The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ข้อมูลพื้นฐานชุมชน บ้านห้วยอีค่าง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Khankaew Rtavlx, 2024-04-10 06:46:43

ข้อมูลพื้นฐานชุมชน บ้านห้วยอีค่าง

ข้อมูลพื้นฐานชุมชน บ้านห้วยอีค่าง

ข้อ ข้ มูล มู พื้น พื้ ฐานชุม ชุ ชน บ้า บ้ นห้ว ห้ ยอีค่ อี า ค่ ง


1.ศูนย์ส่งเสริมภาษาและวฒันธรรมชนเผ่า จดัต้งัณ บา้นหว้ยอีค่าง หมู่1 ตา บลแม่วนิอา เภอแม่วางจงัหวดัเชียงใหม่โดยใชพ้ ้ืนที่ของอาศรม พระธรรมจาริกบา้นห้วยอีค่างเป็นสถานที่ต้งัศูนยส์ ่งเสริมภาษาและวฒันธรรมชนเผา่ซ่ึงอยชู่้นัที่1ของศาลา บ าเพ็ญบุญหลังปัจจุบัน ภายในศูนยส์ ่งเสริมภาษาและวฒันธรรมชนเผา่ ประกอบดว้ยสิ่งเหล่าน้ี 1.ประวัติศาสตร์ชนเผา่/หมู่บา้น 2.ท าเนียบคณะกรรมการศูนยส์ ่งเสริมภาษาและวฒันธรรมชนเผา่ 3.ท าเนียบผู้รู้ศูนยส์ ่งเสริมภาษาและวฒันธรรมชนเผา่ 4.แผนที่ชุมชนบา้นหว้ยอีค่าง 5.แผนที่แสดงบ้านของผู้รู้ชุมชน 6.แผนที่แสดงพ้ืนที่ทา กินบา้นหว้ยอีค่าง 7.แผนที่แสดงแหล่งความชื่อในชุมชน 8.สิ่งของเครื่องใชข้องชนเผา่ ในอดีต 9.เครื่องแต่งกายของชนเผา่ 10.เครื่องจักรสาน/สื่อผลิต 11.กฎขอ้หา้มและขอ้ปฏิบตัิของชนเผา่ 12.กฎข้อห้ามและข้อปฏิบัติในชุมชน 1.คณะกรรมการศูนย์ส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ที่ ชื่อ-นามสกลุทอี่ยู่บทบาทหน้าที่ 1. นายสีมา ทุ่งเมืองทอง ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ประธาน 2. นายบุเจ้ ไศลทองเพริศ ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ รองประธาน 3. นางหน่อแอริทุ่งเมืองทอง ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่เลขานุการ 4. นางพิรดา มงั่สุขเจริญวงศ์ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ เหรัญญิก 5. น.ส.ชไมพร ศรีเอ้ืองดอย ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ผช.เหรัญญิก 6. นายวุฒิไกร พุทธรักสกุล ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ประชาสัมพันธ์ 7. นางเจ๊ะแฮ ธารธัญสาร ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่กรรมการ 8. นางจันทร์ฉาย โนลอย ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่กรรมการ 9. นายพะบาง ควันอารมณ์ ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่กรรมการ


ทา เนียบผู้รู้ศูนย์ส่งเสริมภาษาและวฒันธรรมชนเผ่า ที่ ชื่อ-นามสกลุทอี่ยู่องค์ความรู้ 1 นายมงคล รักยงิ่ประเสริฐ ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ วัฒนธรรม/ศิลปะป้องกนัตวัการจักสาน 2 นางหน่อแอริทุ่งเมืองทอง ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ หัตถกรรม/ย้อมสีธรรมชาติ 3 นายพะบาง ควันอารมณ์ ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ วิถีชีวิต 4 นายสีมา ทุ่งเมืองทอง ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ภาษาเขียน 5 นายวุฒิไกร พุทธรักสกุล ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ประวัติศาสตร์ 6 นางสุนา จันทร์พอดู ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ศิลปหตัถกรรม/ลายผา้ชนเผา่กร. 7 น.ส.ชไมพร ศรีเอ้ืองดอย ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ศิลปหตัถกรรม/ลายผา้ชนเผา่กร.(เยาวชน) 8 นายพะชิเจ๊ะ ควันอารมณ์ ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ วิถีชีวิต (เยาวชน) 9 นายค าดี ตะโฮ ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่บทธา สุภาษิต ล าน า 10 นายบุเจ้ ไศลทองเพริศ ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่สิ่งแวดลอ้ม 11 นางรังวัลย์ ตะโฮ ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ บทธา/สุภาษิต/ล าน า 12 นางสายสุดา ศรีเอ้ืองดอย ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ภาษาเขียน/นิทาน/สมุนไพร 13 นายบุญมี พุทธรักสกุล ม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ประเพณี 14 นางหน่อยวอน เจริญสุขสมบตัิม.1 บา้นหว้ยอีค่าง ต.แม่วนิอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่อาหาร/โภชนาการ 4. กจิกรรมแผนงานของหมู่บ้านทรี่่วมกบัแผนอบต.ทสี่ามารถบุรณาร่วมกับโครงการpeicyได้ 1.โครงการสืบสานวฒันธรรมชนเผา่ 2.โครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรมใหแ้ก่ประชาชน 3.โครงการสนบัสนุนหลกัสูตรทอ้งถิ่น แผนการเรียนการสอนของศูนย์ส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมชนเผ่า ล าดับที่ เนื้อหา สาระการเรียนรู้ผู้รู้/ผู้ถ่ายทอด หมายเหตุ 1 ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ -ประวตัิความเป็นมาของชนเผา่ (ตา นาน ชนเผา่ ) -ประวัติความเป็ นมาของหมู่บา้นห้วย อีค่าง (การก่อต้งัชุมชน) -ประวตัิผนู้า หมู่บา้น 1.นายวุฒิไกร พุทธรักสกุล 2.ผู้รู้ในชุมชน


2 วัฒนธรรมและประเพณี วัฒนธรรม -การด ารงชีวิตของชนเผา่ -การแต่งกาย -ขอ้ห้ามและขอ้ควรปฏิบตัิของชนเผา่ ประเพณี -พิธีกรรมต่างๆของชนเผา่ -ความเชื่อของชนเผา่ ในแต่ละเรื่อง 1.นายมงคล ยงิ่รักประเสริฐ 2.นายบุญมี พุทธรักสกุล 3.ผู้รู้ในชุมชน 3 ภาษา/บทธา(บทซอ)/นิทาน ภาษา -ภาษาพู/ภาษาเขียน (พยัญชนะ, สระ, วรรณยุกต์) บทธา -บทธาเกี่ยวกบัการดา รงชีวิต,ความเป็ นมา ชนเผา่ , ซอบุญ, ซองานแต่ง, ซองานศพ, ซอตา นานชนเผา่ นิทาน -นิทานพ้ืนบา้น (หน่อหมื่อเอ,หน่อเดกกอว หน่อตาโฮ,หน่อชาตรู,เจ๊าะโพแคฯลฯ) 1.นายค าดี ตะโฮ 2.นางรังวัลย์ ตะโฮ 3.นางสายสุดา ศรีเอ้ืองดอย 4.ผู้รู้ในชุมชน 4 การจัดการองค์ความรู้ เกี่ยวกบัทรัพยากรธรรมชาติ -ความหมาย ความส าคัญของ ทรัพยากรธรรมชาติ -การจัดการ การอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ(ดิน ป่า น้า ) -การปฏิบตัิตนต่อทรัพยากรธรรมชาติ -สมุนไพรน่ารู้ประโยชน์ของสมุนไพร -กฎระเบียบที่เกี่ยวกบัทรัพยากร (ดิน ป่า น้า ) 1.นายพะบาง ควันอารมณ์ 2.นายบุเจ้ ไศลทองเพริศ 3.นายพะชิเจ๊ะ ควันอารมณ์ 4.ผู้รู้ในชุมชน 5 การจักสาน/ทอผ้า/ย้อมสี ธรรมชาติ การจักสาน -การจักสานคืออะไร -ความรู้ทวั่ ไปเกี่ยวกบัการจกัสาน -สิ่งที่ตอ้งเตรียมก่อนจกัสาน (อุปกรณ์) -หลักการและวิธีการจักสาน -ประโยชน์และคุณค่า การทอผ้า -การทอผ้าคืออะไร -ความรู้ทวั่ ไปเกี่ยวกบัการทอผา้ -สิ่งที่ตอ้งเตรียมก่อนทอผา้ (อุปกรณ์) -หลักการและวิธีการทอผ้า -ประโยชน์และคุณค่า การย้อมสีธรรมชาติ -การย้อมสีธรรมชาติคืออะไร -ความรู้ทวั่ ไปเกี่ยวกบัการยอ้มสีธรรมชาติ -สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนยอ้มสี(อุปกรณ์) -หลักการและวิธีการย้อมสีธรรมชาติ 1.นางหน่อแอริทุ่งเมืองทอง 2.นางสุนา จันทร์พอดู 3.น.ส.ชไมพร ศรีเอ้ืองดอย 4.นายมงคลรักยงิ่ประเสริฐ 5.ผู้รู้ในชุมชน


-ชนิดของต้นไม้ที่สามารถน ามาย้อมสีได้ -สิ่งที่ควรคา นึงในการยอ้มสีธรรมชาติ -ข้อที่ควรระวังในการย้อมสี -ประโยชน์และคุณค่า 6 อาหาร/โภชนาการ อาหารและโภชนาการ -ประวัติความเป็ นมา -เศรษฐกิจพอเพียง -ประเภทของอาหาร -แหล่งอาหารแต่ละประเภท -หลักการและวิธีการการผลิตอาหารจาก ธรรมชาติ -การถนอมอาหารแต่ละประเภท -ประโยชน์และคุณค่า 1.นางหน่อยวอน เจริญสุขสมบัติ 2.ผู้รู้ในชุมชน 7 เวทีเสวนาผู้รู้ เสวนาผู้รู้ -แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ -การจัดกระบวนการเรียนรู้ -สรุปบทเรียน ผู้รู้ในชุมชน สถานที่และวันเวลา สถานที่ -ใช้ศูนย์ส่งเสริมภาษาและวฒันธรรมชนเผา่ เป็ นสถานที่เรียนรู้ เวลา -ทุกวันเสาร์ เวลา 08.30-14.00 น. กิจกรรมของชาวบ้านในรอบปี ตามเดือน ปฏิทินพิธีกรรมของปกาเกอะญอ เดือนไทย เดือนปกาเกอะญอ พิธีกรรม หมายเหตุ มกราคม เต่อเล เรียกขวัญนก, สละคีดะ กิจกรรมระหว่าง เดือน ม.ค-เม.ย -การทอผ้า -จักสาน -เรียนรู้บทธา กุมภาพันธ์ ทีแพะ มดัมือข้ึนปีใหม่คร้ังที่หนึ่ง ก่อนลงมือทา งาน มีนาคม ทีคู่ตดัตน้ ใหญ่ในไร่/ตากไร่/ทา แนวกนัไฟ


เมษายน ลาเซอ สงกรานต์/รดน้า ดา หวัผใู้หญ่ พฤษภาคม เดะญ่า สร้างฝาย/เล้ียงผีฝาย/หว่านเมล็ดขา้ว/ บือแชะคลี มิถุนายน ลานุย ปลูกข้าว/ไหว้หัวข้าว กรกฎาคม ลาเคาะ เล้ียงผไีร่ ,ผีนา สิงหาคม ลาคุ มดัมือคร้ังที่สอง ,ผูกขวัญควาย หลังจากท านาเสร็จ กนัยายน ชิหมื่อ ข้าวท้อง/กินขา้วเมา้/ถอนหญา้ กิจกรรม ระห ว่ าง เดือน ก.ย-ตุ.ค -เรียนรู้บทธา (เรียนตอนที่แตงกวาไร่ ออกดอกเชื่อวา่ทา ให้จา ได้ดี) ตุลาคม ชิฉ่า ข้าวออกรวง/กินหวัขา้ว พฤศจิกายน ลานอ เกี่ยวขา้ว/ตีขา้ว/ข้ึนยงุฉาง ธันวาคม ลาปลือ สละคีดะ , แซะบือคลี/เกี่ยวหญา้คา/พายคา 5.ฐานข้อมูลชุมชน 1.ข้อมูลประวตัิการก่อต้ังชุมชน จากคา บอกเล่าสืบต่อกนัมาจากคนรุ่นสู่รุ่นทา ให้ทราบวา่บริเวณบา้นห้วยอีค่างในอดีตเคยเป็นถิ่นที่ อยูอ่าศยัของชนเผา่ลวัะมาก่อน และภายหลงัชนเผา่ลวัะไดท้ ิ้งถิ่นฐานไปซ่ึงสังเกตไดจ้ากซากวดัเก่า ป่าช้า และวสัดุเครื่องใชต้่างๆ ต่อมาชาวบา้นที่เป็นชนเผา่ ปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยงไดอ้พยพเขา้มาอยใู่นบริเวณน้ี บางส่วนอพยพมาจากแม่อุดอง จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณการเริ่มต้งัถิ่นฐานของบา้นห้วยอีค่างพบว่ามีอายุ ประมาณ 350 ปี เมื่อเขา้มาต้งัถิ่นฐานในช่วงแรกๆ มีการต้งัชุมชนเป็นแนวยาวจากดอยปูปอเดาะจนถึงห้วยอีค่างมีชื่อ วา่ " แดลอพะทอ" หรือบา้นยาวในขณะน้นับา้นหว้ยอีค่างกบับา้นทุ่งหลวงยงัเป็นหมู่บา้นเดียวกนัมีเพียง 20 หลงัคาเรือน ต่อมาเกิดโรคระบาดมีผูค้นลม้ตาย ทา ใหม้ีการอพยพโยกยา้ยชุมชนโดยส่วนที่ยา้ยข้ึนทางเหนือ ต้งัเป็นชุมชนบา้นห้วยอีค่าง ส่วนที่ยา้ยลงทางใตเ้ป็นชุมชนบา้นทุ่งหลวงและมีการแยกหมู่บา้นเป็นหมู่ที่1 และหมู่ที่2 ต้งัแต่น้นัมา หลงัจากน้นัก็ต้งัเป็นชุมชนถาวรไม่ไดอ้พยพไปไหนอีกโดยมีหลกัฐานที่แสดงให้


เห็นถึงการต้งัถิ่นฐานคือไมผ้ลที่ปลูกในบริเวณหมู่บา้นเช่น ตน้มะขาม ตน้ขนุน ซ่ึงมีอายรุาว 100 กวา่ ปีบา้น หว้ยอีค่างไดก้่อต้งัอยา่งเป็นทางการ เมื่อปีพุทธศกัราช 2438 2.สภาพทางกายภาพและระบบนิเวศน์ ชุมชนต้งัอยูท่ ี่ระดบัความสูงจากน้า ทะเล500 – 1,400 เมตร มีดอยส าคญัลอ้มรอบหมู่บา้น คือ ดอย กะโจ๊ะ ดอยม่อนยะ ดอยเหล่อปอเฮอ ดอยแดวะกอ้ดอยพระธาตุศรีพุทธิวงศ์ปอกุ๊เด บือโส่ตู่ดอยต่ากิ๊ยา่อ๊ะ หลู่ดอยชา้งนอ้ย ซ่ึงเป็นตน้กา เนิดของลา ห้วยสายเล็กสายน้อยเช่นห้วยมะกอก ห้วยมะโอ ห้วยมะนาว ห้วย เก่อชอแชะเก่อ ปู่ไมห้ ่าโกล๊ะเซอะผี่โกล๊ะ แดลอโพโกล๊ะ ห้วยโป่งเกี๊ยะ ซ่ึงไหลลงสู่ลา ห้วยอีค่าง ไหลลงสู่ น้า แม่เตียน น้า แม่วาง น้า ปิงตามลา ดบั สภาพป่าโดยทวั่ ไปเป็นป่าที่มีความหลากหลายสูง โดยมีป่าสนเขาผสมป่าเต็งรังเป็นส่วนใหญ่มีป่า ดิบแล้ง และป่ าเบญจพรรณผสมบ้างประปราย 1. ป่ าสนเขาผสมเต็มรัง จะอยู่บริเวณห้วยโป่งเกี๊ยะ ไปจนถึงต่าเดโดะ(กิ่วดอยเขตติดต่อระหวา่ง หว้ยอีค่างกบัแม่ขะปู) ประกอบดว้ยไมส้น ก่อเดือย ไมเ้หียงไมแ้งะไมแ้ดง เป้ง ปรงป่า ฯลฯ 2. ป่ าเบญจพรรณ ซ่ึงมีไผ่เป็นไมห้ลกัพบตามลา ห้วยต่าง ๆ พบมากแถว “หว่ามีปา” ในเขตดอย ม่อนยะไผท่ ี่พบเห็นมีอยู่4 ชนิด คือ 1. หวา่มี(ไผซ่าง) 2. หวา่กลึวา (ไผห่ก) ใช้ท าฟาก พบน้อยที่สุดเหลือเพียง 3 – 4 กอเท่าน้นั 3. หวา่ซึ(ไผบ่ง) พบมากที่สุด ชาวบา้นนิยมรับประทานหน่อชนิดน้ีมากที่สุดเพราะมีรสชาติ อร่อยกวา่ชนิดอื่น ๆ และใช้จักตอก จักสานเครื่องใช้ภายในครัวเรือน 4. หว่าเก๊อะหม่า ชาวบา้นไม่นิยมกิน ส่วนใหญ่จะใช้จกัสานมากกว่าเนื่องจากมีคุณสมบตัิ เหนียว ทนทาน ลา ตน้ตรงสวยและไม่ค่อยมีหนาม 3. ป่ าดิบแล้ง หรือที่ชาวบา้นเรียกวา่ ป่าเก่อเนอ ซ่ึงจะพบตามลา ห้วยต่าง ๆ บริเวณซะโปล่เด (ขุน ห้วยอีค่าง) และเหล่อปอเฮอ ประกอบด้วยไมจุ้มปีตองสาด กล้วยป่า และผลไม้ป่า เช่น สตรอเบอร์รี่ป่ า มะม่วงป่าฝรั่งป่า ดอยส าคัญ ไดแ้ก่ดอยกะโจะ๊, ดอยโป่งเกี๊ยะ,ดอยเหล่อปอเฮอ(เป็นดอยที่มีกอ้นหินต้งัเหมือนหมอ้ น่ึง ชาวบา้นเชื่อวา่สถานที่แห่งน้ีเป็นสถานที่ศกัด์ิสิทธ์ิเวลาที่ฝนไม่ตกตามฤดูกาลชาวบา้นจะไปทา พิธีขอฝน ที่ดอยเหล่อปอเฮอ สถานแห่งน้ีมีขอ้หา้ม คือ หา้มผูห้ญิงข้ึนไปบนหินหมอ้น่ึง หา้มทา ไร่หมุนเวยีนในบริเวณ น้ีและเวลาไปทา พิธีขอฝนห้ามนา เน้ือสัตวไ์ปกิน ถา้ใครลบหลู่จะใหฝ้นไม่ตกตามฤดูกาล ชาวบา้นจะทา การเกษตรไม่ได้)


ล าห้วยส าคัญ ลา หว้ยหรือลา น้า สายหลกัที่ถือวา่มีความสา คญัต่อชาวบา้นหว้ยอีค่างอยา่งมากคือ น้า แม่เตียน นน้ ้า โป่งเกี๊ยะและน้า หว้ยอีค่าง, น้า โป่งสมิต, เหล่อปอเฮอโกล๊ะเพราะน้า เหล่าน้ีถือเป็นน้า สาย หลักที่ใช้ในการท า การเกษตร และใช้บริโภคในครัวเรือน พนัธ์ุปลาในลา ห้วย ที่ยงัคงมีอยเู่ช่น ปลาขาว ปลาก้งั ปลาดุก ปลาหญ่าโส่ ปลาช่อน ปลากด ปลาซิว โดโป่ลู่หญ่ากอดิ๊ปลาไหล ฯลฯ พนัธ์ุไม้ส าคัญ ไดแ้ก่ไมเ้ตง็ ไมร้ังไม่เหียงไมส้น เป้งไมจุ้มปีไมก้่อ หวายไมไ้ผ่ฯลฯ สัตว์ป่ าไดแ้ก่เกง้หมูป่า ชะนีหมูหริ่ง หมาหริ่ง บ่าง ฯลฯ นกจากการส ารวจนกในป่ ามีประมาณ 117 ชนิด เช่น นกกระทาดงแกม้เขียว นกกระทาทุ่ง นกกวัก นกกระแตแตแ้วด้นกเปลา้หางเขม็นกเปลา้ทอ้งขาว นกลมพูนกเขาใหญ่นกเขาเขียว นกแกว้โม่ง นกแขก เตน้นกกาเหวา่นกบ้งัรอกใหญ่นอกกระปูด นกแสกแดง ฯลฯ วิถีชีวิต/วฒันธรรมของชุมชน ชุมชนหว้ยอีค่างเป็นชนเผา่ ปกาเกอะญอสกอว์หรือชนเผา่กะเหรี่ยงสกอว์ วิถีชีวิตโดยทวั่ ไปของ ชุมชนด้งัเดิม คือการทา ไร่หมุนเวยีนเพื่อปลูกขา้วและพืชผกัต่าง ๆ เช่นฟักทอง ฟักเขียวแตงกวา เผือก มนั ถวั่ออ้ย พริก มะเขือ ลูกเดือย ฯลฯ แต่ปัจจุบนัสิ่งอา นวยความสะดวกเขา้มาในชุมชนมากข้ึน คนในชุมชน ไดม้ีการบุกเบิกพ้ืนที่ราบเพื่อทา นาดา มากข้ึน มีผนื ป่าใกล้ๆ บา้นเป็นแหล่งพ่ึงพาอาศยัท้งัอาหารเครื่องใช้ ในครัว สร้างบา้น หาฟืน และเป็นที่พกัผอ่นหยอ่นใจใหค้นในชุมชนดว้ย มีการทอผา้และทา เครื่องไม้ เครื่องมือในการเกษตรไวใ้ชเ้อง วถิีชีวติดา เนินไปอยา่งเรียบง่ายสอดคลอ้งกบัทรัพยากรที่มีอยใู่นชุมชน อีก ท้งัชุมชนยงัมีกฎเกณฑท์ ี่เป็นแนวทางในการดา เนินชีวติและสืบทอดกนัมาแต่ยาวนาน เช่น ความเชื่อเรื่อง " หมื่อกฆาเขล่อ" ใหค้นมาเกิด ดงัน้นัเวลาเด็กเล็กๆ ตายจะตอ้งนา ศพไปไวใ้ตต้น้เขล่อหรือตน้ โพธ์ิตน้ ไทร และถากเปลือกใหน้ ้า ยางไหลเพราะเชื่อวา่ยางของตน้ โพธ์ิคือน้า นมที่จะเล้ียงดูเด็กต่อไปแสดง ใหเ้ห็นถึง ความเคารพต่อธรรมชาติและควรดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ คนในชุมชนยงัมีความสัมพนัธ์แน่นแฟ้นดว้ยระบบเครือญาติมีการช่วยเหลือเก้ือกูลเช่น การเอาม้ือ เอาวนั ในการท าการเกษตร การช่วยกันสร้างบ้าน ช่วยงานแต่ง งานศพ และการช่วยเหลือกันในยาม เดือดร้อน มีการยึดถือปฏิบตัิสืบทอด ความเชื่อจารีต ประเพณีด้งัเดิมของชุมชน เช่น การเล้ียงผีการมดัมือ เรียกขวญัการปฏิบตัิตามขอ้หา้ม ขอ้กา หนดของชุมชน ฯลฯ การแต่งกายการใชภ้าษาแม่ในการสื่อสารยงัคง ยึดถือตามรูปแบบเดิม นบัถือศาสนาพุทธควบคู่กบัความเชื่อด้งัเดิมที่เกี่ยวกบัผีและสิ่งศกัด์ิสิทธ์ิต่างๆ ซ่ึงมี การผสมผสานกนัอยา่งเหมาะสม โดยในความเชื่อเกี่ยวกบัผีและสิ่งศกัด์ิสิทธ์ิจะมี" หญี่โข่"เป็ นผู้น าหรือผู้ ประกอบพิธีกรรม ส่วนทางศาสนาพุทธจะมีพระสงฆเ์ป็นผนู้า และผปู้ระกอบพิธีกรรม


ปัจจุบนัชุมชนไดม้ีปฏิสัมพนัธ์กบัสังคมภายนอกมากข้ึน เช่น ดา้นเศรษฐกิจการศึกษาการ รักษาพยาบาลการปกครองในระบบราชการการรับรู้ขอ้มูลข่าวสารต่างๆ ซ่ึงชุมชนเองไดม้ีการปรับตวัให้ เท่าทนักบัสิ่งใหม่และยงัคงรักษาวฒันธรรมด้งัเดิมควบคู่กนัไปอยา่งเหมาะสมและลงตวั การปกครองของชุมชน มี2แบบ คือ 1. การปกครองแบบด้งัเดิม คือ มีหญี่โข่เป็นผูน้า ทางพิธีกรรมความเชื่อวฒันธรรม ประเพณีที่มีการ สืบทอดกนัตามตระกูลแต่ปัจจุบนับา้นหว้ยอีค่างไม่มีหญี่โข่มา 2 ปีกวา่แลว้เนื่องจากหญี่โข่คน ล่าสุดไดต้ายไป และไม่มีลูกผชู้ายใหส้ืบทอด ตามความเชื่อด้งัเดิมตอ้งรอใหค้รบ 3 ปี แลว้ค่อยเสี่ยง ทายวา่คนที่จะเป็นผูน้า หญี่โข่คนต่อไปจะเป็นใคร ตระกูลไหนช่วงเวลาที่รอใหค้รบ 3 ปี ชุมชนจึง ใชร้ะบบผเู้ฒ่าผูแ้ก่ในการกา หนดวนัทา พิธีกรรมประเพณีในชุมชน แต่พิธีกรรมแต่ละอยา่งยงัคงตอ้ง รอให้ตระกูลหญี่โข่คนเดิมเป็นนา พิธีกรรมอยจู่นกวา่ชุมชนจะมีหญี่โข่คนใหม่ รายชื่อหญี่โข่มีดังนี้ (1)นายลาแมะ เมียชื่อ หน่อจะ๊แกล๊ะ (2)นายโคะโหละ เมียชื่อ หน่อจิ๊ (3)นายพะจ๊ะ เมียชื่อ หน่อนาคา 2. การปกครองแบบทางการคือมีผใู้หญ่บา้น ซ่ึงเริ่มเขา้มาใน พ.ศ. 2438 –จนถึงปัจจุบัน จะท าหน้าที่ ประสานงานกบัทางการ รายชื่อผู้ใหญ่บ้านต้ังแต่อดีตถึงปัจจุบันมีดังนี้ 1.นายเก๊โพ 2.นายกิ๊น่า 3.นายปอเล็ก ดา รงตา แหน่งเมื่อวนัที่10 พ.ย. 2438 -2449 4.นายกีวีดา รงตา แหน่งเมื่อวนัที่20 มี.ค. 2449 -2474 5.นายหม่อลา ดา รงตา แหน่งเมื่อวนัที่24ก.พ. 2474 -2489 6.นายนุ จิเก ดา รงตา แหน่งเมื่อวนัที่2 มี.ค. 2489 -2524 7.นายโดจะ นุเก ดา รงตา แหน่งเมื่อวนัที่25ก.พ. 2524 -2528 8.นายพะโยแฮ สุวิริยะภาพ ดา รงตา แหน่งเมื่อวนัที่4 ม.ค. 2528 -2543


9.นายไตรภพ มนั่สุขเจริญวงค์ดา รงตา แหน่งเมื่อวนัที่1 มิ.ย. 2543 -2548 10.นายจีละ วสันต์สุขใจ ดา รงตา แหน่งเมื่อวนัที่1 มิ.ย. 2548-2553 11.นายศรีมา ทุ่งเมืองทอง ดา รงตา แหน่งเมื่อวนัที่8 มิ.ย. 2553 – ปัจจุบัน 3.ลา ดับเหตุการณ์ทสี่ าคัญของชุมชน ปี พ.ศ. เหตุการณ์ทเี่กดิขึน้ - บริษทัสมั ปทาน แร่เขา้มา ในชุมชน มีชาวบา้นส่วนหน่ึงมีความคิดที่จะเขา้ไปเป็นลูกจา้งแตผ่เู้ฒ่าผแู้ก่ และชาวบา้นส่วนใหญ่ของชุมชนไม่เห็นดว้ยกบัการสมั ปทานเหมืองแร่จึงมีการรวมตวัคดัคา้นกนั 2521 -โครงการหลวงเข้ามา มาส่งเสริมใหช้าวบา้น เรื่องการปลูกพืชเชิงพาณิช ส่งเสริมการใชปุ้๋ยใชสารเคมี ้ กา จดัแมลงศตัรูพืช วชัพืช ต่อมาชาวบา้นเป็นหน้ีสิน มีผลกระทบต่อสุขภาพชาวบา้นที่ทา การเพาะปลูก รายไดไ้ม่มีความมนั่คง สภาพแวดลอ้มและทรัพยากรธรรมชาติถูกรุกและเสื่อมโทรม เป็นพิษ ชาวบ้าน ถูกกล่าวหาวา่เป็นผทู้า ลายป่า ตน้น้า 2537 - มีการประกาศ เขตเตรียมประกาศอุทยานออบขาน ชาวบา้นไม่เห็นดว้ยจึงมีการรวมตวัคดัคา้น และ ปัญหาต่างๆในชุมชนหมบู่า้นเพิ่มความรุนแรงมากข้ึนเรื่อยๆ - เกิดการรวมกลุ่มกนัเป็นเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือรวมกนัหลายอา เภอเช่น แม่วาง สะเมิง จอมทองแม่แจ่ม เชียงดาว พร้าวเวยีงป่าเป้า เป็นตน้ 2536 -ก่อกา เนิด เครือข่ายการจดัการทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้า วางตอนบน - มีการประชุมใหญ่สรุป บทเรียน วเิคราะห์ปัญหาการพฒันาที่ผา่นมา มีขอ้สรุปวา่การพฒันาที่ผา่นมา ความจริงท้งัผลดีและผลเสีย แต่วา่การพฒันา การส่งเสริมระบบการเกษตรเชิงพาณิชไม่เหมาะสมกบั สภาพ แวดล้อม สภาพภูมิประเทศ และมีขอ้เสนอวา่ระบบ รูปแบบการเกษตรน่าจะผลิตแบบพอพียง หรือพอกิน หลงัมีการประชุมเชิงปฏิบตัิการมาไดม้ีตวัแทนชาวบา้น อาสาสมคัรกลบัมาทา การผลิต แบบเดิม คือเกษตรยงั่ยนื ปลอดสารเคมี 4. สภาพเศรษฐกจิและแบบแผนการผลติชุมชน


1.การท านาและท าไร่ เมื่อต้งัฐานที่แดลอพะทอมีการทา ไร่หมุนเวยีนปลูกขา้วกนัทุกครอบครัว มีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่าน้นั ที่บุกเบิกที่ราบเพื่อทา นา ต่อมาเมื่อเคลื่อนยา้ยมาต้งัชุมชนที่ห้วยอีค่างซ่ึงมีที่ราบลุ่มแม่น้า เตียนเหมาะสา หรับ การทา นา ชาวบา้นจึงเบิกที่นามากข้ึน ปัจจุบนัมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ไม่มีที่นา เนื่องจากเป็นครอบครัวที่ ยา้ยมาอยูท่ ีหลงัและครอบครัวที่บรรพบุรุษมีที่นานอ้ยต้งัแต่ตน้ตามคา บอกเล่าของชาวบา้นน้นัมีการเบิกนา ดา มาไม่ต่า กวา่ 70 ปีแลว้แต่อยา่งไรก็ตามการทา ไร่หมุนเวยีนก็ยงัคงทา สืบเนื่องกนัมาเพราะวา่มนัเกี่ยวขอ้ง การประกอบพิธีกรรมของปกาเกอญอเช่น พิธีต่าหลื่อเหม่(ต่าหลื่อเหม่) เอะบือโข่(กินขา้วใหม่) เก๊าะถ่อโถ่ (ส่งนกขวญัขา้วกลบัสวรรค)์ฯลฯ 2.การเลี้ยงสัตว์ ในหมู่บา้นมีการเล้ียงสัตวพ์ ้ืนบา้น จา พวก หมูเป็ด ไก่ววัควาย ไวใ้ชบ้ริโภคและประกอบพิธีกรรม ในอดีต ววัควายจะเล้ียงส าหรับใชเ้ป็นแรงงานไถนาแต่เมื่อเทคโนโลยีสิ่งอา นวยความสะดวกไดเ้ขา้มาใน คนในชุมชนจึงปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตมาใช้รถไถนาแทน สัตว์เล้ียงเหล่าน้ีจึงเล้ียงไวข้ายเมื่อมีความ จา เป็นตอ้งใช้เงิน เช่น สร้างบา้นใหม่ส่งลูกเรียนหนงัสือ ซ้ือรถ ซ้ือน้า มนัรถใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ฯลฯ สัตวท์ ี่ขายในลกัษณะน้ีจะเป็นหมูววัควาย และปัจจุบนัคนในชุมชนไดเ้ริ่มมีการขุดสระขุดบ่อเพื่อ เล้ียงปลาในที่นา ที่สวน ของตนเองไวบ้ริโภคและขายภายในชุมชนดว้ย 3.การเก็บหาของป่ า ชาวบ้านมีการพึ่งพาอาศัยป่ ารอบๆ ชุมชน ซึ่งผืนป่ าใกล้บ้านเป็ นป่ าจ าพวก ป่าเต็งรัง ป่าไผ่ป่าเบญจ พรรณ และมีป่าดงดิบเป็นจุดๆเท่าน้นัพ้ืนที่ป่าชุมชนมีความหลากหลายทางชีวภาพค่อนขา้งสูง โดยเฉพาะ ทางดา้นอาหาร เช่นหน่อไม้หวายผกักูด ผกัหนาม ผกัริมห้วยมากมาย และเห็ดนานาชนิด ในลา ห้วยก็มี พืชผกัสัตวน์ ้า ให้เก็บหา ซ่ึงพืชผกัอาหารต่างๆ จะมีให้เก็บแตกต่างกนั ไปตามฤดูกาล บางชนิดสามารถเก็บ กินได้ตลอดท้งัปีพืชผกัส่วนใหญ่จะใช้บริโภคเป็นอาหารและสมุนไพร ใช้ส าหรับให้อาหารสัตว์บ้าง นอกจากน้ียงัมีการใชป้ระโยชน์จากไมส้ าหรับสร้างบา้น ทา ร้ัวอุปกรณ์ทอผา้ ใชเ้ป็นอุปกรณ์ทางการเกษตร เช่น ดา้มจอบ ดา้มมีด ด้ามขวาง จักสานของใช้ในครัวเรือน เป็ นต้น 4.การปลูกพืชเศรษฐกจิ


เริ่มแรกน้นั ไดม้ีโครงการหลวงทุ่งหลวงเขา้มาส่งเสริมให้ปลูกพืช ผกั ไมผ้ลไมด้อกอาทิผกัสลดั หอมญี่ปุ่น สาลี่บ๊วย พลบัอาโวคาโด ดอกแสตนดาด ดอกเบญจมาศ แรกๆมีชาวบ้านเขา้มาปลูกกบัทาง โครงการหลวงประมาณ 20 หลงัคาเรือน โดยทางโครงการหลวงมีการลงทุนออกค่ากลา้ไม้ปุ๋ย ยาและสร้าง โรงเรือนให้ก่อน เมื่อขายผลผลิตไดก้็จะหกัคืน ในระยะแรกๆ ผลผลิตมีคุณภาพดีทา กา ไรให้กบัชาวบา้นสูง ดึงดูดให้ชาวบา้นหลายครอบครัวเขา้มาปลูกเพิ่มข้ึน ต่อมาเมื่อมีคนเริ่มปลูกมากข้ึน ทา ให้มีการคัดเลือก ผลผลิตที่มีคุณภาพดีๆเท่าน้นัผลผลิตที่ไม่สวยหรือคุณภาพไม่ถึงเกณฑ์ก็จะคดัทิ้ง ไม่รับช้ือ ทา ให้ชาวบา้น ขาดทุนไปตามๆกนัจากการลงทุนที่สูง จากการปลูกพืชเศรษฐกิจได้ไม่นาน ชุมชนเริ่มมองเห็นปัญหาที่จะเกิดข้ึนกบัชุมชนในระยะยาว โดยเริ่มจากผลกระทบที่เกิดข้ึนกบัรายไดท้ ี่ไม่แน่นอนตอ้งพ่ึงพาตลาด เกิดเป็นหน้ีจากการลงทุน จนถึงความ ไม่มนั่คงทางอาหารเริ่มมีการสังเกตเห็นวา่พืชผกัและสมุนไพรที่ข้ึนเองตามธรรมชาติในนาเริ่มสูญหาย เช่น ผกัแวน่ผกัหนอกเต่อซีเนอแม เป็นตน้และยงัส่งผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้มของชุมชนดว้ยเพราะมีการใช้ สารเคมีมากข้ึน หลายครอบครัวจึงเลิกปลูกพืชเศรษฐกิจดงักล่าวแต่ปัจจุบนัคนในชุมชนที่สามารถรู้จกัการ ใช้สารเคมีแลว้ไดห้ ันไปสร้างสัมพนัธ์กบัพ่อคา้ภายนอกชุมชนปลูกพืชผกั ไมด้อกขายเองโดยพ่อคา้เขา้มา ลงทุนให้หรือบางครอบครัวขายสัตวเ์ล้ียงลงทุนปลูกเองดว้ย ส่วนผลไมท้ ี่ทางโครงการหลวงเขา้มาส่งเสริม และปัจจุบนัยงัคงหลงเหลืออยู่สาลี่บ๊วย ส่วนพลบัชาวบา้นได้เรียนรู้วิธีการต่อกิ่ง เสียบกิ่งจากโครงการ หลวงแลว้ไปเสียบกบักิ่งพลบั ป่าโดยไม่ตอ้งปลูกก็ได้ 5.การรับจ้าง คนในชุมชนออกไปรับจา้งมีท้งัไปกลบัและไปอยูป่ระจา กลุ่มคนที่ไปกลับจะออกไปรับจ้างเมื่อเว้น วา่งจากการผลิตของครอบครัวในพ้ืนที่ใกลๆ้แถบตวัอา เภอเช่น ปลูกขา้ว ทา สวน เก็บลา ไย ฯลฯ ส่วนกลุ่ม คนที่ไปอยูป่ระจา จะมีจา นวนนอ้ยและส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่ออกไปทา งานในภาคบริการต่างๆในตวั เมือง เช่น ผชู้่วยพยาบาล พนกังานบริการในโรงแรม งานก่อสร้างขายของชา ฯลฯ แลว้ส่งรายไดก้ลบัมาให้ ครอบครัว อาจกล่าวได้ว่าชุมชนสามารถดา รงชีพได้อย่างไม่ขดัสนมีขา้วเพียงพอ มีอาหารจากป่าที่ค่อนขา้ง อุดมสมบูรณ์และยงัมีรายไดเ้สริมที่ทา ใหชุ้มชนพอมีเงินออมอยบู่า้น ๕.การอนุรักษ์และจัดการทรัพยากร ดิน น า้ป่า


ชุมชนต้งัอยทู่ ี่ระดบัความสูงจากน้า ทะเล500 – 1,400 เมตร มีดอยสา คญัลอ้มรอบหมู่บา้น คือ ดอย กะโจะ๊ดอยม่อนยะ ดอยเหล่อปอเฮอ ดอยแดวะกอ้ดอยพระธาตุศรีพุทธิวงศ์ปอกุ๊เด บือโส่ตู่ดอยต่ากิ๊ยา่อะ๊ หลู่ดอยชา้งนอ้ย ซ่ึงเป็นตน้กา เนิดของลา หว้ยสายเล็กสายนอ้ยเช่นหว้ยมะกอก หว้ยมะโอ ห้วยมะนาว หว้ย เก่อชอแชะเก่อ ปู่ไมห้ ่าโกล๊ะเซอะผโี่กล๊ะแดลอโพโกล๊ะ หว้ยโป่งเกี๊ยะ ซ่ึงไหลลงสู่ลา หว้ยอีค่างไหลลงสู่ น้า แม่เตียน น้า แม่วาง น้า ปิงตามลา ดบั สภาพป่าโดยทวั่ ไปเป็นป่าที่มีความหลากหลายสูงโดยมีป่าสนเขาผสมป่าเตง็รังเป็นส่วนใหญ่มีป่า ดิบแล้ง และป่ าเบญจพรรณผสมบ้างประปราย ป่ าสนเขาผสมเต็มรังจะอยบู่ริเวณหว้ยโป่งเกี๊ยะไปจนถึงต่าเดโดะ(กิ่วดอยเขตติดต่อระหวา่งหว้ยอี ค่างกบัแม่ขะปู) ประกอบดว้ยไมส้น ก่อเดือยไมเ้หียงไมแ้งะไมแ้ดง เป้ง ปรงป่า ฯลฯ ป่ าเบญจพรรณ ซ่ึงมีไผเ่ป็นไมห้ลกัพบตามลา หว้ยต่าง ๆ พบมากแถว“หวา่มีปา” ในเขตดอยม่อนยะ ไผท่ ี่พบเห็นมีอยู่4 ชนิด คือ หวา่มี(ไผซ่าง) หวา่กลึวา (ไผห่ก) ใช้ท าฟาก พบน้อยที่สุดเหลือเพียง 3 – 4 กอเท่าน้นั หวา่ซึ(ไผบ่ง) พบมากที่สุด ชาวบา้นนิยมรับประทานหน่อชนิดน้ีมากที่สุดเพราะมีรสชาติอร่อยกวา่ ชนิดอื่น ๆ และใช้จักตอก จักสานเครื่องใช้ภายในครัวเรือน หวา่เก๊อะหม่า ชาวบา้นไม่นิยมกิน ส่วนใหญ่จะใชจ้กัสานมากกวา่เนื่องจากมีคุณสมบตัิเหนียว ทนทาน ลา ตน้ตรงสวยและไม่ค่อยมีหนาม ป่ าดิบแล้ง หรือที่ชาวบา้นเรียกวา่ ป่าเก่อเนอ ซ่ึงจะพบตามลา หว้ยต่าง ๆ บริเวณซะโปล่เด (ขุนห้วยอี ค่าง) และเหล่อปอเฮอ ประกอบดว้ยไมจุ้มปีตองสาด กลว้ยป่าและผลไมป้่า เช่น สตรอเบอร์รี่ป่า มะม่วงป่า ฝรั่งป่า ดอยส าคัญ ไดแ้ก่ดอยกะโจะ๊, ดอยโป่งเกี๊ยะ,ดอยเหล่อปอเฮอ(เป็นดอยที่มีกอ้นหินต้งัเหมือนหมอ้ น่ึง ชาวบา้นเชื่อวา่สถานที่แห่งน้ีเป็นสถานที่ศกัด์ิสิทธ์ิเวลาที่ฝนไม่ตกตามฤดูกาลชาวบา้นจะไปทา พิธีขอฝน ที่ดอยเหล่อปอเฮอ สถานแห่งน้ีมีขอ้หา้ม คือ หา้มผูห้ญิงข้ึนไปบนหินหมอ้น่ึง หา้มทา ไร่หมุนเวยีนในบริเวณ น้ีและเวลาไปทา พิธีขอฝนห้ามนา เน้ือสัตวไ์ปกิน ถา้ใครลบหลู่จะใหฝ้นไม่ตกตามฤดูกาล ชาวบา้นจะทา การเกษตรไมได้ ่ ) ล าห้วยส าคัญ ลา หว้ยหรือลา น้า สายหลกัที่ถือวา่มีความสา คญัต่อชาวบา้นห้วยอีค่างอยา่งมากคือ น้า แม่เตียน นน้ ้า โป่งเกี๊ยะและน้า หว้ยอีค่าง, น้า โป่งสมิต, เหล่อปอเฮอโกล๊ะเพราะน้า เหล่าน้ีถือเป็นน้า สาย หลักที่ใช้ในการท า การเกษตร และใช้บริโภคในครัวเรือน พันธุ์ปลาในล าห้วย ที่ยงัคงมีอยเู่ช่น ปลาขาว ปลาก้งั ปลาดุก ปลาหญ่าโส่ ปลาช่อน ปลากด ปลาซิว โดโป่ลู่หญ่ากอดิ๊ปลาไหล ฯลฯ พันธุ์ไม้ส าคัญ ไดแ้ก่ไมเ้ตง็ ไมร้ังไม่เหียงไมส้น เป้งไมจุ้มปีไมก้่อ หวายไมไ้ผ่ฯลฯ สัตว์ป่ าไดแ้ก่เกง้หมูป่า ชะนีหมูหริ่ง หมาหริ่ง บ่าง ฯลฯ


นกจากการส ารวจนกในป่ ามีประมาณ 117 ชนิด เช่น นกกระทาดงแกม้เขียว นกกระทาทุ่ง นกกวกันกกระแตแตแ้วด้นก เปลา้หางเขม็นกเปลา้ทอ้งขาว นกลมพูนกเขาใหญ่นกเขาเขียว นกแกว้โม่ง นกแขกเตน้นกกาเหวา่นกบ้งัรอกใหญ่ นอกกระปูด นกแสกแดง ฯลฯ การจัดการทรัพยากรภายใต้ระบบวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตดั้งเดิม ในอดีตชุมชนมีการจดัการทรัพยากรที่ไดร้ับการสืบทอดจากคนรุ่นพ่อแม่รุ่นปู่ยา่ซ่ึงมีท้งัการดา เนิน วถิีชีวติประจา วนัสอดแทรกอยใู่นคา สอน นิทาน เรื่องเล่า สอดแทรกอยใู่นพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ลว้นเป็นการ สอนให้ลูกหลานรู้จักการดา เนินวถิีชีวติอยรู่ ่วมกบัธรรมชาติไดอ้ยา่งยาวนาน องคค์วามรู้ภูมิปัญญาของคน ชุมชนที่เกี่ยวกบัการจดัการทรัพยากรมีดงัน้ี 1.ป่ าตามความเชื่อ ผนื ป่าตามความเชื่อของชุมชนเป็นป่าผืนใหญ่ผืนเล็กไม่เท่ากนัมีกระจดักระจายทวั่ ไปต้งัแต่ใกลบ้า้นจนไกล ถึงป่าขนุน้า แต่ละประเภทลว้นมีความสา คญั ในแง่มุมที่แตกต่างกนัไป นบัต้งัแต่อดีตจนถึงปัจจุบนัมีป่าที่ ชุมชนอนุรักษไ์วต้ามความเชื่อโดยรวมแลว้มีมากกวา่ 3,000 ไร่ดงัต่อไปน้ี ประเภท ลักษณะความเชื่อ /พ้ืนที่ ต่าเดโดะ (กิ่วดอยหลวง) เป็นป่าที่มีลกัษณะเป็นกิ่วดอยขนาดใหญ่ชุมชนเชื่อวา่เป็นทางเดินของผีโดยมีอยู่2 จุดใหญ่คือ บริเวณกิ่วโป่งเกี๊ยะจา นวน 1,000 ไร่และบริเวณบือโส่เดจา นวน 10 ไร่ เดะหมื่อเบอ เป็นดอยเล็กๆมีน้า ไหลลอ้มรอบ ปัจจุบนัเปลี่ยนเป็นที่นาของชาวบา้น เนื่องจาก มีที่นาไม่ เพียงพอ ต่อการบริโภคของคนในครอบครัวแต่อยา่งไรก็ตามก่อนชาวบา้นจะใชท้า มาหากินใน บริเวณแห่งน้ีจะตอ้งทา พิธีขออนุญาตสิ่งศกัด์ิสิทธ์ก่อน และมีพิธีเล้ียงผเีจา้ที่เจา้ดินเป็นประจา ทุก ปี ทีเป่อถ่อ (ตาน้า ) เชื่อวา่มีผีน้า อยทู่ ี่นนั่มีกระจดักระจายทวั่ ไปในผนื ป่า เมื่อเขา้ป่าหา้มล่วงล้า โดยเฉพาะการ อุจจาระ และปัสสาวะ ดูตะ บริเวณที่เป็นป่าทึบบนดอยสูง เป็นบริเวณที่จะละเวน้ไม่มีการทา ไร่โดยเด็ดขาด มีประมาณ 20 จุด เบาะโซะโอะบู (ถ้า เสือ) บริเวณถ้า นอนของเสือเด็ก ๆ จะกลวัไม่กลา้เขา้ไปล่วงล้า ปัจจุบนั ไม่มีแลว้บริเวณน้ีมีพ้ืนที่ ประมาณ 2 – 3 ไร่ ต่าข่อหล่อ เป็ นบริเวณที่มีรอยเทา้มนุษย์รอยเทา้สัตวอ์ยบู่นกอ้นหิน จุดที่มีรอยเทา้มนุษย์ชาวบา้นเชื่อวา่ เป็นรอยเทา้ของพระพุทธเจา้เวลาฝนไม่ตกตามฤดูกาลชาวบา้นจะไปทา พิธีขอฝนที่นนั่จะเป็นที่ ที่ชาวบา้นเคารพนบัถือในป่าชุมชนบา้นหว้ยอีค่างมีอยู่4 จุด คือรอยเทา้มนุษย์รอยเทา้เกง้ รอยเท้ามา้รอยเทา้ชา้ง บริเวณเหล่าน้ีจะหา้มมิใหม้ีการทา ไร่หมุนเวยีน ต่าหวี่โดะ บริเวณป่าทึบตามลา หว้ยเวลาคนเจบ็ ไขไ้ม่สบายจะมีการเล้ียงส่งผทีี่นี่สถานที่แห่งน้ีจะหา้ม


ผหู้ญิงที่ต้งัครรภป์ระมาณ 2 – 3 เดือนเดินผา่นหรือเขา้มาในบริเวณแห่งน้ีเพราะเชื่อวา่สถานที่ แห่งน้ีเป็นแหล่งที่ผดีุอาจทา ใหท้ารกในครรภแ์ทง้ไดเ้นื่องจากปกาเกอะญอเชื่อวา่ทารกยงั ขวญัอ่อน ต่าหวี่โดะในเขตห้วยอีค่าง มีอยู่จุด จุดละประมาณ 5 ไร่และต่าสวา่ โข่ปก่าโลปูหรือ ป่ าช้ามี 3 จุด ชิคว้าคี เป็นป่าขนุห้วยนา มีท้งัที่ดูแลโดยส่วนบุคคลและส่วนรวม สถานที่น้ีจะไม่มีการทา ไร่หมุนเวยีน หรือตดัไม้จะเป็นแหล่งอนุรักษภ์ายในตวั โดยส่วนมากแลว้จะมีตาน้า ผดุข้ึนมาดว้ย แดวะกอ้บริเวณกิ่วเล็ก ๆ หา้มทา ไร่หมุนเวยีน เพราะเป็นแหล่งที่พกัเวลาไปทา ไร่ทา นา หรือไปหาของ กินในป่ากลบัมา สถานที่แบบน้ีในเขตพ้ืนที่หว้ยอีค่างมีแค่จุดเดียว ปอกู๊เด เป็นบริเวณที่นงั่พกัเวลาชาวบา้นเขา้ป่า หรือไปทา ไร่ทา นาไกลๆ เช่นเดียวกบัแดวะกอ้แต่อยู่ ใกลก้บัหมู่บา้นมากกวา่ ไม่มีการทา ไร่หรือทา สวนแต่สามารถตดัไมใ้ชส้อยและเก็บฟืนได้ มอโพ มอโพหรือโป่งนอ้ยเป็นบริเวณที่เป็นแหล่งอาหารและน้า ดื่มของสัตวป์่า หรือวัว ควายที่ เจา้ของงปล่อยใหอ้ยตู่ามป่า มี1 จุด เน้ือที่ประมาณ 10 ไร่หา้มทา ไร่หมุนเวยีน เพราะชาวบา้น เชื่อวา่สถานที่แห่งน้ีเป็นที่พกัของสัตว์และมีผเีจา้ของคอยเฝ้าอยู่ มอโดะ หรือ มอปู ในอดีตเป็นสถานที่ที่สัตวล์งมาจากดอยเพื่อลงมากินน้า โป่งและเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่ า ในเขตพ้ืนที่หว้ยอีค่าง มีอยู่1 จุด แต่ปัจจุบนัชาวบา้นไดท้า การเบิกเป็นที่นาส่วนหน่ึง บริเวณ โป่งหลวงเหลือเพียงไม่กี่ไร่แลว้ มอเบลอะ หรือโป่งจอมปลวก หา้มทา ไร่หมุนเวยีน ต่าวะเหว่อยบู่นดอยม่อนยะเป็นดอยที่มีทางเดินชนรอบ 2 ช้นัซ่ึงเป็นร่องรอยที่ชาวลวัะผเู้คยอยมู่าก่อน ขดุไวต้ามความเชื่อของชนเผา่ลวัะเชื่อวา่มีสมบตัิอยบู่นยอดดอย บริเวณน้นัชาวบา้นจะกลวัไม่ กลา้ทา ไร่ เชอเก๊อะกระ เป็นบริเวณที่มีตน้ ไมข้้ึนหนาแน่น เป็นป่าจา พวกป่าดงดิบมีตน้ ไมใ้หญ่และมีสัตวป์่าหลากหลาย อาศยัอยใู่นบริเวณน้นั ปก่าเดปอ ในอดีตพ่อเด็กที่เกิดใหม่จะตอ้งนา สายรกหรือสายสะดือใส่ในกระบอกไมไ้ผไ่ ปผกูไวก้บัตน้ ไม้ ที่มีผลใหส้ ัตวป์่ากินไดแ้ละตอ้งเป็นตน้ที่อุดมสมบูรณ์เพราะเชื่อวา่ตอ้งไปฝากขวญั ใหต้น้ ไม้ ช่วยดูแลถา้เด็กตกใจกลวัอะไรขวญัจะหนีไปอยกู่บัตน้ ไมท้ี่ผกูสะดือและเวลาเด็กไม่สบายพอ่ แม่เด็กจะไปเรียกขวญัจากตน้ ไมน้้นัมาทา พิธีผกูขอ้มือให้จะหา้มมิใหใ้ครตดัตน้ ไมต้น้น้นัถา้ หากใครมีความจา เป็นที่จะตอ้งตดัหรือตดัเพราะไม่รู้จะตอ้งเสียไก่ใหก้บัเจา้ของตน้เดปอ1 คู่ และตอ้งไปผกูขอ้มือเรียกขวญั ใหก้บัเจา้ของดว้ย ตน้เดปอจะมีอยกู่ระจดักระจายหมู่บ้านห้วยอี ค่างแต่เมื่อชุมชนไดม้ีการพฒันาคุณภาพชีวิต ใครต้งัครรภต์อ้งไปฝากครรภท์ ี่โรงพยาบาล ตน้เด ปอจึงเหลือเพียง 200 กวา่ตน้เท่าน้นัเนื่องจากเด็กรุ่นหลงัไดไ้ปเกิดที่โรงพยาบาลและทาง โรงพยาบาลไม่ใหอ้นุญาตให้นา สายสะดือกลบัมา ต่อมาชาวบา้นเห็นวา่เด็กรุ่นหลงัออกไปอยใู่น เมืองมากข้ึน จึงสันนิฐานเป็นเพราะเด็กรุ่นหลงัไม่มีตน้เดปอไม่มีขวญัอยใู่นชุมชนทา ใหไ้ม่มีใจ


รักบา้นเกิด คนในชุมชนจึงไดร้้ือฟ้ืนและไปขออนุญาตกบัทางโรงพยาบาลและสามารถนา สาย สะดือกลบัมาผกูไวก้บัตน้ ไมไ้ด้ปัจจุบนัไดม้ีสถานที่ป่าสา หรับผกูสายสะดือโดยเฉพาะแห่ง หน่ึงมีเน้ือที่ประมาณ 20 ไร่เรียกสถานที่วา่แห่งน้ีวา่ “ ป่ าเดปอ” ผนื ป่าตามความเชื่อเหล่าน้ีโดยส่วนใหญ่ยงัคงสืบทอดมาถึงคนรุ่นปัจจุบนัมีเพียงไม่กี่แห่งที่ไม่มี แลว้ซ่ึงเป็นเพราะชาวบา้นไม่มีที่ดินทา กินจา เป็นตอ้งใชพ้ ้ืนที่ดงักล่าวและทรัพยากรถูกทา ลายไปช่วง ระยะเวลาหนึ่ง พธิีกรรมทเี่กยี่วข้องกบัทรัพยากรของชุมชน พิธีกรรม ลกัษณะพ้ืนที่ / ลักษณะความเชื่อ ต่าเกลาะแกล๊ะ พิธีกรรมน้ีมิไดม้ีการทา กนัเป็นประจา ทุกปีแต่จะทา เฉพาะบางปีที่มีคนเจบ็ ป่วยมาก ๆ เมื่อมีการประกอบพิธีกรรมน้ีหมู่บา้นอื่น ๆ ในบริเวณใกลเ้คียงกนัก็จะทา เช่นกนั เพราะเชื่อวา่เกิดสิ่งไม่ดีแก่ชุมชนคลา้ยโรคระบาด แต่ละชุมชนจะทา กนัคนละวนั โดยชาวบา้นจะประกอบพิธีกรรมน้ีบริเวณป่า “ ต่าเดโดะ” หรือกิ่วดอยหลวงคนท้งั หมู่บา้นท้งัเด็กผูห้ญิงผชู้ายคนแก่จะนา ขนม –ขา้วตม้ ไปเซ่นไหวต้่อเจา้ป่าบริเวณ น้นัมีการทา สัญลักษณ์ห้ามเข้าโดยใช้ “ตะแหล๋ว” ปักไวบ้ริเวณน้นั โดยท้งัคน ภายใน และนอกชุมชนห้ามเข้าเป็ นเวลา 1 วัน 1 คืน ระหวา่งที่ประกอบพิธีกรรมน้ี คนนอกชุมชนหา้มเขา้หมู่บา้น ถา้หากบงัเอิญเขา้มาก็จะตอ้งบอกกนัตรง ๆ ใหอ้อก จากชุมชน ต่าบอชิการเล้ียงผใีนนา หลังจากปลูกข้าวเสร็จจะมีการเล้ียงผใีนนา เพราะเชื่อวา่ผีนาจะช่วยดูแลขา้วทา ให้ ได้ผลผลิตดี ต่าหลื่อปก่า เล้ียงผใีนป่า เวลาที่คนในบา้นเจบ็ ไขไ้ดป้่วยจะตอ้งมีพิธีเล้ียงผปี่า เพราะเชื่อวา่คนในบา้นไดไ้ป ล่วงเกินผปี่าโดยไม่รู้ตวั การสืบชะตาป่ า ในพ้ืนที่ป่าชุมชนมีการแบ่งเขตการจดัการป่ าชัดเจน และจะมีการสืบชะตาป่ าในเขต ป่ าอนุรักษ์ทุกๆ3-5ปี เพื่อให้ป่ ามีความอุดมสมบูรณ์ ต่าหลื่อเหม่(เล้ียงผไีฟ) เป็นส่วนหน่ึงของการเล้ียงผไีร่หมุนเวยีน ปกาเกอะญอเชื่อวา่ ไฟเป็นสิ่งสา คญั ในการ ดา รงชีวิตของมนุษยเ์ช่นเดียวกบัน้า โดยเฉพาะการทา ไร่หมุนเวยีนจะตอ้งมีการเผา ไม้หากไม่มีไฟจะทา ไร่หมุนเวยีนไม่ได้และในขณะที่เผาไร่ชาวบา้นเชื่อวา่มีผไีฟ คอยช่วยดูแลการเผาไร่มิใหล้ามไปไหมป้่าส่วนอื่น ผไีฟน้นัถือวา่เป็นผทีี่ดุมาก หาก ทา ไร่หมุนเวยีนแลว้ไม่เล้ียงผีไฟ จะทา ใหค้นในบา้นไม่สบายเกิดเป็นแผลพุพอง เหมือนโดนไฟไหม้วธิีแกก้็คือ ตอ้งไปเล้ียงผไีฟเท่าน้นั ต่าคะแก๊ะ ต่าคะแก๊ะเป็นส่วนหน่ึงขอพิธีกรรมเล้ียงผไีร่หมุนเวยีน จะทา พิธีเวลาที่ตน้ขา้วโตได้ หน่ึงคืบ เวลาประกอบพิธีกรรมน้ีหา้มคนเดินผา่นไร่เป็นเวลาหน่ึงวนั หากมีใครเข้า


มาในไร่จะตอ้งมีการทา พิธีใหม่อีกคร้ัง หรือบางทีคนที่เขา้มาอาจไม่สบาย วธิีแกก้็ คือ ตอ้งไปขอขมาเจา้ของไร่โดยการเอาไก่ใหเ้จา้ของไร่1 ตวัแลว้เจา้ของไร่จะเป็น คนทา พิธีขอขมาผไีร่ หลื่อนาธีการเล้ียงผนี้า ถา้หากคนในบา้นเจบ็ ไขไ้ม่สบายเช่น เจบ็ตา ปวดเมื่อยตามขอ้ ปวดหวัตวัเยน็เชื่อ วา่คนที่ไม่สบายไดไ้ปล่วงล้า ผนี้า เพราะฉะน้นัจะตอ้งมีการเล้ียงผนี้า โดยการนา ขา้วสารไปโรยในบริเวณที่คนในหมูบา้นเชื่อวา่มีผีน้า อยู่ ความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ไม้สร้างบ้าน จะมีความเชื่อเกี่ยวกับการห้ามใช้ในลักษณะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ไมท้ี่มีลกัษณะเป็นไมห้างปลา หา้มใชเ้พราะเชื่อวา่จะทา ใหค้รอบครัวแตกแยก 2. ไมท้ี่มีกาฝากติดอยดู่ว้ย 3. ไม้ 2 ตน้ข้ึนเสียดสีกนั 4. ไมท้ี่มีรังมดข้ึนคลา้ยจอมปลวก 5. ไม้ 3 เส้า 6. ไมม้ีเถาวลัยพ์นัเกี่ยว 7. ไมท้ี่ทา ใหข้วานหกัเชื่อวา่มีผี(น่าจะหมายถึงไมเ้น้ือแขง็นนั่เอง) 8. ไม้ที่ตัดแล้วไปติดค้างต้นข้างเคียง พัฒนาการขององค์กรชาวบ้าน ในการจัดการป่าชุมชน ความเป็ นจริงในอดีต บรรพบุรุษปกาเกอะญอได้มีการสืบทอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาในการจัดการ ป่าเพื่อใหอ้ยูร่ ่วมกบัธรรมชาติมานานหลายชวั่อายคุน บา้นปกาเกอะญอโดยทวั่ ไปจะแวดลอ้มไปดว้ย ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คนปกาเกอะญอรู้จักพืชพันธุ์ในป่ า รู้จักการใช้การดูแลรักษา เพราะมีการ สอนสอดแทรกในนิทาน เรื่องเล่า พิธีกรรมต่าง ๆ และการดา เนินวถิีชีวติในแต่ละวนับา้นหว้ยอีค่างก็เช่นกนั แต่การพฒันาในช่วงเวลาที่ผา่นมาการเขา้มาของคนภายนอกและความเปลี่ยนแปลงในเรื่องค่านิยมความ เชื่อของชุมชนก็มีส่วนทา ให้ทรัพยากรรอบ ๆ บา้นถูกทา ลายไปช่วงเวลาหน่ึง ประสบการณ์และบทเรียนใน อดีตไดถู้กสั่งสมมาหลายยคุสมยัผา่นเวลาบ่มเพาะจนตกผลึกกลายเป็นองคก์รชุมชนป่าเช่นทุกวนัน้ี เงื่อนไขจากภายนอกต่าง ๆ ที่เขา้มามีส่วนทา ใหช้าวบา้นเกิดความตระหนกัและร่วมมือกนั ในการ ปกป้องทรัพยากรของชุมชน และในที่สุดไดก้่อรูปเป็น คณะกรรมการจดัการป่าชุมชน ที่เป็นทางการอยา่ง ชดัเจน เงื่อนไขต่าง ๆ ที่สา คญั ไดแ้ก่ การท าเหมืองแร่เมื่อ 40 ปี ที่แล้ว ผนื ป่าบริเวณแม่ขาน –แม่วาง มีแร่สา คญัหลายชนิดอาทิเช่น แร่ดีบุกวลุแฟรม ชุมชนแถบน้ีตอ้ง เผชิญกบัการเขา้มาทา เหมืองแร่ของบริษทัต่าง ๆ อยา่งมากในอดีต ที่บา้นหว้ยอีค่าง ชาวบา้นเล่าวา่มีแร่ชนิด


หน่ึงเป็นผงละเอียด สีดา วาวเหมือนทราย ตอนแรก ๆ บริษทัเขา้มาขดุเจาะบริเวณที่นาของชาวบา้นก่อน ประมาณ 2 – 3 แปลงขณะน้นัชาวบา้นไม่รู้วา่บริษทัเหมืองแร่จะเขา้มาทา อะไร จากน้นับริษทักเ็ขา้ไปทา เหมืองแร่ที่บริเวณขนุหว้ยเหล่อปอเฮอจนถึงขนุหว้ยโป่งเกี๊ยะ2 ปี หลังจากที่บริษัทได้มาขุดเจาะท า เหมืองแร่ ปรากฏวา่การทา เหมืองไดส้ ่งผลกระทบต่อชุมชน ทรายจากการขดุเหมืองไดไ้หลลงลา หว้ย ทา ใหน้ ้า ในลา หว้ยเริ่มแหง้และยงัมีการตดัไมเ้ป็นจา นวนมากเพื่อใชใ้นการทา เมือง โดยนา ไปทา รางรินลา เลียงน้า จากหว้ย เหล่อปอเฮอไปใช้ ชาวหว้ยอีค่างและเพื่อนบา้นที่ไดร้ับผลกระทบจากการทา เหมืองคือ บา้นทุ่งหลวง บา้นหว้ยทราย จึงไดร้วมตวักนัเพื่อต่อสู้กบั ปัญหาดงักล่าวโดยในตอนแรกชาวบา้นไดพ้ากนัไปพูดคุยกบับริษทัขอร้องให้ ยุติการท าเหมืองเพราะชาวบ้านเดือดร้อน แต่เจา้ของเหมืองยงัคงดึงดนัทา ต่อไปจนกระทงั่เมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะน้นัไดเ้ดินทางมาราชการที่อา เภอสันป่าตอง ชาวบา้นจึงไปร้องเรียนใหน้ายก ฯ แกไ้ขปัญหาความเดือดร้อน แต่อยา่งไรก็ตามการทา เหมืองยงัคงดา เนินต่อไป ในเวลาต่อมาเมื่อชาวบา้นไม่อาจพ่ึงพาใครไดจ้ึงหาทางแกป้ ัญหาตามความเชื่อของชุมชน ชุมชนที่ไดร้ับ ผลกระทบจากการทา เหมืองคือบา้นหว้ยทราย ทุ่งหลวงและหว้ยอีค่างจึงไดร้่วมกนัทา พิธีขอร้องต่อเจา้ที่เจา้ ดิน โดย หญี่โข่ประจา แต่ละบา้นเป็นทา พิธีณ บริเวณป่าเดปอของบา้นห้วยอีค่าง มีการลม้ววั 1 ตัว และ หมู 1 ตวัอธิษฐานวา่ “ใหเ้จา้ของเหมืองขดุเจาะเหมืองแร่ไม่พบ” แมก้ารทา เหมืองจะมิไดย้ตุิลงทนัทีทนั ใด แต่อีก2 ปีต่อมาการทา เหมืองก็ยตุิลงในที่สุด ชาวบา้นเชื่อ วา่เป็นผลมาจากการบอกกล่าวต่อเจา้ที่เจา้ดิน ไม่วา่จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ชาวบา้นเชื่อวา่ทา ให้เจา้ของ เหมืองไม่พบแร่อีกเหมือนกบัผซี่อนเอาไว้ยงัมีผลกระทบต่อกิจการคือคนงานในเหมืองก็มีเรื่องทะเลาะ เบาะแวง้กนัอยเู่รื่อย ๆ ก่อนที่เหมืองจะปิดกิจการ การทา เหมืองในคร้ังน้นัไดท้ ิ้งรอยบาดแผลไวค้อยย้า เตือนชาวหว้ยอีค่าถึงวนัน้ีณ บริเวณหว้ยโป่ง เกี๊ยะไดป้รากฏวา่มีรอยแยกของผนื ป่าซ่ึงถล่มลงมาเนื่องจากเหมืองไดถ้ล่มลงมาไวอ้ีกดว้ย การสัมปทานเปลือกก่อ ประมาณ 30 ปีที่แลว้มีคนภายนอกเขา้มารับซ้ือเปลือกก่อไปขายที่บา้นกาด อา เภอสันป่าตอง ในช่วงน้นั ชาวหว้ยอีค่างเองก็ถากเปลือกก่อขายเป็นอาชีพอยสู่ ่วนหน่ึงแต่ในภายหลงัเมื่อมีการต้งัด่านคอยตรวจจบั ประกอบกบัตน้ก่อเริ่มลดนอ้ยลง ทา ใหก้ารถากเปลือกก่อขายไดย้ตุิไปใน ที่สุด 1. การเข้ามาของพืชเศรษฐกิจ การเขา้มาของพืชเศรษฐกิจนอกจากจะส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนค่านิยม ความเชื่อและวิถี ชีวิตของชุมชน ยงัมีผลกระทบส าคญัต่อทรัพยากรชีวภาพของชุมชนดงัที่ไดก้ล่าวมาแลว้ในการเขา้มาของ โครงการพฒันาเกษตรที่สูงทุ่งหลวง


2. การลักลอบตัดไม้ ผนื ป่าบริเวณขุนห้วยขา้วลีบมีไมส้ าคญัคือไมจุ้มปีซ่ึงเป็นไมม้ีราคา เมื่อโครงการหลวงเขา้มา เริ่มมี การลกัลอบตดัไมใ้นบริเวณน้นัเกิดข้ึน โดยการขนไปกบัเครื่องบินเอาไมไ้วด้า้นล่าง ส่วนดา้นบนก็เอาผกั สาลี่ปิดไว้ในขณะน้นัมีการตดัไมจุ้มปีถึง 100 กวา่ตน้ 3. การท าน ้ามันเกี๊ยะ ประมาณ 10 ปีมีการรับซ้ือน้า มนัเกี๊ยะ ชาวบา้นส่วนหน่ึงจึงหันไปทา น้า มนัเกี๊ยะขายและยงัมีการ ตดัไมส้นขายอีกดว้ย ปัจจุบนัไม่มีการทา กนัแลว้ 4. การช๊อต และเบื่อปลาในล าน ้า ต้งัแต่ปี2547 ชาวบา้นพ้ืนราบมกัจะเขา้มาจบั ปลาโดยการเบือปลาและช๊อตปลาในลา หว้ยแม่เตียน ชาวบา้นเคยขอร้องจนถึงการหา้มไม่ใหใ้ชว้ธิีการเช่นน้นัเพราะเกรงวา่จะส่งผลกระทบลา น้า และพนัธุ์ปลา 5. การเตรียมการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติออบขาน บา้นหว้ยอีค่างอยใู่นเขตพ้ืนที่ตน้น้า ช้น ั 1 A ซ่ึงถือเป็นพ้ืนที่ทางราชการค่อนขา้งเขม้งวดกบัการใชท้ ี่ดิน ทา กิน โดยเฉพาะระบบการทา ไร่หมุนเวยีนของชุมชน ซ่ึงจะตอ้งหมุนเวยีนพ้ืนที่ทา กินอนัเป็นระบบที่ช่วย ฟ้ืนฟูสภาพดินใหส้มบูรณ์อยเู่สมอแต่วธิีการของทางราชการน้นัขดัแยง้กบัวถิีชีวติของชุมชน จึงทา ใหม้ี ความพยายามที่จะปรับวถิีการผลิตของชุมชนจากเดิมที่ชุมชนสามารถหมุนเวยีนพ้ืนที่เพื่อปลูกขา้วก็ จา เป็นตอ้งจา กดัพ้ืนที่หมุนเวียน และชาวบา้นบางส่วนก็ไม่สามารถแผว้ถางพ้ืนที่ทา ไร่เดิมได้จึงทา ใหชุ้มชน ตอ้งปรับเปลี่ยนวถิีการผลิตไป การทา ไร่ขา้วลดนอ้ยลงผูน้า ชุมชนบางส่วนเกิดความตื่นตวัต่อความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนต่อชุมชน และพยายามหาหนทางแต่อยา่งไรก็ตามความตื่นตวัคร้ังสา คญัของชุมชน เกิดข้ึนเนื่องจากการเตรียมการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติออบขาน ซ่ึงหมายถึงการประกาศทบัที่อยอู่าศยั ที่ทา กิน และป่าที่ชุมชนช่วยกนัดูแลรักษา ทางหน่วยจดัการตน้น้า ยงิ่เขม้งวดกบัชุมชนมากข้ึนท้งัในการใช้ สอยประโยชน์จากป่าและการทา มาหากินตามปกติ องค์ความรู้ของชุมชนในการใช้ทรัพยากรจากป่ า (กรณีอาหาร และสมุนไพรจากป่ า) ในการเก็บพืชผกั – สมุนไพรของชุมชนน้นัแมจ้ะเป็นของที่หาง่ายเป็นเพียงผกัหญา้หรือบางชนิดเป็นวชัพืช แต่ชาวบา้นก็ยงัมีกฎเกณฑก์ารใชเ้พราะพืชผกัเหล่าน้ีมีความสา คญัยงิ่ต่อชุมชน สมุนไพรในชุมชนห้วยอีค่าง เท่าที่มีการสา รวจพบวา่เป็นยารักษาโรคได้อาทิเช่น โดยยาที่มีการใชบ้ ่อยจะมีการนา มาปลูกและขยายพนัธุ์ ในบา้น และยาบางชนิดสามารถเก็บไวใ้นบา้นเป็นเวลาหลายปีเมื่อเจบ็ ไขไ้ม่สบายก็สามารถหยบิใชไ้ดท้นัที ส่วนผกัก็มีหลากหลายชนิด รสชาติหลากหลาย ท้งัหวาน เผด็เปร้ียวและบางชนิดเป็นเครื่องเทศ เป็นตน้ดงัน้นัจึงทา ใหค้นเฒ่าคนแก่คอยสั่งสอนลูกหลานโดยผา่นความเชื่อและพิธีกรรมบางอยา่งซ่ึงทา ให้ ชุมชนสามารถรักษาพืชพนัธุ์เหล่าน้ีไว้ได้จนถึงปัจจุบัน


ความรู้ทคี่วบคู่กบักฎเกณฑ์ความเชื่อ มีดังนี้ 1. การเก็บสมุนไพรตอ้งเก็บในตอนเช้ามืดไม่ให้คนเห็น ถา้หากจะไปเก็บสมุนไพรเมื่อมีคนถาม จะต้องบอกว่าไม่ได้ไปไปไหน เพราะเชื่อว่าถ้าเก็บมาก็จะรักษาไม่หาย และถ้าจะให้ยาดีต้องเก็บในวนั อังคาร เวลาเดือนออกและจะตอ้งเวลาขาไป ไม่ใช่ขากลบั 2. ใน 1 ปี จะมีวัน “ตาพะทอ” ประมาณเดือน ที่คู้หรือเดือนกุมภาพนัธ์จะเป็นวนัที่ห้ามเก็บผกั สมุนไพรแต่สามารถจบั ปลาได้ถา้หากคนไม่เชื่อจะมีอนัเป็นไป เช่น ร่างกายพิการเป็นตน้ 3. ถา้มีคนตายในหมู่บา้นจะมีการหยุดงาน หยุดเก็บผกัเก็บหน่อไม้1 วนัถา้หากกา ลงัเก็บผกัอยู่ ในป่าถา้รู้วา่มีคนตายในบา้นจะตอ้งทิ้งระหวา่งทางโดยทนัที 4. การเก็บพืชผกัที่เป็นหน่อไม้ถา้หน่อไมอ้อก5 ไม่ไดเ้ก็บหมดตอ้งเหลือไว้2 – 3 หางเพื่อให้แตก หน่อไดอ้ีกและนา หน่อมาแทงดินใหเ้ติบโตต่อไป 5. ถา้เป็นพืชผกัสมุนไพรที่เก็บยอด เก็บยอดที่เพิ่งออกยอดสูง ๆ ที่แตกยอดนานแล้วปล่อยให้ เติบโตต่อไป ยงิ่เด็ดยอดยงิ่แตกยอด 6. ในการเก็บพืชผกัแต่ละคร้ังนา มาพอกินในแต่ละวนั ความรู้เกยี่วกบัการใช้ผลผลติจากป่า นอกจากน้ีในการเก็บพืชผกัและสมุนไพรยงัมีองคค์วามรู้บางอยา่งที่ผา่นการลองผิดลองถูกของคน รุ่นพ่อแม่มาก่อนสืบทอดกนัมาแมจ้ะดูไม่เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์แต่ลว้นซ่อนนยัยะสอนวิธีการใชท้ ี่มี เหตุผลที่ทา ใหเ้กิดผลดีต่อผใู้ช้ดงัน้ี 1. คนแต่งงานใหม่ห้ามกินพืชผกัหรือผลไมท้ ี่ออกผลเป็นแฝดโดดเด็ดขาด เพราะเชื่อวา่จะไดลู้ก แฝด ซ่ึงไม่ดีคนทอ้งหา้มกินพืชผกับางชนิด เช่น ยอดคอกะอา เชื่อวา่ลูกจะเกิดมาแลว้พูดไม่ได้ 2. คนทอ้งหา้มกินมะลิดไมเ้พราะเชื่อวา่มีผตีวัหน่ึงลิ้นยาวจะมาเอาลูกไป 3. ยาบางประเภทเด็กกินไม่ได้เช่น เตอซีเก่อซอกวา่ , เส่เพร่เบะ, เส่โก๊ะโบ เพระยาแรงเกินไป ที่ยา มีเด็กกินไดเ้ช่น เส่ก่อเลเบะ, เส่นูทีเบะ, เส่มีกลาเบะ, ริคอเมะ เป็ นต้น 4. วธิีทดสอบวา่เห็ดมีพิษหรือไม่นา เห็ดใส่ในน้า ขา้วร้อน ๆ ถา้น้า ขา้วเปลี่ยนสีเป็นสีคล้า แสดงวา่ มีพิษ และหา้มกินกบัไข่เพราะจะแพ้ 5. การรักษาโรคบางชนิดตอ้งใชส้มุนไพรหลายชนิด เช่น แผลสดเมื่อใส่ “ซอพอก๊วย” ห้ามเลือด แลว้ ในการรักษาต่อมาตอ้งใช้“พอเตอกรูเประ” สา หรับรักษาแผลไม่ใหเ้น่า ความหลากหลายของอาหารและสมุนไพร สภาพป่าบริเวณลา หว้ยแม่เตียน และบริเวณดอยโป่งเกี๊ยะพบวา่วถิีชีวติของชุมชนนนั่เกี่ยวขอ้ง สัมพนัธ์กบัความหลากหลายของพนัธุ์พืชพนัธุ์สัตว์ท้งัในแง่ของการใชแ้ละการดูแลรักษาคนในชุมชนไม่วา่


จะเป็นผชู้ายผหู้ญิง เด็กและคนเฒ่าคนแก่ต่างรู้วา่ถา้หากจะเก็บพืชผกัแต่ละชนิด จะหาไดแ้หล่งไหน ถา้จะ หาสมุนไพรรักษาโรคแต่ละอยา่งจะหาไดจ้ากพ้ืนที่ป่าบริเวณไหน บริเวณใด วธิีการเก็บอยา่งไรจึงไม่หมด ไปและสามารถใชไ้ดอ้ยา่งยงั่ยนืเป็นตน้ ชนิดของพืชอาหาร ไม้ใช้สอย และสมุนไพรของชุมชนในสภาพป่าที่แตกต่างกนัจะพบวา่แต่ละ สภาพป่าจะมีพืชอาหารไมใ้ชส้อยและสมุนไพรแตกต่างกนัไป แทบทุกฤดูกาลมีพืชอาหารใหเ้ก็บกิน มีท้งั พืชที่รับประทานหวั ใบ ยอด ดอก หน่อ มีสมุนไพรรักษาโรคหลากหลายชนิด มีไมใ้ชส้อยท้งัไมส้ร้างบา้น ซ่อมแซมร้ัวและทา เครื่องไม้เครื่องมือในการเกษตรเป็ นต้น การจัดการน ้าแบบระบบเหมืองฝาย ระบบเหมืองฝายเป็นการชลประทานด้งัเดิมที่เป็นภูมิปัญญาของเกษตรกรที่รู้จกัการทา นาและการ จดัการแหล่งน้า จากธรรมชาติใหเ้กิดประโยชน์กบัระบบการผลิตของตนเองและเกษตรกรในภาคเหนือได้ มีการจดัการน้า อยา่งต่อเนื่องไม่นอ้ยกวา่ 700 ปี จึงมีได้มีสถานะเป็ นเพียง “ ระบบการบริหารจดัการน้า ” หากแต่มีสถานะเป็น “วฒันธรรมในการจดัการน้า ” ที่คงอยใู่นชุมชนและบุคคล โดยไม่เกี่ยวขอ้งวา่อา นาจ ของรัฐมารับรองวฒันธรรมในการจดัการน้า ของชุมชนหรือไม่ชุมชนเกษตรกรรมที่มีวฒันธรรมในการ จดัการน้า ในระบบเหมืองฝายไผลิตประเพณีข้ึนมา เพื่อให้วฒันธรรมการใชน้ ้า มีความต่อเนื่องและถูก ถ่ายทอดจากรุ่นหน่ึงสู่รุ่นหน่ึงจะเห็นไดจ้ากประเพณีวฒันธรรมที่เกี่ยวขอ้งกบัการจดัการน้า หลายอยา่งที่ ปรากฏมาจนถึงปัจจุบัน ปกาเก่อญอเป็นกลุ่มชาติพนัธุ์หน่ึงที่ถือวา่ทุกสิ่งที่อยรู่อบตวัมีตวัตนถึงแมว้า่จะมองไม่เห็น เช่น ภูเขาจะมีเจา้ป่าเจา้เขา น้า จะมีหน่าที(ผนี้า ) ปกาเก่อญอเชื่อวา่มนุษยเ์ติบโตมาดว้ยธรรมชาติธรรมชาติสร้าง ใหม้นุษยม์ีชีวติจะเห็นไดต้้งัแต่การใชป้ระโยชน์สิ่งที่ธรรมชาติสร้างใหม้นุษยแ์ละสิ่งที่มนุษยรู้จักสร้างมัน ์ ข้ึนมาเอง เช่นการเพาะปลูกต่าง ๆ และมนุษยไ์ดน้า สิ่งเหล่าน้ีมาหล่อเล้ียงชีวติของตนเอง ดว้ยความเคารพต่อ ธรรมชาติทุกคร้ังที่มีการใชป้ระโยชน์จากธรรมชาติตอ้งมีการเอ่ยขอก่อนเพื่อเป็นการขออนุญาตและขอการ คุม้ครองจากสิ่งศกัด์ิสิทธ์ิ แบบแผนการผลิตของปกาเก่อญอลว้นแต่เป็นระบบการเกษตรกรรม เช่นการทา ไร่หมุนเวยีน การ ท านา การท าสวน และการหาของป่ า ด้วยวิถีชีวิที่ต้องมีการพึ่งพาธรรมชาติการดูแลรักษา ปกป้องดูแลจึง มีความจา เป็นอยา่งยงิ่เพื่อให้ธรรมชาติเหล่าน้ีคงอยแู่ละมีความยงั่ยนืต่อชีวิตของปกาเก่อญอ การท านาเป็นรูปแบบการผลิตหน่ึงที่ปกาเก่อญอรู้จกัทา มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ดว้ยลกัษณะ พ้ืนที่ที่มีความลาดชนัสูง ลกัษณะการทา นาบางพ้ืนที่ทา แบบข้นับนัได และบริเวณพ้ืนที่ราบบา้ง อยา่งไรก็ ตามการทา นาแบบข้นับนัไดห้รือบริเวณพ้ืนที่ราบมีความจา เป็นที่ตอ้งใชน้ ้า ในการเพาะปลูกท้งัสิ้น ระบบ เหมืองฝายเป็นวธิีการหน่ึงที่ชุมชนรู้จกันา มาใชใ้นการน้า มาใชป้ระโยชน์ในการเกษตร และเป็นกลไกการ จดัการทรัพยากรอยา่งหน่ึง สามารถทา ใหชุ้มชนมีความเป็นน้า หน่ึงใจเดียวกนัมีวฒันธรรมที่เหมือนกนัมี ส่วนร่วมในการดูแลจดัการทรัพยากรของชุมชน


แผนพัฒนาด้านการจัดการทรัพยากร 1)โครงการจดัทา แผนแม่บทการจดัการทรัพยากรอยา่งมีส่วนร่วม 2)โครงการก่อต้งักองทุนชุมชนสนบัสนุนการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ 3)โครงการการดูแลจดัการทา แนวกนัไฟ 4)โครงการรณรงคเ์พื่อสร้างจิตสา นึกในการอนุรักษแ์ละรักษาสิ่งแวดลอ้ม 5) โครงการอบรมใหค้วามรู้เกี่ยวกบัการจดัการทรัพยากรอยา่งยงั่ยนื 6)โครงการจดัต้งัธนาคารที่ดิน 7) โครงออมเงินวันละ ๑ บาท 8)กิจกรรมปลูกพนัธุ์พืชทอ้งถิ่นเสริมป่าตน้น้า เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ 6.กฎระเบียบชุมชน 6.1 กฎระเบียบทรัพยากรที่ดิน 1.คนในขมุชนสามารถซ้ือขายที่ดินหรือเช่าใหค้นในชุมชนโดยผา่นมติความคิดเห็นของ คณะกรรมการโฉนดขมุชนบา้นหว้ยอีค่างทุกคร้ัง 2. หา้มขายและหา้มมิใหบุ้คคลภายนอกเช่าพ้ืนที่ทา กิน (นา, สวน,และไร่หมุนเวยีน) ผู้ใดฝ่ าฝื น พ้ืนที่จะถูกยดึคืนเป็นของสาธารณะประโยชน์ 3. พ้ืนที่ไร่หมุนเวยีนของชุมชนบา้นหว้ยอีค่างเป็นพ้ืนที่ส่วนรวมหา้มยดึเป็นของใครคนใดคนหน่ึง 4.การทา ไร่หมุนเวยีนให้อยใู่นขอบเขตวงแปลงในแผนที่1:4000 5. ในพ้ืนที่ทา ไร่หมุนเวยีนหา้มมีการปลูกพืชเศรษฐกิจใดๆท้งัสิ้น 6.ก่อนจะทา ไร่หมุนเวยีนตอ้งมีการปรึกษาคณะกรรมการโฉนดชุมชนทุกคร้ัง 6.2กฎระเบียบทรัพยากรป่ า 1. หา้มตดัไมใ้นเขตป่าอนุรักษแ์ละป่าขนุน้า ผใู้ดฝ่าฝืนปรับ 5,000 – 10,000บาท หรือถูกจับ ด าเนินคดีตามกฎหมาย 2. หา้มล่าสัตวใ์นเขตป่าอนุรักษ์ผู้ใดฝ่ าฝื นปรับ 1000 -10,000 บาท หรือถูกจับด าเนินคดีตาม กฎหมาย 3. ห้ามจุดไฟเผาป่ า ยกเว้นผู้ใดฝ่ าฝื นปรับ 100,000 บาทและต้องรับผิดชอบในการกระท าเมื่อผู้อื่น ได้รับความเสียหาย 4. หา้มวางยาเบื่อและช็อคสัตวน์ ้า ทุกชนิดในแม่น้า ผใู้ดฝ่าฝืนปรับ 500 -1,000 บาทและหาพันธุ์สัตว์ น้า มาทดแทนความเสียหาย


5. หา้มทา พ้ืนที่ทา กินในเขตป่าอนุรักษแ์ละพ้ืนที่ตาน้า ฝ่าฝืนปรับ 5,000-10,000 บาท 6. พ้ืนที่ป่าที่มีการทา พิธีกรรม (บวชป่า)ผใู้ดละเมิด ขอใหม้ีอนัเป็นไป 6.3กฎระเบียบสังคมและชุมชน 1. หา้มยงิปืนในหมู่บา้นโดยไม่จา เป็นผใู้ดฝ่าฝืนปรับ 500 -1,000 บาท 2.ผใู้ดดื่มเหลา้แลว้ก่อนเหตุทะเลาะววิาทหรือก่อความเสียหายใหห้มู่บา้นตอ้งถูกปรับ 500 -1,000 บาท หรือต้องถูกลงโทษตามประเพณีของชุมชนปกาเกอะญอ 3. หา้มขายยาเสพติดทุกชนิดภายในหมู่บา้น ผใู้ดฝ่าฝืนถูกปรับ 5,000-10,000 บาท 7.รายชื่อคณะกรรมการชุมชน 1. นายมงคล รักยงิ่ประเสริฐ ประธานกรรมการ 2. นายนุเอ กานนภูม รองประธานกรรมการ 3. นายอัครพล แสนทวีสุข กรรมการ 4. นางศรีจันทร์ ศรีเอ้ืองดอย กรรมการ 5. นายสุพัฒน์ชัย พุทธรักสกุล กรรมการ 6. นายค าดี ตะโฮ กรรมการ 7. นายบุญมี พุทธรักสกุล กรรมการ 8. น.ส.พิระดา มนั่สุขเจริญวงค์กรรมการ 9. นายก๋องค า วสันต์สุขใจ กรรมการ 10. นางจันทร์ฉาย โนลอย กรรมการ 11. นายณรงค์ ไพรสณฑ์สินธุ กรรมการ 12. นางอัมพา ปาโณทัย กรรมการ 13. นางปุพอ ปาฐคันธา กรรมการ 14. นายอาทิตย์ พุทธรักสกุล กรรมการ 15. นายพะบาง ควันอารมณ์ กรรมการ


Click to View FlipBook Version