เห็ดฟาง ชื่อวิทยาศาสตร์: Volvariella volvacea ชื่อสามัญ : Straw Mushroom , paddy Mushroom , Chinese Mushroom ชื่อท้องถิ่น : เห็ดฟาง , เห็ดเฟียง (ภาคเหนือ) , เห็ดบัว (ภาคกลาง) , เห็ดเฟียง (ภาคอีสาน) , เขาดู (จีน) , ฟุโรตาเกะ (ญี่ปุ่น) , คาบูติ (ฟิลลิปปินส์) ชื่อวงศ์ : Amanitaceae - Piuteaceae ลักษณะที่ทั่วไป เห็ดฟาง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Volvariella volvacea) เป็นเห็ดกินได้ชนิดหนึ่ง มีการเพาะเลี้ยงในแถบเอเชีย ตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้เป็นส่วนผสมในการประกอบอาหารเอเชียอย่างแพร่หลาย ชื่อเรียกแม้ แตกต่างกันไปในหลายประเทศ แต่ยังมีความหมายว่า เห็ดฟาง เหมือนกัน เห็ดฟางมักพบในรูปแบบสด แต่มีพบ รูปแบบบรรจุกระป๋องหรืออบแห้งจำหน่ายนอกฤดูเก็บเกี่ยวด้วย ลักษณะดอกเห็ดอ่อนเป็นรูปทรงไข่มีเปลือกหุ้ม เมื่อเจริญขึ้น เปลือกหุ้มปริแตก คงเหลือเปลือกหุ้มที่โคนก้าน ผิวนอกของเปลือกหุ้มส่วนมากมักเปลี่ยนเป็นสีขาวหม่นหรือสีเนื้อ หมวกเห็ดเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 4– 10 เซนติเมตร กลางหมวกมีขนละเอียดสีน้ำตาลดำหรือสีน้ำตาลแดง ครีบสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน ไม่ยึด ติดกับก้าน สั้นยาวไม่เท่ากัน ก้านยาว 4–10 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5–1 เซนติเมตร ผิวสีขาวนวลมีขน
สีขาว เนื้อเป็นเส้นหยาบสีขาวรวมกันแน่น ตรงกลางก้านกลวง สปอร์รูปทรงรี สีชมพู ขนาด 5–6 × 7–9 ไมโครเมตร ผิวเรียบ เห็ดฟางตามธรรมชาติเจริญเติบโตบนกองฟางข้าวเป็นกลุ่ม 2–6 ดอก และจะถูกเก็บเกี่ยวในระยะที่ยังเจริญไม่ เต็มที่ คือยังเป็นตุ่มกลม ๆ ก่อนที่หมวกเห็ดจะผุดออกมา ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4–5 วัน เจริญได้ผลดีที่สุดใน ภูมิอากาศเขตร้อนที่มีฝนตกชุก เห็ดชนิดนี้ไม่เคยปรากฏประวัติการเพาะปลูกมาก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 เห็ดฟางมีลักษณะคล้ายกับเห็ดอีกชนิดหนึ่งมากคือ เห็ดระโงกหิน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Amanita phalloides, death cap) ซึ่งเป็นเห็ดพิษ สามารถจำแนกได้ด้วยสีสปอร์ สปอร์ของเห็ดฟางเป็นสีชมพูอ่อน แต่สปอร์ของเห็ด ระโงกหินเป็นสีขาว คนจำนวนมากไม่รู้ถึงข้อมูลนี้ เก็บเห็ดระโงกหินที่ขึ้นอยู่ไปกิน โดยเข้าใจว่าเป็นเห็ดฟาง ทำให้ เสียชีวิต ลักษณะทางสัณฐานวิทยา เห็ดฟางเป็นเห็ดที่มีลักษณะดอกโตปานกลาง สีของเปลือกหุ้มรวมทั้งหมวกดอก มีสีขาวเทาอ่อนไปจนถึงดำ ขึ้นอยู่กับ สายพันธุ์และสภาพแวดล้อม เส้นผ่าศูนย์กลางของหมวกเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 4-12 ซม. หลังจากดอก เห็ดพัฒนาจาก เส้นใยชั้น 2 มารวมกัน สามารถแบ่งรูปร่างทางสัณฐานวิทยาเป็น 6 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะเริ่มแรกจากการเกิดดอก หรือระยะเข็มหมุด (pinhead stage) หลังการโรยเชื้อเห็ดแล้ว 5-7 วัน เส้นใย จะมารวมตัวกันเป็นจุดสีขาว มีขนาดเล็ก (ที่อุณหภูมิประมาณ 28 - 32 เซลเซียส) ระยะที่ 2 ระยะดอกเห็ดเป็นกระดุมเล็ก (tiny button stage) หลังจากระยะแรก 15-30 ชม. หรือ 1 วัน ดอกเห็ด เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นรูปดอกเห็ดลักษณะกลมยกตัวขึ้นจากวัสดุเพาะ ระยะที่ 3 ระยะกระดุม (button stage) หลังจากระยะ 2 ประมาณ 12 -20 ชม. หรือ 1 วัน ทางด้านฐานโตกว่า ส่วนปลาย แต่ยังมีลักษณะกลมรีอยู่ ภายในมีการแบ่งตัวเป็นก้าน ดอก และครีบดอก
ระยะที่ 4 ระยะรูปไข่หรือระยะดอกตูม (egg stage) เป็นระยะต่อเนื่องจากระยะที่ 3 หากมีอุณหภูมิสูงกว่า 32 เซลเซียส จะใช้ ้เวลาเพียง 8 -12 ชม. ดอกเห็ดเริ่มมีการเจริญเติบโตทางความยาวของก้านดอก และ ความกว้างของหมวก ดอก เปลือกหุ้มดอกบางลง และเรียวยาวขึ้นคล้ายรูปไข่ ส่วนมากจะมีการเก็บเกี่ยวใน ระยะนี้เพราะเป็น ระยะที่ให้ น้ำหนักสูงสุด และเป็นลักษณะที่ผู้บริโภคนิยมรับประทานมากที่สุด รวมทั้งเป็น ขนาดที่โรงงาน แปรรูป (บรรจุ กระป๋อง) ต้องการ ระยะที่ 5 ระยะยืดตัว (elongation stage) หลังระยะที่ 4 เพียง 3-4 ชม. การเจริญเติบโตของก้านและหมวกดอก เป็นไป อย่างรวดเร็ว ส่วนบนสุดของเปลือกหุ้มดอกแตกออกอย่างไม่เป็นระเบียบ (irregular) สีของผิว หมวกดอกมีสีเข้ม ขึ้น แต่ก้านและครีบจะเป็นสีขาว รูปร่างของเห็ดฟาง (Structure of straw mushroom) ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ -หมวกดอก (cap หรือ pileus) มีลักษะคล้ายร่มสีเทาค่อนข้างดำ โดยเฉพาะตรงกลางหมวกดอกจะมีสีเข้มกว่า บริเวณขอบหมวก ผิวเรียบมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 4- 12 ซม. ขึ้นอยู่กับอาหารและสภาพแวดล้อม -ครีบ (gill) คือ ส่วนที่อยู่ใต้หมวกดอกเป็นแผ่นเล็กๆ วางเรียงเป็นรัศมีรอบก้านดอก ดอกเห็ดที่โตเต็มที่จะมี ครีบ ประมาณ 300-400 ครีบห่างกัน 1 มม. หลังการปริแตกของดอกแล้ว 3-6 ชม. สีของครีบจะเริ่มเปลี่ยนเป็น สี น้ำตาลอ่อนและเข้มในที่สุด ที่บริเวณครีบดอกเป็นแหล่งสร้างสปอร์ -สปอร์ (basidiospore) คือ ส่วนที่ทำหน้าที่คล้ายเมล็ดพันธุ์ สปอร์ของเห็ดฟางมีลักษณะเป็นรูปไข่ (egg shape) มีขนาดเล็กมากคือมีความยาวประมาณ 7-8 ไมครอน และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-5 ไมครอน
-ก้านดอก (stalk) คือ ส่วนชูหมวกดอก เป็นตัวเชื่อมหมวกดอกกับส่วนโคนดอก และอยู่ตรงกลางหมวกดอก เห็ด มีการเรียงตัวของเส้นใยขนานไปกับลักษณะของก้านดอกที่เรียวตรง โดยส่วนฐานจะโตกว่าเล็กน้อย มีสีขาว เรียบ และไม่มีวงแหวนหุ้ม ก้านดอกมีความยาวประมาณ 4- 14 ซม. และเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5-2 ซม. -เปลือกหุ้มโคนดอก (volva) คือ ส่วนของเนื้อเยื่อนอกสุดของดอกเห็ดมีหน้าที่หุ้มดอกเห็ดไว้ทั้งหมด ในขณะที่ การเจริญของหมวกและก้านดอกเห็ดเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ส่วนเปลือกหุ้มเจริญช้าลง ทำให้ส่วนบนสุด ปริแตก ออก เมื่อดอกเห็ดดันเยื่อหุ้มออกมา เนื้อเยื่อจะเหลือติดที่โคนดอกเห็ด มีรูปร่างคล้ายถ้วยรองรับโคน ดอกเห็ดไว้ การเพาะเห็ดฟางกองเตี้ย เห็ดฟาง เป็นเห็ดที่เพาะง่าย ใช้เวลาสั้นประมาณ 5 - 7 วัน ก็เก็บดอกเห็ดที่เพาะได้ เป็นเห็ดที่มีผู้นิยมบริโภค มาก ทำให้ความต้องการของตลาดสูง ซึ่งทำให้มีราคาดีตลอดปี จึงมีผู้นิยมเพาะเห็ดฟางกันมาก
การเพาะเห็ดฟางกองเตี้ย มีการพัฒนามาจากการเพาะแบบกองสูง ซึ่งเป็นการประหยัดวัสดุเพาะและง่ายต่อ การดูแล สามารถให้อาหารเสริม และให้ผลผลิตที่แน่นอน การเพาะเห็ดฟางกองเตี้ย วัสดุอุปกรณ์ในการเพาะเห็ดฟางกองเตี้ย 1. การเตรียมดินบริเวณเพาะเห็ด ควรขุดดินและย่อยให้ละเอียดไว้ก่อนและรดน้ำให้บริเวณพื้นดินรอบๆ กอง เพาะเห็ดเปียกชุ่ม เพื่อจะให้เห็ดงอกเพิ่มจากฟางบนกองเพาะเห็ดอีกจำนวนหนึ่ง 2. ไม้แบบ ไม้แบบที่นำมาเพาะเห็ดส่วนใหญ่ใช้ไม้กระดานมาทำเป็นแม่พิมพ์ โดยมีความยาว 120 เซนติเมตร สูง 30 เซนติเมตร ด้านล่างกว้าง 30เซนติเมตร ด้านบนกว้าง 25 เซนติเมตร 3. วัตถุดิบในการเพาะเห็ด จะนิยมฟางข้าวเพราะหาง่ายและมีจำนวนมากจะใช้ฟางทั้งต้นหรือฟางข้าวนวดก็ได้ ยังมีวัตถุดิบอีกหลายชนิดที่ใช้เพาะเห็ดฟางได้เช่น ทะลายปาล์ม เปลือกของฝักถั่วเขียว ถั่วเหลือง ต้นถั่ว เปลือก หัวมันสำปะหลัง ผักตบชวา เศษต้นพืช ต้นหญ้า ปัจจุบันยังใช้ขี้เลื่อยจากการเพาะเห็ดถุงพลาสติก และ ผักตบชวา ก็ให้ผลผลิตดีเท่ากับฟาง วัตถุดิบที่ใช้ในการเพาะเห็ด ต้องนำไปแช่น้ำให้เปียกก่อน โดยใช้เวลาในการแช่ประมาณ 30 นาที ก็นำไปเพาะเห็ดได้ 4. อาหารเสริม การเพิ่มอาหารเสริมจะเป็นการเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น ที่นิยมคือไส้นุ่น เปลือกของฝักถั่ว ผักตบชวา จอกหูหนู มูลสัตว์ที่แห้ง เช่น มูลควายก่อนใช้ต้องแช่ให้ชุ่มน้ำเสียก่อน
5. เชื้อเห็ด เชื้อเห็ดฟางที่นำมาใช้ควรมีอายุ 5 - 10 วัน จะเห็นเส้นใยสีขาวเจริญเต็มถุง ถ้าเส้นใยแก่จะมีสี เหลืองเข้ม หรือมีดอกเห็ดเจริญในถุงเชื้อ ไม่ควรนำไปใช้ นอกจากนี้ต้องไม่มีศัตรูเห็ด เช่น ตัวไร และไม่มีเชื้อรา ชนิดอื่นปนอยู่ เช่น ราเขียว ราเหลือง ราดำ หรือเชื้อราชนิดอื่นที่ไม่ใช่เชื้อเห็ด นอกจากนี้ต้องมีกลิ่นหอมของ เห็ด 6. วัสดุคลุมแปลงเพาะเห็ด โดยทั่วไปจะใช้ผ้าพลาสติกคลุม เป็นการควบคุมความชื้น และรักษาอุณหภูมิให้ เหมาะสมต่อการเจริญของเห็ด ถ้าเพาะในที่โล่งแจ้งจะใช้ฟาง ใบมะพร้าว ใบตาล หรือสแลนเพื่อป้องกันแสงแด ไม้แบบ ฟาง อาหารเสริม เชื้อเห็ด พลาสติกคลุม
ขั้นตอนการเพาะเห็ดฟางกองเตี้ย เมื่อมีการจัดเตรียมสถานที่และวัสดุเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มทำการเพาะเห็ดชั้นแรก โดยเห็ดฟางกองเตี้ยจะทำ ทั้งหมด 4 ชั้น การเพาะชั้นที่ 1 1. นำไม้แบบหรือแม่พิมพ์เพาะเห็ดวางบนพื้นที่เตรียมไว้ นำฟางที่แช่แล้ว นำใส่ลงในไม้แบบขึ้น ย่ำพร้อมรดน้ำ จนแน่นพอดี และให้มีความหนาประมาณ 10 เซนติเมตร 2. นำอาหารเสริมที่ชุ่มน้ำ โรยรอบขอบไม้แบบบนฟางบางๆ ทั้งสี่ด้าน 3. ใส่เชื้อเห็ด เชื้อเห็ดฟาง 1 ถุง มีน้ำหนักประมาณ 2 ขีด ขยี้เชื้อเห็ดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วแบ่งเป็น 4 นำส่วนที่ 1 โรยลงบนอาหารเสริมให้ทั่วทั้งสี่ด้าน การเพาะเห็ดชั้น 2 - 4 ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับชั้นที่ 1 จนครบ 4 ชั้น สำหรับชั้นที่ 4 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดให้โรยอาหารเสริมและเชื้อเห็ดให้ทั่วผิวหน้าของแปลง แล้วนำฟางแช่น้ำมาคลุม หนาประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร ใช้มือกดให้แน่นพอสมควร 4. ยกแบบไม้ออก ควรยกด้านหัวและท้ายพร้อมๆ กัน นำไปเพาะแปลงต่อๆไป โดยแต่ละกอง แปลงเพาะเห็ด ให้ห่างกันประมาณ 10 - 15 เซนติเมตร 5. ช่องว่างระหว่างแปลงเพาะเห็ดให้โรยอาหารเสริมและเชื้อเห็ด บนดินคลุมด้วยฟางบางๆ 6. คลุมแปลงเพาะเห็ดด้วยฟางแห้งแล้วคลุมด้วยผ้าพลาสติก ถ้าทำหลายๆกองให้คลุมผ้าพลาสติกยาวตลอด ทุกแปลงเป็นผืนเดียวกัน 7. นำฟางแห้ง คลุมทับบนผ้าพลาสติกอีกครั้ง เพื่อป้องกัน
การดูแลรักษาแปลงเพาะเห็ด 1. การคลุมผ้าพลาสติกแปลงเพาะเห็ด เป็นการรักษาอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมต่อการเจริญของเชื้อ เห็ด โดยในวันที่ 1 - 3 ไม่ต้องเปิดผ้าพลาสติกเลย 2. เมื่อถึงวันที่ 3 ให้เปิดผ้าพลาสติกออก เพื่อเป็นการระบายอากาศปล่อยไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง (ในระยะนี้จะ สังเกตเห็นเส้นใยของเห็ดเจริญบนอาหารเสริมและฟาง แต่ยังไม่เกิดตุ่มดอก) 3. นำฟางแห้งคลุมทับบนแปลง หนาประมาณ 3-5 เซนติเมตร แล้วคลุมทับด้วยผ้าพลาสติกเหมือนเดิมแล้วปิด ทับด้วยวัสดุป้องกันแสงบนผ้าพลาสติกอีกชั้นวัสดุ ป้องกันแสงอาจจะเป็นใบมะพร้าว แผงหญ้าคา ฟางแห้ง หรือสแลน 4. ต่อจากนั้นตั้งแต่วันที่ 4 ของการเพาะให้เปิดแปลงเพาะเห็ดทุกวันเป็นการระบายอากาศและดูแลการเจริญ ของดอกเห็ด ควรเปิดตอนเช้าหรือตอนเย็น เพราะอากาศจะไม่ร้อน ในวันที่ 5 จะเห็นตุ่มเห็ดสีขาวเล็กๆ บนฟาง ของแปลงเพาะเห็ด
5. ในระยะนี้ถ้ากองเห็ดแห้งให้รดน้ำเบาๆ เป็นฝอยละเอียดบนฟางคลุมกองและรอบกอง ห้ามรดน้ำแปลงเพาะ เห็ดเด็ดขาด เพราะจะทำให้ดอกเห็ดฝ่อและเน่า ถ้าเป็นฤดูฝนควรคลุมผ้าพลาสติกให้มิดชิด และทำร่องระบายน้ำ รอบแปลงเพาะเห็ด 6. ดอกเห็ดจะพัฒนาเจริญเติบโต และเก็บผลผลิตได้ราววันที่ 7 - 9 วัน ของการเพาะเห็ด แล้วจะเก็บดอกเห็ด ได้ราว 2 - 3 วัน หลังจากนั้นจะเก็บผลผลิตได้น้อยลง (ถ้าฟาง 10 กิโลกรัม จะได้ดอกเห็ด 1 - 2 กิโลกรัม) 7. การเก็บผลผลิต การเก็บดอกเห็ดจะนิยมเก็บในตอนเช้าๆ เพราะดอกเห็ดจะตูมเต็มที่ในช่วงตี 3 - 4 ถ้าช้า กว่านี้ดอกเห็ดจะบานจะขายไม่ได้ราคา การเก็บดอกให้ใช้มือจับตรงโคนดอก โยกนิดหน่อยแล้วดึงออกมา ถ้าติดกัน หลายๆ ดอกให้เก็บทั้งหมด อย่าให้มีชิ้นส่วนขาดหลงเหลืออยู่จะทำให้เน่า และเป็นสาเหตุของการเน่าเสียของดอก เห็ดได้ ปัญหาการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการเพาะเห็ดจะประสบปัญหามากมายหลายชนิด จึงจำ เป็นต้องศึกษาสาเหตุและ วิธีการแก้ไขให้ถูกต้อง หากเป็นการศึกษาด้วยประสบการณ์ของตนเองได้จะเป็นผลดีอย่างยิ่ง แต่ก็จะสามารถ จำแนกปัญหาต่างๆ ได้ดังนี้ 1. พื้นที่เพาะเห็ด ไม่ควรเป็นพื้นที่ที่มีสารเคมี ยาฆ่าแมลง ย่าฆ่าเชื้อรา เพราะจะมีผลต่อการเจริญของเห็ด ดังนั้นจึงไม่ควรเพาะเห็ดในพื้นที่ดังกล่าว 2. วัสดุที่ใช้ในการเพาะเก่าเกินไป ถ้าเป็นฟางข้าวที่เก็บไว้นานๆ จะมีเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่อาศัยและ เจริญเติบโตโดยใช้อาหารในฟาง ทำให้อาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญของเห็ด ควรเลือกฟางที่ค่อนข้างใหม่ แห้ง ไม่สดเกินไป และไม่มียาฆ่าแมลง หรือยาฆ่าเชื้อราตกค้างอยู่
3. เชื้อเห็ด จะมีปัญหามากต่อผู้ประกอบการเพาะเห็ด โดยสาเหตุ คือ เชื้อเห็ดที่ใช้ไม่บริสุทธิ์ สายพันธุ์ไม่ดี หรือมีการต่อเชื้อกันหลายครั้งจนเชื้ออ่อนแอ ควรเลือกซื้อเชื้อเห็ดจากแหล่งที่ไว้ใจได้ 4. ฤดูกาล ดินฟ้าอากาศ จะมีผลต่อการเจริญของเห็ดได้อย่างมากโดยเฉพาะในฤดูหนาว เห็ดฟางจะไม่เจริญถ้า ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิ ถ้าในฤดูฝนจะทำให้แปลงเพาะเปียกชื้น ดอกเห็ดจะเน่าควรคลุมแปลงเพาะให้มิดชิด ในฤดูร้อนอุณหภูมิในแปลงจะสูงมาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิสูงและต่ำที่แตกต่างกันมากในเวลา กลางวันและกลางคืน จะมีผลต่อการเกิดดอกเห็ด (ไม่ควรต่างกันเกิน 10 องศาเซลเซียส) แก้ไขโดยให้มีการระบาย อากาศและควบคุมความชื้นให้เหมาะสม 5. การเพาะเห็ดฟางซ้ำในที่เดิมหลายครั้ง จะมีการสะสมศัตรูและโรคเห็ดทำให้ผลผลิตลดลง หรือไม่ได้เลย ถ้าจำเป็นต้องเพาะซ้ำที่เดิม ควรใช้ไฟเผาพื้นที่แล้วโรยด้วยปูนขาวเพื่อปรับสภาพพื้นที่ใหม่ หรือใช้ผ้าพลาสติกรอง พื้นแปลงเพาะเห็ด 6. น้ำที่ใช้ในการแช่ฟาง ต้องมีสภาพเป็นกลาง มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ที่ 6.5 - 7 ต้องไม่เน่าเหม็น ถ้าเป็นน้ำประปาต้องทิ้งไว้อย่างน้อย 6 ชั่วโมง และไม่มีสารเคมีและยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่ 7. ศัตรูเห็ด เช่น มด ปลวก ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่อาศัยของมด ปลวกทำการเพาะเห็ด ควรแก้ไขโดยใช้ ยาฆ่าแมลงผสมน้ำรดดินแล้วปล่อยไว้ประมาณ 1 – 2 เดือน ถึงทำการเพาะเห็ด 8. ศัตรูจาก หนู กิ้งกือ จิ้งเหลน ที่ชอบเข้ามาอาศัยในแปลงเห็ด แล้วกัดกินดอกเห็ดหรือคุ้ยเขี่ย ทำให้เกิดความ เสียหาย ควรวางกับดัก และทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยรอบบริเวณเพาะเห็ด โรคและปัญหาของการเพาะเห็ด โรคและปัญหาที่พบทั่วไปของผู้ผลิตดอกเห็ดถุงหรือเห็ดฟางขาย คือ เชื้อราเขียว ราต่างๆ เข้ากินก้อนเชื้อ ถูกหนอนของแมลงรบกวน และการเกิดไรหลายชนิด กินเส้นใยเห็ด การเกิดแบคทีเรียสีสนิมทำลายโคนต้นเห็ด ปัญหา และโรคต่างๆ อาจเกิดจากความสะอาด กระบวนการเพาะ วัสดุที่นำมาใช้ในการเพาะ การใช้สารเคมีกำจัด ศัตรูพืชก็จะทำให้มีพิษตกค้างในเห็ด เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ในปัจจุบันหลายได้มีการใช้จุลินทรีย์มาแก้ปัญหา ซึ่ง นับว่าได้ผลและเสียค่าใช้จ่ายน้อย เช่น ใช้ไบโอบีทีชีวภาพ กำจัดหนอนของแมลง โรคและปัญหาที่สำคัญของการเพาะเห็ดฟาง 1. โรค ราเม็ดผักกาด โรคนี้มักเกิดกับกองเห็ดฟางที่ใช้ฟางเก่าเก็บค้างปี ตากแดดตากฝนมาก่อน ส่วนใหญ่ โรคราเม็ดผักกาดนี้มักเกิดกับการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย ลักษณะที่สังเกตเห็นคือเส้นใยของเชื้อรามีลักษณะ
หนากว่าเส้นใยของเห็ดฟาง โรค จะเริ่มเกิดขึ้นได้ในวันที่ 3 หรือ 4ของการเพาะและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ต่อมาจะเกิดเส้นใยแผ่ขยายออกไป มีลักษณะเป็นวงกลม เมื่อเส้นใยมีอายุมากขึ้นจะสร้างส่วนขยายพันธุ์รูปร่าง กลมมีสีขาวเมื่ออ่อน และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่ ลักษณะคล้ายคลึงกับเมล็ดผักกาด จึงได้ชื่อว่า ราเม็ดผักกาด– ทำลายดอกเห็ดอ่อน ๆ ทำให้ดอกเห็ดอ่อนมีลักษณะนิ่มกว่าดอกปกติ 2. โรค ราเขียว โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา 3 ชนิด เป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่ในดินหรืออยู่ในอากาศก็ได้ เมื่อดิน หรือวัสดุเพาะมีความชื้น เชื้อราจะเริ่มเจริญขึ้นที่ดินและเจริญต่อไปถึงขี้ฝ้ายและฟางข้าว ราเขียวเป็นราประเภท สร้างสปอร์มากและมีขนาดเล็กปลิวได้ในอากาศ เชื้อราเขียวเหล่านี้เป็นเชื้อราแข่งขันหรือราคู่ของเชื้อเห็ดฟาง โรค นี้จะทำให้เห็ดฟางเจริญไม่ทัน นอกจากนี้โรคราเขียวยังทำลายดอกเห็ดอ่อน ๆ ด้วย เส้นใยของราเขียวขณะอ่อนมีสี ขาว ค่อนข้างบาง เมื่ออายุ 3 วันขึ้นไปแล้วเชื้อราจะเริ่มสร้างสปอร์ ซึ่งมีสีเขียวทำให้เกิดระบาดได้ราเขียว 3 ชนิด ดังกล่าว คือ ราเขียว มีสีเขียวอ่อนและ / หรือเขียวเข้ม ราเขียว มีสีเขียวอมเทา 3. โรค ราขาวนวล เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราชนิดนี้มีลักษณะสีขาวนวลหรือสีเหลืองอ่อน ๆ สามารถพบโรคนี้ได้ ตั้งแต่วันแรกของการเพาะเห็ด เชื้อรานี้มักจะเกิดบนวัสดุเพาะและเจริญแผ่ขยายติดต่อกันเป็นปื้นใหญ่ ทำให้ มองเห็นเป็นก้อน ๆ หรือเป็นแผ่น ๆ เชื้อราชนิดนี้เจริญเติบโตเร็วกว่าชนิดอื่น ทำให้บริเวณที่มีเชื้อรานี้ไม่มีเชื้อเห็ด ฟางขึ้นเลย ถ้ามีตุ่มดอกเกิดขึ้นเชื้อราชนิดนี้มักเจริญปกคลุมดอกเห็ดเล็ก ๆ หรือทำให้ดอกเห็ดกลุ่มนั้นมีลักษณะ ผิดปกติหรือดอกเห็ดไม่เจริญต่อไป 4. โรค ราขาวฟู เชื้อรานี้เส้นใยมีลักษณะขาวจัดและฟู มักพบโรคราขาวฟูบนหลังกองเพาะ ตั้งแต่วันแรกหรือ วันที่ 2 ของการเพาะเห็ด เมื่อราชนิดนี้อายุมากขึ้นจะมีสีเทา เชื้อรานี้เกิดเร็ว โรคนี้ถ้าเกิดแล้วเชื้อราจะไปปกคลุม ดอกเห็ดทำให้ดอกเห็ดฝ่อ
5. โรคราเห็ดหมึก หรือราเห็ดขี้เมา โรคนี้เกิดได้ทั้งในการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย และเห็ดฟางแบบ อุตสาหกรรม โรคราเห็ดหมึกที่เกิดขึ้นในกองเพาะเห็ดฟางแบบอุตสาหกรรม แสดงถึงการหมักฟางไม่ได้ที่ จะมีก๊าซ แอมโมเนียหลงเหลืออยู่ในการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย การเกิดเห็ดหมึกเกิดจากการใช้ฟางเก่าหรือวัสดุเพาะที่มี เชื้อเห็ดหมึกอยู่ สาเหตุอีกประการหนึ่งของโรคคือ ไม่มีการระบายอากาศในกองเพาะ ทำให้เกิดก๊าซแอมโมเนียใน ขบวนการหมัก จึงทำให้เกิดเห็ดหมึกได้ 6. โรคเน่าเละของเห็ดฟาง เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย พบในการเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน ปัจจุบันยังไม่มี สารเคมีป้องกันและกำจัดได้ วิธีป้องกันโรคที่ทำได้ คือ การรักษาความสะอาด และการปฏิบัติดูแลรักษาสม่ำเสมอ แนวทางป้องกันโรค 1. การเพาะเห็ดฟางโดยใช้ฟางข้าว ควรใช้ฟางข้าวใหม่ไม่ค้างปี 2. การเพาะเห็ดฟางกองเตี้ย ไม่ควรเพาะเห็ดซ้ำในพื้นที่เดิม ควรหมุนเวียนพื้นที่เพาะเห็ดในระยะเวลา 1-2 เดือน 3. การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน ควรมีการพักทำความสะอาดโรงเรือน และฆ่าเชื้อ 4. การเลือกหัวเชื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ว่าเป็นพันธุ์ดี ให้ผลผลิตสูง มีการปนเปื้อนน้อยที่สุด หรือไม่มี 5. เลือกตอซังหรือฟางข้าวนวดที่สะอาดปราศจากเชื้อราเม็ดผักกาด ฟางต้องมีลักษณะแห้งสนิทและอมน้ำได้ ง่าย วัสดุเพาะทุกชนิดไม่ควรทิ้งให้ตากแดดตากฝน หรือเก็บค้างปี 6. มีความเข้าใจถึงสภาพความต้องการต่าง ๆ ในการเจริญเติบโตของเห็ดฟางเพื่อจะได้ปฏิบัติดูแลกองเพาะ อย่างถูกต้อง เช่น เรื่องอุณหภูมิในกองเพาะขณะที่เส้นใยเจริญเติบโตต้องการอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 34 – 40 องศา เซลเซียส ซึ่งถ้าในกองเพาะร้อนหรือเย็นเกินไปก็ควรจะต้องระบายอากาศ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทออกซิเจนหรือต้อง เผารอบกองเพาะ เพื่อให้ความร้อนแก่กองฟางในหน้าหนาว นอกจากนี้ ควรเข้าใจเรื่องความชื้น แสงสว่าง และ ความสามารถในการกินอาหารของเห็ดฟางอีกด้วย ถ้าเป็นการเพาะเห็ดฟางแบบอุตสาหกรรม ควรศึกษาถึงการ เตรียมปุ๋ยเพาะเห็ดอย่างถูกวิธี ตลอดจนการอบไอน้ำฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการเพื่อให้ได้ปุ๋ยเพาะเห็ดที่มีคุณภาพ ดีซึ่งเชื้อเห็ดสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุด คุณค่า สารอาหารในเห็ดฟาง "เห็ดฟาง" มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน หาง่าย ขึ้นง่าย ออกดอกทุกฤดูกาล เห็ดฟางมีลักษณะคล้ายร่ม บริเวณหมวกเห็ดจะมีสีเทาอ่อนๆ ผิวเนียนเรียบ มีขนอยู่บางๆ คล้ายผ้ากำมะหยี่ มีก้านดอกสีขาว เห็ดฟางประกอบ
ไปด้วยแร่ธาตุอย่าง โปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม และยังมีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ที่ช่วยต้านโรคเหน็บชา และช่วย บำรุงสายตา อีกทั้งยังไม่มีไขมัน จึงไม่ทำให้อ้วน เหมาะที่จะนำมาทำเป็นเมนูไดเอทสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก หรือลดความอ้วน โทษของเห็ดฟาง...หากทานแบบสด ไม่ควรกินเห็ดฟางแบบสดๆ เพราะเห็ดฟางมีสารที่สามารถยับยั้งการดูดซึมอาหาร จึงต้องนำไปต้ม หรือผ่าน กระบวนการทำความร้อนเพื่อให้สารนั้นสลายไปและอีกประการหนึ่งที่ควรนำเห็ดฟางไปปรุงร้อนหรือล้างให้สะอาด ก่อนกินก็เพราะเห็ดฟางปลูกขึ้นด้วยฟาง อาจมีเชื้อราขึ้นด้วยและบางครั้งผู้ที่เพาะเห็ดฟางใส่ยาฆ่าเชื้อราลงไป จึง ควรนำมาล้างให้สะอาดและผ่านกระบวนการทำความร้อนก่อนจะนำไปประกอบอาหารทุกครั้ง และไม่ควรเก็บเห็ด ไว้นาน โดยเฉพาะการเก็บทิ้งไว้ในตู้เย็นข้ามวันข้ามคืน ลักษณะที่เห็นได้ชัดคือเห็ดจะเปลี่ยนสี มีรอยช้ำ และเกิด สารที่อาจส่งผลให้วิงเวียน ท้องเสีย อาหารเป็นพิษได้ ทางที่ดีคือเมื่อได้เห็ดฟางมาแล้วควรนำไปประกอบอา หาร ในทันที ถ้าจะเก็บไว้กินวันต่อไปก็ควรนำไปต้มให้สุกก่อน ไม่ควรเก็บไว้สดๆ 17 ประโยชน์และสรรพคุณของเห็ดฟาง 1. เห็ดฟางมีสารที่ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของไวรัส 2. เห็ดฟางมีสรรพคุณช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียฃ 3. ประโยชน์ของเห็ดฟางช่วยป้องกันโรคหัวใจ 4. เห็ดฟางช่วยลดไขมันในเส้นเลือด 5. เห็ดฟางไม่มีไขมัน จึงไม่ทำให้อ้วน 6. เห็ดฟางมีวิตามินซีสูง จึงช่วยแก้ไข้หวัด และทำให้ผิวพรรณสดใส 7. สรรพคุณเห็ดฟางช่วยลดอาการช้ำใน และรอยฟกช้ำ 8. เห็ดฟางให้ประโยชน์ช่วยลดปวดบวมตามร่างกาย 9. เห็ดฟางช่วยบำรุงตับให้แข็งแรง 10. เห็ดฟางช่วยให้ระบบการทำงานของตับและร่างกายเกิดความสมดุล 11. สรรพคุณเห็ดฟางเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
12. เห็ดฟางช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด 13. ประโยชน์ของเห็ดฟางช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง 14. เห็ดฟางมีสรรพคุณช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น 15. เห็ดฟางบรรเทาอาการช้ำใน หรืออักเสบภายในร่างกาย 16. เห็ดฟางช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย และลดความร้อนในร่างกาย เพราะเห็ดฟางมีฤทธิ์เย็น 17. ประโยชน์เห็ดฟางมีเส้นใยอาหารทำให้ขับถ่ายสะดวก เคล็ดไม่ลับ...วิธีเก็บเห็ดฟางให้อยู่ได้นาน วิธียืดอายุเห็ดฟางให้ได้นาน 6-7 วัน ทำได้ง่ายๆ คือเริ่มจากนำเห็ดมาล้างให้สะอาด ผ่าครึ่ง ลวกในน้ำเดือดๆ เพียงแค่ครึ่งนาที แล้วเทใส่กระชอน ผ่านน้ำเย็นจนเห็ดเย็นสนิท นำไปใส่กล่องเก็บอาหารแล้วปิดฝา (จะใส่น้ำ หรือไม่ใส่ก็ได้) นำไปแช่ในตู้เย็น จะเก็บได้อีก 6-7 วันเลยทีเดียว