การปลูกข้าว
ผู้จดั ทำ
นำงสำวจริ ัชญำ ด้วงตะกว่ั
ช้ัน ม.3
ครูทปี่ รึกษำ นำยอเุ ทน สมบตั ิศรี
รำยงำนเล่มนีเ้ ป็ นสวนหนึ่งของรำยวชิ ำกำรสื่อสำรและกำรนำเสนอ (IS2)
โรงเรียนหันห้วยทรำยพทิ ยำคม อำเภอประทำย จังหวดั นครรำชสีมำ
สำนักงำนเขตพนื้ ทกี่ ำกศึกษำมธั ยมศึกษำ เขต 31
ภำคเรียนท่ี 1 ปี กำรศึกษำ 2563
การปลูกข้าว
ผู้จดั ทำ
นำงสำวจริ ัชญำ ด้วงตะกว่ั
ช้ัน ม.3
ครูทปี่ รึกษำ นำยอเุ ทน สมบตั ิศรี
รำยงำนเล่มนีเ้ ป็ นสวนหนึ่งของรำยวชิ ำกำรสื่อสำรและกำรนำเสนอ (IS2)
โรงเรียนหันห้วยทรำยพทิ ยำคม อำเภอประทำย จังหวดั นครรำชสีมำ
สำนักงำนเขตพนื้ ทกี่ ำกศึกษำมธั ยมศึกษำ เขต 31
ภำคเรียนท่ี 1 ปี กำรศึกษำ 2563
บทคดั ย่อ
ขา้ วเป็นพืชอาหารหลกั และเป็นอาชีพท่ีสาคญั ของเกษตรกรไทย ประเทศไทยมีพ้นื ท่ีปลกู ขา้ ว ๖๕– ๖๗ ลา้ นไร่ หรือ
คิดเป็นร้อยละ ๕๐ ของพ้ืนท่ีการเกษตร เกษตรกรผปู้ ลกู ขา้ วมีจานวนกวา่ ๓.๗ ลา้ นครัวเรือน สามารถผลิตขา้ วและ
ส่งออกทารายไดใ้ หแ้ ก่ประเทศปี ละประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ลา้ นบาท ซ่ึง คิดเป็นสดั ส่วนร้อยละ ๒๐ ของผลิตภณั ฑม์ วล
รวมภายในประเทศของภาคการเกษตร นอกจากน้ีขา้ วยงั เป็น แหล่งรายไดท้ ่ีสาคญั ของภาคการเกษตรและ
อุตสาหกรรมต่อเนื่องเป็นจานวนมาก ก่อใหเ้ กิดการจา้ งงานใน อุตสาหกรรมขา้ วหลายลา้ นครัวเรือน ในช่วงเวลาท่ีผา่ น
มารัฐบาลไดม้ ีโครงการประกนั รายไดเ้ กษตรกรท้งั นา ปี และนาปรัง ซ่ึงเป็นส่ิงจูงใจใหเ้ กษตรกรปลกู ขา้ วมากข้ึนและ
ต่อเน่ืองตลอดท้งั ปี เนื่องจากเกษตรกรเชื่อวา่ จะสามารถสร้างรายไดห้ รือใหผ้ ลตอบแทนสูงมากข้ึน เป็นสาเหตุทาให้
ตอ้ งมีการใชน้ ้าตน้ ทุนในอนาคตของ แต่ละปี อยา่ งต่อเน่ืองมาโดยตลอด ซ่ึงการปฏิบตั ิของเกษตรกรในการปลกู ขา้ ว
อยา่ งต่อเนื่องเช่นน้ียอ่ มส่งผล กระทบทาใหส้ ถานการณ์ขาดแคลนน้ารุนแรงมากข้ึนในอนาคต ยงิ่ ไปกวา่ น้นั การที่
เกษตรกรไมไ่ ดม้ ีการพกั ดินทาใหเ้ กิดการระบาดของขา้ ววชั พืช โรคและแมลง ส่งผลใหผ้ ลผลิตขา้ วลดลงหรือเสียหาย
จนไม่สามารถ เกบ็ เกี่ยวผลผลิตได้ นอกจากน้ี การปลูกขา้ วอยา่ งต่อเนื่องยงั ทาใหม้ ีการใชป้ ๋ ุยเคมีมากข้ึนจนก่อใหเ้ กิด
ผลเสีย ต่อระบบนิเวศน์ในนาขา้ ว จากสถานการณ์การระบาดของเพล้ียกระโดดสีน้าตาลในพ้นื ท่ีภาคกลางและ
ภาคเหนือ ตอนล่าง อนั เป็นผลมาจากเกษตรกรทานาอยา่ งต่อเนื่อง มีการปลกู ขา้ วหนาแน่น ใชส้ ารเคมีกลุ่มไพรีทรอยด์
สงั เคราะห์ซ่ึงเป็นการท าลายศตั รูธรรมชาติ รวมท้งั มีการปลกู ขา้ วพนั ธุเ์ ดียวกนั อยา่ งต่อเนื่องมาโดยตลอด ทาใหเ้ พล้ีย
กระโดดสีน้าตาลมีอาหารกินอยา่ งบริบรู ณ์ ช่วยใหเ้ พิ่มปริมาณประชากรและทวกี ารระบาดรุนแรง มากข้ึนเป็น ๑.๙๖
ลา้ นไร่ (กลางเดือนพฤศจิกายนถึงตน้ เดือนธนั วาคม ๒๕๕๒) รวมท้งั มีการระบาดรุนแรง มากสุดในรอบปี เป็น ๒.๓๙
ลา้ นไร่ (ช่วงเดือนธนั วาคมถึงกลางเดือนธนั วาคม ๒๕๕๒) ดว้ ยเหตุน้ี กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ จึงไดเ้ สนอ
มาตรการเพ่ือป้ องกนั และยบั ย้งั การระบาดของเพล้ียกระโดดสีน้าตาล ซ่ึง คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวนั ที่ ๑๕
ธนั วาคม ๒๕๕๒ ซ่ึงมาตรการดงั กล่าวมีแนวทางการแกไ้ ขปัญหา ระยะยาว โดยการปฏิรูประบบการปลกู ขา้ วใหม่
เพอ่ื แกไ้ ขปัญหาการระบาดของเพล้ียกระโดดสีน้าตาล โรค เขียวเต้ีย และโรคใบหงิกอยา่ งยงั่ ยนื รวมท้งั ปัญหาขา้ ว
วชั พืช ความสมดุลของระบบนิเวศน์ และความอุดม สมบรู ณ์ของดิน ผลจากมาตรการดงั กล่าวทาใหพ้ ้ืนท่ีการระบาด
ของเพล้ียกระโดดสีน้าตาลลดลงเหลือ ๖.๗๔ แสนไร่ (ขอ้ มลู วนั ท่ี ๒๗ มกราคม ๒๕๕๓) และต่อมากระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ไดเ้ สนอคณะรัฐมนตรีใน มาตรการเพิ่มเติมสาหรับการใหค้ วามช่วยเหลือเกษตรกรผไู้ ดร้ ับผลกระทบจาก
การระบาดของเพล้ียกระโดด สีน้าตาล โรคเขียวเต้ีย และโรคใบหงิก และคณะรัฐมนตรีไดม้ ีมติ เม่ือวนั ท่ี ๙ กมุ ภาพนั ธ์
๒๕๕๓ เห็นชอบให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใหค้ วามช่วยเหลือเกษตรกรผไู้ ดร้ ับผลกระทบจากการระบาดของ
เพล้ียกระโดด สีน้าตาล โรคเขียวเต้ียและโรคใบหงิก ดงั น้นั เพื่อใหส้ อดคลอ้ งกบั มติคณะรัฐมนตรีดงั กล่าวขา้ งตน้
สานกั ชลประทานที่ ๑๐ จึง ผลกั ดนั ใหม้ ีการปรับระบบการปลกู ขา้ ว โดยกาหนดช่วงระยะเวลาการปลูกขา้ วใหม้ ีความ
เหมาะสมและ 2 สอดคลอ้ งกบั สภาพพ้นื ท่ีเศรษฐกิจและสงั คม และกาหนดแนวทางสนบั สนุนต่าง ๆ
คานา
เป็นเวลากวา่ 40 ปี แลว้ ท่ีมีการนาขา้ วจาปอนิกาหรือขา้ วญ่ีป่ ุนมาปลกู ในประเทศไทย และ ในช่วงปี พ.ศ. 2530–2540 มี
การวิจยั และพฒั นาการปลูกขา้ วจาปอนิกาอยา่ งจริงจงั โดยนกั วจิ ยั ในสถาบนั วิจยั ขา้ ว กองเกษตรวศิ วกรรม กรม
วชิ าการเกษตร กลุ่มขา้ ว กองส่งเสริมพชื ไร่นา กรม ส่งเสริมการเกษตร รวมท้งั บริษทั เอกชนท่ีไดด้ าเนินการท้งั การวิจยั
และส่งเสริมใหเ้ กษตรกรผลิตขา้ ว จาปอนิกาอยา่ งต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบนั แต่ขอ้ มูลพ้ืนฐานและผลการคน้ ควา้ วจิ ยั
เก่ียวกบั ขา้ วจาปอนิกาในประเทศไทย ยงั ไม่มีการ รวบรวม เรียบเรียงไวอ้ ยา่ งเป็นหมวดหมู่ ผเู้ ขยี นจึงไดน้ าขอ้ มูล
ท้งั หมดที่ไดร้ วบรวมไวต้ ้งั แต่เร่ิม ทางานในสงั กดั กรมวชิ าการเกษตร (พ.ศ. 2527) มาเขียนร่วมกบั ประสบการณ์ที่ได้
ทางานวจิ ยั และ พฒั นาการปลกู ขา้ วจาปอนิกา มาต้งั แต่ปี พ.ศ. 2531 ออกมาเป็นเอกสารวชิ าการเร่ือง เทคโนโลยี การ
ผลิตขา้ วจาปอนิกาในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2545
สารบญั
เร่ือง หนา้
ข้นั ตอนการทานา
1การเตรียมพนั ธ์ุข้าว
เมอ่ื นำเมลด็ ข้ำวไปเพำะให้งอก โดยแชนำ้ นำนประมำณ 1-2 ช่ัวโมง แล้วนำเมลด็ ขนึ้ จำกนำ้ และเกบ็ ไว้ในท่ี
ทมี่ คี วำมชื้นสูงเมลด็ จะงอกภำยใน 48 ชั่วโมง จงึ นำเมลด็ ทเ่ี ริ่มงอกเหล่ำนีไ้ ปปลูกในดนิ ทเี่ ปี ยก ส่วนทเ่ี ป็ น
รำกจะเจริญเตบิ โตลกึ ลงไปในดนิ ส่วนทเี่ ป็ นยอดกจ็ ะสูงขนึ้ เหนือผวิ ดนิ แล้วเปลยี่ นเป็ นใบ ต้นข้ำวเลก็ ๆนี้
เรียกว่ำ ต้นกล้ำ หลงั จำกต้นกล้ำมอี ำยุ ประมำณ 40 วนั จะมหี น่อใหม่เกดิ ขนึ้ โดยเจริญเติบโตออกจำกตำ
บริเวณโคนต้น ต้นกล้ำแต่ละต้นสำมำรถแตกหน่อใหม่ประมำณ 5-15 หน่อ ท้งั นีข้ นึ้ อยู่กบั พนั ธ์ข้ำว ระยะ
ปลูก และควำมอุดมสมบูรณ์ของดนิ
แต่หน่อต้นกล้ำให้ร่วงข้ำวหน่งึ รวง แต่รวงข้ำวมีเมลด็ ข้ำวประมำณ 100-200 เมลด็ โดยปกตติ ้นข้ำวทโี่ ต
เตม็ ทแี่ ล้วจะมคี วำมสูงจำกพนื้ ดนิ ถงึ ปลำยรวงทสี่ ูงทส่ี ุดประมำณ100-200 เซนตเิ มตรซึ่งแตกต่ำงไปตำม
พนั ธ์ุข้ำวตลอดจนถงึ ควำมอดุ มสมบูรณ์ของดนิ และควำมลกึ ของนำ้
2.การปลกู ขา้ ว
วธิ ีกำรปลูกข้ำวหรือกำรทำนำในประเทศไทยแบ่งออกเป็ น 3 วธิ ี ดงั นี้
2.1 กำรปลกู ข้ำวไร่
หมำยถงึ กำรปลูกข้ำวบนทด่ี อนไม่มนี ำ้ ขงั ในพนื้ ทปี่ ลูกชนิดของข้ำวทป่ี ลูกเรียกว่ำ ข้ำวไร่ พนื้ ทด่ี อน
ส่วนมำก เช่น ภูเขำ มกั จะไม่มรี ะดบั คอื สูงๆตำ่ ๆ จงึ ไม่สำมำรถไถเตรียมดนิ และปรับระดบั ดนิ ได้ง่ำยๆ
เหมอื นกบั พนื้ ทร่ี ำบ เพรำะฉะน้ันชำวนำมักปลูกข้ำวแบบหยอด โดยข้นั แรกทำกำรตดั หญ้ำและต้นไม้เลก็
ออก แล้วจงึ ทำควำมสะอำดพนื้ ทที่ จ่ี ะปลูก แล้วใช้หลกั ไม้ปลำยแหลมเจำะดนิ เป็ นหลุม ปกตจิ ะต้องหยอด
พนั ธ์ุข้ำวทนั ทหี ลงั จำกทเี่ จำะหลุม และหลงั จำกหยอดเมลด็ พนั ธ์ุข้ำวแล้วจะใช้เท้ำกลบดนิ ปำกหลมุ เมอื่
ฝนตกหรือเมอื่ เมลด็ ได้รับควำมชื้นจำกดนิ เมลด็ จะงอกและเจริญเตบิ โตเป็ นต้นข้ำว เน่ืองจำกท่ีดอนไม่มี
นำ้ ขงั และไม่มกี ำรชลประทำน กำรปลูกข้ำวไร่จงึ ต้องใช้นำ้ ฝนเพยี งอย่ำงเดยี ว พนื้ ทป่ี ลูกข้ำวไร่จะแห้ง
และขำดนำ้ ทนั ทเ่ี ม่ือสิ้นหน้ำฝน ดงั น้ันกำรปลูกข้ำวไร่จงึ ต้องใช้พนั ธ์ุทมี่ อี ำยุเบำ โดยปลูกในต้นฤดูฝนและ
แก่เกบ็ เกยี่ วได้ในปลำยฤดูฝน ดงั น้ันกำรปลูกข้ำวไร่ ชำวนำจะต้องหมน่ั กำจดั วชั พชื เพรำะทด่ี อนมักจะมี
วชั พชื มำกกว่ำทลี่ ่มุ พนื้ ทที่ ปี่ ลูกข้ำวไร่ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยและปลูกมำกในภำคเหนือและภำคใต้
ส่วนภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภำคกลำงปลูกข้ำวไร่น้อยมำก
2.2 กำรปลูกข้ำวนำดำ
หรือเรียกว่ำ กำรปักดำ ซ่ึงวธิ ีกำรปลูกแบ่งเป็ นสองตอน ตอนแรกได้แก่กำรตกกล้ำในแปลขนำดเลก็ และ
ตอนทส่ี องได้แก่กำรถอนต้นกล้ำนำไปปักดนิ ในนำผนื ทใี่ หญ่ ดงั น้ัน กำรปลูกแบบปักดำอำจ
เรียกว่ำ Indirect Seeding ซึ่งต้องเตรียมดนิ ทดี่ กี ว่ำกำรปลูกข้ำวไร่ ซึ่งมีกำรไถดะ กำรไถแปร และกำร
ครำด ปกตกิ ำรไถและครำดในนำดำมกั จะใช้แรงววั ควำย หรือแทรกเตอร์ขนำดเลก็ ทเี่ รียกว่ำ ควำยเหลก็
หรือไถยนต์เดนิ ตำม ท้งั นีเ้ ป็ นเพรำะพนื้ ทน่ี ำดำมีคนั นำแบ่งก้นั ออกเป็ นแปลงเลก็ ๆ ขนำดแปลง
ละ 1 ไร่ หรือเลก็ กว่ำ คนั นำมไี ว้เพอ่ื กกั เกบ็ นำ้ ปล่อยนำ้ ทงิ้ จำกแปลงนำ นำดำจงึ มีกำรบังคบั นำ้ ในนำไว้ได้
บ้ำงพอสมควร กำรไถดะ หมำยถงึ กำรถคร้ังแรกเพอื่ ทำลำยวชั พชื ในนำและพลกิ กลบั หน้ำดนิ แล้วปล่อย
ทงิ้ ไว้ประมำณ 1 สัปดำห์ จงึ ทำกำรไถแปรซึ่งหมำยถงึ กำรไถตัดกบั รอยไถดะ กำรไถแปรอำจไถมำกกว่ำ
หนึ่งคร้ัง ท้งั นีข้ นึ้ อยู่กบั ระดบั นำ้ ในนำตลอดจนถงึ ชนิดและปริมำณของวชั พชื เมือ่ ไถแปรแล้วทำกำร
ครำดได้ทนั ที กำรครำดกค็ อื กำรครำดเอำวชั พชื ออกจำกผนื นำ และปรับพนื้ ท่ีนำให้ได้ระดบั เป็ นทรี่ ำบ
เสมอกนั ด้วยพนื้ ทน่ี ำทมี่ ีระดบั เป็ นทีร่ ำบจะทำให้ต้นข้ำวได้รับนำ้ เท่ำๆกนั และสะดวกต่อกำรไขนำ้ เข้ำ
ออก
กำรตกกล้ำ หมำยถงึ กำรนำเมลด็ หวำนให้งอก ใช้เวลำประมำณ 25-30 วนั นับจำกวนั หว่ำน เมลด็ จะ
เจริญเตบิ โตเป็ นต้นกล้ำทีม่ ีขนำดโตพอทจี่ ะถอนนำไปปักดำได้กำรปักดำ คอื กำรนำต้นกล้ำทถ่ี อนขนึ้ จำก
แปลงแล้วมัดรวมกนั เป็ นมัดๆ จะต้องสลดั ดนิ โคลนทร่ี ำกออก แล้วนำไปปักดำในพนื้ ทีน่ ำที่ได้เตรียมไว้
ถ้ำต้นกล้ำสูงมำกกต็ ดั ปลำยใบทงิ้ พนื้ ทนี่ ำทใ่ี ช้ปักดำควรมีนำ้ ขงั อยู่ประมำณ 5-10 เซนตเิ มตร เพรำะต้น
ข้ำวอำจถูกลมพดั จนพบั ลงได้เมือ่ นำน้ันไม่มนี ำ้ ขงั อยู่เลย ถ้ำระดบั นำ้ ในน้ันลกึ มำกต้นข้ำวทป่ี ักดำอำจ
จมนำ้ ในระยะแรก และ ข้ำวจะต้องยดื ต้นมำกกว่ำปกติ จนผลให้แตกกอน้อย กำรปักดำทไี่ ด้ผลผลติ สูง
จะต้องปักดำให้เป็ นแถวเป็ นแนว และมีระยะห่ำงระหว่ำงกอมำกพอสมควร
2.3 กำรปลกู ข้ำวนำหว่ำน
เป็ นกำรปลูกข้ำวโดยเอำเมลด็ พนั ธ์ุหว่ำนลงในพนื้ ทน่ี ำทไ่ี ถเตรียมไว้โดยตรง ซึ่งเรียกว่ำ Direct
Seeding กำรเตรียมดนิ กค็ อื กำรไถดะและไถแปร ชำวนำจะเร่ิมไถนำสำหรับปลูกข้ำวนำหว่ำนต้งั แต่เดอื น
เมษำยน เนื่องจำกพนื้ ทนี่ ำสำหรับปลกู ข้ำวนำหว่ำนไม่มคี นั นำก้นั จงึ สะดวกแก่กำรไถด้วยแทรกเตอร์
ขนำดใหญ่ อย่ำงไรกต็ ำมยงั มชี ำวนำจำนวนมำกใช้แรงงำนววั และควำยไถนำกำรปลูกข้ำวนำหว่ำนมหี ลำย
วธิ ีด้วยกนั เช่น กำรหว่ำนสำรวย กำรหว่ำนครำดกลบหรือไถกลบ กำรหว่ำนหลงั ขไี้ ถ และกำรหว่ำนนำ้
ตม กำรหว่ำนสำรวย กำรหว่ำนวธิ ีนีช้ ำวนำจะหว่ำนเมลด็ พนั ธ์ุข้ำวทยี่ งั ไม่ได้เพำะให้งอกลงในพนื้ ทน่ี ำ
เตรียมดนิ โดยกำรไถดะ และไถแปรไว้แล้วโดยตรง เมล็ดพนั ธ์ุทหี่ ว่ำนลงไปตกลงปอยู่ในซอกระหว่ำง
ก้อนดนิ และรอยไถ เม่อื ฝนตกพนื้ ดนิ เปี ยกและเมลด็ ได้รับควำมชื้นเมลด็ ข้ำวจะงอกเป็ นต้นกล้ำ กำรหวำน
วธิ ีนีใ้ ช้เฉพำะท้องทซ่ี ึ่งดนิ มีควำมชื้นพออยู่แล้วกำรหว่ำนครำดกลบหรือไถกลบ ชำวนำจะทำกำรไถดะ
และไถแปร แล้วจงึ นำเมลด็ ท่ยี งั ไม่ได้เพำะ ให้งอกหว่ำนลงไปทันทแี ล้วครำด หรือไถเพอื่ กลบเมลด็ ที่
หว่ำนลงไปอกี คร้ังหนึ่ง เนื่องจำกดนิ มีควำมชื้นอยู่แล้วเมลด็ จะเร่ิมงอกทนั ทหี ลงั จำกหว่ำนลงดนิ
กำรต้งั ตวั ของต้นกล้ำจะต้งั ตวั ดกี ว่ำกำรหว่ำนสำรวย เพรำะเมลด็ ทห่ี ว่ำนถูกกลบฝังลกึ ลงในดนิ กำรหว่ำน
นำ้ ตม กำรหว่ำนแบบนีน้ ยิ มใช้ในพนื้ ที่มนี ำ้ ขงั ประมำณ 3-5 เซนตเิ มตร และพนื้ ท่ีนำเป็ นผนื ใหญ่ขนำด
ประมำณ 1-2 ไร่มีคนั นำก้นั เป็ นแปลงกำรเตรียมดนิ ทำเหมือนกบั กำรเตรียมดนิ สำหรับนำดำ ซึ่งมีกำรไถ
ดะ ไถแปร และครำดเพอื่ เกบ็ วชั พชื ออกจำกพนื้ นำแล้วจงึ ทงิ้ ให้ดนิ ตกตะกอนจนเห็นว่ำนำ้ ใส จงึ นำเมลด็
พนั ธ์ุทเ่ี พำะให้งอกแล้วหว่ำนลงนำและไขนำ้ ออก เมลด็ จะเจริญเตบิ โตเป็ นต้นข้ำวและเจริญเตบิ โตอย่ำง
ข้ำวอนื่ ๆ ตำมปกตกิ ำรหว่ำนแบบนีน้ ยิ มทำกนั ในท้องทจี่ งั หวดั ฉะเชิงเทรำ ทที่ ำกำรปลูกข้ำวนำปรัง
3. กำรดูแลรักษำ
ในระหว่ำงกำรเจริญเตบิ โตของต้นข้ำว ต้งั แต่กำรหยอดเมล็ด กำรหว่ำนเมลด็ กำรปักดำต้นข้ำวต้องกำร
นำ้ และป๋ ุยสำหรับกำรเจริญเตบิ โต ในระหว่ำงนีต้ ้นข้ำวอำจถูกโรค
และแมลงศัตรูข้ำวหลำยชนิดเข้ำทำลำยต้นข้ำว โดยทำให้ต้นข้ำวแห้งตำยหรือผลผลติ ตำ่ และคุณภำพ
เมลด็ ไม่ได้มำตรำฐำน เพำะฉะน้ันนอกจำกจะมวี ธิ ีกำรปลูกทด่ี แี ล้วจะต้องมีวธิ ีกำรดูแลทดี่ อี กี ด้วย ท้งั กำร
กำจดั วชั พชื ใส่ป๋ ยุ และพ่นยำเคมี เพอ่ื ป้ องกนั และกำจดั โรคแมลงศัตรูทอี่ ำจเกดิ ระบำดขนึ้ ได้
4. กำรเกบ็ เกย่ี ว
สำมำรถทำได้ในสัปดำห์ที่สี่หลงั จำกข้ำวออกดอกแล้วประมำณ 28-30 วนั ชำวนภำคเหนือ ภำค
ตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภำคกลำงใช่เคยี วสำหรับเกย่ี วข้ำวท่ลี ะหลำยๆ รวง
ส่วนชำวนสภำคใต้ใช้แกระสำหรับเกย่ี วข้ำวทลี ะรวง เคยี วที่ใช้เกยี่ วข้ำวมี 2 ชนิด ได้แก่ เคยี วนำสวน และ
เคยี วนำเมือง เคยี วนำสวนเป็ นเคยี วกว้ำง ใช้สำหรับเกยี่ วข้ำวนำสวนทป่ี ลูกไว้แบบปักดำ ส่วนเคยี วนำ
เมืองเป็ นเคยี ววงแคบและมดี ้ำมยำวกว่ำเคยี วนำสวน เคยี วนำเมอื งใช้เกย่ี วข้ำวนำเมอื งทป่ี ลูกไว้แบบหว่ำน
ข้ำวทเี่ กยี่ วด้วยเคยี วไม่จำเป็ นต้องมคี อรวงยำว เพรำะข้ำวทถ่ี ูกเกยี่ วมำจะถูกมดั เป็ นกำๆ ส่วนข้ำวทถี่ ูก
เกยี่ วด้วยแกระจำเป็ นต้องมคี อรวงยำวเพรำะชำวนำต้องเกยี่ วรวงทล่ี ะรวงแล้วมดั เป็ นกำๆ ข้ำวทถ่ี ูกเกย่ี ว
ด้วยแกระชำวนำจะเกบ็ ไว้ในย้งุ ฉำงซ่ึงโปร่งมีอำกำศถ่ำยเทได้สะดวก และจะทำกำรนวดเมอ่ื ต้องกำรขำย
หรือต้องกำรสีเป็ นข้ำวสำร ข้ำวทเ่ี กย่ี วด้วยเคยี วซึ่งปลูกไว้แบบปักดำ ชำวนำจะทงิ้ ไว้ในนำบนตอซังเพอื่
ตำกแดดให้แห้งเป็ นเวลำ 3-5 วนั สำหรับข้ำวทปี่ ลูกแบบหว่ำนพนื้ ทนี่ ำจะแห้งในระยะเกบ็ เกย่ี ว ข้ำวจงึ
แห้งก่อนเกบ็ เกย่ี ว ข้ำวทเ่ี กยี่ วแล้วจะถูกกองทงิ้ ไว้บนพนื้ ทน่ี ำเป็ นรูปต่ำงๆ กนั เป็ นเวลำ 5-7 วนั เช่น รูป
สำมเหลย่ี ม แล้วจงึ นำมำทล่ี ำนนวด ข้ำวทน่ี วดแล้วจะถูกนำไปเกบ็ ในยุ้งฉำงหรือส่งไปขำยท่โี รงสีทนั ทกี ็
ได้
5. กำรนวดข้ำว
หมำยถงึ กำรนำเมลด็ ข้ำวออกจำกรวงและทำควำมสะอำด เพอื่ แยกเมลด็ ข้ำวลบี และเศษฟำงออก เหลอื ไว้
เฉพำะเมลด็ ข้ำวเปลอื กทต่ี ้องกำรเท่ำน้ัน ซึ่งกำรนวดข้ำวสำมำรถทำได้หลำยวธิ ี เช่น กำรนวดข้ำวโดยใช้
แรงสัตว์ (ววั ควำย) กำรนวดแบบฟำดกำข้ำว กำรนวดแบบใช้เครื่องทุ่นแรง (เคร่ืองหมุนตรี ่วงข้ำว) และ
กำรนวกแบบใช้เคร่ืองจกั รขนำดใหญ่ (คอมไบน์)
โดยเร่ิมจำกกำรนำข้ำวที่เกย่ี วจำกนำไปกองไว้ทลี่ ำนสำหรับนวดข้ำว กำรกองข้ำวมีหลำยวธิ ี แต่หลกั
สำคญั คอื กำรกองข้ำวจะต้องเป็ นระเบียบ ถ้ำกองไม่เป็ นระเบียบมดั ข้ำวะอยู่สูงๆ ตำ่ ๆ
ทำให้เมลด็ ข้ำวได้รับควำมเสียหำยและคุณภำพตำ่ โดยปกตแิ ล้วจะกองเป็ นวงกลม หลงั จำกข้ำวนวดแล้ว
ชำวนำมักจะทตี่ ำกข้ำวให้แห้งเป็ นเวลำ 5-7 วนั เพอื่ ลดควำมชื้นในเมลด็ ข้ำว ข้ำวทเ่ี กย่ี วใหม่ๆ มคี วำมชื้น
ประมำณ 20-25 % หลงั จำกตำกแล้วเมลด็ ข้ำวจะมีควำมชื้นเหลอื ประมำณ 13-15% เมลด็
6. กำรทำควำมสะอำดเมลด็
เมลด็ ข้ำวท่ีได้จำกกำรนวดมักมสี ่ิงเจือปน เช่น ดนิ กรวด ทรำย เมลด็ ลบี ฟำงข้ำวทำให้ขำยได้รำคำตำ่
ฉะน้ันชำวนำจะทำควำมสะอำดเมลด็ ก่อนทจี่ ะนำข้ำวเปลอื กเกบ็ เข้ำย้งุ ฉำงหรือขำยให้พ่อค้ำ กำรทำควำม
สะอำดเมลด็ หมำยถงึ กำรนำข้ำวเปลอื กออกจำกส่ิงเจือปนอน่ื ๆ ซ่ึงทำได้หลำยวธิ ี เช่น กำรสำดข้ำว กำร
ใช้กระด้งฝัด และกำรใช้เครื่องฝัด
7. กำรตำกข้ำว
เพอ่ื รักษำคุณภำพเมลด็ ข้ำวให้ได้มำตรำฐำนเป็ นเวลำนำนๆ หลงั จำกนวดและทำควำม สะอำดเมลด็ ข้ำว
แล้ว จำเป็ นต้องนำข้ำวเปลอื กไปตำกอกี คร้ังหนง่ึ ก่อนทจ่ี ะนำไปเกน็ ในยุ้งฉำง เพอ่ื ให้ข้ำวเปลอื กแห้งและมี
ควำมชื้นประมำณ 13-15% เมลด็ ข้ำวในยุ้งทม่ี คี วำมชื้นสูงกว่ำนีจ้ ะทำให้เกดิ ควำมร้อนสูงจนคุณภำพข้ำว
เสื่อม และอำจทำให้เชื้อรำตดิ มำกบั เมลด็ และขยำยพนั ธ์ุทำลำยเมลด็ ข้ำวเปลอื กได้เป็ นจำนวนมำก กำร
ตำกข้ำวควรตำกบนลำนท่ีสำมำรถแผ่กระจำยเมลด็ ข้ำวให้ได้รับแสงโดยทว่ั ถงึ กนั ควรตำกแดดนำน
ประมำณ 3-4 แดด ในต่ำงประเทศใช้เครื่องอบข้ำวเพอื่ ลดควำมชื้นในเมลด็ ข้ำวเรียกว่ำ Drier โดยให้เมลด็
ข้ำวผ่ำนอำกำศร้อน
1.การทา นาปรังมกจั ะทากนั ในฤดใู ด
(ก) กลางฤดฝู น
(ข) ต้นฤดแู ล้ง
(ค) ต้นฤดฝู น
(ง) ปลายฤดแู ล้ง
2.สารโรทีโนนและไพรีธรินมีประโยชน์เหมือนกนอั ยา่่ งหนึ่งคือ
(ก)ใชก้า จดแั มลง
(ข) ใชก้า จดวั ชพั ืช
(ค)ใชเ่พ้ ิ่มการตดิ ผล(ไม)่้
(ง)ใชก้า จดเั ช้ือรา
3.การทา ใหพ้ ่ื ชใบเลี้ยงคแู่ ตกยอดมากข้ึนทา ไดโ่ด้ ย
(ก) เดด็ ยอดทิง้
(ข) ใช้สารเคมี
(ค) ใหน้ ่า้ มากขึ้น
(ง) ใหป๋้ ่ยมากข้ึน
4.Wind Break ใช้ท าอะไร
(d)ป้ องกนแั มลงศตรั ูพื
ช (ข) ป้ องกนลั มหนาว
(ค) ป้ องกนลั มพดแั รง ๆ
(ง) ป้ องกนลั มร้อน
5.กสิกรรมหมายถงึ อะไร
(ก) การทา ไร่ข้าวโพด
(ข) การทานา
(ค) การทาสวนผลไม้
(ค) ถกู ทกข้อ 6.การเก่ียวขา่ว้ ไชอ้ะไรเกี่ยวในยค ปัจจบนั ก.รถเกี่ยว ข.รถปณู ค.รถไถ ง.รถสบิ ล้อ 7.โดยทว่ั ๆ ไปใบมีหนา่ท้ ี่หลาย
ๆ อยา่่ งยกเวน้ (ก) คายน้า (ข) สะสมอาหาร (ค) สร้างอาหาร (ง) แลกเปล่ียนแก๊ส 8.เน้ือเยอ่ื ชนิดใดที่ทา หนา่ท้ ่ีในการสงั เคราะห์
แสง (ก) Epidermis (ข) Xylem (ค) Spongy Cells (ง) Phloem 9.ในยคปัจจบนั ไช้อะไรไถนา ก.รถโม้ปณู ข.รถไถ ค.รถด้มั ง.รถถงั
10.ข้อใดเป็ นการเกษตรแบบผสม (ก) ปลกู ถวั่ เหลืองเพื่อทา น้า มนั (ข)เล้ียงเป็ ดและขายไข่เป็ ด (ค) ปลกู ผกแั ละเลี้ยงไก่ (ง)ข้อ 2
และ 3