The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Sasikan543woon, 2024-06-18 10:57:33

การเปรียบเทียบความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กปฐมวัย

การเปรียบเทียบความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว ของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 ศศิกาญจน์ เครือแก้ว โรงเรียนบ้านโคกเพชร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 พ.ศ. 2565


การเปรียบเทียบความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว ของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 ศศิกาญจน์ เครือแก้ว โรงเรียนบ้านโคกเพชร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 พ.ศ. 2565


ก สารบัญ หน้า สารบัญ ก สารบัญตาราง ข สารบัญภาพประกอบ ค บทที่ 1 บทนำ 1 ภูมิหลัง 2 ความมุ่งหมายของการวิจัย 2 ความสำคัญของการวิจัย 2 ขอบเขตของการวิจัย 2 คำนิยามศัพท์เฉพาะ 3 สมมุติฐานของการวิจัย 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย 4 ความหมายของเด็กปฐมวัย 5 ความสำคัญของเด็กปฐมวัย เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง 5 ความหมายของการช่วยเหลือตนเอง 5 คุณค่าและประโยชน์ของการช่วยเหลือตนเอง 6 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน 6 ความหมายของการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย 9 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง 9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง 10 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดกิจกรรม 11 ความหมายของชุดกิจกรรม 11 ประเภทของชุดกิจกรรม 13 องค์ประกอบของชุดกิจกรรม 14 แนวคิด ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรม การเรียนรู้ 15 ขั้นตอนการผลิตชุดกิจกรรม 17 ประโยชน์ของชุดกิจกรรม 18


ข บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 20 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 20 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 20 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย 20 การเก็บรวบรวมข้อมูล 21 การวิเคราะห์ข้อมูล 22 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 22 บรรณานุกรม 24 ภาคผนวก 28 ภาคผนวก ก 29 ภาคผนวก ข 32 ภาคผนวก ค 38 ภาคผนวก ง 48


ค สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพสูตรการหาค่าเฉลี่ย (̅ ) ภาพสูตรการหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) ภาพที่ ค-1 ผู้วิจัยถ่ายรูปคู่กับชุดกิจกรรม 22 22 41 ภาพที่ ค-2 ผู้วิจัยถ่ายรูปคู่กับชุดกิจกรรม ภาพที่ ค-4 และ ค-5 ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว ภาพที่ ค-6 ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว (การผูกเชือกรองเท้า) ภาพที่ ค-7 ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว (การติดเทปหนามเตย) ภาพที่ ค-8 ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว (การรูดซิบ) ภาพที่ ค-9 ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว (การติดกระดุม) ภาพที่ ง-1 และ ง-2 ภาพถ่ายขณะทำวิจัย ภาพที่ ง-3 ภาพถ่ายขณะทำวิจัย ภาพที่ ง-4 และ ง-5 ภาพถ่ายขณะทำชุดกิจกรรม ภาพที่ ง-6 ภาพถ่ายขณะทำชุดกิจกรรม 42 43 44 45 46 47 49 50 51 52


1 บทที่1 บทนำ ภูมิหลัง ทักษะการช่วยเหลือตนเองนั้น นับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์และ ยังเกี่ยวเนื่องกับปัจจัยสำคัญในการที่จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย การที่เด็กมีพัฒนาการใน ด้านการช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร การแต่งกาย การดูแล ตนเอง จะช่วยให้เด็กมีชีวิตอยู่ได้ไม่เป็นภาระแก่ครอบครัวและบุคคลรอบข้าง และการเปิดโอกาสให้ เด็กได้มีอิสระทำเองจะช่วยทำให้เด็กได้พัฒนาความสามารถที่จะพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น National Childcare Accreditation Council (2009 ซึ่งเป็นหน่วยงานแห่งชาติที่มีบทบาท ด้านการดูแลเด็กของประเทศออสเตรเลีย ได้กล่าวว่า การที่เด็กสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ช่วยเหลือเพื่อนและผู้ใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองด้วย การสนับสนุนให้ เด็กช่วยเหลือตนเองนั้น ทำได้โดยเปิดโอกาสให้เด็กทำสิ่งต่าง ๆ โดยผู้ใหญ่คอยให้กำลังใจ ชื่นชมใน ความพยายามของเด็ก แม้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ให้เวลาเด็กมากพอที่เด็กจะทำสิ่งต่าง ๆ ในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น การรับประทานอาหาร รวมถึงการดูแล สุขอนามัยของตนเองและการดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัย โดยผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือ ตนเองมากที่สุด หลีกเลี่ยงการให้งานที่ยากเกินไป ซับซ้อนเกินไป หรือให้งานใหม่ ๆ แก่เด็กจนมาก เกินไป การที่ผู้ใหญ่ช่วยเหลือเด็กมากเกินไป จนทำให้เด็กเคยชินกับการให้คนมาช่วยในทุก ๆ สิ่งและ เด็กก็รู้ตัวว่าตัวเองจะไม่ยอมทำอะไรถ้าไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย เมื่อความช่วยเหลือลดลงเด็กจะเลือกใช้วิธี ร้องไห้ อาละวาด พยายามดึงผู้ช่วยเหลือกลับคืนมา ผลก็คือ เด็กจะติดเป็นนิสัย ทำให้ติดกับการพึ่งพา คนอื่น ขาดความมั่นใจในตนเอง การใช้มือไม่คล่องแคล่ว ขาดทักษะที่จะคิดแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่มี อยู่ มีปัญหาในการเข้าสังคม เพราะเด็กจะยึดติดกับผู้ใหญ่ที่เด็กเห็นว่าช่วยแก้ปัญหาได้มากกว่าที่จะใช้ เวลาอยู่กับเด็กด้วยกัน และเด็กที่ไม่ยอมช่วยเหลือตนเองมักติดกับความรักสบาย ทำให้ทักษะในการ เล่นมีน้อย ร้องไห้เก่ง ปรับตัวไม่เป็น อาจพบว่าผลการเรียนต่ำกว่าความสามารถ ทั้งนี้เนื่องจากเด็ก มักจะคิดแก้ปัญหาไม่เก่ง คิดช้าและคิดได้ไม่หลากหลายวิธี การทำงาน เขียนหนังสือช้า และมีความ รับผิดชอบในด้านต่างๆ ของตนเองต่ำ ตลอดจนสัมพันธภาพระหว่าง พ่อ แม่ ลูกไม่ดี เพราะเมื่อเด็กโต ขึ้นผู้ใหญ่มักจะทนพฤติกรรมที่เด็กไม่รู้จักช่วยเหลือตนเองหรือช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และอาจแสดง ความรำคาญออกมาชัดเจน (วินัดดา ปิยะศิลป์, 2556) ดังนั้น เด็กปฐมวัยช่วงอายุ 4-5 ปี ควรมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามวัยในการช่วยเหลือ ตนเองในการปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย การรับประทานอาหาร การใช้ห้องน้ำห้องส้วม ความสะอาดของร่างกาย และการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย เช่น กิจกรรมการแต่งตัว ได้แก่ การติดกระตุม การรูดซิบ การใช้เข็มขัด การติดเทปหนามเตย การผูกโบ การขัดรองเท้า การผูกเชือกรองเท้า การล้างมือ ซึ่งจะช่วยพัฒนาให้เด็กปฐมวัย มีทักษะในการ


2 ช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันดีขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาความสามารถการ ช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัวว่า ส่งผลต่อความสามารถด้านการแต่งกายของเด็กปฐมวัยอย่างไร ซึ่งผลการวิจัยในครั้งนี้จะเป็นแนวทาง ให้กับครู พ่อแม่ ผู้ดูแลเด็ก ตลอดจนผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยได้นำไปประยุกต์ใช้เป็น ประโยชน์ในการพัฒนาเด็กต่อไป ความมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กปฐมวัย อายุระหว่าง 4–5 ปี ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว ความสำคัญของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีความสำคัญตามประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1. ได้ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัวที่มีประสิทธิภาพสามารถนำไปใช้เพื่อส่งเสริมความสามารถใน การช่วยเหลือตนเองในชีวิตประวัน สำหรับเด็กปฐมวัย 2. เป็นแนวทางสำหรับครูหรือผู้ที่สนใจอื่น ๆ นำเอาความรู้ไปประยุกต์และปรับใช้ในกิจกรรม การเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัยให้สอดคล้องกับความสามารถของผู้เรียน 3. นักเรียนได้พัฒนาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองซึ่งเป็นพื้นฐานในการนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันและการเรียนในระดับชั้นต่อไป ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตของการวิจัย ดังนี้ 1. ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร กลุ่มประชากรที่ศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ เด็กปฐมวัยชาย–หญิง อายุระหว่าง 4–5 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านโคกเพชร สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 58 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ เด็กปฐมวัยชาย–หญิง อายุระหว่าง 4– 5 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2/1 โรงเรียนบ้านโคกเพชร สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 25 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง 2. ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรต้น คือ ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว (ก่อนใช้/หลังใช้) ตัวแปรตาม คือ ความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็กปฐมวัย


3 คำนิยามศัพท์เฉพาะ เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กชาย–หญิง อายุระหว่าง 4–5 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านโคกเพชร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 การช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย หมายถึง ความสามารถในการดูแลตนเองในเรื่อง การ ติดกระดุมเสื้อ การรูดซิปกระโปรง การรูดซิปกางเกง การผูกเชือกรองเท้า การติดเทปหนามเตย โดยไม่ ต้องมีการช่วยเหลือจากผู้อื่น ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งกาย หมายถึง ชุดการสอนที่จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาความสามารถด้าน การแต่งกายของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 อายุระหว่าง 4–5 ปี ภายในชุดกิจกรรมการสอน มีการพัฒนาใน ด้านต่าง ๆ ได้แก่ การติดกระดุมเสื้อ การรูดซิป การผูกเชือกรองเท้า การติดเทปหนามเตย ซึ่งประกอบ ไปด้วย 3.1 คู่มือการใช้ชุดกิจกรรม 3.2 ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งกาย การใช้ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งกาย หมายถึง การนําชุดกิจกรรมการแต่งกายไปพัฒนา ความสามารถด้านการแต่งกายให้แก่เด็กปฐมวัยชาย–หญิง อายุระหว่าง 4–5 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ชั้น อนุบาล 2/1 โรงเรียนบ้านโคกเพชร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 ใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 25 คน เด็กปฐมวัย สมมุติฐานของการวิจัย เด็กปฐมวัย อายุระหว่าง 4–5 ปี เมื่อได้ใช้ชุดกิจกรรมการแต่งกายมีความสามารถด้านการแต่ง กายเพิ่มขึ้น


4 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จามลำดับหัวข้อดังต่อไปนี้ 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย 1.1 ความหมายของเด็กปฐมวัย 1.2 ความสำคัญของเด็กปฐมวัย 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง 2.1 ความหมายของการช่วยเหลือตนเอง 2.2 คุณค่าและประโยชน์ของการช่วยเหลือตนเอง 2.3 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน 2.4 ความหมายของการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย 2.5 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดกิจกรรม 3.1 ความหมายของชุดกิจกรรม 3.2 ประเภทของชุดกิจกรรม 3.3 องค์ประกอบของชุดกิจกรรม 3.4 แนวคิด ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 3.5 ขั้นตอนการผลิตชุดกิจกรรม 3.6 ประโยชน์ของชุดกิจกรรม 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย 1.1 ความหมายของเด็กปฐมวัย เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิด – 6 ปี ซึ่งมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ เปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้รวดเร็ว จะสะท้อนพฤติกรรมที่ผู้ใหญ่แสดง ออกมาให้เห็นในทุก ๆ ด้าน จึงมีคำกล่าวไว้ว่าเด็ก คือ กระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของ ผู้ใหญ่ (สุธิภา อาวพิทักษ์, 2542 : 2) เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงอายุ 5 ปี 11เดือน 29วัน หรืออายุต่ำกว่า 6 ปี (นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กปฐมวัย 0 – 5 ปีระยะยาว พ.ศ. 2550 – 2559) (ส านักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา, 2556: 1) เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 0 – 6 ปี เป็นวัยเริ่มต้นของการพัฒนาการในทุก ด้าน ได้แก่ ด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ และด้านสังคม จึงเป็นวัยที่มีความสำคัญ และเป็นพื้นฐานของการพัฒนาบุคคลให้เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ (ทัศนา แก้วพลอย, 2544 : 1) เด็กปฐมวัย หมายถึง วัยเด็กตอนต้น โดยนับตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี เป็นวัยที่เตรียมตัวเพื่อเข้าสู่ สังคมได้รู้จักบุคคลอื่น ๆ มากขึ้น นอกเหนือจากคนในครอบครัวตนเอง เด็กวัยนี้เพิ่งจะออกจากบ้าน


5 ไปสู่โรงเรียน ยังไม่พร้อมที่จะช่วยเหลือตนเองหรือรับรู้กฎข้อบังคับต่าง ๆ ของโรงเรียน ต่อเมื่ออายุถึง 6 ปี เด็กเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น มีความพร้อมมากขึ้น รู้จักเล่นกับเพื่อน จึงเป็นวัยที่กำลังมี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คนทั่วไปมักเรียกเด็กวัยนี้ว่า เด็กเล็ก เด็กปฐมวัย หรือเด็กอนุบาล (พัชรี เจตน์ เจริญรักษ์,2545:8 –9) เด็กปฐมวัยว่า หมายถึง เด็กที่มีอายุตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึง 5 ปี 11 เดือน 29 วัน ทั้งในระบบ การศึกษาและนอกระบบการศึกษาซึ่งพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญากำลัง พัฒนาอย่างเต็มที่ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2546: 1) จากความหมายที่กล่าวมานั้น สามารถสรุปได้ว่า เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรก เกิด – 6 ปี ซึ่งเป็นวัยที่พัฒนาการด้านต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งพัฒนาการทางด้าน ร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา 1.2 ความสำคัญของเด็กปฐมวัย (คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ, 2562) กล่าวถึงความสำคัญของเด็กปฐมวัยว่า ปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตและพัฒนาการในทุกด้าน เป็นช่วงวัยที่พัฒนาการทางด้านต่าง ๆ เป็นไป อย่างรวดเร็วที่สุดและเป็นฐานรากที่สำคัญสำหรับพัฒนาการในช่วงวัยต่อ ๆ ไป เด็กในวัยนี้จึงเป็น ทรัพยากรบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของประเทศ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมตาม ช่วงวัยจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณภาพและจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไปใน อนาคต ดังนั้น การพัฒนาเด็กปฐมวัยจึงเป็นรากฐานที่มีผลต่อคุณภาพและประสิทธิภาพของคนตลอด ชีวิตและเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด กล่าวคือ เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี มีความสามารถ เรียนรู้ ทำงานได้เก่งและเป็นพลเมืองดีที่จะนำสู่ความสำเร็จในสังคมที่ท้าทายในศตวรรษที่ ๒๑ ต้อง ได้รับโอกาสการพัฒนาอย่างรอบด้านในช่วงปฐมวัย พ่อแม่ผู้ปกครอง ครอบครัว ชุมชน สังคม บุคลากร ทางการแพทย์และสาธารณสุข ครู/ผู้ดูแลเด็ก โรงเรียน องค์กรท้องถิ่นทุกระดับ บุคลากรพัฒนาสังคม ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคศาสนาและภาคธุรกิจ จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในความสำคัญของช่วงปฐมวัย ตระหนักในพันธกิจและลงมือช่วยกันทำให้เด็กปฐมวัยมีโอกาสพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพในภาวะ แวดล้อมที่ปลอดภัย จากความสำคัญของเด็กปฐมวัยที่กล่าวมานั้น สามารถสรุปได้ว่า ปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของ ชีวิตและพัฒนาการในทุกด้าน เป็นช่วงวัยที่พัฒนาการทางด้านต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุดและเป็น ฐานรากที่สำคัญสำหรับพัฒนาการในช่วงวัยต่อ ๆ ไป ดังนั้น การพัฒนาเด็กปฐมวัยจึงเป็นรากฐานที่มี ผลต่อคุณภาพและประสิทธิภาพของคนตลอดชีวิตและเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง 2.1 ความหมายของการช่วยเหลือตนเอง การดูแลช่วยเหลือตนเอง หมายถึง เป็นกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องกิจวัตรประจำวันให้เด็ก สามารถทำได้ด้วยตนเองตามความสามารถที่เขามีอยู่ หรือต้องการความช่วยเหลือน้อยที่สุด (วีระเชษฐ์ ปัญจอริยะกุล, 2549: 41)


6 ทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน คือ การพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติกิจวัตร ประจำวันพื้นฐานในเรื่องการรับประทานอาหาร การแต่งกาย การขับถ่าย การทำความสะอาดร่างกาย และการรับผิดชอบงานบ้าน (ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดนครพนม, 2560: 9) ทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน คือ การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวันให้ผู้เรียน สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันพื้นฐานได้เช่น การรับประทานอาหาร การแต่งกาย การช่วยเหลืองาน บ้านเบื้องต้น เป็นต้น โดยไม่เป็นภาระของครอบครัวและสังคมมากจนเกินไป (อิทธิพัทธ์ น้อยภูธร, 2563: 53) จากความหมายที่กล่าวมานั้น สามารถสรุปได้ว่า การช่วยเหลือตนเอง หมายถึง การฝึกฝน ทักษะในชีวิตประจำวันให้เด็กสามารถทำได้ด้วยตนเองตามความสามารถที่เขามีอยู่ เช่น การใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม การรับประทานอาหาร ความสะอาดของร่างกาย และการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย เช่น กิจกรรมการแต่งตัว ได้แก่ การติดกระตุม การรูดซิบ การใช้เข็มขัด การติดเทปหนามเตย การผูก โบ การขัดรองเท้า การผูกเชือกรองเท้า การล้างมือ เป็นต้น 2.2 คุณค่าและประโยชน์ของการช่วยเหลือตนเอง การมีพัฒนาการในพฤติกรรมการช่วยเหลือตนเอง ทำให้เด็กมีความสุข มีอิสระในครอบครัว และชุมชน เด็กจะพึ่งตนเองได้มากขึ้นเป็นการลดภาระของสมาชิกครอบครัวในการดูแลเด็ก เป็น ประโยชน์ของการช่วยเหลือตนเอง (ศูนย์พัฒนศึกษาแห่งประเทศไทย . 2529: 96) นอกจากนี้ยัง เป็นประโยชน์ในด้าน 1. การสร้างความอิสระในช่วงขวบแรก ๆ เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ที่จะดูแลตนเอง ช่วง นี้เป็นเวลาที่เด็กทุกคนจะต่อดิ้นรนเพื่ออิสรภาพ เด็ก ๆ อยากช่วยตนเองซึ่งเป็นการทำงานหนัก ความสามารถที่มีอยู่ในแต่ละคน จะพบว่าเด็กๆ จะเฝ้ามองและเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองของเด็ก ที่โตกว่า หรือผู้ใหญ่และทดลองเองครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้จะถูกหรือผิดแต่นั่นก็คือความพยายามที่จะ เรียนรู้วิธีช่วยตนเอง ซึ่งจัดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ 2. เด็กรู้สึกว่าตนได้ประสบผลสำเร็จและมีความเชื่อมั่นในตนเองความภูมิใจและความปิติยินดี ที่เกิดจากการทำกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญความภาคภูมิใจแบบนั้นมองเห็นได้ชัด จากความหมายที่กล่าวมานั้น สามารถสรุปได้ว่า การส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้การ ช่วยเหลือตนเองในด้านต่าง ๆ เป็นการส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยเห็นคุณค่าในตนเอง มีความรู้สึกที่ดีกับ ตนเองและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ดีต่อไป 2.3 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน เบญจา ชลธาร์นนท์, สุจินดา ผ่องอักษร, สมบูรณ์ อาศิรพจน์และอนงค์ ผดุงชีวิต (2558, หน้า 2-4) ได้กล่าวว่า ทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน เป็นทักษะที่ผสมผสานจากทักษะการใช้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และกล้ามเนื้อมัดเล็กเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ และเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งที่เด็ก จะต้องเรียนรู้ ดังนั้น ครูผู้สอนจะต้องพิจารณาว่าทักษะใดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของเด็ก และเด็กมีความพร้อมในการที่จะเรียนรู้ทักษะนั้น ๆ เพียงใด เช่น การสอนให้เด็กติดกระดุมเสื้อ เด็ก จะต้องมีความสามารถในการใช้ปลายนิ้ว ทั้ง 3 คือ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง หรือใช้นิ้วหัวแม่มือ


7 และนิ้วชี้ก่อน จึงจะเรียนรู้ทักษะนี้ได้โดยไม่ลำบาก หากเด็กยังใช้ปลายนิ้วไม่ได้ ครูต้องย้อนกลับไป เลือกกิจกรรมเพื่อฝึกการใช้ปลายนิ้วในเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กก่อน เป็นต้น ตัวอย่างพัฒนาการของเด็กปกติในช่วงวัย 2-6 ขวบ ในเรื่องของความสามารถในการดูแล ช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เด็กอายุ 2-3 ขวบ ควรมีทักษะการช่วยเหลือตนเอง ดังนี้ 1. รับประทานอาหารเองโดยใช้ช้อน 2. ใช้ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้าได้ 3. จิ้มอาหารเองโดยใช้ส้อม 4. เช็ดมือด้วยตัวเองได้ 5. ควบคุมตัวเองไม่ให้น้ำลายยืด 6. แปรงฟันโดยการเลียนแบบได้ 7. ดื่มน้ำจากแก้วน้ำเองได้ 8. ใช้สบู่ล้างมือ ล้างหน้า โดยมีผู้ใหญ่ช่วยชี้แนะได้ 9. กลั้นปัสสาวะขณะนอนกลางวันได้ 10. ฝึกสวมถุงเท้าได้ 11. รู้จักด้านหน้า ด้านหลังของเสื้อ 12. ฝึกติดกระดุมแป๊ะได้ 13. รู้จักหลีกเลี่ยงอันตรายได้ 14. ปัสสาวะ อุจจาระในกระโถนได้ 15. ใช้หลอดดูดน้ำจากแก้วได้ 16. รู้จักเคี้ยวและกลืนอาหาร/สิ่งของที่รับประทานได้ 17. บอกผู้ใหญ่ให้พาไปห้องน้ำได้ แม้บางครั้งจะไม่ทัน 18. สวมรองเท้าโดยผู้ใหญ่ชี้แนะ 19. แขวนเสื้อกับตะขอได้ 20. ถอดเสื้อได้ 21. ใช้ผ้าเช็ดปากเมื่อเตือนได้ 22. ล้างแขนขาตนเองขณะอาบน้ าได้ 23. เทน้ำจากเหยือกขนาดเล็กจุ 6-8 ออนซ์ ใส่ถ้วยเองได้ 24. เข้าส้วมเมื่อจะถ่ายอุจจาระได้บ้าง อายุ 3-4 ขวบ ควรมีทักษะการช่วยเหลือตนเอง ดังนี้ 1. รับประทานอาหารได้ด้วยตนเอง 2. ติดและถอดกระดุมเม็ดใหญ่จากเสื้อที่ยังไม่ได้ใส่ได้ 3. แปรงฟันเองเมื่อบอกด้วยคำพูดได้ 4. รู้จักเลี่ยงอันตรายที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ได้ 5. เด็กผู้ชายยืนปัสสาวะในห้องน้ำได้ 6. เก็บและแขวนเสื้อในที่ต่าง ๆ เองได้


8 7. ติดกระดุมแป๊ะ และติดตะขอได้ 8. ใส่และถอดเสื้อเองได้โดยผู้ใหญ่ช่วยปลดกระดุมให้ อายุ 4-5 ขวบ ควรมีทักษะการช่วยเหลือตนเอง ดังนี้ 1. ทำความสะอาดของเหลวที่เลอะเทอะโดยใช้ผ้าเช็ดเองได้ 2. ฝึกร้อย และผูกเชือกรองเท้าได้ 3. หวีผมเองได้ 4. ช่วยจัดโต๊ะตามคำบอกได้ 5. ถอด และใส่เข็มขัด กางเกง หรือรองเท้าได้ 6. ตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนได้ 7. ล้างมือ และล้างหน้าเองได้ 8. เก็บ ปัดโต๊ะให้เรียบร้อยได้ 9. ถอด และใส่กระดุมเสื้อเองได้ 10. เช็ด และสั่งน้ำมูกได้เอง 11. แต่งตัวโดยไม่ต้องช่วยได้ 12. หยิบจานข้าวจากถาดหรือตักอาหารที่เตรียมไว้ได้ 13. แขวนเสื้อผ้ากับไม้แขวนได้ 14. ฝึกแปรงฟันเองได้ 15. ใช้ภาชนะถูกต้องตามชนิดของอาหารได้ 16. ฝึกการใส่ซิปของเสื้อแจ็คเก็ตได้ 17. รู้จักหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายได้ อายุ 5-6 ขวบ ควรมีทักษะการช่วยเหลือตนเอง ดังนี้ 1. รับผิดชอบงานบ้านง่าย ๆ ได้ 2. ตักข้าวเองได้ 3. ช่วยเหลือตนเองบนโต๊ะอาหารและช่วยส่งจานให้ผู้อื่นได้ 4. เปิดกล่องนมดื่มเองได้ 5. หยิบถาดอาหารไปวางบนโต๊ะเพื่อรับประทานเองได้ 6. เตรียมอาหารง่าย ๆ ได้ เช่น ทาแยมขนมปังได้ เป็นต้น 7. เปิด-ปิด ก๊อกน้ำเองได้ 8. ตักอาหารเองได้ จากความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน สามารถสรุปได้ว่า ทักษะการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันเป็นทักษะพื้นฐานที่มีความจำเป็นสำหรับเด็กปฐมวัย เพราะเป็นทักษะที่ผสมผสานการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็ก และเป็นการเตรียมความ พร้อมให้เด็กในด้านต่าง ๆ เช่น การรับประทานอาหาร การใช้ห้องน้ำห้องส้วม ความสะอาดของ ร่างกาย และการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย เป็นต้น เพื่อให้นักเรียนสามารถดูแลและปฏิบัติ กิจวัตรประจำวันได้โดยไม่เป็นภาระของครอบครัวมากเกินไป


9 2.4 ความหมายของการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย การช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย หมายถึง การแสดงพฤติกรรมที่เป็นกระบวนการที่ ต่อเนื่อง และซับซ้อน มีลำดับขั้นตอนพัฒนาการเฉพาะ ซึ่งสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้ได้ในเด็กปกติตั้งแต่ อายุประมาณ 1 ปีจะเริ่มให้ความร่วมมือในการแต่งกาย พออายุ 18 เดือน เด็กจะเริ่มใช้มือในการถอด เสื้อ กางเกง ถุงเท้า และรองเท้าจนอายุ2 ปีทักษะการใช้มือจะดีขึ้นมาก เด็กสามารถถอดเสื้อ กางเกง ได้เอง อายุ 5 ปีเด็กสามารถถอดเสื้อและใส่เสื้อกางเกงได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ต้องอาศัยคนอื่น (สมเกตุ อุทธโยธา. 2539: 15) การช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย หมายถึง กระบวนการที่ต่อเนื่องและซับซ้อนสำหรับ เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา บางครั้งเด็กจะเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกโดยสังเกตจากผู้ใหญ่ และหากผู้ที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือได้ถูกต้องจะเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกฝนและเรียนรู้ที่จะ ช่วยตนเอง (สร้อยสุดาวิทยากร. 2532: 77) จากความหมายที่กล่าวมานั้น สามารถสรุปได้ว่า การช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย คือ พฤติกรรมที่เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและซับซ้อน มีลำดับขั้นตอนพัฒนาการเฉพาะ ซึ่งเด็กสามารถ เรียนรู้ได้โดยการเลียนแบบและฝึกฝนตนเอง เช่น ความสามารถในการสวมเสื้อ กางเกง ติดกระดุมเสื้อ ผูกเชือกรองเท้า สวมถุงเท้า ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายขึ้นอยู่กับพัฒนาการ ด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็ก การแต่งกายเป็นการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของเด็กที่ควรได้รับ การฝึกฝน ตั้งแต่เด็กอยู่กับครอบครัว พ่อแม่ หรือขณะที่เด็กอยู่ที่โรงเรียนกับครู ความสามารถในการ แต่งกายของเด็กขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้อย่างมั่นคงเพียงใด ก็จะสามารถ แต่งกายได้ดีตามไปด้วยเช่นเดียวกัน 2.5 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง มาเรีย มอนเตสซอรี(มลฤดี วิชาศรี, 2561อ้างใน กระทรวงศึกษาธิการ, 2554, น. 53-58)ซึ่ง เป็นนักการศึกษา กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในหมวดชีวิตประจำวัน เป็นกิจกรรมที่พัฒนาทักษะพื้นฐาน ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของตนเองและสังคม ที่เน้นการปฏิบัติที่เป็นกระบวนการ มีระบบ ระเบียบ ขั้นตอน มีจุดประสงค์หลัก คือ การควบคุมการเคลื่อนไหว การมีสมาธิมุ่งมั่นในการทำงาน และการพึ่งพาตนเองได้ และให้เกิดวัฏจักรการทำงาน คือ เลือกอุปกรณ์นำมาปฏิบัติจัดเก็บเข้าที่ ซึ่งจะ เป็นพื้นฐานที่สำคัญ กิจกรรมในหมวดชีวิตประจำวัน มีกิจกรรม 5 กลุ่มงาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่พัฒนา ทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ที่เน้นการปฏิบัติที่ให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกาย สามารถ ควบคุมตัวเองได้อย่างมีทิศทาง ช่วยเหลือดูแลตนเอง ด้านการแต่งตัว ความสะอาดของร่างกาย ดูแล สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะ มีมารยาท และอยู่ร่วมกับสังคมอย่างมีความสุข (จีระพันธุ์ พูลพัฒน์, 2554: 32) อุปกรณ์การสอนแบบมอนเตสซอรี่กลุ่มประสบการณ์ชีวิต มีดังนี้ 1. กลุ่มประสบการณ์ชีวิต (Practical Life) 1.1 กรอบไม้ชุดเครื่องแต่งกาย (Dressing Frames) ประกอบด้วยติดกระดุมใหญ่, ติด กระดุมเล็ก, รูดซิบ, ติดแป๊ะ, ติดตะขอ, ติดเข็มกลัด, คาดเข็มขัด, ร้อยเชือกตามตาไก่ แล้วผูกโบชุด ทำความสะอาดรองเท้า 1.2 ชุดทำความสะอาดห้องเรียน


10 1.3 ชุดอุปกรณ์ทำสวน 1.4 ชุดขัดเครื่องเงิน-เครื่องทองเหลือง 1.5 ชุดอุปกรณ์การซัก รีดผ้า และพับผ้า 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตนเอง การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยตามแนวคิดมอนเตสซอรี่นั้น มีความจำเป็นและ สำคัญเพราะเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีการพัฒนาด้านสมองสูงกว่าวัยอื่นๆ ดังนั้น ควรส่งเสริมการ เรียนรู้อย่างถูกวิธี พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมให้เหมาะสมตามวัยให้มีพัฒนาการที่เหมาะสมตาม วัย เพื่อจะส่งผลให้เด็กโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการ จัดประสบการณ์ตามแนวคิดมอนเตสซอรี่และศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดประสบการณ์ตาม แนวคิดมอนเตสซอรี่ วิธีการดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาระดับการ จัดประสบการณ์ตามแนวคิดมอนเตสซอรี่ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 207 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่ม ตัวอย่างตามตารางเครจซีและมอร์แกน ใช้วิธีการเลือกแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 ค่า IOC อยู่ ระหว่าง 0.60 - 1.00 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่0.38 - 0.77 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัด ประสบการณ์ตามแนวคิดมอนเตสซอรี่ กลุ่มเป้าหมาย 8 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์เนื้อหาแบบพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ระดับการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดมอนเตส ซอรี่สำหรับเด็กปฐมวัยโดยรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 1) หมวด ชีวิตประจำวัน 2) หมวดประสาทรับรู้ 3) หมวดภาษา 4) หมวดคณิตศาสตร์ ตามลำดับและแนว ทางการพัฒนาการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดมอนเตสซอรี่ของสถานศึกษา ควรจัดกิจกรรมใน หมวดคณิตศาสตร์ให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ส่งเสริมและพัฒนาการจัดประสบกรณ์การเรียนรู้ค่า จำนวน หลักเลข การบวก การลบ การนับเลขข้ามด้วยสื่ออุปกรณ์ที่เป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม เด็กได้ฝึกปฏิบัติซ้ำ ๆ เด็กได้เรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างง่าย ๆ รอบตัวก่อนเริ่มจากง่ายไปหายาก พร้อมทั้งส่งเสริมการผลิตสื่อที่หลากหลาย ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบท ควรจัดประสบกรณ์จาก สิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัวเด็กและ ที่สำคัญผู้บริหารต้องให้การสนับสนุน โดยมีผู้เชี่ยวชาญติดตาม พร้อมให้คำแนะนำ (มลฤดี วิชาศรี, 2561) การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมกล่องงาน โดยใช้รูปแบบการ เรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการช่วยเหลือตนเองใน ชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนบกพร่องทางสติปัญญา ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันของนักเรียนก่อนและหลังที่ เรียนด้วยชุดกิจกรรมกล่องงานที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนบกพร่อง ทางสติปัญญา ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดนครพนมปีการศึกษา 2562 อายุระหว่าง 5-10 ปี จำนวน 5 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมกล่องงาน 2) แผนการสอนเฉพาะบุคคล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 และ 3) แบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56


11 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ ทดสอบแบบ Wilcoxon Sign Rank Test ผลการวิจัยพบว่า 1. ชุดกิจกรรมกล่องงาน โดยใช้ รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการช่วยเหลือ ตนเองในชีวิตประจำวันสำหรับนักเรียนบกพร่องทางสติปัญญา ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 90/92 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กำหนดไว้ 2. ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองใน ชีวิตประจำวันของนักเรียนหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมกล่องงานสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 (อิทธิพัทธ์ น้อยภูธร, 2563) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความรู้และความสามารถของผู้ปกครอง เพื่อฝึกทักษะการดูแลช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเด็กออทิสติกก่อนและหลัง การฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นผู้ปกครองเตี๋กออทิสติก ศูนย์การศึกษา พิเศษ เขตการศึกษา 1 จังหวัดนครปฐม ที่ยังไม่เคยได้รับการคัดเลือกเข้าโครงการปรับบ้านเป็น ห้องเรียนเปลี่ยนพ่อแม่เป็นครูมาก่อน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ชุดฝึกอบรมผู้ปกครองเพื่อฝึกทักษะการดูแล ช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเด็กออทิสติก 2) คู่มือสำหรับผู้ปกครองการใช้กลวิธี การเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) เพื่อฝึกทักษะการดูแลช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติ กิจวัตรประจำวันเด็กออทิสติก 3) แบบทดสอบความรู้สำหรับผู้ปกครอง เด็กออทิสติก 4) แบบประ เงินความสามารถสำหรับผู้ปกครองเด็กออทิสติก ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการศึกษาพบว่าคะแนนการ ประเมินความรู้ของผู้ปกครองในการฝึกทักษะการดูแลช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตร ประจำวันเด็กออทิสติก หลังการฝึกอบรม ( X - 18.00 , S.D = 1.55) สูงกว่าก่อนการฝึกอบรม ( X = 8.33, S.D = 1.21) คะแนน การประเมิน ความสามารถของผู้ปกครองในการฝึกทักษะการ ดูแลช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเด็กออทิสติก หลังการทดลอง มีความสามารถ อยู่ในระดับ ดี( X = 14.91, S.D. = 1.10) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ความสามารถของ ผู้ปกครองในการฝึกทักษะการดูแลช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเด็กออทิสติกอยู่ ในระดับ ดีมาก คือ ด้านที่ 2 การแต่งกาย ( X = 16.54, S.D. = 1.20) ในขณะที่อีก 3 ด้านอยู่ใน ระดับดี คือ ด้านที่ 3 การทำความสะอาดร่างกาย ( X - 14.52, S.D. = 1.17), ด้านที่ 1 การ รับประทานอาหาร ( X = 14.43, S.D. =1.33) และด้านที่ 4 การขับถ่าย ( X = 14.14, S.D. = 1.25) ตามลำดับ (เนตรชนก รินจันทร์, 2557) 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดกิจกรรม 3.1 ความหมายของชุดกิจกรรม ชุดกิจกรรมการสอน หมายถึง การรวบรวมสื่อการสอนอย่างสมบูรณ์ตามแบบแผนที่วางไว้ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการสอน ชุดกิจกรรมเป็นระบบสื่อประสมสำเร็จรูป เพื่อให้ครูใช้ในการ สอน มีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนรู้ คู่มือครู เนื้อหารายการสื่อการสอนและเอกสารอ้างอิง (ภพ เลาหไพ บูรณ์, 2552: 225)


12 ชุดกิจกรรม หมายถึง กระบวนการสอนแบบโปรแกรมชนิดหนึ่ง อาศัยระบบสื่อประสมที่ สอดคล้องกับเนื้อหา และประสบการณ์ของแต่ละหน่วยมาช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ให้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ชัยวัฒน์(สุทธิรัตน์, 2554: 21-22) ชุดกิจกรรม หมายถึง นวัตกรรมที่ครูใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดย ผู้เรียนศึกษาและใช้สื่อต่าง ๆ ในชุดกิจกรรมที่ผู้สอนสร้างขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบของการสื่อสารระหว่าง ผู้สอนและผู้เรียน สุคนธ์ สินธพานนท์ (2554 : 14) ชุดกิจกรรม คือ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการสอนที่ครูสร้างขึ้น ประกอบด้วย สื่ออุปกรณ์ และกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างหลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนใช้ศึกษาด้วยตนเอง โดยครูเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำและคอยช่วยเหลือ ชุดการเรียนรู้หรือชุดกิจกรรม ประกอบด้วย คำชี้แจง จุดประสงค์ เนื้อหา สื่อ การวัดและประเมินผล เพื่อให้ผู้ใช้ชุดกิจกรรมได้บรรลุเป้าหมายของการเรียน ที่ว่างไว้อย่างมีประสิทธิภาพ (สำเนียง พุธทา, 2550: 27) ชุดกิจกรรม หมายถึง สื่อการสอนที่ครูผู้สอนสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้ในกิจกรรมการเรียนการ สอนวิชาคณิตศาสตร์ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาตามจุดประสงค์การเรียนรู้ของหลักสูตร ซึ่งประกอบ ไปด้วยชื่อกิจกรรม คู่มือการปฏิบัติกิจกรรม เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ และแบบประเมินผล เพื่อเป็นเครื่องมือให้นักเรียนศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองเพื่อช่วยให้นักเรียนมีการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ และสามารถทำกิจกรรมแบบรายบุคคลหรือทำกิจกรรมแบบกลุ่ม โดยครูเป็นผู้คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (ไกร ฤกษ์ พลพา, 2551: 11) การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นกระบวนการเรียนรู้จากชุดกิจกรรมการ เรียนรู้เป็นสื่อการสอนชนิดหนึ่งที่เป็นลักษณะของสื่อประสม (Multi-media) เป็นการใช้สื่อตั้งแต่สอง ชนิดขึ้นไปร่วมกันเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ที่ต้องการ โดยอาจจัดขึ้นสำหรับหน่วยการเรียนตามหัวข้อ เนื้อหาและประสบการณ์ของแต่ละหน่วยที่ต้องการจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อาจจัดเอาไว้เป็นชุด ๆ บรรจุ ในกล่อง ซองหรือกระเป๋า ชุดการเรียนรู้แต่ละชุด ประกอบด้วยเนื้อหาสาระ บัตรคำสั่ง/ใบงานในการ ทำกิจกรรม วัสดุอุปกรณ์ เอกสาร ใบความรู้ เครื่องมือหรือสื่อที่จำเป็นสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้ง แบบวัดประเมินผลการเรียนรู้(สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ, 2551: 51) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้คือ การจัดกิจกรรมการเรียนโดยเอาสื่อ นวัตกรรมต่าง ๆ มาจัดการ เรียนรู้อย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับเนื้อหา และประสบการณ์ ประกอบด้วย คำชี้แจงการใช้ชุด กิจกรรมการเรียนรู้(รวิวรรณ พงษ์พวงเพชร, 2552: 64) จากความหมายของชุดกิจกรรมข้างต้นที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง ชุด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนสร้างขึ้นไว้อย่างเป็นระบบ จัดเอาไว้เป็นชุด ๆ บรรจุในกล่อง ซองหรือ กระเป๋า เพื่อนำมาใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน โดยจะสอดคล้องกับเนื้อหาเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ พฤติกรรมที่เป็นผลของการเรียนรู้ โดยครูเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำและคอยช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ใช้ชุด กิจกรรมเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด


13 3.2 ประเภทของชุดกิจกรรม วิชัย วงษ์ใหญ่ (2552, หน้า 174) ได้แบ่งชุดกิจกรรมตามลักษณะการใช้งานเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับประกอบการบรรยายสำหรับครู เป็นชุดกิจกรรมที่ กำหนดกิจกรรมและสื่อการเรียนให้ครูใช้ประกอบการบรรยายเพื่อเปลี่ยนบทบาทของครูให้พูดน้อยลง และเปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรมการเรียนมากขึ้น ชุดกิจกรรมนี้จะมีเนื้อหาเพียงหน่วยเดียวและ ใช้กับนักเรียนทั้งห้อง 2. ชุดกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับกิจกรรมแบ่งกลุ่ม เป็นชุดกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียน ปฏิบัติกิจกรรมร่วมกันเป็นหมู่คณะ อาจจัดกิจกรรมเป็นศูนย์การเรียน ชุดกิจกรรมแบบนี้ ประกอบด้วย ชุดการเรียนการสอนหรือชุดการเรียนครบตามจำนวนผู้เรียนในศูนย์กิจกรรมนั้น สื่อการ เรียนอาจจัดอยู่ในรูปของการเรียนการสอนรายบุคคล หรือผู้เรียนทั้งศูนย์ใช้ร่วมกันก็ได้ ผู้เรียนที่เรียน จากการจัดกิจกรรมกลุ่ม อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากครูระยะเริ่มต้นและระยะหลังจากเคยชิน ต่อวิธีการใช้แล้วผู้เรียนสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ขณะทำกิจกรรมถ้ามีปัญหาผู้เรียนสามารถ ซักถามครูได้เสมอ เมื่อเรียนจบในแต่ละศูนย์แล้วผู้เรียนอาจสนใจการเรียนเสริมสามารถเรียนจากศูนย์ สำรองที่ครูเตรียมไว้ไม่ให้เสียเวลาคอยผู้อื่น 3. ชุดกิจกรรมการเรียนการสอนรายบุคคล เป็นชุดการเรียนการสอนที่จัดระบบขั้นตอน เพื่อให้ผู้เรียนใช้เรียนด้วยตนเองตามขั้นตอนความสามารถของแต่ละบุคคล เมื่อศึกษาครบแล้วจะทำ การทดสอบประเมินผลความก้าวหน้าและศึกษาชุดกิจกรรมหรือชุดการเรียนการสอนชุดอื่น ๆ ต่อไป ตามลำดับ เมื่อมีปัญหาผู้เรียนจะปรึกษากันได้ระหว่างเรียนและผู้สอนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ทันทีในฐานะผู้ประสานงานหรือผู้ชี้แนะแนวทางการเรียนด้วยชุดกิจกรรมหรือชุดการเรียน การสอน แบบนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลให้พัฒนาการเรียนรู้ของตนเองไปจนเต็ม ความสามารถโดยไม่ต้องเสียเวลาคอยผู้อื่น วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2546, หน้า 34) ได้แบ่งชุดการสอนเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ชุดการสอนแบบประกอบคำบรรยาย เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการสอนสำหรับครู จะใช้สอนผู้เรียนเป็นกลุ่มใหญ่ หรือเป็นการสอนที่ต้องการปูพื้นฐานให้ผู้เรียนเป็นส่วนใหญ่รู้และเข้าใจ ในเวลาเดียวกัน ชุดการสอนแบบนี้จะช่วยให้ผู้สอนลดการพูดน้อยลงซึ่งอาจเรียกว่า ชุดการสอน สำหรับครู 2. ชุดการสอนแบบกลุ่มกิจกรรม เป็นการสอนสำหรับผู้เรียนกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 5-7 คน เรียนโดยสื่อการสอนที่ระบุไว้ในชุดการสอนแต่ละชุด มุ่งที่จะฝึกทักษะในเนื้อหาวิชาที่เรียนและให้ ผู้เรียนมีโอกาสทำงานร่วมกัน 3. ชุดการสอนแบบรายบุคคล เป็นชุดการสอนสำหรับเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคล ซึ่ง ผู้เรียนจะต้องศึกษาหาความรู้ ความสามารถและความสนใจของตนเองอาจจะเรียนที่บ้านหรือที่ โรงเรียนก็ได้ บุญเกื้อ ควรหาเวช (2542) ได้แบ่งชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบคำบรรยาย เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับครูจะใช้


14 นักเรียนเป็นกลุ่มใหญ่ หรือเป็นการปูพื้นฐานให้นักเรียนส่วนใหญ่รู้ และเข้าใจในเวลาเดียวกัน บางคน อาจ เรียกว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับครู 2. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มกิจกรรม เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับให้นักเรียนเข้า ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยใช้สื่อที่บรรจุไว้ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 3. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบรายบุคคล เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้เอกัตภาพเป็น ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคล คือ นักเรียนจะต้องศึกษาความรู้ ความสามารถและความสนใจของตนเอง นักเรียนสามารถจะประเมินผลการเรียนด้วยตนเองได้ เบญจพร วิทยพาณิชกร (2556, หน้า 31) ได้แบ่งชุดกิจกรรมออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ ชุด กิจกรรมที่นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง และชุดกิจกรรมที่ครูเป็นผู้ดำเนินการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ นักเรียน จากประเภทของชุดกิจกรรมข้างต้นที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมแต่ละประเภทมี ลักษณะแตกต่างกันออกไป และแต่ละชุดกิจกรรมนั้นยังเป็นตัวกำหนดบทบาทหน้าที่ของครูและ นักเรียนในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มีทั้งชุดกิจกรรมรายบุคคล ชุดกิจกรรมแบบแบ่งกลุ่ม และชุด กิจกรรมสำหรับครู ดังนั้นการจะเลือกใช้ชุดกิจกรรมใดนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ใช้โดยเลือกใช้ชุด กิจกรรมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ 3.3 องค์ประกอบของชุดกิจกรรม ทิศนา แขมมณี (2553, หน้า 10-12) กล่าวว่า ชุดกิจกรรม ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ 1. ชื่อกิจกรรม ประกอบด้วย หมายเลขกิจกรรม ชื่อของกิจกรรมและเนื้อหาของกิจกรรม นั้น ๆ 2. คำชี้แจง เป็นส่วนที่อธิบายความมุ่งหมายหลักของกิจกรรมและลักษณะของการจัด กิจกรรม เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้น 3. จุดมุ่งหมาย เป็นส่วนที่ระบุจุดมุ่งหมายที่สำคัญของกิจกรรมนั้น 4. ความคิดรวบยอด เป็นส่วนที่ระบุเนื้อหาหรือมโนทัศน์ของกิจกรรมนั้น ส่วนนี้ควรได้รับ การเน้นเป็นพิเศษ 5. สื่อ เป็นส่วนที่ระบุถึงวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการดำเนินกิจกรรมเพื่อช่วยให้ครูทราบว่า ต้องเตรียมอะไรบ้าง 6. เวลาที่ใช้ เป็นส่วนที่ระบุเวลาโดยประมาณว่า กิจกรรมนั้นควรใช้เวลาเพียงใด 7. ขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม เป็นส่วนที่ระบุในการจัดกิจกรรมเพื่อให้บรรลุตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ วิธีการจัดกิจกรรมนี้ได้จัดเป็นขั้นตอน ซึ่งนอกจากจะสอดคล้องกับหลักวิชาแล้วยัง เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ครูในการดำเนินการ กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์ (2554, หน้า 107) ได้อธิบายถึงองค์ประกอบของชุดกิจกรรมที่สำคัญ ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ 1. องค์ประกอบด้านการจัดการ ประกอบด้วย คู่มือครูและแบบฝึกปฏิบัติสำหรับครูหรือผู้ใช้ ชุดกิจกรรม และผู้เรียนที่เรียน เป็นการจัดเตรียมการเรียนการสอนของผู้สอนและผู้เรียน มีคำสั่งหรือ การมอบงาน เพื่อกำหนดแนวทางการเรียนให้กับนักเรียนและการสอนของผู้สอน


15 2. องค์ประกอบด้านเนื้อหา เป็นเนื้อหาสาระที่ถูกออกแบบให้อยู่ในรูปของสื่อการสอนและ กิจกรรมการเรียนการสอน ทั้งแบบกลุ่มและรายบุคคล ซึ่งกำหนดไว้ให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลได้ตาม วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3. องค์ประกอบด้านการประเมินผล เป็นการประเมิน “กระบวนการ” โดยวัดจาก แบบฝึกหัด รายงานการค้นคว้า จากใบงาน และจากการทดลอง เป็นต้น และส่วนที่เป็น “ผลลัพธ์” ของการเรียนโดยวัดจากแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์หลังจากการเรียนด้วยชุดกิจกรรม สุคนธ์ สินธพานนท์ (2551) องค์ประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนการสอน คือ 1. คำชี้แจงในการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นคำชี้แจงให้ผู้เรียนทราบจุดประสงค์ของการ เรียนศึกษาชุดกิจกรรมการเรียนรู้และส่วนประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เช่นประกอบด้วย บัตร คำสั่ง บัตรปฏิบัติการ บัตรเนื้อหา บัตรฝึกหัดและบัตรเฉลย บัตรปฏิบัติการและบัตรเฉลย บัตรทดสอบ และบัตรเฉลยบัตรทดสอบ 2. บัตรคำสั่งเป็นการชี้แจงรายละเอียดของการศึกษาชุดกิจกรรมการเรียนรู้นั้นว่าต้องปฏิบัติ ตามขั้นตอนอย่างไร 3. บัตรกิจกรรมหรือบัตรปฏิบัติการบางชุดกิจกรรมการเรียนรู้อาจออกแบบให้มีบัตรกิจกรร หรือบัตรปฏิบัติการ ซึ่งเป็นบัตรที่บอกให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ 4. บัตรเนื้อหาเป็นบัตรที่บอกเนื้อหาให้ผู้เรียนศึกษาสิ่งที่ควรมีในบัตรเนื้อหา คือ หัวเรื่องสูตร นิยาม และคำอธิบาย 5. บัตรแบบฝึกหัดหรือบัตรงานเป็นแบบฝึกหัดที่ให้ผู้เรียนทำหลังจากได้ทำกิจกรรมและ ศึกษาเนื้อหาจนเข้าใจแล้ว 6. บัตรเฉลยบัตรแบบฝึกหัดเมื่อผู้เรียนทำบัตรแบบฝึกหัดเสร็จแล้วสามารถตรวจสอบความ ถูกต้องจากบัตรเฉลยแบบฝึกหัด 7. บัตรทดสอบ เมื่อผู้เรียนได้ทำแบบฝึกหัดเสร็จแล้ว ผู้เรียนจะมีความรู้ในหัวข้อที่เรียนนั้น ๆ ต่อจากนั้นจึงให้ผู้เรียนทำบัตรทดสอบ 8. บัตรเฉลยบัตรทดสอบ เป็นบัตรที่มีคำเฉลยของบัตรทดสอบที่ผู้เรียนได้ทำไปแล้วเป็นการ ตรวจสอบ หรือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในการศึกษาชุดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น จากประเภทของชุดกิจกรรมข้างต้นที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า องค์ประกอบของชุด กิจกรรมจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ ๆ ดังนี้1. คู่มือสำหรับครูหรือผู้ใช้ชุดกิจกรรม 2. คำชี้แจง 3. จุดมุ่งหมาย 4. ขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม 5. สื่อ และ 6. การประเมินผล 3.4 แนวคิด ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ในการสร้างชุดกิจกรรมให้มีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องอาศัยแนวคิด ทฤษฎีและหลักการ โดยมีนักการศึกษาได้ให้แนวคิด ทฤษฎีและหลักการ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2545) มีแนวคิดพื้นฐานที่นำมาใช้ในการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่ง ประกอบด้วยแนวคิดหลัก 5 หลักการ ดังนี้ แนวคิดที่ 1 ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล มีการนำหลักจิตวิทยามาระยุกต์ใช้ในการ เรียนการสอนโดยคำนึงถึงความถนัด ความต้องการ และความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ ความ


16 แตกต่างระหว่างบุคคลมีหลายด้าน คือ สติปัญญา ความสามารถ ความสนใจ ความต้องการด้าน ร่างกาย อารมณ์ เป็นต้น เลือกการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีที่เหมาะสมกับนักเรียนที่สุด แนวคิดที่ 2 ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการสอนที่ยึดครูเป็นแหล่งเรียนรู้มาเป็นการจัด ประสบการณ์ให้นักเรียนด้วยการใช้ความรู้จากสื่อการสอนในรูปแบบต่าง ๆ โดยจัดให้ตรงกับเนื้อหา และประสบการณ์ตามบทเรียน ครูจะถ่ายทอดความรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนจะ ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากสิ่งที่ครูได้เตรียมไว้ในรูปของชุดกิจกรรม แนวคิดที่ 3 การใช้โสตทัศน์อุปกรณ์ในรูปของการจัดระบบการใช้สื่อการสอนมาใช้ในการสอน และใช้เป็นแหล่งการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน จึงผลิตสื่อการสอนแบบประสมให้เป็นชุดกิจกรรม แนวคิดที่ 4 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน การนำกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์มาใช้ในการ จัดการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนได้ประกอบกิจกรรมด้วยกัน และมีทักษะการแสดงออกจึงนำมาสู่ การผลิตสื่อออกมาในรูปแบบของชุดกิจกรรม แนวคิดที่ 5 การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ โดยยึดหลักจิตวิทยาการเรียนรู้มาใช้โดยจัด สภาพแวดล้อมที่เป็นแบบเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยตนเอง ทราบผลการตัดสินหรือ การปฏิบัติงานของตนเองว่าถูกหรือผิดอย่างไร มีการเสริมแรงให้กับนักเรียน และนักเรียนต้องได้ เรียนรู้ไปทีละขั้นตอนความสามารถและความสนใจของตนเอง ชม ภูมิภาค (2528) ได้กล่าวถึงหลักการและทฤษฎี ที่นำมาใช้ในการสร้างชุดการสอนหรือชุด กิจกรรมว่า ควรพิจารณาในสิ่งต่อไปนี้ 1. ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยคำนึงถึงความต้องการ ความถนัด และความสนใจ ของผู้เรียนเป็นสำคัญ แต่ละบุคคลมีความแตกต่างหลายด้าน คือ ความสามารถ สติปัญญา ความ ต้องการ ความสนใจ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และอื่น ๆ ซึ่งหากนำเอาหลักความแตกต่างเหล่านี้มาใช้ ในกระบวนการเรียนรู้ จะเห็นว่าวิธีการที่เหมาะสมที่สุดคือ การจัดการสอนรายบุคคล การศึกษาด้วย ตนเอง ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนตามสติปัญญา ความสนใจ ความสามารถ โดยมีผู้คอยช่วยเหลือ แนะนำตามความเหมาะสม 2. การนำเอาสื่อประสมมาใช้ คือ การนำเอาสื่อการสอนหลาย ๆ อย่างมาสัมพันธ์กัน ซึ่ง ส่งเสริมกันอย่างเป็นระบบ สื่อการสอนหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ ในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่อ อธิบายเนื้อหา และอีกชนิดหนึ่งใช้เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งการใช้สื่อประสมจะช่วยให้ ผู้เรียนมีประสบการณ์มากขึ้น 3. การนำกระบวนการกลุ่มมาใช้ในกระบวนการเรียนรู้ มีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ ทำกิจกรรมการเรียนร่วมกัน ทฤษฎีกระบวนการกลุ่มจึงเป็นแนวคิดทางพฤติกรรมศาสตร์ที่ควรนำมา ไว้ในรูปของชุดการสอน 4. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยยึดหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ คือ การเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้กับ ผู้เรียนดังนี้ 4.1 เข้าร่วมในการทำกิจกรรมด้วยตนเอง 4.2 ทราบผลการเรียนของตนเองทันที 4.3 มีการเสริมแรง ทำให้นักเรียนกระทำพฤติกรรมนั้นซ้ำ 4.4 ได้เรียนรู้เป็นขั้นเป็นตอนตามความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน


17 5. การนำวิธีวิเคราะห์ระบบมาใช้ในในการสร้างชุดการสอน โดยชุดการสอนมีการจัด เนื้อหาวิชาให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและวัยของผู้เรียน มีการนำไปทดลองปรับปรุงจนมีคุณภาพ เชื่อถือได้แล้วจึงนำมาใช้ โดยมีการเสนอแนะนำการสอนให้กับครูผู้สอน ตั้งแต่การตั้งจุดมุ่งหมาย ขั้นตอนการจัดกิจกรรม สื่อการสอน ตลอดจนเครื่องมือและวิธีการวัดประเมินผล จากแนวคิด ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ข้างต้นที่กล่าวมา ผู้วิจัยพบว่ามีนักวิชาการและนักการศึกษาหลาย ๆ ท่านได้ให้หลักการ แนวคิด สามารถสรุปได้ดังนี้ การสร้างชุดกิจกรรมเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ต้องคำนึงถึงความสำคัญกับความแตกต่าง ระหว่างบุคคล โดยคำนึงถึงความต้องการ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการจัด ประสบการณ์ให้ผู้เรียนด้วยการใช้ความรู้จากสื่อการสอนในรูปแบบต่าง ๆ การใช้โสตทัศน์อุปกรณ์ใน รูปของการจัดระบบการใช้สื่อการสอนมาใช้ในการสอน มีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการ เรียนร่วมกัน ครูผู้สอนมีการเสริมแรงให้กับผู้เรียนและการจัดสภาพสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้โดยเปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยตนเอง 3.5 ขั้นตอนการผลิตชุดกิจกรรม สุวิทย์ มูลคำ (2555: 22) ได้เสนอขั้นตอนในการสร้างชุดกิจกรรมไว้ดังนี้ 1. กำหนดเรื่องเพื่อทำชุดกิจกรรม อาจกำหนดตามเรื่องในหลักสูตร หรือกำหนดเรื่องใหม่ ขึ้นมาก็ได้ การจัดแบ่งเรื่องย่อยจะขึ้นอยู่กับเนื้อหา และลักษณะการใช้ชุดกิจกรรมนั้น ๆ 2. กำหนดหมวดหมู่เนื้อหาและประสบการณ์ 3. จัดเป็นหน่วยการสอน จะแบ่งเป็นกี่หน่วย หน่วยหนึ่ง ๆ จะใช้เวลานานเท่าใดควร พิจารณา ให้เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นของผู้เรียน 4. กำหนดหัวเรื่อง จัดแบ่งหน่วยการสอนเป็นหัวข้อย่อย ๆ เพื่อสะดวกแก่การเรียนรู้ 5. กำหนดความคิดรวบยอดหรือหลักการ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าจะให้ผู้เรียนเกิดความคิด รวบยอดหรือสามารถสรุปหลักการ แนวคิดอะไร 6. กำหนดจุดประสงค์การสอน ซึ่งเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 7. กำหนดกิจกรรมการเรียน ต้องกำหนดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ซึ่งจะเป็นแนวทางใน การเลือกและผลิตสื่อการสอน กิจกรรมการเรียน 8. กำหนดแบบประเมินผล ต้องออกแบบให้ตรงกับจุดประสงค์ 9. เลือกและผลิตสื่อการสอน 10. สร้างข้อสอบก่อนและหลังเรียนพร้อมทั้งเฉลย 11. หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม 12. นำชุดกิจกรรมไปใช้ โดยมีขั้นตอนการใช้ดังนี้ ขั้นทดสอบก่อนเรียน ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นประกอบกิจกรรมการเรียน ขั้นสรุปบทเรียน และขั้นประเมินผลการเรียน ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2556: 97-98) ได้อธิบายถึงขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรม ดังนี้ 1. กำหนดหมวดหมู่เนื้อหาและประสบการณ์ อาจจะกำหนดเป็นหมวดวิชาหรือบูรณาการ เป็นแบบสหวิทยาการตามที่เห็นเหมาะสม


18 2. กำหนดหน่วยการสอน โดยแบ่งเนื้อหาวิชาออกเป็นหน่วยการสอนโดยการประมาณ เนื้อหาวิชาที่จะให้ครูสอน ซึ่งอาจจะกำหนดให้ได้ในหนึ่งสัปดาห์หรือสอนได้หน่วยละครั้ง ครั้งละ ประมาณ 1-2 ชั่วโมง 3. กำหนดหัวเรื่อง ผู้สอนจะต้องถามตัวเองว่า ในการสอนแต่ละหน่วยควรให้ประสบการณ์ อะไรแก่ผู้เรียนบ้างแล้วกำหนดหัวข้อเรื่องออกมาเป็น 4-6 หัวเรื่อง 4. กำหนดมโนทัศน์และหลักการ มโนทัศน์และหลักการที่กำหนดขึ้นจะต้องสอดคล้องกับ หน่วยและหัวเรื่อง โดยสรุปแนวความคิด สาระและหลักเกณฑ์ที่สำคัญไว้เพื่อเป็นแนวทางในการจัด เนื้อหามาสอนให้สอดคล้อง 5. กำหนดวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับหัวเรื่อง เป็นวัตถุประสงค์ทั่วไปก่อนแล้วเปลี่ยนเป็น จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ที่ต้องมีเงื่อนไขและเกณฑ์การเปลี่ยนพฤติกรรมไว้ทุกครั้ง 6. กำหนดกิจกรรมการเรียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่งเป็นแนวทางการ เลือกและผลิตสื่อการสอน 7. กำหนดแบบประเมินผล โดยจะต้องประเมินผลให้ตรงกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยใช้ แบบทดสอบอิงเกณฑ์ เพื่อให้ผู้สอนทราบว่าหลังจากผ่านกิจกรรมมาแล้วนักเรียนได้เปลี่ยนพฤติกรรม การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ 8. เลือกและผลิตสื่อการสอน วัสดุอุปกรณ์หรือวิธีการที่ครูใช้ถือว่าเป็นสื่อการสอนทั้งสิ้น เมื่อ ผลิตสื่อการสอนของแต่ละหัวเรื่องแล้ว ก็จัดสื่อการสอนเหล่านั้นไว้เป็นหมวดหมู่ในกล่องที่เตรียมไว้ ก่อนนำไปทดลองหาประสิทธิภาพ เรียกว่า “ชุดกิจกรรม” 9. หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมเพื่อเป็นการประกันว่า ชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพในการสอน ผู้สร้างจำต้องกำหนดเกณฑ์ขึ้นล่วงหน้า โดยคำนึงถึงหลักการที่ว่า การเรียนรู้ เป็นกระบวนการเพื่อช่วยให้การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนบรรลุผล 10. การใช้ชุดกิจกรรม ชุดกิจกรรมที่ได้ปรับปรุงและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้สามารถ นำไปใช้สอนผู้เรียนได้ตามประเภทของชุดกิจกรรม และตามระดับการศึกษาโดยกำหนด จากขั้นตอนการผลิตชุดกิจกรรมข้างต้นที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า ขั้นตอนการผลิตชุด กิจกรรมมีขั้นตอน 8 ขั้นตอน ดังนี้ 1. กำหนดหมวดหมู่เนื้อหา 2. กำหนดหน่วยการสอน 3. กำหนด วัตถุประสงค์4. กำหนดกิจกรรมการเรียน 5. กำหนดแบบประเมินผล 6. เลือกและผลิตสื่อการสอน 7. หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรร 8. การใช้ชุดกิจกรรม 3.6 ประโยชน์ของชุดกิจกรรม สุมาลี โชติชุ่ม (2544: 29-30) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุดกิจกรรม ดังนี้ 1. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ความสามารถของตนเองให้ประสบความสำเร็จในการเรียน 2. ฝึกการตัดสินใจ การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองทำให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเอง และสังคม 3. ช่วยให้ผู้สอนสามารถถ่ายทอดเนื้อและประสบการณ์ที่ซับซ้อนและมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งไม่สามารถถ่ายทอดด้วยการบรรยายได้ 4. ทำให้การเรียนรู้เป็นอิสระจากอารมณ์และบุคลิกของผู้สอน


19 5. สร้างความพร้อมและความมั่นใจให้กับนักเรียน 6. เร้าความสนใจของนักเรียนทำให้ไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน 7. ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ธงชัย ต้นทัพไทย (2548, อ้างใน พฤทธิ มาเนตร, 2553 : 19) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุด กิจกรรมไว้ว่า เป็นสื่อการสอนที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ของผู้สอน และส่งเสริมพัฒนาให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีโอกาสฝึกปฏิบัติ และแสดง ความคิดอย่างสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลได้อย่างเต็มความสามารถ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อให้ ผู้เรียนมีคุณลักษณะสมบูรณ์ทั้งด้านความรู้เป็นคนดี และมีความสุข เสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์แบบ กัลยาณมิตรกับผู้อื่นจากการศึกษาประโยชน์ของชุดกิจกรรม นิธิวดี เพียรรักกิจการค้า (2554 : 31) ได้สรุปว่า ประโยชน์ของชุดกิจกรรม มีดังนี้ 1. ช่วยให้เกิดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ 2. นักเรียนสามารถค้นคว้าด้วยตนเอง 3. นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง 4. นักเรียนได้ฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม 5. ทำให้นักเรียนไม่เบื่อหน่ายในการเรียน 6. ช่วยลดภาระงานของครูผู้สอน จากประโยชน์ของชุดกิจกรรมข้างต้นที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมมีประโยชน์ต่อ ทั้งนักเรียนและครูผู้สอน คือ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ฝึกการตัดสินใจการแสวงหาความรู้ สร้างความมั่นใจ ทำให้นักเรียนไม่เบื่อหน่ายในการเรียน ช่วยลดภาระงานของครูผู้สอน ช่วยให้เกิดการ เรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้ผู้สอนสามารถถ่ายทอดเนื้อและประสบการณ์ที่ซับซ้อน และมีลักษณะเป็นนามธรรมซึ่งไม่สามารถถ่ายทอดด้วยการบรรยายได้


20 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว ของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 ผู้วิจัยดำเนินการ ดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล รายละเอียดในแต่ละขั้นตอนมี ดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร กลุ่มประชากรที่ศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ เด็กปฐมวัยชาย–หญิง อายุระหว่าง 4–5 ปี ที่กําลัง ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านโคกเพชร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 58 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ เด็กปฐมวัยชาย–หญิง อายุระหว่าง 4–5 ปี ที่กําลังศึกษา อยู่ชั้นอนุบาล 2/1 โรงเรียนบ้านโคกเพชร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 25 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งกาย 2. แผนการจัดกิจกรรม 3. แบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง 3.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย 1. ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งกาย มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสาร รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำชุดกิจกรรม 1.2 ศึกษาคูมือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สำหรับเด็กอายุ ๓ – ๖ ปี 1.3 แบ่งเนื้อหาออกเป็นชุดกิจกรรม จำนวน 4 ชุด ดังนี้ ชุดกิจกรรมที่1 การติดกระดุม ชุดกิจกรรมที่2 การรูดซิป


21 ชุดกิจกรรมที่3 การผูกเชือกรองเท้า ชุดกิจกรรมที่4 การติดเทปหนามเตย 1.4 กำหนดรูปแบบ ออกแบบกิจกรรม และสร้างชุดกิจกรรม 1.5 สร้างคู่มือการใช้ชุดกิจกรรม ซึ่งคู่มือชุดกิจกรรมมีองค์ประกอบ ดังนี้สาระที่ควร รู้หน่วยการเรียนรู้ จุดประสงค์วิธีการเล่น วัสดุ/อุปกรณ์การประเมินผล ประโยชน์ที่ได้รับ ข้อเสนอแนะและข้อควรระมัดระวังในการเล่น 2. แผนการจัดกิจกรรม แผนการจัดกิจกรรม มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 2.1 ศึกษา วิเคราะห์คูมือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สำหรับ เด็กอายุ ๓ - ๖ ปี 2.2 ศึกษาหลักการ แนวคิด รูปแบบการจัดการเรียนการสอนการช่วยเหลือตนเองใน ชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมและนำขั้นตอนมาเป็นขั้นการสอนของ แผนการสอน 2.3 เขียนแผนการสอน 3. แบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง แบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบประเมินความสามารถ การช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายโดยใช้หลักการวิเคราะห์งาน 3.2 สร้างแบบประเมินความสามารถการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายเป็นแบบ รายการที่มีระดับการปฏิบัติ 3 ระดับ คือ ระดับดีระดับพอใช้ระดับน้อย โดยหากทำได้อย่าง คล่องแคล่วให้น้ำหนักคะแนน เท่ากับ 3 คะแนน หากทำได้ให้น้ำหนักคะแนน เท่ากับ 2 คะแนน หากทำได้โดยมีผู้คอยชี้แนะให้น้ำหนักคะแนน เท่ากับ 1 คะแนน เกณฑ์การประเมินความสามารถในการแต่งกาย 7-9 คะแนน หมายถึง ทำกิจกรรมอยู่ในระดับดี 4-6 คะแนน หมายถึง ทำกิจกรรมอยู่ในระดับพอใช้ 1-3 คะแนน หมายถึง ทำกิจกรรมอยู่ในระดับน้อย 3.2 สร้างแบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายที่ สอดคล้องกับชุดกิจกรรม และครอบคลุมกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ตามเนื้อหาใน 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน ของนักเรียน ก่อนการจัดกิจกรรมโดยใช้ชุดกิจกรรมที่ โดยประเมินนักเรียนเป็นรายบุคคล 2. ดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ชุดกิจกรรม ผู้สอนสังเกตการร่วม กิจกรรมและเก็บผลคะแนนระหว่างเรียน


22 3. เมื่อสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่างแล้ว ผู้วิจัยประเมินความสามารถในการช่วยเหลือ ตนเองในชีวิตประจำวันหลังเรียนเป็นรายบุคคล ซึ่งใช้ชุดกิจกรรมและแบบประเมิน ชุดเดียวกับก่อนการจัดกิจกรรม บันทึกผลการประเมินในแบบประเมินความสามารถ ในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน 4. นำข้อมูลที่ได้จากการประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน มาวิเคราะห์ข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. นำผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองใน ชีวิตประจำวันก่อนและหลังการจัดกิจกรรมมาหาค่าเฉลี่ยพื้นฐาน โดยหาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. เปรียบเทียบความความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมโดยใช้ t test for Dependent Samples 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. หาค่าเฉลี่ย (̅ ) สูตรการหาค่าเฉลี่ย (̅ ) เมื่อ (̅ ) แทน คะแนนเฉลี่ย ∑̅ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 2. หาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) สูตรการหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) เมื่อ S แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานตัวแปรที่ศึกษาของกลุ่มตัวอย่าง


23 n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ∑̅ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด 3. หาค่า t test t = ̅ - µ ; df = n-1 s/√n เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ยของตัวแปรที่ศึกษาของกลุ่มตัวอย่าง µ แทน ค่าเฉลี่ยของตัวแปรที่ศึกษาของประชากร S แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานตัวแปรที่ศึกษาของกลุ่มตัวอย่าง n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง


24 บรรณานุกรม


25 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ คุรุสลาดพร้าว. ไกรฤกษ์ พลพา. (2551). ชุดกิจกรรมแบบปฏิบัติการคณิตศาสตร์เพื่อป้องกันความคิดรวบยอดที่ ผิดพลาด เรื่อง “วิธีเรียงสับเปลี่ยน” (Permutations) ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นปีที่ 1. สารนิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.). (2562). มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย แห่งชาติNational Standard for Early Childhood Care, Development and Education Thailand จีระพันธุ์ พูลพัฒน์. (2554). การสอนแบบมอนเตสซอรี่จากทฤษฎีสู่แนวทางนำไปปฏิบัติ. กรุงเทพฯ : บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.). ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2556). การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน.วารสารศิลปากร ศึกษาศาสตร์วิจัย, 5(1), 7-19. ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2554). 80 นวัตกรรม การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ :แดเน็กซ์ อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น. วินัดดา ปิยะศิลป์. (2556). สาเหตุเด็กไม่ยอมช่วยตัวเอง. กลุ่มงานจิตเวชเด็กและวัยรุ่น โครงการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ชม ภูมิภาค. (2528). เทคโนโลยีทางการสอนและการศึกษา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒประสานมิตร. ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2545). เอกสารประกอบการสอนชุดวิชาเทคโนโลยีการศึกษา หน่วยที่ 1-5. กรุงเทพฯ: สำนักเทคโนโลยีทางการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ทัศนา แก้วพลอย. (2544). กระบวนการจัดประสบการณ์พัฒนาการเรียนรู้เด็กปฐมวัย. ลพบุรี:สถาบันราชภัฏเทพสตรี. ธงชัย ต้นทัพไทย. (2548). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และค่านิยมการบริโภค อาหารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 ที่สอนโดยใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ ทางวิทยาศาสตร์. ปริญญานิพนธ์กศ.ม. (การมัธยมศึกษา). กรุงเทพฯ :บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. นิธิวดี เพียรรักกิจการค้า (2554). ผลการใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แบบปฏิบัติการเรื่องโจทย์ปัญหา สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความฉลาดทางอารมณ์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ ศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เนตรชนก รินจันทร์. (2557). การฝึกอบรมผู้ปกครองเพื่อฝึกทักษะการดูแลช่วยเหลือตนเองในการ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเด็กออทิสติก.ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา การศึกษาพิเศษ ภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนวบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. บุญเกื้อ ควรหาเวช. (2542). นวัตกรรมการศึกษา.กรุงเทพฯ: เจริญวิทย์การพิมพ์.


26 เบญจา ชลธาร์นนท์, สุจินดา ผ่องอักษร, สมบูรณ์ อาศิรพจน์ และอนงค์ ผดุงชีวิต. (2558). แนว ทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านการดูแลช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตร ประจำวันสำหรับบุคคลออทิสติก. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. เบญจพร วิทยพาณิชกร. (2556). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรง มวลและกฎการเคลื่อนที่ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ ค.ม.สกลนคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏ สกลนคร. พัชรี เจตน์เจริญรักษ์. (2545). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 1072307 การเตรียมความพร้อม เพื่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย. ลพบุรี : สถาบันราชภัฏเทพสตรี ภพ เลาหไพบูลย์. (2542). แนวการสอนวิทยาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่3. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. (2552). แนวการสอนวิทยาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. มลฤดี วิชาศรี. (2561). แนวทางการพัฒนาการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดมอนเตสซอรี่สำหรับเด็ก ปฐมวัยของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2. ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารจัดการการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม. รวิวรรณ พงษ์พวงเพชร. (2552). การพัฒนาชุดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิด วิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ เรื่อง อาหารและสารอาหารชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน อนุบาลนครพนม ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษานครพนม เขต 1. วิทยานิพนธ์ ค.ม. สกลนคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. วิชัย วงษ์ใหญ่. (2552). พัฒนาหลักสูตรและการสอน–มิติใหม่ (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ:สุวีริยาสาส์น. วาโร เพ็งสวัสดิ์. (2546). การวิจัยในชั้นเรียน. กรงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดนครพนม. (2560). หลักสูตรการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม สำหรับเด็กพิการ. นครพนม: ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดนครพนม. สมเกตุอุทธโยธา. (2539). การใช้วิธีย้อนกลับอย่างต่อเนื่องในการสอนการช่วยเหลือตนเองของเด็กที่ มีความบกพร่องทางสติปัญญา ระดับเชาวน์ปัญญา 50 -70. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาพิเศษ). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. สร้อยสุดา วิทยากร. (2532). การบริบาลเด็กสมองพิการ. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. สุธิภา อาวพิทักษ์. (2542). การดูแลเด็กปฐมวัย. อุตรดิตถ์ : สถาบันราชภัฏอุตรดิตถ์. วีระเชษฐ์ปัญจอริยะกุล. (2549). “การพัฒนาทักษะการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายสำหรับเด็ก ดาวน์ซินโดรม ” การค้นคว้าแบบอิสระ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา การศึกษาพิเศษ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สุคนธ์สินธพานนท์และคณะ. (2554). วิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของ เยาวชน. กรุงเทพฯ: 9199 เทคนิคพริ้นติ้งนิทาน. สำเนียง พุทธา. (2550). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องสารเคมีที่เป็นพิษในอาหารสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. การศึกษาค้นคว้าอิสระ วท.ม.มหาสารคาม: มหาวิทยาลัย มหาสารคาม.


27 สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ. (2551). 20 วิธีการจัดการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์. สุวิทย์มูลคำ. (2555). กลยุทธ์การสอนคิดวิเคราะห์. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ:ห้างหุ้นส่วนจากัดภาพ พิมพ์. อิทธิพัทธ์ น้อยภูธร. (2563). การพัฒนาชุดกิจกรรมกล่องงาน โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะ ปฏิบัติของซิมพ์ซัน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนบกพร่องทางสติปัญญา. (ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏ สกลนคร). National Childcare Accreditation Council. (2009). Supporting children’s development: Life skills.


28 ภาคผนวก


29 ภาคผนวก ก แบบทดสอบ


30 แบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน คำชี้แจง 1. ผู้สอนประเมินผู้เรียนโดยนำชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัวให้ผู้เรียนปฏิบัติ 2. ผู้สอนคอยสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน และคอยแนะนำ ช่วยเหลือ ผู้เรียนเมื่อจำเป็น 3. ผู้สอนให้คะแนนตามวิธีการให้คะแนนที่กำหนดไว้ การประเมิน เกณฑ์การประเมิน พฤติกรรมที่พึงประสงค์ ระดับ 3 คะแนน ทำได้ด้วยตนเอง คือ เมื่อผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมผู้สอนไม่ต้องกระตุ้นเตือนและ สามารถปฏิบัติได้ตามเวลาที่กำหนด ระดับ 2 คะแนน ทำได้โดยกระตุ้นเตือนทางวาจา คือ เมื่อผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมผู้สอนเห็นว่า ผู้เรียนไม่ยอมปฏิบัติหรือทำไม่ได้ผู้สอนกระตุ้นเตือนโดยการบอกให้ทำ ให้คำแนะนำช่วยเหลือหรือให้กำลังใจผู้เรียน ระดับ 1 คะแนน ทำได้โดยกระตุ้นเตือนทางกาย ท่าทางและวาจา คือ เมื่อผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรมผู้สอนเห็นว่าผู้เรียนไม่ยอมปฏิบัติหรือทำไม่ได้ผู้สอนคอยช่วยเหลือ โดยการจับมือผู้เรียนทำ ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง บอกให้ทำ ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือหรือให้กำลังใจผู้เรียน ลงชื่อ…………………………………….……………..ผู้ประเมิน


31 แบบบันทึกความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน คำชี้แจง ให้ผู้สอนให้คะแนนตามความสามารถของผู้เรียน ลำดับ ที่ ชื่อ-สกุล คะแนนที่ได้ หมายเหตุ ลงชื่อ…………………………………….……………..ผู้ประเมิน


32 ภาคผนวก ข แผนการจัดกิจกรรม


33 แผนการจัดกิจกรรม อายุระหว่าง 4-5 ปีสาระการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก หน่วยการเรียนรู้ หนูน้อยฝึกแต่งกาย 1.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.1 เด็กสามารถสนทนาและบอกเกี่ยวกับการแต่งกายได้(มฐ.10 ตบ.1) 1.2 เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายได้(มฐ.6 ตบ.6.1) 1.3 เด็กสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จได้(มฐ.5 ตบ.5.4) 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 สาระที่ควรเรียนรู้ การเคลื่อนไหวประกอบคล้องจอง “หนูทำได้” พร้อมทำท่าประกอบ และอธิบาย ขั้นตอนการแต่งกาย วิธีการแต่งกาย พร้อมทั้งฝึกการแต่งกายด้วยชุดกิจกรรมฝึกการแต่งกาย 2.2 ประสบการณ์สำคัญ ด้านร่างกาย - การเคลื่อนไหวอยูกับที่ ด้านอารมณ์และจิตใจ - การเคลื่อนไหวตามเสียงเพลง/ดนตรี ด้านสังคม - การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน - การใหความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้านสติปัญญา - การฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำ 3. กิจกรรมการเรียนรู้ 3.1 ขั้นนำ 3.1.1 เด็กและครูร่วมกันท่องคำคล้องจอง “หนูทำได้” พร้อมทำท่าประกอบ “คำคล้องจอง หนูทำได้” เสื้อสวยตัวนี้ เด็กดีใส่เองได้ ที่รังกระดุมนี่ไง (ซ้ำ) หนูเก่งไหมใส่เสื้อได้เอง 3.2 ขั้นกิจกรรม 3.2.1 เด็กและครูร่วมกันสร้างข้อตกลงในการทำกิจกรรมในชั้นเรียน และบอก ขั้นตอนในการทำกิจกรรม


34 3.2.2 เด็กและครูสนทนาเกี่ยวกับการแต่งกาย เช่น การติดกระดุมเสื้อ การรูดซิป กระโปรง การรูดซิปกางเกง การผูกเชือกรองเท้า การติดเทปหนามเตย เป็น ต้น 3.2.3 ครูนำ ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งกาย ออกมาเพื่อเตรียมพร้อมในกิจกรรมต่อไป พร้อมทั้งอธิบายขั้นตอน วิธีการแต่งกายให้เด็ก ๆ ได้ดู ดังนี้ 1. การติดกระดุม มีขั้นตอน คือ - ใช้มือจับกระดุม 1 ข้าง - มือข้างเหลือดึงสาบเสื้อตรงรูกระดุม - สอดกระดุมเข้ารูกระดุม - ใช้มือข้างที่เหลือดึงปลายกระดุมลอดรูกระดุมจนสุด กระดุม 2. การรูดซิป ขั้นตอน คือ - ใช้มือจับที่หัวซิป - มือข้างที่เหลือจับที่เนื้อผ้าไว้ - ดึงซิปขึ้น - ดึงซิปลง 3. การผูกเชือกรองเท้า ขั้นตอน คือ - ใช้มือขวาจับปลายเชือกด้านใดด้านหนึ่งไว้ - สอดเชือกเข้าไปในรูแรกด้านขวามือ - จับปลายเชือกที่เหลือ สอดเชือกเข้าไปในรูแรกด้านซ้าย - ดึงปลายเชือกให้สูงเท่ากัน - ร้อยสลับกันซ้ายขวาจนหมดเชือกรองเท้าแล้วผูกเชือก 4. การติดเทปหนามเตย ขั้นตอน คือ - ใช้มือจับที่เทปหนามเตย - ใช้มืออีกข้างจับที่เทปหนามเตย - นำเทปหนามเตยทั้ง 2 ข้างมาติดใส่กัน 3.2.4 ครูให้เด็ก ๆ ได้ชุดฝึกด้วยชุดกิจกรรมฝึกการแต่งกาย โดยมีการกระตุ้นด้วย วาจาและให้แรงเสริม เพื่อให้เด็กมีกําลังใจที่จะฝึก 3.3 ขั้นสรุป 3.3.1 เด็กและครูร่วมกันสรุปกิจกรรมเกี่ยวกับการแต่งกาย วิธีการแต่งกาย 4. สื่อ/อุปกรณ์/แหล่งเรียนรู้ - ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งกาย - คำคล้องจอง “หนูทำได้”


35 5. การประเมิน รายการประเมิน วิธีการประเมิน เครื่องมือใน การประเมิน เกณฑ์การประเมิน 1. สนทนาและบอกเกี่ยวกับ การแต่งกายได้ การสังเกต แบบสังเกต 3 คือ ระดับดี= เด็ก สามารถสนทนาและ บอกเกี่ยวกับการ แต่งกายได้อย่าง คล่องแคล่ว 2 คือ ระดับพอใช้= เด็กสามารถสนทนา และบอกเกี่ยวกับ การแต่งกายได้ 1 คือ ระดับน้อย= เด็กสามารถสนทนา และบอกเกี่ยวกับ การแต่งกายได้โดยมี ผู้คอยชี้แนะ 2. สามารถช่วยเหลือตนเอง ด้านการแต่งกายได้ การสังเกต แบบสังเกต 3 คือ ระดับดี= เด็ก สามารถช่วยเหลือ ตนเองด้านการแต่ง กายได้อย่าง คล่องแคล่ว 2 คือ ระดับพอใช้= เด็กสามารถ ช่วยเหลือตนเองด้าน การแต่งกายได้ 1 คือ ระดับน้อย = เด็กสามารถ ช่วยเหลือตนเองด้าน การแต่งกายได้โดยมี ผู้ชี้แนะ 3. สามารถทำงานที่ได้รับ มอบหมายจนสำเร็จได้ การสังเกต แบบสังเกต 3 คือ ระดับดี= เด็ก สามารถทำงานที่ ได้รับมอบหมายจน


36 6.บันทึกหลังการทำกิจกรรม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………… 7. ภาคผนวก 7.1 เนื้อเพลง 7.2 แบบสังเกตการร่วมกิจกรรม สำเร็จได้อย่าง คล่องแคล่ว 2 คือ ระดับพอใช้ = เด็กสามารถทำงานที่ ได้รับมอบหมายจน สำเร็จได้ 1 คือ ระดับน้อย = เด็กสามารถทำงานที่ ได้รับมอบหมายจน สำเร็จได้โดยมีผู้ ชี้แนะ


37 แบบสังเกต คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย / ลงในช่องที่ตรงกับระดับการประเมิน ระดับการประเมิน 3 หมายถึง มีการแสดงพฤติกรรมระดับดี 2 หมายถึง มีการแสดงพฤติกรรมระดับพอใช้ 1 หมายถึง มีการแสดงพฤติกรรมระดับน้อย ลำดับ ที่ ชื่อ-นามสกุล รายการประเมิน รวม คะแนน เด็กสามารถ สนทนาและบอก เกี่ยวกับการแต่ง กายได้ เด็กสามารถ ช่วยเหลือตนเอง ด้านการแต่งกาย ได้ เด็กสามารถ ทำงานที่ได้รับ มอบหมายจน สำเร็จได้ 3 2 1 3 2 1 3 2 1 1 2 3 4 5 ลงชื่อ…………………………………….……………..ผู้ประเมิน เกณฑ์การประเมิน 7-9 คะแนน หมายถึง ทำกิจกรรมอยู่ในระดับดี 4-6 คะแนน หมายถึง ทำกิจกรรมอยู่ในระดับพอใช้ 1-3 คะแนน หมายถึง ทำกิจกรรมอยู่ในระดับน้อย


38 ภาคผนวก ค นวัตกรรม


39 คู่มือการใช้ชุดกิจกรรม สาระที่ควรรู้: สาระการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก หน่วย : หนูน้อยฝึกแต่งกาย จุดประสงค์ - เด็กสามารถติดกระดุม รูดซิป ผูกเชือกรองเท้า และติดเทปหนามเตยได้ - เด็กสามารถเก็บชุดกิจกรรมเข้าที่ให้เรียบร้อยได้ วิธีการเล่น 1. การติดกระดุม - ใช้มือจับกระดุม 1 ข้าง - มือข้างเหลือดึงสาบเสื้อตรงรูกระดุม - สอดกระดุมเข้ารูกระดุม - ใช้มือข้างที่เหลือดึงปลายกระดุมลอดรูกระดุมจนสุดกระดุม 2. การรูดซิป - ใช้มือจับที่หัวซิป - มือข้างที่เหลือจับที่เนื้อผ้าไว้ - ดึงซิปขึ้น - ดึงซิปลง 3. การผูกเชือกรองเท้า - ใช้มือขวาจับปลายเชือกด้านใดด้านหนึ่งไว้ - สอดเชือกเข้าไปในรูแรกด้านขวามือ - จับปลายเชือกที่เหลือ สอดเชือกเข้าไปในรูแรกด้านซ้าย - ดึงปลายเชือกให้สูงเท่ากัน - ร้อยสลับกันซ้ายขวาจนหมดเชือกรองเท้าแล้วผูกเชือก 4. การติดเทปหนามเตย - ใช้มือจับที่เทปหนามเตย - ใช้มืออีกข้างจับที่เทปหนามเตย - นำเทปหนามเตยทั้ง 2 ข้างมาติดใส่กัน วัสดุ/อุปกรณ์ - ผ้าสักหลาด - เข็ม - ด้าย - เทปหนามเตย


40 - กระดาษแข็ง - กระดุม - ซิป - เชือก การประเมินผล - สังเกตการติดกระดุม การรูดซิป การผูกเชือกรองเท้า และการติดเทปหนามเตย - สังเกตการเก็บชุดกิจกรรมเข้าที่ให้เรียบร้อย ประโยชน์ที่ได้รับ - เด็กได้ฝึกการติดกระดุม การรูดซิป การผูกเชือกรองเท้า และการติดเทปหนามเตย - เด็กได้ฝึกการเก็บชุดกิจกรรมเข้าที่ให้เรียบร้อย ข้อเสนอแนะและข้อควรระมัดระวังในการเล่น - เมื่อเลิกเล่นควรเก็บชุดกิจกรรมเข้าที่ให้เรียบร้อย


41 ภาพนวัตกรรม ภาพที่ ค-1 ผู้วิจัยถ่ายรูปคู่กับชุดกิจกรรม


42 ภาพที่ ค-2 ผู้วิจัยถ่ายรูปคู่กับชุดกิจกรรม


43 ภาพที่ ค-4 และ ค-5 ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว


44 ภาพที่ ค-6 ชุดกิจกรรมฝึกการแต่งตัว (การผูกเชือกรองเท้า)


Click to View FlipBook Version