนอกว่าถูกต้อง ต้องให้ผู้ประเมินมีความคิดอย่างอิสระ
และการประเมนิ สอดคล้องกับสงิ่ ตา่ ง ๆ ท่ีปรากฏเปน็ จรงิ อยูข่ ณะนั้น
4. ความพร้อม (readiness) โดยบุคคลท่ีจะเรียนรู้ด้วยตนเองจะต้องเป็นผู้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ คือ
ด้านสขุ ภาพ บคุ คลจะต้องมีสขุ ภาพจติ ทด่ี ีในร่างกายท่แี ข็งแรงสมบูรณ์ ระดับความรสู้ กึ การรับรู้
ปจั จยั ท่ีส่งผลตอ่ การเรียนรู้ด้วยตนเอง (ตอ่ )
และยอมรับความรู้สึก มีความสมดุลทั้งภายในและภายนอกอย่างม่ันคงมีความสงบภายใน มีความมุ่งม่ันและมี
ความคดิ ก่อนลงมือทา ด้านทักษะมกี ารพัฒนาทักษะด้านสมอง และมีการสรา้ งสรรค์ความคดิ ในหลายรูปแบบ รวมท้ัง
ความทรงจา ความมเี หตุผล ความร้เู รอ่ื งการงาน และเทคนิคต่างๆ มคี วามคดิ สร้างสรรคแ์ ละมสี ญั ชาติญาณ
5. บรรยากาศและสภาพแวดล้อม บรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ต้องเป็นบรรยากาศของความ
เป็นอิสระ ไว้วางใจกนั ใหเ้ กยี รติ เคารพในกฎเกณฑร์ ่วมกัน เคารพในความเป็นมนุษย์ร่วมกันรวมไปถึงสภาพแวดล้อม
ทางกายภาพต่างๆ ทต่ี อ้ งเออ้ื อานวยต่อการเรยี นรซู้ ึ่งผ้อู านวยความสะดวกจะมีส่วนชว่ ยให้เกดิ บรรยากาศของการ
เรียนรู้ด้วยตนเอง ต้องมีลักษณะของผู้ท่ีมีความอบอุ่น มีความรักความสนใจและยอมรับในตัวของผู้เรียนเป็นบุคคลที่
พรอ้ มจะเปลยี่ นแปลงและยอมรบั ประสบการณ์ใหม่ๆ
ประโยชน์ของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง
ผู้เรยี นสามารถเรียนรตู้ ามความสามารถของตนเอง เปน็ การคานงึ ถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ผู้เรียนมีอิสระ
มากกว่าการเรียนการสอนแบบปกติ เป็นการจูงใจผู้เรียนให้ชอบบรรยากาศในการเรียนมากขึ้น (วีระ ไทยพานิช,
2529, หน้า 12) Knowles (อ้างถึงใน รุ่งอรุณ ไสยโสภณ 1975, หน้า 37-38)ได้กล่าวถึงความสาคัญและประโยชน์
ของการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง สรปุ ไดด้ งั นี้
1. บุคคลท่เี รยี นรดู้ ว้ ยการริเร่มิ ของตนเองจะเรียนไดม้ ากกวา่ ดกี วา่ มีความตั้งใจ มีจุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจสูง
กว่า สามารถนาประโยชน์จากการเรียนรู้ไปใช้ได้ดีกว่าและยาวนานกว่าคนที่เรียนโดยเป็นเพียงผู้รับ หรือรอการ
ถา่ ยทอดจากผู้สอนเทา่ นน้ั
2. การเรียนรู้ด้วยตนเองส่วนใหญ่มีลักษณะที่เป็นไปโดยธรรมชาติ ตามพัฒนาการทางจิตวิทยา ทาให้บุคคล
สามารถพัฒนาตนเองให้มีวุฒิภาวะขึ้น เช่น จากความต้องการการพ่ึงพาผู้อื่นไปสู่ความเป็นตัวของตัวเอง จาก
ความสามารถต่าไปสูค่ วามสามารถท่ีสงู ข้นึ และจากการมีความรบั ผดิ ชอบต่าไปสู่การมีความรับผิดชอบที่สูงขึ้น จนถึง
ความสามารถในการนาตนเอง
ประโยชนข์ องการเรียนร้ดู ้วยตนเอง (ตอ่ )
3. การเรยี นรู้ด้วยตนเองทาให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นลักษณะที่สอดคล้องกับการพัฒนาการใหม่ ๆ ทาง
การศึกษา เช่น หลักสูตรใหม่ ห้องเรียนแบบเปิด ศูนย์บริการวิชาการ โครงการการศึกษาอิสระ มหาวิทยาลัยเปิดและ
อืน่ ๆ ทเี่ นน้ ให้ผเู้ รยี นรับผิดชอบการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง
4. การเรียนรู้ด้วยตนเองทาให้ผู้เรียนสามารถปรับตนเองให้อยู่รอดและทันต่อการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เกิดอย่าง
รวดเรว็ ในโลก การเรยี นรดู้ ้วยตนเองจงึ เปน็ กระบวนการทต่ี ่อเนือ่ งไปตลอดชวี ติ ประโยชน์ของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองนนั้
มีประโยชน์ต่อผู้เรียนผู้สอนและกระบวนการจัดการเรียนการสอน การเรียนรู้ด้วยตนเองสามารถตอบสนองต่อ
ความแตกตา่ งทางดา้ นความถนดั และความสามารถทางการเรียนของแต่ละบุคคล มีอิสระในการเลือกเวลาและสถานที่
ในการเรยี น ชว่ ยให้เกิดการออกแบบพฒั นาสื่อการเรียนการสอนทส่ี ง่ เสรมิ ประสิทธิภาพในการเรียนรู้เพิม่ ข้ึน
สรปุ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
สรุปได้ว่าการเรียนรู้ด้วยตนเอง คือ การที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามตามความ
สนใจ ตามความต้องการของตน โดยวิธีท่ตี นเองถนดั ทาใหค้ วามร้ทู ไ่ี ดม้ ีความหมาย
เปน็ ความรทู้ ค่ี งทน เพราะเกิดจากการได้ลงมอื ปฏิบัติและคิดวางแผนในการเรียนรู้
อย่างเป็นระบบดว้ ยตวั ของผเู้ รียนเองเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนพัฒนาสติปัญญา
ความมีเหตุผล ความคดิ ท่ีเป็นระบบระเบียบ ไม่ยอมรับหรือเชื่อส่ิงใดง่ายๆ หากยัง
ไมไ่ ด้พิสจู นห์ รือคิดหาเหตผุ ลประกอบ
คาถาม
ข้อที่ 1 ข้อที่ 2
การเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง รูปแบบกิจกรรมท่ี
คอื อะไร ? ส่งเสริมการเรียนรดู้ ้วย
ตนเอง มอี ะไรบ้าง ?
ข้อท่ี 3 ข้อท่ี 4
การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ประโยชนข์ องการเรียนรู้
เกดิ ขึน้ ได้อยา่ งไร ? ดว้ ยตนเอง มอี ะไรบ้าง
Q&A
อา้ งองิ : กรมฝกึ อบรม กรมทด่ี นิ กระทรวงมหาดไทย. (2559). การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
(Self-Directed Learning). กรงุ เทพฯ : กองการพิมพ์ กรมทด่ี นิ .