หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การพฒั นาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๔๘
ก่อนแตง่ ต้งั ให้ดารงตาแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์
๓. ใช้ภาษาชัดเจน กะทัดรดั สามารถส่อื ความหมายให้ผอู้ ่านเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
๔. มีความมั่นคงหรือคงทีใ่ นการใชถ้ ้อยคา ทั้งฉบับ
๕. มกี ารนาเสนอขอ้ มลู ทีต่ อ่ เนอื่ งสัมพนั ธ์อย่างเป็นเหตเุ ป็นผล
๖. มคี วามสมเหตสุ มผลในด้านของงบประมาณ
สรปุ
การเขยี นโครงร่างการวจิ ัยมีวตั ถุประสงค์เพื่อใหผ้ วู้ ิจยั ใช้เป็นแนวในการดาเนินการวจิ ัยตลอดโครงการ
นอกจากนโ้ี ครงรา่ งการวิจัยจะเปน็ ตัวควบคมุ มใิ ห้ผวู้ จิ ัยทาการวจิ ยั ออกนอกแนวทางทกี่ าหนดไว้
รูปแบบของโครงร่างการวิจัยโดยท่ัวไป ประกอบด้วยส่วนสาคัญ ๓ ส่วน คือ ๑) ส่วนนาเร่ือง ซึ่งจะ
บอกถงึ ช่อื โครงร่างการวจิ ยั ชือ่ ผู้ทาวจิ ยั หนว่ ยงานท่ผี ทู้ าวิจัยสังกัด ฯลฯ ส่วน ๒) ส่วนสาระสาคัญของโครงร่าง
การวิจัย ซ่ึงประกอบด้วยปัญหาการวิจัย วัตถุประสงค์ของการทาวิจัย เอกสารงานวิจัยที่เก่ียวข้องและวิธีการ
ดาเนนิ การวิจัย และ ๓) แผนการปฏบิ ตั ติ ามขน้ั ตอนกระบวนการวจิ ัย
ลักษณะของโครงร่างการวิจัยที่ดีนั้น ต้องมีช่ือโครงการท่ีชัดเจน เป็นงานวิจัยท่ีคุ้มค่า ควรค่าแก่การ
ลงทนุ มกี ระบวนวจิ ัยทถ่ี กู ต้องตามลกั ษณะการดาเนินการวจิ ัยที่ดี กาหนดระยะเวลาและงบประมาณเหมาะสม
กบั ลกั ษณะของงานวจิ ยั นั้น ๆ
หลักสูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๔๙
ก่อนแต่งต้งั ให้ดารงตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์
การเปรยี บเทียบการเขียนโครงการนิเทศการศึกษากบั โครงร่างการวิจัย
ท่ี โครงรา่ งการวิจยั โครงการนิเทศการศึกษา การวจิ ยั
ช่อื โครงการนเิ ทศ (กระบวนการทางวิทยาศาสตร)์
๑ ชือ่ โครงร่างการวิจยั ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการ
๒ ผวู้ ิจัย หลกั การและเหตุผล การกาหนดปญั หา (Problem)
๓ ความเป็นมาและความสาคัญของ การตง้ั สมมตุ ฐิ าน (Hypothesis)
วตั ถุประสงคโ์ ครงการ
ปัญหา
๔ คาถามการวจิ ัย
๕ วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั
๖ สมมตฐิ านการวิจยั (ถ้ามี)
๗ นยิ ามศัพท์
๘ ขอบเขตของการวิจยั สถานที่ดาเนนิ การ
๙ ข้อตกลงเบื้องตน้
๑๐ เอกสารและงานวิจยั ท่เี กย่ี วข้อง
๑๑ กรอบแนวคิดการวิจัย
๑๒ วิธีการดาเนินการวิจยั วิธดี าเนินการ การรวบรวมข้อมลู (Data
ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง กลุม่ เปา้ หมาย gathering)
เครื่องมือท่ใี ช้ การประเมนิ ผล
การรวบรวมขอ้ มลู การวิเคราะหข์ อ้ มลู (Data analysis)
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผลท่คี าดว่าจะไดร้ ับ
๑๓ ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั ระยะเวลาดาเนนิ การโครงการ
๑๔ ระยะเวลาการดาเนนิ การวจิ ัย
๑๕ งบประมาณที่ใช้ในการวิจัย งบประมาณ
สรปุ รายงานผลการดาเนนิ โครงการ สรุปรายงานผลการดาเนิน การสรปุ ผล (Conclusion)
โครงการ
หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นร้กู ารพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๕๐
กอ่ นแต่งต้งั ให้ดารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์
ตวั อย่างโครงการนเิ ทศการศกึ ษา
ชื่อโครงการ พัฒนาคณุ ภาพการเรยี นการสอนภาษาไทย
สนองยุทธศาสตร์ สพฐ. ท่ี ๑ พฒั นาคณุ ภาพผู้เรยี นในระดับการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน
จุดเนน้ ดา้ น ผู้เรียน/๑.๑ นกั เรียนมีสมรรถนะสาคญั สูม่ าตรฐานสากล
ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการ ..........................................................................................
ที่ปรึกษาโครงการ ..........................................................................................
หลักการและเหตุผล
จากการติดตามสภาพการจัดการเรยี นการสอนภาษาไทยในโรงเรยี นของสานักงานเขตพื้นที่การศกึ ษา
พบสภาพปัญหาท่เี กดิ ขึน้ คือ ๑.) สภาพปัญหาด้านการบริหารจดั การ ไดแ้ ก่ มคี รไู ม่ครบชนั้ ครูย้ายบอ่ ย ขาด
แคลนสื่ออุปกรณ์ ขาดงบประมาณในการพัฒนาครู ๒.) สภาพปัญหาด้านครู ได้แก่ ครูไม่ตรงวุฒิ ขาด
ทักษะการสอน การวัดและประเมินผล สอนไม่ครบตามตัวช้ีวัดในหลักสูตร ภาระงานมาก ขาดการพัฒนา
ตนเอง และไม่มีการวิจัยในชั้นเรียน ๓) ทักษะด้านการอ่านและการเขียนของนักเรียนยังไม่ได้มาตรฐานตาม
ระดับชั้นของนักเรียน สภาพที่เกิดข้ึนส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยของนักเรียนไม่บรรลุตาม
เป้าหมายท่ีกาหนดไว้ จึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องมีการพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนการสอนของครู
และเสริมสร้างทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนอันจะทาให้การเรียนการสอนภาษาไทมีประสิทธิภาพ
และมผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นท่ีสงู ข้นึ
วตั ถปุ ระสงค์
เพื่อพัฒนาครูผสู้ อนภาษาไทยใหม้ คี วามรคู้ วามสามารถในการจัดการเรยี นการสอน
ผลผลิต (Output)
. ครผู สู้ อนภาษาไทยสามารถจัดการเรยี นการสอนได้สอดคล้องกบั การเรยี นรู้ของนักเรียน และ
สอดคล้องกบั จดุ มงุ่ หมายการจดั การเรยี นการสอนภาษาไทย ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน
พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ผลลัพธ์ (Outcome)
๑. นกั เรยี นมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นร้ใู นกลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทยสูงขึ้น และเรยี นร้ใู นกลมุ่ สาระ
การเรยี นร้อู ่ืนๆ ไดด้ ี
๒. ผลการทดสอบ O-NET ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๖ และมธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ มีค่าเฉลยี่ สงู
กวา่ ระดับประเทศ
กิจกรรมการดาเนินงาน
๑. กจิ กรรมการประชุมและรับฟังการชี้แจงเครื่องมือวัดและประเมนิ ผลความสามารถและทักษะ
“อา่ นออก” และ “เขียนได้” ของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๑-๖ และการรายงานข้อมูลทางระบบ e-MES
๒. กจิ กรรมการพฒั นาโรงเรียนแกนนาพลิกโฉมโรงเรียน ป.๑ อ่านออกเขียนได้ ใน ๑ ปี
หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้กู ารพฒั นาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๕๑
กอ่ นแตง่ ตัง้ ให้ดารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
๓. กจิ กรรมการแข่งขนั ทกั ษะภาษาไทย ตามโครงการรักษ์ภาษาไทย เน่ืองในวันภาษาไทยแห่งชาติ
ปี ๒๕๕๙
๔. กจิ กรรมการประเมนิ อา่ นออกเขียนได้ของนักเรยี นชนั้ ป.๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๘ ปลายภาคเรยี นท่ี ๒
๕. กจิ กรรมการอบรม/ประชุม/สัมมนาของ ศึกษานเิ ทศก์และครแู กนนา
๖. กิจกรรมการนเิ ทศ ตดิ ตามการจดั การเรยี นการสอนภาษาไทยการอา่ น-เขยี น และ BBL
๗. กจิ กรรมการรายงานและสรปุ ผลการดาเนินงาน
งบประมาณ
งบประมาณจาก สพฐ. จานวนเงนิ ๑๔๓,๐๐๐๐ บาท (หนึง่ แสนสีห่ มนื่ สามพันบาทถ้วน)
กิจกรรม / รายละเอียดการใชง้ บประมาณ คน/ วนั / หนว่ ยละ งบประมาณ
หน่วย หนว่ ย (บาท) (บาท)
๑. กิจกรรมการประชมุ และรับฟงั การชแี้ จงเคร่ืองมือวัดและประเมนิ ผล
ความสามารถและทักษะ “อ่านออก” และ “เขียนได้” ของนกั เรยี น ๑๐,๐๐๐
ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๑-๖ และการรายงาน ขอ้ มูลทางระบบ e-MES
๑.๑ ค่าอาหารว่างของผู้เขา้ ประชุมและคณะทางาน ๑๓๕ ๑ ๓๕ ๔,๗๒๕
๑.๒ คา่ จดั ทาเอกสารการประชุม ๑๓๐ ๑ ๑๐ ๑,๓๐๐
๑.๓ ค่าจัดทาปา้ ย ๑ - ๑,๐๐๐ ๑,๐๐๐
๑.๔ ค่าวสั ดุ (แผน่ ซดี ี, ซองใส่แผ่นซดี ,ี หมึก, กระดาษ) - - - ๙๗๕
๑.๕ ค่าหอ้ งประชุมอเนกประสงค์ - - ๒,๐๐๐ ๒,๐๐๐
๒. กจิ กรรมการพัฒนาโรงเรยี นแกนนาโครงการพลกิ โฉมโรงเรยี น ป.๑ - - - ๓๒,๐๐๐
อา่ นออก เขยี นได้ ใน ๑ ปี
- สนับสนนุ งบประมาณในการพฒั นาตาม Roadmap การพลกิ โฉม ๘ - ๔,๐๐๐ ๓๒,๐๐๐
โรงเรยี น ป.๑ อา่ นออก เขียนได้ ใน ๑ ปี “กญุ แจ ๕ ดอก”เพื่อพลิก
โฉมโรงเรยี น”ของโรงเรียนแกนนาในสังกดั จานวน ๘ โรงเรียน
๓. กิจกรรมการแขง่ ขนั ทกั ษะภาษาไทย (นกั เรยี นชนั้ ป.๑-ม.๓) โครงการ - - - ๖๒,๐๐๐
รกั ษ์ภาษาไทย เนอ่ื งในวนั ภาษาไทยแหง่ ชาติ ปี ๒๕๕๙
๓.๑ คา่ รางวัลนกั เรียนทช่ี นะการแขง่ ขนั อนั ดบั ท่ี ๑-๓ และรางวลั
ชมเชย ทง้ั ๑๓
กิจกรรม (รางวลั ชนะเลศิ ๕๐๐ บาท, รางวลั รองชนะเลิศอนั ดับ ๑ ๑๓ - ๑,๘๐๐ ๒๓,๔๐๐
๔๐๐ บาท, รางวลั รองชนะเลศิ อันดับ ๒ ๓๐๐ บาท, รางวลั ชมเชย
กจิ กรรมละ ๓ รางวลั ๆ ละ ๒๐๐ บาท)
๓.๒ ค่าเบ้ยี เลี้ยงนักเรยี นทีเ่ ข้าแขง่ ขนั ทุกคน ๒๕๐ ๑ ๔๐ ๑๐,๐๐๐
๓.๓ ค่าตอบแทนคณะกรรมการตัดสินการแข่งขนั ๑๕ - ๔๐๐ ๖,๐๐๐
๓.๔ ค่าเบีย้ เลีย้ งและคา่ พาหนะสาหรบั นักเรียนและครูทีเ่ ปน็ ตัวแทน
เข้าแข่งขันรอบคดั เลอื กกจิ กรรมเขยี นตามคาบอก และกจิ กรรมอา่ นเอา ๖ - ๑,๒๕๐ ๗,๕๐๐
เรอ่ื ง (นักเรยี นชน้ั ป.๑-ม.๓)
๓.๕ คา่ เบีย้ เลยี้ งและค่าพาหนะสาหรับ ผอ.สพป., ศึกษานเิ ทศก์ - - ๖,๐๐๐
ครแู ละนกั เรยี นทไ่ี ปรว่ มกจิ กรรมระดับประเทศ
๓.๖ ค่าวัสดุ (กระดาษ, ส,ี หมกึ ฯลฯ) - - - ๒,๘๐๐
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพัฒนาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๕๒
ก่อนแตง่ ตัง้ ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
กจิ กรรม / รายละเอยี ดการใชง้ บประมาณ คน/ วัน/ หน่วยละ งบประมาณ
หนว่ ย หนว่ ย (บาท) (บาท)
๓.๗ คา่ ปา้ ย ๓ - ๖๐๐ ๑,๘๐๐
๑ ๓๕ ๓,๕๐๐
๓.๘ คา่ อาหารว่างของผรู้ ่วมพธิ ีเปิดการแขง่ ขัน ๑๐๐
๑ ๑๐ ๑,๐๐๐
๓.๙ ค่าถา่ ยเอกสารแบบทดสอบและกระดาษคาตอบกจิ กรรมแงขนั ๑๐๐
อ่านเอาเรือ่ ง - - ๓๐,๐๐๐
๔. กจิ กรรมการประเมินอ่านออกเขยี นได้ของนกั เรยี นชั้น ป.๑ ปี - - - ๒๒,๐๐๐
การศกึ ษา ๒๕๕๘ ปลายภาคเรียนที่ ๒ - - ๓,๑๐๐
๑ ๓๕ ๔,๙๐๐
๔.๑ คา่ ถา่ ยเอกสารแบบทดสอบและเอกสารประกอบการสอบ - - - ๗,๐๐๐
๔.๒ คา่ ป้ายและวัสดุ - - - ๗,๐๐๐
๔.๓ คา่ อาหารวา่ งและเครือ่ งดื่มในการจัดประชุมกรรมการสอบ ๑๔๐ - - ๑,๐๐๐
๕. กจิ กรรมการอบรม/ประชมุ /สมั มนาของศึกษานเิ ทศก์/ครแู กนนา - - - ๑,๐๐๐
- - ๒,๐๐๐
- คา่ พาหนะและคา่ เบ้ยี เลี้ยงของศึกษานเิ ทศกแ์ ละครแู กนนาในการเข้า - - ๑๔๓,๐๐๐
อบรม/ประชมุ / -
สัมมนา ที่จดั โดย สพฐ. และหนว่ ยงานอื่น
๖. กจิ กรรมการนเิ ทศ ตดิ ตามการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยการ -
อา่ น-เขยี น และ BBL
๗. กิจกรรมการรายงานและสรุปผลการดาเนนิ งาน -
- ค่าวสั ดแุ ละคา่ จดั ทาเอกสารการรายงาน -
รวมจานวนเงนิ ทง้ั หมด -
(รายละเอียดการใช้งบประมาณ สามารถถัวจา่ ยไดท้ กุ รายการ)
ลงชอื่ ............................................ผู้เขยี นโครงการ ลงชอื่ ...........................................ผ้เู สนอโครงการ
() ()
ศึกษานิเทศก์ ผูอ้ านวยการกลุม่ นิเทศฯ
ลงช่ือ............................................ผู้ใหค้ วามเหน็ ชอบโครงการ
()
รองผอู้ านวยการสานกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษา........................................
ลงชื่อ.............................................ผอู้ นมุ ัติโครงการ
()
ผู้อานวยการสานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษา.......................................
หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนร้กู ารพัฒนาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๕๓
กอ่ นแต่งต้งั ให้ดารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
ตวั อย่างโครงร่างการวิจยั
ช่ือเรอ่ื ง : การพัฒนาทักษะการอ่านการเขียนของนักเรยี นระดบั ประถมศึกษาในโรงเรียนสังกดั สานกั งาน
เขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาอุทัยธานี เขต ๒
ความสาคัญและท่ีมาของปัญหา
การอานและการเขียนในระดับประถมศึกษาเปนการปูพื้นฐานท่ีสาคัญในการเรยี นรูและพัฒนาตนเอง
ซ่ึงการเรียนในระดับน้ีมุงเน้นใหนักเรียนเข้าใจหลักเกณฑทางภาษาอย่างถูกตอง มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร
อยางเหมาะสมท้ังกับบุคคลและสถานการณ ทักษะการอ่านการเขียนจึงมีความสาคัญอยางย่ิงตอการเรียนการ
สอน เพราะจะช่วยใหนักเรียนประสบความสาเร็จในการเรียนท้ังยังสามารถนาไปใช้ในการแสวงหาความรู้
และถายทอดความคิดของตนเองดวย สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานจึงมีการติดตามสภาพการ
จดั การเรยี นการสอนภาษาไทยในโรงเรียน พบสภาพปัญหาที่เกดิ ขนึ้ สรปุ ได้เป็น ๓ ส่วน ดังน้ี
๑. สภาพปญั หาดา้ นการบริหารจดั การ ไดแ้ ก่ มคี รูไม่ครบชน้ั ครยู ้ายบ่อย ขาดแคลนส่ืออปุ กรณ์
ขาดงบประมาณในการพัฒนาครู ขาดการสนับสนุนจากชุมชน ประสบภัยพิบัติบ่อย การคมนาคมไม่สะดวก
และขาดการนเิ ทศติดตามจาก สพป./สพม.
๒. สภาพปญั หาด้านครู ไดแ้ ก่ ครไู มต่ รงวฒุ ิ ขาดทกั ษะการสอน การวดั และประเมินผล สอน
ไมค่ รบตามตัวชว้ี ดั ในหลักสูตร ภาระงานมาก ขาดการพฒั นาตนเอง และไม่มกี ารวจิ ัยในชัน้ เรียน
๓. สภาพปัญหาดา้ นนักเรยี น ได้แก่ นกั เรียนใชภ้ าษาไทยเป็นภาษาที่สอง ครอบครวั หย่าร้าง
อยู่กับญาติ ไม่สนใจเรียน/สอบ อพยพย้ายที่อยู่บ่อย เรียนรู้ช้า รับภาระทางบ้านมาก สนใจกิจกรรมมาก
เกนิ ไป ติดเกม ผู้ปกครองไม่เอาใจใส่
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน จึงเสนอแนวทางการดาเนินงานพัฒนาคุณภาพการ
เรียนการสอนภาษาไทยให้ประสบผลสาเรจ็ น้ัน โรงเรยี นควรดาเนนิ การ ดงั นี้
๑. แผนพฒั นาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทย
๒. ข้อมลู พ้นื ฐานเกยี่ วกบั ความรคู้ วามสามารถของครภู าษาไทย
๓. คัดเลอื กครภู าษาไทยทีม่ คี ุณภาพ มีความพร้อม เขา้ ใจพัฒนาการเรยี นร้ขู องนักเรียนใหส้ อน
ช้ัน ป.๑ และช้ัน ป.๒
๔. ช่วยเหลือสนบั สนนุ ส่งเสรมิ ครภู าษาไทยในการจดั การเรยี นการสอนภาษาไทย
๕. มมี าตรการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรยี นอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
๖. กากบั ติดตาม และนิเทศการสอนแกค่ รูผู้สอน อยา่ งต่อเน่อื ง สม่าเสมอ
๗. ตรวจสอบ หรือประเมินความสามารถภาษาไทย ของนักเรียนอย่างน้อยปีการศกึ ษาละ
๑ ครัง้ และมีข้อมูลนกั เรยี นที่มปี ญั หาอา่ นไม่ออกเขียนไม่ได้ เปน็ รายบุคคล
๘. จดั ทาแผนซ่อมเสริม และจัดสอนซอ่ มเสริมนักเรียน เปน็ รายบุคคล
๙. ครูทุกคนในโรงเรยี นร่วมรับผดิ ชอบแกไ้ ขปญั หา การอ่านการเขยี นของนกั เรยี น
๑๐. สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มีการติดตาม และ ให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาการเรียน
การสอนภาษาไทยใหแ้ กโ่ รงเรียน
นอกจากน้ี กระทรวงศึกษาธิการได้มีนโยบายปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์ เช่ือมโยงกัน
เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง มีความเชื่อมโยงกันทั้ง
หลักสูตรและการเรียนการสอนให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่ โดยให้
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรกู้ ารพฒั นาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๕๔
ก่อนแต่งตง้ั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์
ความสาคัญกับการเรียนรู้ภาษาไทย และกาหนดเป้าหมายการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาไทยของโรงเรียนใน
สงั กัด ให้สามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ภาษาไทย ๕% นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๓ ทุกคน อา่ นออกเขียน
ได้ และนกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ ข้นึ ไปอ่านคลอ่ งเขยี นคลอ่ ง อา่ นรู้เร่ืองและสอื่ สารได้
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๒ เป็นอีกหน่วยงานหน่ึงท่ีตระหนักและ
เห็นความสาคัญของการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทย โดยจะเห็นได้จากการกาหนดเป้าหมาย
ของการจัดการศึกษาทม่ี ุ่งพฒั นานักเรียนใหเ้ กิดคุณลกั ษณะ ดังนี้ “ลกู พระชนกจักรี เป็นเดก็ ดี รกั การเขียนอ่าน
สืบสานศาสตร์พระราชา รักษ์ป่ามรดกโลกห้วยขาแข้ง” จากความสาคัญดังที่กล่าวมา สานักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๒ จึงได้พัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนระดับชั้น
ประถมศึกษาปีที่ ๑-๖ เพ่ือแก้ปัญหานักเรียนที่ยังอ่านและเขียนไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของหลักสูตร และ
พัฒนานักเรียนให้มีทักษะการอ่าน และการเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถนาไปใช้ในการเรียนรู้กลุ่ม
สาระอน่ื เพอื่ ยกระดบั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนใหเ้ พิ่มขึน้ และมีคุณภาพอย่างตอ่ เนื่อง
วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย
เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน และการเขยี นของนกั เรียนระดับประถมศกึ ษาในโรงเรยี นสังกัดสานกั งาน
เขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาอทุ ยั ธานี เขต ๒
ขอบเขตของโครงร่างการวิจัย
๑. ประชากร คอื นกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๑ - ๖ โรงเรียนสงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนที่
การศกึ ษาประถมศึกษาอุทยั ธานี เขต ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๕๙ จานวน ........คน
๒. กลมุ่ ตัวอย่าง คือ นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๖ โรงเรยี นสังกัดสานักงานเขตพืน้ ที่
การศึกษาประถมศกึ ษาอุทัยธานี เขต ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ จานวน ........คน
๓. ตวั แปรทศ่ี กึ ษา
๓.๑ ทกั ษะการอ่าน
๓.๒ ทกั ษะการเขยี น
ทฤษฎี งานวิจยั ทเี่ กีย่ วข้อง
๑. การจัดการเรยี นรภู้ าษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
๒. การพฒั นาทักษะการอา่ น
๓. การพัฒนาทกั ษะการเขียน
๔. งานวิจยั ท่เี กยี่ วขอ้ ง
กรอบแนวคดิ ในการวิจยั
การบริหารจดั การ ยุทธศาสตร์ ๖ ส อน. ๒ ทักษะการอ่าน
ยุทธศาสตร์ ๖ ส อน. ๒ ระดบั ช้ันเรยี น ทกั ษะการเขียน
-สร้างความตระหนัก ของนักเรียน
-เสรมิ สรา้ งองค์ความรู้
-การปฏิบตั ิอย่างเข้มแขง็
-สานเครือขา่ ยร่วมพฒั นา
-สะท้อนผลส่กู ารสะท้อนคดิ
-สรา้ งขวญั และกาลังใจ
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนร้กู ารพัฒนาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๕๕
กอ่ นแต่งตง้ั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์
ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับ
๑. นักเรียนระดับประถมศึกษามีความสามารถในการอ่านและการเขียน และนาไปใช้เป็นเคร่ืองมือ
ในการเรียนร้กู ลมุ่ สาระวิชาอ่นื ๆ ทาใหผ้ ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนสูงข้นึ
๒. เขตพ้ืนท่ีการศึกษาและสถานศึกษาได้แนวทางการพัฒนาทักษะการอ่าน การเขียนของนักเรียน
ระดับประถมศกึ ษา และนาไปใช้เป็นแนวทางในการพฒั นานักเรยี นในระดับชั้นมัธยมศึกษา
หน่วยงานที่นาผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์
๑. โรงเรยี นในสังกัดสานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาอุทยั ธานี เขต ๒
๒. สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาอทุ ยั ธานี เขต ๒
๓. สานักงานศึกษาธกิ ารจังหวดั อุทัยธานี
วิธดี าเนนิ การวิจยั
๑.ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
ประชากร คือ นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ - ๖ โรงเรียนสงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ท่ี
การศึกษาประถมศกึ ษาอุทัยธานี เขต ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ จานวน ........คน
กล่มุ ตวั อย่าง คือ นกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ - ๖ โรงเรียนสังกดั สานักงานเขตพน้ื ที่
การศกึ ษาประถมศึกษาอุทยั ธานี เขต ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๕๙ จานวน ........คน
๒. เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวจิ ยั
๒.๑ ยุทธศาสตรก์ ารดาเนนิ งานพัฒนาคณุ ภาพการอ่านการเขยี นภาษาไทยตามจุดเนน้
“รกั การเขียนการอา่ น” ของสานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษาอุทยั ธานี เขต ๒ มี ๖ ยุทธศาสตร์
ซงึ่ ใชช้ ่ือว่า “ยทุ ธศาสตร์ ๖ ส อน.๒” ได้แก่
ยทุ ธศาสตรท์ ่ี ๑ สร้างความตระหนัก (ส๑)
ยทุ ธศาสตร์ท่ี ๒ เสริมสร้างองค์ความรู้ (ส๒)
ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๓ นาไปสู่การปฏบิ ัติอยา่ งเข้มแข็ง (ส๓)
ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สานเครือขา่ ยรว่ มพฒั นา (ส๔)
ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๕ สะทอ้ นผลสูก่ ารสะท้อนคิด (ส๕)
ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๖ สร้างขวัญและกาลังใจ (ส๖)
๒.๒ แบบประเมนิ ทักษะการอ่าน ประกอบดว้ ย
แบบประเมนิ ทกั ษะการอ่าน นกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑
แบบประเมนิ ทักษะการอ่าน นกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๒
แบบประเมนิ ทกั ษะการอ่าน นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓
แบบประเมินทักษะการอ่าน นกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๔
แบบประเมนิ ทกั ษะการอ่าน นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๕
แบบประเมินสาหรับนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๖
๒.๓ แบบประเมนิ ทักษะการเขียน ประกอบด้วย
แบบประเมนิ ทกั ษะการเขยี น สาหรับนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๑
แบบประเมนิ ทกั ษะการเขยี น สาหรบั นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๒
แบบประเมินทักษะการเขยี นนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๓
แบบประเมินทกั ษะการเขยี นนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๔
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารพัฒนาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๕๖
กอ่ นแต่งต้ังใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์
แบบประเมินทกั ษะการเขยี นนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕
แบบประเมนิ ทกั ษะการเขยี นนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๖
๒.๔ แบบติดตามการนายุทธศาสตร์ไปใช้
๓. การเกบ็ รวบรวบรวมข้อมูล
๓.๑ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๒ แต่งตง้ั คณะกรรมการระดับ
เขตพื้นท่ีการศึกษาเพ่ือจัดทายุทธศาสตร์การดาเนินงานพัฒนาคุณภาพการอ่านการเขยี นภาษาไทยตามจุดเน้น
“รักการเขียน การอ่าน” ของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๒ และประชุมช้ีแจง
ผูบ้ รหิ ารโรงเรียน เกย่ี วกบั แนวทางการดาเนินงานตามยุทธศาสตร์
๓.๒ ศึกษานิเทศก์ติดตามการนายุทธศาสตร์ไปใช้ในช้ันเรียนของโรงเรียน และสอบถาม
สภาพปัญหาในการนายุทธศาสตร์ไปใช้
๓.๓ คณะกรรมการประเมินทกั ษะการอ่านและการเขยี นของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษา
ปีที่ ๑-๖ ด้วยแบบประเมินทักษะการอ่าน และแบบประเมินทักษะการเขียน ในภาคเรียนท่ี ๑ ปีการศึกษา
๒๕๖๐
๓.๔ คณะกรรมการบันทึกคะแนนผลการประเมินทักษะการอ่านและการเขียน ของนักเรียน
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๑-๖ ภาคเรียนท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๐
๓.๕ บนั ทกึ คะแนนผลการประเมินการอ่าน การเขยี น ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑-๖
ภาคเรยี นท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ จาก ระบบ EMES
๔. การวิเคราะหข์ ้อมูล
๔.๑ วิเคราะหค์ ่าเฉลีย่ และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนทักษะการอ่าน การเขยี นของ
นักเรยี นแต่ละระดบั ชัน้
๔.๒ วิเคราะหค์ ่าเฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนทักษะการอ่าน การเขียนของ
นกั เรยี นในภาพรวมทกุ ระดับชนั้
๔.๓ เปรยี บเทียบคะแนนทดสอบการอ่านและการเขยี นของการทดสอบภาคเรียนท่ี ๑
ปกี ารศึกษา ๒๕๕๙ และภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๐
๔.๔ วิเคราะหเ์ น้อื หา สภาพ ปญั หา ข้อเสนอแนะ ในการนายุทธศาสตร์ไปใช้
ระยะเวลาในการวิจัย (ปฏทิ ินการดาเนนิ การ) มนี าคม - เมษายน ๒๕๖๐
๑) การสร้างเคร่อื งมอื ในการวจิ ยั พฤษภาคม – สงิ หาคม๒๕๖๐
๒) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล กันยายน ๒๕๖๐
๓) การวเิ คราะหข์ อ้ มูล กนั ยายน ๒๕๖๐
๔) สรุปรายงานผลการวิจยั กันยายน ๒๕๖๐
๕) จัดพิมพ์รายงานการวจิ ัย
หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๕๗
กอ่ นแตง่ ต้ังใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์
เอกสารอา้ งอิง
สถาบันภาษาไทย สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. รปู แบบวิธีการสอนภาษาไทยทีป่ ระสบผลสาเร็จ. กรงุ เทพฯ :
โรงพมิ พ์ สกสค.ลาดพรา้ ว, ๒๕๕๖.
________. ภาษาไทย ภาษาชาติ เพ่ือการอ่านออกเขยี นได้และสง่ เสรมิ การคิดวิเคราะห์. กรงุ เทพฯ :
โรงพิมพ์อกั ษรไทย (น.ส.พ.ฟา้ เมืองไทย), ๒๕๕๙.
สานักตดิ ตามและประเมนิ ผลการจดั การศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ. รายงานผลการดาเนินงานการกากับ ตดิ ตามการดาเนินงานตามนโยบาย
“ปี ๒๕๕๘ เป็นปีปลอดนักเรียนอา่ นไม่ออก เขยี นไม่ได้” และ “นักเรยี นชนั้ ป.๑ เมื่อจบชัน้ ป.๑
ตอ้ งอ่านออกเขียนไดแ้ ละมมี าตรการประเมินผลให้เป็นรปู ธรรม”. กรงุ เทพฯ : แมท็ ชพ์ อยท์, ๒๕๕๘.
________. การอบรมเชิงปฏิบตั ิการรายงานข้อมูลการตดิ ตามและประเมนิ ผลทางอเิ ล็กทรอนกิ ส์ (e-MES)
“ปี ๒๕๕๘ เปน็ ปีปลอดนักเรียนอา่ นไม่ออก เขยี นไม่ได้” และ “นักเรยี นช้ัน ป.๑ เม่อื จบช้ัน ป.๑
ต้องอา่ นออกเขียนได้และมมี าตรการประเมินผลให้เปน็ รปู ธรรม”. กรงุ เทพฯ : แม็ทชพ์ อยท์, ๒๕๕๘.
ผวู้ ิจยั .........................................................................
ตาแหนง่ ผู้อานวยการสานกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาอุทัยธานี เขต ๒
หนว่ ยงาน สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาอุทยั ธานี เขต ๒
หมายเลขโทรศพั ท์ (กล่มุ อานวยการ) ๐๕๖-๕๓๑-๓๕๖ ๐๘-๘๕๘๖-๕๕๐๒
หมายเลขโทรศพั ท์ (ผู้วจิ ัย) (กลุ่มนิเทศฯ) ๐๘-๑๒๓๓-๐๗๔๕
ผชู้ ่วยวจิ ัย ................................................................
ตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์
หน่วยงาน สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๒
หมายเลขโทรศพั ท์ (กลุ่มอานวยการ) ๐๕๖-๕๓๑-๓๕๖ ๐๘-๘๕๘๖-๕๕๐๒
หมายเลขโทรศัพท์ (ผวู้ จิ ัย) (กลมุ่ นิเทศฯ) ๐๘-๑๒๓๓-๐๗๔๕
หลักสตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นร้กู ารพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๕๘
กอ่ นแต่งตัง้ ใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์
ใบความรทู้ ่ี ๓.๓.๒
เรอื่ ง การประเมินโครงการ
ในวงจรการดาเนินโครงการ การประเมิน (Evaluation) เป็นส่วนหนึ่งที่สาคัญ ในวงจรการดาเนิน
โครงการ และเป็นกระบวนการท่ีมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการติดตาม (Monitoring) แม้ว่าการประเมินจะ
สัมพันธ์กับการติดตามอย่างไร การประเมินก็จะมีลักษณะพิเศษท้ังด้านความหมาย ข้ันตอน วิธีการและอื่นๆ
อีกหลายประการซึ่งแตกต่างไปจากการติดตาม การประเมินไม่ใช่เป็นการมุ่งตรวจสอบหรือจับผิดการทางาน
หรือการดาเนินงานโครงการใดโครงการหน่ึง แต่การประเมินจะช่วยทาให้ข้อมูล (data) ท่ีมอยู่กลายเป็น
สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ตอการตัดสินใจ แก่ผบู้ รหิ ารหรือผมู้ ีอานาจตัดสินใจ เพอ่ื นาไปสู่การปรับปรุงพัฒนา
โครงการ ขยายหรือยกเลิกโครงการ ทั้งน้ี ย่อมข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของการประเมินในแต่ละคร้ังว่า ต้องการ
สารสนเทศเพ่ือการตัดสนิ ใจในลักษณะใด ดังนั้น การดาเนินงานในโครงการแต่ละโครงการจงึ จาเป็นตอ้ งอาศัย
สารสนเทศจากการประเมินเป็นข้อมูลสาคัญ ตลอดระยะเวลาในการดาเนินงาน ในการประเมินโครงการใดๆ
ผู้ท่ีทาหน้าที่ประเมิน จาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในการประเมินอยา่ งลึกซ้ึง เพื่อจะสามารถนาแนวคิดและ
วิธีการต่างๆ ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในงานอย่างเหมาะสม สาหรับเน้ือหาของการประเมินโครงการ จะเร่ิมจากการ
ทาความเข้าใจเก่ียวกับหลักการของการประเมินโครงการ ซึ่งประกอบด้วย ความหมายและความสาคัญของ
การประเมนิ จากน้นั จะเป็นประเภทของการประเมินและข้ันตอนของการประเมนิ
๑. หลักการประเมนิ โครงการ
การประเมนิ โครงการมหี ลกั การสาคัญอย่างไรบ้างนนั้ จาเป็นต้องพิจารณาจากความหมาย และความสาคญั
ของการประเมนิ เปน็ สาคญั ดังน้ี
๑.๑ ความหมายของการประเมนิ
การประเมิน (Evaluation) หมายถึง กระบวนการตัดสินคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามตัวชี้วัด โดยการ
เปรยี บเทยี บกับเกณฑ์หรือมาตรฐานท่ีกาหนดไว้ ดังน้นั การประเมินโครงการ จงึ หมายถึงการตัดสินคุณค่าของ
โครงการ โดยเก็บข้อมูลจากตัวช้ีวัดที่กาหนดขึ้น และนาข้อมูลมาเปรียบเทียบ กับเกณฑ์หรือมาตรฐาน เพ่ือ
แสดงถงึ ความสาเรจ็ ของโครงการ
จากความหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การประเมินจะต้องเกี่ยวข้องกับคา ๓ คา คือ ตัวช้ีวัด เกณฑ์
และมาตรฐาน ดังน้นั เพือ่ ให้เกิดความเข้าใจตรงกัน จงึ ขออธบิ ายความหมายของคาท้งั ๓ คา ดังน้ี
ตวั ช้วี ดั (Indicator) หมายถึงตัวประกอบ ตัวแปร หรอื คา่ ที่สงั เกตได้ซึ่งใช้บ่งบอกถงึ สถานภาพหรือ
สะท้อนลักษณะหรือผลของการดาเนินงาน
เกณฑ์ (Criteria) หมายถึง ระดบั ทแ่ี สดงถึงความสาเร็จของการดาเนินงานหรือผลทไี่ ดร้ บั
มาตรฐาน (Standard) หมายถึง ระดับ การปฏบิ ัติ ท่ี แสดงถึง ความสาเร็จ อนั เปน็ ทยี่ อมรับ
โดยท่ัวไป
ดังนั้น การกาหนดตัวช้ีวัดและเกณฑ์ /มาตรฐาน ท่ีเหมาะสม จึงเป็นปัจจัยสาคัญท่ีทาให้ผลการ
ประเมินเป็นทน่ี ่าเชอื่ ถือ และยอมรับ ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง ซ่ึงวิธีการกาหนดตัวช้ีวดั และเกณฑ์ทเี่ หมาะสมจะได้กล่าว
ในเนอื้ หาของข้นั ตอนการประเมนิ แต่ละขัน้ ต่อไป
๑.๒ ความสาคญั ของการประเมนิ
ในการดาเนินงานโครงการ จาเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายท่ีเกี่ยวข้องกับโครงการจะต้องทราบถึงความ
เป็นไปได้ ความพร้อม ความก้าวหน้า และความสาเร็จของโครงการ ดังนั้นข้อมูลท่ีได้จากการประเมิน จะช่วย
หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๕๙
ก่อนแตง่ ต้ังใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์
ตอบคาถามต่างๆได้ ถ้าการดาเนินงานปราศจากการประเมิน ผู้ปฏิบัติจะไม่ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคท่ี
เกิดขึ้น ความพร้อม ความเหมาะสมของการดาเนินงานและเม่ือส้ินสุดการดาเนินงาน ก็จะไม่ทราบว่าผลการ
ดาเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง ควรยกเลิก หรอื ปรับ หรอื ขยายโครงการหรอื ไม่ อยา่ งไร ท้งั น้เี พราะไม่มสี ารสนเทศ
จากการประเมินมาช่วยสนบั สนุนการตัดสินใจน่ันเอง ดังนั้นสารสนเทศท่ีได้จากการประเมินจึงเปน็ สารสนเทศ
ทมี่ คี วามสาคญั ต่อการตัดสินใจของผูบ้ รหิ าร หรือผมู้ อี านาจในการตัดสินใจ ผู้ประเมินจึงมีบทบาทสาคญั ในการ
นาเสนอผลการประเมนิ ในลักษณะทีเ่ หมาะสมกับผูใ้ ช้ผลการประเมนิ แต่ละกลมุ่
ผู้ทท่ี าหนา้ ท่ีประเมนิ สามารถแบ่งได้เปน็ 2 กลุม่ คอื
๑) ผู้ประเมินภายใน (Internal Evaluator) ได้แก่ ผู้ประเมินท่ีเป็นบุคคลที่ปฏิบัติงานในโครงการน้ัน
ซงึ่ เปน็ ผทู้ ร่ี บั ผดิ ชอบตอ่ โครงการนน้ั โดยตรง
๒) ผูป้ ระเมนิ ภายนอก (External Evaluator) ไดแ้ ก่ ผ้ปู ระเมินทเ่ี ปน็ บุคคลภายนอกท่ีไม่ได้ปฏิบัติงาน
ในโครงการและไม่มีส่วนในการดาเนินการของโครงการน้ันโดยตรง ซ่ึงอาจเป็นบุคคลจากหน่วยงานอ่ืนภายใต้
สงั กดั เดยี วกัน แตอ่ ยู่นอกโครงการ หรอื อาจเป็นบคุ คลจากสงั กดั อื่นภายนอกก็ได้
กรณีท่ีผู้ประเมินเป็นบุคคลภายนอก ผู้ประเมินจะต้องพยายามสร้างความเข้าใจแก่ผู้ปฏิบัติงานใน
โครงการว่า การประเมิน ไมใ่ ช่ การจบั ผิด แตเ่ ปน็ การนาเสนอขอ้ มูลเพื่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อการดาเนินงานของ
โครงการ โดยเฉพาะถ้านาเสนอต่อผู้บริหารหรือผู้มีอานาจในการตัดสินใจ ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นทางเลือก
สาคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจต่อการดาเนินการของโครงการว่าจะปรับ ขยาย เปลี่ยนแปลงโครงการใน
ลักษณะใดจึงจะเหมาะสม ทั้งนี้ เพ่ือให้ผู้ปฏิบัติงานในโครงการเกิดความรู้สึกท่ีดีต่อการประเมินและยอมรับ
การประเมินว่าเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ไม่ใช่ทาลาย ซ่ึงจะส่งผลต่อการให้ความร่วมมือในการเก็บและรวบรวม
ขอ้ มลู ของผปู้ ระเมนิ ดังนั้น บคุ คลท่จี ะเป็นนักประเมินท่ีดี ควรจะตอ้ งมีคณุ ลกั ษณะ ดงั น้ี
๑) เข้าใจในสิง่ ท่ีต้องการประเมินอย่างชัดเจน เพอื่ นาไปสู่การวางแผนและดาเนินการประเมนิ อย่างมี
ประสิทธภิ าพ
๒) ควรเป็น นัก วิจัย ที่ดีด้วย เพราะข้อมูลท่ีใช้ในการประเมิน เกิดจากกระบวนการวิจัย ดังนั้น การ
ประเมินจะมคี ณุ ภาพก็ต่อเม่ือเริ่มจากการได้ข้อมลู ท่ีมีคุณภาพ ความแตกตา่ งของการวจิ ัยและการประเมินอยู่ท่ี
การวิจัย เน้นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ สนใจความจริง (Fact) ของส่ิงต่างๆ แต่การประเมิน เน้นการตัดสิน
คณุ ค่า ม่งุ ผลในทางปฏบิ ัตกิ ารนาไปใชป้ ระโยชน์ การประเมินจึงมลี ักษณะเฉพาะเจาะจงมากกวา่
๓) ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเชิงปรัชญา กล่าวคือ นอกจากที่นักประเมินจะมีความรู้ในทฤษฎี การ
ประเมิน และรูปแบบต่างๆแล้ว นักประเมินจาเป็นต้องรู้จัก พิจารณาเบื้องหลังแนวความคิดของการสร้าง
ทฤษฎีการประเมินแต่ละทฤษฎีด้วย เพราะนักประเมินจะต้องทาหน้าท่ีเป็นผู้ตัดสินคุณค่า ดังน้ัน จึงต้องมี
ความสามารถในการตดั สนิ ใจเลือกรปู แบบการประเมิน ที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์
๔) ต้องรู้จักประนีประนอม เพราะนักประเมินจะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย ได้แก่ คณะผู้
ประเมินเอง ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติการในโครงการ ผู้สนับสนุนด้านการเงิน ผู้รับผลจากโครงการ ฯลฯ จึงต้องรู้จัก
การประสานประโยชน์ บนพ้ืนฐานของความยุตธิ รรม ใหเ้ กิดแก่ทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม
๒. ประเภทของการประเมนิ
การประเมนิ มีอยดู่ ว้ ยกนั หลายลักษณะ ซึง่ ถ้าพจิ ารณาจดั ประเภทของการประเมินแลว้ สามารถแบ่ง
ได้เป็น ๒ กลมุ่ ใหญ่ ดังน้ี
๒.๑ แบง่ ตามวตั ถุประสงคก์ ารประเมนิ แบ่งได้เปน็ ๒ ประเภท คือ
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๖๐
ก่อนแต่งตงั้ ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
๑) การประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation) เป็นการประเมินระหว่างการดาเนิน
โครงการ เพอ่ื พิจารณาความก้าวหนา้ ของโครงการ ว่าจาเป็นตอ้ งมีการปรับปรงุ เปลีย่ นแปลงส่วนใด เพ่อื ให้เกิด
ความเหมาะสมและมีประสิทธภิ าพของการดาเนินงานมากขนึ้
๒) การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation) เป็นการประเมินเม่ือส้ินสุดโครงการเพื่อ
ตัดสินความสาเร็จของโครงการว่าบรรลุวตั ถปุ ระสงค์มากนอ้ ยเพียงใดหรือบรรลุเป้าหมายท่ีควรจะเป็นเพียงใด
๒.๒ แบง่ ตามชว่ งเวลาของการประเมิน แบ่งไดเ้ ป็น 5 ประเภท ดงั น้ี
๑) การประเมินความต้องการจาเป็น (Needs Assessment) เป็นการประเมินความต้องการ
จาเป็นของโครงการในเบื้องต้น ก่อนที่จะจัดทาโครงการใดๆ เป็นการประเมินที่มีประโยชน์ตอ่ การวางนโยบาย
และการวางแผน เพอ่ื ให้ได้แนวคิดของการจัดโครงการทส่ี ามารถสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้
๒) การประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility Study) เป็นการประเมินเพ่ือพิจารณาความเป็นไป
ได้ของโครงการท่ีจะดาเนินการศึกษาวิเคราะห์ถึงปัจจัย /เง่ือนไขท่ีจาเป็นต่อความสาเร็จของโครงการ มักจะ
ประเมินในดา้ นเศรษฐกจิ สังคม การเมอื ง และการบรหิ าร
๓) การประเมนิ ปจั จัยนาเขา้ (Input Evaluation) เปน็ การประเมินสิ่ง ทีป่ ้อนเขา้ สโู่ ครงการว่ามี
ความเหมาะสมเพยี งใดกอ่ นท่ีจะเร่ิมโครงการ สง่ิ ท่ีป้อนเขา้ เช่น คน วัตถุดิบ อุปกรณ์เคร่อื งมอื งบประมาณ
เป็นต้น
๔) การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการประเมินกระบวนการดาเนินการ
ตามที่กาหนด ทา การประเมินในขณะที่โครงการกาลังดาเนินการอยู่ เพื่อใช้ผลการปรับปรุง หรือเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการดาเนินงาน ซ่ึงมีลักษณะครอบคลุมการประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation)
ของโครงการ
๕) การประเมนิ ผลผลิต (Output / Product Evaluation) เป็นการประเมินผลทไ่ี ด้จากโครงการ
โดยตรง และเป็นผลที่คาดหวังจากโครงการ ว่าผลท่ีได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ /เป้าหมายของโครงการมาก
น้อยเพยี งใด
๖) การประเมินผลกระทบ (Outcome / Impact Evaluation) เป็นการประเมินผลท่ีได้จากผล
ของโครงการท้ังท่ีคาดหวงั และไม่ได้คาดหวัง ซึง่ เป็นผลทางบวกและทางลบ เพือ่ นาผลไปประกอบการตัดสินใจ
เกยี่ วกบั โครงการ เช่น การยกเลิก หรือดาเนินโครงการดงั กล่าวต่อไป
๗) การประเมินงานประเมิน (Meta Evaluation) เป็นการประเมินผลของการประเมินอีกคร้ัง
หนึ่ง เพ่ือศึกษาความถูกต้องและความเหมาะสมของการประเมิน และผลการประเมินวิธีการนี้ยงั ไม่แพร่หลาย
มากนกั
๓. ขัน้ ตอนการประเมนิ
ในการประเมนิ แตล่ ะครั้ง ผู้ประเมนิ จาเป็นต้องดาเนนิ ตามขน้ั ตอนของการประเมนิ ดังต่อไปนี้
๑) การวิเคราะห์โครงการทีจ่ ะประเมนิ
๒) การศึกษารปู แบบการประเมนิ (Model)
๓) การกาหนดประเดน็ ของการประเมนิ
๔) การพฒั นาตวั ช้ีวัดและกาหนดเกณฑ์
๕) การออกแบบการประเมนิ
๖) การเก็บรวบรวมข้อมูล
๗) เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๖๑
ก่อนแตง่ ตงั้ ให้ดารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์
๘) การวิเคราะห์ข้อมลู
๙) การตัดสนิ ผล สรุปผล และอภิปรายผลการประเมนิ
๑๐) การเขียนรายงานการประเมิน
สาหรบั รายละเอียดแตล่ ะข้นั ตอนมี ดงั นี้
๑) การวเิ คราะห์โครงการท่จี ะประเมนิ
เป็นการศึกษารายละเอียดต่างๆ ของโครงการและความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ของโครงการท่ีจะ
ประเมิน เพ่ือให้ผู้ประเมินเกิดความรู้ความเข้าใจโครงการอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่หลักการและเหตุผลของโครงการ
วัตถุประสงค์ วิธีดาเนินการ การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลจนถึงผลของโครงการ การวิเคราะห์โครงการ
อย่างละเอียดรอบคอบ จะเป็นส่วนสาคัญที่ทาให้ผู้ประเมินเกิดแนวคิดต่างๆ ท่ีจะนาไปสู่การกาหนดประเด็น
การประเมินได้ ดังน้ันการวิเคราะห์โครงการที่จะประเมินจึงเป็นขั้นตอนการประเมินท่ีสาคัญอย่างยิ่งขั้นตอน
แรกของการประเมนิ
๒) การกาหนดประเด็นของการประเมนิ (Model)
ผ้ปู ระเมินจาเป็นต้องมคี วามรูเ้ ก่ียวกับรปู แบบของการประเมนิ แบบตา่ งๆ อย่างกวา้ งขวาง รูปแบบของ
การประเมินแต่ละแบบ จะได้มาจากแนวความคิดที่แตกต่างกันไปของเจ้าของรูปแบบแต่ละท่าน การศึกษา
รูปแบบของการประเมินหลายๆ แบบจะทาให้ผู้ประเมินได้เห็นทางเลือกท่ีหลากหลายท่ีจะนาไปสู่การเลือกใช้
รูปแบบทเ่ี หมาะสมทีส่ ุดกบั โครงการที่จะประเมิน แต่โดยสว่ นใหญ่ โครงการแตล่ ะโครงการไม่สามารถประเมิน
โดยใช้รูปแบบใดรูปแบบหน่ึงอย่างเดียวเสมอไป ผู้ประเมินจึงใช้การผสมผสานหลายๆ รูปแบบการประเมิน
เพือ่ ให้ผลการประเมนิ สมบรู ณ์ทส่ี ดุ เทา่ ที่จะทาได้
๓) การกาหนดประเด็นของการประเมิน
ผู้ประเมินจาเป็นต้องกาหนดประเด็นของการประเมินอย่างเหมาะสม เพ่ือจะนาไปสู่การกาหนด
รายละเอียดในขั้นตอนต่อๆไป อย่างสมบูรณ์ตามประเด็นท่ีกาหนด ผู้ประเมินสามารถกาหนดประเด็นของการ
ประเมนิ ไดจ้ ากการวเิ คราะหโ์ ครงการทจ่ี ะประเมินในขนั้ ตอนท่ี 1 และผสมผสานกับการศกึ ษารูปแบบของการ
ประเมนิ ในขน้ั ตอนที่ 2 ท้งั น้ีผปู้ ระเมนิ จะต้องคานึงถึงความต้องการของผู้ใชผ้ ลการประเมิน ซ่งึ อาจจะเป็นผู้ให้
ทุน ผู้บริหาร ผู้มีอานาจตัดสินใจ เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ ฯลฯ เพ่ือให้ผลจากการประเมินเป็นประโยชน์ต่อ
บคุ คลตา่ งๆ อยา่ งแท้จรงิ
๔) การพฒั นาตัวชวี้ ัดและกาหนดเกณฑ์
ในการประเมิน ใดๆ สิ่ง สาคัญ ที่จะทาให้ เกิดความเช่ือถือ ในผลการประเมิน ได้ย่อมข้ึนอยู่กับ
คุณภาพของตัวชี้วัด (Indicator) และเกณฑ์ (Criteria) ดังน้ัน ข้ันตอนสาคัญของการประเมินอีกขั้นตอนหนง่ึ ก็
คือ การพัฒนาตวั ชีว้ ัด และการกาหนดเกณฑท์ ีเ่ หมาะสม ตวั ชี้วดั แต่ละตวั จะได้มาจากประเด็นของการประเมิน
ท่ีผู้ประเมินไดก้ าหนดไวใ้ นข้นั ตอนท่ี 3) ผู้ประเมนิ ต้องพยายามคน้ หาตัวชีว้ ัดทสี่ ามารถแสดงประสิทธภิ าพของ
แต่ละประเด็นได้ชัดเจนที่สุด ซ่ึงสามารถสังเกตหรือวัดได้และเม่ือได้ตัวชี้วัดที่เหมาะสมแล้ว ผู้ประเมิน
จาเป็นต้องกาหนดเกณฑ์ท่ีเหมาะสมให้กับตัวชี้วัดแต่ละตัวดังกล่าว เพื่อเป็นเกณฑ์ตัดสินได้ว่าผลการ
ดาเนินงานของโครงการที่พิจารณาจากตัวช้ีวัดแต่ละตัวน้ัน ประสบความสาเร็จเป็นไปตามเกณฑ์มากน้อย
เพยี งใด
๕) การออกแบบการประเมนิ
หลังจากที่ผู้ประเมินกาหนดประเด็นของการประเมิน และพัฒนาตัวชี้วัดและเกณฑ์ที่เหมาะสมได้แล้ว
ผู้ประเมินสามารถเริ่มออกแบบการประเมินได้ เริ่มต้ังแต่การผสมผสานความคิดท้ังหมด เป็นรูปแบบการ
ประเมินท่ีเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโครงการท่ีจะประเมิน การกาหนดวิธีการประเมิน การสุ่มตัวอย่าง ตัว ช้ีวัด
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๖๒
กอ่ นแตง่ ต้ังให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์
และเกณฑ์ที่จะใช้ แหล่งข้อมูลท่ีต้องการ เคร่ืองมือที่ใช้ และการวิเคราะห์ ข้อมูล การออกแบบการประเมินจึง
เปน็ เสมือน แนวทางการประเมนิ ท่ี ผปู้ ระเมนิ ได้เตรียมการออกแบบไวส้ าหรับแตล่ ะโครงการ
๖) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
หลังจากท่ีผู้ประเมินได้ออกแบบการประเมินไว้ แล้ว ผู้ประเมินต้องลงมือเก็บรวบรวมข้อมูลตามท่ี
ต้องการ โดยอาจจะใช้วิธีการหลายๆ อย่าง เช่น การสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์การสอบถาม ซ่ึงการ
เลือกใช้วธิ กี ารใดยอ่ มขึน้ กบั วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ และลักษณะข้อมูลทต่ี อ้ งการเปน็ สาคญั
๗) เครื่องมอื ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ขั้นตอนนี้จะสอดคล้องกับข้ันตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล กล่าวคือ ถ้าผู้ประเมินเลือกวิธีการเก็บ
รวบรวมข้อมูลวิธีใด เครื่องมือที่ใช้ก็ต้องสอดคล้องกับวิธีการน้ัน เช่น ถ้าใช้วิธีการสอบเครื่องมือท่ีใช้ก็คือ แบบ
สอบ ถ้าใช้วิธีการสอบถาม เคร่ืองมือท่ีใช้ก็ คือ แบบสอบถาม น่ันเอง ผู้ประเมิน จาเป็น ต้องมีความรู้ในเรื่อง
การสร้างเครื่องมือ แต่ ละชนิด ให้มี คุณภาพ เพราะผลการประเมินจะเช่ือถือได้มากน้อยเพียงใด ย่อมข้ึนกับ
เครือ่ งมอื ทีม่ ีคุณภาพเปน็ สาคญั
๘) การวิเคราะหข์ ้อมูล
เมื่อผู้ประเมินเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการได้แล้ว ผู้ประเมินต้องทาการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใชว้ ิธีการ
ทางสถติ ิที่เหมาะสม เพอ่ื ใหไ้ ด้ผลออกมาตามวตั ถปุ ระสงค์ของการประเมิน
๙) การตดั สนิ ผล สรปุ ผล และอภิปรายผลการประเมิน
หลังจากได้ ผลการวิเคราะห์ ค่าสถิติ ผู้ประเมิน จาเป็น ต้องตัดสินผลว่า โครงการดังกล่าวดาเนินการ
อย่างมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาทั้งผลผลิต (Output/Product)และผลลัพธ์ (Outcome /
Impact) จากน้ันผู้ประเมินต้องสรุปผลการประเมินให้เห็นภาพรวมทั้งหมดและเพ่ือให้เกิดแนวความคิดเชิง
สร้างสรรค์ ผู้ประเมินจาเป็นต้องอภิปรายผลการประเมินด้วย เพ่ือจะได้ทราบเหตุผลต่างๆ ที่ทาให้เกิดผลการ
ประเมินดังเชน่ ท่ปี รากฏ
๑๐) การเขียนรายงานการประเมิน
เมื่อการประเมิน ได้เสร็จส้ิน ผู้ประเมิน ต้องเขียนรายงานการประเมิน โดยเป็น การนาเสนอการ
ดาเนนิ การประเมินโครงการทกุ ขั้นตอน เพอื่ ใหผ้ อู้ ่นื ได้รบั ทราบและเข้าใจการประเมนิ ในครง้ั นี้ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งผูบ้ ริหารและผู้มีอานาจในการตัดสินใจ เทคนคิ การเขียนรายงานการประเมินจึงมีความสาคญั เป็นอย่างยิ่งใน
ข้ันตอนนี้
รูปแบบการประเมนิ โครงการ
ความหมายของรูปแบบการประเมิน
รปู แบบการประเมนิ (Evaluation Model) เกิดขึ้นเนื่องจากความพยายามของนักประเมินทีม่ ุ่ง
นาเสนอแนวทางในการประเมนิ โครงการ
รูปแบบการประเมิน คือ กรอบความคดิ หรือแบบแผนในการประเมนิ ท่แี สดงให้เหน็ ถงึ รายการทค่ี วร
ประเมินหรือกระบวนการของการประเมินซึง่ แตล่ ะรูปแบบจะบอกใหท้ ราบวา่ ในการประเมนิ โครงการใด
โครงการหนง่ึ นน้ั เราควรพิจารณาในเรือ่ งอะไรบา้ ง (What) ในขณะเดยี วกนั บางรูป แบบอาจมีการเสนอแนะ
ดว้ ยวา่ ในการประเมินแตล่ ะรายการ/แต่ละเรื่องควรพจิ ารณาหรือตรวจสอบอย่างไร ซงึ่ เปน็ ลักษณะของการ
เสนอแนะวธิ กี าร (How) รปู แบบการประเมนิ ส่วนใหญ่เรม่ิ ต้นหรือเกดิ ขึน้ ในช้ันเรียน กล่าวคอื เสนอรูป แบบ
การประเมิน เพื่อการประเมนิ ผลการจัดการเรียนการสอนในหอ้ งเรยี นเปน็ สาคัญ และต่อมามกี ารประยุกตใ์ ช้
กรอบแนวความคิดเหล่านั้นเพือ่ การประเมนิ งาน/โครงการในวงกว้างมากขึน้
หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูก้ ารพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๖๓
กอ่ นแตง่ ต้งั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์
ประโยชนข์ องรปู แบบการประเมิน
รูปแบบการประเมินมปี ระโยชน์สาคัญ ๔ ประการคือ
๑. ช่วยให้เหน็ แนวทางหรือกรอบความคิดในการประเมนิ การเรยี นรู้เร่อื งรปู แบบการประเมินท่ี
หลากหลาย จะทาให้เกิด ประสบการณใ์ นการตดั สินใจเลอื กใช้รูปแบบการประเมินไดอ้ ย่างเหมาะสมกบั สงิ่ ท่ีมงุ่
ประเมิน
๒. ช่วยใหก้ ารกาหนดวัตถปุ ระสงคข์ องการประเมินมีความคมชัด และครอบคลุมเน่ืองจากรูปแบบการ
ประเมินแตล่ ะรูปแบบมีกรอบความคดิ เชงิ เหตุผล ดังนัน้ การเลือกใชห้ รอื ประยกุ ต์ใช้รูป แบบใดรูปแบบหนงึ่
ก็มแี นวโนม้ ทจ่ี ะกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมนิ ใหส้ อดคลอ้ งกบั รปู แบบน้นั จึงทาให้กาหนดวัตถปุ ระสงค์
ได้อยา่ งชดั เจนครอบคลุมและสมเหตุสมผล
๓. ช่วยให้กาหนดตัวแปรหรอื ประเดน็ สาคญั ในการประเมนิ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน
๔. ทาใหผ้ ลงานการประเมินมีความเปน็ ระบบ ครอบคลมุ เปน็ ทย่ี อมรับและส่อื ความหมายไดช้ ัดเจน
ประเภทของรปู แบบการประเมนิ
รูปแบบการประเมิน เป็นกรอบหรือแนวความคิดท่ีสาคัญท่ีแสดงให้เห็นถึงกระบวนการหรือรายการ
ประเมิน ซึ่งมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับข้อตกลงเบ้ืองต้น ซ่ึงนัก วิชาการทางด้านการประเมินได้เสนอกรอบ
ความคิดให้นกั ประเมนิ ไดเ้ ลอื กใชม้ อี ยหู่ ลายรปู แบบ รปู แบบการประเมินโดยทั่วไปนยิ มแบง่ ออกเป็น ๓ กลุ่มคือ
๑. รปู แบบการประเมนิ ทีเ่ น้นจุดมุ่งหมาย (Objective Based Model) เป็นรปู แบบที่เน้นการ
ตรวจสอบผลที่คาดหวังไดเ้ กดิ ขึ้นหรือไม่ หรอื ประเมนิ โดยตรวจสอบผลท่ีระบุไว้ในจุดมงุ่ หมาย กับผลท่ีเกิดจาก
การปฏบิ ตั งิ านโครงการวา่ บรรลจุ ุดมงุ่ หมายท่ีกาหนดไว้หรือไม่ ได้แก่ รปู แบบการประเมินของ ไทเลอร์ (Ralph
W. Tyler : 1943) ครอนบาค (Cronbach : ๑๙๗๓) และเคริ ก์ แพทรคิ (Kirkpatrick)
๒. รูปแบบการประเมินท่ีเน้นการตดั สินคณุ ค่า (Judgmental Evaluation Model) เป็นรูปแบบ
การประเมินที่มีจุด มุ่งหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศสาหรับ กาหนดและวินิจฉัยคุณค่าของโครงการ
น้ันๆ ได้แก่ รูปแบบการประเมินของ สเตค (Stake : ๑๙๖๗) สคริฟเว่น (Scriven : ๑๙๖๗) โพรวัส (Provus
: ๑๙๗๑)
๓. รูปแบบการประเมินที่เน้นการตัดสินใจ (Decision – Oriented Evaluation Model) เป็น
รูปแบบการประเมินที่มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อมูลและข่าวสารต่างๆ เพ่ือช่วยให้ผู้บริหารในการตดั สนิ ใจ
เลือกทางเลือกต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ได้แก่ รูปแบบการประเมินของเวลช์ (Welch : ๑๙๖๗) สตัฟเฟิลบีม
(Stufflebeam : CIPP : ๑๙๖๘) อลั คนิ (Alkin : ๑๙๖๗)
รูปแบบการประเมิน
รปู แบบการประเมนิ มหี ลายประเภท สาหรับ ทจ่ี ะนาเสนอตอ่ ไปนเี้ ปน็ รายละเอยี ดของรปู แบบการ
ประเมนิ ตา่ งๆ ซ่งึ ไดเ้ ลือกมานาเสนอไว้ท้งั หมด ๓ รูปแบบคือ
๑. รูปแบบการประเมินของราล์ฟ ดบั บลวิ ไทเลอร์ (Ralph W. Tyler)
๒. รปู แบบการประเมินของแดเนียล แอล สตฟั เฟลิ บมี (Daniel L.Stufflebeam)
๓. รูปแบบการประเมินของเคิรกแพทริค (Kirkpatrick)
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้กู ารพัฒนาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๖๔
ก่อนแต่งตั้งใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์
๑. รูปแบบการประเมินของ ไทเลอร์ (Tyler)
ไทเลอร์ (Tyler, ๑๙๔๓) เปน็ ผู้นาท่ีสาคัญในการประเมินโครงการ ไดใ้ ห้ความหมายของการประเมิน
ว่า การประเมิน คือ การเปรียบเทียบพฤติกรรมท่ี เกิดข้ึนกับจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมที่กาหนดไว้ โดยมีความ
เช่อื วา่ จุดมุ่งหมายทตี่ ั้งไว้อยา่ งชัดเจน รัดกุม และจาเพาเจาะจงแล้ว จะเปน็ แนวทางชว่ ยในการประเมินได้เป็น
อย่างดีในภายหลัง เขาได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการประเมิน โดยเสนอเป็นกรอบความคิด ครั้งแรกในปี ค.ศ.
๑๙๔๓ โดยเน้นการกาหนดวัตถุประสงค์ของโครงการให้อยู่ในรูปของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม แล้วประเมิน
ความสาเร็จของวัตถุประสงค์เหล่านั้น แนวคิดลักษณะน้ีเรียกว่า แบบจาลองท่ียึดความสาเร็จของจุดมุ่งหมาย
เปน็ หลัก
ไทเลอร์ มคี วามเหน็ ว่าจดุ มุ่งหมายของการประเมินเพื่อตัดสนิ ว่า จดุ ม่งุ หมายของการศึกษาท่ีต้ังไว้ใน
รูปของจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมนั้นประสบผลสาเร็จหรือไม่ มีส่วนใดบ้างท่ีต้องปรับปรุงแก้ไข และถือว่าการ
ประเมินโครงการเป็นส่วนหน่ึงของการเรียนการสอน ลาดับข้ันของการประเมินการเรียนการสอนมีดังนี้
กาหนดจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมด้วยข้อความที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจงกาหนดเน้ือหาหรือประสบการณ์ทาง
การศึกษาท่ีต้องการใหบ้ รรลตุ ามความมุ่งหมายท่ีตัง้ ไว้ เลือกวธิ ีการเรยี นการสอนทเี่ หมาะสม เม่อื จบบทเรยี นจึง
ประเมินผลโครงการ โดยการทดสอบผลสัมฤทธ์ิ
ตวั อย่าง การประยกุ ต์ใช้แนวความคิดของไทเลอร์ มาใช้ในการประเมินโครงการ
การประเมินโครงการเกีย่ วกบั การเรยี นการสอน ควรดาเนินการดังนี้
๑. กาหนดจดุ มงุ่ หมายท่ีแท้จริงของโครงการทางการศึกษา มกั ได้แก่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนโดย
เขยี นในรูปของจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม
๒. จดั เน้ือหาในการเรยี นการสอนให้สอดคล้องกบั จุดประสงค์
๓. ทาการทดสอบผเู้ รยี นกอ่ นทาการเรียนการสอน
๔. เลือกวธิ ีสอนให้เหมาะสม
๕. ทาการทดสอบผเู้ รยี น เม่ือจบการเรยี นการสอนแลว้
๖. ประเมนิ ประสิทธิภาพของโครงการด้วยการเปรียบเทยี บคะแนนก่อนเรยี นและหลังเรยี นวา่
แตกตา่ งกันอย่างมีนยั สาคัญหรอื ไม่ และมนี ักเรยี นร้อยละเท่าไรทผ่ี ่านเกณฑ์
๗. นาผลของการเปรยี บเทยี บมาศกึ ษาจุดบกพร่องในการเรียนการสอนเพ่ือปรบั ปรุงแก้ไขต่อไป
ในปี ๑๙๘๖ ไทเลอร์ ได้นาเสนอกรอบแนวคดิ ของการประเมนิ โครงการใหม่ (New Tyler ๑๙๘๖)
โดยแบง่ การประเมนิ ออกเป็น ๖ สว่ นคือ
๑. การประเมินวัตถุประสงค์ (Appraising Objectives)
๒. การประเมนิ แผนการเรยี นรู้ (Evaluating the learning Plan)
๓. การประเมินเพื่อแนะแนวในการพัฒนาโครงการ (Evaluation to Guild Program
evelopment)
๔. การประเมินเพื่อนาโครงการไปปฏิบัติ (Evaluation Program Implement)
๕. การประเมนิ ผลลัพธ์ของโครงการทางการศึกษา (Evaluating the Outcome of an
Educational Program)
๖. การติดตาม (Follow up) และการประเมนิ ผลกระทบ (Impact Evaluation)
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรกู้ ารพฒั นาขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๖๕
ก่อนแตง่ ต้ังใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์
๒. รปู แบบการประเมนิ ของสตฟั เฟิลบีม (Stufflebeam)
แดเนียล แอล สตัฟเฟลิ บีม และคณะ (Daniel L. Stufflebeam, ๑๙๖๗) ได้เสนอแนวคิดเกย่ี วกับ
รูปแบบการประเมินเรียกว่า ซิปโมเดล (CIPP Model) เป็นการประเมินท่ีเป็นกระบวนการต่อเน่ือง โดยมีจุด
มงุ่ เน้นทสี่ าคญั คอื ใชค้ วบคูก่ ับการบริหารโครงการ เพอื่ หาขอ้ มลู ประกอบการตดั สินใจอยา่ งต่อเน่ืองตลอดเวลา
วัตถุประสงค์ของการประเมิน คือการให้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ ดังน้ันจึงจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องมี
รายละเอียดท่ีเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ คาว่า CIPP เป็นคาที่ย่อมากจาก Context, Input, Process,
และ Product
สตัฟเฟิลบีม ได้ให้ความหมายว่า การประเมินเป็นกระบวนการของการบรรยาย การเก็บข้อมูล การ
วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร เพ่ือนาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกทางเลือกท่ีเหมาะสม ซ่ึงในการ
ประเมิน เพื่อให้ไ ด้สารสนเทศท่ีสาคัญ มุ่งประเมิน ๔ ด้าน คือ การประเมินสภาพแวดล้อม (Context
Evaluation) การประเมินปัจจัยเบ้ืองต้น (Input Evaluation) การประเมินกระบวนการ(Process
Evaluation) และการประเมินผลผลิต (Product Evaluation)ประเภทของการประเมินและลักษณะการ
ตัดสินใจตามกรอบความคิดของรปู แบบการประเมนิ ซปิ แสดงได้ดังแผนภาพต่อไปน้ี
๑. การประเมินสภาพแวดล้อม (Context Evaluation : C)
เป็นการประเมินเพ่ือ ให้ได้ข้อมูลสาคัญเพื่อช่วยในการกาหนดวัตถุประสงค์ของโครงการ ความ
เป็นไปไดข้ องโครงการ เปน็ การตรวจสอบเพ่ือตอบคาถามต่างๆ เชน่
- เปน็ โครงการทีส่ นองปัญหา หรอื ความต้องการาเป็นท่แี ทจ้ รงิ หรอื ไม่
- วัตถุประสงค์ของโครงการชัดเจน เหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายขององค์กร หรือนโยบาย
ของหน่วยเหนือหรอื ไม่
- เป็นโครงการที่เป็นไปได้ในแง่ของโอกาสท่จี ะได้รับการสนับสนนุ จากองค์กรต่างๆหรือไม่
๒. ประเมนิ ปัจจัยเบื้องตน้ (Input Evaluation : I)
เป็นการประเมินเพื่อใช้ข้อมูลตัดสินปัจจัยต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับโครงการ เหมาะสมหรือไม่
โดยดูว่าปัจจัยที่ใช้จะมีส่วนช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมายของโครงการหรือไม่ เป็นการตรวจสอบเพื่อตอบคาถามที่
สาคัญ เชน่
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๖๖
ก่อนแตง่ ต้ังให้ดารงตาแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์
- ปจั จัยทกี่ าหนดไวใ้ นโครงการมีความเหมาะสมเพียงพอหรอื ไม่
- กิจกรรม/แบบ/ทางเลือกท่ีได้เลือกสรรแล้ว ท่ีกาหนดไว้ในโครงการ มีความเป็นไปได้และ
เหมาะสมเพยี งใด
๓. ประเมินกระบวนการ (Process Evaluation : P)
เป็นการประเมินระหวา่ งการดาเนนิ งานโครงการ เพื่อหาขอ้ ดี และขอ้ บกพรอ่ งของการดาเนินงาน
ตามขน้ั ตอนต่าง ๆ ทก่ี าหนดไว้ และเป็นการรายงานผลการปฏบิ ตั งิ านของโครงการนั้น ๆ ด้วย ซง่ึ เปน็ การ
ตรวจสอบเพ่ือตอบคาถามทีส่ าคัญ เชน่
- การปฏบิ ัติงานเปน็ ไปตามแผนทีก่ าหนดไวห้ รือไม่ กิจกรรมใดทาได้ หรือทาไมไ่ ด้ เพราะเหตใุ ด
- เกิดปัญหา อปุ สรรค ไม่ราบรนื่ ไมค่ ลอ่ งตัวหรือไม่ อยา่ งไร
- มีการแก้ไขปัญหาอย่างไร
๔. การประเมนิ ผลผลติ (Product Evaluation : P)
เป็นการประเมินเพื่อดูว่าผลที่เกิดข้ึนเมื่อสิ้นสุดโครงการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ หรือตามท่ี
คาดหวังไว้หรือไม่ โดยอาศัยข้อมูลจากการรายงานผลท่ีได้จากการประเมินสภาพแวดล้อมปัจจัยเบื้องต้น และ
กระบวนการร่วมดว้ ย ซ่ึงเปน็ การตรวจสอบเพ่อื ตอบคาถามท่ีสาคญั ๆ เช่น
- เกิดผล/ได้ผลลัพธ์ตามวตั ถุประสงคข์ องโครงการหรอื ไม่
- คุณภาพของผลลัพธ์เป็นอยา่ งไร
- เกดิ ผลกระทบอ่ืนใดบ้างหรือไม่
๓. รูปแบบการประเมนิ ของเคิร์กแพทริค (Kirkpatrick)
โดนัลด์ แอล เคิร์กแพทริค (Donald L. Kirkpatrick, 1975) แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน
สหรัฐอเมริกา อดีตเคยเป็นประธาน ASTD (The American Society for Tranning and Development)
ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ การฝึกอบรมและการประเมนิ ผลการฝึกอบรมว่า “การฝึกอบรมน้ันเปน็ การชว่ ยเหลือ
บุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการฝึกอบรมใดๆ ควรจะจัดให้มีการประเมินผลการ
ฝกึ อบรม ซง่ึ ถือเปน็ ส่งิ จาเป็นท่จี ะช่วยให้รวู้ ่า การจดั โปรแกรมการฝึกอบรมมปี ระสิทธผิ ลเพียงใด การฝึกอบรม
เป็นกิจกรรมปกติที่เกิดขึ้นในทุกองค์กร เป็นกิจกรรมที่จัดข้ึนมาเพื่อการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงาน โดย
มุ่งหวังใหผ้ ผู้ ่านการอบรมได้มีการปรับปรุงเปลีย่ นแปลงแนวทางการทางานใหม้ ีประสิทธิภาพมากข้ึน
เคริ ์กแพทริค เห็นวา่ การประเมนิ ผลการฝกึ อบรมจะทาให้ได้ความรู้อย่างน้อย 3 ประการ คือ
๑. การฝึกอบรมนั้นได้ให้อะไร หรอื เกิดประโยชนต์ อ่ หนว่ ยงานในลกั ษณะใดบา้ ง
๒. ควรยุตโิ ครงการช่ัวคราวกอ่ น หรอื ควรดาเนนิ การต่อไปเร่อื ยๆ
๓. ควรปรับปรุงหรอื พฒั นาโปรแกรมฝึกอบรมในสว่ นใดบา้ งอย่างไรแนวทางการประเมนิ
ในการประเมนิ ผลโครงการฝกึ อบรม เคิรก์ แพทรคิ เสนอวา่ ควรดาเนินการประเมินใน ๔ ลักษณะ คอื
๑. ประเมินปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction Evaluation) เป็นการตรวจสอบความรู้สึก หรือความ
พอใจของผ้เู ขา้ รบั การอบรม
๒. ประเมินผลการเรียนรู้ (Learning Evaluation) เป็นการตรวจสอบผลการเรียนรู้ โดยควร
ตรวจสอบให้ครอบคลุมทัง้ ดา้ นความร(ู้ Knowledge) ทกั ษะ (Skills) และเจตคติ (Attitude)
๓. ประเมนิ พฤตกิ รรมที่เปลีย่ นไปหลงั การอบรม (Behavior Evaluation)
เป็นการตรวจสอบวา่ ผู้ผา่ นการอบรมไดป้ รับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นไปตามความคาดหวังของโครงการหรอื ไม่
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูก้ ารพฒั นาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๖๗
กอ่ นแตง่ ต้ังให้ดารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์
๔. ประเมินผลลัพธ์ที่เกิดข้ึนต่อหน่วยงาน (Results Evaluation) เป็นการตรวจสอบว่า ผลจากการ
อบรมได้เกิดผลดีต่อองค์กร หรือเกิดผลกระทบต่อองค์กรในลักษณะใดบ้าง คุณภาพขององค์กรดีข้ึน หรือมี
คุณภาพขึน้ หรือไมร่ ายละเอียดแนวทางการดาเนนิ การประเมนิ แตล่ ะรายการเปน็ ดงั นี้
๑. ข้ันประเมนิ ปฏิกริ ยิ าตอบสนอง (Reaction)
การประเมินในข้ันนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้รู้ว่าผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมนั้นมีความรู้สึกอย่างไร
ต่อการฝึกอบรม เช่น ผู้เข้ารับการอบรมพอใจหรือไม่ต่อส่ิงท่ไี ด้รับจากการฝกึ อบรม และมากน้อยเพียงใด การ
ประเมินปฏิกิริยาตอบสนองนน้ั เราต้องการได้รับข้อมูลที่เป็นปฏกิ ิริยาตอบสนองของผู้เข้ารับการฝึกอบรม ท่ีมี
ความหมาย และความเป็นจริง เพราะข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิผลของการฝึกอบรมอันแรก เคิร์ก
แพทริค กล่าวว่า มีอยู่บ่อยครั้งที่ผู้บริหารตัดสินใจให้ล้มเลิกโปรแกรมฝึกอบรมนั้นเสีย หรือไม่ก็ตัดสินใจให้
ดาเนินการฝึกอบรมนน้ั ต่อไป โดยอาศัยข้อมูลท่ีไดจ้ ากการประเมินปฏกิ ิริยาตอบสนองเปน็ พื้นฐาน วิธีการท่ีจะ
ช่วยให้ได้รับ ข้อมูลเก่ียวกับ ปฏิกิริยาตอบสนองท่ีมีความหมาย/และตรงตามความจริงจากผู้เข้ารับการ
ฝกึ อบรม ได้แก่
๑) กาหนดให้แน่นอนชัดเจนลงไปว่า ต้องการได้รับข้อมูลอะไร เช่น ปฏิกิริยาตอบสนองของ
เน้ือหาหลกั สูตรการฝึกอบรม วทิ ยากร สถานท่กี ารฝึกอบรม ระยะเวลาท่ใี ช้ในการฝกึ อบรม ฯลฯ
๒) วางรูปแบบของเครื่องมอื หรือแบบสอบถามทจ่ี ะใช้เก็บขอ้ มลู
๓) ข้อคาถามทีใ่ ช้ ควรเปน็ ชนดิ ทีเ่ มือ่ ไดร้ ับข้อมลู หรอื ได้คาตอบแลว้ สามารถนามาแปลงเป็น
ตวั เลขแจกแจงความถี่ และวเิ คราะหใ์ นเชงิ ปรมิ าณได้ ไมค่ วรใชค้ าถามประเภทปลายเปดิ
๔) กระตุ้นให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เขียนแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในข้อ
คาถามตา่ งๆ
๕) เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมแสดงปฏกิ ิริยาตอบสนองผ่านแบบสอบถามตามความเปน็ จริง
ไม่ควรใหผ้ ู้เขา้ รับการฝึกอบรมเขยี นชอ่ื ตนเองลงไปในแบบสอบถาม
อน่ึง ในการแจกแจงแบบสอบถามเพื่อประเมินปฏิกิริยาตอบสนองน้ี ผู้ประเมินต้องแน่ใจว่าได้ให้
เวลาผู้เข้ารับการฝึกอบรมอย่างเพียงพอที่จะให้คาตอบครบทุกข้อ และควรแจกก่อนผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะ
ออกไปจากห้องฝึกอบรมเม่ือสิ้นสุดโปรแกรม พึงหลีกเล่ียงการปล่อยให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมนาแบบสอบถาม
ตดิ ตวั ออกไป และสง่ คนื กลบั มาในภายหลงั
๒. ข้ันประเมนิ การเรียนรู้ (Learning)
การประเมินผลในข้ันนี้มีวัตถุประสงค์ท่ีจะให้รู้ว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้รับความรู้ และ
ทักษะอะไรบ้าง และมเี จตคติอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทง้ั น้ีเพราะความรู้ ทักษะ และเจตคติ ล้วนแต่
เป็นองค์ประกอบพื้นฐานสาคัญ ที่จะช่วยให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการทางานของผู้เข้ารับการ
ฝึกอบรมในโอกาสตอ่ ไป เคิร์กแพทริค ได้ใหข้ อ้ เสนอแนะสาหรับการประเมินในขนั้ การเรียนรู้เอาไว้ ดงั น้ี
๑) ต้องวดั ความรู้ ทกั ษะ และเจตคติของผเู้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมท้ังก่อนและหลังการฝกึ อบรม
๒) วิเคราะห์ทั้งคะแนนรายข้อ และคะแนนรวมโดยเปรียบเทียบกันระหว่างก่อนและหลังการ
ฝึกอบรม
๓) ถ้าเป็นไปได้ควรใช้กลุ่มควบคุมซ่ึงเป็นกลุ่มของผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมแล้วเปรียบเทียบ
คะแนนความรู้ ทักษะ และเจตคติของกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง ซ่ึงเป็นกลุ่มของผู้เข้ารับการฝึกอบรมว่า
แตกตา่ งกนั หรอื ไม่อย่างไร
หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพัฒนาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๖๘
ก่อนแต่งตั้งใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์
สาหรับเครือ่ งมอื ที่ใชว้ ดั ความรู้ ทักษะ และเจตคติ เคิรก์ แพทริค ไดก้ ล่าวว่ามอี ยู่ 2 วิธี คือ
๑) ใช้แบบสอบวัดความรู้ ทักษะ และเจตคติเป็นแบบสอบวัดมาตรฐาน ผู้ประเมินควรส่ังซ้ือ
หรอื เลอื กใช้เฉพาะแบบสอบวัดความรู้ ทกั ษะ และเจตคติที่ตรงกบั โปรแกรมการฝึกอบรม
๒) สร้างแบบสอบวัดขน้ึ เอง แบบสอบวดั ความรู้ ทักษะ และเจตคตทิ จี่ ะสร้างข้ึนเองนจี้ ะให้
มรี ูปแบบอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หรือหลายอยา่ ง หรอื ทุกอยา่ งตอ่ ไปน้ีกไ็ ด้
•แบบ “ถูก” หรือ “ผิด”
•แบบ “เห็นดว้ ย”หรือ“ไม่เหน็ ด้วย”ซ่ึงอาจเป็นมาตราสว่ นประมาณค่า ๔ หรือ ๕ หรือ ๖
สเกล กไ็ ด้
•แบบเลือกคาตอบท่ีเห็นว่าถกู ตอ้ งท่ีสุด
•แบบเตมิ คา / ข้อความลงในช่องวา่ ง
๓. ขัน้ ประเมนิ พฤตกิ รรมท่เี ปลยี่ นแปลงไปหลงั การอบรม (Behavior)
การประเมินผลในขั้นนี้มีวัตถุประสงค์จะให้รู้ว่าเม่ือได้รับการฝึกอบรมไปแล้ว ผู้เข้ารับการ
ฝึกอบรมได้มีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการทางานไปในทิศทางที่พึงประสงค์หรือไม่ การประเมินผลในขั้นนี้
นับว่ายาก และใช้เวลามากกว่าการประเมินผลในสองขั้นแรก เพราะต้องออกไปติดตามการประเมินผลใน
สถานทท่ี างานจริงๆ ของผูเ้ ข้ารบั การฝึกอบรม ซงึ่ จะมีคาถามอย่หู ลายขอ้ ท่ผี ู้ประเมินจะต้องตอบใหไ้ ด้เสียก่อน
เช่น
•ควรจะออกไปประเมินเม่ือไร (๑ เดือน หรือ ๓ เดือน หรือ คร่ึงปี หรือ ๑ ปี ภายหลังการ
ฝกึ อบรม)
•จะเก็บข้อมูลจากใครถึงจะเชื่อถือได้มากท่ีสุด (จากผูบังคับบัญชา จากเพ่ือนร่วมงาน จาก
ผใู้ ต้บังคับบญั ชา หรอื จากผู้เข้ารบั การฝึกอบรมเอง)
๑) ควรจะวดั พฤตกิ รรมการทางานของผู้เข้ารับการฝกึ อบรมท้งั ก่อนและหลงั การฝกึ อบรม
๒) ระยะเวลาระหว่างการฝึกอบรมกับการประเมินผลหลังการฝึกอบรมน้ันควรจะให้ห่างกัน
พอสมควร เพอ่ื ให้แนใ่ จวา่ การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมการทางานได้เกิดขน้ึ จริงๆ ทางทดี่ คี วรจะประเมนิ หลายๆ
ครงั้ เป็นระยะๆ เช่น ประเมินทกุ ๓ เดอื น เปน็ ต้น
๓) ควรจะได้เก็บข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง เช่น จากผู้บังคับบัญชา จากเพ่ือนร่วมงาน และ
จากกลุม่ ผผู้ า่ นการอบรม
เคิร์กแพทริค เห็นว่าการประเมินผลในขั้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทางานตามข้อท่ีเสนอ
มาน้ัน จะนาไปใช้จริงๆ ต้องใช้เวลา และอาศัยความชานาญของผู้ประเมินเป็นอย่างมาก เขาจึงได้เสนอให้ทา
กับโปรแกรมฝกึ ขนาดใหญ่ และกบั โปรแกรมท่ีจาเป็นต้องจัดหลายๆ คร้งั ต่อไปในอนาคตเทา่ นน้ั สว่ นโปรแกรม
การฝึกอบรมขนาดเลก็ ท่วั ไป เขาได้เสนอใหใ้ ช้วธิ ีการงา่ ยๆ ดังน้ี
- กาหนดวา่ มพี ฤตกิ รรมการทางานอะไรบา้ งที่คาดหวงั จะใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลง
- เตรียมคาถามทจ่ี ะใชส้ าหรับการสมั ภาษณ์
- ทาการสัมภาษณ์บุคคลหลาย ๆ กลุ่ม ภายหลังการฝึกอบรมสักระยะหนึ่งเพื่อให้รู้ว่า
พฤติกรรมทีค่ าดหวังเอาไวเ้ หล่านั้นเกดิ การเปล่ยี นแปลงจริงๆ หรอื ไม่
ขอ้ มูลท่ไี ด้จากการสัมภาษณ์ควรจะนามาแปลงเป็นตัวเลข ทาการวเิ คราะหใ์ นเชิงปริมาณ ถา้ การ
สัมภาษณ์ผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้เข้ารับการฝึกอบรม ควรจะต้องแน่ใจว่าผู้เข้ารับการฝึกอบรม จะไม่มีอิทธิพล
ตอ่ การตอบ หรือสมั ภาษณข์ องผ้ใู ตบ้ ังคับบัญชา
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๖๙
ก่อนแตง่ ต้ังใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์
๔. ข้นั ประเมนิ ผลท่เี กดิ ขึ้นต่อหน่วยงาน (Results)
การประเมินผลในข้ันนี้มีวัตถุประสงค์จะให้รู้ว่าในท่ีสุดแล้ว การฝึกอบรมได้ก่อให้เกิดผลดีต่อ
หน่วยงานอย่างไรบ้าง ซึ่งนับเป็นการประเมินผลที่ยากท่ีสุด เพราะในความเป็นจริงน้ันมีตัวแปรอ่ืนๆ อีก
มากมายนอกเหนือการฝกึ อบรมทีม่ ผี ลกระทบตอ่ หน่วยงาน และตวั แปร “เหล่านน้ั ” บางทกี ย็ ากต่อการควบคุม
ฉะน้ันอะไรก็ตามท่ีเกิดแก่หน่วยงานในทางที่ดีจึงสรุปได้ยากว่าเป็นผลมาจากโปรแกรมการฝึกอบรม เคิร์ก
แพทรคิ ไดใ้ ห้ขอเสนอแนะในการประเมินผลในขนั้ นีไ้ ว้ดังน้ี
๑) ควรจะจดั สภาวการณ์หรือเงื่อนไขต่างๆ ก่อนการฝกึ อบรมเอาไว้แลว้ นาไปเปรียบเทียบกับ
สภาวการณ์ภายหลงั การฝึกอบรม โดยใช้ขอมลู ท่ีสังเกตได้ หรอื สอบวัดได้
๒) พยายามหาทางควบคุมตัวแปรอื่นๆ ซ่ึงคาดว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงในผลท่ี
ต้องการให้เกิดแก่หนว่ ยงาน วธิ ีหนง่ึ ทพ่ี อจะทาได้คือ การใชก้ ลุ่มควบคมุ กับกลุ่มตัวอยา่ ง
การออกแบบการประเมิน
การประเมินเป็นชุดกิจกรรม (Set) ของการดาเนินการเพ่ือตัดสินคุณค่าของส่ิงต่างๆ ท่ีต้องการ
ประเมิน ได้แก่ องค์กร นโยบาย โครงการ กิจกรรม เป็นต้น สิ่งที่ผู้ประเมินต้องการคือ สารสนเทศที่เป็น
ประโยชน์ (useful information) เกี่ยวกับเปา้ หมาย ความคาดหวัง ผลที่เกดิ ข้ึน และผลกระทบทีต่ ามมาการที่
ผู้ประเมินจะได้สารสนเทศท่ีตรงตามความต้องการ จาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีการออกแบบการประเมินท่ี
เหมาะสมและถูกต้อง เนื่องจากออกแบบการประเมินเปน็ ข้ันตอนท่ีเช่อื มโยงจากประเด็นการประเมิน ไปสู่ วิธี
การประเมิน การออกแบบการประเมินจึงเป็น การกาหนดชนิด รูปแบบ ขอบเขตมาตรฐาน และแนวทางการ
ประเมนิ การออกแบบการประเมิน เป็นการวางแผนการทางานเก่ยี วกบั การประเมิน เพื่อใหไ้ ดผ้ ลการประเมินที่
ตอบประเด็นปัญหาในการประเมิน อีกท้ังเป็นการจัดสรรการใช้ทรัพยากรและกาลังคนอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสุด
๑. เกณฑ์ทีค่ วรพิจารณาในการออกแบบการประเมนิ
การออกแบบการประเมนิ ทีด่ จี งึ ตอ้ งคานึงเกณฑด์ ังต่อไปน้ี
๑.๑ ความตรงภายใน (Internal Validity) หมายถึง ลักษณะของการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น
ของตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระที่ทาการศึกษา ในกรณีนี้ คือ การเปล่ียนแปลงหรือผลที่เกิดขึ้นจาก
โครงการ เป็นผลมาจากองค์กรและการดาเนินโครงการที่ต้องการประเมินนั่นเอง ทาให้ผู้ประเมินต้องควบคุม
ตัวแปรแทรกซ้อนและตัวแปรสอดแทรกที่มีผลต่อตัวแปรตามให้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังต้องมีวิธีการ
วิเคราะห์ข้อมูล แปลความหมาย และสรุปผลท่ีได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม จึงจะทาให้งานประเมินมีความ
ตรงภายใน
๑.๒ ความตรงภายนอก (External Validity) หมายถึง ลักษณะของการสรุปผลไปยัง
กลุ่มเป้าหมายได้ การท่ีผู้ประเมินสามารถสรุปผลการประเมินไปยังกลุ่มเป้าหมายท่ีเก่ียวข้องครอบคลุมพื้นที่
เป้าหมายของโครงการได้ แสดงว่าการประเมินมีความตรงภายนอก แต่ความตรงภายนอกของการประเมินจะ
ต่างจากความตรงภายนอกของการวิจัยตรงที่ไมส่ ามารถสรุปอ้างองิ ไปยังโครงการอนื่ ๆ ทีม่ ีลักษณะใกล้เคียงกัน
ได้ ท้ังนี้เพราะแตล่ ะโครงการจะมบี ริบทและความสาคญั ของโครงการแตกตา่ งกันออกไป
๑.๓ ความเป็นไปได้ในการประเมิน หมายถึง การออกแบบการประเมินจะต้องคานึงถึง เวลา
และสถานการณ์ทีจ่ ะทาการประเมนิ ตลอดจนทรพั ยากรทมี่ อี ยู่ ไมว่ า่ จะเป็นงบประมาณหรือกาลงั คน ส่ิงสาคญั
อกี ข้อคอื ผลการประเมนิ ต้องทันเวลาท่ีจะนาผลการประเมนิ ไปใช้ในการตัดสนิ ใจ
หลักสูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรกู้ ารพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๗๐
ก่อนแต่งตั้งให้ดารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์
๒. กระบวนการที่เกีย่ วข้องกบั การออกแบบการประเมนิ
ดังท่ีกล่าวแล้วว่าการออกแบบการประเมิน เป็นขั้นตอนที่เชื่อมโยงประเด็นปัญหาการประเมิน
ไปสู่ขัน้ ตอนดาเนินการประเมนิ กระบวนการที่เกี่ยวขอ้ งจงึ ประกอบดว้ ย
๒.๑ ประเดน็ ปญั หาของการประเมนิ
ในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ขั้นตอนแรกท่ีต้องดาเนินการคือการกาหนดปัญหาการวิจัยซึ่ง
หมายถึง ประเด็นท่ีนักวิจัยสงสัยและต้องดาเนินการเพื่อหาคาตอบที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ทาให้มี
ลักษณะเป็นข้อสงสัยของผู้วิจัยต่อสถานการณ์ที่คาดหวังหรือสถานการณ์ท่ีควรจะเป็นหากผู้วิจยั เหน็ ว่าควรหา
คาอธิบายสถานการณ์ใด กส็ ามารถนามาเป็นประเด็นปัญหาการวจิ ยั ได้ ในการประเมินกเ็ ช่นเดียวกันผ้ปู ระเมิน
จะตอ้ งกาหนดประเดน็ ทีต่ ้องการจะประเมินเปน็ ข้ันตอนแรก ลกั ษณะของประเด็นการประเมินต่างจากประเด็น
ปัญหาในการวจิ ยั คือไม่ใช่ข้อสงสัยของผปู้ ระเมนิ แต่เปน็ ข้อสงสัยของผู้ใช้ผลการประเมนิ การกาหนดประเด็น
ทตี่ อ้ งการประเมนิ ทาได้ ๔ วิธี คอื
๑) พิจารณาจากวัตถุประสงค์ของโครงการ ว่ามีความประสงค์อย่างไรต่อผลที่ได้จากการ
ดาเนินการตามโครงการ จากน้ันนาวัตถุประสงค์เหล่านี้ไปกาหนดเป็นประเด็นในการประเมินวิธีการนี้จะได้
ประเด็นปัญหาเฉพาะทมี่ อยูใ่ นวตั ถปุ ระสงค์ของโครงการเทา่ นนั้
๒) พิจารณาจากความต้องการของผู้ใช้ผลจากการประเมิน ได้แก่ ผู้ให้ทุน ผู้มีหน้าที่จัดทา
นโยบาย ผบู้ ริหารระดับสูง ผู้บรหิ ารระดบั ต้น เจ้าหน้าท่ีปฏิบัติการ ลกั ษณะของสิ่งท่บี ุคคลแตล่ ะระดับต้องการ
ทราบจะแตกต่างกันออกไป เช่น เจ้าหน้าท่ีปฏิบัติการต้องการทราบเพียงว่าผลที่ได้(output) เป็นไปตาม
เป้าหมายหรือไม่ ในขณะท่ีผู้บริหารระดับสูงอาจต้องการทราบมากกว่าผลที่ได้ เช่น อาจต้องการทราบถึง
คุณภาพของการดาเนินโครงการต้ังแต่ต้นจนจบ ความพอใจของผ้รู ับ บริการโครงการนั้น ตลอดจนผลกระทบที่
ไม่คาดหวังอันเน่ืองมาจากโครงการ วิธีการน้ีบุคคลที่เกี่ยวข้องท้ังหมดสามารถใช้ผลการประเมินในคราว
เดยี วกัน
๓) พิจารณาจากประสบการณ์ของผู้ประเมิน หากผู้ประเมินมีประสบการณ์ด้านการประเมิน
มาก จะทาให้สามารถระบุถึงประเด็นการประเมินในโครงการแต่ละประเภทได้ด้วยตนเองได้อย่างรวดเร็ว
จากน้ันจึงขอความเห็นชอบของผู้ใช้ผลการประเมินอีกครั้งหน่ึง วิธีการน้ีทาให้ประหยัดเวลาในการกาหนด
ประเด็นการประเมนิ ได้มาก
๔) พิจารณาโดยอาศัยโมเดลหรือแบบจาลอง (model) หรือ แนวคิด ที่นักวิชาการด้านการ
ประเมินไดก้ าหนดขึ้น ผ้ปู ระเมนิ จะตอ้ งพจิ ารณาความสอดคล้องระหวา่ งโมเดลและโครงการท่ีต้องการประเมิน
เช่น ในการฝึกอบรมหลักสตู รต่างๆ แบบจาลองท่ีได้รับความนิยมในการประเมินการฝึกอบรม คือ แบบจาลอง
ของ Kirkpatrick ในการสร้างและบริหารโครงการแบบจาลองท่ีได้รับความนิยมในการประเมินโครงการคือ
แบบจาลอง CIPP ของ Stufflebeam และคณะ เปน็ ตน้
๒.๒ การเลือกใช้ชนิดและรูปแบบการประเมิน
๑) ชนิดของการประเมิน (Evaluation Type) สามารถแบ่งได้ตามช่วงเวลาของการประเมิน
ได้แก่ การประเมินความต้องการจาเป็น (Needs Assessment) การประเมินความเป็นไปได้(Feasibility
Study) เปน็ ตน้ ผปู้ ระเมนิ จะตอ้ งพจิ ารณาโครงการท่ีจะประเมนิ ว่าอย่ใู นชว่ งเวลาใดของการดาเนินโครงการ
๒) รูป แบบของการประเมิน (Evaluation Design) ในจานวนรูป แบบการวิจัยท้ังหมด การ
วิจัยเชิงทดลองเป็นเพียงแบบเดียวที่สามารถบอกความเป็นเหตุเป็นผลได้ชัดเจนที่สุด แต่ด้วยข้อจากัดทาง
สังคมและพฤติกรรมของมนุษย์ ทาให้การใช้การวิจัยเชิงทดลองในการประเมินยังทาได้ไม่มากนัก รูปแบบท่ีใช้
หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรกู้ ารพัฒนาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๗๑
กอ่ นแต่งต้ังใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์
ในการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Design) แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ตามระดับการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
คอื
๒.๑) Pre-experimental Designs เป็นแบบการทดลองท่ีใช้กับกลุ่มตัวอย่างเดียว โดย
ไม่มีการสุ่มตัวอย่าง ทาให้มีตัวแปรแทรกซ้อนท่ีเกิดจากกลุ่มตัวอย่าง และไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าผลที่ได้
เปน็ ผลมาจากตัวแปรจัดกระทา (treatment) ในการทดลองหรือไม่
๒.๒) Quasi-experimental Designs เป็นแบบการทดลองที่ปรับปรุงจากแบบท่ี ๒.๑)
โดยใชก้ ล่มุ ตวั อย่าง ๒ กลุม่ กลุ่มหน่งึ เป็นกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับจัดกระทา (treatment)แตม่ กี ารวดั ผลในระยะ
เดียวกันกับกลุ่มที่ได้รับการจัดกระทา (treatment) ทาให้เห็นผลของการทดลองชัดเจนข้ึน แต่ยังไม่สามารถ
ควบคุมตวั แปรแทรกซ้อนท่ีเกดิ จากกลมุ่ ตัวอย่าง
๒.๓) True-experimental Designs เป็นแบบการทดลองที่ปรับปรุงมาจากแบบท่ี ๒.๒)
มีกลุ่มควบคมุ และมีการสุ่มท่เี รยี กว่า Randomization ซ่งึ ประกอบด้วยการสุ่มตัวอย่างจากประชากรท่เี รียกว่า
การสุ่มกลุ่มเลือกตัวอย่าง (Randomization Selection) และการสุ่มตัวอย่างเข้ารับการจัดกระทา ที่เรียกว่า
Random Assignment การสุ่มทั้งสองขั้นตอนจะเป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่เกิดจากกลุ่มตัวอย่างได้
เปน็ อย่างดี
จากทั้ง ๓ กลุ่มแบบการประเมิน ยังสามารถนาแนวคิดเร่ืองการศึกษาตามช่วงระยะเวลาเขา้ รว่ ม
เป็นรูปแบบ ซ่ึงเป็นวิธีการท่ีนิยมในการศึกษาแนวโน้ม (Trend) วิธีการที่นามาใช้กันมากคือ Time Series
ลักษณะการดาเนนิ การเหมือนเดิมเพยี งเพิ่มจานวนคร้ังในการวดั ผลมากข้ึน
การเลือกใช้รูปแบบใดขึ้นอยู่กับโครงการที่ต้องการประเมิน การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนและ
ระยะเวลาที่ตอ้ งการประเมนิ
๒.๓) การกาหนดวธิ ีการประเมนิ
(๑) การสุ่มตัวอย่าง ในการประเมินจะพบอยเู่ สมอว่าประชากรมีขนาดใหญ่มากและเกินกาลงั ท่ีผู้
ประเมินจะทาการศึกษาได้ ทาให้จาเป็นตอ้ งศกึ ษาเพยี งสว่ นหน่งึ ของประชากร สว่ นหน่ึงของประชากรที่ ศึกษา
จะต้องมีคุณสมบัติเป็นตัวแทนท่ีดี จึงมีเทคนิคที่ นามาใช้คัด เลือกตัวอย่างในการประเมินเรียกว่า การสุ่ม
ตัวอย่าง (sampling) หลักการท่ีสาคัญของการสุ่มตัวอย่างคือ เลือกวิธีการสุ่มตัวอย่างท่ีเหมาะสมเพ่ือทาให้ได้
ตัวแทนที่ดีของประชากรท่ีศึกษาและขนาดของกลุ่มตัวอย่างตอ้ งมีขนาดพอเหมาะท้ังในดา้ นทฤษฎีและในด้าน
การปฏิบตั ิ แบง่ วธิ ีการสมุ่ ตัวอย่างออกไดด้ งั นี้
(๑.๑) อาศัยหลักการเก่ยี วกับความน่าจะเปน็ (Probability Sampling)
(๑.๑.๑) Simple Random Sampling เป็นการสุ่มตัวอย่างเม่ือประชากรมีลักษณะ
ใกลเ้ คยี งกัน วิธีท่นี ิยมใช้กนั มากคอื การจับฉลาก
(๑.๑.๒) Systematic Sampling เป็นการสมุ่ ตัวอย่างเมื่อประชากรมีลักษณะใกล้เคียงกัน
แตล่ ักษณะของประชากรมีการจัดเรยี งตามลาดบั หมายเลขไว้แลว้ การสุ่มจึงสามารถทาอย่างเป็นระบบโดยการ
นาจานวนประชากรหารด้วยจานวนตัวอย่างทตี่ ้องการ
(๑.๑.๓) Stratified Sampling เป็นการสุ่มตัวอย่างเมื่อผู้ประเมินพบว่าประชากรมีความ
แตกต่างอย่างชัดเจน กลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นตัวแทนท่ีดี ของประชากรจึงต้องประกอบด้วยสมาชิกของกลุ่มย่อย
เหล่านั้นทกุ กลุ่ม ผู้ประเมนิ จะเริ่มด้วยการแบ่งประชากรออกเป็นกลุม่ ตามความแตกต่าง จากนัน้ สุ่มตัวอย่างใน
แต่ละกลุ่มย่อยประชากรตามสดั สว่ นของประชากรในแต่ละกลุม่
(๑.๑.๔) Cluster Sampling ในบางประชากรจะพบลักษณะการรวมเป็นก้อน ทาให้
การศึกษาตัวแปรต้องศึกษาจากสมาชิกในกลุ่มย่อยๆ เหล่าน้ันท้ังหมด เช่น การศึกษาผลของวิธี การสอน
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๗๒
กอ่ นแตง่ ต้งั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์
คณิตศาสตร์ จะต้องเป็นวิธีการสอนที่เหมาะสมกับ นักเรียนทั้งห้องไม่ใช่วิธีท่ีได้ผลดีกับนักเรียนคนใดคนหน่ึง
เทา่ นั้น การสุม่ ตอ้ งสุ่มทีละห้อง หรือการศกึ ษารูปแบบการพัฒนาชนบท จะต้องเป็นรปู แบบทใ่ี ช้ไดผ้ ลกับคนทั้ง
หมูบ้าน การสุม่ จงึ ตอ้ งสุ่มทีละหมบู่ า้ น เพื่อใหไ้ ด้สมาชิกทค่ี รบถว้ น
(๑.๑.๕) Multi-stage Sampling ในหลายกรณพี บวา่ ประชากรมีคุณลักษณะทซี่ ับซ้อนทา
ให้ต้องมีการสุ่มตัวอย่างมากกว่า ๑ คร้ัง โดยจะใช้วิธีการสุ่มที่เหมือนกันหรือไม่ก็ได้ เช่น การสุ่มตัวอย่าง
นักเรยี น ตอ้ งเร่มิ สุ่มจากภาคทางการศึกษา ขนาดโรงเรยี น การอยูใ่ นชุมชนชนั้ เรยี นไปจนถงึ หอ้ งเรียน
การสุ่มตัวอย่างโดยทั่วไปจะเป็นการสุ่ม คนหรือครัวเรือน แต่ในบางกรณีผู้ประเมินสามารถ
สุ่มตัวแปรหรอื ตัวบง่ ช้ีใหแ้ ก่กลุ่ม ตวั อย่าง โดยแตล่ ะคนจะได้รบั การประเมินเพียงบางตวั บ่งช้เี ทา่ นน้ั ตัวอยา่ งที่
เห็นได้ชัดคือ การสุ่มข้อสอบให้กับกลุ่มผู้สอบเน่อื งจากจานวนข้อสอบมีมากเกินไปผสู้ อบไม่สามารถทาข้อสอบ
ได้ทง้ั หมด จึงมกี ารสุ่มทีส่ ่มุ ทัง้ ขอ้ สอบและผสู้ อบทีเ่ รยี กวา่ Matrix Sampling โดยผ้สู อบแต่ละคนจะทาข้อสอบ
ไม่เหมอื นกนั แต่ข้อสอบทงั้ หมดไดร้ ับการทดลองใช้
การสุ่มตัวอย่างท่ีใช้ความน่าจะเป็นการกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างท่ี เหมาะสม ทาให้ผู้
ประเมินสามารถใช้สถิติอนุมานสรุปอ้างอิงผลการประเมินจากกลุ่มตัวอย่างกลับไปยังประชากรทั้งหมดได้ แต่
ในบางกรณีผู้ประเมินไม่สามารถใช้วิธีดังกล่าวข้างต้น เพราะมีข้อจากัดต่างๆเข้ามาเก่ียวข้อง จึงต้องหันมาใช้
การเลอื กตัวอย่างอกี แบบหนึง่ ทไี่ ม่ใช้ความน่าจะเป็น
(๑.๒) ไม่อาศัยความน่าจะเป็น เรียกว่า Non-probability Sampling ซ่ึงในตาราจะใช้วา
“Selection” แทนคาวา่ “Sampling” ทีน่ า่ สนใจมี ๓ วธิ คี อื
(๑.๒.๑) Purposive Selection เป็นการเลือกตัวอย่างที่เจาะจงเพ่ือให้เหมาะสมกับ
ปญั หาการประเมนิ นัน้ ๆ
(๑.๒.๒) Accidental Selection เปน็ การเลอื กตวั อยา่ งในลักษณะการบงั เอญิ พบ
(๑.๒.๓) Quota Selection เป็นการกาหนดสัดส่วนของกลุ่ม ตัวอย่างที่มีความแตกต่าง
กันไวล้ ่วงหนา้ โดยไมเ่ ปน็ ไปตามสัดสว่ นในประชากร
วิธีการในชุดน้ีมักจะใช้ได้สะดวก และเมื่อมีเวลาจากัดในการศึกษาหรือต้องการศึกษา หรือ
การวิเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นการศึกษาเฉพาะกรณี (Case study) การสรุปผลจะทาได้เฉพาะกลุ่มท่ี
ทาการศึกษา หรอื สรปุ ในกลมุ่ ประชากรทมี่ ีสภาพการณ์ทม่ี ีเงอื่ นไขเชน่ เดียวกนั เท่านัน้
การกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างต้องพิจารณาถึงขนาดประชากร ลักษณะความแตกต่างของ
ประชากร ขนาดความคลาดเคลื่อนสูงสุดยอมรับได้ ระดับของความเช่ือมั่น ชนิดของพารามิเตอร์ท่ีต้องการ
ทดสอบ งบประมาณ และวิธีท่ีใชเ้ ก็บรวบรวมข้อมูล อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัตมิ ีข้อจากัดเกิดขึ้นมากมาย เชน่
การขาดงบประมาณ การขาดกาลงั คน ความจากัดของเวลา และความร่วมมือของกลมุ่ ตัวอย่าง ทาให้ผปู้ ระเมิน
ไม่สามารถใช้ขนาดกลุ่มตวั อย่างท่คี านวณได้ ทาใหผ้ ้ปู ระเมินต้องย้อนกลบั มาพิจารณาถึงขนาดกล่มุ ตวั อย่างท่ีมี
ความเหมาะสมในทางปฏิบัติด้วย โดยอาจจะต้องยอมให้มีความคลาดเคลื่อนเพิ่มข้ึน เพ่ือลดจานวนของกลุ่ม
ตวั อย่างลงทาให้ การสรปุ ผลการประเมนิ กลบั ไปยงั ประชากรไมไ่ ด้มากเทา่ ทผี่ ู้ประเมินต้องการ
(๒) การพัฒนาตัวช้ีวัด เม่ือผู้ประเมินได้ประเด็นท่ีต้องการประเมินแล้ว งานขั้นต่อไปก็คือ
การกาหนดตัวแปรในประเด็นแตล่ ะประเด็นซ่ึงอาจมีตัวแปรมากกวา่ ๑ ตวั แปรกไ็ ด้ เช่น
* การอยู่ดีกินดีของชาวชนบท ตัวแปรที่เก่ียวข้อง ได้แก่ รายได้ รายจ่าย สิ่งอานวยความสะดวก
สขุ ภาพอนามัย เปน็ ต้น
* ความรู้ความเข้าใจของชาวชนบทเก่ียวกับ สุขลักษณะที่จาเป็น ตัวแปรที่เกี่ยวข้องในประเดน็ น้ี
มตี ัวเดียว คือ ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับสขุ ลกั ษณะทจี่ าเปน็
หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๗๓
ก่อนแตง่ ต้ังให้ดารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
ตัวแปรที่ถูก ระบุ แต่ละประเด็น ของการประเมิน จะทาหน้า ที่ เป็นตัว ช้ีวัดถึงลักษณะของ
โครงการน้ันๆ ถ้าการประเมินเป็นการตัดสินคุณค่าของโครงการแล้ว การระบุตัวแปรเพียงอย่างเดียวยังไม่
สามารถตัดสินคุณค่าได้หากไม่มีการกาหนดระดับท่ีน่าพอใจของตัวแปรเสียก่อน ดังน้ันในการประเมนิ ตัวชี้วัด
จะเกดิ จากตวั แปรที่มีการกาหนดเกณฑ์ และระดับทีพ่ งึ ประสงค์ของตวั แปรนั้น
สิ่งที่จะถูกประเมินในการประเมินยังมีอีกหลายประเภท ไม่เพียงแต่โครงการเท่านั้นได้แก่
นโยบาย องค์กร วัสดุอุปกรณ์ อาคารสถานท่ี กิจกรรม การระบุประเด็นท่ีต้องการประเมิน จึงแตกต่างกันไป
ตามสิง่ ทจ่ี ะประเมนิ
(๓) การกาหนดเกณฑ์ หรือ มาตรฐาน ของตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงความสาเร็จของโครงการที่ตองการ
ประเมนิ เกณฑ์ท่ีนิยมใชใ้ นการประเมนิ มี 2 ลักษณะ คอื
(๓.๑) เกณฑ์สมั บูรณ์ หรือ มาตรฐาน เป็นกาหนดระดบั ที่ควรจะมี ควรจะเปน็ หรอื ควรจะได้จาก
โครงการ การกาหนดมาตรฐานอาจทาโดย
(๓.๑.๑) มาตรฐานสากล
(๓.๑.๒) ผู้เช่ียวชาญในเรื่องท่ีต้องการประเมิน มาตรฐานที่ได้อาจมีความลาเอียงเน่ืองจาก
บุคลกิ ภาพของผเู้ ชยี่ วชาญได้
(๓.๑.๓) การคาดหวังจากเหตุการณ์ท่ีผ่านมา หรืออาจใช้ regression analysis เพ่ือ
ประมาณค่าที่คาดหวงั แต่ไมค่ วรใชผ้ ลงานที่ผา่ นมาโดยตรงมากาหนดเป็นมาตรฐาน
(๓.๑.๔) เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มในแต่ละช่วงเวลา แม้ว่า การเปรียบเทียบจะเป็นวิธีการที่
เขา้ ใจงา่ ย ปัญหาอยูท่ ่ีวา่ ขนาดความแตกตา่ งเทา่ ใดจงึ จะมีความหมาย
(๓.๑.๕) การใช้เกณฑป์ กตวิ ิสยั (norms) ที่ใช้กนั อยทู่ ่ัวไป เช่น เปอรเ์ ซนไทลท์ ี่ ๕๐
(๓.๑.๖) การใช้ Evaluator’s Program Description (EPD) เป็นการพัฒนาตัวบ่งช้ีควบคู่
กับการกาหนดมาตรฐานทค่ี าดหวงั ในคราวเดียวกัน
(๓.๒) เกณฑ์สัมพัทธ์ ในบางกรณี ผู้ประเมินไม่สามารถกาหนดเกณฑ์สัมบูรณ์ได้ จาเป็นต้อง
เทียบเคียงจากโครงการที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน และเป็นโครงการท่ีจัดว่าประสบความสาเร็จ ท่ีสาคัญจะต้อง
เป็นโครงการท่ีเปน็ ที่ยอมรับกันวา่ มคี ุณภาพเหมาะสม
(๔) การกาหนดแหลง่ ข้อมูลและการเลอื กใช้เครอื่ งมอื ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู แหลง่ ขอ้ มลู ไดแ้ ก่
(๔.๑) บันทึก ต่างๆ ของโครงการ (program record) เป็นข้อมูลท่ีเสียค่าใช้จ่ายต่า ไม่มี
ผลกระทบอนั เนื่องมาจากการเกบ็ ข้อมูลในการประเมิน และไมม่ ปี ญั หาเรอื่ งความรว่ มมือ
(๔.๒) ผู้มีสว่ นรว่ มในโครงการ ไดแ้ ก่ ผูร้ บั บริการ และผทู้ ่ีเกย่ี วข้องอน่ื ๆ ในโครงการ
(๔.๓) ทีมงาน มีข้อบกพร่องตรงท่ีจะมคี วามลาเอยี งในการตอบที่เป็นผลดตี ่อโครงการ
(๔.๔) การสังเกตของผู้ประเมิน ในลักษณะนี้คุณภาพของข้อมูลขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของ
ผูป้ ระเมิน
(๔.๕) ดัชนที ่มี ีอยใู่ นชุมชน เช่น อัตราการเกดิ ดชั นี ผู้ บ ริ โ ภค สถิติ คดอี าชญากรรม
(๔.๖) ผ้ไู ด้รับผลจากโครงการ หรือกลุ่มเปา้ หมายของโครงการ
(๕) การวิเคราะหข์ อ้ มลู การใช้สถิตใิ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู การประเมินมี ๒ วธิ ี คือ
(๕.๑) สถิติบรรยาย (Descriptive Statistics) เป็นสถิติท่ีใช้ในการบรรยายหรืออธิบายลักษณะ
ต่างๆ ของกลุ่มตัวอย่างหรือประชากรท่ีใช้ในการศึกษาเท่านั้น ไม่สนใจท่ีจะสรุปอ้างอิงไปยังประชากรอื่น
วิธีการทางสถิติประเภทนี้ท่ีใช้ ได้แก่ การแจกแจง ความถี่ การจัดตาแหน่งเปรียบเทียบ การวัดแนวโน้มเข้าสู่
สว่ นกลาง การวัดการกระจาย การวัดความสมั พันธ์ การใช้สถติ ิบรรยายจะใช้ใน ๒ ส่วน คอื
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๗๔
กอ่ นแต่งตั้งใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์
(๕.๑.๑) ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือ โดยขึ้นกับชนิดของเครื่องมือที่ใช้ ถ้าเป็น
แบบสอบถาม (questionnaire) ทั่วไป จะมีการประมาณค่าความเที่ยง และความตรงด้วยสัมประสิทธ์ิความ
เท่ียง และสัมประสิทธ์ิความตรงชนิดต่างๆ แต่ถ้าเป็นแบบสอบ (test)จะต้องมีการวิเคราะห์คุณภาพอย่างอ่ืน
นอกเหนือจากการประมาณคา่ ความเที่ยงและความตรง ได้ค่าความยาก อานาจจาแนก การทางานของตวั ลวง
เป็นตน้
(๕.๑.๒) ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล และแปลความหมาย ซึ่งเป็นขั้นตอนหลังจากท่ีผู้ประเมิน
ไดเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มลู มาแล้ว มกี ารรวบรวมหมวดหมู่ จดั กระทาใหเ้ กิดสารสนเทศ
(๕.๒) สถิติอนุมาน (Inferential Statistics) เป็นสถิติท่ีใช้ในการสรุปอ้างอิงค่าสถิติต่าง ๆ ที่
เกิดข้ึนในกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาไปยังกลุ่มประชากรของกลุ่มตัวอย่างนั้น ซึ่งจาเป็นจะต้องมีการสุ่มตัวอย่างท่ี
ถูกต้องและมีขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม โดยเป็นการอนุมานหรือสรุปอ้างอิงจากค่าสถิติ (statistic)
ของกลุ่มตัวอย่างไปยังค่าพารามิเตอร์ (parameter) ของประชากรก็ได้ ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของ
ข้อมูล ก่อนท่ีจะทาการวิเคราะห์ การตรวจสอบอาจใช้เจ้าหน้าท่ีหรือโปรแกรมสาเร็จรูปท่ีใช้กับคอมพิวเตอร์
หรืออาจจะใช้ทั้ง ๒ วธิ ดี ้วยกัน เพ่อื ใหเ้ กิดความแมน่ ยา การตรวจสอบความถูกต้องนอกจากจะมีผลดตี ่อการทา
การวิเคราะห์ข้อมูล ยังเป็นการตรวจสอบจานวนข้อมูลว่าได้ครบตามจานวนท่ีกาหนดไว้หรือผิดหากไม่ครบจะ
ได้มีการแกไ้ ขต่อไป
๓. ตารางแสดงรายละเอยี ดของการออกแบบการประเมนิ
สมมติว่าผู้ประเมินต้องการประเมินโครงการ “การจัดอาหารเสริม (นม)ให้แก่เด็กเล็กในจังหวัด
ก.” ซ่งึ โครงการมีวัตถุประสงค์คือ 1)จดั หาอาหารเสรมิ (นม) ให้แกเ่ ดก็ เลก็ ในจังหวัด ก. และ 2)พฒั นาเดก็ เล็ก
ในจังหวัด ก. ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ ผู้ประเมินได้วิเคราะห์โครงการและสอบถามความต้องการของผู้บริหาร
แลว้ ไดก้ าหนดประเดน็ และวัตถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ ดังน้ี
ประเดน็ ของการประเมิน
๑) การจัดหาอาหารเสริม (นม) ให้แก่เดก็ ในศูนยพ์ ัฒนาเดก็ เล็กของจังหวดั “ก”
๒) การพัฒนาเดก็ เล็กในจังหวดั “ก” ให้มสี ุขภาพท่สี มบรู ณ์
๓) ความคดิ เหน็ ของเจ้าหน้าทผี่ ู้ปฏบิ ัติงาน
๔) ความคิดเหน็ ของประชาชนในพนื้ ท่โี ครงการ
วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ
๑) เพื่อประเมินความเพียงพอและความทั่วถึงของการจัดอาหารเสริม (นม) ให้แก่เด็กในศูนย์
พัฒนาเดก็ เล็กของจังหวดั “ก”
๒) เพือ่ ประเมินผลการพฒั นาเด็กเล็กในจงั หวัด “ก”
๓) เพอ่ื ประเมินความคดิ เห็นของเจ้าหนา้ ที่และประชาชนในโครงการสาหรบั ประเด็นแรกของการ
ประเมิน การจัดอาหารเสริม (นม) ให้แก่เด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของจังหวัด ‘ก” ผู้ประเมินได้ออกแบบการ
ประเมนิ
หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๗๕
ก่อนแตง่ ตั้งใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์
ดังตวั อยา่ งการออกแบบการประเมิน
สรุป
การออกแบบการประเมินเป็นขั้นตอนที่เช่ือมโยงระหว่างประเด็นการประเมินและตัวชี้วัดไปยังการ
ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการ นาข้อมูลดังกล่าวมาทาการวิเคราะห์เพื่อตอบประเด็นที่ต้องการ
ประเมิน สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ การออกแบบการประเมิน คือ ประเด็นปัญหาของการประเมินการเลือกใช้รูปแบบ
การประเมิน และการกาหนดวิธีการประเมิน ซ่ึงประกอบด้วยการสุ่มตัวอย่างการพัฒนาตัวช้ีวัด การกาหนด
เกณฑ์หรือมาตรฐานของตัวชี้วัดท่ีแสดงถึงความสาเร็จของโครงการที่ต้องการประเมิน การกาหนดแหล่งของ
ขอ้ มูล การเลอื กใช้เครอื่ งมอื ในการเก็บรวบรวมข้อมลู และการวเิ คราะห์ข้อมลู
หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๗๖
ก่อนแตง่ ต้งั ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์
ใบความรูท้ ี่ ๓.๓
แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนจุดมุ่งหมายพื้นฐานสองประการ ประการแรก
คือ การวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียนและการเรียนรู้ของ
ผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง บันทึก วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล แล้วนามาใช้ในการ
สง่ เสรมิ หรอื ปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของผเู้ รียนและการสอนของครู การวัดและประเมินผลกับการสอนจึงเป็น
เรื่องที่สัมพันธ์กัน หากขาดส่ิงหน่ึงส่ิงใดการเรียนการสอนก็ขาดประสิทธิภาพ การประเมินระหว่างการเรียน
การสอนเพ่ือพัฒนาการเรยี นรูเ้ ป็นการวดั และประเมินผลเพ่ือการพัฒนา (Formative Assessment) ท่ีเกิดขึ้น
ในห้องเรียนทุกวัน เป็นการประเมินเพื่อให้รู้จุดเด่น จุดที่ต้องปรับปรุง จึงเป็นข้อมูลเพ่ือใช้ในการพัฒนาในการ
เก็บข้อมูล ผู้สอนต้องใช้วิธีการและเครื่องมือการประเมินท่ีหลากหลาย เช่น การสังเกต การซักถามการระดม
ความคดิ เห็นเพื่อให้ไดม้ ติข้อสรุปของประเด็นท่ีกาหนด การใชแ้ ฟ้มสะสมงาน การใชภ้ าระงานที่เน้นการปฏิบัติ
การประเมินความรู้เดิม การให้ผู้เรียนประเมินตนเอง การให้เพ่ือนประเมินเพื่อน และการใช้เกณฑ์การให้
คะแนน (Rubrics) ส่ิงสาคัญท่ีสุดในการประเมินเพื่อพัฒนา คือ การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนในลักษณะ
คาแนะนาที่เชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทาให้การเรียนรู้พอกพูน แก้ไขความคิด ความเข้าใจเดิมที่ไม่
ถกู ตอ้ ง ตลอดจนการใหผ้ ู้เรยี นสามารถต้งั เป้าหมายและพัฒนาตนได้
จุดมุ่งหมายประการท่ีสอง คือ การวัดและประเมินผลเพื่อตัดสินผลการเรียน เป็นการประเมินสรุปผล
การเรียนรู้ (Summative Assessment) ซ่ึงมีหลายระดบั ไดแ้ ก่ เมือ่ เรียนจบหน่วยการเรยี นรู้ จบรายวิชา เพ่ือ
ตัดสินให้คะแนน หรอื ใหร้ ะดับผลการเรียน ให้การรับรองความรู้ความสามารถของผูเ้ รียนว่าผา่ นรายวิชาหรือไม่
ควรไดร้ บั การเลื่อนช้นั หรือไม่ หรอื สามารถจบหลักสตู รหรือไม่ ในการประเมินเพ่ือตัดสนิ ผลการเรียนท่ีดตี ้องให้
โอกาสผู้เรียนแสดงความรู้ความสามารถด้วยวิธีการที่หลากหลายและพิจารณาตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์ผล
การปฏบิ ัตมิ ากกว่าใช้เปรยี บเทยี บระหวา่ งผู้เรยี น
การจัดการศึกษาในปัจจุบันนอกจากให้ทั่วถึงแล้วยังมุ่งเน้นคุณภาพด้วย ผู้ปกครอง สังคม และรัฐ
ต้องการเห็นหลักฐานอันเป็นผลมาจากการจัดการศึกษา นน่ั คือ คณุ ภาพของผ้เู รียนทเ่ี ปน็ ไปตามมาตรฐานของ
หลักสูตร หน่วยงานที่รับผิดชอบนับต้ังแต่สถานศึกษา ต้นสังกัด หน่วยงานระดับชาติท่ีได้รับมอบหมาย จึงมี
บทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพผู้เรียนตามความคาดหวังของหลักสูตร ดังน้ัน จึงสามารถจาแนกหาร
ทดสอบออกเปน็ ๓ ระดับได้ดังน้ี
๑. การทดสอบระดับสถานศึกษา
เป็นการวัดและประเมินผลท่ีอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดาเนินการเพื่อพัฒนาผู้เรียนและ
ตัดสินผลการเรียนในรายวิชา/กิจกรรมที่ตนสอน ในการประเมินเพ่ือการพัฒนา ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้
ตามตัวชี้วัดท่ีกาหนดเป็นเป้าหมายในแตล่ ะหน่วยการเรยี นรู้ดว้ ยวิธีการต่าง ๆ เช่น การซักถาม การสังเกตการ
ตรวจการบ้าน การแสดงออกในการปฏิบัติผลงาน การแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ ของผู้เรียนตลอดเวลาที่จัด
กิจกรรม เพื่อดูว่าบรรลุตัวช้ีวัดหรือมีแนวโน้มว่าจะบรรลุตัวช้ีวัดเพียงใด แล้วแก้ไขข้อบกพร่องเป็ นระยะ ๆ
อย่างต่อเน่ืองการประเมินเพื่อตัดสินเป็นการตรวจสอบ ณ จุดท่ีกาหนด แล้วตัดสินว่าผู้เรียนมีผลอันเกิดจาก
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด ท้ังนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือเก็บคะแนนของ
หน่วยการเรียนรู้ หรือของการประเมินผลกลางภาค หรือปลายภาคตามรูปแบบการประเมินท่ีสถานศึกษา
หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การพัฒนาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๗๗
ก่อนแตง่ ตงั้ ให้ดารงตาแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์
กาหนดผลการประเมินนอกจากจะให้เป็นคะแนนหรือระดับผลการเรียนแก่ผู้เรียนแลว้ ต้องนามาเป็นข้อมูลใช้
ปรบั ปรุงการเรียนการสอนตอ่ ไปอีกดว้ ย
๒. การทดสอบระดบั ชาติ
เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนก ลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนท่ีเรียนในช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๓
ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๖ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๓ และชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ เขา้ รับการประเมิน ผลจากการประเมิน
ใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่าง ๆ เพ่ือนาไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพ
การจดั การศกึ ษา ตลอดจนเป็นข้อมลู สนับสนุนการตัดสนิ ใจในระดบั นโยบายของประเทศข้อมูลการประเมินใน
ระดับต่าง ๆ ข้างต้น เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบ ทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ถือเป็น
ภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาทจ่ี ะต้องจัดระบบดแู ลช่วยเหลือ ปรบั ปรุงแกไ้ ข ส่งเสริมสนบั สนนุ เพ่อื ให้
ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพ้ืนฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จาแนกตามสภาพปัญหาและความ
ต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษกลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า
กล่มุ ผู้เรียนท่ีมีปัญหาด้านวินยั และพฤติกรรม กลุ่มผู้เรยี นทป่ี ฏิเสธโรงเรยี น กลุม่ ผ้เู รียนทมี่ ีปญั หาทางเศรษฐกิจ
และสังคม กลุ่มผู้เรียนที่พิการทางร่างกายและสติปัญญา เป็นต้นข้อมูลจากการประเมินจึงเป็นหัวใจของ
สถานศึกษาในการดาเนินการชว่ ยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที อันเป็นโอกาสใหผ้ ู้เรียนไดร้ ับการพัฒนาและประสบ
ความสาเร็จในการเรียน การทดสอบในระดับชาติได้แก่ การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพ้ืนฐาน (O-
NET) การทดสอบความสามารถพ้ืนฐานของผู้เรียนระดับชาติ (NT) การทดสอบด้วยข้อสอบมาตรฐานกลาง
การทดสอบการอ่าน (RT) การทดสอบ (English Assessment คือ การพัฒนาระบบประเมินความสามารถด้าน
ภาษาอังกฤษ (English Assessment) ด้วยระบบ On-line เพ่ือเป็นการประเมินและพัฒนาความสามารถทาง
ภาษาอังกฤษ ด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนของผู้เรียน พร้อมท้ังเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของ
บคุ คลากรทางการศกึ ษาในการประเมินความสามารถทางภาษาอังกฤษของผเู้ รยี น)
๓. การทดสอบระดบั นานาชาติ
เม่ือประเทศไทยเข้าสู่สังคมโลก จึงได้ร่วมการประเมินกับโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับ
นานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ริเร่ิมโดยองค์การเพ่ือความร่วมมือ
ทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ
OECD) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษาในการเตรียมความพร้อมให้ประชาชนมี
ศักยภาพหรือความสามารถพื้นฐานที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตในโลกท่ีมีการเปล่ียนแปลง โดย PISA เน้นการ
ประเมินสมรรถนะของนักเรียนเก่ียวกับการใช้ความรู้และทักษะในชีวิตจริงมากกว่าการเรียนรู้ตามหลกั สูตรใน
โรงเรียน ปจั จุบันนี้มปี ระเทศจากทัว่ โลกเข้าร่วมโครงการมากกว่า ๗๐ประเทศ
PISA ประเมินอะไร
PISA ประเมินความรู้และทักษะท่ีนามาใช้ในสถานการณ์จริง หรือท่ีเรียกว่า “การรู้เรื่อง” (Literacy)
ใน 3 ด้านได้แก่ การรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy) การรู้เร่ืองคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy)
และการรู้เร่ืองวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) ไม่เน้นการประเมินความรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียนแต่เน้น
ประเมินความสามารถในการใช้ความรู้และทักษะเพ่ือการแก้ปัญหาในชีวิตจริง ในแต่ละทักษะ ไม่ได้เน้นเรื่อง
ของการการอ่านออกเขียนได้ การคิดเลขเป็น แต่ ส่ิงที่ PISA เน้นคือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ความ
เข้าใจในเนือ้ หาสาระของโจทย์ทซี่ ับซ้อนได้ ซ่งึ จะวดั ความรทู้ ้ัง ๓ ดา้ น แต่จะเน้นหนักในด้านใดด้านหนึ่งในการ
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การพฒั นาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๗๘
กอ่ นแต่งตั้งให้ดารงตาแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์
ประเมินแต่ละระยะ โดยแบ่งการประเมินเป็น ๒ รอบ ได้แก่ รอบท่ี ๑ (Phase I: PISA ๒๐๐๐ PISA ๒๐๐๓
และ PISA ๒๐๐๖) และรอบท่ี ๒ (Phase II: PISA ๒๐๐๙ PISA ๒๐๑๒ และ PISA ๒๐๑๕)
การรูเ้ ร่อื งการอ่าน หมายถงึ ความสามารถท่ีจะทาความเข้าใจกับส่งิ ท่ีไดอ้ ่าน สามารถนาไปใช้ในการ
ประเมิน การสะท้อน และมคี วามรักและผูกพนั กบั ถ้อยความเพ่ือพัฒนาความรูค้ วามสามารถ และศักยภาพ
และการมีส่วนรว่ มในสังคม
การรูเ้ รอ่ื งวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ความสามารถของบคุ คลที่จะเช่ือมโยงสิ่งตา่ งๆ เขา้ กบั ประเดน็ ท่ี
เกย่ี วข้องกับวิทยาศาสตรแ์ ละแนวคดิ ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างไตรต่ รอง
การรู้เรื่องคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคิด ใช้ และตีความคณิตศาสตร์ใน
สถานการณ์ต่างๆ ท่ีหลากหลาย รวมถึงการให้เหตุผลอย่างเป็นคณิตศาสตร์ ใช้แนวคิดและกระบวนการทาง
คณิตศาสตรใ์ นการอธบิ าย และทานายปรากฏการณ์ตา่ งๆ
PISA ประเมินใคร
โครงการ PISA ประเมินนักเรียนอายุ ๑๕ ปี ซ่ึงถือว่าเป็นวัยจบการศึกษาภาคบังคับในแต่ละรองการ
ประเมิน มีนักเรียนเข้าร่วมประมาณ ๖,๐๐๐ คน ซ่ึงถูกสุ่มจาก ๒๐๐ โรงเรียนท่ัวประเทศในทุกสังกัดให้มี
โอกาสเข้ารว่ มการสอบ
สาหรับการสอบ PISA ๒๐๑๘ กลุ่มตัวอย่างของ PISA เป็นนักเรียนท่ีมีช่วงอายุ ๑๕ ปี ๓ เดือน จนถึง
๑๖ ปี ๒ เดอื น ณ เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ดังนน้ั กล่มุ ตวั อยา่ งจึงเป็นนกั เรยี นทเ่ี กดิ ตั้งแตว่ ันที่ ๑ มถิ นุ ายน
๒๕๔๕ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖ และกาลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ ข้ึนไป จากโรงเรียนทุก
สังกดั
PISA ประมินอย่างไร
โครงการ PISA ประเมินผลนักเรียนในระดับโรงเรียนและดาเนินการอย่างต่อเน่ืองทุกๆ ๓ ปีโดย
ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๕๔๓ หรือใน PISA ๒๐๐๐ ซ่ึงเป็นรอบแรกของการประเมินและได้
เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเน่ืองใน PISA ๒๐๐๓ PISA ๒๐๐๖ PISA ๒๐๐๙ PISA ๒๐๑๒ PISA ๒๐๑๕ และ
PISA ๒๐๑๘ ในแต่ละรอบการประเมิน จะสอบสามวิชาพื้นฐานดังกล่าว โดยมีสัดส่วนของข้อสอบแต่ละวิชา
แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าในรอบการประเมินน้ันเน้นการประเมินวิชาใด หากเป็นวิชาหลักในรอบการประเมิน
จะมีสัดส่วนของข้อสอบประมาณ ๖๐% ส่วนวิชารองจะมีสัดส่วนของข้อสอบประมาณ ๒๐% สาหรับรอบการ
ประเมนิ PISA ๒๐๑๘ เน้นการประเมินการรเู้ ร่อื งการอ่าน
แบบทดสอบของ PISA มีความน่าสนใจและท้าทายโดยมีหลากหลายสถานการณ์ในชีวิตจริงให้
นักเรียนอ่าน ในหน่ึงสถานการณ์อาจมีหลายคาถามและหลากหลายรูปแบบในการตอบคาถาม ได้แก่
เลอื กตอบ เขยี นตอบส้ันๆ และเขยี นอธิบายเหตุผล
ในการประเมินท่ีผ่านมา นักเรียนต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการทาแบบทดสอบ โดยการคลิกเลือกตอบ
พิมพ์คาตอบ ใช้เมาส์และวางคาตอบหรือคลิกเลือกคาตอบจากรายการที่กาหนดให้การประเมินของ PISA ใช้
เวลาสองชั่วโมงในการทาแบบทดสอบและใช้เวลาอกี ประมาณหนงึ่ ชวั่ โมงเพื่อตอบแบบสอบถามเก่ยี วกบั ตัวของ
นกั เรียนและการเรยี น
PISA สาคัญอยา่ งไร
ผลการประเมิน PISA จะชี้บอกคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนแนวโน้มการเรียนรู้ของนักเรียนเม่ือ
เวลาผ่านไป จุดแข็งจุดอ่อนของระบบการศึกษาของประเทศ และยังสามารถนาไปใช้เป็นแนวทางในการ
ปรบั ปรุงและยกระดบั คณุ ภาพการเรียนรู้ของนักเรยี นได้
หลักสตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนร้กู ารพฒั นาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๗๙
ก่อนแต่งตงั้ ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์
ใบกิจกรรมท่ี ๓.๓.๑
เร่ือง การจัดทาโครงการนิเทศการศกึ ษาโดยใช้กระบวนการวิจัย
คาชี้แจง
๑) แบ่งกล่มุ ผ้เู ข้ารบั การพัฒนา กล่มุ ละ ๓-๕ คน
๒) ผเู้ ข้ารบั การพฒั นาพจิ ารณาโครงการจากแผนการนเิ ทศ ในกจิ กรรมหนว่ ยย่อยที่ ๓.๒ และคัดเลอื ก ๑
โครงการตามสภาพปญั หา/ความตอ้ งการกลุ่ม
๓) ผู้เขา้ รับการพัฒนานาโครงการทีเ่ ลอื กในขอ้ ๒ มาเขยี นรายละเอยี ดโครงการ และบนั ทึกลงในแบบ
บันทึกกิจกรรม
รุ่นท่ี ................... กลุ่มที่ ...................
สมาชิกในกลุ่ม
๑. ชื่อ-สกุล................................................................................................................เลขที่... .................
๒. ช่ือ-สกุล................................................................................................................เลขท่ี....................
๓. ชอื่ -สกลุ ................................................................................................................เลขที่... .................
๔. ช่อื -สกลุ ................................................................................................................เลขท่ี....................
๕. ชอ่ื -สกุล................................................................................................................เลขท่ี... .................
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูก้ ารพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๘๐
ก่อนแต่งตัง้ ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์
๑. ชื่อโครงการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สอดคล้องกบั กลยุทธ์ของ สพฐ. กลยุทธท์ ี่ …………………………………
สพป. กลยุทธ์ท่ี ………………………………..
๒. หลกั การและเหตุผล
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๓. วตั ถปุ ระสงค์
๓.๑ …………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓.๒ …………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓.๓ …………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. เป้าหมาย
๔.๑ ด้านปริมาณ
๔.๑.๑ ………………………………………………………………………………………………………………………………
๔.๑.๒ ………………………………………………………………………………………………………………………………
๔.๑.๓ ………………………………………………………………………………………………………………………………
๔.๒ ด้านคุณภาพ
๔.๒.๑ ………………………………………………………………………………………………………………………………
๔.๒.๒ ………………………………………………………………………………………………………………………………
๔.๒.๓ ………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. วธิ กี ารดาเนินงาน
ที่ กิจกรรมการดาเนินโครงการ ระยะเวลา งบประมาณ ผรู้ ับผิดชอบ
หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพัฒนาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๘๑
กอ่ นแตง่ ตัง้ ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
๖. สถานทที่ ใี่ ช้ในการดาเนนิ โครงการ
๖.๑ …………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖.๒ …………………………………………………………………………………………………………………………………………
๗. ตัวชี้วดั ความสาเรจ็ ของโครงการ วธิ กี ารประเมิน เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการ
ท่ี ตัวชี้วัดความสาเรจ็ ประเมนิ
๘. ผลท่ีคาดว่าจะไดร้ บั
๘.๑ …………………………………………………………………………………………………………………………………………
๘.๒ …………………………………………………………………………………………………………………………………………
๘.๓ …………………………………………………………………………………………………………………………………………
๙. งบประมาณ
๙.๑ งบประมาณทางราชการ ………………………………………. บาท
๙.๒ งบประมาณสนับสนุนจากหนว่ ยงาน/องค์การ/บุคคล ……………………………….. บาท
๑๐. รายละเอยี ดการใช้งบประมาณ
กิจกรรม/รายละเอียดการใชง้ บประมาณ งบประมาณ งบประมาณจาแนกตามหมวดรายจา่ ย
ค่าตอบแทน คา่ ใชส้ อย คา่ วัสดุ
๑๐.๑ ……………………………………………….
๑๐.๒ ……………………………………………….
๑๐.๓ ………………………………………………
รวม
รวมทงั้ สนิ้
๑๑. ระยะเวลาทใี่ ช้ในการในการดาเนินโครงการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๑๒. ผรู้ ับผิดชอบโครงการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนร้กู ารพัฒนาขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๘๒
ก่อนแตง่ ตั้งใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์
ใบกิจกรรมท่ี ๓.๓.๒
เร่ือง การจดั ทาโครงร่างงานวิจยั
คาชแี้ จง
๑) แบง่ กล่มุ ผ้เู ข้ารับการพฒั นา กลุ่มละ ๓-๕ คน
๒) ผู้เขา้ รบั การพัฒนาพิจารณาโครงการจาก ใบกิจกรรมท่ี ๓.๓.๑ นามาแลกเปลีย่ นเรียนรู้ในกลมุ่ และ
วางแผนงานวจิ ยั ตามสภาพปัญหา/ความต้องการ
๓) ผู้เขา้ รบั การพัฒนาเขียนรายละเอียดโครงร่างการวิจัย และบนั ทกึ ลงในแบบบันทึกกิจกรรมท่ี ๓.๓.๒
ร่นุ ที่ ................... กลุม่ ท่ี ...................
สมาชิกในกลุ่ม
๑. ช่อื -สกลุ ................................................................................................................เลขท่ี... .................
๒. ชื่อ-สกลุ ................................................................................................................เลขที่... .................
๓. ชื่อ-สกุล................................................................................................................เลขที.่ ...................
๔. ชือ่ -สกุล................................................................................................................เลขท.่ี .. .................
๕. ชอ่ื -สกลุ ................................................................................................................เลขท.ี่ ...................
หลักสตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นร้กู ารพัฒนาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๘๓
กอ่ นแตง่ ต้งั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์
ชอ่ื เรอ่ื งการวจิ ยั
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
สอดคลอ้ งกบั กลยทุ ธข์ อง สพฐ. กลยุทธท์ ่ี ..........................................................................................................
สพป. กลยุทธ์ที่ .........................................................................................................
๑. ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
......................................................................................................... .....................................................................
............................................................................................................................. .................................................
......................................................................................................................................... .....................................
๒. วัตถปุ ระสงค์
๒.๑ .......................................................................................................................................................
๒.๒ ......................................................................................................................... ..............................
๒.๓ .............................................................................................................................................. .........
๓. ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะไดร้ ับจากการวจิ ยั
๓.๑ .......................................................................................................................................................
๓.๒ ......................................................................................................................... ..............................
๓.๓ ................................................................................................................................................. ......
๔. แนวคิด/หลกั การ/ทฤษฎีที่ใชใ้ นการวิจยั
๔.๑ .......................................................................................................................................................
๔.๒ ......................................................................................................................... ..............................
๔.๓ ................................................................................................................................................. ......
๕. วิธีดาเนนิ การวิจัย
๕.๑ นวตั กรรมทใ่ี ช้ในการพัฒนา (วธิ กี าร/กิจกรรม/ส่ือ)
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................ ................................................................
๕.๒ ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง
๑) ประชากร : .........................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
๒) กลมุ่ ตัวอยา่ ง : ....................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
๕.๓ ตวั แปรท่ใี ชใ้ นการวิจัย
๑) ตวั แปรอิสระ (ตน้ ) : ...........................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
๒) ตัวแปรตาม : ......................................................................................................................
หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๘๔
กอ่ นแต่งต้งั ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
๕.๔ การออกแบบการวิจยั
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
๕.๕ สมมตฐิ านการวจิ ัย
............................................................................................................................................. .................................
.................................................................................................. ............................................................................
............................................................................................................................. .................................................
๕.๖ เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ยั
๑) ........................................................................................................................ ..........................
๒) ..................................................................................................................................................
๓) ........................................................................................................................ ..........................
๔) ...............................................................................................................................................
๕.๗ การเก็บรวบรวมข้อมูล
๑) ..................................................................................................................................................
๒) ........................................................................................................................ ..........................
๓) ........................................................................................................................ ..........................
๔) ...............................................................................................................................................
๕.๘ การวเิ คราะห์ข้อมลู
๑) ........................................................................................................................ ..........................
๒) ..................................................................................................................................................
๓) ........................................................................................................................ ..........................
๔) ...............................................................................................................................................
๕.๙ สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู
๑) ..................................................................................................................................................
๒) ........................................................................................................................ ..........................
๓) ........................................................................................................................ ..........................
๔) ...............................................................................................................................................
๖. ระยะเวลาในการดาเนนิ การวิจยั
ระหวา่ งวันที่ ................... เดอื น ....................................................... พ.ศ. ................
ถึง วนั ที่ ................... เดอื น ....................................................... พ.ศ. ................
๗. ผู้รบั ผดิ ชอบโครงการวจิ ยั
ช่อื ..............................................................................................................
ผรู้ ่วมวจิ ัย
ชอ่ื ..............................................................................................................
ชือ่ ..............................................................................................................
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพฒั นาขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๘๕
กอ่ นแต่งตงั้ ให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์
ใบงานกจิ กรรมที่ ๓.๓.๓
เร่อื ง การประเมินโครงการ
คาชแี้ จง
๑) แบง่ กลุ่มผูเ้ ข้ารับการพฒั นา กลุ่มละ ๓-๕ คน
๒) ผ้เู ขา้ รับการพัฒนาพิจารณาโครงการจาก ใบกิจกรรมที่ ๓.๓.๑ นามาแลกเปลี่ยนเรยี นร้ใู นกลุม่
๓) ผู้เข้ารับการพัฒนาเขยี นรายละเอียดการประเมินโครงการ และบันทึกลงในแบบบันทึกกจิ กรรมท่ี
๓.๓.๓
รุ่นท่ี ................... กลุ่มท่ี ...................
สมาชกิ ในกลุ่ม
๑. ช่อื -สกุล................................................................................................................เลขท.่ี .. .................
๒. ชอื่ -สกลุ ................................................................................................................เลขท่.ี ...................
๓. ช่อื -สกลุ ................................................................................................................เลขที่... .................
๔. ช่ือ-สกุล................................................................................................................เลขที่... .................
๕. ชอื่ -สกลุ ................................................................................................................เลขท่.ี ...................
หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๘๖
ก่อนแตง่ ตัง้ ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
ชื่อเร่อื งโครงการ
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
๑. รูปแบบทีใ่ ชป้ ระเมนิ (MODEL)
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
๒. วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ
๒.๑ .................................................................................................................................................
๒.๒ ......................................................................................................................... ........................
๒.๓ ....................................................................................................................................... ..........
๒.๔ .................................................................................................................... .............................
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๘๗
กอ่ นแตง่ ตัง้ ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์
๓. การออกแบบการประเมินโครงการ เกณฑ์ใน
ประเดน็ การประเมนิ
การประเมิน/ ตวั ชีว้ ดั แหล่งข้อมูล วธิ รี วบรวมข้อมลู การวิเคราะห์ข้อมูล
สงิ่ ที่ประเมิน
หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูก้ ารพัฒนาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๘๘
ก่อนแต่งตง้ั ให้ดารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์
กจิ กรรมหนว่ ยย่อยที่ ๓.๔ การจดั ทารายงานผลการนเิ ทศการศึกษา
โดยใชก้ ระบวนการวิจยั เวลา ๓ ชั่วโมง
สาระสาคัญ
การจัดทารายงานผลการนิเทศการศึกษา ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้หรือสาขาท่ีรับผิดชอบโดยใช้
กระบวนการวจิ ัยเป็นฐาน จะทาใหก้ ารประเมนิ โครงการและการนิเทศการศึกษามีความถูกต้อง เช่ือถอื ได้ เปน็
ระบบ และบรรลุผลตามเปา้ หมายที่ กาหนดไว้
วัตถุประสงค์
เพือ่ พฒั นาความสามารถในการจดั ทารายงานการนเิ ทศการศึกษาโดยใช้กระบวนการวจิ ัยเป็นฐาน
ขอบข่ายเน้ือหา
การจัดทารายงานการประเมินโครงการ และรายงานการนิเทศการศึกษาโดยใชก้ ระบวนการวจิ ัย
แนวทางการจัดกจิ กรรม
๑. วทิ ยากรแลกเปลย่ี นเรียนรู้ร่วมกับผเู้ ขา้ รับการพฒั นาเรือ่ งการเขยี นรายงานการประเมินโครงการ
และการเขียนรายงานการวิจัย ตามใบความรู้ที่ ๓.๔.๑ เร่ือง การเขียนรายงานการประเมินโครงการ และ
ใบความรู้ท่ี ๓.๔.๒ เร่ือง การเขยี นรายงานการวจิ ยั
๒. แบ่งกลุ่มผู้เข้ารับการพัฒนากลุ่มละ ๓-๕ คน ปฏิบัติตามใบกิจกรรมที่ ๓.๔.๑ เร่ือง การออกแบบ
การนาเสนอข้อมลู
๓. ผเู้ ขา้ รบั การพัฒนา ปฏิบัตติ ามใบกิจกรรมท่ี ๓.๔.๒ เรือ่ ง การเขยี นรายงานการนเิ ทศการศึกษาโดย
ใช้กระบวนการวิจยั
๔. จัดตลาดวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้รายงานผลการนิเทศการศึกษาโดยใชก้ ระบวนการวิจัย จากน้ัน
รว่ มกนั คัดเลอื กรายงานผลการนิเทศการศึกษาตามเกณฑ์การประเมิน กล่มุ ละ ๑ เร่อื ง
๕. กลุม่ ทีไ่ ด้รับการคัดเลอื กทม่ี ีความถี่สูงสุด ๓ ลาดับแรก ออกมานาเสนอรายงานการนิเทศการศกึ ษา
๖. วทิ ยากรให้ข้อเสนอแนะ และเติมเตม็ ความรู้
ส่อื /แหลง่ การเรียนรู้
๑. ใบความรทู้ ี่ ๓.๔.๑ เรอื่ ง การเขยี นรายงานการประเมินโครงการ
๒. ใบความร้ทู ี่ ๓.๔.๒ เรื่อง การเขียนรายงานการวจิ ัย
๓. ใบกจิ กรรมที่ ๓.๔.๑ เร่อื ง การออกแบบการนาเสนอข้อมูล
๔. ใบกจิ กรรมที่ ๓.๔.๒ เรือ่ ง การเขยี นรายงานการนเิ ทศการศกึ ษาโดยใช้กระบวนการวจิ ัย
การวดั และประเมนิ ผล
๑. สังเกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นรว่ ม และการนาเสนอผลงาน
๒. ประเมินผลงาน
หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูก้ ารพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๘๙
ก่อนแต่งตงั้ ให้ดารงตาแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์
ใบความรทู้ ่ี ๓.๔.๑
เรือ่ ง การเขยี นรายงานการประเมินโครงการ
๑. แนวคดิ เกย่ี วกบั การเขยี นรายงานประเมินโครงการ
รายงานการประเมินโครงการ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการประเมินโครงการ ที่นาเสนอ
สารสนเทศเชิงคุณค่าท้ังหมดที่ได้มาจากการประเมิน เพ่ือให้ผู้บริหารและผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับโครงการได้รับทราบ
และนาผลการประเมินไปใช้ อีกท้ังเพ่ือให้บุคคลทั่วไปได้ศึกษาและเป็นแนวทางในการดาเนนิ โครงการและการ
ประเมินโครงการ การเขียนรายงานการประเมินยึดหลักความถูกต้อง ความครบถ้วนสมบูรณ์ ความเป็นระบบ
ความเป็นเอกภาพ ความสัมพันธ์สอดคล้องเช่ือมโยง ความชัดเจน ความสม่าเสมอ ความตรง ประเด็น และ
ความตอ่ เน่อื ง (ทิวตั ถ์ มณโี ชติ ,๒๕๕๔)
๒. ลกั ษณะและวตั ถุประสงค์ของการเขียนรายงานประเมินโครงการ
การเขียนรายงานการประเมินโครงการเป็นขั้นตอนสาคัญข้ันตอนหนึ่งของกระบวนการประเมิน
โครงการ เป็นข้ันตอนสุดท้ายที่จะสะท้อนให้เห็นภาพของการประเมินโครงการ ซึ่งหากจะเขียนตามหลักสากล
แล้วก็คล้ายกับการเขียนรายงานการวิจัยทั่วไป (พิษณุ ฟองศรี, ๒๕๕๓) อาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง เพราะ
วัตถุประสงค์ต่างกัน วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพ่ือศึกษา ค้นคว้า หาคาตอบ ข้อความรู้ องค์ความรู้หรือ
ความจริงในประเด็นปัญหาท่ีสงสัยใคร่อยากรู้ เพ่ือนาไปสู่ข้อสรุปอันเป็นองค์ความรู้สากล แต่การประเมินมี
วัตถุประสงค์เพ่ือมุ่งค้นหาคาตอบเกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งท่ีประเมิน ดังนั้นรายงานการประเมินจึงเป็นการ
นาเสนอสารสนเทศเชิงคุณค่าที่ได้มาจากการประเมิน (สมคิด พรมจุ้ย,๒๕๕๒) วัตถุประสงค์ของการเขียน
รายงานการประเมินโครงการ เพื่อการนาเสนอผลการประเมินให้ผู้เกี่ยวข้อง ได้นาไปประกอบการตัดสินใจ
ปรับปรงุ การดาเนินงานและการพฒั นาโครงการในกรณจี ะดาเนนิ โครงการต่อ หรอื ประกอบการตัดสินใจยกเลิก
โครงการ ตลอดจนให้บุคคลทั่วไปใช้เป็นข้อมูลในการนาไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาหรือวางแผนการ
ดาเนินงาน และใช้ประโยชน์สาหรับการบริหารจัดการ ผู้ท่ีใช้ประโยชน์จากการประเมินส่วนใหญ่จะเป็น
ผู้บริหาร ผู้รับบริการจากโครงการที่ต้องการทราบสาระสาคัญท่ีจะใช้ในการตัดสินใจ การนาสารสนเทศไปใช้
ในการพัฒนาและปรับปรุงโครงการให้บรรลุเป้าหมาย และส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสาหรับ
การดาเนินงานตามโครงการและกิจกรรมอยา่ งแทจ้ ริง
สรปุ วัตถปุ ระสงคข์ องการเขียนรายงานการประเมินโครงการ
๑. เพ่ือนาเสนอสารสนเทศให้ผูบ้ ริหารและผูท้ ี่เก่ยี วข้องกับโครงการได้ทราบผลการประเมินและ
นาผลการประเมนิ ไปใช้
๒. เพอ่ื เป็นการให้การศึกษาและแนวทางแก่ผู้สนใจในสาระของโครงการ วธิ กี ารประเมินโครงการ
และการเขยี นรายงานการประเมนิ
๓. หลักการทั่วไปของการเขียนรายประเมนิ โครงการ
ส่วนประกอบ หัวข้อ คาที่ใช้ การเรียงลาดับหัวข้อหรือคา และรูปแบบการเขียนรายงานการประเมิน
โครงการ อาจจะแตกต่างกันบ้างตามเงื่อนไขของหน่วยงานหรือสถาบัน และตามความนิยม แต่ยึดหลักการ
เขยี นรายงานเหมอื นกันดงั นี(้ สมคดิ พรมจยุ้ , ๒๕๕๒)
๑. ความถูกต้อง (accuracy หรือ correctness) ผู้เขียนรายงานการประเมินต้องตรวจสอบเน้ือหา
สาระทกุ รายการที่เขียน นาเสนอในรายงานจะตอ้ งไมม่ ขี อ้ ผดิ พลาดในเรื่องข้อเท็จจรงิ มีความถูกตอ้ งตาม หลัก
วิชา ถูกต้องตามหลักภาษา รูปแบบของการรายงานการประเมินที่กาหนดไว้และเป็นท่ียอมรับในวงวิชาการ
หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๙๐
กอ่ นแต่งต้งั ให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์
เช่น การเลือกใชร้ ปู แบบการประเมินมคี วามถูกต้อง เหมาะสมกับเป้าของการประเมนิ การกาหนด แหล่งขอ้ มูล
เหมาะสม การสุ่มตัวอยา่ งเหมาะสม เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการประเมินมีความถูกต้องตามหลักวชิ าและ
มีคุณภาพเช่ือถือได้ เลือกใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลได้ถูกต้องเหมาะสมกับระดับการวัด การแปลความหมาย
ขอ้ มลู และการนาเสนอผลการประเมนิ มคี วามถกู ตอ้ ง
๒. ความครบถ้วนสมบูรณ์ (completeness) เนื้อหาสาระในรายงานการประเมินจะต้องมีความ
ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกหัวข้อตามขั้นตอนของกระบวนการประเมินหรือส่วนประกอบของรายงานการประเมิน
ที่ควรจะเป็น หรือตามรูปแบบท่ีกาหนดไว้ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยครบคลุมความเป็นมาและ
ความสาคัญของการประเมิน วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ ขอบเขตของการประเมนิ นิยามศัพทเ์ ฉพาะ วิธกี าร
ประเมินซึ่งจะต้องกล่าวถึงรูปแบบของการประเมิน กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ให้ข้อมูลหลัก เคร่ืองมือที่ใช้ในการ
ประเมิน การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการประเมนิ ขอ้ เสนอแนะ เปน็ ต้น
๓. ความเป็นระบบ (systematic) รูปแบบวิธีการเขียน วิธีการอ้างอิง และการพิมพ์ จะต้องเป็นไป
ตามกรอบโครงสรา้ งหรือสว่ นประกอบของรายงานการประเมนิ และเขยี นนาเสนอให้เป็นระบบเดียวกนั
๔. ความเปน็ เอกภาพ (unity) เนื้อหาสาระในแต่ละบท แตล่ ะตอน หรือแต่ละเร่ือง ต้องนาเสนอ หรือ
เรียบเรียงให้มีความเป็นเอกภาพ หรือเป็นเร่ืองเดียวกัน เช่น ในบทที่ว่าด้วยวิธีการประเมินจะต้อง นาเสนอ
วิธีการหรือแนวทางการประเมิน ซึ่งประกอบด้วยรูปแบบการประเมิน กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ให้ข้อมูล เคร่ืองมือ
ท่ใี ช้ในการประเมิน การเก็บรวบรวมขอ้ มลู การวิเคราะหข์ อ้ มูล และเกณฑก์ ารประเมนิ
๕. ความสัมพันธ์สอดคล้องเชื่อมโยง (correspondence) เน้ือหาสาระระหว่างบท ระหว่างตอน
จะต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องเช่ือมโยงกันโดยตลอด เป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกันอย่างต่อเนื่อง เช่น
ความสัมพันธ์สอดคล้องเช่ือมโยงระหว่างวัตถุประสงค์ของการประเมินกับขอบเขตของการประเมิน กรอบ
แนวคิดการประเมนิ และผลการประเมิน เปน็ ตน้
๖. ความชดั เจน (clarity) ข้อความหรอื ภาษาทีใ่ ช้ในการเขยี นรายงานต้องมคี วามชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่
กากวมหรือคลุมเครือ โดยไมต่ อ้ งตีความข้อความ เพ่อื ให้ผอู้ ่านได้มีความเขา้ ใจเกย่ี วกับงานประเมินน้ันๆ อย่าง
ถกู ต้อง ข้อควรพจิ ารณาท่ีจะชว่ ยใหก้ ารเขยี นชัดเจน คือ
๖.๑ ใชป้ ระโยคง่ายๆ ถูกหลกั ไวยากรณ์
๖.๒ ไม่ใช้ถอ้ ยคาท่ีคลุมเครอื ไมม่ ีความหมาย หรอื ถ้อยคาท่ีมีความหมายกากวม
๖.๓ จดั แบง่ หวั ข้อย่อย วรรคตอน และย่อหน้าให้เหมาะสม
๖.๔ หลีกเลย่ี งการใช้คาย่อ หากจาเป็นต้องใชค้ าย่อ ควรเลือกใช้คาย่อที่ทางราชการกาหนด หรือ
เปน็ ท่ีทราบกนั โดยทว่ั ไป
๗. ความสม่าเสมอ (consistency) การใช้คา วลี หรือข้อความในรายงานการประเมินจะต้องเป็น
แบบเดียวกนั หรอื มคี วามคงท่ี คงเสน้ คงวา ตลอดท้ังฉบับ เช่น คาวา่ นักเรยี น นักศกึ ษา นิสิต นกั ศกึ ษา ผ้เู รียน
ปรากฏในรายงานฉบับเดียวกนั ซึง่ ควรเลือกใช้คาใดคาหนง่ึ ใหต้ ลอดทงั้ ฉบบั
๘. ความตรงประเด็น (pertinent) เน้ือหาสาระของรายงานการประเมินต้องตรงประเด็นมุ่งตอบ
คาถามเชิงประเมินหรือตรงตามวัตถุประสงค์ของการประเมินท่ีต้ังไว้เป็นหลัก หลีกเล่ียงการเขียนรายงาน
ประเมินแบบวกวนหรอื ยืดยาวท่มี สี าระไมต่ รงประเด็น
๙. ความต่อเนื่อง (continuous) การเขียนรายงานการประเมิน ควรเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบ
ระเบียบ เรียบเรียงข้อความต่างๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผลเป็นขั้นตอนที่ดี การเขียนรายงานการประเมิน
ควรเร่ิมจากเหตุผลหรือความเป็นมาและความสาคัญของการประเมิน วัตถุประสงค์ของการประเมิน ขอบเขต
ของการประเมิน นิยามศัพท์เฉพาะ วิธีการประเมิน เครื่องมือท่ีใช้ในการประเมิน การเก็บรวบรวมข้อมูล การ
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรูก้ ารพฒั นาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๙๑
ก่อนแตง่ ต้งั ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
วิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลการประเมิน อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ โดยนาเสนอ
ประเดน็ ตา่ งๆ ใหต้ ่อเนอ่ื งสอดคล้องกัน
๔. ประเภทของรายงานการประเมินโครงการ แบ่งประเภทได้ตามเกณฑก์ ารแบ่ง ดังนี้
แบง่ ตามลกั ษณะของการนาเสนอ
การนาเสนอผลการประเมนิ โครงการ เสนอได้ ๔ ลักษณะ คือ
๑. การนาเสนอดว้ ยวาจา
๒. การนาเสนอด้วยการช้แี จงสาธารณะ
๓. การนาเสนอด้วยเอกสารรายงานผลการประเมนิ ทเ่ี ขียนเป็นลายลกั ษณ์อักษร
๔. การนาเสนอด้วยวาจาควบคู่กบั เอกสารรายงาน
กรณีนาเสนอด้วยเอกสารรายงานผลการประเมินท่เี ขียนเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ยงั แบ่งประเภทของ
รายงานได้อีก ดงั นี้
แบ่งตามจุดประสงค์ของการรายงาน
การรายงานเพือ่ ให้ผู้รบั รายงานรบั ทราบผลการประเมิน และมจี ดุ ประสงค์ต่อเนอื่ งไป ดังน้ี
๑. การรายงานต่อผูบ้ รหิ าร จุดประสงค์ของการรายงานเพื่อใหผ้ ู้บริหารทราบผลการประเมินและ
นาผลการประเมินไปใช้ในการบริหารหรือการปฏิบัติงานในส่วนท่ีเก่ียวข้อง อาจจะรายงานด้วยวาจา รายงาน
ด้วยการเขียนรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร หรือรายงานด้วยวาจาร่วมกับการเขียนรายงาน โดยท่ัวไปจะเป็น
การรายงานอย่างสรปุ กรณเี ปน็ การเขียนรายงานเปน็ ลายลกั ษณ์อักษร เรยี กว่า “บทสรปุ สาหรับผ้บู ริหาร”
๒. การรายงานต่อสาธารณะ จุดประสงค์ของการรายงานเพ่ือให้บุคคลท่ัวไปได้รับทราบผลการ
ประเมินและอาจนาผลการประเมินไปใช้ในการศึกษา ไดแ้ บบอย่าง แนวทางจากเนื้อหาสาระของโครงการ หรอื
วิธีการประเมิน ลักษณะการรายงานอาจจะรายงานด้วยวาจา รายงานด้วยการเขียนรายงานเป็นลายลักษณ์
อกั ษร หรอื รายงานดว้ ยวาจารว่ มกบั การเขียนรายงาน กรณเี ปน็ การเขียนอาจจะเป็นการรายงานอยา่ งละเอียด
เรียกว่า “รายงานฉบับสมบรู ณ์” หรอื รายงานอยา่ งสรุป เรยี กว่า “บทคดั ยอ่ ”
แบ่งตามลกั ษณะของการเขียนรายงาน
รายงานการประเมนิ โครงการโดยทัว่ ไปนิยมเขียนเปน็ ๒ ประเภท ดังน้ี
๑. รายงานประเมินโครงการแบบไม่แยกบท การเขียนรายงานแบบไม่แยกบทหรือการเขียน
รายงานแบบไม่เป็นทางการ เป็นการเขียน รายงานอย่างละเอียด มีส่วนประกอบครบท้ัง ๓ ส่วน คือ ส่วนนา
ส่วนเน้ือหา และ ส่วนท้าย เขียนเป็นหัวข้อ แต่ละหัวข้อมีสาระสาคัญครบถ้วนตามหลักการเขียนรายงานการ
ประเมินโครงการ ลักษณะการนาเสนอ นาหัวข้อมาเรียงต่อเน่ืองกัน ไม่แยกบท ได้แก่ ส่วนนา ประกอบด้วย
ปก บทคัดย่อ บทสรุปสาหรับผู้บริหาร สารบัญ ฯลฯ ส่วนเนื้อหาสาระ ประกอบด้วยบทนา เอกสารและ
งานประเมินท่ีเกี่ยวข้อง วิธีดาเนินการ ประเมิน ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลการประเมิน อภิปรายผลและ
ขอ้ เสนอแนะ ส่วนท้าย ประกอบดว้ ยบรรณานกุ รม ภาคผนวก เครื่องมอื ท่ีใช้ในการประเมนิ ประวตั ผิ ปู้ ระเมนิ
๒. รายงานประเมินโครงการแบบแยกบท เป็นการเขียนรายงานแบบแยกบท หรือการเขียน
รายงานแบบเป็นทางการ หรือการเขียนรายงานเชิงวิชาการ ส่วนประกอบของรายงานมี ๓ ส่วน เช่นกัน คือ
ส่วนนา ส่วนเนื้อหา และส่วนท้าย โดยส่วนนาและส่วนท้ายมีรายละเอียดและลักษณะการเขียนเหมือนกับ
รายงาน แบบไมแ่ ยกบท แต่ส่วนเน้ือหาจะเขียนรายงานแยกเป็นบท โดยท่ัวไปนยิ มแบง่ เปน็ ๕ บท ได้แก่ บทท่ี ๑
บทนา บทท่ี ๒ เอกสารและงานประเมินท่ีเก่ียวข้อง บทท่ี ๓ วิธีดาเนินการประเมิน บทท่ี ๔ ผลการวิเคราะห์
ข้อมลู บทท่ี ๕ สรุปผลการ ประเมิน อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ
หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพัฒนาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๙๒
ก่อนแต่งตงั้ ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์
๕. สว่ นประกอบของรายงานการประเมินโครงการ
สว่ นประกอบของรายงานการประเมินโครงการ แบง่ เป็น ๓ สว่ น แต่ละส่วนมีสว่ นประกอบดังนี้
ส่วนนา มสี ว่ นประกอบ ดังนี้
๑. ปกหน้า ประกอบดว้ ยช่ือเร่อื ง ช่ือผ้ปู ระเมนิ สถานทหี่ รือหนว่ ยงานที่รบั ผิดชอบ
๒. ปกใน มีส่วนประกอบเหมือนปกหน้า
๓. บทคดั ยอ่ หรือบทสรุปสาหรับผู้บรหิ าร
๔. ประกาศคุณปู การหรือกติ ติกรรมประกาศ
๕. สารบัญ ประกอบด้วยสารบัญเนื้อหา สารบัญตาราง และสารบญั ภาพ
สว่ นเนอ้ื หา มสี ว่ นประกอบ แยกเป็นบทได้ดงั น้ี
บทท่ี ๑ บทนา ประกอบดว้ ย
๑.๑ ความเป็นมาและความสาคญั ของการประเมนิ
๑.๒ วัตถปุ ระสงคข์ องการประเมิน
๑.๓ ขอบเขตของการประเมนิ
๑.๔ นยิ ามศัพท์เฉพาะ
๑.๕ ประโยชนท์ ไ่ี ด้รบั จากการประเมิน
บทท่ี ๒ แนวคิด ทฤษฎี และสาระสาคญั ของโครงการ ประกอบดว้ ย
๒.๑ แนวคิด ทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกบั โครงการ
๒.๒ สาระสาคัญของโครงการ
๒.๓ แนวคิด ทฤษฎที ีเ่ กี่ยวข้องการประเมนิ โครงการและรปู แบบการประเมนิ
๒.๔ งานวิจยั และงานประเมนิ ทีเ่ กีย่ วข้อง
๒.๕ กรอบแนวทางการประเมนิ
บทที่ ๓ วธิ ดี าเนินการประเมนิ ประกอบด้วย
๓.๑ รูปแบบการประเมิน (Model) ท่ใี ช้
๓.๒ แหล่งข้อมลู (ผูใ้ หข้ ้อมูลสาคญั หรือประชากรและกลุ่มตวั อย่าง)
๓.๓ เคร่อื งมือท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
๓.๔ การเก็บรวบรวมข้อมลู
๓.๕ การวิเคราะหข์ อ้ มลู
๓.๖ เกณฑ์ (การแปลผล และการตัดสิน)
บทท่ี ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
เสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล หรือผลการประเมนิ จาแนกตามวัตถปุ ระสงคห์ รอื ตามรปู แบบ
ของ การประเมิน
บทที่ ๕ สรุปผลการประเมนิ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ ประกอบด้วย
๕.๑ สรปุ ย่อในเรื่องความเปน็ มาของโครงการ เหตผุ ลท่มี ุ่งประเมิน วตั ถุประสงคข์ อง
การประเมิน และวิธกี ารประเมิน
๕.๒ สรุปผลการประเมนิ
๕.๓ อภิปรายผลการประเมนิ
๕.๔ ข้อเสนอแนะประกอบดว้ ย ข้อเสนอแนะการนาผลการประเมนิ ไปใช้ และ
ขอ้ เสนอแนะ การประเมินในครง้ั ตอ่ ไป
หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๙๓
ก่อนแต่งต้ังใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์
ส่วนทา้ ย มสี ว่ นประกอบ ดังน้ี
๑. บรรณานกุ รมหรือเอกสารอ้างองิ
๒. ภาคผนวก
๒.๑ ภาคผนวก ก รายละเอียดของโครงการ
๒.๒ ภาคผนวก ข เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล
๒.๓ ภาคผนวก ค รายชือ่ ผเู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือ
๒.๔ ภาคผนวก ง รายละเอยี ดผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
๖. แนวปฏิบตั ิการเขยี นรายงานการประเมินโครงการ
การเขียนส่วนนาของรายงานประเมนิ โครงการ
ส่วนนา เป็นการเขียนข้อมูลทั่วไปและส่วนสรุปของรายงานการประเมิน มีส่วนประกอบและแนวการ
เขียน ดังน้ี
๑. ปก ประกอบดว้ ยปกนอกหรือปกหนา้ และปกใน
๑.๑ ปกนอกหรือปกหนา้ ประกอบดว้ ยชอื่ เรือ่ ง ช่อื ผ้ปู ระเมิน ช่อื หน่วยงาน และปที ่ีรายงาน
๑.๒ ปกใน ข้อความคล้ายปกนอก แต่ต่างกันคือ ปกหน้ามักใช้กระดาษชนิดหนาหรือชนิดหนา
ส่วนปกในใช้กระดาษออ่ น และปกในระบชุ ือ่ นามสกลุ ของหัวหน้าและคณะประเมิน
๒. บทคัดยอ่ หรอื บทสรปุ สาหรับผู้บรหิ าร
๒.๑ บทคัดย่อ เขยี นโดยสรปุ ประมาณ ๑ หนา้ ประกอบดว้ ย ชอ่ื เร่ือง ช่ือผปู้ ระเมนิ ปีที่ ประเมิน
วตั ถปุ ระสงคโ์ ครงการ วิธดี าเนินการประเมิน และผลการประเมิน
๒.๒ บทสรุปสาหรับผู้บริหาร เขียนโดยสรุปประมาณ ๓ หน้า มีส่วนประกอบเหมือนกับ
บทคัดยอ่ แต่มรี ายละเอียดมากกว่า และเพ่มิ ขอ้ เสนอแนะสาหรับการนาผลการประเมินไปใช้
๓. ประกาศคุณูปการหรือกิตติกรรมประกาศ เป็นการเขียนขอบคุณบุคคลต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุน
ช่วยเหลอื หรอื มีสว่ นใหง้ านสาเรจ็
๔. สารบญั เป็นบญั ชีรายการชือ่ และเลขหนา้ ของเนื้อหา ตาราง และแผนภาพ ประกอบด้วย
๔.๑ สารบัญเน้ือหา เป็นการนาเสนอบัญชีรายการส่วนประกอบเน้ือหาของทุกส่วน ทั้งส่วนนา
สว่ นเน้ือหา และสว่ นทา้ ย การเขยี นชื่อหวั ขอ้ และคาต้องตรงและครบถ้วนตามทป่ี รากฏในเล่ม
๔.๒ สารบัญตาราง เป็นบัญชีช่ือรายชื่อตาราง เขียนให้ถูกต้องตรงกับเลขตารางและช่ือตาราง
และครบถว้ นตามที่ปรากฏในเลม่
๔.๓ สารบัญภาพ เป็นบัญชีชื่อรายชื่อภาพหรือแผนภาพ ใช้หลักการเขียนเช่นเดียวกัน คือ
ต้องตรงและครบถ้วนตามท่ีปรากฏในเลม่
๗. การเขยี นสว่ นเนอื้ หาของรายงานประเมนิ โครงการ
ส่วนเน้ือหาของรายงานประเมินโครงการ แนวทางการเขียนนอกจากจะยึดหลักการเขียนรายงาน
๙ หลกั การตามที่ได้เสนอไวแ้ ล้ว ภาษาทใี่ ช้ในการเขียนเกือบทั้งหมด (ยกเวน้ ข้อเสนอแนะ) ต้องเปน็ ภาษาอดีต
(past tense) คือ ได้ทาอะไรไปบ้าง ทาอย่างไร และผลเป็นอย่างไร ดังนั้น ถ้าจะนารายละเอียดของแต่ละ
หัวข้อที่เขียนไว้ในโครงร่างการประเมิน (proposal) หรือข้อเสนอโครงการประเมิน (Term of Reference :
TOR) ซึ่งเขียนไว้ในลักษณะภาษาอนาคต (future tense) คือ จะทาอะไร จะทาอย่างไร และคาดว่าจะได้รับ
ผลอยา่ งไร จะตอ้ งนามาปรับภาษาให้เปน็ ภาษาอดีต และเขยี นตามทเ่ี ป็นจริง คือ ไดท้ าอะไรไปบ้าง ทา อยา่ งไร
และได้ผลเป็นอย่างไร ตามทเี่ ป็นจรงิ นอกจากนใี้ นแตล่ ะส่วนประกอบมีแนวการเขยี นเพิ่มเติม ดังนี้
หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารพฒั นาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๙๔
กอ่ นแต่งตัง้ ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์
บทที่ ๑ บทนา มสี ่วนประกอบและแนวการเขียน ดงั น้ี
๑.๑ ความเป็นมาและความสาคัญของการประเมิน แนวการเขียนให้กาหนดประเด็นที่จะ
นาเสนอ และเรียงลาดับประเด็นท่ีจะเสนอไว้ก่อนท่ีจะลงมือเขียน โดยกล่าวถึงความเป็นมาและความจาเป็น
ของ โครงการและการประเมินโครงการอย่างน้อย 4 ประเด็นและเรยี งลาดับการนาเสนอดังน้ี คอื ความเป็นมา
และความสาคัญของโครงการ ความจาเป็นต้องมีการประเมินโครงการ รูปแบบ (model) ท่ีใช้ในการประเมิน
คร้งั น้ี และการลงสรุปส่คู วามสาคัญหรือประโยชนข์ องการประเมนิ ครงั้ น้ี
๑.๒ วัตถุประสงค์ของการประเมิน วัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการเขียนให้สอดคล้อง
รูปแบบ (model) ท่ีใช้ในการประเมิน โดยใช้ภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย และมีความชัดเจน เช่น ใช้รูปแบบ
CIPP ในการประเมิน ให้เขียนวัตถุประสงค์ว่า เพื่อประเมินโครงการ (ระบุชื่อโครงการ) ในด้าน ๑) บริบทของ
โครงการ (context) ๒) ปจั จัยนาเข้าของโครงการ (input) ๓) กระบวนการดาเนนิ โครงการ (process) ๔) ผล
การดาเนินโครงการ (product) โดยระหว่างข้อรองสุดท้ายกับข้อสุดท้าย (กระบวนการดาเนินโครงการกับ ผล
การดาเนินโครงการ) ไมต่ อ้ งเชื่อมคาว่า “และ”
๑.๓ ขอบเขตของการประเมิน เขียนให้สอดคล้องกับกรอบแนวทางการประเมิน ประกอบด้วย
ขอบเขตประชากร ขอบเขตเนื้อหา ขอบเขตพื้นที่ท่ีประเมิน และขอบเขตเวลาในการประเมิน มีแนวการเขียน
ดงั น้ี
๑.๓.๑ ขอบเขตประชากร ให้ระบุกลุ่มเป้าหมายท่ีให้ข้อมูล ว่าเป็นใคร จานวนเท่าไร ถ้าระบุ
จานวนไม่ได้ให้ประมาณ
๑.๓.๒ ขอบเขตเน้ือหา ให้ระบุตัวบ่งชี้แต่ละด้านของรูปแบบท่ีใช้ประเมิน ว่าจะรวบรวมข้อมูล
เรอ่ื ง (ตวั แปร) อะไร มหี วั ข้อยอ่ ย (เน้อื หา) อะไรบา้ ง
๑.๓.๓ ขอบเขตพื้นที่ประเมิน ให้ระบุพ้ืนท่ีที่จะรวบรวมข้อมูล คือพื้นที่ที่อยู่หรือที่ทางานของ
ประชากร โดยทัว่ ไปกค็ ือ พ้ืนท่ีของการดาเนนิ โครงการนั่นเอง
๑.๓.๔ ขอบเขตระยะเวลา ให้ระบุระยะเวลาทาการประเมินตั้งแต่เร่ิมจนจบถึงการรายงานการ
ประเมิน
๑.๔ นิยามศัพท์เฉพาะ ให้นิยามศัพท์เฉพาะคาที่ต้องการให้ความหมายท่ีเกิดความเข้าใจตรงกัน
ไมจ่ าเป็นต้องนิยามศัพท์ทุกคา เช่น เพศ ไมต่ ้องนิยาม เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แลว้ ว่าหมายถึงเพศชาย-หญิง
การให้ความหมายคาหรือกลุ่มคาท่ีใช้ในการประเมินต้องเขียนให้ชัดเจน อยู่ในรูปของนิยามเชิงปฏิบัติการ
ท่ีสามารถวัดได้ สังเกตได้ ความหมายที่เขียนไม่ใช่ความหมายท่ีบัญญัติศัพท์ในพจนานุกรม แต่เป็นคาท่ีผู้
ประเมินบัญญตั ขิ น้ึ มาเพอ่ื ใช้ในการประเมนิ นี้เทา่ นัน้ แนวการเขียนนยิ ามศพั ท์เฉพาะมดี ังน้ี
๑.๔.๑ กาหนดคาที่ต้องนิยาม เฉพาะคาสาคัญ ได้แก่ คาในรูปแบบ ตัวแปรหรือตวั บง่ ช้ี และคา
ทีต่ อ้ งการขยายความใหช้ ัดเจนมคี วามหมายต่างจากความหมายท่ีทราบกันโดยทวั่ ไป
๑.๔.๒ เขียนคานิยาม โดยพยายามเขียนเป็นรูปธรรมท่ีเรียกว่า นิยามเชิงปฏิบัติการ กล่าวคือ
คา กลุ่มคาหรือตัวแปรนี้ คนอ่ืนหรือเอกสารแหล่งอื่นอาจจะให้ความหมายไว้อย่างไรก็ตาม แต่สาหรับการ
ประเมนิ ครง้ั นี้ คา กลุ่มคา หรอื ตวั แปรน้ี มคี วามหมายดังทผ่ี ปู้ ระเมินใหน้ ิยามไว้
๑.๔.๓ เรียงลาดับคานิยาม โดยเรียงจากคาท่ีสาคัญ คือนิยามคาตามรูปแบบหรือวัตถุประสงค์
และกรอบแนวทางของการประเมินกอ่ นคาอน่ื ทีเ่ ก่ียวข้อง
๑.๕ ประโยชน์ที่ได้รับจากการประเมิน เป็นส่วนท่ีระบุถึงความสาคัญหรือประโยชน์ท่ีได้รับ
หลงั จาก ดาเนนิ การประเมินโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ว่าสิ่งท่ีได้จากการประเมินนี้มีอะไรบ้าง โดยทวั่ ไป คือ
สารสนเทศที่เป็นผลของการประเมินแต่ละด้านตามรูปแบบการประเมินที่ใช้ การเขียนไม่เขียนเพียงแต่ระบุว่า
หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูก้ ารพฒั นาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๙๕
ก่อนแต่งตง้ั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์
ได้ผลการประเมินโครงการเป็นข้อเท็จจริงอะไรบ้าง แต่ต้องระบุว่าการได้ทราบข้อมูลสารสนเทศนั้นจะเกิด
ประโยชน์อะไรบ้าง คือ ระบุชัดว่าใครหรือหน่วยงานใดสามารถนาข้อมูลสารสนเทศน้ันไปใช้ประโยชน์ใน
เรื่องใด อยา่ งไร
บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี และสาระสาคัญของโครงการ มีสว่ นประกอบและแนวการเขยี น ดงั นี้
๒.๑ แนวคิด ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับโครงการ ให้เสนอเฉพาะสาระสาคัญท่ีจะนามาใช้ในการ
ประเมนิ เชน่ ใช้ในการกาหนดกรอบแนวทางการประเมิน ตวั แปร เน้ือหา หรอื ใช้ในการสร้างเครื่องมือใน การ
เก็บรวบรวมขอ้ มลู
๒.๒ แนวคิด ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องการประเมินโครงการ ให้เสนอเฉพาะสาระสาคัญพอสังเขป
เกี่ยวกับแนวคิดเกี่ยวกับการประเมิน ได้แก่ ความหมาย ความสาคัญ วัตถุประสงค์ของการประเมินและการ
ประเมนิ โครงการ และแนวคดิ และทฤษฎีเกย่ี วกับรูปแบบท่ีใช้ในการประเมิน
๒.๓ สาระสาคัญของโครงการ ไม่ให้นาโครงการท้ังหมดมาใส่ แต่นาเฉพาะสาระสาคัญท่ีใช้ ใน
การประเมิน ได้แก่ ชื่อโครงการ ผู้รับผิดชอบ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ของโครงการ กลุ่มเป้าหมาย
กิจกรรมการดาเนินการ และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ โดยให้ตัดส่วนท่ีเป็นแผนการดาเนินงาน (ให้ใช้เฉพาะ
กิจกรรมการดาเนินการ) และงบประมาณออก บางโครงการท่กี าหนดวัตถปุ ระสงค์ หรอื เปา้ หมายเกินศักยภาพ
ของโครงการที่ดาเนินการให้บรรลไุ ด้ ผู้ประเมินต้องทาการวิเคราะห์และกาหนดว่า ในการประเมินครั้งนี้จะทา
การประเมินในขอบเขตเท่าใด
๒.๔ งานวิจัยและงานประเมินท่ีเก่ียวข้อง ให้เสนอเฉพาะโครงการและวิธีดาเนนิ การ ประเมินท่ี
ตรงและสามารถนามาใช้ประโยชน์ในการประเมินครั้งน้ี เช่น เป็นตัวอย่างหรือแนวดาเนินการประเมิน ใช้ใน
การกาหนดกรอบแนวทางการประเมนิ การกาหนดตวั แปร ตัวบ่งชี้ การสร้างหรอื หาคณุ ภาพ เครอื่ งมอื หรอื ใช้
ในการประกอบการอภิปรายผลการประเมนิ เป็นตน้
๒.๕ กรอบแนวทางการประเมิน เป็นส่วนสรุปภาพรวมที่ใช้ในการประเมิน แนวการเขียน นิยม
เสนอในรูปตารางขวาง ประกอบดว้ ยวตั ถปุ ระสงค์ ประเด็นการประเมินหรือตวั บ่งชี้ แหล่งขอ้ มูล เคร่ืองมือท่ีใช้
ในการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมลู และเกณฑ์ การแปลผลการการตดั สนิ ผลการประเมนิ
การเขียนในบทที่ ๒ นอกจากจะเสนอเฉพาะสาระสาคัญที่ตรงและเฉพาะที่ใช้ในการประเมนิ แลว้
ต้องคานึงถึงความทันสมัย มีความใหม่ ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรเกิน ๕ ปี เว้นแต่บางเรื่องที่เป็นสาระสาคัญท่ียัง
ทันสมัยหรือยังใช้อยู่และไม่มีใครเขียนหรือกล่าวถึงข้ึนอีก ก็สามารถนามาใช้ได้โดยอนุโลม ดังน้ัน ถ้าจะนา
รายละเอียดของแต่ละหัวข้อที่เขียนไว้ในโครงร่างการประเมิน หรือข้อเสนอโครงการประเมิน (TOR) มาใช้ ใน
รายงานการประเมินนี้ต้องทบทวนใหม่ว่าแนวคิด ทฤษฎี ข้อมูล หลักฐาน และการอ้างอิง ที่ได้รวบรวมและ
นาเสนอไว้มกี ารเปล่ียนแปลงและต้องเพ่ิมเตมิ อะไรบา้ ง
บทที่ ๓ วธิ ดี าเนนิ การประเมิน มีสว่ นประกอบและแนวการเขียน ดงั น้ี
๓.1 รปู แบบการประเมิน (Model) ทใ่ี ช้ เขียนใหต้ รงกับบทที่ ๑
๓.๒ ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
๓.๒.๑ ประชากร เขยี นใหต้ รงกับบทท่ี ๑ ในหัวข้อขอบเขตประชากร
๓.๒.๒ กล่มุ ตวั อยา่ ง เขียนใหส้ อดคล้องกับประชากร และระบุการได้มาหรือการสุ่ม ตัวอย่าง
๓.๓ เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ระบุประเภท ลักษณะ ส่วนประกอบ และ ข้ันตอน
การสร้างและการหาคณุ ภาพของเครอื่ งมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล ทส่ี าคญั ทส่ี ุดของรายงาน การประเมิน
คอื ตอ้ งระบคุ ุณภาพของเครือ่ งมือพร้อมมีรายละเอียดหรอื หลักฐานการวเิ คราะห์ในภาคผนวก
หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๑๙๖
ก่อนแตง่ ต้งั ให้ดารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์
๓.๔ การเก็บรวบรวมข้อมูล ระบุว่าได้เก็บข้อมูลโดยวิธีใด เมื่อไหร่ อย่างไร มีปัญหา อุปสรรคได้
ดาเนนิ การแก้ไขอยา่ งไร และผลการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเปน็ อยา่ งไร
๓.๕ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ระบุวิธกี ารวเิ คราะห์และสถติ ิทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู เกณฑ์ การแปล
ผล และเกณฑก์ ารตัดสินผลการประเมิน
บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล หรือผลการประเมินจาแนกตาม
วัตถุประสงค์ของการประเมิน เน้นความถูกต้อง น่าสนใจ เข้าใจง่าย และแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูลโดยไม่
แสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติม เช่นเดียวกับการเขียนรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย และมีส่วนท่ีเพ่ิมเติม
จากการรายงานการประเมินโครงการ คือ ต้องแปลผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลเทยี บกับเกณฑก์ ารตดั สนิ ทกี่ าหนดไว้
บทท่ี ๕ สรุปผลการประเมนิ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ มีส่วนประกอบและแนวการเขยี น ดงั นี้
๕.๑ สรุป เปน็ การสรุปย่อสาระท้งั หมดตงั้ แต่ความเปน็ มาของโครงการ เหตผุ ลท่ีมุง่ ประเมนิ
วตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ และวธิ ีการประเมนิ
๕.๒ สรุปผลการประเมิน นาเสนอผลการประเมินโดยสรุปและนาเสนอเรียงลาดับตาม
วัตถปุ ระสงค์ของโครงการ
๕.๓ อภิปรายผลการประเมิน อภิปรายผลการประเมินโดยเขียนให้สอดคล้องกับสรุปผลการ
ประเมิน คือ เรียงลาดับตามวัตถุประสงค์ของการประเมิน และแต่ละผลการประเมินอภปิ รายโดยเสนอเหตผุ ล
และความคดิ เหน็ ว่าทผี่ ลการประเมนิ ดังกล่าวเป็นเช่นน้นั เปน็ เพราะเหตุใด โดยใชภ้ าษาที่ถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษา
(ใช้ภาษาเขียน) มีความกระชับ ชัดเจน มีเหตุผลอย่างน่าเช่ือถือ โดยมีการอ้างอิงข้อมูล หลักฐาน คากล่าว
แนวคิด และทฤษฎี ประกอบ อาจจะเสนอผลการศึกษา วิจัย หรือการประเมินที่สอดคล้อง หรือไม่สอดคล้อง
พรอ้ มทั้งการให้เหตุผลของการสอดคล้องหรือไมส่ อดคล้องประกอบ
๕.๔ ขอ้ เสนอแนะ แบง่ เปน็
๕.๔.๑ ข้อเสนอแนะแนวทางการนาผลการประเมินไปใช้ เสนอแนะประเด็นเด่น ท้ังทางบวก
คือ ผลการประเมินมีความโดดเด่น ให้ข้อแนะนาว่าควรรักษาคุณภาพไว้ และทางลบ ผลการประเมินไม่ถึง
เกณฑ์ ใหข้ อ้ แนะนาในการปรบั ปรงุ
๕.๔.๒ ข้อเสนอแนะสาหรับการปรับปรุงในการประเมินในคร้ังต่อไป เสนอแนะให้เพ่ิมเติมหรือ
ปรับเปลี่ยนวิธีดาเนนิ การประเมินหรอื ส่วนประกอบที่เป็นจดุ ดอ้ ย ข้อจากัด หรือยังไม่ดีพอสาหรับการประเมิน
ครงั้ น้ี เช่น ปรับเปล่ยี นรูปแบบ (model) ที่ใช้ในการประเมนิ ขอบเขตการประเมนิ ตวั แปร ตวั บง่ ช้ีหรือตัวชีว้ ัด
แหล่งข้อมูลหรือกลุ่มผู้ให้ข้อมูล เคร่ืองมือและวิธีการที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และ
การนาเสนอผลการประเมิน
๘. การเขียนส่วนท้าย สว่ นท้าย มสี ่วนประกอบและแนวการเขยี นรายงาน ดังน้ี
๑. บรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง เป็นการระบุรายช่ือหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ บุคคล และวัสดุ
ต่าง ๆ ที่ผู้ประเมินได้อ้างอิง การเขียนบรรณานุกรมหรอื เอกสารอ้างอิงใหย้ ึดหลักความถูกต้อง ความครบถ้วน
สมบรู ณ์ และความเปน็ ระบบ เอกสารอา้ งองิ เขียนเฉพาะรายการที่มีการอ้างอิงและครบทุกรายการ หลักเกณฑ์
ที่สาคัญของการเขยี นบรรณานกุ รมและเอกสารอา้ งอิง มดี ังนี้
๑.๑ การเรียงลาดับเอกสารไม่ต้องมีเลขท่ีกากับ ให้เรียงลาดับชื่อผู้แต่งหรือรายงานตามอักษร
เริ่มด้วยเอกสารภาษาไทยก่อน แล้วตามด้วยเอกสารภาษาต่างประเทศ เอกสารอ้างอิงหลายเรื่องท่ีมีผู้แต่งคน
หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๑๙๗
กอ่ นแตง่ ตง้ั ให้ดารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์
เดียวกันหรือชุดเดียวกันให้เรียงตามลาดับปีของเอกสาร ถ้ามีเอกสารอ้างอิงหลายเร่ืองโดยผู้แต่งคนเดียวกัน
หรือชุดเดียวกันภายในปีเดียวกันให้ใส่อักษร ก , ข, ในเอกสารภาษาไทย และ a, b, ในเอกสาร
ภาษาตา่ งประเทศไวห้ ลังปีของเอกสาร
๑.๒ การเขียนช่อื ผู้เขียน กรณเี อกสารภาษาไทยให้ใชช้ ่ือเต็ม โดยใช้ชือ่ ตัวนาหน้าตามดว้ ยชื่อสกุล
ในกรณีท่ีผู้แต่งไม่ได้เขียนช่ือเต็มหรือไม่อาจหาชื่อเต็มของผู้แต่ง อนุโลมให้ใช้ชื่อย่อได้ กรณีเอกสาร
ภาษาตา่ งประเทศใหใ้ ช้อักษรละตนิ โดยเอาชอื่ สกุลขึน้ กอ่ นตามดว้ ยชือ่ อ่ืนๆ สาหรบั ช่อื สกลุ ให้เขียนเตม็ ส่วน
ช่ืออน่ื ๆ ใหเ้ ขยี นเฉพาะอกั ษรตวั แรก
๒. ภาคผนวก เป็นการนาเสนอข้อมูลและส่ิงที่จะชวยให้ผู้อ่านเข้าใจสาระของรายงานการประเมิน
โครงการได้ดียิ่งข้ึน โดยรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ ถ้ามีหลายเร่ือง ควรแยกและจัดลาดับโดยมีตัวเลขหรือ
ตวั อกั ษรกากบั ภาคผนวกแตล่ ะเร่อื งจะมชี ่อื หรอื ไมม่ กี ็ได้ เชน่ ภาคผนวก ก ภาคผนวก ข เปน็ ตน้
ภาคผนวก ก รายละเอียดของโครงการ
ภาคผนวก ข เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ภาคผนวก ค รายนามผู้ทรงคุณวฒุ ิทต่ี รวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมือ
ภาคผนวก ง รายละเอียดผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
ฯลฯ
เอกสารอา้ งองิ
ทิวตั ถ์ มณีโชติ. เทคนคิ การเขยี นรายงานการวิจยั และวิทยานพิ นธ์. กรงุ เทพฯ : ศนู ยก์ ารเรียนรู้
และผลติ สงิ่ พิมพ์ระบบดจิ ิตอล มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนคร, ๒๕๕๔.
บุญชม ศรสี ะอาด. การวิจยั เบื้องต้น. พิมพ์ครงั้ ท่ี ๖. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ิยสาส์น, ๒๕๔๓.
พิสณุ ฟองศรี. การประเมนิ โครงการฝกึ อบรม. กรุงเทพฯ : ดา่ นสทุ ธาการพิมพ์, ๒๕๕๓.
สมคิด พรมจยุ้ . เทคนิคการเขยี นรายงานการประเมินโครงการ. พมิ พ์คร้ังที่ ๖. นนทบุรี : จตพุ รดไี ซน์,
๒๕๕๒.