โดย ธมน ประทุมรัตน์
วิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) เป็นรูปแบบองค์กรที่ริเริ่มดำ�เนินงาน โดยมี เป้าหมายเพื่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก (Mission Motive) พร้อมกับมีความสามารถ ในการสร้างกำ�ไรเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายเพื่อสังคมอย่างยั่งยืนทางธุรกิจ (Profit-making Motive) มีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ถือหุ้นของกิจการ (Stakeholder and Shareholder Accountability) และสามารถนำ�รายได้หมุนเวียนกลับมาลงทุนตามเป้าหมายเพื่อสังคมและต้นทุน การดำ�เนินงานของกิจการ กิจการเพื่อสังคมจึงเป็นกิจการลูกผสม (Hybrid Organization) ซึ่งเป็น กิจการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณประโยชน์ (Purely Philanthropic) และแสวงหากำ�ไร (Purely Commercial) คล้ายกับการอยู่ระหว่างกลางของสหกรณ์และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำ�ไรซึ่งจัดอยู่ใน ประเภทองค์กรภาคส่วนที่สาม (Third Sector) อย่างไรก็ตาม วิสาหกิจเพื่อสังคมก็มีคุณลักษณะที่ ต่างกับองค์กรที่กล่าวข้างต้น รวมถึงโครงการที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจและ ภาคธุรกิจทั่วไป ดังนี้ แม้ว่าเป้าหมายของการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมกับสหกรณ์ (Co-operatives) จะเป็นไปเพื่อ แก้ไขปัญหาสังคมเช่นเดียวกัน สหกรณ์ก็เป็นวิสาหกิจรูปแบบพิเศษที่จดทะเบียนภายใต้ พ.ร.บ.สหรณ์ พ.ศ.2542 เพื่อแสวงหาผลกำ�ไรจากการทำ�ธุรกิจเพื่อประโยชน์ของสมาชิก มีการระดมทุนและกระจาย รายได้โดยการจ่ายผลตอบแทนให้กับสมาชิก ส่วนองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำ�ไร (Non-Profit Organization) เช่น มูลนิธิและองค์การนอกภาครัฐ ซึ่งมีรายได้หลักมาจากการพึ่งพาความช่วยเหลือจาก ภาครัฐ แหล่งทุนและการรับเงินบริจาค มักจะเป็นลักษณะการทำ�งานของอาสาสมัครและไม่มีการจ่าย ผลตอบแทนในรูปตัวเงิน ในขณะที่วิสาหกิจเพื่อสังคมมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมโดยตรงในการผลิตสินค้า และบริการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง มีการจ่ายเงินตามค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ� องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำ�ไรจึงมี ความเสี่ยงที่จะเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนมากกว่า เนื่องจากรายได้หลักขององค์กรไม่ได้ มาจากการประกอบกิจการด้วยตนเอง 3
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบวิสาหกิจเพื่อสังคมกับโครงการที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ขององค์กรธุรกิจ (Corporate Social Responsibility: CSR) เช่น การบริจาคเงินหรือสิ่งของเพื่อ การกุศล การทำ�กิจกรรมอาสาสมัคร หรือกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาสังคมและ สิ่งแวดล้อม โครงการที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจจึงเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่ง ของภาคธุรกิจทั่วไปที่มีวัตถุประสงค์หลักในการแสวงหาผลกำ�ไรสูงสุด เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อการลดหย่อนภาษี ในขณะที่วิสาหกิจเพื่อสังคมเป็นองค์กรจัดตั้งเพื่อมุ่งแก้ปัญหา สังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นหลักตั้งแต่เริ่มต้น จำ�เป็นจะต้องถูกจดทะเบียนและมีการดำ�เนินงานอย่างต่อ เนื่อง มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีความมั่นคงทางการเงินที่ชัดเจน ต่อมา แม้จะได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนจากรัฐบาลและหน่วยงานอื่น ๆ วิสาหกิจเพื่อสังคม ก็เป็นองค์กรที่เริ่มต้นจากการรวมกลุ่มกันของประชาชน ซึ่งใช้เงินทุนที่มีอย่างจำ�กัดในการบริหารงาน และดำ�เนินการอย่างเป็นอิสระตามกรอบที่กำ�หนดขึ้นจากสมาชิก โดยอยู่ภายใต้กฎหมายและการกำ�กับ ของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาและทำ�ประโยชน์ให้กับสังคม วิสาหกิจเพื่อสังคมจึงมีเป้าหมายหลักคือการ แสวงหาผลประโยชน์ของสังคม (Maximum Social Welfare) มากกว่าการแสวงหากำ�ไรสูงสุด (Maximum Profit) แบบภาคธุรกิจโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม วิสาหกิจเพื่อสังคม ก็มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกันกับภาคธุรกิจทั่วไป จึงอาจสรุปได้ว่า วิสาหกิจเพื่อสังคม คือ กิจการที่ดำ�เนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหมือนภาคธุรกิจทั่วไป แต่นำ�ผลกำ�ไรที่ได้มาลงทุนซ้ำ� เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก เช่นเดียวกับ องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำ�ไร
โมเดลสนับสนุนผู้ประกอบการ (Entrepreneur Support Model) หรือ โมเดลที่วิสาหกิจ เพื่อสังคม ให้คำ�ปรึกษาทางธุรกิจหรือให้บริการทางการเงินและช่วยให้กลุ่มเป้าหมายดำ�เนิน กิจการราบรื่น โมเดลตัวกลางในการเข้าถึงตลาด (Market Intermediation Model) โมเดลที่วิสาหกิจ เพื่อสังคม ช่วยเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ไปจนถึงช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าให้กับ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายจึงสามารถเข้าถึงตลาดผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น โมเดลจ้างงาน (Employment Model) หรือ โมเดลที่วิสาหกิจเพื่อสังคมช่วยอบรมทักษะ และเพิ่มการจ้างงานให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มที่มีความท้าทายในการเข้าถึง ตลาดแรงงาน โมเดลจ่ายตามบริการที่ได้รับ (Fee-for-Service Model) หรือ โมเดลที่วิสาหกิจเพื่อสังคม ให้บริการโดยตรงแก่กลุ่มเป้าหมาย มักเป็นการให้บริการในด้านที่ภาครัฐหรือภาคเอกชนยัง ไม่สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง รายได้อาจมาจากกลุ่มเป้าหมายตรงหรือหน่วยงานอื่น 1. 2. 3. 4. โมเดลหลัก 9 แบบ ที่วิสาหกิจเพื่อสังคม มักใช้เพื่อแก้ปัญหาสังคม
5. 6. 7. 8. 9. โมเดลที่มุ่งเน้นตลาดผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย (Low-income Client as Market Model) หรือโมเดลที่มุ่งเน้นการขายสินค้าหรือให้บริการกลุ่มเป้าหมายที่ทีรายได้น้อย มักเป็นด้าน การดูแลสุขภาพ เช่น การฉีดวัคซีน การผ่าตัดตา แว่นสายตา และเครื่องช่วยฟังสำ�หรับ ผู้ที่มีอุปสรรคทางการได้ยิน โมเดลสหกรณ์ (Cooperative Model) หรือ โมเดลที่วิสาหกิจเพื่อสังคมให้สิทธิประโยชน์ แก่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นสมาชิกในรูปแบบของสหกรณื เช่น การเข้าถึงองค์ความรู้และข้อมูล การช่วยเหลือทางเทคนิค และอำ�นาจในการเจรจาต่อรองกับหน่วยงานต่าง ๆ โมเดลการเชื่อมโยงตลาด (Market Linkage Model) หรือ โมเดลที่วิสาหกิจเพื่อสังคม อำ�นวยความสะดวกในการซื้อขายและช่วยเชื่อมโยงกลุ่มเป้าหมายเข้ากับตลาดผู้บริโภค โดย อาจมีการให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับตลาดผู้บริโภคและงานวิจัย โมเดลที่วิสาหกิจเพื่อสังคมนำ กำ ไรจากการขายสินค้าหรือให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า กลับมา เป็นทุนในการทำ�โครงการทางสังคมตามเป้าหมายขององค์กร โมเดลการส่งเสริมองค์กรที่ให้บริการด้านสังคม (Organizational Support Model) หรือ โมเดลที่วิสาหกิจเพื่อสังคมขายสินค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้า แล้วนำ�กลับมาลงทุนใน องค์กรที่ให้บริการด้านสังคมแก่กลุ่มเป้าหมาย (สอวช., 2566, น.12-17)
ภาพรวมนโยบาย กฎระเบียบและมาตรการ ที่เกี่ยวข้องกับวิสาหกิจเพื่อสังคม ในความหมายอย่างกว้าง วิสาหกิจเพื่อสังคม ปรากฎอยู่ในประเทศไทยมายาวนานในรูปแบบ ขององค์กร เช่น วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ บริษัทเอกชน โดยภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมและเริ่มต้นส่งเสริม วิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม นับตั้งแต่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมกิจการเพื่อสังคม แห่งชาติขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 เพื่อผลักดันให้เกิดธุรกิจในรูปแบบที่สามารถแก้ปัญหา สังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน และการออกแผนแม่บท ว่าด้วยการสร้าง เสริมกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2553-2557 ซึ่งเป็นนโยบายส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมฉบับแรก ต่อมา มีการประกาศบังคับใช้พระราขบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 เพื่อส่งเสริมและพัฒนา วิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย นอกจากนี้ ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจ ของประเทศในปัจจุบัน ยังดำ�เนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบแผนพัฒนาประเทศ คือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ. 2561-2580 และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับ ที่ 13 (พ.ศ.2566-2570) ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างโอกาสและเร่งพัฒนาศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม รวมถึงวิสาหกิจชุมชนให้เกิดรายได้และเติบโตอย่างมั่นคง พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 ระบุนิยามของวิสาหกิจเพื่อสังคมว่า หมายถึง บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคล หรือนิตบุคคลอื่น ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่ง ดำ�เนินกิจการเกี่ยวกับการผลิต การจำ�หน่ายสินค้า หรือการบริการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็น เป้าหมายหลักของกิจการและได้รับการจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ตามพระราชบัญญัติส่งเสริม วิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 วิสาหกิจเพื่อสังคมจึงเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย มีลักษณะ สรุปได้ดังนี้ 7
(1.) วัตถุประสงค์หลักเพื่อสังคม หมายถึง เพื่อส่งเสริมการจ้างงานแก่บุคคลที่สมควิรได้รับการ ส่งเสริมเป็นพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาชุมชน สังคมหรือสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อื่นหรือคืนประโยชน์ (2.) ที่มาของรายได้ไม่ต่ำ�กว่าร้อยละ 50 มาจากการจำ�หน่ายสินค้าหรือการให้บริการ ยกเว้น กิจการที่ไม่ประสงค์จะแบ่งปันกำ�ไร (3.) นำ�ผลกำ�ไรมากกว่าร้อยละ 70 มาใช้ในวัตถุประสงค์เพื่อสังคมตาม ข้อ 2. และสามารถ แบ่งปันกำ�ไรให้แก่เจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นไม่เกินร้อยละ 30 ของผลกำ�ไรทั้งหมด (4.) มีการกำ�กับดูแลกิจการที่ดี (5.) ไม่เคยถูกเพิกถอนการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม เว้นแต่พ้นกำ�หนดมา 2 ปี (6.) ไม่มีหุ้นส่วน กรรมการ ผู้มีอำ�นาจจัดการแทนนิติบุคคล หรือผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นร้อยละ 25 ขึ้นไป ในกิจการที่เคยถูกเพิกถอนการจดทะเบียนตาม ข้อ 5. โดยหน่วยงานหลักของภาครัฐที่ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย ได้แก่ สำ นักงานส่ง เสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยมีบทบาทตามมาตรา 24 พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 ดังนี้ - เสนอนโยบายและแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมแห่งชาติให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และสังคม และเสนอแนวทางในการส่งเสริมหรือสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมหรือ บุคคลซึ่งให้การสนับสนุนกิจการของวิสาหกิจเพื่อสังคมต่อคณะกรรมการ - จัดทำ�แผนปฏิบัติการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อให้ความเห็นชอบ - ให้คำ�แนะนำ� ฝึกอบรม และส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมให้สามารถพัฒนาการบริหารจัดการใน ด้านการเงิน การบัญชี การตลาด เทคโนโลยีและด้านอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการของวิสาหกิจเพื่อสังคม - ให้คำ�ปรึกษาหรือให้ความช่วยเหลือในการขอจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล การขออนุมัติ อนุญาต และการจดสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้าหรือทรัพย์สินทางปัญญาอื่น - จัดให้มีมาตรการในการส่งเสริมและการสนับสนุนกลุ่มกิจการเพื่อสังคมเพื่อให้สามารถพัฒนา เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ต่อไป - วิเคราะห์สภาพปัญหาและสถานการณ์ อุปสรรคและความสำ�เร็จของวิสาหกิจเพื่อสังคมใน ประเทศและจัดทำ�รายงานเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี - เป็นศูนย์กลางข้อมูลเกี่ยวกับวิสาหกิจเพื่อสังคม และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวิสาหกิจเพื่อสังคม ตลอดจนรายงานสถานการณ์วิสาหกิจเพื่อสังคมของประเทศ - บริหารกองทุนตามนโยบายและมติของคณะกรรมการและคณะกรรมการบริหารกองทุน 8
การจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมมี 2 ประเภท ได้แก่ วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ไม่ประสงค์จะแบ่งปัน กำ�ไรให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น และวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ประสงค์จะแบ่งปันให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้น โดยวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 จะได้รับประโยชน์ดังนี้ 1. การสนับสนุนด้านการเงินจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม 2. สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร 2.1 วิสาหกิจเพื่อสังคมประเภท ไม่ประสงค์จะแบ่งปันกำ�ไรให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือ ผู้ถือหุ้น จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ 2.2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สิน หรือลงทุน ในหุ้นสามัญของวิสาหกิจเพื่อสังคม สามารถนำ�ไปหักรายจ่ายได้ 3. สิทธิประโยชน์ตามมาตรการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ 4. สิทธิประโยชน์ด้านการระดมทุน (วิสาหกิจเพื่อสังคมในรูปแบบบริษัทจำ�กัด สามารถออก และเสนอขายหุ้นต่อประชาชนได้ โดยไม่ต้องยื่นขออนุญาตและแบบแสดงรายการข้อมูล ต่อ ก.ล.ต. หรือ สำ�นักงานคณะกรรมการกำ�กับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) 5. รับการส่งเสริมด้านการตลาด ผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี นอกจากนี้ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน ก็มีดำ�เนินงานตามเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน กรอบแผนพัฒนาประเทศ คือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ. 2561-2580 และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566-2570) มุ่งเน้นการสร้างโอกาสและ เร่งพัฒนาศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงวิสาหกิจชุมชนให้เกิดรายได้เพื่อ การเติบโตอย่างมั่นคง 9
สถานการณ์ปัจจุบันของกิจการ ในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม การเกิดขึ้นของกิจการในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมในบริบทประเทศไทยยังคงเป็นเรื่องใหม่ แม้ว่า ในปัจจุบันจะมีกฎหมายและองค์กรหลักที่ทำ�หน้าที่ส่งเสริมโดยเฉพาะ มีองค์กรภาคเอกชนหรือองค์กร ที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐหลายหน่วยงาน ที่เป็นผู้นำ�ในการดำ�เนินการขับเคลื่อนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ล่วงหน้ามาก่อน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับวิสาหกิจเพื่อสังคมในต่างประเทศ วิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย ไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ผู้คนในสังคมยังคงขาดความรู้เกี่ยวกับการดำ�เนินธุรกิจในลักษณะ วิสาหกิจเพื่อสังคม อีกทั้ง ยังขาดนโยบายและยุทธศาสตร์การส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมในภาพใหญ่ ที่ชัดเจนในระดับประเทศ ปราศจากการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ไม่มีการสนับสนุนนโยบายทาง ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนความช่วยเหลือจากแหล่งทุนที่ส่งเสริมการดำ�เนินธุรกิจในรูปแบบวิสาหกิจ เพื่อสังคมเป็นไปอย่างราบรื่น หากอ้างอิงจากข้อมูล ณ กันยายน พ.ศ. 2565 วิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนตามพระราช บัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 มีจำ�นวนทั้งสิ้น 213 กิจการ โดยส่วนใหญ่กระจุกตัว อยู่ในกรุงเทพมหานคร 70 กิจการ และมีกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ ภาคกลาง 55 กิจการ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 35 กิจการ ภาคเหนือ 20 กิจการ ภาคใต้ 22 กิจการ และภาคตะวันออก 11 กิจการ โดยวิสาหกิจเพื่อสังคมส่วนใหญ่ดำ�เนินการในสาขาภาคเกษตร รองลงมาคือ สุขภาพและ บริการสังคม และการศึกษา จึงมีความสอดคล้องกับข้อมูลที่ได้มาจากการสำ�รวจเชิงลึกถึงสถานการณ์วิสาหกิจเพื่อสังคม ในประเทศไทยโดย British Council (2020) ซึ่งมีจำ�นวนตัวอย่าง 146 กิจการ นอกจากนี้ ยังปรากฎ ว่ามีวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทยเพียง ร้อยละ 17.1 ที่จดทะเบียนแล้วตามพระราชบัญญัติส่งเสริม วิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 โดย ร้อยละ 38.4 ตั้งใจที่จะจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตาม กฎหมายในอนาคต ในขณะที่ ร้อยละ 35.5 ไม่ได้ต้องการจะจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม นอกจากนี้ รูปแบบการจดทะเบียนทางธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังนิยมจดทะเบียนเป็นบริษัท จำ�กัด รองลงมาเป็นสหกรณ์ และมูลนิธิหรือสมาคมตามลำ�ดับ 10
ต่อมา การสำ�รวจเชิงลึกถึงสถานการณ์วิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทยโดย British Council ในปี พ.ศ. 2563 ยังพบว่าปัญหาและอุปสรรคหลักของวิสาหกิจเพื่อสังคม ได้แก่ ปัญหาเรื่องเงิน ทุนหมุนเวียน (Cash Flow) รองลงมา คือ เงินทุน และปัญหาความเข้าใจและความตระหนักของ สังคม ส่วนอุปสรรคในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเกิดขึ้นจากการไม่สามารถเข้าถึงนักลงทุนจากการ มีเครือข่ายส่วนบุคคลที่จำ�กัด รองลงมา คือ โมเดลทางธุรกิจยังไม่เหมาะสม และปัญหาการไม่ผ่าน ข้อกำ�หนดเมื่อต้องการกู้เงินจากธนาคาร รวมถึงการขาดผลการดำ�เนินการของกิจการ เช่นเดียวกันกับ รายงาน Mapping the Social Impact Investment and Innovative Finance Landscape in Thailand ในปี พ.ศ. 2561 โดย United Nations Development Program (UNDP) Thailand ร่วมกับ ChangeFusion ซึ่งพบว่า หน่วยงานที่ลงทุนหรือเป็นตัวกลางเชื่อมการลงทุนแก่วิสาหกิจเพื่อ สังคมในประเทศไทยยังมีจำ นวนไม่มากนัก โดยข้อจำ�กัดเรื่องเงินทุนของวิสาหกิจเพื่อสังคม ก็มีลักษณะ แตกต่างตามรูปแบบการก่อตั้งกิจการ สรุปอย่างย่อได้ดังนี้ 1. วิสาหกิจเพื่อสังคมก่อตั้งโดยเครือข่ายและองค์กรชุมชน มีแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากภายนอก เช่น OTOP กล่าวคือ ชุมชนส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนไปตามการจัดสรรงบประมาณ และโครงการพัฒนาจากภาครัฐ 2. วิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทองค์กรสาธารณประโยชน์ มีแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่จากเงินบริจาค เพื่อการกุศล จึงมีความเสี่ยงมากกว่ากิจการทั่วไป 3. วิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทก่อตั้งโดยผู้ประกอบการใหม่ อาจมีบางรายที่ประสบปัญหาเงินทุน หมุนเวียนเช่นเดียวกัน
ข้อเสนอจากผู้ที่เกี่ยวข้อง กับการยกระดับวิสาหกิจเพื่อสังคมสำ หรับภาคประชาสังคม วิสาหกิจเพื่อสังคม เป็นรูปแบบการดำ�เนินธุรกิจขององค์กรที่สามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนา และแก้ไขปัญหาของชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม วิสาหกิจเพื่อสังคมภายใต้ บริบทประเทศไทย ยังคงเป็นเรื่องใหม่ และไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากนักผู้ประกอบการทางสังคม ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคหลักต่อการพัฒนาวิสาหกิจเพื่อ สังคมให้ประสบความสำ�เร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งไปกว่านั้น แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุน วิสาหกิจเพื่อสังคมจากภาครัฐก็ยังคงมีความคลุมเครือ ไม่มีนโยบายสนับสนุนทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ที่ช่วยส่งเสริมให้การดำ�เนินธุรกิจในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมเป็นไปได้อย่างราบรื่น จึงมีความจำ�เป็น เร่งด่วนในการหาแนวทางในการดำ�เนินนโยบาย เพื่อสร้างปัจจัยและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำ�นวยต่อการ พัฒนาศักยภาพการดำ�เนินธุรกิจตามแนวทางของวิสาหกิจเพื่อสังคมของภาคประชาสังคมอย่างยั่งยืนต่อ ไปในอนาคต สำ�นักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (2566) จึงได้นำ�เสนอข้อเสนอเชิงนโยบายซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากลไกส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อ สังคมแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพิจารณาเพื่อดำ�เนินการออกนโยบาย ดังนี้ ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนากลไกส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กระทรวง อว) เช่น สำ�นักงาน นวัตกรรมแห่งชาติ อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย สถาบันอุดมศึกษา ร่วมกับสำ�นักงานส่งเสริม วิสาหกิจเพื่อสังคม ควรมีบทบาทในการสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมผ่านการจัดตั้ง Social Enterprise Academy ในรูปแบบไม่เป็นทางการหรือแบบเครือข่าย ผ่านการจัดกิจกรรมเป็นประจำ� และพัฒนา ไปสู่การจัดตั้งเป็นสถาบันภายใต้หน่วยงานของกระทรวง ซึ่งมีระบบพี่เลี้ยง ที่ปรึกษาทางธุรกิจ และนัก วิชาการให้คำ�ปรึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจวิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถเข้าถึงองค์ความ รู้และแหล่งเงินทุน เช่น งานวิจัยเชิงนโยบายและทุนตั้งต้น (Seed funding) ซึ่งเป็นทุนให้เปล่าเพื่อนำ�ไป ใช้ในการพัฒนาสินค้าหรือบริการ ทดสอบตลาด และเริ่มต้นกิจการ สำ�หรับผู้ที่มีศักยภาพในการพัฒนา โมเดลธุนกิจเพื่อสังคม อีกทั้ง ยังมีการสนับสนุนกลไกประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment) และการเชื่อมต่อกับแหล่งเงินทุนและนักลงทุนเพื่อสังคม (Impact- Investor) 12
เพื่อให้สามารถวัดผลกระทบต่อสังคมที่เป็นรูปธรรม ตลอดจนสามารถขยายกิจการของตนเองได้ใน อนาคต (อวช., 2566, น. 132-144) อีกทั้ง ส่งเสริมให้มีโปรแกรมการศึกษาเกี่ยวข้องกับการประกอบ การทางสังคม เวทีความร่วมมือระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการเพื่อสังคมและสถาบันวิจัย เพื่อทำ�ให้เป็นที่ รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น กระทรวงคลัง (สำ นักงานเศรษฐกิจการคลัง) และสำ นักงบประมาณ ควรพัฒนาเครื่องมือทางการ เงินเพื่อสังคมรูปแบบใหม่ซึ่งมีการใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรเพื่อสังคม ซึ่งเป็นแหล่ง เงินทุนสำ�หรับวิสาหกิจเพื่อสังคมและองค์การนอกภาครัฐที่ไม่แสวงหาผลกำ�ไรต่าง ๆ โดยพันธบัตรเพื่อ สังคมเป็นสัญญากับภาครัฐที่ผูกพันว่า ภาครัฐจะระบุเป้าหมายทางสังคมและส่งมอบเงินเป็นงบประมาณ ที่ภาครัฐสามารถประหยัดได้จากโครงการต่าง ๆ ให้แก่ผู้ลงทุนในพันธบัตรเมื่อเกิดผลลัพธ์ทางสังคม (Social Outcome) ตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งอาจต่ำ�กว่าการลงทุนในธุรกิจปกติและองค์กรที่ให้บริการ ทางสังคม ดังนั้น ความเสี่ยงหลักจึงตกอยู่กับนักลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนต่อนักลงทุนก็ขึ้นอยู่กับ ระดับผลลัพธ์ทางสังคมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโครงการจะไม่ประสบความสำ�เร็จ ภาครัฐก็จำ�เป็น จะต้องเสียเงินงบประมาณในการแก้ปัญหาสังคมอยู่แล้ว แต่ในกรณีที่โครงการประสบความสำ�เร็จ ตามเป้าหมาย นอกจากจะเป็นการแก้ไขปัญหาสังคม ก็ยังส่งผลให้ภาครัฐสามารถประหยัดงบประมาณ รายจ่ายและนำ�ภาษีของประชาชนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนนักลงทุนได้รับผลตอบแทนการลงทุน และวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ทำ�กิจกรรมทางสังคมได้บรรลุวัตถุประสงค์หลักของตนเอง ต่อมา เนื่องจากปัญหาหลักที่สำ คัญของวิสาหกิจเพื่อสังคมคือการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน นอกจากคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมและสำ�นักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) จะ ทำ�หน้าที่พัฒนานโยบายและแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมในภาพใหญ่ที่ชัดเจนของ ประเทศ ก็ควรจะมีส่วนผลักดันให้มีการปรับแก้ข้อจำ�กัดตามกฎหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้ภาครัฐสามารถ มอบเงินทุนตั้งต้นแบบครั้งเดียวให้กับกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม จนกระทั่งมีทรัพยากรทางการ เงินเพียงพอจะปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ วิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนแล้วตามพระราช บัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ.2562 จึงจะสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์และความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้ในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ สำ�นักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธนาคารต่าง ๆ ควรร่วมกันสนับสนุนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถเข้าถึงทุนและบริการทางการ เงินที่หลากหลาย (Acess to Finance) และเหมาะสมกับตนเอง ทำ�หน้าที่เป็นตัวกลางเตรียมพร้อม 13
และเชื่อมโยงวิสาหกิจเพื่อสังคมเข้ากับผู้ลงทุน โดยการสนับสนุนทางการเงินแก่วิสาหกิจเพื่อสังคมก็ สามารถทำ�ได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การบริจาคเงิน (Private Donation) การสนับสนุนเงินจาก ภาครัฐหรือหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อลดต้นทุนของการประกอบกิจการ (Subsidies) การออกตราสารหนี้ (Debt Instruments) การออกตราสารทุน (Equity) และการลงทุนที่หวังผลตอบแทนในระยะยาว (Patient Capital) นอกจากจะส่งเสริมให้มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสำ�หรับวิสาหกิจเพื่อสังคม กระทรวงพาณิชย์ และสำ นักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ควรสนับสนุนการเข้าถึงตลาด ทั้งตลาด การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Public Market) และตลาดเอกชน (Private Market) ให้แก่วิสาหกิจ เพื่อสังคม เช่น ส่งเสริมผ่านการจัดซื้อจัดจ้างโดยภาครัฐ (Public Procurement) ผ่านการปรับ กฎหมายหรือเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างให้ภาครัฐสามารถว่าจ้างการจัดบริการให้ภาคเอกชนและวิสาหกิจ เพื่อสังคมได้โดยการพิจารณาบนฐานของผลลัพธ์ (Performance) และผลกระทบ (Impact) มีประเภท สัญญาภาครัฐที่มีขนาดเล็กลง ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะ ของวิสาหกิจเพื่อสังคม มีศูนย์กลางข้อมูลแบบครบวงจร เป็นต้น ในแง่การเข้าถึงตลาดผู้บริโภคและ ภาคเอกชน หน่วยงานรัฐที่ส่งเสริมด้านการตลาดควรเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจและการตลาด เช่น ความรู้ ทางธุรกิจและการตลาดยุคใหม่ คำ�แนะนำ�ในด้านการตลาดทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศให้กับ วิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งหลายรายมาจากภาคฝั่งด้านสังคมเป็นหลัก กล่าวโดยสรุปได้ว่า การยกระดับวิสาหกิจเพื่อสังคมสำ�หรับภาคประชาสังคมจำ�เป็นจะต้องอาศัย ความร่วมมือจากภาครัฐหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่ทำ�หน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องวิสาหกิจ เพื่อสังคมโดยตรงควรจะมีบทบาทหลักในการผลักดันนโยบายสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างเป็น รูปธรรม นำ�เสนอนวัตกรรมและทำ�การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปมีโอกาสรู้จักและตระหนักถึง ความสำ�คัญของวิสาหกิจเพื่อสังคมว่ามีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่าง ยั่งยืนอย่างไร เห็นได้จากข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนากลไกส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม (อวช., 2566) ซึ่งเสนอให้จัดตั้ง Social Enterprise Academy พัฒนาพันธบัตรเพื่อสังคม (Social Impact Bond) แก้ปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของวิสาหกิจเพื่อสังคมผ่านการปรับแก้ ข้อจำ�กัดตามกฎหมาย และทำ�หน้าที่เป็นตัวกลางเตรียมความพร้อมและเชื่อมโยงวิสาหกิจเพื่อสังคม เข้ากับกลุ่มผู้ลงทุน เป็นต้น 14
วิสาหกิจเพื่อสังคม (Social enterprise) เป็นทั้งแนวคิดและรูปแบบขององค์กรที่ก่อตั้ง โดยมี เป้าหมายในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ไปพร้อมกับความสามารถในการ สร้างรายได้จากการขายสินค้าและ/หรือบริการและนำ�มาลงทุนต่อเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายของตนเอง ได้อย่างยั่งยืน จึงมีลักษณะเฉพาะตัวและต่างจากองค์กรภาคเอกชนทั่วไป วิสาหกิจเพื่อสังคมยังเป็น ตัวอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่า องค์กรซึ่งมีบทบาทสำ�คัญในการทำ�งานหรือแก้ไขปัญหาสังคมไม่จำ�เป็น จะต้องจำ�กัดอยู่เพียงองค์กรพัฒนาเอกชนหรือองค์การนอกภาครัฐ (NGO) เท่านั้น นอกจากนี้ หากได้รับการส่งเสริมและการผลักดันบทบาทจากรัฐบาลเช่นเดียวกันกับวิสาหกิจเพื่อ สังคมในต่างประเทศ เช่น รัฐบาลอังกฤษที่จัดตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า Office of The Third Sector เพื่อทำ�หน้าสนับสนุนและส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศอย่างเป็นระบบจนมีการดำ�เนินธุรกิจใน ลักษณะนี้ที่ประสบความสำ�เร็จจำ�นวนมาก วิสาหกิจเพื่อสังคมก็สามารถกลายเป็นฟันเฟืองสำ�คัญ ในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันของวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทยก็กำ�ลังเผชิญกับปัญหา และอุปสรรคหลัก 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก แม้ว่าจะเป็นเวลานานกว่า 15 ปีที่มีคณะกรรมการ ส่งเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติเกิดขึ้น วิสาหกิจเพื่อสังคมในไทยถูกนับว่าเป็นเรื่องใหม่และไม่เป็นที่ รู้จักแพร่หลายในหมู่คนทั่วไปมากเท่าที่ควร หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ภาครัฐก็ยังคงมีความสับสนเกี่ยวกับ คำ�นิยามของวิสาหกิจเพื่อสังคม ประการต่อมา แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการจัดตั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องและ สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทยมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นจำ�นวนที่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับใน ต่างประเทศ และวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนตามกฎหมายก็ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่คาดหวัง รวมทั้งไม่ปรากฎหลักฐานการสนับสนุนเชิงนโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมเช่นกัน เพราะถึงแม้จะมีการระบุสิทธิประโยชน์ด้านเงินทุนจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม สิทธิประโยชน์ ด้านภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และสิทธิประโยชน์ ตามกฎหมายอื่น แต่ไม่มีการออกหลักเกณฑ์หรือรายละเอียดในทางปฏิบัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ข้าง ต้น และประการสุดท้าย ปัญหาเงินทุนหมุนเวียนและไม่มีตัวกลางที่ช่วยทำ�หน้าที่เชื่อมต่อและเข้าถึงกลุ่ม นักลงทุน ก็นับเป็นอุปสรรคสำ�คัญที่ฉุดรั้งไม่ให้วิสาหกิจเพื่อสังคมก้าวหน้าไปได้ไกล บทวิเคราะห์ SE for CSO วิสาหกิจเพื่อสังคมทางเลือกสำ หรับภาคประชาสังคม 15
วิสาหกิจเพื่อสังคม เป็นแนวทางหนึ่งที่หลายประเทศในโลกให้ความสำ�คัญ และสามารถถูกใช้เป็น เครื่องมือในการพัฒนาประเทศ จึงสมควรจะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาควิชาการอย่างเป็นระบบนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตามแนวทางข้อเสนอเชิงนโยบายซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการ พัฒนากลไกส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรภาค ประชาสังคม (Civil Society Organization: CSO) หรือองค์กรภาคประชาชนที่ไม่แสวงหากำ�ไร ทั้งที่มีหรือไม่มีสถานะทางกฎหมาย ซึ่งมีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม มากกว่าความมั่นคงทางการเงิน ก็สามารถนำ�ลักษณะพิเศษของวิสาหกิจเพื่อสังคมซึ่งถูกตั้งขึ้นโดย ไม่ได้มีเป้าหมายที่การสร้างกำ�ไรสูงสุดต่อผู้ถือหุ้นและเจ้าของเท่านั้น แต่นำ�ผลกำ�ไรส่วนใหญ่กลับไปลงทุน เพื่อขยายผลในการบรรลุเป้าหมาย หรือการส่งผลกระทบในเชิงบวกสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับ การขยายกิจการได้เช่นเดียวกับภาคธุรกิจทั่วไป โดยนำ�มาประยุกต์ใช้หรือพัฒนาองค์กรของตนเอง ผ่านการแสวงหารายได้จนสามารถพึ่งพาตนเองได้โดยไม่พึ่งทุนให้เปล่าอย่างเดียวและดำ�รงอยู่ต่อไป อย่างยั่งยืนในระยะยาว ขณะเดียวกันสำ�นักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ยังเคยเสนอว่ าหากประเทศมีองค์กรในรูปแบบหรือภารกิจแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีคุณภาพใน จำ�นวนมาก จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน ท้องถิ่นและประเทศโดยรวม เนื่องจากองค์กรแบบ วิสาหกิจเพื่อสังคมจะปรับเปลี่ยนและมีพลวัตไปพร้อมกับปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละบริบทของสังคม และสามารถมีความยั่งยืนขององค์กร ที่ไม่ได้พึ่งพาเฉพาะเงินบริจาคหรือเงินงบประมาณแผ่นดิน จากเหตุผลที่กล่าวมา จึงมีความจำ�เป็นอย่างยิ่งในการสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึง ความสำ�คัญของวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศไทยแก่สาธารณชน ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบ การได้เรียนรู้ สร้างเสริมขีดความสามารถ ความเข้มแข็งขององค์กรและผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคม ทั้งในด้านการบริหารจัดการ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาดอีกด้วย เพื่อยกระดับวิสาหกิจเพื่อสังคม สำ�หรับภาคประชาสังคมและสนับสนุนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถกลายเป็นธุรกิจรูปแบบใหม่ที่มี ศักยภาพและมีบทบาทสำ�คัญต่อการพัฒนาและแก้ปัญหาทางสังคมแของประเทศไทยต่อไป 16
อ้างอิงข้อมูล คณะวิจัยโครงการกิจการเพื่อสังคมน้ำ�ดี 50 องค์กร. (2553). SE 50: กิจการเพื่อสังคมน้ำ�ดี 50 องค์กร. กรุงเทพฯ : สำ�นักพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Bizbook. เกวลิน มะลิ. (2557). กิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย. วารสารเศรษฐศาสตร์และกลยุทธ์การจัดการ, 1(2), 104-112. จีระ พุ่มพวง, กำ�ชัย จงจักรพันธุ์. (2565).มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมตามพระราชบัญญัติส่งเสริม วิสาหกิจเพื่อสังคม.วารสารรัชต์ภาคย์, 16(46), 262-278. https://so05.tci-thaijo.org/ index.php/RJPJ/article/download/255433/174477/962328. พิมพิกา พูลสวัสดิ์, สุวิต ศรีไหม. (2561). วิสาหกิจเพื่อสังคมกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน: บทเรียนจากต่างประเทศและแนวทาง การพัฒนาในประเทศไทย. วารสารบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และการสื่อสาร, 13(3), 15-32. สำ�นักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ. (2566). สมุดปกขาว “กลไกส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) เพื่อสร้างความยั่งยืนด้วยอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม”. สอวช. สตณี อาชวานนัทกุล. (2555). SE catalog รวม กิจการเพื่อสงัคมในไทย. บทสัมภาษณ์: ความแตกต่าง ของคำ�ว่า CSR, Social enterprise และ Social Business. กรุงเทพฯ : สำ�นักพิมพ์ บริษัท แอคมี พรินติ้ง จำ�กัด. EMES European Research Network. 1999. Definition of Social Enterprise. EMES European Research Network. University of Liege. Belgium. [Electronic], Available: http://www.emes.net. [18 สิงหาคม 2555]. Siriphattrasophon, S. (2015). A conceptual study of social enterprise development in Thailand. Journal of the Association of Researchers, 20(2), 30-47. ขอขอบคุณภาพประกอบเพิ่มเติม โดย www.osep.or.th - สำ�นักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
SE for CSO วิสาหกิจเพื่อสังคมทางเลือกสำ หรับภาคประชาสังคม จัดทำ�โดย สถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม แฟนเพจไทยแอ็ค โดยการสนับสนุนของ สำ นักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เรียบเรียงโดย ธมน ประทุมรัตน์