The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

“ภูมิไทยชุดไทย” เครื่องแต่งกายของชนเผ่ากะเหรี่ยง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Khankaew Rtavlx, 2024-04-19 06:04:25

“ภูมิไทยชุดไทย” เครื่องแต่งกายของชนเผ่ากะเหรี่ยง

“ภูมิไทยชุดไทย” เครื่องแต่งกายของชนเผ่ากะเหรี่ยง

รายงานผลการวิจัย “ภม ู ิไทยช ุ ดไทย” กรณีศึกษา เร ื่องเคร ื่องแตง่กายของชนเผ่ากะเหร ี่ยง (ปกาเกอะญอ) โดย กองเลขา เคร ื อข่ายกะเหรย ี่งเพอ ื่วัฒนธรรมและส ิ่งแวดล ้ อม (กวส.) สมาคมศ ู นยร ์ วมการศ ึ กษาและวัฒนธรรมของชาวไทย ภ ู เขาในประเทศไทย (ศ.ว.ท.) กันยายน 2548


ค ำน ำ คณะวิจัยขอขอบพระคุณผู้รู้ ผู้อาวุโส และชาวบ้านห้วยส้มป่ อยที่มีส่วนส าคัญในการให้ ข้อมูลองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของชนเผ่าปกาเกอะญอ จน สามารถเรียบเรียง และเขียนออกมาเป็นรายงานที่ก่อเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาเรียนรู้ ที่ จัดท าโดยลูกหลานชนเผ่าปกาเกอะญอกันเอง โดยเน้นรายละเอียดการแต่งกายของชนเผ่า ปกาเกอะญอ คณะผู้วิจัยขอขอบพระคุณส านักงานคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติที่ให้การ สนับสนุนในงานวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยขอขอบพระคุณ ดร.ประยุทธ วงศ์แปง ที่เป็นผู้ประสานงานหลักในการวิจัยและ ขอขอบคุณเพื่อนร่วมงานในสมาคม IMPECT ทุกท่านที่มีส่วนช่วยเหลือให้การวิจัยครั้งนี้มีความ สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และในโอกาสนี้คณะผู้วิจัยขอบอกว่างานวิจัยครั้งนี้มีจุดอ่อนอีกมากมายหากที่ ได้ศึกษาเห็นจุดที่ตกหล่น บกพร่อง แล้วเสนอแนะมาคณะผู้วิจัยมีความยินดี และน้อมรับอย่างสุด ซึ้ง คณะผู้จัดท า กันยายน 2548


สำรบัญ เรื่อง หน้ำ บทที่ 1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ 2 ระเบียบวิธีการวิจัย 2 บทที่ 2 สภาพทั่วไปของชุมชนที่ศึกษา 4 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับชนเผ่าปกาเกอะญอ 4 ประวัติความเป็นมา 6 ประชากร 6 เครื่องแต่งกาย 7 ถิ่นที่อยู่อาศัยและสภาพทั่วของหมู่บ้าน 7 ข้อมูลสภาพทั่วไปเกี่ยวกับชุมชนที่ศึกษา 10 บทที่ 3 ผลการวิจัย 14 ประวัติศาสตร์ ต านานเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย 14 ความหมายของเครื่องแต่งกาย 14 การจ าแนกเครื่องแต่งกายของชนเผ่าปกาเกอะญอ 14 แหล่งที่มาของวัตถุดิบและขั้นตอนการท า 16 ความเชื่อเรื่องสีของเครื่องแต่งกาย 17 วิธีการคัดเลือกสี วัตถุดิบการย้อมสี 17 การมัดหมี่ 18 การสร้างแบบเครื่องแต่งกาย 19 อุปกรณ์การทอผ้า 19 ขั้นตอนการทอผ้า(บึ ต่า และ ทา ต่า ) 20 การตัดเย็บผ้า 21 แรงบันดาลใจและการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกาย 22 การสืบทอด ถ่ายทอดเครื่องแต่งกาย 22 ข้อห้ามเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายชนเผ่าปกาเกอะญอ 23 ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องแต่งกายกับธรรมชาติ 23


หน้ำ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของชนเผ่าปกาเกอะญอ ในอนาคต 23 การคงอยู่และการรื้อฟื้นให้คงอยู่ของเครื่องแต่งกาย 23 บทที่ 4 บทสรุปและข้อเสนอแนะ 25 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้วิจัย ก ภาคผนวก ข รายชื่อผู้รู้ ข บรรณานุกรม ค


1 บทที่1 : บทน ำ 1.1 ควำมเป็ นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ ชนเผ่าปกาเกอะญอเป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่มีประวัติศาสตร์การอาศัยอยู่กับป่ าของประเทศไทย และบริเวณใกล้เคียงที่ยาวนานมีการเรียนรู้ พึ่งพา และใช้ธรรมชาติโดยตรงมีด ารงเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณีที่เข้มแข็ง ในอดีตผู้รู้ ผู้อาวุโส มีบทบาทส าคัญ ในการปกครองชุมชน การ ทรัพยากรธรรมชาติ และถ่ายทอดการเรียนรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ในส่วนเด็กและเยาวชนเป็นผู้เรียนรู้ และสืบทอด เมื่อระยะเวลาผ่านมาประมาณ 70-80 ปีชาวปกาเกอะญอเริ่มมีการสัมพันธ์กับ บุคคลภายนอกมากขึ้นโดยผ่านระบบการค้าขาย การติดต่อกับราชการ ซึ่งในช่วงนี้ถือว่าชุมชนปกา เกอะญอโดยส่วนใหญ่ยังเป็นชุมชนปิดจนถึงระยะเวลา30ปีลงมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และการศึกษา ท าให้สังคมปกาเกอะญอต้องมีการ ปรับตัวให้เท่าทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว และสัมพันธ์กับสังคมใหญ่อย่างเต็มตัว ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ และวิทยาการต่างๆที่มุ่งไปข้างหน้านั้นได้เบียดบังกระแส วัฒนธรรมย่อยของชนเผ่าชาติพันธ์ต่างๆ โดยเฉพาะสังคมปกาเกอะญอในระยะ 15 ปีมานี้ถือเป็น วิกฤตที่น่าเป็นห่วงเด็กหลงลืมวัฒนธรรมชนเผ่าปกาเกอะญอโดยรูปแบบการแต่งกาย ภาษา อาชีพ การตามวัตถุนิยม จนผู้เฒ่า ผู้อาวุโสในชุมชนปกาเกอะญอ ร่วมกับเจ้าหน้าสมาคมศูนย์รวม การศึกษาและวัฒนธีฃรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย(ศวท.)ได้มีการจัดเวทีเพื่อวิเคราะห์ สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น จนน าไปสู่การประสานงานหน่วยงานการศึกษาของรัฐร่วมกันพัฒนา หลักสูตรท้องถิ่นโดยให้ชุมชนเข้ามาสอนความรู้ท้องถิ่นในโรงเรียน การจัดค่ายวัฒนธรรมชุมชน การ เรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้านตามโรงเรียน ชุมชน เครือข่ายลุ่มน ้าต่างๆในพื้นที่ชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่ และในต้นเดือนกรกฎาคม 2548 ทางสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทย ภูเขาในประเทศไทย(ศวท.) และเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยการสนับสนุนจากส าส านักงานคณะกรรมการสภาวัฒนธรรม แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ท าการวิจัยในหัวข้อเรื่อง”ภูมิไทย ชุดไทย” โดยศึกษาชุดการแต่งกายของ แต่ละชาติพันธุ์ทั้งหมด 11 ชาติพันธุ์ซึ่งแต่ละชาติพันธุ์มีการศึกษาประเด็นเจาะลึกของชาติพันธุ์ตนเอง ในส่วนของเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมได้เลือกศึกษาพื้นที่หมู่บ้านป กากอะญอในจังหวัดเชียงใหม่ที่ยังมีเครื่องการแต่งกายที่ที่เข้มเข็งโดยใช้นักวิจัยหลักที่เป็นลูกหลาน ชาวปกาเกอะญอ และมีนักวิจัยชาวบ้านที่ให้ข้อมูลระดับพื้นที่ เพื่อค้นหาความเป็นอัตตลักษณ์ สิ่งที่สื่อ และบ่งบอกถึงการเป็นชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยผ่านการแต่งกายต่อไป


2 1.2 วัตถุประสงค์ 1.2.1 วัตถุประสงคท์่ัวไป 1. เพื่อศึกษาวัฒนาการแต่งกาย เอกลักษณ์เครื่องแต่งกายของชนเผ่าต่าง ๆ จ านวน 11 ชาติ พันธุ์ (ไทลื้อ ไทใหญ่ ไทเขิน ไทยวน ปกากอะญอ ม้ง ลาหู่ ลีซู เมี่ยน อาข่า ลัวะ) 2. เพื่อน าความรู้เรื่องรูปแบบวัฒนธรรมการสร้างสรรค์และการบริโภคชุดเครื่องแต่งกายของ แต่ละชาติพันธุ์ในข้อ 1 มาจัดท าฐานข้อมูลรูปแบบโครงสร้าง (Pattern) ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ออกแบบ (CAD) ส าหรับประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ชุดเครื่องแต่งกายไทยในขั้นต่อไป 3. การแต่งกายในความหมายทางสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม 1.2.2 วัตถุประสงค์เฉพำะ 1. เพื่อศึกษาระบบองค์ความรู้ กระบวนการ สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของชนเผ่าป กาเกอะญอ โดยผ่านเครื่องแต่งกาย 2. เพื่อศึกษาการแต่งกายในแต่ละยุค และแนวโน้มการปรับตัว การรื้อฟื้นเครื่องแต่งกายของ ชนเผ่าปกาเกอะญอในอนาคต 1.3 ระเบียบวิธีกำรวิจัย ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เพื่อได้มาซึ่งข้อมูลที่ครอบคลุมเนื้อหาและน าไปสู่การวิเคราะห์ที่ถูกต้อง คณะผู้วิจัยได้มีการวางแผน และจัดกระบวนการวิจัยดังรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. สร้างกรอบการท าความเข้าใจ และวางแผนการลงพื้นที่หลังจากที่มีการคัดสรรคณะผู้วิจัย แล้วคณะผู้วิจัยได้มีการท าความเข้าใจ และวางแผนเกี่ยวกับโครงการวิจัยกระบวนการวิจัยตลอดทั้ง กระบวนการ พร้อมทั้งมีการแบ่งบทบาทหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละคน การคัดเลือกพื้นที่ท าวิจัย ช่วงเวลาการจัดเก็บข้อมูล การบันทึกข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนรายงาน เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 2. การเตรียมตัว คณะผู้วิจัยได้สร้างกรอบเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลภาคสนาม เช่น แนวค าถาม แบบสอบถาม สมุดบันทึกและการวางแผนเนื้อหาข้อมูลเครื่องมือที่ใช้ในแต่ละช่วง 3. จัดเก็บข้อมูลภาคสนาม 1) การนัดหมายชุมชน


3 คณะผู้วิจัยทั้งหมดเป็นชนเผ่าปกาเกอะญอ และท างานในพื้นที่การท างานมาก่อน การนัดหมายชุมชนและการท าความเข้าใจโครงการวิจัยจึงเป็นการง่ายและเป็นสิ่งที่ชุมชนก าลังให้ ความสนใจ ในเบื้องต้นคณะผู้วิจัยชุมชนได้ผ่านแกนน า สื่อสารทางโทรศัพท์ 2) การจัดเก็บข้อมูล คณะผู้วิจัยได้ด าเนินการจัดเก็บข้อมูลออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่ 1 เป็นการจัดเก็บข้อมูลดิบ โดยใช้ทั้งการสัมภาษณ์กลุ่ม ตัวแทนแม่บ้าน เยาวชน ผู้ อาวุโสชายหญิง จ านวน 2 ครั้ง สัมภาษณ์รายบุคคล โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่มีความรู้เกี่ยวกับ การแต่งกายของชนเผ่าปกาเกอะญอ ในกรณีที่ผู้ให้ข้อมูลยังให้ข้อมูลไม่จบ แต่ยังต้องการเนื้อเชิงลึก คณะผู้วิจัยได้นัดหมายเพื่อสัมภาษณ์เพิ่มเติมนอกเวลา นอกจากนั้นคณะผู้วิจัยได้สังเกตรูปแบบการ แต่งกายของคนในชุมชน ลวดลายผ้า การทอผ้าและวัสดุอุปกรณ์ในการทอผ้าที่มีอยู่ในชุมชน ช่วงที่ 2 เป็นการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากที่มีการเขียนและตรวจสอบข้อมูลเนื้อหาที่ ขาด คณะผู้วิจัยได้เข้าไปสัมภาษณ์ผู้รู้เพิ่มเติม 4. การจัดบันทึกข้อมูล การบันทึกข้อมูลในกรณีที่เป็นเนื้อหาบรรยายทีมผู้วิจัยใช้สมุดบันทึก ส่วนที่เป็น สุภาษิต บทกลอน มีการบันทึกโดยการอัดเทปและส่วนที่เป็นกระบวนการท า มีการบันทึกโดยการ ถ่ายภาพ หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้จัดพิมพ์ข้อมูลลงใน word 5. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล คณะผู้วิจัยได้แบ่งช่วงการวิเคราะห์ออกมาเป็น 3 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่ 1 ในระหว่างที่มีการเก็บข้อมูลภาคสนาม คณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบเนื้อหา ความถูกต้อง ร่วมกับชุมชน ช่วงที่ 2 หลังจากที่มีการจัดพิมพ์ข้อมูล คณะผู้วิจัยได้มีการวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูล เพื่อยืนยันความถูกต้องร่วมกัน ก่อนที่จะน าข้อมูล น าเสนอต่อผู้รู้เกี่ยวกับการแต่งกายของชนเผ่าปกา เกอะญอ ช่วงที่ 3 เป็นการตรวจสอบข้อมูลอย่างมีส่วนร่วม เพื่อยืนยันความถูกต้องร่วมกับผู้รู้ รวมถือ นักพัฒนาชุมชนชนเผ่าปกาเกอะญอที่มีความเชี่ยวชาญ 6. เขียนรายงานวิจัย เมื่อข้อมูลผ่านการวิเคราะห์แล้ว คณะผู้วิจัยได้ยกร่างการเขียนรายงานตาม โครงสร้างงานวิจัยแล้วมีการร่วมกันตรวจสอบและจัดปรับเนื้อหาให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น


4 บทที่ 2 : สภำพท่วัไปของชุมชนทศี่ึกษำ จากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้เลือกหมู่บ้านปกาเกอะญอ เขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ ยังคงสภาพการเครื่องแต่งกายที่เข้มแข็ง พร้อมทั้งมีการรื้อฟื้นเครื่องแต่งกายที่มีความโดดเด่นปรากกฎ ให้เห็น และคณะผู้วิจัยสามารถเข้าถึงข้อมูลโดยเริ่มแรกได้น าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าปกาเกอะญอ ทั่วไป และข้อมูลเฉพาะ ข้อมูลพื้นที่ ๆ ศึกษาเพื่อประกอบความเข้าใจขั้นพื้นฐานที่จะน าไปสู่ความ เข้าใจในประเด็นการวิจัย 2.1 ข้อมูลท่ัวไปเกี่ยวกับชนเผ่ำปกำเกอะญอ ข้อมูลเกี่ยวกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ภาคเหนือของประเทศไทยประกอบด้วยภูเขาสูงๆ สลับ กับหุบเขาซึ่งเป็นที่ราบแคบ มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 170,106 ตารางกิโลเมตร หรือ 106,073,750 ไร่ นับเป็น ประมาณร้อยละ 33.16 ของเนื้อที่ทั้งประเทศ แยกส่วนการปกครองเป็น 17 จังหวัด 147 อ าเภอ 20 กิ่ง อ าเภอ ภาคเหนือมีประชากรใน พ.ศ. 2531 รวมทั้งสิ้น 10,872,752 คน (ขจัดภัย บุรุษพัฒน์, 2540) มีนักวิชาการ และผู้ที่ให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ โดยภาพรวมไว้ หลายท่าน เช่น เอกสารการรวบรวมข้อมูลชาติพันธุ์ปกาเกอะญอของขจัดภัย บุรุษพัฒน์ นักวิชาการ ฝ่ายรัฐ เขียนไว้ว่าคนไทยในภาคกลางเรียกว่า “กะเหรี่ยง” พม่าเรียกว่ากะยิน (Kayin) ส่วนคน พื้นเมืองในภาคเหนือ และชาวไทยใหญ่เรียกว่า ยาง ส่วนชาวยุโรปเรียกว่า Karen เป็นต้น ค าต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่คนอื่นเป็นผู้เรียก ในส่วนค าที่ใช้เรียกตนเองในกลุ่มของแต่ละกลุ่มจะมีค าเรียกที่ แตกต่างกัน เช่น กลุ่มโปว์ เรียกตนเองว่า”โพล่ง” เรียกจะกอว่า”เชี่ยง” หรือ “ซู่ ” กลุ่ม”จะกอ” เรียก ตนเอง และเรียกชาวปกาเกอะญอทุกกลุ่มโดยรวมว่า ”ปกาเกอะญอ” ซึ่งแปลว่า “คน” และเรียกชาว โพล่งว่า”โป่ ว์”เป็นต้น นักวิชาการได้แบ่งชนชาติปกาเกอะญอออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้ 1) กะเหรี่ยงสะกอ (Skaw Karen) หรือ “จะกอ” ตามวิธีการออกเสียงของชาวปกาเกอะญอ จะกออาศัยอยู่มากในจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ล าปาง เชียงราย ตาก และก าแพงเพชร 2) กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo Karen) คนไทยเรียกว่ายางโปว์ พม่าเรียกว่าตาเลียงกะยิน (Taliang Kayin) อาศัยอยู่ในอ าเภออมก๋อย อ าเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และในจังหวัดล าพูน กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี อุทัยธานี 3) กะเหรี่ยงบเว (B’ghwe Karen) ชาวปกาเกอะญอเรียกว่า “แบร์” กลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า กะยา (Ka-Ya) คนไทยเรียกว่ายางแดง ค าเดิมของชาวพม่าเรียกว่าคายินนี (Kayin-ni) แต่สมัยใหม่ เรียกเป็นคะยา (kayah) ชาวอังกฤษเรียกคาเรนนี (Karen-ni) ซึ่งเอาแบบชื่อที่ชาวพม่าเรียกซึ่งกลุ่มนี้ อาศัยอยู่ในประเทศพม่า


5 4) กะเหรี่ยงตองสู้หรือปะโอ (Pa-o) คนไทยและพม่าเรียกว่าตองตู (Taungthu) ชาวไทยใหญ่ เรียกว่าตองซู (Tong-Su)กลุ่มนี้เรียกตนเองว่า ต่อสู่ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพม่าเช่นกัน ภาษา ชาวปกาเกอะญอแต่ละกลุ่มมีภาษาพูดที่แตกต่างกัน พื้นฐานของภาษายังไม่เป็นที่ ทราบแน่นอน บางแห่งบอกว่ามาจากต้นตระกูลจีน-ธิเบต คือชาวกาเร็นนิค (Karenic) แต่บางแห่ง สันนิษฐานว่ามีความใกล้เคียงกับแขนงของธิเบต-พม่า ซึ่งเข้าใจว่าข้อสันนิษฐานอันหลังนี้น่าจะ ถูกต้องมากกว่า ภาษาของ “จะกอ” “โพล่ง” และ”แบร” มีความใกล้เคียงกัน แต่ไม่สามารถเข้าใจกัน ได้ และเป็นที่น่าสังเกตว่าภาษาของ”จะกอ” และภาษา”โพล่ง” ได้รับอิทธิพลจากภาษาในตระกูลมอญเขมร (Mon-Khmer) โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษามอญ ปกาเกอะญอ ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าที่ใหญ่ที่สุดใน ประเทศไทย รวมตัวกันอยู่หนาแน่นในพื้นที่ป่ าเขาทางทิศตะวันตกของประเทศไทยตามบริเวณ ชายแดนไทย – พม่า ชาวปกาเกอะญอได้เคลื่อนย้ายเลื่อนมาทางทิศตะวันออกอย่างช้าๆ ในระยะแรก ประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา ชาวปกาเกอะญอในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ”จะกอ” และ”โพล่ง” นักมานุษยวิทยาได้จัดชาวปกาเกอะญออยู่ในกลุ่มภาษาพม่า – ธิเบต ชาวปกาเกอะญอมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามบริเวณหุบเขา ในระดับสูงประมาณ 500 เมตร เหนือ ระดับน ้าทะเล ด ารงชีพด้วยการปลูกข้าวและพืชผักต่างๆ โดยการท านาด าแบบขั้นบันไดและการท าไร่ แบบ”ไร่หมุนเวียน” (กลับมาท าที่เดิมทุก 5 – 10 ปี) นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงหมู ไก่ วัว ควาย ฯลฯ เพื่อ บริโภคในครัวเรือน ประกอบพิธีกรรม ขาย และรับจ้างใช้งาน นอกจากนี้ชาวปกาเกอะญอยังเลี้ยงช้าง เพื่อไว้ใช้งานรวมทั้งรับจ้างท างานหรือใช้เพื่อการท่องเที่ยว ครอบครัวของชาวปกาเกอะญอนั้นยึดถือการสืบเชื้อสายทอดมาทางฝ่ายหญิงเป็นหลัก เมื่อ แต่งงานฝ่ายชายจะย้ายไปอาศัยอยู่ในครอบครัวของฝ่ายหญิง ครอบครัวเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว และ ถือระบบผัว-เมียเดียว ชาวปกาเกอะญอ แต่เดิมมีภาษาเขียนของตนเอง ส่วนใหญ่นับถือลัทธิบูชาผี(ผี บรรพบุรุษ) นอกจากนั้นก็นับถือศาสนาพุทธ และคริสต์ ชาวปกาเกอะญอมีประเพณีที่ปฏิบัติหลาย อย่างรวมทั้งประเพณีปีใหม่ของปกาเกอะญอ ซึ่งมีขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ จากข้อมูลในปี 2540 พบว่ามีชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่ใน 15 จังหวัด 68 อ าเภอ 2,130 หมู่บ้าน แยกเป็นหมู่ที่จัดตั้งถูกต้องตามกฎหมายจ านวน 934 หมู่บ้าน และ 1,196 กลุ่มบ้าน หรือ หย่อมบ้าน รวมเป็น 70,892 หลังคาเรือน มีประชากรรวม 353,574 คน แยกเป็นชาย จ านวน 180,206 คน หญิง จ านวน 173,368 คน (กองสงค์เคราะห์ชาวเขา,2541)


6 ประวัติควำมเป็ นมำ นักประวัติศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่าเดิมทีนั้น ชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่ในดินแดนด้าน ตะวันออกของธิเบต ต่อมาอพยพเข้ามาตั้งอาณาจักรอยู่ในประเทศจีน เมื่อ 73 ปีก่อนพุทธกาลหรือ ประมาณ 3,238 ปีล่วงมาแล้ว ชาวจีนเรียกว่าชนชาติโจว ภายหลังถูกกษัตริย์จีนรุกรานเมื่อ พ.ศ.207 จึงพากันแตกพ่ายหนีลงมาอยู่บริเวณลุ่มน ้าแยงซีเกียง ต่อมาเกิดปะทะกับชนชาติไทยจึงถอยร่นลงมา อยู่ตามล าแม่น ้าโขง และแม่น ้าสาละวินในเขตพม่า ปกาเกอะญอเคลื่อนย้ายลงมาอยู่ตอนใต้ก่อนชน ชาติไทย แต่ภายหลังชนชาติตระกูลมอญ-เขมร ชนชาติปกาเกอะญออาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกใน เขตพม่ามากกว่าอยู่ในประเทศไทย และมีรัฐของตนเองเป็นเอกเทศถึงสองรัฐ คือรัฐกะยาซึ่งเป็น ดินแดนของกะเหรี่ยงแดง กับรัฐก่อตูเล อันเป็นถิ่นที่อยู่ของ”จะกอ” การอพยพครั้งส าคัญของปกาเกอะญอเข้าสู่ประเทศไทยเกิดขึ้นในสมัยเมื่อพระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่าท าสงครามกับชาวมอญ มอญพ่ายแพ้ถูกกองทัพพม่าติดตามรบไล่ ชาวปกาเกอะญอซึ่งมี ความสัมพันธ์อันดีกับชาวมอญได้ให้ที่พักหลบภัยแก่ชาวมอญ เมื่อถูกพม่าบุกประชิดชาวปกาเกอะญอ เกิดความหวั่นเกรงภัยจึงพากันอพยพหลบหนีเข้าสู่เขตไทย นอกจากจะมีสาเหตุมาจากการหลบหนีภัย อันตรายมาแล้ว การอพยพยังมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจด้วย กล่าวคือเมื่อการท ามาหากิน ทางเขตพม่าฝืดเคือง ได้พากันอพยพเข้ามาหาท าเลที่ท ากินใหม่ในเมืองไทย (ขจัดภัย บุรุษ พัฒน์,2540) ประชำกร มีผู้รวบรวมข้อมูลประชากรปกาเกอะญอไว้หลายครั้งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลประมาณการที่ท าไว้ นาน ซึ่งเมื่อเทียบกับปัจจุบันอาจมีความคาดเคลื่อนไปมาก และล่าสุดกองสงเคราะห์ชาวเขาได้ รวบรวมตัวเลขข้อมูลประชากรปกาเกอะญอในไทย เมื่อปี 2541พบว่ามีชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่ใน 15 จังหวัด 68 อ าเภอ 2,130 หมู่บ้าน แยกเป็นหมู่ที่จัดตั้งถูกต้องตามกฎหมายจ านวน 934 หมู่บ้าน และ 1,196 กลุ่มบ้าน หรือหย่อมบ้าน รวมเป็น 70,892 หลังคาเรือน มีประชากรรวม 353,574 คน แยก เป็นชาย จ านวน 180,206 คน หญิง จ านวน 173,368 คน (กองสงค์เคราะห์ชาวเขา,2541) ลักษณะทางกายภาพ ชาวปกาเกอะญอโดยทั่วไปมีความสูงขนาดปานกลาง ชาวปกาเกอะญอในพื้นราบจะมีความ สูงเฉลี่ยประมาณ 5 ฟุต 4 นิ้ว และปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่บนเขาจะต ่ากว่าประมาณ 3 นิ้ว ชาวผู้หญิง จะมีร่างเล็กกว่าผู้ชาย ปกาเกอะญอบนเขาจะท างานหนักมากเกี่ยวกับการด ารงชีวิต และผจญกับ โรคภัยไข้เจ็บอยู่เสมอโดยเฉพาะไข้มาเลเรีย ท าให้ร่างกายแคระแกร็นบนที่ราบหรือที่ต ่าลงมาเราจะพบ


7 ชาวปกาเกอะญอมีรูปร่างดี แข็งแรงสันทัด ช่วงขาใหญ่ ขาสั้น แต่ได้สัดส่วนกับร่างกาย ผู้หญิง กะเหรี่ยงมีรูปร่างอวบสมบูรณ์ แต่เรือนร่างจะตั้งตรงเพราะแบกของหนักไว้บนศรีษะหรือบนหลังเสมอๆ ส่วนฟันคล้ายกับของชาวผู้ชาย คือมีรอยเปื้อนเป็นคราบเพราะยังนิยมกินหมากกันอยู่ ชาวปกาเกอะญ อบนภูเขาชอบห้อยเครื่องราง ผิวของชาวปกาเกอะญอจะมีแตกต่างกันตั้งแต่สีเหลืองไปจนถึงน ้าตาล คล ้า กลุ่มที่ท างานในร่มย่อมจะมีผิวขาวกว่าชาวที่ท างานกลางแดด แม้ว่าชาวกะเหรี่ยงแต่ละคนจะมี รูปร่างลักษณะหน้าตาแตกต่างกันออกไปมากก็ตาม แต่รูปใบหน้าก็เป็นแบบเดียวกันเป็นส่วนมากคือ ลักษณะจะแบนเหมือนกันใบหน้าของชนเผ่ามองโกเลียนทั่วไป เครื่องแต่งกำย ชาวปกาเกอะญอแต่ละกลุ่มแต่งกายแตกต่างกันออกไปดังนี้ “จะกอ” ผู้ชายใส่เสื้อแขนสั้นสี แดงกางเกงสีดา ผหู้ญิงท่ียงัไม่แต่งงานจะน่งุชดุสีขาวยาวซ่งึหมายถึงชดุแห่งความบริสทุธิ์สว่นหญิงท่ี แต่งงานแล้วใส่เสื้อแขนสั้นสีด าถักด้วยลูกเดือย กระโปรงเป็นสีแดงเป็นลายตัดพร้อมกับโพกผ้าสีแดง สี ขาว โพล่ง ผู้ชายแต่งตัวเหมือนชาวนาไทย ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วใส่เสื้อคลุมเหมือนกับ”จะกอ” แต่ ยาวกว่า ท่อนบนปักด้วยลวดลายแพรวพราว กระโปรงสีด าหรือน ้าเงินเข้ม ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน แต่งตัวแบบแฟนซี เย็นปักด้วยลวดลาย และประดับด้วยชาวลูกปัดต่างๆ เกล้าผมและมีปิ่นเงินปักอยู่ กระโปรงยาวคลุมข้อเท้ามีปัก และพู่ห้อย ใส่ก าไลมือและแขน และบางครั้งก็มีเครื่องเงินสวมคอ อย่างไรก็ตาม การแต่งตัวอย่างพิถีพิถันและครบเครื่องนั้นมักจะกระท าในโอกาสที่มีงานส าคัญใน หมู่บ้าน แบร ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขาสั้นสีแดง และโพกศีรษะ พวกนี้นิยมสักเป็นรูปต่างๆ ไว้ข้างหลัง ส่วนผู้หญิงจะนุ่งกระโปรงสั้นมาก และจะสวมก าไลไม้ไผ่ที่ข้อเท้า ถิ่นทอี่ยู่อำศัย และสภำพหมู่บ้ำน ปกาเกอะญออาศัยอยู่มากที่สุดได้แก่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีจ านวนระหว่าง 32,694 – 38,935 คน โดยอาศัยอยู่ที่อ าเภออมก๋อยมากที่สุด คือ มีจ านวนถึง 13,046 คน นอกจากนี้ก็อาศัยอยู่ในอ าเภอ อื่นๆ อีก คือ อ าเภอแม่แจ่ม อ าเภอจอมทอง อ าเภอสะเมิง อ าเภอสันป่ าตอง อ าเภอฮอด อ าเภอเชียง ดาว อ าเภอแม่แตง อ าเภอฝาง อ าเภอพร้าว อ าเภอสันก าแพง อ าเภอดอยสะเก็ด และอ าเภอเมือง มี จ านวนน้อยที่สุด คือ 53 คน จังหวัดเชียงรายมีประมาณ 967 คน ในอ าเภอเมือง และไม่รู้จ านวนในอ าเภอเชียงค าจังหวัด พะเยา จังหวัดล าพูนพบในอ าเภอป่ าซาง อ าเภอบ้านโฮ่ง อ าเภอลี้ อ าเภอเมือง และอ าเภอแม่ทาไม่


8 ทราบจ านวนแน่นอน จังหวัดล าปางมีประมาณ 1,840 คน ในอ าเภอเกาะคา อ าเภองาว อ าเภอแจ้ห่ม และอ าเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ทุกอ าเภอและมีจ านวนรองลงมาจากจังหวัด เชียงใหม่ ตัวเลขจ านวนกะเหรี่ยงเท่าที่พอจะหาได้คืออ าเภอขุนยวม 4,496 คน อ าเภอเมือง 3,252 คน จังหวัดตาก ชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ตามบริเวณพรมแดนไทย – พม่า มีจ านวนประมาณ 31,522 คน จังหวัดตาก ชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่ตามบริเวณพรมแดนไทย – พม่า มีจ านวนประมาณ 18,329 คน โดยอาศัยอยู่ในอ าเภอท่าสองยาง อ าเภอแม่ระมาด อ าเภออุ้งผาง อ าเภอบ้านตาก และอ าเภอแม่ สอด จังหวัดตาก จังหวัดก าแพงเพชร มีรายงานว่ามีชาวกะเหรี่ยงอยู่ 5 หมู่บ้าน จ านวน 845 คน ใน เขตอ าเภอเมืองด้านที่ติดกับจังหวัดตาก นอกจากจังหวัดทางภาคเหนือแล้วยังพบในจังหวัดกาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และราชบุรี สภาพหมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอนั้น หลักส าคัญของการก าหนดความเป็นหมู่บ้านก็คือ หมู่บ้านต้องเป็นหน่วยอิสระในการประกอบพิธีกรรมของตน เพื่อการเซ่นสรวงผีเจ้าที่ปีละ 2 ครั้ง ผู้ เป็นประธานพิธีนี้ได้แก่หัวหน้าพิธีกรรมฝ่ายชาย ในสังคมโพล่งเรียกว่า “เซี่ยเก็งคู” “จะกอ” เรียกว่า “ หี่ โข่ “ หรือหัวหน้าหมู่บ้านผู้เฒ่า ซึ่งได้ต าแหน่งโดยการสืบสายจากฝ่ายบิดา ทุกหมู่บ้านต้องมี “เซี่ยเก็ง คูหรือ “หี่โข่” ของตนเอง หมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 25 หลังคาเรือนแต่บางหมู่บ้านอาจมี เพียง 2 หลังคาเรือน หรืออาจมีมากถึง 60 หลังคาเรือน โดยปกติหมู่บ้านตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มก้นกะทะ ล้อมรอบด้วยเนินเขาหรือที่ราบระหว่างหุบเขาที่สามารถไปสู่แหล่งน ้าล าธารได้อย่างสะดวก กะเหรี่ยง ไม่เคยสร้างหมู่บ้านบนสันเขา และไม่เคยใช้ระบบรางน ้าไม้ไผ่เพื่อน าน ้าเข้าหมู่บ้าน ส่วนบ้านนั้นมักจะ ปลูกชิดกัน แต่ไม่เป็นแบบเรียงแถวเป็นแนวตรงอย่างเดียวกัน คือ ไม่เป็นแถวเรียงขนานกันไปโดยมี ลานโล่งตรงกลาง ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลทางศาสนา ระหว่างบ้านแต่ละหลังจะมีสวนขนาดเล็กซึ่งปลูก ด้วย มะละกอ มะม่วง ยาสูบ และพืชอื่นๆ ไว้อย่างกระจัดกระจาย ตัวบ้านไม่สู้จะแข็งแรง โครงบ้าน สร้างขึ้นโดยไม้ไผ่และแฝก ยกพื้นด้วยเสาไม้สูงจากพื้นดินหลายฟุต แต่ละบ้านมียุ้งข้าวต่างหากจากตัว บ้าน และบางบ้านก็มีที่ส าหรับให้สัตว์อยู่ในตอนกลางคืน บริเวณบ้านไม่มีรั้ว สัตว์เลี้ยงต่างๆ จะถูก ปล่อยให้เที่ยวหากินกันเองในหมู่บ้าน หมู่บ้านชาวปกาเกอะญอปัจจุบันโดยส่วนใหญ่มีวัด และโบถส์ บางหมู่บ้านมีอาณาเขตของ ตนโดยเฉพาะ ซึ่งคนในหมู่บ้านเท่านั้นที่สามารถท า”ไร่หมุนเวียน”ภายในอาณาเขตหมู่บ้านของเขาได้ การก าหนดอาณาเขตนี้ต้องตกลงกับหมู่บ้านที่ใกล้เคียง แต่มีบางหมู่บ้านใช้อาณาเขตร่วมกันกับ หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งหรือหลายหมู่บ้านเหล่านั้นกท าไร่ ที่สังคมปกาเกอะญอ เรียกว่า”ไร่หมุนเวียน”ใน พื้นที่ที่ได้ก าหนดกันไว้ ถ้าหากหมู่บ้านใดที่มีเซี่ยเก็งคู หรือ”หี่โข่” เป็นที่เคารพนับถือของคนในชุมชน


9 มาก บางหมู่บ้านมีขนาดใหญ่สามารถดึงดูดคนในหมู่บ้านได้ดีปัจจุบันรูปแบบอาจเปลี่ยนไปบ้างเช่น ปัจจุบันไม่มีการย้ายถิ่น บางหมู่บ้านที่หันไปนับศาสนาอื่นเช่น นับถือศาสนาคริสต์ก็จะมีผู้น าทาง ศาสนาอาจเรียกไม่เหมือนกันเช่ยเรียกว่า”ต่าบาโข่”หรือเซอะหระเป็นต้น ข้อมูลทางชาติพันธุ์ของชาติพันธุ์ปกาเกอะญอท าให้เห็นรายละเอียด ทั้งที่มีการศึกษารวบรวม บันทึกเป็นเอกสาร และข้อมูลจากคนในที่เป็นชาวปกาเกอะญอส่วนหนึ่ง ถึงแม้ข้อมูลต่างๆเหล่านี้จะไม่ มีความสมบูรณ์แบบมากก็ตาม แต่จะช่วยให้เข้าใจความเป็นชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยพรวมมากขึ้น เมื่อน ามาเปรียบเทียบกับสังคมปัจจุบันรูปแบบการด าเนินชีวิตทุกๆด้าน มีการเปลี่ยนแปลง และมี ความคาดเคลื่อนไปมาก เช่น จ านวนประชากรที่เป็นปัจจุบัน และให้น่าเชื่อถือมากที่สุด การจ าแนก หรือเรียกชื่อกลุ่มชาวปกาเกอะญอต่างๆ การเรียกชื่อของแต่ละกลุ่มย่อย การแต่งกาย ซึ่งมีความ แตกต่างของแต่ละพื้นที่ เช่น ค าที่ใช้เรียกผู้น าตามประเพณีเป็น ”เซี่ยเก็งคู”ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบ กันต่อไป จากการศึกษาพบว่าชาวโพล่งในแถบจังหวัดล าพูน และเชียงใหม่เรียกผู้น าตามประเพณี ของตนเองว่า ”หขันคู”(ปินค า ค าหล้า,2546) หรือ รูปร่าง และขนาดของชาวปกาเกอะญอว่า การ ได้ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีการสุ่มจ านวนประชากรตัวอย่างมากน้อยเพียงใด เป็นต้น อย่างไรก็ตามจาก ข้อมูลเหล่านี้ อย่างน้อยท าให้เห็นว่าถึงมีการเรียกชื่อ และให้ความหมายต่อพวกเขาอย่างไร ก็เป็น การเรียกของบุคคลภายนอก แต่ส าหรับในทัศนะคนในปกาเกอะญอมอง และให้ความหมาย เกี่ยวกับตนเองว่า เป็นชาติพันธุ์ที่มีด าเนินชีวิตอยู่กับป่ า มีขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม มี เอกลักษณ์ ทางการแต่งกาย ภาษา มีระบบการอบรมคุณธรรม จริยธรรม มีระบบวิธีการดูแลจัดการ ดิน น ้า ป่ า สัตว์ คน และระบบนิเวศน์ที่เข้มแข็ง มีอุปนิสัยที่รักสงบ เป็นมิตรกับคนทั่วไป โดยเฉพาะหมู่บ้านที่ศึกษาเป็นกลุ่ม ”สะกอ” หรือจะกอ หรือเรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” จึงเป็น การบอกตัวตนว่าฉันเป็นคน ค าเรียกต่างๆผู้อื่นเป็นผู้เรียก และชาวปกาเกอะญอเรียกคนทั่วไปว่า เป็น”คน”เช่นกัน ค าว่ากะเหรี่ยงที่ราชการเรียกนั้น ภายในกลุ่มต่างๆมีการเรียกตนเองที่แตกต่างกันไป เช่นกลุ่มที่ราชการเรียกว่ากะเหรี่ยงโปว์ กลุ่มนี้เรียกตนเองว่า”โพล่ง”ซึ่งแปลว่า”คน”เช่นกัน เพราะฉะนั้นค าว่าโพล่งในความหมายรวมไปถึงกลุ่มปกาเกอะญอ ด้วย และค าว่า”ปกาเกอะญอ”ใน ความหมายของ ”จะกอ”หมายรวมถึงกะเหรี่ยงทุกๆกลุ่มด้วยเช่นกัน และอยู่ร่วมกับสังคมในฐานะ คนไทยที่จะก่อเกิดความเข้าใจ เห็นความเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกต้องมากขึ้น จากข้อมูลต่างดังที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนมาจากคนนอกที่เข้าศึกษา บางครั้งอาจได้ข้อมูลที่มี ความพอดี ขาดเกินบ้างเมื่อมีการสื่อออกไปจึงเป็นข้อมูลที่สาธารณะได้รับจึงเป็นวาทกรรมตอกย ้า ภาพลักษณ์ที่จัดท าโดยนักวิชาการรัฐ เมื่อเป็นเช่นนี้ทัศนะของคนในได้สร้างโอกาสที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ให้ถูกต้อง และมีความสมบูรณ์มากขึ้น ที่ผ่านสื่อ นักวิชาการ ถือเป็นการสร้างชุดจริงแทนที่วาทกรรม


10 ใหม่ และเป็นการช่วงชิงพื้นที่ในการน าเสนอข้อมูลชาติพันธ์ปกาเกอะญอให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น (อ้างในทรงพล รัตนวิไลลักษณ์,2546) 2.2 ข้อมูลสภำพท่ัวไปเกี่ยวกับชุมชนทศี่ึกษำ (1) ประวัติศำสตร์ชุมชน บ้านห้วยส้มป่ อยมีชื่อเรียกเป็นภาษาปกาเกอะญอว่า “พุ ฉี่ คี” จากค าบอกเล่าของผู้เฒ่า ผู้แก่ว่ากลุ่มหมู่บ้านในละแวกลุ่มน ้าก่อนที่จะย้ายเข้าไปตามหมู่บ้านต่างๆ เหล่านี้ (บ้านห้วยขนุน บ้าน ห้วยมะนาว บ้านห้วยส้มป่ อย และบ้านป่ าเกี๊ยะ) เดิมทีได้อยู่อาศัยร่วมกันเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนที่ เคล่อ พะโดะ มีคนอยู่ประมาณ 200 ครัวเรือนแล้วเกิดโรคห่า หรือโรคฝีดาด ผู้คนล้มตายมากมาย ต้อง ทิ้งศพไว้ในหมู่บ้านเพราะฝังไม่ทันและตคนไม่กล้าแตะต้อง ผู้คนที่เหลือจึงย้ายไปยังหมู่บ้านต่างๆ กลุ่ม ที่น าการโยกย้ายสายบ้านห้วยส้มป่ อย คือ ปอ อิ แมะ และลูกหลาน ย้ายไปอยู่ที่ แดลอโพ อยู่ได้ ประมาณ 7 - 8 ปีก็ย้ายไปอยู่แดลอโข่ข่อทิซึ่งอยู่ได้ประมาณ 10 ปี ปือปออิแมะ และลูกหลานก็ แสวงหาที่ใหม่ ไปอยู่ แดลเก่อแย อยู่ได้ประมาณ 20 ปี และได้ย้ายไปอยู่บาต่า ฟะ อยู่ได้ประมาณ 20 ปี ก็วนกลับไปอยู่แดลอเก่อแยอีกรอบ และมีการย้ายไปอยู่หลายที่ เช่น แดลอเคล่อข่อทิ พือปออิ แมะได้ สียชีวิตที่แดลอเคล่อข่อทิ ลูกหลานได้อยู่ประมาณ 10 ปีจึงย้ายไปอยู่แดลออุ้ เอาะแล้วไฟไหม้ บ้านจึงย้ายไปอยู่ที่แดลอชิพะแหล่ อยู่ประมาณ 10 ปีก็โยกย้ายกันไปอยู่ที่บ้านห้วยส้มป่ อย บ้านห้วย มะนาว บ้านหินเหล็กไฟ บ้านห้วยขนุน 1 บ้านห้วยขนุน 2 บ้านห้วยขนุน 3 บ้านห้วยส้มป่ อย ปัจจุบัน ก่อตั้งมาได้ประมาณ 60 ปีโดยมีพือปอหนี่และลูกหลานมาอยู่เป็นกลุ่มแรก สรุปแล้วก่อนที่จะมาตั้ง บ้านมีการโยกย้ายที่อยู่ 9 ครั้ง ปัจจุบันมี 2 หย่อมบ้าน 1 ห้วยส้มป่ อย 2 บ้านใหม่1 (2) ลักษณะทำงประชำกร หย่อมบ้าน ครอบครัว ครัวเรือน ป ร ะ ช า ก ร รวม ชาย หญิง เด็กชาย เด็กหญิง 1.ห้วยส้มป่ อยเก่า 53 72 84 83 48 39 254 2.ห้วยส้มป่ อยใหม่ 33 34 44 41 27 27 139 3. ป่ าเกี๊ยะ 25 29 41 36 18 22 117 รวม 111 135 169 160 93 88 10


11 (3) ทตี่ั้งและสภำพทำงภูมิศำสตร์ บ้านห้วยส้มป่ อยตั้งอยู่หมู่ 8 ต าบลดอยแก้ว อ าเภอจอมทอง จังหวัด เชียงใหม่ ตั้งอยู่ทางทิศ ตะวันตกของอ าเภอจอมทอง สูงจากระดับน ้าทะเลประมาณ 1,200 - 1,300 เมตร มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับบ้านขุนแตะ ทิศใต้ ติดกับบ้านห้วยขนุน ทิศตะวันออก ติดกับบ้านป่ าเกี๊ยะนอก ทิศตะวันตก ติดกับบ้านห้วยมะนาว ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติออบหลวง และป่ าสงวนแห่งชาติ บนเทือกเขาดอยอินทนนท์ อยู่ ระหว่าง 1,000-1,200 เมตรระดับน ้าทะเล พื้นที่หมู่บ้านตั้งอยู่บนเชิงเขา เหนือแม่น ้าแม่เตี๊ยะ มี 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านป่ าเกี๊ยะ บ้านห้วยส้มป่ อยใหม่ และบ้านห้วยส้มป่ อยเก่าซึ่งอยู่ติดกันโดยมีห้วยกั้น ระหว่างหมู่บ้านตามประเพณีปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) ถือว่าเป็นคนละบ้าน สภาพป่ าเป็นป่ าดงดิบและป่ าเบญจพรรณ ไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้เนื้ออ่อน ดินเป็นดินด าและ แดง เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชทุกชนิด มีล าห้วยสายเล็กๆไหผ่านข้างๆหมู่บ้านสภาพหมู่บ้านตั้งอยู่ บนเชิงเขาและไหล่เขา มีอากาศชุ่มชื้นตลอดปี (4) ควำมเชื่อและศำสนำ ชุมชนบ้านห้วยส้มป่อยมีรูปแบบการนับถือศาสนาเหมือนกับชุมชนปกาเกอะญอทั่วไป คือมี การนับถือศาสนาพุทธและมีความเชื่อดั้งเดิม (ผีบรรพบุรุษ) 40 หลังคาเรือน นับถือศาสนาคริสต์ 29 หลังคาเรือน (5) โครงสร้ำงกำรปกครอง ชุมชนบ้านห้วยส้มป่ อยมีระบบโครงสร้างการน าเหมือนกับชุมชนปกาเกอะญอทั่วไป คือมีผู้น า ตามประเพณี (หี่โข่) คนปัจจุบัน คือ พือปอหนี่ ระบบถ่ายผู้น าระบบนี้ ถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูกชาย มี บทหน้าที่ทางด้านพิธีกรรม เช่น การก าหนดวันเวลามัดมือปีใหม่ การส่งสะตวงปัดร าควันระดับชุมชน เป็นผู้การประกอบพิธีกรรมในกรณีที่มีการผิดหญิงชายก่อนแต่งงาน ฯลฯ เป็นต้น และผู้น าทางการ คือ พ่อหลวงวิรัตน์ วจีสุรีนนท์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน ผู้น าระบบนี้ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการบทบาทหน้าที่ หลักด้านการปกครอง การพัฒนาชุมชน การติดต่อกับหน่วยงานราชการฯลฯ เป็นต้นซึ่งมีการแบ่ง บทบาทหน้าที่ชัดแต่ผู้น าทั้งสองระบบมีการเอื้อซึ่งกันและกันได้


12 (6) ระบบกำรผลิต มีอาชีพท าไร่ท านา ปลูกข้าวเป็นหลักและมีการเลี้ยงสัตว์ ควบคู่ไปด้วย ที่ส าคัญลักษณะดิน ของบ้านห้วยส้มป่ อย เหมาะแก่การเพาะปลูก พืชมากนอกจาก จะท าไร่ ท านา เลี้ยงสัตร์ และชุมชนยัง มีรายได้จากการท าสวน กา แฟ ปลูกกะหล ่าปลี เป็นอาชีพเสริม และมีการปลูกไม้ผล เช่น มะนาว ขนุน และอื่นๆ ไว้บริโภคด้วย (7) ระบบกำรคมนำคม บ้านห้วยส้มป่ อยมีถนนตัดเข้าสู่หมู่บ้านเมื่อปี พ.ศ. 2526 ซึ่งเป็นเส้นทางที่จัดท าโดย รพช. ปัจจุบันมีเส้นทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้านต่างๆ 4 เส้นทาง ดังนี้ คือ เส้นทางที่ 1 เชื่อมกับหมู่บ้านห้วยขนุน เส้นทางที่ 2 เชื่อมกับบ้านหินเหล็กไฟ เส้นทางที่ 3 เชื่อมติดกับบ้านขุนแตะ เส้นทางที่ 4 เชื่อมกับอ าเภอจอมทอง ระยะทางห่างจากอ าเภอ 22 กิโลเมตร และเมื่อปี 2541 องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้มีการก่อสร้างถนนสายจอมทอง ห้วยส้มป่ อย ลาดยางระยะทาง 12 กิโลเมตร และอีก 10 กิโลเมตรเป็นดินอัดแน่น ส าหรับเส้นทางอื่นการเดินทาง ช่วงฤดูฝนล าบากมาก (8) สภำพปัญหำในชุมชน (1) ข้าวไม่พอกิน เนื่องจากฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาเกิดภาวะแห้งไม่สามารถท านาปลูกข้าวไร่ได้ และมีเพลี้ยกระโดดระบาดอย่างรุนแรง (2) สภาพถนนช ารุด การเดินทางสัญจรไปมาล าบากโดยเฉพาะช่วงฤดูฝน (3) ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต ่า ขายไปไม้คุ้มกับการลงทุน (4) ปัญหาการขาดแคลนน ้าเพื่ออุปโภคบริโภคที่รุนแรงที่สุดในปีนี้ (5) คนรุ่นใหม่ขาดความสนใจที่เรียนรู้ และรื้อฟื้นวัฒนธรรม (6) พื้นที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และป่ าสงวนแห่งชาติ ท าให้ชาวบ้านไม่มีสิทธิในการใช้ ประโยชน์ที่ดิน (9) กิจกรรมทชีุ่มชนทำ (1) กิจกรรมด้านการจัดการดูแลสิ่งแวดล้อม มีการตั้งกฎระเบียบในการจัดการป่ า มีการแบ่ง เขตป่ า มีการท าแนวกันไฟ มีการบวชป่ า ( พิธีคืนป่ าให้เจ้าที่ ) มีการตรวจป่ า มีการดับไฟป่ า มีพิธี เลี้ยงผีแนวกันไฟ


13 (2) กิจกรรมสร้างความสามัคคี และเสริมสร้างองค์กรชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง อย่างเช่นมี การรวมตัวของกลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มพ่อบ้านที่รวมพลังในการน ากิจกรรมต่างๆ อย่างเช่น การป้องกัน และปรับปรามยาเสพติด ซึ่งแม่บ้านจะมีบทบาทมาก และได้รับผลส าเร็จ (3) กิจกรรมด้านการท าการรื้อฟื้นประเพณี และวัฒนธรรม มีการรดน ้าด าหัวผู้เฒ่าผู้แก่ในแต่ ละรอบปีเป็นต้น (10) หน่วยงำนในพืน้ที่ (1) โรงเรียนส านักงานการประถมศึกษาอ าเภอจอมทองเข้ามาตั้งโรงเรียน พ.ศ. 2519 ให้ การศึกษาแก่เด็กในชุมชนและชุมชนใกล้เคียง (2) ศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาให้การส่งเสริมการปลูกพืชและสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและคนชรา (3) สาธารณสุขชุมชน ดูแลด้านสาธารณสุขให้แก่ชุมชน โดยครอบคลุมหมู่บ้านต่างๆ เหล่านี้ คือ บ้านห้วยส้มป่ อย บ้านป่ า เกี๊ยะนอก บ้านป่ าเกี๊ยะใน บ้านห้วยขนุน บ้านห้วย มะนาว บ้านหินเหล็กไฟ และบ้านขุนแตะ (11) โครงสร้ำงพืน้ฐำนอันเป็นสำธำรณประโยชนใ์นหมู่บ้ำน โบสถ์คริสต์คาทอลิก วัด ประปาภูเขา โทรศัพท์ชนบท(ดาวเทียม) ไฟฟ้าพลังน ้า สถานีสาธารณสุขชุมชน โรงเรียน สังกัด สปอ. หอประชุมหมู่บ้าน


14 บทที่3 : ผลกำรวิจัย ผลจากการศึกษาเกี่ยวกับการแต่งกายของชนเผ่าปกาเกอะญอครั้งนี้คณะผู้วิจัยน าเสนอ ออกมาดังรายละเอียดต่อไปนี้ : 3.1 ประวัติศำสตร์ตำ นำน เกี่ยวกับเครื่องแต่งกำย สมัยก่อนคนไม่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย จึงได้เสาะแสวงหา ใบไม้ใบหญ้า ขนสัตว์ เศษผ้า เพื่อ น ามาปกปิดร่างกาย ต่อมาได้มีการสังเกต สังเคราะห์ วัตถุที่จะท าเป็นฝ้ายได้ โดยการน าปุยฝ้ายมาท า เป็นด้าย และหาอุปกรณ์ต่างเพื่อที่จะมาถักทอเสื้อผ้า การแต่งกายของแต่ละเพศวัยนั้นไม่เหมือนกัน เด็ก ชายหนุ่ม พ่อบ้าน ผู้อาวุโสชาย สวมใส่เสื้อทรงกระบอกยาวเล ยหัวเข่า โดยที่ไม่มี ลวดลาย และสีสันที่ได้นั้นเป็นสีขาว เด็ก หญิงสาว สวมใส่เสื้อทรงกระบอกยาวเลยหัวเข่า สีขาว แม่บ้าน ผู้อาวุโสหญิง จะสวมใส่เสื้อผ้าแยกสัดส่วนเป็นเสื้อและผ้าถุง ต่อมาได้มีการสรรหาสีสันของการแต่งกาย เริ่มแรกน า รากลูกยอ (เคาะ) เปลือกไม้ประดู่ มา ต้มใส่ผ้า สีที่ออกมาจะเป็นสีแดง ส่วนสีด านั้นมาจากการคลุกเสื้อกับดินด าหรือถ่าน ต่อมามีการ พัฒนาน าเปลือกไม้ที่มีสีสันต่าง เช่น สีเหลืองจากขมิ้น สีเขียวจากเปลือกไม้ลิ้นเปรต เป็นต้น จากนั้นมามีการวิวัฒนการสมัยใหม่เข้ามาท าให้ชนเผ่าปกาเกอะญอมีการติดต่อกับสังคมภายนอก น า เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาเริ่มมีการหาซื้อฝ้ายสีสันต่างๆมาทอผ้าเป็นเครื่องแต่งกาย 3.2 กำรให้ควำมหมำย ควำมหมำยที่ 1 เป็ นเครื่องนุ่งห่มที่ใช้ในการปกปิ ดเกิดความอบอุ่นแก่ร่างกาย เป็ น เครื่องประดับ ตกแต่งให้เกิดบุคลิกภาพที่ดีขึ้นและสามารถด ารงชีวิตร่วมกับคนในสังคม ควำมหมำยที่ 2 เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม เป็นการบ่งบอกถึงความ เป็นเผ่าพันธุ์นั้นๆ และความประณีต ความเชี่ยวชาญของผู้ถักทอชุดการแต่งกาย ควำมหมำยที่ 3 เป็นเครื่องแทนความหมายให้ความร่มเย็น และความสมบูรณ์ในการส่ง วิญญาณของคนตาย 3.3 กำรจำ แนกเครื่องแต่งกำยของชนเผ่ำปกำเกอะญอ แบ่งออกเป็นดังนี้ 3.3.1 ) กำรจ ำแนกตำมสถำนะภำพ (เพศ/วัย) ▪ เด็กแรกเกิด-ผู้สูงอำยุ เด็กแรกเกิด เมื่อมีอายุครบ 7 วัน/ขั้วรกหลุด ผู้เป็นแม่จะเย็บเสื้อตัวแรกให้ ซึ่งท ามา จากผ้า โดยเสื้อตัวนั้นมีชื่อว่า “เช ซอ โค่”


15 เชวาในอดีต เชวาในปัจจุบัน กางเกงสะดอ เส้ือแดงในอดีต เด็ก เมื่อมีอายุครบ 1 ปี มีการทอเสื้อตัวแรกให้ โดยมีข้อแม้ว่าต้องทอให้แล้วเสร็จ ภายใน 1 วัน เด็กผู้ชายเสื้อแดง (เช หงอ) เด็กผู้หญิงทอ (เช วา) เชื่อว่าหากทอไม่เสร็จเด็กคนนั้นจะมี การพัฒนาการที่ล่าช้า เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ท าการงานไม่ส าเร็จลุล่วง เสื้อตัวนี้มีการสวมใส่ให้สุนัข ก่อน (เป็นพิธี) เพราะเชื่อว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่ทนทานต่อโรคภัยไข้เจ็บ และให้เด็กดื่มน ้า 1 แก้ว เพื่อให้ เด็กเกิดความร่มเย็นในอนาคตภายภาคหน้า วัยหนุ่ม-สำว หญิงสำว มีการแต่งกายด้วยเสื้อทรงกระบอกสีขาว (เช วา) โดยมีลวดลายที่สวยงาม สีขาวมีความศักดิ์สิทธิ์ท่ีบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ของผูส้วมใส่ผูห้ญิงท่ีผ่านการแต่งงานไม่สามารถ กลับมาสวมใส่ชุดขาวได้อีก โดยเชื่อว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหากสวมใส่ชุดขาว จะน าพาชุมชนให้เกิด ความเร่าร้อน คนในชุมชนไม่เป็นสุข ชำยหนุ่ม มีการแต่งกายด้วยเสื้อแดง (เช หงอ) ใส่กางเกงสะดอสีด า พ่อบ้ำน-แม่บ้ำน และผู้อำวุโส พ่อบ้ำน-ผู้อำวุโสชำย มีการแต่งกายด้วยเสื้อแดง (เช หงอ) ใส่กางเกงสะดอสีด า โพกหัวด้วยผ้าขาว เห็นได้ชัดในช่วงพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พ่อสื่อและเจ้าบ่าวในงานแต่งงาน การเลี้ยงผี เรือน เป็นต้น แม่บ้ำน-ผู้อำวุโสหญิง มีการแต่งกายด้วยเสื้อสีด า (เช ซู) ปักด้วยลูกเดือย นุ่งผ้าซิ่น สีแดงแซมด้วยผ้ามัดหมี่ (หนี่ คิ) โพกหัวด้วยผ้าขาว โดยตกแต่งลวดลายด้วยสีแดง ใส่ตุ้มหู พวงลูกปัด ที่คอ พันข้อแขนด้วยผ้าสีด า รวมทั้งมีการพันน่องด้วยสีน ้าเงิน-สีด า 3.3.2 ) กำรจ ำแนกตำมยุคสมัย แบ่งออกเป็ น กำรแต่งกำยดั้งเดิม (50 ปีขึน้ไป) • เด็กผู้หญิงสวมเสื้อขาว (เช วา) • หญิงสาวมีการแต่งกายด้วยเสื้อทรงกระบอกสีขาว (เช วา) สวมใส่เครื่องประดับประกอบไปด้วย ต่างหู (หน่า ดิ) พวงลูกปัด (แพ) ผ้าพันแขน (จึ บี) ผ้าพันน่อง (ค่อ บี) และสักยันต์ที่แขนเป็นรูป ดอกไม้ต่าง ๆ • เด็กผู้ชาย-ชายหนุ่ม-พ่อบ้าน มีการแต่งกายด้วย เสื้อทรงกระบอก (เช บอ เกลาะ) โดยผู้อาวุโสบางคนมีการเจาะหูพร้อม ทั้งใส่ต่างหู มีการสักยันต์ตามร่างกาย เพราะมีความเชื่อว่าเป็นความขลัง และป้องกันสัตว์ร้าย ตลอดจนเป็นความเชื่อทางด้านจิตวิญญาณ


16 • แม่บ้าน-ผู้อาวุโสหญิง มีการแต่งกายด้วยเสื้อสีด า (เช ซู) ปักด้วยลูกเดือย นุ่งผ้าซิ่นสีแดงแซมด้วยผ้ามัดหมี่ (หนี่ คิ) โพกหัวด้วย ผ้าขาว ใส่ตุ้มหู พวงลูกปัดที่คอ ผ้าพันแขน (จึ บี) ผ้าพันน่อง (ค่อ บี) ด้วยสีน ้าเงิน-สีด า และสักยันต์ที่ แขนเป็นรูปดอกไม้ต่าง ๆ วัตถุดิบที่ใช้ในการแต่งกายคือฝ้าย (แบ) งิ้ว (เกระ) ที่ปลูกเองในชุมชน หมำยเหตุ หญิงสาวที่ไม่ได้แต่งงานไม่สามารถสวมใส่ชุดแม่บ้านได้ ต้องสวมใส่เสื้อ ทรงกระบอกสีขาวตลอดชีวิต และเมื่อเสียชีวิตจะมีการเปลี่ยนชุดให้โดยเป็นชุดแม่บ้าน เพราะมีความ เชื่อว่าเมื่อกลับไปภพหน้าจะได้มีชีวิตคู่ 3.4) แหล่งทมี่ำของวัตถุดิบ และขั้นตอนกำรทำ - ฝ้าย (แบ) งิ้ว (เกระ) เป็นวัตถุดิบที่จะน ามาท าเป็นฝ้ายดิบ มาจากการปลูกในไร่ ในสวน ดัง บทล าน าที่ว่า “หน่อ เล่ แบ ตือ กรือ ตือ กรือ เม่อ เก่อ เส่ ทึ เก่อ ช อ ทึ” (นางปั่ นฝ้ายตือกรือ ตือกรือ ให้ม้าดึงช้างดึง) หมายถึง ความไม่ประณีตของหญิงสาวในการปั่ นฝ้ายที่มีเส้นฝ้ายใหญ่ จนสามารถ ใช้เป็นเชือกในการมัดสัตว์ 3.4.1) อุปกรณ์ในกำรท ำฝ้ำย 1. เครื่องปั่นผ้าย (เกอะหะ) 2. เครื่องนวดแบบ (โดะกวี) 3.4.2) ขั้นตอนกำรทำ ฝ้ำย 1. เก็บลูกแบที่พร้อมใช้น าตากแดด 2. คัดแยกเนื้อฝ้ายและเมล็ดออกจากกัน แล้วน าเนื้อฝ้ายมานวดหลอมรวมกัน 3. น าฝ้ายที่ได้จากการนวดมาปั่นเป็นเส้นด้าย โดยใช้เครื่องปั่นฝ้าย (เกอะหะ) เกอะ หะ เส้ือแม่บา้น ผ้าถุงแม่บ้าน สร้อยคอ ต่างหู ก าไลข้อมือ-ข้อแขน ผ้าโพกหัว


17 4. น าฝ้ายที่ได้มาต้มกับข้าวหุง รวมทั้งผสมกับสีธรรมชาติตามที่ต้องการ ซึ่งสี ธรรมชาติที่ได้มาจาก ขมิ้น (เซ่อ ญอ) ลูกยอ (เคาะ) ทึ๊อะเบะ ทอกลอ เปลือกต้นลิ้นเปรต (ด๊อกะเบะ) เส่บอเบะ เตา (เก่อบอเอะ) ขี้เถ้า (คลาที) ใบส้มป่ อย (เป้อะชีหล่า) 3.4.3) กำรจ ำแนกสี 1. สีขาว สีจากฝ้ายที่ได้จากการปั่นแล้ว 2. สีด า มาจาก ถ่าน (แซว่ละ) ดินด า (ฮ่อ โค่ ซู) หมิ่นหม้อ (ซ่อ เป่ อ มุ) 3. สีแดง มาจาก กระเจี๊ยบ (แบ มี ชี่) เปลือกไม้เกาะแร (เส่ เกาะ แร) 4. สีน ้าตาลอมแดง มาจาก ไม้ดู่ (เต่อ เลอ เบะ) 5. สีเหลือง มาจาก ขมิ้น (เซ่อ ญอ) รากลูกยอ (เคาะ) 6. สีเขียว มาจาก เปลือกต้นลิ้นเปรต (ด๊อ กะ เบะ) 7. สีคราม มาจาก ขี้เถ้า (คลาที) 8. สีชมพู มาจาก เปลือกถึ 9. สีม่วงอ่อน มาจาก ยอดไม้สัก (ปี่ ฮี่ จ้อ) 10. สีม่วงเข้ม มาจาก กะหล ่าปลี่ม่วง/ เส่ พุ โพ 11. สีน ้าเงิน มาจาก หมากมุ่ย (ปลอ หลื่อ ส่า) หมำยเหตุ วัตถุดิบที่ใช้กันสีตก ได้แก่ ขี้เถ้า (คลาที) ใบส้มป่ อย (เป้อะชีหล่า) เกลือ (อิ ส่า) 3.5) ควำมเชื่อเรื่องสีเกี่ยวกับเครื่องแต่งกำยของผู้หญิงปกำเกอะญอ - สีขำว บ่งบอกถึงความบรสิทุธิ์ไม่มีอะไรมาปนเปื้อน - สีแดง บ่งบอกถึงสัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่ต้องสูญเสียเลือดในการคลอด บุตร ส่วนผู้ชาย บ่งบอกถึงความกล้าหาญ ชาญชัย อดทน ชายชาตรี - สีด ำ บ่งบอกถึงความล าบากที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การมีลูก เลี้ยงลูก ความ ทุกข์ระทมของแม่บ้าน 3.6) วิธีกำรคัดเลือกวัตถุดิบในกำรย้อมสีธรรมชำติ ให้ดูจากใบไม้ เปลือก ดอก ผล ที่พอเหมาะ


18 ขั้นตอนกำรย้อมสีฝ้ำย 1. น าฝ้ายดิบมาชุบน ้าให้เกิดความชุ่ม หากต้องการให้ได้สีที่ชัดสวยงามจะต้องหมักฝ้ายกับ วัตถุดิบ 2-3 คืน 2. น าฝ้ายมาต้มกับวัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมของสีดังรายละเอียดข้างต้น โดยการคนให้สีเข้ากับ เนื้อฝ้าย 3. น าฝ้ายที่ต้มออกมาผสมกับน ้าขี้เถ้า (คลาที) เพื่อกันสีตก แล้วน าไปตากให้แห้ง 4. น าฝ้ายที่ได้จากข้อ 3 มาขยี้กับข้าวสวย เพื่อให้เส้นฝ้ายมีความเหนียวไม่ขาดง่าย แล้ว น าไปตากให้แห้ง หมำยเหตุ การย้อมสี ไม่นิยมย้อมในบ้าน หรือในชุมชน เพราะมีความเชื่อว่าหากมีคนมาถามถึงสีที่ ย้อม จะท าให้สีนั้นไม่ขึ้น โดยเฉพาะการย้อมด้วยรากลูกยอ (เคาะ) 3.7) กำรมัดหมี่ การมัดหมี่มีความส าคัญมากส าหรับการถักทอผ้าถุง ดังบทล าน าที่ว่า “ยวา โหม่ เก่อ ซี เอาะ หม่า เลาะ หนี่ แมะ ปา พอ หงอ เล้อ เคาะ” หมายถึง ให้สืบทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการมัดหมี่ อย่าให้สูญหาย ขั้นตอนกำรมัดหมี่ 1. น าฝ้ายมาขึ้นเครือ โดยมีความยาวประมาณ 2 ศอก 2. น าฝ้ายที่ได้จากข้อ 1 มาแบ่งจ านวนเส้นฝ้ายเป็นคู่ ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ท า โดยส่วนใหญ่การมัดหมี่เริ่มจาก 25 คู่ ไปจนถึง 51 คู่ 3. น าฝ้ายที่ได้จากข้อ 2 มามัดโดยใช้ใบต่อน่ออิ มามัดให้แน่น ในปัจจุบันมีการใช้เชือกฟาง มามัดให้ได้ลวดลายตามที่ต้องการแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความช านาญของผู้มัด 4. น ามัดมี่ที่ได้จากข้อ 3 มาต้ม โดยเลือกสถานที่ในการต้มที่ห่างไกลจากชุมชน 5. น ามัดมี่ที่ได้จากข้อ 4 มาพึ่งแดดให้แห้ง 6. น ามัดมี่ที่มัดจากข้อ 5 มาแกะใบต่อน่ออิ หรือเชือกฟาง ออกจากฝ้าย และน าไปพึ่งแดดให้ แห้งอีกครั้ง 7. น ามัดมี่ที่ได้จากข้อ 6 มาสาง เมื่อได้ตามที่ต้องการแล้วน ามาแยกเป็นชุด ๆ โดยใน1 ชุด จะมีอยู่ 3 พวง เพื่อใช้ในการทอผ้าต่อไป


19 3.8) กำรสร้ำงแบบเครื่องแต่งกำย - ผู้มีบทบำทในกำรสร้ำงแบบ ปกาเกอะญอมีผู้หญิงในการออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับคนในครอบครัวตั้งแต่เด็กเล็กจนถึง ผู้สูงอายุ - ขั้นตอนกำรสร้ำงแบบ 1. เทียบดูรูปร่างของคนจะใส่ 2. ออกแบบขนาดโดยใช้ฝ้ายเป็นตัวชี้วัดส าหรับหญิงสาว 3. ออกแบบลวดลายที่เห็นว่าสวยงาม/ตามยุคสมัย 3.9) อุปกรณ์ในกำรทอผ้ำ ประกอบด้วย 1. ถ่าเบอะ ท ามาจากไม้ไผ่ ซึ่งมีความยาวประมาณ 5 ศอก น ามาเจาะรู จ านวน 10 รู 2. ทะลู ท ามาจากเหล็กเส้น มีความยาวประมาณ 2 ศอก 3. กลุ๊ ท ามาจากไม้ไผ่ที่มีรู ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ1-2 นิ้ว 4. ลื่อ ชุย ท ามาจากไม้ไผ่ หรือไม้ ที่มีการเหลาให้เรียบเป็นเส้น ความยาว 2 ศอก 5. เตอ บี โค่ ท ามาจากไผ่ หรือไม้ โดยน ามาเหลาให้เรียบ ความยาว 2 ศอก มีขนาดใหญ่กว่า เต่อ บี ค่อ 6. เต่อบี ค่อ ท ามาจากไม้ไผ่ หรือไม้ ที่มีการเหลาให้เรียบเป็นเส้น ความยาว 2 ศอก 7. หน่อ ทะ แพะ ท ามาจากไม้เนื้อแข็ง น ามาเหลาให้เรียบ ความกว้าง 3 นิ้ว ยาว 2 ศอกครึ่ง มีหัวแหลมเพื่อง่ายต่อการเข้าถึงเส้นด้าย 8. โจ กวัว เด ท ามาจาก ไม้ไผ่ เพื่อใช้ในการม้วนฝ้าย 9. หน่อ ทิ ท ามาจากไม้/ไม้ไผ่ โดยมีการเหลาให้เรียบ ความกว้าว 1.5 นิ้ว ความยาว 2 ศอก จ านวน 2 แผ่นให้มีขนาดและความยาวที่เท่ากัน 10. ถ่า โค่ โบ ท ามาจากไม้เนื้อแข็ง โดยเหลาให้เรียบ เป็นทรงกระบอก ความยาว 2.5 ศอก 11. ค่อ ย่อ ซู ท ามาจากเศษไม้ โดยมีตัดเป็นท่อนใช้ในการเหยียบเวลาทอผ้า 12. ญ่อ แคว่ ท ามาจากหนังสัตว์ (วัว ควาย แพะ เก้ง) ปัจจุบันใช้กระสอบมาเย็บเพื่อใช้ใน การมัดเอว กับ หน่อ ทิ 13. แน มาจากฝ้ายไนล่อน 14. ขี้ผึ้ง/เทียนไข ใช้ถูกกับหน่อ ทา แพะ เพื่อเกิดความลื่น ง่ายต่อการเข้าถึงเส้นด้ายในการ ทอผ้า


20 3.10) ขั้นตอนกำรบึต่ำ และทำ ต่ำ (ทอผ้ำ) 1. บึ ต่า น าเส้นฝ้ายมาขึ้นเครือให้เข้ากับ ถ่า เบอะ โดยน าอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ถ่าเบอะ ทะลู กลุ๊ ลื่อชุย เตอบีโค่ เต่อบี ค่อ แน มาปักไว้กับ ถ่า เบอะ ตามแบบที่เจาะรูไว้ ในการ บึ ต่า นั้นสามารถแทรกสีของเส้นฝ้ายได้ตามต้องการ ควำมเชื่อ การบึต่า (ขึ้นเครือผ้า) ให้ท าให้แล้วเสร็จก่อนเที่ยงวัน เพราะมีความเชื่อว่าจะท า ให้งานนั้นล่าช้า 2. ทา ต่า น าเส้นฝ้ายจากข้อ 1 มาแกะออกจาก ถ่าเบอะ แล้วจะได้เครือของฝ้ายเพื่อที่จะทอ โดยอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้แก่ กลุ๊ ลื่อชุย เตอบีโค่ เต่อบีค่อ แน หน่อทะแพะ หน่อทิ ท่าโค่ โบ ค่อย่อซู ย่อแคว่ ขี้ผึ้ง/เทียนไข วิธีกำรทำต่ำ (กำรทอ) 1. น าเครือที่ได้จากการบึต่า โดยการน าฝ้ายมาทอ พร้อมทั้งแทรกลวดลาย สีสันเส้นฝ้าย ตามที่ต้องการ เช่น ต่าแซะเคะ ต่าก๊อเล่ ต่าอูกิ โดยลวดลายที่น ามาแทรกนั้นเป็นสัญลักษณ์ และมีความหมายดังนี้ 1. ต่าดีคลี หมายถึง เมล็ดแตงกวา 2. ต่าแพะ “ ลวดลายเป็นเส้นโค้งเอียง 3. ต่ากร่า “ ลวดลายเหมือนไม้ง่าม 4. โธ่เดะค่อ “ ลวดลายเหมือนคอเป็ด 5. ชอดิ๊เช “ ลวดลายเหมือนปีกไก่ 6. ญ่าโพ “ ลวดลายเหมือนปลา 7. ลามิเมอ “ ลวดลายเหมือนพระจันทร์ 8. ตาแม้คลี “ ลวดลายเหมือนตาทั่วไป 9. ตาโมเล “ ลวดลายที่โค้งตลอดสาย 10. เบอะข่าเคาะปู “ ลวดลายวงกลมเหมือนปากลูกอ๊อด 11. ต่าซิโร “ ลวดลายเป็นเส้นแนวยาวมีการเกี่ยวทับกัน 12. ต่าเสะเคะ “ ลวดลายเป็นเส้นตรง 13. เก่อปอเดอ “ ลวดลายเหมือนใยแมงมุม 14. ต่าพะเด “ ลวดลายเส้นตรงแยกออกมาเป็นแฉก 15. ฉ่า “ ลวดลายเหมือนดวงดาว


21 16. จอเก่อเป “ ลวดลายเหมือนผีเสื้อ 17. ต่าอูกิน่องี่ “ ลวดลายเป็นตัวเลขตามที่ต้องการ 18. ต่าอูกิพอ “ ลวดลายดอกไม้ ต่ำเช๊เคะ/ต่ำก๊อเล เป็นความส าคัญในการตกแต่งลายผ้าต่าง ๆ ลายแต่ละอย่างมีความ เป็นมาตั้งแต่สมัยดั้งเดิม โดยผ่านการสืบทอดของบรรพบุรุษจนทุกวันนี้ ต่ำอูกิ เป็นขั้นตอนในการตกแต่งที่สอง ที่แต่งแล้วสวยกว่าเดิม หากขาดขั้นตอนนี้ ผ้าผืนนั้น ขาดความสวยงามโดยส่วนมากจะถูกใจกับเด็กรุ่นใหม่ ข้อห้ำมในกำรทอผ้ำ 1. ห้ามทอผ้าในเวลากลางคืน 2. ห้ามทอผ้าในช่วงพิธีกรรม เช่น การเกิด การแต่งงาน การตาย 3.11) กำรตัดเย็บผ้ำ - วัสดุอุปกรณ์การตัดเย็บ 1. เข็มขนาดต่าง ๆ 2. มีด 3. กรรไกร - ช่วงเวลาการตัดเย็บ 1. ตอนเย็น ตอนกลางคืน 2. วันหยุดตามประเพณี 3. หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว ผู้ทมี่ีบทบำทในกำรตัดเย็บ 1. แม่บ้าน 2. กลุ่มหญิงสาว - วิธีการตัดเย็บ 1. หลังจากการทอผ้าเสร็จน าผ้ามาตัดตามรูปแบบที่ต้องการ 2. น าแบบผ้าที่ได้มาเย็บ โดยใช้มือในการตัดเย็บ วิธีกำรสร้ำงลวดลำยโดยกำรเย็บ • โดยการคัดเลือกลูกเดือยเสมอกันและแข็งแรงสวยงามและมาสู่ขั้นการเย็บตาม ลวดลายต่าง ๆ ที่ต้องการ


22 วัสดุอุปกรณท์นี่ ำมำผลิตลวดลำย 1. ลูกเดือย (เบ๊อะ) 2. ฝ้าย (หลื่อ) 3. เข็ม ขนาดต่าง ๆ 3.12) แรงบันดำลใจและกำรสร้ำงสรรคเ์ครื่องแต่งกำย 1. เกิดจากองค์ความรู้ดั้งเดิมของปกาเกอะญอในการประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย ให้อยู่คงสืบไป 2. มีความจ าเป็นเพื่อสวมใส่ในชีวิตประจ าวัน 3. เพื่อเผยแพร่ชุดชนเผ่า ให้สาธารณชนได้รับรู้ 4. เพื่อเป็นสินน ้าใจให้แก่ญาติมิตร 5. ใช้ในโอกาสพิเศษในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ 6. เพื่อจ าหน่ายออกสู่ท้องตลาด น ารายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัว 3.13) กำรสืบทอด ถ่ำยทอดองคค์วำมรู้เครื่องแต่งกำย กระบวนการสืบทอด - พื้นที่การถ่ายทอด • ถ่ายทอดในบ้าน • เรียนรู้ด้วยกันแลกเปลี่ยนพูดคุย จากเพื่อนบ้านในชุมชน - การปฏิบัติ • ถ่ายทอดให้ลูกหลานของครอบครัวตนเองโดยผู้เป็นแม่ • ถ่ายทอดในสถานศึกษาจากกระบวนการเรียนหลักสูตรท้องถิ่นโดยผู้รู้ เป็นผู้ถ่ายทอด ดังบทล ำน ำ “หน่อ ธา ตา เซ้อ นี เตอ หวี หลือ ท่อ ลา ทะ แพะ ทอ ซี” (หญิงทอผ้าสามวันไม่เสร็จ ไม้เคาะฝ้ายขึ้นราจนหมด) หมำยถึง ผู้หญิงที่ทอผ้าช้า จนท าให้อุปกรณ์เครื่องทอขึ้นรา “เซ ต่า กิ เซ เล้อ อ่า โด หน่อ เซ ธา เซ เล้อ โหม่ โชะ” (เก่งลายผ้าต้องได้ต้นแบบ เก่งล าน าได้จากแม่ครู(ผู้รู้)) หมำยถึง การสืบทอดองค์ความรู้ของแต่ละคน มาจากการอบรมสั่งสอนของ ครอบครัว และการจดจ าของผู้รับ


23 พืน้ทกี่ำรแสดงออก • โบสถ์ • วัด • วิถีชีวิตประจ าวัน • ทุกวันศุกร์ ส าหรับนักเรียนในโรงเรียน 3.14) ข้อห้ำมเกี่ยวกับเครื่องแต่งกำยชนเผ่ำปกำเกอะญอ 1. การแต่งกายต้องแต่งตามเพศ เพศหญิงไม่สามารถสวมใส่ชุดสีแดงของผู้ชายได้ และ ผู้ชายเองก็ไม่สามารถลอง หรือ สวมใส่ชุดของผู้หญิงได้ 2. ผหู้ญิงเสียความบรสิทุธิ์และท่ีแต่งงานแลว้ไม่สามารถสวมใสช่ดุสีขาวไดอ้ีก หาก น ามาใส่จะถือว่าผิดจารีตของชนเผ่า หมำยเหตุ ห้ามบุคคลภายนอกเผ่าน าเครื่องแต่งกายมาสวมใส่ผิดประเภท เพราะเชื่อว่าจะมีเหตุอัน เป็นไปกับผู้ที่สวมใส่ 3.15) ควำมสัมพันธร์ะหว่ำงเครื่องแต่งกำยกับธรรมชำติ 1. ความสัมพันธ์ธรรมชาติ ในด้านของสัตว์ต่าง ๆ เช่น ผีเสื้อ มีปีกสีสันดูแล้วงดงามท าให้คน ดึงมาประดับผ้าและใช้ประโยชน์จากความสวยงามนี้โดยทางอ้อม 2. ปกาเกอะญอมีความเชื่อ ความศรัทธา เช่น ดวงดาวบนท้องฟ้า 3.16) แนวโน้มกำรเปลี่ยนแปลงทำงกำรแต่งกำยของชนเผ่ำในอนำคต มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเครื่องแต่งกายให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น เยาวชนรุ่นใหม่ (ผู้ที่อยู่ในชุมชน) สนใจที่จะได้รับการถ่ายทอด สืบทอด องค์ความรู้จากผู้รู้ อย่างต่อเนื่อง เยาวชนรุ่นใหม่ (ผู้ที่เข้ามาอยู่ในตัวเมือง) ไม่สนใจที่จะสืบทอดองค์ความรู้ มองว่าการแต่ง กายด้วยชุดปกาเกอะญอเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการทอ ยุ่งยาก ราคาสูง รูปแบบไม่ดึงดูดใจ ไม่สะดวก ซื้อ และสวมใส่ ตลอดจนมีอิทธิพลของสื่อที่เข้ามามีบทบาทส าคัญต่อการตัดสินใจ


24 3.17) กำรคงอยู่และกำรรือ้ฟื้นให้คงอยู่ แนวโน้มของวิธีการผลิตจะยังอยู่คู่กับชุมชนพร้อมกับเพิ่มปริมาณในการถ่ายทอด และมี การสวมใส่ชุดปกาเกอะญอ ทั้งงานพิธีกรรม วิถีชีวิตประจ าวัน ส าหรับคนรุ่นหลังจะมีการสวมใส่ชุดป กาเกอะญอมากขึ้นทั้งนี้ผลพวงมาจากสถานศึกษาในโรงเรียน การปลูกฝังค่านิยมที่ดีงามในชุมชน ปัจจุบัน


25 บทที่4 : บทสรุป และข้อเสนอแนะ การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับชุดการแต่งกายของชนเผ่าปกาเกอะญอ ซึ่งอยู่ ภายใต้โครงการวิจัย ”ภูมิไทย ชุดไทย” พื้นที่ศึกษาคือบ้านห้วยส้มป่ อยหมู่ที่ 8 ต าบลดอยแก้ว อ าเภอ จอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และสามารสรุปผลจากศึกษาวิจัยออกมาโดยรวมได้ดังนี้ 4.1 บทสรุป การศึกษาข้อมูลองค์ความรู้ สิ่งที่บ่งบอกถึงอัตตลักษณ์ความเป็นปกาเกอะญอเกี่ยวกับเครื่อง แต่งกาย จากการศึกษาพบว่าประวัติศาสตร์ต านาน ความเชื่อเกี่ยวเครื่องแต่งกายของชนเผ่าปกา เกอะญอ การให้ความหมายเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายคือเป็นสิ่งที่ใช้นุ่งห่มปกปิดร่างกาย เป็นการบ่งบอกถึงสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม การออมทรัพย์รวมถึงใช้เป็นเครื่องสื่อสารร่มเงาให้กับ คนตาย การจ าแนกประเภทของเครื่องแต่งกาย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือการจ าแนกตามสถานภาพ (เพศ/วัย) และการจ าแนกตามยุคสมัย แหล่งที่มาวัตถุดิบ คือมาจากการปลูกในสวน ไร่ เก็บจากป่ า และซื้อมาจากข้างนอกกรณีที่เป็นด้ายสมัยใหม่เช่นไนล่อนเป็นต้น ผู้ที่มีบทในการปลูก ประดิษฐ์ ดูแล รักษา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปลูก การเก็บการรักษา การประดิษฐ์ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ส่วนการใช้ ใช้ทั้ง ผู้หญิงและผู้ชาย ความคิดริเริ่ม แรงบันดาลใจ และการสร้างสรรค์งานประดิษฐ์ทางการแต่งกาย คือ โดยส่วนใหญ่ลวดลายเครื่องแต่งกายของชนเผ่าปกาเกอะญอได้มาจากสิ่งที่บรรพบุรุษเดิมได้สะสม และปฏิบัติกันมา ซึ่งมีอยู่มากมาย หลายหลาย มีความซับซ้อนในยุคสมัยใหม่มีการประดิษฐ์และ ดัดแปลงมาจากสิ่งได้พบเห็นใหม่ยิ่งในยุคหลังสีสัน ลวดลายผ้า การประยุกต์ใช้มีมาก รวมทั้งการใช้สี สมัยใหม่-เก่าผสมกันในการประดิษฐกรรมต่างๆ การถ่ายทอดสืบทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการแต่งกาย ยังยึดหลักการเรียนรู้ และสืบทอดจากแม่ไปลูกสาว หรือคนในชุมชน ข้อปฏิบัติหรือข้อห้ามเกี่ยวกับ เครื่องแต่งกายชนเผ่าปกาเกอะญอ เป็นการห้ามในลักษณะที่เป็นไปตามเพศวัยโดยกฎจารีต ชุมชน เป็นตัวดูแลควบคุมเช่น การห้ามผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานแล้วกลับมาสวมใส่ชุดขาว(เชวา) ระห่างที่มี การท ามัดหมี่ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ ห้ามแต่งกายไม่ตรงกับเพศ บทกลอน ค าสอนที่ที่สะท้อน และตอกย ้า ความสัมพันธ์ผ่านเครื่องแต่งกายระหว่างคนกับธรรมชาติ ส่วนบทค าสอนบทกลอนทุกขั้นตอนมีบท กลอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการบ ารุงรักษาวัตถุดิบ ความประนีต ความละเอียด คุณธรรมจริยธรรม ความสัมพัมธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ รวมไปถึงวิญญาณของ ผู้ตาย แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการด ารงอยู่ การรื้อฟื้นเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายในอนาคต ประเด็นคาด ว่ารูปแบบการแต่งกายในอนาคตทั้ง รูปแบบ สีสัน ลวดลายที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กรุ่น


26 ใหม่อาจใช้เครื่องแต่งกายชนเผ่าปกาเกอะญอในโอกาสเทศกาลต่างๆมากกว่าการแต่งเป็น ชีวิตประจ าวันเหมือนดังที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ 4.2 ข้อเสนอแนะ 1)การศึกษาเรียนรู้เรื่ององค์ความรู้ชนเผ่าต่างๆท าให้เข้าใจถึงระบบการให้คุณค่า ความหมาย องค์ความรู้ รายละเอียด ความหลากหลายของชุดการแต่งกายต่างๆได้ดีมากขึ้น ดังนั้นคณะผู้วิจัยมอง ว่าหากรัฐมีการส่งเสริมให้มีการวิจัยเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของชนเผ่าชาติพันธุ์มากขึ้น โดยเฉพาะการ เน้นผู้วิจัยจากคนในชาติพันธุ์ตนเองเป็นผู้ศึกษาวิจัยจะท าให้ข้อมูลที่ได้รับมีความถูกต้อง แหลมคม มากขึ้น และผลจาการศึกษาวิจัยจะถือเป็นแหล่งเรียนรู้ ฐานข้อมูลที่ส าคัญส าหรับผู้ที่สนใจรวมถึงผู้ที่ จะน าไปศึกษาต่อยอดในเชิงลึกมากขึ้น 2)เมื่อจบกระบวนการศึกษาวิจัยควรมีการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นระบบเพื่อสะดวกแก่การศึกษา ค้นคว้า อ้างอิงและการน าไปใช้ 3) ควรจัดงานเพื่อน าเสนอผลการวิจัยชุดการแต่งกายของชนเผ่าต่างๆ ที่มีการวิจัยแล้ว ทั้งใน ระดับชาติและนานาชาติเพื่อใช้เป็นพื้นที่การเสนอเอกลักษณ์วัฒนธรรมเกี่ยวกับการแต่งกายที่บุคคล สาธารณชนทั่วไปได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการแต่งกายของชนเผ่าต่างๆที่ถูกต้อง


ก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้วิจัย 1. นายสุรชัย ทวีเจริญพร 2. นายนวพล คีรีรักษ์สกุล 3. นายไวยิ่ง ทองบือ 4. นายทรงพลศกัดิ์รัตนวิไลลักษณ์ 5. นางอ าไพ คีรีรักษ์สกุล 6. นางสาวจันทร์ทา ดารารัตนกิจ 7. นางขันแก้ว รัตนวิไลลักษณ์


ข ข รายชื่อผู้รู้ 1. นางหน่อแอริ ทุ่งเมืองทอง อายุ 30 ปี บ้านห้วยอีค่าง อ. แม่วาง 2. นางอัมพร ทองบือ อายุ 37 ปี บ้านห้วยส้มป่ อย อ. จอมทอง 3. นางบัวลา คามคีรีวงค์ อายุ 31 ปี บ้านห้วยส้มป่ อย อ. จอมทอง 4. นางแง มีภาคภูมิ อายุ 50 ปี บ้านห้วยส้มป่ อย อ. จอมทอง 5. นางหน่อหล้าเก เจริญรัตนกุล อายุ 57 ปี บ้านห้วยส้มป่ อย อ. จอมทอง 6. นางเพชรา สว่างรัตนชัยยง อายุ 37 ปี บ้านห้วยส้มป่ อย อ. จอมทอง 7. นางศรีนวล คีรีไพรพฤษา อายุ 41 ปี บ้านห้วยส้มป่ อย อ. จอมทอง 8. นางสกุ ญัญา นา ้ใจบรสิทุธิ์อายุ 38 ปี บ้านห้วยส้มป่ อย อ. จอมทอง


ค บรรณานุกรม ทรงพล รัตนวิไลลักษณ์ วิทยานิพนธ์ “การสร้างตัวตนผ่านการปฏิบัติเกี่ยวกับป่ าของ ชุมชนปกาเกอะญอ” (2546)


Click to View FlipBook Version