คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร สายหยดุ
พิกุล
กาหลง ประยงค์
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร วรรณคดีหลายเรอื่ งไดก้ ล่าวถงึ ยมโดย
ในความหมายของไม้ต้นในป่า ที่มดี อกหอมมาก
ยมโดย แต่พนั ธ์ุไม้เมืองไทยที่ชื่อ ยมโดยและยมโดยเกลด็ หอย
อยใู่ นกลมุ่ ชอ้ งนางคลี่ เป็นพืชองิ อาศยั ขนาดเล็ก
ไมม่ ีดอก และไม่มกี ล่ินหอม
จงึ ไมน่ า่ จะเป็นชนดิ ทีก่ ลา่ วถึงในวรรณคดไี ทย
ส่วนไม้ตน้ ในป่าทมี่ ีดอกหอม
และชื่อขน้ึ ต้นด้วย "ยม“
มีอยู่หลายชนดิ เชน่ ยมหอม
ยมหนิ และยมมะกอก
แตไ่ ม่มชี นดิ ใดทชี่ ื่อ ยมโดย
คาถามตามรอยพระเวสสันดร คาน
สาแหรก
3.) ท้งั แปดทิศกม็ ดื มิดมัวมนทุกหนแหง่
4.) ขอบฟ้ากด็ าดแดงเปน็ สายเลือดดเู ปน็ ลางรา้ ย
5.) ดวงตากก็ ระตกุ จติ ใจก็หววิ ๆ
6.) แสรกคานพลันพลกิ พลดั ลงจากไหล่
7.) ขอน้อยในหตั ถาท่เี คยถือกห็ ลดุ มอื
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร
3. เพราะเหตุใดพระนางมัทรี
ไมห่ นี พญาพาฬมคฤราชไปทางอน่ื
อนงึ่ มรคากช็ ่องแคบหว่างคีรี
เปน็ ตรอกนอ้ ยรอยวถิ ีทเ่ี ฉพาะจร
ทง้ั สามสตั วก์ ็มาเนอื่ งนอนสกดั หน้า
ครั้นจะลลี าหลีกลดั ตัดเดาไปทางใด
กเ็ หลอื เดนิ ทง้ั สองขา้ งเป็นโขดหนิ
เขนิ ขอบคันขึน้ ก้นั ไว้
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร พระนางจึง่ ปลงหาบคอน
ลงวอนไหว้แลว้ อภิวาทน.์ ...
พระนางมัทรีกระทาการใด - ทศนขั เบญจางค์
เพือ่ ใหส้ ตั ว์ทง้ั สามหลีกทางให้ - แนะนาตวั เอง
- ออ้ นวอนขอให้ช่วยหลกี ทางให้
5พ.ร“ะพจนัญทารพข์ าึน้ ฬมฤคราชก็พากนั
อ(ทุฏิพฐาากกราครลคาลไคาไลคคลลใ้อหยห้เยนน็ ท) าง
แ...กขน่ณาะงนพ้ี “รแะจยม่ามแัทจรง้ ”ี ส..ีศ.. ศิธร”
พมีแรสะนงจานังมทัทร์ รีไดก้ ลับบา้ น
เมอ่ื ใด
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร นั่นกร็ อยเทา้ พอ่ ชาลี น่ีก็บทศรีแมก่ ณั หา
พระมารดายังแลเห็น
6. เมือ่ กลบั มาถึงอาศรมพระนางมัทรี โน่นก็กรวดทรายเจา้
เกิดสิ่งใดขึน้ ยังรายเล่นเป็นกอง ๆ
ส่งิ ของท้ังหลายเปน็ เคร่ืองเลน่
พักหนง่ึ ก็ถึงที่สดุ พระอาวาส ยังเหน็ อยู่ แต่ลกู รักทง้ั ค่ไู ปอยูไ่ หน
ท่ีพระลูกเจา้ เคยประพาสแลน่ เลน่ ไมเ่ ห็นเลย
ประหลาดแลว้ แลไม่เห็นกใ็ จหาย
ด่งั ว่าชวี ิตนางจะวางวายลงทันที 7พ.รกรณวีในชา้ออาปุ ศมรามโแวลหะปารา่ ทด่ี เู งยี บ
เปหงราียเศบรเ้าทสยี ร้อบยคไวมามม่ ทชี วีุกิตขชข์ วี อาง
พดผูรดิะนแาปงลมกัทไรปี จากเดิม
กทับ่ีเคธยรรรม่ มรชนื่ าติตา่ ง ๆ อย่างไร
คาถามตามรอยพระเวสสันดร แม่มาสละเจ้าไวเ้ ป็นกาพร้า
ทัง้ สององค์เสมอื นหน่งึ
ฉอเลาะแมต่ ่าง ๆ ตามประสาทารก ลูกหงสเ์ หมราชปักษนิ
เจริญใจ มีอุปไมยเสมอื นหน่งึ ปราศจากมจุ ลนิ ท์ไปตกคลกุ
ลกู ทรายทรามคะนอง ในโคลนหนองส้นิ สีทอง
ปองที่ว่าจะชมแม่เม่ือสายณั ห์ อนั ผ่องแผ้ว
อปุ มา
เนอ้ื ทราย, ทราย
เป็นสตั ว์เล้ียงลกู
ดว้ ยนมจาพวกกวาง
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร เมอื่ นางเข้าไปถึงอาศรมถาม
พระเวสสนั ดรพระนางมัทรีคิด
โอพระอาศรมเจ้าเอ๋ยนา่ อศั จรรย์ใจ
แตก่ ่อนดูนี่สกุ ใสดว้ ยสีทอง ว่าเกดิ อะไรขน้ึ กับกณั หาชาลี
เสยี งเน้อื นกนรี่ ่ารอ้ งสาราญรังเรียก สงิ หส์ ัตวท์ รี่ ้ายแรงคะนองฤทธ์ิมาพาน
คู่คูขยบั ขัน
ทง้ั จักจ่ันพรรณลองไนเรไรรอ้ งอยู่ พบขบกดั ตัดชีวติ พระลกู ขา้ พาไปกิน
หรง่ิ ๆ ระเรอื่ ยโรย
เปน็ อาหารถึงกระนัน้ กจ็ ะพบพานซง่ึ
ระเรื่อย = อัพภาส
กเลวระรา่ ง มเิ ลอื ดก็เน้อื จะเหลอื อยู่
ใชพ้ ยัญชนะพยางค์ทา้ ยมาเตมิ รูปสระ อะ
พยางคห์ น้า บ้างสกั ส่งิ อัน ซากศพ
อุปมา
อัพภาส สทั พจน์
คาถามตามรอยพระเวสสันดร อปุ มาเหมือนคนไข้หนักแล้วมหิ นา
ยังแพทยเ์ อายาพิษมาวางซ้าใหเ้ วทนา
8.เมอื่ ถามพระเวสสันดร
แลว้ ไม่ไดค้ าตอบ เมอื่ แรกจากไอศวรรย์มาอยู่ดงก็ปลง
พระนางมัทรีตดั พ้อเปรยี บเทียบ
ว่าอยา่ งไร จิตมไิ ดค้ ดิ จติ เป็นสอง หวังวา่ จะ
เปน็ เกอื กทองฉลองบาทยคุ ลทงั้ คู่
นางกเ็ ศร้าสรอ้ ยสลดพระทยั
ด่งั เอาเหลก็ แดง แห่งพระคุณผัวกว่าจะสน้ิ บญุ
มาแทงใจใหเ้ จ็บจติ น่เี หลือทน
ท้ังลูกรักดังแก้วตากห็ ายไป....
อุปมา อุปลักษณ์
อุปมาเสมือนหน่งึ พฤกษา
ลดาวลั ยย์ ่อมจะอาสญั ลง
เพราะลกู เป็นแท้เทยี่ ง
คาถามตามรอยพระเวสสันดร มีท่ีมาจากการสงั เกตธรรมชาติ
สานวน ของตน้ ไมบ้ างชนดิ เช่น ตน้ กล้วย
ต้นไมต้ ายเพราะลูก
ท่ีเมือ่ มีลูกแลว้ ต้นกลว้ ยก็ไม่เจรญิ อกี
ต่อไป รอวนั ตาย
เช่นเดยี วกบั พอ่ แม่ทร่ี กั ลกู มาก
ถา้ ลูกได้รับความเดอื ดร้อน
หรอื เป็นอนั ตราย พ่อแม่ก็จะได้รับ
ความทุกข์ความเดอื ดรอ้ นเพราะลกู ดว้ ย
เปรียบกบั ต้นไมท้ ีต่ ายเพราะลกู
คาถามตามรอยพระเวสสันดร ชมโฉม (เหมอื นจะประชดกลาย ๆ)
9. พระเวสสนั ดรตรสั ในลกั ษณะใด “เจา้ ผ้มู พี ักตร์อนั ผดุ เสมือนหนง่ึ เอานา้ ทอง
จึงทาให้พระนาง เขา้ มาทาบทบั ประเทืองผิว ราวกะว่าจะลอย
ลว่ิ เล่อื นลงจากฟากฟา้ ”
คลายโศกเพราะเจ็บใจ
จะน่งั นอนเดนิ ยืนกต็ อ้ งอยา่ ง พรอ้ ม
ถึงแมน้ มิตรัสแกน่ างมัง่ จะมเิ ป็นการ
ดว้ ยเบญจางคจริต รปู จาเริญ
จาจะเอาโวหารการหงึ
เขา้ มาหักโศกใหเ้ สอื่ มลง ประกอบไปด้วยเชือ้ ศักดส์ิ มมตุ ิวงศ์
พงศ์กษตั รา
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร เบญจางคจรติ
หญงิ ท่ีมลี กั ษณะงาม 5 ประการ
❖ผมงาม
❖เน้อื งาม (เหงือกและริมฝีปากแดง)
❖ฟนั งาม
❖ผิวงาม
❖วัยงาม (งามทุกวัย)
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร พระเวสสนั ดรใชโ้ วหารเชิงตัดพ้อ
และเสียดสีว่า
สรปุ : “เมือ่ เช้าทาทเี ปน็ ลลี ารอ้ งไห้
ฝากลูกไวไ้ มอ่ ยากเข้าไปในปา่ “เออน่ีเจ้าเท่ียวพเนจรนอนตามสนุกใจ
แต่พอไปแล้วเหมอื นกบั วา่ จะลืมท้งั ชมนกชมไม้ในไพรวันสารพนั ท่ีจะมี
ลูกทงั้ ผัวไปสิน้ ถ้ารักลกู จริง ๆ ทัง้ ฤาษสี ิทธ์ิวิทยาธรคนธรรพ์
คงจะรีบกลับมาก่อนจะเยน็ คา่ แลว้ เทพารักษ์ผูม้ พี ักตร์อันเจรญิ
เห็นแล้วก็นา่ เพลิดเพลนิ
ไม่เมินได้ หรือเจ้าปะผลไมป้ ระหลาด
รสสดสุกทรามเสวยไมเ่ คยกิน
เจา้ ฉวยชิมชอบล้นิ กห็ ลงฉนั อยจู่ งึ ชา้ ”
คาถามตามรอยพระเวสสันดร คนธรรพ์ วทิ ยาธร
ท้ังฤาษีสทิ ธิว์ ทิ ยาธรคนธรรพ์ ถนัดด้านศลิ ปะ มเี วทมนต์
เทพารักษ์ ดนตรี การละคร คาถา อาคม
ผมู้ พี กั ตร์อนั เจริญ
วรรณกรรม ต่าง ๆ
ฤาษี โยคี = สทิ ธิ์ กวนี พิ นธ์ เหาะได้
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร
ในวเรรอื่ รงณมคหดา ี
เรวสอื่ งสอนั ืน่ ดๆร
อปุ มาเสมอื นหนึง่ ภมุ รินบินวะว่อน ผู้ชหาญยงิ
เท่ียวซบั ซาบเอาเกสรสคุ นธมาเลศ ผชู้หาญยงิ
พบดอกไม้อนั วิเศษตอ้ งประสงค์
หลงเคลา้ คลงึ รสจนลมื รัง ภุมริน = ผึง้ ,แมลงภู่
เปรยี บพระนางมัทรีเรมิ่ ตน้ ความสมั พนั ธ์
ให้ท่าผู้ชายกอ่ น แรงมากแม๊!
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร มทั รนี เี้ ป็นขา้ เกา่ แตก่ ่อนมา
ดั่งเงาตามพระบาทากเ็ หมือนกนั
10. หลงั จากที่พระนางมทั รี
“ความโศกสรา่ งสวา่ งจิตเพราะเจบ็ ใจ” อุปมาแม้นเหมือนสีดาอันภกั ดตี ่อ
กเ็ ลา่ เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ทพี่ บเจอแปลก สามีรามบณั ฑิต
ประหลาดในปา่ จากนั้นกต็ ดั พ้อนอ้ ยใจ
พระเวสสันดรพร้อมกบั เปรียบเทียบ
ตัวเองวา่ อย่างไรบา้ ง
แสดงวา่ ชว่ งนั้น
(สมัยรตั นโกสนิ ทร)์
มรี ามเกยี รติ์แล้ว
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร ธรรมชาตริ อบตวั ดเู งียบเหงานา่ หดหูใ่ จ
11. เมอื่ พระนางมทั รีเดิน สระโบกขรณี (สระบัว) ทีเ่ คยมีนา้ เตม็
ทางเข้าป่า กวไี ด้พรรณนาภาพ เปยี่ ม กลับแห้งเหอื ดขนุ่ หมอง
ธรรมชาติที่แปลกประหลาด
ไปจากเชน่ เคยไวอ้ ยา่ งไรบ้าง แต่กอ่ นเคยมลี มพัดกลน่ิ ดอกบัวมา
หอมชนื่ ใจ ยามนีก้ ลับไมห่ อมดงั เดมิ
เคยมีปลาแหวกวา่ ยในสระ ตอนน้ีไม่มี
เคยมีนกเทย่ี วไลจ่ กิ หาอาหาร
แต่ยามนีก้ ็ไม่มี
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร พระเยาวมาลย์เธอเทยี่ วหาพระลกู
พระนางเธอเสวยทุกข์แสนเข็ญ ตง้ั แต่
12. พระนางมัทรเี ทย่ี วเดนิ ทาง ยามเยน็ จนรงุ่ เชา้ กส็ ดุ ส้ินที่จะเทยี่ ว
ตามหากณั หาและชาลี ค้น ทุกตาแหน่งแหง่ ละสามหนเธอ
เปน็ ระยะเวลานานเท่าใด เที่ยวหา ถ้าจะคลค่ี ลายมรคา
และไกลเพียงไหน
กไ็ ดส้ บิ หา้ โยชนโ์ ดยนิยม
1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร
15 โยชน์ = 240 กโิ ลเมตร
คาถามตามรอยพระเวสสันดร มัชฌมิ ยาม ปจั ฉมิ ยาม
ปฐมยาม
มองเห็น “กระจ่างแจ้งด้วยแสงพระจันทร์
สอ่ งสว่างพ้ืนอมั พรประเทศวิถี”
เดนิ ตง้ั แต่ “ประถมยาม” ถึง “ปัจจุสมยั ”
ตง้ั แตย่ ามเยน็ จนรุง่ เชา้ กส็ ดุ ที่จะเทย่ี วค้น
ตาแหนง่ ละสามหนเธอเท่ยี วหา
การแบ่งเวลาแบบบาลี
ประถมยาม,ปฐมยาม = 18.00-22.00 น.
มัชฌิมยาม = 22.00-02.00 น.
ปจั ฉมิ ยาม = 02.00-06.00 น.
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร v = อัตราเร็ว m/s
s = ระยะทาง m = 240x1000 = 240000 m
พระนางมทั รเี ดนิ ดว้ ยอัตราเร็ว t = เวลา s = 10x60x60 = 36000 s
เทา่ ไร?
240000
เวลา ~ 10 ชัว่ โมง (20.00-06.00 น.) = 36000
15 โยชน์ = 240 กโิ ลเมตร = 6.7 /
v = อัตราเร็ว m/s สาหรบั มนุษย์ อตั ราเรว็ ของ การเดนิ ของมนุษยอ์ ยูท่ ี่ประมาณ
= s = ระยะทาง m ~5 km/h, 1.39 m/s
t = เวลา s การวงิ่ การจ้อกกิง้ เฉล่ยี อยทู่ ่ปี ระมาณ ~10 km/h, 2.7 m/s
การข่ีจกั รยาน ~20 km/h, 5.56 m/s
คาถามตามรอยพระเวสสันดร 14.เมื่อพระเวสสนั ดรกาลังเศร้าโศกด้วยเขา้ ใจผดิ
กวใี ช้อปุ มาโวหารเปรียบเทยี บอยา่ งไรบา้ ง
13. เมอื่ พระนางมัทรกี ลบั มา
ท่อี าศรมแลว้ สลบไป พระเวสสันดร เอาป่าชฏั เป็นป่าชา้
คดิ ว่าเกิดสิง่ ใดข้ึนกับพระนางมัทรี
เอาศาลาเปน็ พระเมรุทอง
ตรัสทอดพระเนตรเหน็ พระอคั เรศ เอาเสียงนกมาเป็นเสียงกลอง
ถงึ วิสัญญีภาพสลบลงวนั นั้น เอาเสียงจักจัน่ เป็นเสยี งแตรสงั ข์
พระทัยท้าวเธอสาคัญวา่
พระนางเธอวางวาย เอาเมฆหมอกก้นั เปน็ เพดาน
อปุ ลักษณ์ เอานกยูงมาเป็นฉตั รเงินฉตั รทอง
เอาแสงจนั ทร์เปน็ แสงโคมไฟ
คาถามตามรอยพระเวสสันดร พระนอ้ งแกว้ เจ้าอย่าโศกศัลย์
จงต้ังจติ ของเจา้ นนั้ ให้โสมนสั
15. เมื่อพระนางมัทรีฟืน้ และ ศรทั ธา ในทางอันก่อกฤษดาภนิ ิ
หารทานบารมี แลว้ ปลอบว่า
รับรู้วา่ พระเวสสันดรยกกัณหา ถ้าเราท้ังสองนีย้ ังมชี วี ิตสบื ไป
ชาลีใหแ้ ก่ชชู กไปแลว้ อนั สองกมุ ารนไี้ ซร้
พระเวสสันดรไดก้ ลา่ วส่งิ ใด กค็ งจะได้พบกันเป็นมั่นแม่น
ให้พระนางมทั รชี ่วยอนโุ มทนา
คาถามตามรอยพระเวสสันดร ถ้าแม้นมบี คุ คลใด
ปรารถนาเนอ้ื หนังมัง
16. ถา้ มีผมู้ าขออวัยวะ สังโลหิตดวงหทยั
เน้ือหนงั มงั สาหรอื ดวงตา นยั เนตรท้ังซา้ ยขวา
จากพระเวสสนั ดร พก่ี ็จะแหวะผา่ ใหเ้ ปน็
พระองค์จะทาอย่างไร ทานไม่ยอ่ ท้อถงึ เพยี งน้ี
อยากให้อัชฌตั ติกทานแกผ่ ้อู นื่ ด้วย
= อยากให้ทานภายใน อวัยวะ ฯลฯ
คาถามตามรอยพระเวสสนั ดร ... ฝา่ ยฝูงอมรเทเวศทกุ วิมานมาศ
มนเทยี รทุกหมู่ไมก้ ็ยิม้ แย้ม
17. เมอื่ พระนางมัทรีทราบ พระโอษฐ์ตบพระหัตถอ์ ยู่ฉาดฉาน
ความทงั้ หมด พระนางทา รอ้ งสาธุการสรรเสริญเจรญิ ทาน
อย่างไรกบั พระเวสสันดร บารมี ท้งั สมเดจ็ อมรนิ ทร์เจา้ ฟา้
สุราลยั อันเป็นใหญ่ในดาวดึงส์
ขออนโุ มทนา สวรรค์ก็มาโปรยปรายทิพย
ด้วยปยิ บุตรทานบารมี บปุ ผากรอง ท้ังพวงแก้ว
และพวงทองก็โรยร่วง
จากกลับเมฆกระทาการสักการบชู า
แกส่ มเด็จนางพระยามัทรี
มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑ์มัทรี
สะทอ้ นคดิ วรรณคดีเรื่องนใี้ หอ้ ะไรเราบา้ ง?
คา่ นิยมและสังคมสมัยโบราณ
วิเคราะห์คุณค่า
ด้านสังคม ➢ สะทอ้ นให้เหน็ ค่านยิ มของการบรจิ าคทานทาบญุ
เพื่อหวังบรรลุในมรรคผลนพิ พาน
➢ สะทอ้ นภาพความเป็นอย่ใู นชวี ติ ชนชั้นตา่ ง ๆ ใน
สังคมการละเลน่ ของเดก็ สภาพของการเปน็ ทาส
➢ อานาจการตัดสนิ ใจภายในครอบครัว
➢ ความเชอ่ื เรอื่ งลางบอกเหตุ อานาจเทพยดาฟา้ ดนิ
การทานายฝัน
➢ “การเป็นภรรยาทดี่ ีของสาม”ี
➢ “ความรักอนั ยิ่งใหญ่ของแมท่ ม่ี ีตอ่ ลูก”
มคี า่ นิยมใดที่ในปจั จบุ ัน
ได้เปลีย่ นไปแล้วบ้าง?
ลองเขียนแสดงความคดิ เห็นกบั คา่ นิยม
เหลา่ นี้..เปน็ อย่างไรในปัจจบุ ัน
(เลอื ก 1 ประเดน็ เขียนสรปุ ในสมดุ สะทอ้ นคดิ )
➢ มุมมองเรือ่ งลกู และภรรยาเป็นสมบัติของสาม?ี
➢ สามีมอี านาจกว่าภรรยา?
➢ ภรรยาตอ้ งเป็นคนทคี่ อยดูแลลกู
และดแู ลสามี?
นสิ ยั ตัวละคร?
ขอ้ ดี / ขอ้ เสยี
ส่งิ ทคี่ วรเรียนรเู้ พ่ือนามาเปน็ แบบอย่าง
(เลือกตวั ละคร 1 ตวั จากเรื่อง เขยี นสรปุ ในสมุดสะท้อนคิด)
วเิ คราะห์คุณคา่
ดา้ นวรรณศลิ ป์ ➢ ใชภ้ าษาสละสลวย สรรคา
หลากคาสะเทือนอารมณ์
➢ ใช้โวหารในการพรรณนาอยา่ งเศร้าโศก
➢ มเี สียงเสนาะท่เี กิดจากการเลน่ เสยี ง เลน่ คา ซ้าคา
เช่น กส็ ดุ สิ้นสดุ ปัญญาสดุ หาสดุ ค้นเหน็ สุดคดิ
ใช้ภาพพจนต์ ่าง ๆ ในการพรรณนาอย่างกินใจ
อาทิ อปุ มา อปุ ลกั ษณ์ อติพจน์ สัทพจน์ บคุ คลวตั
อัพภาส
วิเคราะห์คุณค่า
ดา้ นวรรณศิลป์ ➢ อุปมา (เปรยี บ เหมือน ดงั่ ) : เจอเยอะมาก!
“อุปมาแมน้ เหมอื นสดี าอันภักดีตอ่ สามรี ามบัณฑติ ”
“นางกเ็ ศร้าศรอ้ ยสลดพระทัย
ด่ังเอาเหล็กแดงมาแทงใจใหเ้ จ็บจิตน่เี หลอื ทน”
“ปานประหนง่ึ วา่ พุ่มฉัตรทองอนั ต้องสายอัสนฟี าด”
➢ อุปลักษณ์ (เปรียบ เป็น คอื )
“เจา้ ชะเอาปา่ ชฏั นห่ี รือมาเปน็ ป่าช้า เอาพระบรรณศาลา
น่ีหรอื เป็นบริเวณพระเมรุทอง ...”
วิเคราะห์คุณค่า
ดา้ นวรรณศิลป์ ➢ อติพจน์ (โอเวอร)์
“ประหลาดแลว้ แลไมเ่ หน็ ก็ใจหาย
ดัง่ ว่าชีวติ นางจะวางวายลงทนั ที” > เกินจรงิ !
➢ สัทพจน์ (จา สัท = sound = เสยี ง)
“ท้ังจกั จัน่ พรรณลองไนเรไรรอ้ งอยู่หรงิ่ ๆ ระเรอ่ื ยโรย”
“แต่ยา่ งเหยยี บเกรียบกรอบกเ็ หลยี วหลงั ”
➢ อพั ภาส ใชพ้ ยัญชนะพยางค์หลังมาเตมิ รปู สระอะพยางค์หนา้
เชน่ ผะผา่ ว ระเรือ่ ย วะหวดี ตระตรากตระตรา
แตไ่ ม่ใช่มีสระอยู่แลว้ เชน่ ละเลิง ระเรงิ
วเิ คราะหค์ ุณค่า
ดา้ นวรรณศลิ ป์ ➢ บุคคลวัติ (บุคลาธษิ ฐาน)
สิ่งไมม่ ีชวี ิตแสดงอาการเหมอื นมชี ีวติ
“ทง้ั อาศรมกห็ มองศรีเสมอื นหนง่ึ วา่ จะเศร้าโศก”
➢ สญั ลกั ษณ์ (เรยี กแทนส่งิ หน่ึงดว้ ยอีกส่งิ )
“เจ้าดวงมณฑาทองทั้งคู่ของแม่เอย๋ ”
“โอเ้ จ้าดวงสุรยิ นั จนั ทรทงั้ คขู่ องแม่เอย่ ”
พระนางมทั รี เรียกแทนเป็น พระกณั หาและพระชาลี
วเิ คราะหค์ ณุ คา่
ดา้ น ➢ บคุ คลวัต,บุคลาธิษฐาน
วรรณศิล
(ส่งิ ไมม่ ีชวี ติ เหมอื นมีชวี ติ )
ป์
โ➢ศ“กท”ส้งั อญั าศลรักมกษห็ ณมอ์ ง:ศเปรีเรสียมือบนเทหนยี ึ่งบว่าโจดะเยศใรชา้ ค้ า
อน่ื เรียกแทน
“โอ้เจา้ ดวงสรุ ิยนั จันทรท้ังคขู่ องแมเ่ อย่ ”
“เจา้ ดวงมณฑาทองทั้งคู่ของแมเ่ อ๋ย”
หมายถึง กัณหาและชาลี